This content is password protected. To view it please enter your password below:
Password:
This content is password protected. To view it please enter your password below:
Password:
PwC เผยผลการสำรวจซีอีโอทั่วโลก พบว่า ซีอีโอ 73% เชื่อว่า การเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะลดลงในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ถือเป็นมุมมองในแง่ลบมากที่สุดของซีอีโอเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในรอบ 10 ปี
PwC เผยผลการสำรวจซีอีโอทั่วโลกประจำปี ครั้งที่ 26 ซึ่งสำรวจความคิดเห็นของซีอีโอ 4,410 คน ใน 105 ประเทศและดินแดน ระหว่างเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2565 พบว่า ซีอีโอเกือบสามในสี่ (73%) เชื่อว่า การเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะลดลงในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
มุมมองดังกล่าวถือเป็นมุมมองในแง่ลบมากที่สุดของซีอีโอเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลก นับตั้งแต่เราเริ่มถามคำถามนี้เมื่อ 12 ปีก่อน และเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจากมุมมองที่สดใสในปี 2564 และ 2565 ซึ่งในเวลานั้น ซีอีโอมากกว่าสามในสี่ (76% และ 77% ตามลำดับ) เชื่อว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะดีขึ้น
นอกจากสภาพแวดล้อมที่ท้าทายแล้ว ซีอีโอเกือบ 40% ไม่คิดว่าองค์กรของตนจะมีศักยภาพทางเศรษฐกิจได้ในช่วงสิบปีนี้ หากยังคงดำเนินธุรกิจต่อไปในเส้นทางปัจจุบัน ซึ่งเป็นความคิดเห็นที่สอดคล้องกันในหลายภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ โทรคมนาคม (46%) การผลิต (43%) การดูแลสุขภาพ (42%) และเทคโนโลยี (41%) นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นของซีอีโอเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตของบริษัทของตนเองยังลดลงอย่างมากตั้งแต่ปีที่แล้ว (-26%) ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2551-2552 ซึ่งในขณะนั้น ความเชื่อมั่นซีอีโอลดลงไป 58%
เมื่อพิจารณาในระดับโลก พบว่า ความเชื่อมั่นของธุรกิจที่มีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง โดยประเทศในกลุ่มเศรษฐกิจ จี7 อย่างฝรั่งเศส (70% เทียบกับ 63%) เยอรมนี (94% เทียบกับ 82%) และสหราชอาณาจักร (84% เทียบกับ 71%) ซึ่งล้วนถูกกดดันจากวิกฤตพลังงานที่กำลังดำเนินอยู่ มีทัศนคติในเชิงลบเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตในประเทศมากกว่าการเติบโตทั่วโลก
นอกจากนี้ ซีอีโอยังระบุถึงความท้าทายหลายประการที่ส่งผลโดยต่อความสามารถในการทำกำไรภายในอุตสาหกรรมของตนเองในช่วง 10 ปีข้างหน้า มากกว่าครึ่ง (56%) เชื่อว่าความต้องการ/ความชอบที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร ตามด้วยการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ (53%) การขาดแคลนแรงงาน/ทักษะ (52%) และเทคโนโลยีดิสรัปชัน (49%)
ในขณะที่ความเสี่ยงทางไซเบอร์และสุขภาพเป็นปัญหาอันดับหนึ่งในปีที่แล้ว ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเป็นสิ่งที่ซีอีโอกังวลใจมากที่สุดในปีนี้ โดยอัตราเงินเฟ้อ (40%) และความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาค (31%) เป็นความเสี่ยงที่ซีอีโอกังวลมากที่สุดในระยะสั้น 12 เดือนข้างหน้า และในอีก 5 ปีข้างหน้า รองลงมาคือ 25% ของซีอีโอรู้สึกถึงความเสี่ยงทางการเงินอันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ในขณะที่ความเสี่ยงทางไซเบอร์ (20%) และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (14%) ลดลงเมื่อเทียบกัน
สงครามในยูเครนและความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในส่วนอื่น ๆ ของโลก ทำให้ซีอีโอต้องคิดทบทวนใหม่เกี่ยวกับโมเดลธุรกิจในด้านต่าง ๆ โดยเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามที่เผชิญกับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ได้รวมการหยุดชะงักในวงกว้างเป็นส่วนหนึ่งในการวางแผนสถานการณ์และรูปแบบการดำเนินงานขององค์กร ไม่ว่าจะด้วยการเพิ่มการลงทุนด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์หรือความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (48%) การปรับห่วงโซ่อุปทาน (46%) การประเมินสถานะตลาดใหม่ หรือขยายตลาดใหม่ ๆ (46%) หรือการกระจายการนำเสนอสินค้า/บริการให้หลากหลาย (41%)
เพื่อตอบสนองต่อสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซีอีโอกำลังมองหาวิธีลดต้นทุนและกระตุ้นการเติบโตของรายได้ 52% ของซีอีโอเลือกที่จะลดต้นทุนการดำเนินงาน ในขณะที่ 51% ใช้วิธีขึ้นราคา และ 48% นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มากกว่าครึ่ง หรือ 60% กล่าวว่า พวกเขาไม่มีแผนที่จะลดขนาดพนักงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ขณะที่ซีอีโอส่วนใหญ่ หรือ 80% ไม่ได้วางแผนที่จะลดค่าตอบแทนพนักงาน เพื่อรักษาบุคลากรที่มีความสามารถและลดอัตราการออกจากงานของพนักงาน
บ็อบ มอริตซ์ ประธาน PwC โกลบอล กล่าวว่า เศรษฐกิจที่ผันผวน อัตราเงินเฟ้อที่สูงมาหลายสิบปี และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เป็นปัจจัยที่ทำให้ซีอีโอมีมุมมองเชิงลบมากที่สุดในรอบสิบปี ด้วยเหตุนี้ ซีอีโอทั่วโลกจึงต้องประเมินใหม่เกี่ยวกับรูปแบบการดำเนินงานและการลดต้นทุน อย่างไรก็ตาม แม้จะมีแรงกดดันเหล่านี้ แต่พวกเขาก็ยังคงให้ความสำคัญกับพนักงานมากที่สุด ด้วยความพยายามที่จะรักษาบุคลากรที่มีความสามารถเอาไว้หลังจากที่เกิดกระแส ‘การลาออกครั้งใหญ่’ (Great Resignation) ในช่วงที่ผ่านมา โลกยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง และความเสี่ยงที่องค์กร ผู้คน และโลกใบนี้ กำลังเผชิญอยู่มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้ องค์กรต่าง ๆ ต้องสร้างสมดุลอย่างระมัดระวังระหว่างความจำเป็นสองประการ คือการลดความเสี่ยงในระยะสั้น กับสิ่งที่ต้องดำเนินงานเพื่อวัตถุประสงค์ระยะยาว หากพวกเขาไม่เพียงต้องเติบโต แต่ยังต้องอยู่รอดในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้าด้วย ธุรกิจที่ไม่เปลี่ยนแปลงจะไม่สามารถอยู่รอดได้
แม้ว่าความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศจะไม่ได้เด่นชัดเท่ากับความเสี่ยงระยะสั้นในช่วง 12 เดือนข้างหน้า เมื่อเทียบกับความเสี่ยงอื่น ๆ ทั่วโลก แต่ซีอีโอยังคงมองว่าความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อโครงสร้างต้นทุน (50%) ห่วงโซ่อุปทาน (42%) และสินทรัพย์ที่จับต้องได้ ( 24%) ตั้งแต่ระดับปานกลางถึงมาก ซีอีโอในจีนรู้สึกเสี่ยงมากเป็นพิเศษ โดย 65% มองเห็นความเป็นไปได้ที่ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างต้นทุนของพวกเขา ขณะที่ 71% คิดว่าจะกระทบต่อซัพพลายเชน และ 56% มองว่าจะส่งผลต่อสินทรัพย์ที่จับต้องได้ ด้วยความตระหนักถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่จะมีต่อธุรกิจและสังคมในระยะยาว ซีอีโอส่วนใหญ่จึงได้ดำเนินการแล้ว หรืออยู่ในระหว่างการดำเนินแผนงานริเริ่มเพื่อลดการปล่อยมลพิษของบริษัท (65%) นอกเหนือไปจากคิดค้นผลิตภัณฑ์และกระบวนการใหม่ที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ (61%) หรือพัฒนากลยุทธ์ระดับองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเพื่อลดการปล่อยมลพิษและลดความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ (58%)
แม้ว่าปัจจุบันจะมีประเทศต่าง ๆ จำนวนมากขึ้นที่มีการกำหนดราคาคาร์บอนในบางรูปแบบ แต่ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ (54%) ยังไม่มีแผนที่จะนำราคาคาร์บอนภายในองค์กรมาใช้ในการตัดสินใจ และมากกว่าหนึ่งในสาม (36%) ไม่ได้วางแผนที่จะดำเนินแผนงานริเริ่มเพื่อปกป้องสินทรัพย์ที่จับต้องได้ของบริษัทและ/หรือพนักงานจากผลกระทบของความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ
ซีอีโอระบุถึงความจำเป็นในการร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่หลากหลายเพื่อสร้างความไว้วางใจและส่งมอบผลลัพธ์ที่ยั่งยืน หากองค์กรต้องการสร้างคุณค่าทางสังคมในระยะยาว การสำรวจพบว่า องค์กรเป็นพันธมิตรกับหน่วยงานที่ไม่ใช่ธุรกิจ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (54%) เพื่อความหลากหลาย ความเสมอภาค และการไม่แบ่งแยก (49%) และเพื่อการศึกษา (49%)
นอกจากนี้ หากต้องการที่จะยังคงดำรงอยู่ต่อไปได้ในระยะใกล้และระยะยาว องค์กรจะต้องลงทุนในบุคลากรและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเพื่อเสริมศักยภาพให้กับพนักงาน ในส่วนของเทคโนโลยี องค์กรเกือบสามในสี่ (76%) ระบุว่ากำลังลงทุนในกระบวนการและระบบอัตโนมัติ การใช้ระบบเพื่ออัปสกิลให้กับพนักงานในด้านที่สำคัญ (72%) การใช้เทคโนโลยี เช่น คลาวด์ AI และเทคโนโลยีขั้นสูงอื่น ๆ (69% )
อย่างไรก็ตาม ซีอีโอหลายคนตั้งคำถามว่า องค์กรของตนมีเงื่อนไขเบื้องต้นที่จำเป็นสำหรับการเสริมอำนาจองค์กรและการเป็นผู้ประกอบการหรือไม่ เช่น การปรับให้สอดคล้องกับค่านิยมทางธุรกิจ และการส่งเสริมให้เกิดการคัดค้านและการถกเถียงของผู้บริหาร เพื่อจัดการกับความท้าทายที่ซับซ้อนมากขึ้นที่องค์กรต้องเผชิญ ตัวอย่างเช่น มีเพียง 23% ของซีอีโอที่กล่าวว่า ผู้บริหารในบริษัทตัดสินใจเกี่ยวกับส่วนงานของตนโดยไม่ปรึกษาซีอีโออยู่บ่อยครั้งหรือเป็นปกติ นอกจากนี้ มีซีอีโอเพียง 46% เท่านั้นที่กล่าวว่าผู้บริหารในบริษัททนต่อความล้มเหลวในระดับเล็กน้อยได้บ่อยครั้ง/เป็นปกติ อย่างไรก็ดี ในส่วนของมุมมองบวกพบว่า ผู้ตอบแบบสำรวจเกือบ 9 ใน 10 (85%) กล่าวว่าพฤติกรรมของพนักงานมีความสอดคล้องกับค่านิยมและทิศทางของบริษัทโดยส่วนมาก/เป็นปกติ
เมื่อเลือกระหว่างความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงในระยะสั้นหรือระยะยาว ซีอีโอกล่าวว่าพวกเขากังวลกับการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานในปัจจุบัน (53%) มากกว่าการปรับเปลี่ยนธุรกิจและกลยุทธ์ของบริษัทเพื่อตอบสนองความต้องการในอนาคต (47%) อย่างไรก็ดี หากพวกเขาสามารถออกแบบตารางเวลาใหม่ได้ ซีอีโอกล่าวว่าพวกเขาจะใช้เวลามากขึ้นกับการพัฒนาธุรกิจและกลยุทธ์เพื่อตอบสนองความต้องการในอนาคต (57%)
ทั้งนี้ PwC สำรวจซีอีโอ 4,410 คนในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2565 ตัวเลขระดับโลกและระดับภูมิภาคในรายงานฉบับนี้มีการถ่วงน้ำหนักตามสัดส่วนต่อจีดีพีของประเทศหรือภูมิภาค เพื่อให้มั่นใจว่ามุมมองของซีอีโอเป็นตัวแทนของภูมิภาคหลักทั้งหมด ขณะที่ตัวเลขระดับอุตสาหกรรมและระดับประเทศอ้างอิงจากข้อมูลที่ไม่ถ่วงน้ำหนักจากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดของซีอีโอ 4,410 คน โดยดำเนินการสัมภาษณ์ซีอีโอจากสามภูมิภาคทั่วโลก (อเมริกาเหนือ ยุโรปตะวันตก และเอเชียแปซิฟิก)
อ้างอิง // PwC
อ่านเพิ่มเติม
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
The post PwC เผยซีอีโอทั่วโลก 73% เชื่อเศรษฐกิจหดตัวใน 12 เดือนข้างหน้า สะท้อนมุมมองลบที่สุดในรอบ 10 ปี first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/pwc-ceo-economics-research/
from:https://www.techtalkthai.com/6-logistics-trends-to-watch-in-2023/
PwC บริษัทให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก ประกาศปรับขึ้นเงินเดือน 9% ให้พนักงานในสหราชอาณาจักรหลายพันคน เพื่อช่วยพนักงานสู้วิกฤติเงินเฟ้อสูงที่สุดในรอบ 40 ปี และดึงดูดพนักงานหัวกะทิให้อยู่กับองค์กร
Kevin Ellis ประธาน PwC ในสหราชอาณาจักร แจ้งว่า จากจำนวนพนักงานทั้งหมดกว่า 20,000 คน จะมีครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้ได้รับเงินเดือนขึ้นอย่างน้อย 9% และอีก 70% ของพนักงานทั้งหมดจะได้รับเงินเดือนขึ้น 7% หรือมากกว่านั้น โดยการปรับเงินเดือนนี้มีผลกับพนักงานในระดับเริ่มต้น หรือ Entry-Level ด้วย
เหตุผลที่ PwC ขึ้นเงินเดือนให้พนักงานมาจากวิกฤติเงินเฟ้อในสหราชอาณาจักรเดือน พ.ค. 2022 พุ่งสูงถึง 9.1% มากที่สุดในรอบ 40 ปี ซึ่งการขึ้นเงินเดือนจะช่วยให้พวกเขาดำรงชีวิตได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยการันตีให้บริษัทดึงตัวพนักงานระดับหัวกะทิให้อยู่ในองค์กรได้นานขึ้น เพราะปัจจุบันมีหลายองค์กรจูงใจด้วยค่าตอบแทนที่มากกว่า
“เราไม่สามารถเพิกเฉยต่อวิกฤติ และอยากสร้างความมั่นใจว่าเงินเดือนของพนักงานระดับเริ่มต้นจะแข่งขันกับตลาดได้” Kevin Ellis กล่าว และเสริมว่าการขึ้นเงินเดือนนี้บริษัทต้องลงทุน 120 ล้านปอนด์ หรือราว 5,200 ล้านบาท และใช้อีก 138 ล้านปอนด์ หรือราว 6,000 ล้านบาท เพื่อให้โบนัสพนักงานในปีนี้ มากกว่าปีก่อน 10 ล้านปอนด์
ไม่ใช่แค่ PwC ที่ปรับฐานเงินเดือนให้พนักงาน เพราะในสหราชอาณาจักรมีสถาบันการเงิน Lloyds Bank ให้เงินพิเศษกับพนักงานเพื่อสู้กับวิกฤติเงินเฟ้อ แต่ถึงอย่างไรองค์กรส่วนใหญ่ที่นั่นยังประสบปัญหาเศรษฐกิจ และพนักงานต่างไม่ได้ปรับฐานเงินเดือนขึ้นแต่อย่างใด
การปรับเงินเดือนขึ้นไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาการใช้ชีวิตในวิกฤติเงินเฟ้อสูง แต่ช่วยดึงคนเก่ง ๆ ไว้ในองค์กรได้จริง เพราะถึงงานในองค์กร PwC จะขึ้นชื่อว่าหนัก แต่หากให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า พนักงานคนเก่งก็พร้อมที่จะอยู่ในองค์กร แถมพนักงานระดับเริ่มต้นก็อยากเข้ามาอยู่ในองค์กรนี้เช่นกัน
อ้างอิง // BBC
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
The post PwC ในสหราชอาณาจักร ประกาศขึ้นเงินเดือน 9% ช่วยพนักงานสู้วิกฤติเงินเฟ้อ first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/pwc-uk-salaries-rise/
จับตาการทำงานแบบใหม่ เมื่อ PwC ผู้ตรวจสอบบัญชียักษ์ใหญ่ ให้พนักงานเลือก Work From Home ถาวรได้ แต่ต้องแลกกับการลดเงินเดือนลงตามเขตที่พนักงานอยู่อาศัย
PwC บริษัทผู้ตรวจสอบบัญชีระดับ Big4 ของโลกประกาศว่าจะเปิดโอกาสให้พนักงานกว่า 40,000 ตำแหน่ง ได้เลือกว่าจะทำงานจากบ้านแบบตลอดไปหรือไม่ ตามความต้องการของตนเอง นี่คือหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงในโลกของการทำงานที่ใหญ่ที่สุด
Yolanda Seals-Coffield รองหัวหน้าฝ่ายบุคคล PwC กล่าวว่า PwC คือบริษัทแรกในอุตสาหกรรมที่เปิดโอกาสให้มีการทำงานทางไกลแบบเต็มเวลาสำหรับพนักงานฝ่ายบริการลูกค้า นอกจากนี้ PwC ยังได้สนับสนุนให้พนักงานในฝ่ายอื่นๆ เช่น ทรัพยากรบุคคล และฝ่ายกฎหมายที่ไม่จำเป็นต้องเข้าพบลูกค้ามีทางเลือกในการทำงานทางไกลแบบเต็มเวลาเช่นเดียวกัน
PwC ยังระบุในจดหมายถึงพนักงานถึงสาเหตุที่นำแนวทางการทำงานแบบใหม่มาใช้ว่าเป็นเพราะต้องการดึงดูดผู้มีสวรรค์และสร้างความหลากหลายให้มากขึ้น
พนักงานของ PwC ที่เลือกที่จะทำงานจากบ้านตลอดไปจะได้รับอนุญาตให้เข้าออฟฟิศได้สูงสุด 3 ครั้ง/เดือน สำหรับการเข้าประชุมทีมที่สำคัญๆ การเข้าพบลูกค้า หรือการเข้าอบรม Seals-Coffield ระบุ
และที่สำคัญ พนักงานที่เลือกที่จะทำงานทางไกลแบบ 100% จะต้องแลกด้วย 1 อย่าง นั่นก็คือ เงินเดือนที่ลดลง ตามเขตที่พนักงานอาศัยอยู่
แม้จะเปิดให้พนักงานทำงานทางไกลมากขึ้น แต่ PwC จะไม่ขายหรือลดขนาดออฟฟิศลง ในทางกลับกัน PwC จะเปลี่ยนแปลงการใช้ออฟฟิศใหม่โดยเน้นการใช้ออฟฟิศเพื่อการทำงานร่วมกันมากขึ้น
เป็นที่น่าจับตาว่าการทำงานในอนาคตจะเราจะเห็นการทำงานทางไกลแบบเต็มเวลาเพิ่มขึ้นหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ณ ปัจจุบันเราเริ่มเห็นกระแสการทำงานแบบนี้มาแรง เพราะก่อนหน้านี้ก็มี Google อีกหนึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เปิดโอกาสให้พนักงานได้ทางงานทางไกลแบบ 100% ด้วยเช่นกัน
หากการทำงานแบบนี้สามารถสร้างความแตกต่างได้ ช่วยให้พนักงานมีอิสระมากขึ้นโดยไม่กระทบกับผลิตภาพของการทำงาน ไม่แน่ว่าหลังจากนี้บริษัทอีกมากจะนำโมเดลนี้ไปใช้
ที่มา – Reuters
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
The post PwC ผู้ตรวจสอบบัญชียักษ์ใหญ่ ให้พนักงาน WFH ถาวรได้ แต่ได้เงินเดือนน้อยกว่าคนเข้าออฟฟิศ first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/pwc-push-full-time-wfh-policy/
PwC บริษัทที่ปรึกษารายใหญ่ของโลกประกาศแผนเพิ่มพนักงานในองค์กร 100,000 ตำแหน่ง โดยเป็นแผนระยะ 5 ปีขององค์กร
สายงานที่จะรับในแผนนี้คืองานด้านสิ่งแวดล้อม สายสังคม และการจัดการองค์กรด้านธรรมาภิบาล
แผนรับพนักงานเพิ่มในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนมูลค่ากว่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือกว่า 3.7 แสนล้านบาทที่ PwC จะลงทุนด้านการสรรหาบุคลากร อบรม และลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
ปัจจุบัน PwC มีพนักงานทั่วโลกทั้งหมดกว่า 284,000 ตำแหน่ง แผนนี้จะเพิ่มพนักงานใหม่เข้ามาอีกเกือบ 1 ใน 3 จากเดิมที่มีอยู่
Bob Moritz ประธานฝ่าย Global ของ PwC บอกว่า “เราลงทุนอย่างหนักในการสร้างตัวตน-รีแบรนด์ขององค์กร เพื่อทำให้เห็นว่าเรามีในสิ่งที่ลูกค้าและโลกต้องการ”
อย่างไรก็ตาม รายได้ต่อปีของ PwC บริษัทที่ปรึษาระดับโลกในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท (1 ใน 3 ของงบประมาณแผ่นดินไทย)
ส่วนประเด็นในวงการที่ปรึกษาระดับโลก รู้หรือไม่ว่าในยุคโควิด ทำงานหนักมาก จนหลายคนหมดไฟ อ่านได้ที่ งานหนัก หมดไฟ ทำไม่ไหว ลาออก: ปัญหาใหญ่ของวงการคอนซัลต์ พนักงาน burnout หนักมาก
ที่มา – FT
อ่านแผนแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน หรือ ESG (Environmental, Social, Governance) ของ PwC ได้ที่ ความรู้จักกับ ESG แนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเขียนโดย PwC ประเทศไทย
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
The post บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก PwC ประกาศแผนรับพนักงานเพิ่ม 100,000 ตำแหน่งภายใน 5 ปีนับจากนี้ first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/pwc-100k-hiring-plan/
PwC บริษัทที่ปรึกษาระดับโลกประกาศแผนการทำงานใหม่ โดยจะใช้รูปแบบการทำงานแบบไฮบริด หมายความว่า มีทั้งวันที่ทำงานจากบ้านและวันที่เข้าออฟฟิศมาทำงาน ซึ่งผู้เลือกคือพนักงานหรือทีมนั้นๆ ตกลงกันเอง นอกจากนั้นที่ถือเป็นเรื่องใหม่ในวงการการทำงานคือนับจากนี้ต่อไปจะอนุญาตให้พนักงานเลือกเวลาในการเริ่มงานและเลิกงานเองในแต่ละวันได้
Kevin Ellis ประธานของ PwC บอกว่า เราต้องสร้างรูปแบบการทำงานใหม่ขึ้นมา และรูปแบบการทำงานใหม่ที่ว่านี้จะต้องทำให้พนักงานมีอิสระมากขึ้น นี่คือบรรทัดฐานใหม่ที่ทำร่วมกัน ไม่ใช่ความคาดหวังอีกต่อไป เพราะถึงที่สุดแล้ว เราต้องการสร้างความเชื่อมั่นและทำให้คนในองค์กรมีพลังในการทำงาน
“โลกการทำงานในอนาคตเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ดังนั้นในฐานะองค์กร เราก็ต้องปรับตัวให้ทันเพื่อตอบโจทย์ทั้งพนักงานและกลุ่มลูกค้าของเรา”
PwC ถือเป็น Big Four รายแรกที่ออกมาบอกให้พนักงานสามารถเริ่มและเลิกงานในแต่ละวันได้อย่างอิสระ ขอแค่ให้มีผลงานสำเร็จเป็นรูปธรรม ทางบริษัทต้องการทำลายวิถีการทำงานแบบเดิมที่เป็น 9 to 5 ซึ่งหมายถึงการทำงานแบบ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น
นอกจากนั้น PwC ประกาศว่าในช่วงซัมเมอร์ปีนี้ (กรกฎาคม – สิงหาคม 2021) จะให้พนักงานทำงานแค่ครึ่งวันเท่านั้นในทุกวันศุกร์ จะได้มีเวลาเหลือไปทำอย่างอื่นในชีวิต
ท่าทีของบริษัทคอนซัลต์ยักษ์ใหญ่ถือเป็นเรื่องที่ดีในวงการการทำงาน เพราะก่อนหน้านี้ ประเด็นเรื่องการทำงานหนักในวงการคอนซัลต์เป็นเรื่องใหญ่ระดับโลก บางคนต้องทำงานถึง 100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ คิดแล้วตกประมาณวันละไม่ต่ำกว่า 14 ชั่วโมง
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
The post PwC คือ Big Four รายแรกที่บอกพนักงานว่า จะเริ่มงาน-เลิกงานตอนไหนก็ได้ ส่วนวันศุกร์ทำงานแค่ครึ่งวันพอ first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/pwc-new-woking-style/
PwC เผย ช่วงครึ่งหลังปี 63 จำนวนการควบรวมกิจการ หรือ M&A เพิ่มขึ้น 18% ทั่วโลกจากการพยายามปรับตัวของธุรกิจ ซึ่งข้อตกลงส่วนมากมีมูลค่าค่อนข้างสูงโดยเฉพาะข้อตกลงในกลุ่มเทคโนโลยีและโทรคมนาคมที่มูลค่าข้อตกลงช่วงครึ่งหลังปี 63 เพิ่มขึ้นเป็น 118% และ 300% ตามลำดับ
PwC บริษัทที่ปรึกษาด้านบัญชีเผยตัวเลขการทำ Mergers and Acquisitions (M&A) หรือการควบรวมกิจการของบริษัทต่างๆ เพิ่มขึ้นสูงขึ้นทั่วโลกในช่วงครึ่งหลังปี 63 โดยมีการทำข้อตกลงเพิ่มขึ้น 18% และมีการเพิ่มขึ้นของมูลค่าข้อตกลงมากถึง 94% จากการทำข้อตกลงขนาดใหญ่ที่มีมูลค่ามากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
PwC มองว่าการเพิ่มขึ้นของมูลค่าและจำนวนข้อตกลง M&A มีสาเหตุมาจากการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้หลายธุรกิจต้องกลับมาประเมินทางรอดของตัวเองและเร่งเดินหน้าปรับตัวเพื่อยกระดับธุรกิจให้สามารถอยู่รอดต่อไปได้โดยเฉพาะในด้านการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งการควบรวมกิจการเป็นวิธีการปรับตัวนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ที่รวดเร็วที่สุด
ข้อมูลจากรายงานวิเคราะห์ Global M&A Industry Trends ของ PwC ระบุว่า เฉพาะในช่วงครึ่งหลังปี 63 บริษัทต่างๆ ได้ทำข้อตกลง M&A ขนาดใหญ่ไปทั้งหมด 56 ครั้งเพิ่มขึ้นเกินเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 63 ที่มีการทำ M&A ขนาดใหญ่ 27 ครั้ง โดยอเมริกาเป็นทวีปที่มีมูลค่าการควบรวมเพิ่มขึ้นสูงสุด คือ 200% และมีการเพิ่มขึ้นของ M&A 20% ขณะที่โซนยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชียแปรซิฟิกมีจำนวนการควบรวมเพิ่มขึ้น 17%
อุตสาหกรรมที่มีการทำ M&A มากที่สุดในช่วงครึ่งปีหลังคือภาคเทคโนโลยีและโทรคมนาคม โดยภาคเทคโนโลยีมีการควบรวมกิจการเพิ่มขึ้น 34% และมีมูลค่าการทำข้อตกลงเพิ่มขึ้น 118% ขณะที่ภาคโทรคมนาคมมีจำนวนข้อตกลงเพิ่มขึ้น 15% และมีมูลค่าการทำข้อตกลงเพิ่มประมาณ 300% จากการทำข้อตกลงขนาดใหญ่ทั้งหมด 3 ฉบับ
อย่างไรก็ตาม PwC มองว่ากระแสการควบรวมกิจการที่เกิดขึ้นนอกจากแรงกระตุ้นจากโควิด-19 ที่ทำให้เกิดการแย่งชิงสินทรัพย์ทางดิจิทัลและเทคโนโลยีในตลาดกันอย่างดุเดือด ธุรกิจต่างๆ ยังมองการลงทุนใน M&A เป็นช่องทางในการเพิ่มมูลค่าและสร้างผลตอบแทนทางธุรกิจสำหรับการเปลี่ยนแปลงของเทรนในอนาคตเช่นกัน
เพิ่มเติมการควบรวมกิจการที่ผ่านมา:
Gojek เจรจาเพื่อควบรวมกิจการกับ Tokopedia อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของอินโดนีเซีย และมีแผน IPO เร็วๆ นี้
Fiat Chrysler-Groupe PSA ควบรวมกิจการในชื่อ Stellantis เสร็จสิ้นวันที่ 16 ม.ค. 2564
Peloton ทุ่ม 12,700 ล้านบาท ควบรวมกิจการผู้ผลิตเครื่องออกกำลังกาย Precor
LINE MAN ควบรวม Wongnai รับเงินลงทุนกว่า 3,300 ล้านบาทจาก BRV Capital Management
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
The post PwC เผย ช่วงครึ่งหลังปี 63 ธุรกิจปรับตัว ดีล M&A เพิ่มขึ้น 18% ทั่วโลก กลุ่มเทคฯ-โทรคมสูงสุด first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/pwc-m-and-a-2020-increase/
Deloitte หนึ่งในบริษัท Big Four ของวงการบัญชี-ที่ปรึกษาระดับโลก เตรียมประกาศปลดพนักงานจำนวนกว่า 5,000 ตำแหน่ง หลังเจอวิกฤตโควิดและเศรษฐกิจชะลอตัว
Dan Helfrich ซีอีโอบริษัท Deloitte ให้สัมภาษณ์ว่า บริษัทกำลังพิจารณาปลดพนักงานโดยคาดว่าจะทำการปลดออกประมาณ 5% (คิดเป็นจำนวน 5,300 ตำแหน่ง) ของพนักงานในสหรัฐอเมริกาซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 106,000 ตำแหน่ง
Bloomberg รายงานว่าพนักงานกลุ่มแรกที่จะถูกปลดคือ “ฝ่ายที่ปรึกษาทางธุรกิจ” จำนวนกว่า 2,500 ตำแหน่ง เนื่องจากไม่มีงานในช่วงที่ผ่านมาสักระยะแล้วซึ่งเป็นผลจากวิกฤตโควิด
Jonathan Gandal หนึ่งในโฆษกของ Deloitte กล่าวว่า การปลดพนักงานในครั้งนี้เป็นไปตามแผนการบริหารของบริษัท โดยยืนยันว่าภาพรวมของบริษัทยังคงเป็นไปในทิศทางที่ดี ส่วนการปลดพนักงานในครั้งนี้ บริษัทได้พยายามคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับพนักงานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว
แม้หนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Deloitte จะประกาศปลดพนักงาน 5% ในสหรัฐฯ แต่เพื่อนร่วมวงการรายอื่นๆ อย่าง PwC, EY หรือ KPMG ยังไม่มีความเคลื่อนไหวเรื่องการปลดพนักงานแต่อย่างใด มาตรการที่ใช้กันส่วนใหญ่อย่างหนักที่สุดมีเพียงปรับลดเงินเดือนเท่านั้น
ที่มา: ฺฺBloomberg, CRN, Big4 Accounting Firms
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
ปัญหาทางการเงินส่งผลต่อการเลิกจ้างงานเยอะขึ้น แน่นอนว่ากลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ผู้บริหารระดับ CFO ตัดสินใจว่าจะต้องเลิกจ้างพนักงานเพื่อรับมือกับผลกระทบทางการเงินที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19
PwC เผยผลสำรวจความคิดเห็นของซีเอฟโอและผู้บริหารฝ่ายการเงินสหรัฐฯ และเม็กซิโกพบมีแผนเลิกจ้างพนักงาน หรือ สั่งพักงานเพิ่มมากขึ้น ชี้ซีเอฟโอส่วนใหญ่เลือกใช้มาตรการควบคุมต้นทุน ชะลอ หรือยกเลิกแผนการลงทุนหลังกังวลวิกฤตโควิด-19 กระทบต่อผลการดำเนินงานและสภาพคล่อง
ด้าน PwC ประเทศไทย ประเมินมีบริษัทหลายรายที่ต้องการได้รับความช่วยเหลือจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมถึงมาตรการเยียวยาอื่น ๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับธุรกิจ แนะบริษัทไทยเร่งเตรียมแผนการไว้เผื่อรับมือกับสถานการณ์ที่อาจยืดเยื้อในระยะยาว
PwC เผยผลสำรวจ COVID-19 CFO Pulse Survey ครั้งที่ 3 พบว่า 26% ของประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน หรือ ซีเอฟโอ (Chief Financial Officer: CFO) ในสหรัฐอเมริกาคาดว่า จะต้องมีการเลิกจ้างพนักงาน ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจาก2 สัปดาห์ก่อนที่ PwC ทำการสำรวจความคิดเห็นของซีเอฟโอสหรัฐฯ และเม็กซิโกที่ 16%
ในขณะที่การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ยังคงยืดเยื้อต่อไปในปี 2563 ผลกระทบทางการเงินได้กลายเป็นปัจจัยความกังวลอันดับแรกในกลุ่มผู้บริหารฝ่ายการเงิน โดย 75% ของซีเอฟโอชี้ว่า ตนมีความกังวลว่า วิกฤตโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและสภาพคล่องทางการเงินของบริษัท
โดยในเวลานี้ 82% ของซีเอฟโอได้มุ่งเน้นไปที่การควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่าย ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับการสำรวจเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน นอกจากนี้ 2 ใน 3 (67%) ของผู้ถูกสำรวจ ยังมีการพิจารณาที่จะชะลอ หรือยกเลิกแผนลงทุนที่วางไว้ โดยบริษัทส่วนใหญ่ต้องการควบคุมต้นทุนด้วยการชะลอการลงทุนด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนเพื่อสินทรัพย์ทั่วไป รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ บุคลากร และอื่น ๆ
“ในขณะที่ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของไวรัสยังคงดำเนินต่อไป การพูดคุยกันในประเด็นเรื่องของกำลังแรงงานก็เปลี่ยนไปด้วย”
นาย ทิม ไรอัน ประธาน และหุ้นส่วนอาวุโส PwC สหรัฐอเมริกา กล่าวอีกว่า “ผู้นำธุรกิจหลายรายที่ผมได้พูดคุยด้วยต้องการทำทุกอย่างเท่าที่พวกเขาจะสามารถทำได้ เพื่อปกป้องพนักงานของพวกเขา อย่างไรก็ดี เราพบว่า การที่ธุรกิจประสบกับปัญหาการขาดกระแสรายได้ตามปกติ ทำให้ผู้บริหารจำนวนมากตกอยู่ในที่นั่งลำบากที่ต้องตัดสินใจในเรื่องการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร ซึ่งน่าเป็นห่วงว่า ในระยะต่อไปจะยิ่งเป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับหลายบริษัทที่จะหลีกเลี่ยงการไม่ลดจำนวนพนักงานท่ามกลางความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดที่ไม่มีใครรู้ว่าจะกินระยะเวลายาวนานแค่ไหน”
ทั้งนี้ แนวโน้มของการเลิกจ้างพนักงานที่เพิ่มขึ้นยังเห็นได้จากการที่ผู้ถูกสำรวจส่วนใหญ่ (81%) คาดว่า โควิด-19 จะทำให้รายได้และ/หรือกำไรของบริษัทของตนลดลงในปีนี้ นอกจากนี้ สัดส่วนของผู้บริหารฝ่ายการเงิน (61%) ที่เชื่อว่า ธุรกิจของตนจะสามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ภายใน 3 เดือนหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สิ้นสุดลงทันที ก็ปรับตัวลดลงจากการสำรวจเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนด้วยเช่นกัน
ผลสำรวจซีเอฟโอของ PwC ยังพบว่า ผลกระทบของการแพร่ระบาดต่อการจ้างงานในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นแตกต่างกันออกไป โดยผู้บริหารฝ่ายการเงินในกลุ่มบริการทางการเงิน (Financial Services) เพียง 13% เท่านั้นที่คาดว่า จะมีการเลิกจ้างเปรียบเทียบกับซีเอฟโอในกลุ่มผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (Industrial Products) ที่ 36% และตลาดผู้บริโภค (Consumer Markets) ที่ 30% ที่คาดว่า จะมีการเลิกจ้างมากกว่า
“บริษัทต่างกำลังลดค่าใช้จ่ายและชะลอแผนการลงทุนด้านเทคโนโลยี กำลังแรงงาน และค่าใช้จ่ายในการลงทุนซื้อสินทรัพย์มาเพื่อใช้ในการดําเนินงานของบริษัท เพื่อให้สามารถผ่านพ้นพายุทางเศรษฐกิจที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในครั้งนี้ไปให้ได้”
นางสาว เอมิที มิลไฮเซอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายลูกค้า ของ PwC กล่าว “ก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดในครั้งนี้ ธุรกิจจำนวนมากมุ่งเน้นไปที่การเติบโตในระยะยาว แต่ในเวลานี้ พวกเขาถูกบีบบังคับให้คิดถึงสถานการณ์ในระยะสั้นและการปกป้องผลกำไรเป็นหลัก”
ด้าน นาย นิพันธ์ ศรีสุขุมบวรชัย หัวหน้าสายงาน Clients and Markets หัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจครอบครัว และหุ้นส่วนสายงานภาษีและกฎหมาย บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวว่า สำหรับผลสำรวจความคิดเห็นของซีเอฟโอครั้งที่ 3 นี้ PwC ยังได้จัดทำผลสำรวจฉบับรวม (All countries’ findings) ซึ่งได้ทำการสอบถามมุมมองความคิดเห็นของซีเอฟโอจำนวน 824 รายในช่วงระหว่างสัปดาห์ที่ 6 เมษายน ที่ผ่านมา
โดยมีผู้ถูกสำรวจจาก 21 อาณาเขตและประเทศต่าง ๆ ประกอบด้วย อาร์เมเนีย, บราซิล, โคลัมเบีย, สาธารณรัฐเช็ก, เดนมาร์ก, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, กรีซ, ไอร์แลนด์, ญี่ปุ่น, คาซัคสถาน, เม็กซิโก, ตะวันออกกลาง[1], เนเธอร์แลนด์, ฟิลิปปินส์, โปรตุเกส, สิงคโปร์, สวีเดน, สวิตเซอร์แลนด์, สหรัฐอเมริกา และไทยว่า ซีเอฟโอส่วนใหญ่ (74%) ที่ถูกสำรวจเหล่านี้มีความกังวลต่อผลกระทบทางธุรกิจที่เกิดขึ้นจากโควิด-19
ขณะที่ 80% คาดว่า รายได้ของพวกเขาในปี 2563 จะลดลงจากผลกระทบวิกฤตโควิด-19 สอดคล้องกับประมาณการทางเศรษฐกิจของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ (International Monetary Fund: IMF) ที่คาดว่า รายได้ต่อหัวของประชากรในกว่า 170 ประเทศทั่วโลกจะลดลงในปีนี้เช่นกัน
การควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายกลายเป็นมาตรการสำคัญอันดับที่ 1 ที่ซีเอฟโอทั่วโลกรวมทั้งไทยนำมาใช้ในเวลานี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นอกเหนือไปจากการชะลอ หรือยกเลิกแผนลงทุน ในส่วนของผลกระทบต่อแรงงานในระยะสั้นนั้น ความกังวลของซีเอฟโอยังคงเป็นเรื่องความสามารถในการผลิตที่อาจจะลดลงจากการปิดโรงงาน หรือหากเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสในวงกว้าง ซึ่งนี่ยังส่งผลให้ต้องมีการสั่งพักงาน รวมถึงการเลิกจ้างพนักงานในบางกรณีด้วย
“เป็นที่แน่ชัดว่าเมื่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงดำเนินต่อไป บริษัทต่าง ๆ จำเป็นต้องวางแผนรับมือในช่วงภาวะวิกฤต โดยในตอนนี้มีบริษัทหลายรายในไทยที่ต้องการได้รับการช่วยเหลือจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมถึงมาตรการเยียวยาอื่น ๆ เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับธุรกิจของพวกเขา สำหรับบริษัทที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นบริหารจัดการภาวะวิกฤติและยังไม่มีแผนในการฟื้นฟูกิจการ ควรต้องเร่งสรุปแผนปฏิบัติการในระยะต่าง ๆ รวมทั้งเตรียมแผนระยะยาวไว้เผื่อรับมือกับสถานการณ์ที่อาจยืดเยื้อด้วย”