คลังเก็บป้ายกำกับ: Internet

nginx 1.25 รองรับ HTTP/3 ระดับทดลอง

nginx เว็บเซิร์ฟเวอร์ยอดนิยม เริ่มรองรับ HTTP/3 เป็นฟีเจอร์ระดับทดลองในเวอร์ชั่น 1.25 หลังจากมาตรฐาน HTTP/3 ออกตัวจริงมาตั้งแต่กลางปี 2022 ที่ผ่านมา

ที่จริงแล้วโค้ดรองรับ HTTP/3 ถูกพัฒนาใน nginx มานานแล้ว โดยเวอร์ชั่นทดลองแรกมีมาตั้งแต่ปี 2020 แต่ยังเป็นโค้ดแยกออกจากโครงการหลัก ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฟีเจอร์นี้เข้ามาใน nginx ตัว mainline แต่กระนั้นโดยดีฟอลด์แล้วฟีเจอร์นี้ก็จะไม่ถุกคอมไพล์มาด้วย ผู้ที่ต้องการใช้งานต้องเพิ่มออปชั่น --with-http_v3_module เองตอนคอมไพล์

เมื่อเปิดใช้งานแล้ว ต้องคอนฟิกพอร์ตแยกจากปกติ โดยระบุเป็นโปรโตคอล QUIC เนื่องจาก HTTP/3 นั้นใช้พอร์ต UDP แทนที่ TCP

HTTP/3 เน้นความเร็วในการเชื่อมต่อ โดยระยะเวลาที่เริ่มได้รับไบต์แรกที่เป็นข้อมูลเว็บจริงๆ จะสั้นกว่า HTTPS เดิมอย่างมาก โดยเฉพาะการเชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์ที่เคยเชื่อมต่อมาก่อนแล้ว

ที่มา – nginx

Topics: 

from:https://www.blognone.com/node/133994

Samsung เปลี่ยนใจหันกลับมาเลือก Google เหมือนเดิม

Samsung เปลี่ยนใจหันกลับมาเลือก Google เหมือนเดิม

Samsung กลับมาจับมือกับ Google อีกครั้งในการใช้ Google เป็นเบราว์เซอร์เริ่มต้นในการค้นหา หลังจากก่อนหน้านี้มีข่าวว่าจะหันไปจับมือกับ Bing

แอปเบราว์เซอร์ในการค้นหา Internet ของซัมซุง (Samsung) มีพันธสัญญาอย่างยาวนานกับ Google ในการตั้งให้ Google เป็น Search Engine แรกเริ่ม แต่เมื่อไม่นานมานี้สัญญาดังกล่าวได้หมดลงทางซัมซุงเลยมีการพิจารณาตัวเลือกใหม่อย่าง Bing ที่กำลังมาแรงในด้านของ AI

Advertisementavw

ทางแหล่งข่าว The Verge ได้ระบุว่าในตอนแรกได้ยินข่าวการเปลี่ยนแปลงไปใช้ Bing ครั้งนี้คิดว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบมากนักเนื่องจากผู้ใช้โทรศัพท์ซัมซุงส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้แอป Internet ของซัมซุงในการค้นหาเป็นหลักอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ทางซัมซุงอาจมีความกังวลในด้านของความสัมพันธ์กับ Google และแนวโน้มการตลาดที่อาจจะเปลี่ยนไปเพราะมี AI เข้ามาเกี่ยวข้องก็ได้

ในงาน Google I/O ที่ผ่านมาเพิ่งเปิดตัว Bard AI ที่ค่อนข้างจะสูสีกับ ChatGPT (อาจจะได้เปรียบคู่แข่งนิดหน่อยในเรื่องของ Google Workspace) ด้วยฟีเจอร์มากมายที่เปิดตัวออกมา ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทางซัมซุงกลับมาสนใจและจับมือกับพันธมิตรเดิมอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าทางซัมซุงจะไม่เปลี่ยนใจไปหา Bing ได้อีกในอนาคต

ที่มา: The Verge

from:https://notebookspec.com/web/702798-samsung-is-sticking-with-google

ฟีเจอร์นี้ใช้ได้ กูเกิลเปิดตัว Baseline รวมฟีเจอร์เว็บที่รองรับกันโดยทั่วไปแล้ว

ปัญหาของนักพัฒนาเว็บช่วงหลังที่เจอกันบ่อยคือแม้จะมี API ใหม่ๆ ให้ใช้งาน และหลายครั้งออกเป็นมาตรฐานแล้ว แต่เบราว์เซอร์แต่ละยี่ห้อก็รองรับไม่พร้อมกัน ทำให้นักพัฒนาต้องมาระวังว่าอะไรใช้ได้ไม่ได้ ที่ผ่านมาแม้จะมีการจัดมาตรฐานมาทำเป็นชุดทดสอบ เช่น Interop แต่สุดท้ายนักพัฒนาก็ต้องมาดูเองอยู่ดีว่าเบราว์เซอร์ใดผ่านข้อไหนบ้าง ในงาน Google I/O ปีนี้กูเกิลจึงเปิดตัว Baseline โลโก้แจ้งนักพัฒนาว่าฟีเจอร์ใดพร้อมใช้งานโดยทั่วไปแล้ว

เงื่อนไขที่ฟีเจอร์จะได้เข้า Baseline คือฟีเจอร์นั้นต้องได้รับซัพพอร์ตจาก Chrome, Edge, Firefox, และ Safari มาแล้วสองเวอร์ชั่น คือเวอร์ชั่นปัจจุบัน และเวอร์ชั่นก่อนหน้า ทำให้ค่อนข้างมั่นใจได้ว่าผู้ใช้ที่ใช้ฟีเจอร์นี้ไม่ได้จะเหลือน้อยแล้ว

แนวทางนี้ทำให้โครงการต่างๆ สามารถเลือกใช้ฟีเจอร์โดยระบุว่าจะซัพพอร์ต Baseline แทนที่จะระบุเวอร์ชั่นเบราว์เซอร์ตายตัว และเมื่อมีฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้เข้า Baseline ก็ใช้งานได้ทันที นอกจากนี้ทีมงานยังตัดเวอร์ชั่นรายปี เช่น ปลายปีนี้จะตัดฟีเจอร์ออกมาเป็น Baseline 2024 สำหรับโครงการที่ต้องการล็อกฟีเจอร์ที่ใช้งานได้ และไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานบ่อยๆ

ตอนนี้ MDN และ web.dev จะแสดงโลโก้ Baseline ในฟีเจอร์ที่เข้าข่าย และอนาคตจะมีเครื่องมือสำหรับแสดงว่าไลบรารีใดใช้ฟีเจอร์ตาม Baseline รวมถึงบทความแนะนำต่างๆ ว่าไม่ได้แนะนำให้ใช้ฟีเจอร์เกิน Baseline

ที่มา – web.dev

No Description

from:https://www.blognone.com/node/133804

การควบรวมกิจการของ DTAC และ TrueMove H ทำให้ความเร็ว 5G เพิ่มขึ้น และมอบประสบการณ์วิดีโอดีขึ้น [Guest Post]

โดย โรเบิร์ต วิซีคอฟสกี้ นักวิเคราะห์อาวุโส Opensignal

ประเทศไทย, 10 พฤษภาคม 2566 – ข้อมูลจาก Opensignal แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้ได้สัมผัสกับความเร็ว 5G ที่สูงขึ้นพร้อมได้รับประสบการณ์วิดีโอ 5G ที่ดียิ่งขึ้นเมื่อเชื่อมต่อผ่านย่านความถี่ n41 (2.6GHz) และมีผู้ใช้ย่านความถี่นี้กันมากขึ้นซึ่งเป็นความถี่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการของ DTAC และ TrueMove H ส่งผลให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ดียิ่งขึ้น

การวิเคราะห์ครั้งใหม่นี้ Opensignal ได้เปรียบเทียบประสบการณ์การเชื่อมต่อ 5G ของผู้ใช้สมาร์ทโฟนบนเครือข่ายมือถือของผู้ให้บริการต่าง ๆ ของประเทศไทยในเดือนธันวาคม 2565 และเดือนมีนาคม 2566 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนและหลังการสิ้นสุดกระบวนการการควบรวมกิจการระหว่าง DTAC และ TrueMove H ในเดือนมีนาคม 2566

ผู้ใช้เครือข่าย AIS ได้รับประสบการณ์การเชื่อมต่อ 5G ด้วยความเร็วเฉลี่ยสูงสุดด้วยคลื่นความถี่ 42.7 MHz จึงเป็นเครือข่ายที่มีความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุด ขณะเดียวกันเมื่อเดือนธันวาคม 2565 ผู้ใช้เครือข่าย DTAC ได้พบกับความเร็ว 5G ในระดับต่ำมาก เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ให้บริการเครือข่ายอีกสองรายในประเทศไทย ทว่าช่วงเวลาของการควบรวมกิจการในเดือนมีนาคม 2566 เราสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงด้านความเร็วอย่างมีนัยยะของประสบการณ์ต่าง ๆ ของ DTAC เมื่อผู้ใช้เชื่อมต่อผ่านย่านความถี่ 2.6GHz

ผู้ให้บริการเครือข่ายในประเทศไทยใช้ย่านความถี่ 5G อยู่สองประเภทคือย่านความถี่ n28 (700MHz) และย่านความถี่ n41 (2.6 GHz) โดยแบบแรกจะให้ความถี่ครอบคลุมในช่วงกว้างกว่าและแบบที่สองจะให้ความจุข้อมูลสูงกว่า สิ่งนี้เองที่ทำให้มีปริมาณข้อมูลและความเร็วที่เพิ่มขึ้นสำหรับผู้ใช้มือถือ

มีความแตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญของการถือครองคลื่นความถี่ของผู้ให้บริการเครือข่ายทั้งสามรายในประเทศไทย ขณะที่ AIS และ TrueMove H เป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ความถี่ 100 MHz และ 90 MHz ในความถี่ 2.6GHz นั้น DTAC กลับไม่ได้ถือครองกรรมสิทธิ์ในคลื่นความถี่ใดในย่านความถี่นี้ใน การประมูลคลื่นความถี่ประจำปี 2563 — จึงเป็นผลทำให้สามารถกระจายสัญญาณ 5G ในย่านความถี่ 700 MHz ได้เท่านั้น โดยข้อมูลนี้เป็นข้อมูลที่เราสังเกตมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 และในรายงานประสบการณ์เครือข่ายมือถือประจำประเทศไทยครั้งล่าสุดนี้ ที่ผู้ใช้เครือข่าย DTAC ของเรา ได้พบกับค่าเฉลี่ยความเร็วในการดาวน์โหลด 5G ในระดับต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับการเชื่อมต่อบน AIS และ TrueMove H ประมาณ 30Mbps 

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปในเดือนมีนาคม 2566 ในช่วงการสิ้นสุดกระบวนการการควบรวมกิจการระหว่าง DTAC และ TrueMove H  ขณะที่ทั้งสองบริษัทยังไม่ได้ถูกควบรวมให้อยู่ภายใต้เครื่องหมายการค้า True Corp ใหม่อย่างเต็มรูปแบบและการควบรวมเครือข่ายยังคงอยู่ในขั้นตอนการดำเนินงาน เราสังเกตเห็นว่าผู้ใช้ 5G บนเครือข่าย DTAC ในย่านความถี่ 2.6 GHz ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ TrueMove H ในเวลานี้ได้รับประสบการณ์ความเร็วในการดาวน์โหลด 5G เป็น 105.7 Mbps ซึ่งมีความเร็วสูงกว่าย่านความถี่ 700 MHz ถึงสามเท่า ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ ในเดือนมีนาคม 2566 ค่าเฉลี่ยโดยรวมในการดาวน์โหลด 5G ของ DTAC เพิ่มขึ้น 2.8 เท่า หากเทียบกับในเดือนธันวาคม 2565 แล้วนับว่ามีความเร็วเพิ่มขึ้นจาก 29.6Mbps เป็น 82.1Mbps สิ่งที่น่าสนใจคือ ความเร็วในการดาวน์โหลด 5G ของ TrueMove H บนความถี่ 2.6GHz นั้นลดลงจากในเดือนธันวาคม 2565 ที่ 102.5Mbps เหลือเพียง 83.9Mbps ในเดือนมีนาคม 2566 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการใช้ย่านความถี่ 2.6GHz ร่วมกันของทั้งสองบริษัท

Opensignal ได้พิจารณาพัฒนาการด้านแบนด์วิธคลื่นความถี่โดยเฉลี่ยของการเชื่อมต่อ 5G บนเครือข่ายของผู้ให้บริการในประเทศไทยระหว่างเดือนธันวาคม 2565 และเดือนมีนาคม 2566 พบว่าแบนด์วิธคลื่นความถี่ 5G โดยเฉลี่ยของเครือข่าย DTAC เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 19.5MHz ในเดือนธันวาคม 2565 เป็น 22.9MHz ในเดือนมีนาคมซึ่งเพิ่มขึ้น 3.4MHz (17.1%) นับตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นมา สำหรับผู้ใช้ที่เชื่อมต่อ 5G บนเครือข่าย AIS และ TrueMove H นั้นยังไม่พบการเปลี่ยนแปลงทางสถิติของค่าเฉลี่ยแบนด์วิธคลื่นความถี่ใด ๆ ในช่วงเดือนดังกล่าว

เมื่อพิจารณาสัดส่วนของการเปลี่ยนแปลงของ 5G ต่อย่านความถี่ในเดือนธันวาคม 2565 และเดือนมีนาคม 2566 ของผู้ให้บริการเครือข่ายต่าง ๆ แล้ว พบว่าเครือข่าย DTAC มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากโดยเปลี่ยนจากความถี่ 700MHz (n28) เป็น 2.6 GHz (n41) ขณะที่ในเดือนธันวาคม 2565 นั้น DTAC ยังคงใช้คลื่นความถี่ 700MHz ให้บริการ 5G แต่ในเดือนมีนาคม 2566 ในการอ่านค่า 5G ของเครือข่าย DTAC พบว่ามีการให้บริการบนคลื่นความถี่ 2.6GHz เพิ่มขึ้นเกือบ 80% ซึ่งเราไม่พบการเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้กับเครือข่าย AIS และ TrueMove H ด้วยสัดส่วนของ 5G ในคลื่นความถี่ 700MHz ยังคงเป็นไปอย่างปรกติทั้งในเดือนธันวาคม 2565 และเดือนมีนาคม 2566 ซึ่งอยู่ในช่วง 8.6% และ 15.2% ตามลำดับ

แบนด์วิธความถี่ที่เพิ่มขึ้นไม่เพียงแต่ทำให้ความเร็วในการดาวน์โหลด 5G สูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยพัฒนาคุณภาพการบริการมือถือในด้านอื่น ๆ อีกด้วย Opensignal ได้วิเคราะห์คะแนนด้านประสบการณ์วิดีโอ 5G ตามคลื่นความถี่ 5G ที่ผู้ให้บริการเครือข่ายในประเทศไทยใช้เป็นหลัก พบว่าการเชื่อมต่อ 5G บนย่านความถี่ 2.6MHz ทำให้ผู้ใช้ 5G ชาวไทยได้รับประสบการณ์วิดีโอที่ดีกว่าการเชื่อมต่อบนย่านความถี่ 700MHz ด้วยค่าคะแนนที่แตกต่างกันในเดือนมีนาคม 2566 ในช่วงคะแนน 2.9 และ 3.2 สำหรับ DTAC และ TrueMove H ตามลำดับและ 6 คะแนนสำหรับ AISเช่นเดียวกับด้านความเร็วในการดาวน์โหลด 5G ในเดือนธันวาคม 2565 Opensignal ยังไม่พบการให้บริการ 5G บนย่านความถี่ 2.6GHz ของ DTAC แต่เดือนมีนาคม 2566 เราพบว่ามีการเชื่อมต่อ 5G บนเครือข่าย DTAC บนย่านความถี่นี้ และยังได้รับคะแนนประสบการณ์วิดีโอ 5G ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าการเชื่อมต่อบนย่านความถี่ 700MHz

ผู้ให้บริการรายใหม่มีศักยภาพเขย่าตลาดมือถือ

​เราพบว่าในประเทศอื่น ๆ ที่มีผู้ให้บริการรายใหม่เกิดขึ้นจากการควบรวมกิจการได้เปลี่ยนตำแหน่งของตนเองไปอย่างสิ้นเชิง จากการวิเคราะห์ล่าสุดถึงแนวโน้มการแข่งขันในอิตาลี แสดงให้เห็นว่าการควบรวมกิจการของ Wind และ Tre ในปี 2563 นำไปสู่การเกิดขึ้นของผู้ให้บริการใหม่ที่พลิกโฉมตลาดอิตาลีได้และยังคว้ารางวัลประสบการณ์เครือข่ายมือถืออีกหลายรางวัลในรายงานของ Opensignal

AIS ครองรางวัลในรายงานประสบการณ์เครือข่ายมือถือของประเทศไทยจาก Opensignal ที่เผยแพร่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 และ พฤศจิกายน 2565 โดยคว้ารางวัลชนะเลิศด้านความเร็ว 5G และรางวัลด้านประสบการณ์ทั้งหมด ส่วน DTAC และ TrueMove H จากกรณีการควบรวมกิจการที่ทำให้มีกรรมสิทธิ์ในคลื่นความถี่และโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนฐานผู้ใช้ที่มากขึ้น ทำให้บริษัทกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของ AIS ในด้านประสบการณ์เครือข่ายมือถือ

เกี่ยวกับ Opensignal 

เป็นผู้ให้บริการอิสระระดับโลกด้านข้อมูลเชิงลึกและประสบการณ์เครือข่ายที่ผสมผสาน รวมถึงข้อมูลภาพรวมการเติบโต การให้บริการของผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายและบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ต รายงานสาธารณะของบริษัทฯ ได้รับการยอมรับระดับโลกในมาตรฐานการเปรียบเทียบประสบการณ์เครือข่าย โดยใช้โซลูชันการวิเคราะห์แบบองค์รวมและการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางเพื่อสร้างข้อมูลเชิงลึกในรูปแบบใหม่ๆ ที่ไม่มีมาก่อน และยังช่วยผู้ให้บริการด้านการสื่อสารสามารถปรับปรุงเครือข่าย พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพเชิงพาณิชย์ของตนได้สูงสุด ปรับปรุงประสบการณ์เชื่อมต่อให้กับทุกคน

บริษัทฯ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ประเทศสหรัฐฯ แคนาดา สหราชอาณาจักร และมีสำนักงานขายในอเมริกาใต้และเอเชีย

from:https://www.techtalkthai.com/the-merger-of-dtac-and-truemove-h-increases-5g-speeds-and-delivers-a-better-video-experience/

AIS Fibre ตอกย้ำที่ 1 ตัวจริง ผู้ให้บริการเน็ตบ้าน ชูเทคโนโลยีสุดล้ำ WiFi 6E ต่อเนื่อง รายแรกในไทย [Guest Post]

AIS Fibre ในฐานะผู้ให้บริการเน็ตบ้านที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับประสบการณ์ใช้งานของลูกค้าอย่างรอบด้าน ทั้งในด้านการใช้งาน และคุณภาพจากการให้บริการ และเพื่อเป็นการตอกย้ำถึงเป้าหมายดังกล่าว ล่าสุด AIS Fibre ได้ประกาศความพร้อมในการให้บริการ WiFi 6E เทคโนโลยีมาตรฐานสัญญาณไร้สายใหม่บนคลื่นความถี่ใหม่ 6GHz เป็นรายแรกของอุตสาหกรรมบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตในเมืองไทย เดินหน้าทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ผู้พัฒนาเราเตอร์ไวไฟระดับโลกอย่าง TP LINK พร้อมส่งมอบ WiFi 6E Router เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสกับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดจากการใช้งานอินเทอร์เน็ตภายในบ้าน ด้วยคุณสมบัติของ WiFi 6E ที่เป็นการเพิ่มคลื่นความถี่ที่ใหญ่ที่สุดของ WiFi ประมาณ 4 เท่าจากเดิม รวมถึงยังเพิ่มช่องสัญญาณ ลดปัญหาเกี่ยวกับช่องสัญญาณที่แออัด ทำให้ใช้งานได้ไหลลื่น ทั้งการสตรีมแบบ HD หรือ การใช้งาน VR ที่ตอบโจทย์ทุกคนในบ้านได้อย่างครบถ้วน

นางสาวสุนีย์ โรจนโอฬารรัตน์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด ธุรกิจฟิกซ์ บรอดแบรนด์ AIS อธิบายว่า “ด้วยความพร้อม และเป้าหมายการทำงานที่ชัดเจนของ AIS Fibre ที่ต้องการยกระดับมาตรฐานการให้บริการเน็ตบ้านเพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานด้วยคุณภาพเน็ตบ้านและการให้บริการที่ดีที่สุดอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้เราติดตามมาตรฐานของเทคโนโลยีระดับโลก ควบคู่กับการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เห็นได้จากในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา เราได้ส่งมอบนวัตกรรมที่สร้างจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมและพัฒนาคุณภาพการใช้งานให้กับตลาดและลูกค้ามาโดยตลอด ล่าสุดเป็นอีกครั้งที่ทำให้เราสามารถเปิดตัวแพ็กเกจบริการที่มาพร้อมอุปกรณ์รองรับ WiFi 6E บนคลื่นความถี่ใหม่ 6GHz ได้ทันที หลังจากที่ กสทช. ได้มีประกาศรองรับเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์บนคลื่นความถี่ดังกล่าวในช่วงปลายเดือนเมษายน 2566 ที่ผ่านมา

“ทีมงานวิศวกร นำโดยการทำงานของ AIS CPE LAB ได้ติดตามพัฒนาการของ WIFI 6 มาโดยตลอด และได้ร่วมทำงานกับพาร์ทเนอร์อย่าง TP Link ทดลอง ทดสอบ จนมั่นใจว่า นวัตกรรม WiFi 6E Router ที่ถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด สามารถมอบประสบการณ์ความเร็วแรงได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเมื่อใช้งานผ่านเน็ตบ้านคุณภาพจาก AIS Fibre

สำหรับเทคโนโลยี WiFi 6เป็นการเชื่อมต่อไร้สายบนคลื่นความถี่ใหม่ 6GHz ผ่านอุปกรณ์ WiFi 6E Router ที่ถูกพัฒนาขึ้นให้มีคุณสมบัติในการขยายสัญญาณให้ครอบคลุม มีความเสถียรและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้มีประสิทธิภาพเหนือกว่ารุ่นก่อนๆ อาทิ เพิ่มช่องสัญญาณ ลดปัญหาเกี่ยวกับช่องสัญญาณที่แออัด ทำให้ใช้งานได้ลื่นไหล รวมถึงคลื่นสัญญาณ Microwave ไม่สามารถรบกวนได้บนย่านความถี่ 6GHz, เพิ่มคลื่นความถี่ที่ใหญ่ที่สุดของ WiFi ประมาณ 4 เท่าจากเดิม, มีความกว้างช่องสัญญาณสูงสุด 160 MHz ทำให้ ดาวน์โหลด อัปโหลดข้อมูลได้เร็วขึ้นกว่าคลื่น 2.4GHz และ 5GHz โดยเฉพาะ WiFi 6E Router รุ่น Deco XE75 Pro สามารถทำงานพร้อมกันทั้ง 3 ย่านความถี่ (6GHz + 5GHz และ 2.4GHz) เพื่อให้ความเร็ว WiFi สูงสุดถึง 5,400 Mbps รองรับการเชื่อมต่อสูงสุดถึง 200 อุปกรณ์ ครอบคลุมพื้นที่การใช้งานสูงสุด 7,200 ตารางฟุต

โดยผู้ที่สนใจสามารถซื้อ WiFi 6E Router ได้ทาง AIS Online Store และพิเศษ!! สำหรับลูกค้า AIS Fibre รับสิทธิพิเศษเมื่อสมัครแพ็กเกจ BYOD BROADBAND สปีดแรง  2 Gbps /1 Gbps ราคา 1,299 บาท/เดือน พร้อมทั้งสั่งซื้อ WiFi 6E Router บน AIS Online Store จะได้รับส่วนลดค่าแพ็กเกจเดือนละ 100 บาท นาน 6 เดือน 

โดยสามารถสมัครแพ็กเกจได้ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค. 66 และสามารถสั่งซื้อ WiFi 6E Router ได้ในเร็วๆนี้ สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ais.th/fibre/package_byodbroadband.html   

from:https://www.techtalkthai.com/ais-fibre-reinforces-the-real-one-blooming-internet-service-provider-guest-post/

นวัตกรรมใหม่ของ Cisco 800G เพิ่มพลังให้กับอินเทอร์เน็ตสำหรับอนาคต

ซิสโก้เปิดตัวนวัตกรรม 800G ที่เพิ่มความคุ้มค่าและความยั่งยืนให้กับอินเทอร์เน็ตสำหรับอนาคต เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถเชื่อมต่อเกือบ 40% ของประชากรโลกที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือกลุ่มผู้ด้อยโอกาส

ขณะที่อุปกรณ์ IoT มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากหลายพันล้านเครื่องเป็นหลายล้านล้านเครื่อง ความต้องการแบนด์วิธก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยนอกจากจะรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ผ่านเครือข่าย 5G และ Wi-Fi แล้ว ยังครอบคลุมไปถึงเวิร์กโหลด AI/ML ที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนข้อมูลเชิงลึกจาก IoT แอพพลิเคชั่นต่างๆ อย่างเช่น Generative AI การค้นหาข้อมูล การประมวลผลภาษา และเครื่องมือแนะนำ กำลังขับเคลื่อนการเติบโตอย่างรวดเร็วของคลัสเตอร์ AI/ML ในสภาพแวดล้อมดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งต้องการแบนด์วิธมากกว่าเวิร์กโหลดแบบเดิมๆ แฟบริก AI/ML จำเป็นต้องขยายขนาดโดยอาศัยเครือข่ายแกนกลางที่หนาแน่นมากขึ้น ซึ่งมีความสำคัญต่อการรองรับโปรเซสเซอร์จำนวนมากที่มีการหน่วงเวลาต่ำ รวมไปถึงการขยายขีดความสามารถในการเชื่อมต่อระหว่างดาต้าเซ็นเตอร์

แม้ว่าการเติบโตของแบนด์วิธจะดูเหมือนไร้ขีดจำกัด แต่พื้นที่และพลังงานกลับมีอยู่อย่างจำกัด ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องใช้แพลตฟอร์มที่หนาแน่นและประหยัดพลังงาน ซิสโก้เพิ่มขีดความสามารถเป็นสองเท่าให้กับเครือข่ายแบ็คโบน, เมโทรคอร์ และเครือข่ายดาต้าเซ็นเตอร์ของลูกค้าที่เป็นผู้ให้บริการด้านการสื่อสารและลูกค้ากลุ่ม Webscale เมื่อเทียบกับโซลูชันโมดูลาร์ 400G/100G ทั้งนี้ ไลน์การ์ด 28.8Tbps / 36 x 800G สำหรับเราเตอร์ Cisco 8000 Series ถูกขับเคลื่อนด้วย Cisco Silicon One และจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ควบคู่ไปกับการปกป้องเงินลงทุนในระยะยาวสำหรับผู้ให้บริการด้านการสื่อสารและผู้ให้บริการระบบคลาวด์ที่ปรับเปลี่ยนเครือข่ายจากความจุ 100G เป็น 400G และ 800G นอกจากนี้ ลูกค้ายังได้รับประโยชน์จากการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนด้วยการใช้ฮาร์ดแวร์น้อยลงในการขยายขนาดของเครือข่าย และการนำอุปกรณ์กลับมาใช้

เควิน วอลเลนวีเบอร์ รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายระบบเครือข่าย ดาต้าเซ็นเตอร์ และการเชื่อมต่อผู้ให้บริการของซิสโก้ กล่าวว่า “เราขยายขีดความสามารถของ 800G อย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับกรณีการใช้งานอื่นๆ ตั้งแต่แฟบริค AI/ML ไปจนถึงเครือข่ายแกนหลัก เพื่อช่วยให้ลูกค้าของเราบรรลุเป้าหมายด้านประสิทธิภาพและความยั่งยืน โซลูชันใหม่ของเราสำหรับเครือข่ายหลักและเครือข่ายแกนกลางที่หนาแน่น ซึ่งใช้ไลน์การ์ดที่มีความหนาแน่นสองเท่าใหม่พร้อมด้วย Cisco Silicon One จะช่วยเร่งการปรับเปลี่ยนไปสู่ 800G ในทุกๆ ที่”

ที่มา : ข่าวพีอาร์

from:https://www.enterpriseitpro.net/cisco-800g-news-release/

CDNetworks ร่วมกับพันธมิตร VSTV K+ ผู้ให้บริการ OTT ในเวียดนามประกาศยกระดับประสบการณ์บริการระดับพรีเมียม [Guest Post]

เพื่อมอบประสบการณ์แก่ผู้ใช้สตรีมมิ่งแบบราบรื่นและอินเทอร์แอคทีฟทั่วประเทศเวียดนาม CDNetworks มีความภูมิใจที่จะประกาศว่าเราได้ร่วมมือกับ VSTV K+

CDNetworks เครือข่ายชั้นนำของ APAC ในการให้บริการโซลูชั่น Edge ที่ทันสมัย มีความภูมิใจที่จะประกาศความร่วมมือครั้งใหม่กับ Vietnam Satellite Digital Television (VSTV K+) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรทัศน์รายใหญ่ที่สุดในเวียดนามเพื่อสนับสนุนธุรกิจ OTT โดยใช้โซลูชั่น Media Acceleration Live Broadcast

ในฐานะที่เป็นผู้นำด่านการบริการทีวีแบบสมัครสมาชิกระดับพรีเมียมของเวียดนาม VSTV K+ นำเสนอเนื้อหาที่หลากหลายและพิเศษที่ได้รับการสนับสนุนโดยโครงสร้างพื้นฐานที่สมบูรณ์เพื่อมอบความบันเทิงที่มีคุณภาพให้กับทุกครอบครัวชาวเวียดนามโดยทาง CDNetworks ช่วยให้ธุรกิจ VSTV K+ OTT สามารถนำเสนอการสตรีมแบบเรียลไทม์แก่ผู้ใช้ชาวเวียดนามโดยใช้เครือข่ายการส่งเนื้อหา (CDN) ชั้นนำของอุตสาหกรรมและความสามารถในการสตรีมวิดีโอที่ทรงพลัง

อรรถประโยชน์สำคัญที่ CDNetworks มอบให้แก่ VSTV K+ OTT 

  • คุณภาพวิดีโอระดับสูงสุด 

ด้วยประสบการณ์มีเดียดีลิเวลี่มากกว่า 20 ปี CDNetworks สามารถส่งมอบประสบการณ์การชมวีดีโอให้กับผู้ใช้อย่างเหนือชั้นด้วยการปรับแต่งเนื้อหาเพื่อการจัดส่งที่รวดเร็วและปลอดภัยผ่านเครือข่าย Edge ทั่วโลกที่เราเป็นผู้คิดค้นสำหรับการเผยแพร่สื่อที่มีประสิทธิภาพสูงสุดของ CDNetworks โซลูชั่น Media Acceleration Live Broadcast ของ CDNetworks มอบประสบการณ์การรับชมสดที่ราบรื่นมีเสถียรภาพและมีคุณภาพสูงแก่ผู้ใช้ปลายทางจากจุดต้นทางไปยังอุปกรณ์ประเภทใดก็ได้ประสบการณ์การรับชมระดับพรีเมียมเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดการแข่งขันกีฬานัดสำคัญ ซึ่งทำให้ VSTV K+ แตกต่างจากคู่แข่ง OTT อื่นๆในเวียดนาม

  • คุณสมบัติการสตรีมเกมที่เหนือกว่า 

VSTV K+ มีความภาคภูมิใจในบริการสตรีมมิ่งซึ่งนำเสนอเนื้อหาพิเศษ เช่น การแข่งขันฟุตบอลชั้นนำจากลีกทัวร์นาเมนต์และการแข่งขันกีฬาระดับโลกที่มักจะมีอยู่บนแพลตฟอร์ต่างๆ รวมถึงกล่องทีวีอินเทอร์เน็ตอุปกรณ์มือถือและสมาร์ททีวี CDNetwork ได้ก้าวข้ามความท้าทายเหล่านี้และได้ข้อสรุปที่ประสบความสำเร็จด้วยการใช้โปรโตคอลการสตรีมแบบผสมผสานหลายตัว เช่น RTMP, HDL, HLS, WebRTC, DASH และ QUIC วิธีการนี้ช่วยให้ VSTV K+ สามารถเลือกโปรโตคอลที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้รับชมและเข้าถึงผู้ชมได้กว้างขึ้น

  • การทำงานที่เข้าใจถึงทรัพยากรและสามารถปรับแต่งให้ตรงความต้องการของแต่ละประเทศ

การมี CDN PoP มากกว่า 2,800 แห่งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เชิงกลยุทธ์ทั่วโลกช่วยให้ CDNetworks สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพันธมิตร ISP ในท้องถิ่นเพื่อรับประกันบริการคุณภาพให้กับ VSTV K+ ในการทำงานร่วมกันกับ ISP ในพื้นที่และสร้างความยืดหยุ่นของแพลตฟอร์มทำให้ CDNetworks สามารถช่วย VSTV K+ ปรับแต่งนโยบายการกำหนดเส้นทางของการรับส่งข้อมูลที่เหนือกว่าผู้ให้บริการ CDN รายอื่นที่กำหนดเส้นทางแบบตายตัว ในการกำหนดเส้นทางการรับส่งข้อมูลนอกประเทศเวียดนามซึ่งทำให้ลดประสิทธิภาพลงอย่างมากแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเหล่านี้จะช่วยให้มั่นใจได้ถึงประสบการณ์การรับชมที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ชมโดยที่ประสิทธิภาพจะไม่ถูกลดทอนลง

ในขอบข่ายระดับภูมิภาคที่ใหญ่ขึ้น CDNetworks ยังคงมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงความสามารถในการส่งมอบคุณค่าของเราไปยังทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SSEA) ในปี 2022 เราได้รับการยืนยันถึงความเร็วในการบริการเนื้อหาและการเป็นสื่อระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมของSSEA นอกจากนี้ CDNetworks ยังได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการจัดส่งเนื้อหาที่เหนือกว่าใน ประเทศเวียดนาม ไทย และ อินโดนีเซีย

  • กระบวนการที่พร้อมใช้งานได้ทันที

Media Delivery Solutions ของ CDNetworks มีตัวเลือกการผสานทางเลือกหลากหลายที่แพลตฟอร์ม OTT สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็วและราบรื่นรวมถึง API หลายภาษา, SDK และแพลตฟอร์มคอนโซลที่สนับสนุนความคิดริเริ่มใหม่ๆความสามารถในการบูรณาการเพิ่มที่ง่ายรวดเร็วนี้ทำให้ VSTV K+ สามารถสตรีมเนื้อหาโดยรวดเร็ว ง่าย และมีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด

  • การติดตามตรวจสอบและเฝ้าดูแลแบบ 24/7

ทีมสนับสนุนของ CDNetworks ให้บริการตรวจสอบและเฝ้าระวังเชิงรุกสำหรับเหตุการณ์สำคัญที่ออกอากาศโดย VSTV K+ ที่ให้การสนับสนุนเชิงรุกแบบ 24/7 จะช่วยให้แน่ใจว่าแบนด์วิธ และทรัพยากรเครือข่ายที่สำคัญ ต่างๆ จะเพียงพอต่อการนำเสนอรายการ หรือเกม ที่มีคุณภาพสูงสุดแก่ผู้ชม ในขณะที่ไม่ทำให้เกิดการทำงานหนัก (overload) ของเซิร์ฟเวอร์ การกระตุก เวลาตอบสนองช้าลง และการสูญเสียแพ็กเกจ (package) ของข้อมูล

  • การวิเคราะห์การสตรีมแบบหลายมิติสำหรับธุรกิจ

เพื่อช่วยให้แพลตฟอร์ม OTT เช่น VSTV K+ ตัดสินใจทางธุรกิจได้ดีขึ้นและมีข้อมูลมากขึ้น แพลตฟอร์มการกระจายสื่อของ CDNetworks สามารถรวบรวมและวิเคราะห์สถิติการสตรีม ตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพหลักสำคัญที่ต้องได้รับการประเมิน เช่น การกระจายตัวตามภูมิภาคของผู้รับสื่อ ประเภทของผู้ให้บริการ ปริมาณการใช้งาน (traffic) ท่อส่งสัญญาณ (bandwidth) และอัตราการสูญเสียเฟรม (FLR) ตัวชี้วัดเหล่านี้จะแสดงในระบบการตรวจสอบตามเวลาจริงของพอร์ทัลเพื่อรับข้อมูลเชิงลึกตามเวลาจริงเกี่ยวกับแนวโน้มธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสตรีมสดโดยเข้าใจถึงการตั้งค่าของผู้ชม และวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับปัญหาเหล่านี้

“CDNetworks ให้บริการที่เป็นเลิศ” Nguyen Manh Toan หัวหน้า OTT ของ VSTV (K+) กล่าว “โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้บริการสตรีมมิ่งของ CDNetworks นั้นราบรื่นอย่างยิ่งนับเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการส่งสื่ออย่างแท้จริง”

Nguyen Minh Duc ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ OTT ของ VSTV (K+) ยังแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการร่วมมือกับ CDNetworks ว่า “สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันประทับใจในการทำงานกับ CDNetworks  คือวิธีที่พวกเขากำหนดทรัพยากรแบนด์วิธที่จำเป็นล่วงหน้าและสนับสนุนเราทุกเมื่อที่เราต้องการความช่วยเหลือเราถือว่า CDNetworks เป็นส่วนหนึ่งของทีมของเราช่วยเหลือเราในทุกขั้นตอนและติดตามการสตรีมสดของเราสำหรับเกมทุกคืน”

เกี่ยวกับ CDNetworks  

ในฐานะเครือข่ายชั้นนำของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) ที่มีจุดให้บริการมากกว่า 2,800 แห่งทั่วโลกและมีประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีมากกว่า 20 ปี CDNetworks เป็นผู้นำยุคใหม่ของ Edge ผลักดันให้ก้าวไปสู่อีกระดับโดยใช้ Edge เป็นบริการส่งมอบความรวดเร็วและปลอดภัยที่สุด กับประสบการณ์ดิจิทัลแก่ผู้ใช้ปลายทาง ผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายของเรา ได้แก่ ประสิทธิภาพของเว็บการส่งมอบสื่อการรักษาความปลอดภัยบนคลาวด์ การรักษาความปลอดภัยแบบไม่ความผิดพลาดเป็นศูนย์ และบริการที่ปรับให้เขัากับพื้นที่ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อกระตุ้นนวัตกรรมทางธุรกิจหากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมสามารถติดตามได้ที่ cdnetworks.com หรือติดตามเราได้ที่ LinkedIn

เกี่ยวกับ VSTV K+ 

Vietnam Satellite Digital Television (VSTV) ก่อตั้งขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2552 โดยการร่วมทุนระหว่างสองพันธมิตรชั้นนำหลักในด้านโทรทัศน์ ได้แก่ CANAL+ และ VTV CANAL+ ที่เป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกด้านการผลิตเนื้อหาระดับพรีเมียมการสร้างเนื้อหาสำหรับออกอากาศได้ทั่วไปตลอดจนการรวมกลุ่มและการจัดจำหน่ายบริการ Pay TV ในประเทศฝรั่งเศสและตลาดหลักอื่นทั่วโลก VTV เป็นผู้แพร่ภาพโทรทัศน์แห่งชาติของเวียดนาม ภายใต้เครื่องหมายการค้า K+ VSTV เป็นผู้นำเสนอบริการโทรทัศน์ระบบบอกรับเป็นสมาชิกระดับพรีเมียมสำหรับสมาชิกครอบครัวโดยนำเสนอเนื้อหาพิเศษช่องเฉพาะเรื่องที่หลากหลายครอบคลุมทั่วประเทศสัญญาณคุณภาพระดับ HD พร้อมแพ็คเกจที่หลากหลายบนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น ทีวีดาวเทียม OTT (อินเทอร์เน็ต) และ การจัดจำหน่ายร่วมกับพันธมิตร

from:https://www.techtalkthai.com/cdnetworks-vstv-k-plus-partnership/

รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ขีดเส้นตาย เน็ตเวิร์ครัฐบาลต้องใช้ RPKI ป้องกันการขโมยทราฟิกภายในปี 2024

รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ประกาศขีดเตรียมบังคับหน่วยงานรัฐบาลทั้งหมดต้องรองรับกระบวนการยืนยันเส้นทางเน็ตเวิร์ค หรือ Resource Public Key Infrastructure (RPKI) ภายในสิ้นปี 2024 ทำให้ตอนนี้หน่วยงานต่างๆ ที่กำลังทำเรื่องจัดซื้อต้องเพิ่มเงื่อนไขนี้เข้าไปในการจัดซื้อแล้ว

ที่ผ่านมาทราฟิกเชื่อมต่อของรัฐบาลเคยถูกประกาศเส้นทางโดย ISP รายอื่นทำให้ทราฟิกถูกดึงมาแล้วหลายครั้ง แม้จะเป็นการคอนฟิกผิดพลาดแต่การเปิดช่องทางให้คนร้ายสามารถดึงทราฟิกไปได้ก็เป็นความเสี่ยง เน็ตเวิร์คกระทรวงต่างประเทศของเนเธอร์แลนด์เคยถูกดึงทราฟิกไปเมื่อปี 2014 หรือข่าวใหญ่เช่นกูเกิลเองเคยถูกดึงทราฟิกจนเว็บดับในปี 2018

RPKI ทำให้เราท์เตอร์ของ ISP อื่นๆ สามารถยืนยันได้ว่าเส้นทางที่ประกาศมานั้นถูกต้องหรือไม่ ที่ผ่านมา Cloudflare พยายามเรียกร้องให้ ISP ทั่วโลกประกาศ RPKI ให้ถูกต้องจะได้ยืนยันได้ว่าจะเชื่อ RPKI เท่านั้น ISP อื่นไม่สามารถประกาศเส้นทางมั่วๆ ได้

ที่มา – Forum Standardization

No Description

ภาพโดย jarmoluk

from:https://www.blognone.com/node/133359

ยกระดับการสื่อสารราบรื่นแก่องค์กรยุคใหม่ด้วย Operator Connect บน MS Teams Phone บริการยืนหนึ่งจาก AIS Business

เมื่อเทรนด์การทำงานยุคใหม่เปลี่ยนรูปแบบไปสู่ Hybrid Work หรือ Work from Home กันมากขึ้น การสื่อสารโดยใช้โทรศัพท์ตั้งโต๊ะประจำออฟฟิศแบบดั้งเดิมอาจไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป ทั้งเรื่องความไม่ยืดหยุ่นคล่องตัว ต้นทุนค่าใช้จ่ายสูงในการติดตั้งและการบำรุงรักษา รวมไปถึงต้นทุนเวลาที่ต้องสูญไปกับการตั้งค่าที่ยุ่งยากซับซ้อน

วันนี้องค์กรยุคใหม่สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดการสื่อสารแบบเดิม ๆ ได้แล้ว ด้วย Operator Connect บริการใหม่บน Microsoft Teams Phone ที่เข้ามาพลิกโฉมการสื่อสารสำหรับธุรกิจของคุณให้ง่ายดายและฉับไว เพิ่มความคล่องตัวให้กับทีมผู้ปฏิบัติงานแม้ไม่อยู่ในออฟฟิศ พร้อมบริการครบครันจาก AIS Business ผู้ให้บริการ Operator Connect รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย ที่ช่วยให้การเริ่มต้นใช้งานการสื่อสารด้วยหมายเลขออฟฟิศผ่าน Microsoft Teams ง่ายและรวดเร็วกว่าที่เคย

จากข้อจำกัดของโทรศัพท์องค์กรดั้งเดิม

หากมองย้อนกลับไปถึงสถานที่ทำงานสมัยก่อนช่วงโควิด หลาย ๆ ท่านคงคุ้นเคยกับภาพบรรยากาศที่มีพนักงานนั่งทำงานพร้อมโทรศัพท์ประจำโต๊ะหรือ IP Phone แต่กว่าจะมีการวางระบบโทรศัพท์ในลักษณะนั้นได้ย่อมต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนที่ยุ่งยากและซับซ้อน ตั้งแต่การติดตั้งตู้สาขาโทรศัพท์ PBX การเดินสายโทรศัพท์ การตั้งค่าคู่สายและฮาร์ดแวร์อื่น ๆ ยิ่งในกรณีที่อุปกรณ์มีปัญหาระหว่างใช้งาน ก็ยิ่งทำให้การดำเนินงานหยุดชะงักในทันที เนื่องจากต้องรอทีม Support เข้ามาแก้ไขในภายหลัง

นอกจากความยุ่งยากในการติดตั้งและดูแลรักษาระบบโทรศัพท์แบบดั้งเดิมแล้ว กระบวนการทั้งหมดนี้ล้วนมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง การจัดซื้ออุปกรณ์โทรศัพท์หรือ IP Phone การดูแลบำรุงรักษาระบบและอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ กลับกลายเป็นว่าเงินที่ใช้จ่ายไปกับสินทรัพย์ถาวรของบริษัทหรือ CAPEX นั้นไม่คุ้มค่าแก่การลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะบริษัทที่พึ่งเริ่มต้นทำธุรกิจอาจถึงขั้นประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินก็เป็นได้

การใช้งานโทรศัพท์ประจำโต๊ะทำงานแบบเดิมนั้นยังไม่เอื้อต่อความยืดหยุ่นและความคล่องตัวในการติดต่อสื่อสารทั้งระหว่างภายในและภายนอกองค์กร ในกรณีที่พนักงานไม่ได้เข้าออฟฟิศ ลูกค้าที่โทรเข้ามายังหมายเลของค์กรก็อาจจะไม่สามารถติดต่อกับบริษัทหรือพนักงานโดยตรงได้ ซึ่งทำให้สูญเสียโอกาสทางธุรกิจไปโดยใช่เหตุ 

ดังนั้น ด้วยข้อจำกัดของการใช้ระบบโทรศัพท์แบบดั้งเดิม ทั้งเรื่องความยุ่งยากของการติดตั้งและการบำรุงรักษา ค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่สูง และการไม่รองรับความยืดหยุ่นและความคล่องตัวจากการเปลี่ยนสถานที่ทำงาน จึงทำให้การเลือกใช้ระบบตู้สาขาโทรศัพท์พร้อมอุปกรณ์สื่อสารติดตั้งในที่ทำงานไม่ตอบโจทย์การทำงานยุคใหม่อีกต่อไป

สู่การสื่อสารทุกที่ ไร้ขีดจำกัดผ่าน Microsoft Teams Phone

เมื่อการทำงานไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในสำนักงานอีกต่อไป การใช้งานเครื่องมือเพื่อการสื่อสารและการทำงานร่วมกันบนคลาวด์อย่าง Microsoft Teams จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะตอบโจทย์การทำงานร่วมกันได้ทุกที่ในทุกเวลาผ่านหลากหลายชนิดอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป PC/MAC หรือแล็ปท็อป รองรับการใช้งานได้บนทุกระบบปฏิบัติการ มั่นใจได้ทุกการเชื่อมต่อเพื่อให้พนักงานไม่พลาดทุกการสื่อสาร

สำหรับฟีเจอร์ Teams Phone ที่ผสานรวมมาใน Microsoft Teams ก็เข้ามาช่วยยกระดับการสื่อสารสำหรับพนักงานองค์กรให้สามารถรับสายโทรศัพท์ โทรออกติดต่อบุคคลภายนอกองค์กรผ่านแอปพลิเคชัน Microsoft Teams บนเดสก์ท็อปหรืออุปกรณ์โมบายล์ต่าง ๆ โดยไม่ต้องพึ่งโทรศัพท์ประจำโต๊ะหรือ IP Phone ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นคล่องตัวให้พนักงานสามารถติดต่อกับพนักงานคนอื่นในองค์กรและลูกค้าภายนอกได้ทุกที่ ปลดล็อกข้อจำกัดเรื่องการติดต่อนอกสถานที่แม้ไม่ได้อยู่ในสำนักงาน

เพื่อให้การสื่อสารของธุรกิจองค์กรราบรื่นโดยไม่สะดุด AIS Business ในฐานะพันธมิตรหลักของ Microsoft จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายร่วมกับ Microsoft และให้บริการแพลตฟอร์มคลาวด์สำหรับ SBC (Session Border Controller) เพื่อเชื่อมต่อระบบโทรศัพท์ขององค์กรกับ Microsoft Teams Phone ให้สามารถติดต่อสื่อสารไปยังหมายเลขปลายทางต่าง ๆ ได้ ทั้งหมายเลข Fixed Line และหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์เพิ่มเติม

Microsoft Teams Phone ที่ให้บริการโดย AIS Business จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่สำหรับองค์กรยุคนี้ที่กำลังมองหาโซลูชันเพื่อการสื่อสาร ด้วยคุณสมบัติการใช้งานเช่นเดียวกับโทรศัพท์สำนักงานในราคาที่ถูกกว่า ลดค่าใช้จ่ายและความยุ่งยากซับซ้อนของการติดตั้งและดูแลระบบ สะดวกรวดเร็วในการเริ่มต้นและง่ายต่อการใช้งาน เสริมการทำงานได้อย่างต่อเนื่องและราบรื่น เรียกได้ว่าประหยัดทั้งเงินและเวลาขององค์กรได้อย่างลงตัวและมีประสิทธิภาพ

ตารางแสดงการเปรียบเทียบคุณสมบัติระหว่าง PBX และ Teams Phone

ยกระดับการสื่อสารอีกขั้นด้วย Operator Connect บน MS Teams

ล่าสุด AIS Business ร่วมกับ Microsoft ได้เปิดตัวบริการใหม่ชื่อว่า “Operator Connect” บน Microsoft Teams ที่ทำให้การใช้งาน Microsoft Teams Phone สะดวกง่ายดายยิ่งขึ้นกว่าเดิม ตอบรับเทรนด์ Hybrid Work สำหรับองค์กรยุคใหม่ที่ต้องการความรวดเร็ว ฉับไว พร้อมใช้งานระบบสื่อสารได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาไปกับการติดตั้งและการดูแลฮาร์ดแวร์ ด้วยราคาที่เป็นมิตรต่อองค์กร

Operator Connect เป็นโซลูชันระบบคลาวด์ที่ทำให้องค์กรสามารถใช้หมายเลขประจำองค์กรรับสายและโทรออกไปยังหมายเลขโทรศัพท์ภายนอกได้ผ่าน Microsoft Teams Phone บนคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์โมบายล์ต่าง ๆ ทั้งมือถือและแท็บเล็ตในทุกระบบปฏิบัติการ เปรียบเสมือนการมีเบอร์ประจำที่ทำงานหรือโทรศัพท์สำนักงานพกติดตัวไปได้ทุกที่แม้ไม่ได้อยู่ในออฟฟิศ 

Operator Connect บน Microsoft Teams Phone เรียกได้ว่า สามารถทดแทนระบบโทรศัพท์ PABX แบบดั้งเดิมเลยก็เป็นได้ เพราะพนักงานสามารถรับสายจากลูกค้าและโทรออกด้วยเบอร์สำนักงานได้ตลอดเวลาบนอุปกรณ์ของตน ทำให้องค์กรของคุณไม่พลาดทุกการเชื่อมต่อ จึงเหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจทุกรูปแบบที่มีทีมพนักงานฝ่ายขาย ผู้ให้บริการดูแลลูกค้าหลังการขาย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทุกเมื่อ รวมไปถึงผู้บริหารที่ต้องการความยืดหยุ่นและความคล่องตัวในการปฏิบัติงานด้วย

Operator Connect กับจุดเด่นที่ตอบโจทย์ทุกองค์กร

คุณสมบัติของ Operator Connect คล้ายกับ Teams Direct Routing ในแง่ของความสามารถในการใช้เบอร์ของออฟฟิศโทรติดต่อไปยังภายนอกองค์กรได้ แต่จุดต่างที่ทำให้ Operator Connect โดดเด่นและเหมาะที่จะเป็นทางเลือกสำหรับองค์กรยุคใหม่ คือ ความง่ายและรวดเร็วในการเริ่มต้นใช้งาน โดยองค์กรสามารถเปิดใช้งาน Operator Connect กับ AIS Business บนหน้า Microsoft Teams Admin Center และตั้งค่าการใช้งานได้อย่างง่ายดายด้วยตัวเอง หมดกังวลเรื่องการตั้งค่าและการติดตั้งฮาร์ดแวร์ที่ยุ่งยากซับซ้อน พร้อมให้ลูกค้าองค์กรธุรกิจใช้งาน Operator Connect ได้ทันที

ในส่วนของการตั้งค่ากำหนดหมายเลขโทรศัพท์แก่พนักงานแต่ละคนนั้น บริษัทก็สามารถบริหารจัดการภายในองค์กรได้อย่างราบรื่นง่ายดายผ่านหน้า Microsoft Teams Admin Center ไม่ว่าจะเป็นการผูกหมายเลขโทรศัพท์ประจำโต๊ะกับบัญชี Teams ของพนักงาน การตั้งค่าลำดับการโทร หรือการสลับหมายเลขหมุนเวียนภายในองค์กรเพื่อรองรับการเปลี่ยนพนักงานเข้า-ออก โดยกระบวนการเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาดำเนินการผ่านผู้ให้บริการ แต่สามารถแก้ไขตั้งค่าได้ด้วยตัวเอง ซึ่งช่วยย่นระยะเวลาและเพิ่มความคล่องตัวในการปฏิบัติงานได้เป็นอย่างมาก

นอกจากการเริ่มต้นใช้งานและการบริหารจัดการที่ง่ายและสะดวกรวดเร็วแล้ว จุดเด่นอีกอย่างของ Operator Connect บน Microsoft Teams Phone คือ การประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่าย เนื่องจาก Teams Phone ใช้งานได้ผ่านระบบคลาวด์ทั้งหมด องค์กรจึงไม่ต้องลงทุนติดตั้งตู้สาขาโทรศัพท์หรือโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ใด ๆ ที่หน้างาน รวมถึงอุปกรณ์โทรศัพท์ IP Phone ด้วย อีกทั้งไม่ต้องสำรองเงินเพื่อใช้จ่ายในการดูแลรักษาระบบหรือเปลี่ยนทรัพยากรทางด้าน IT ในกรณีที่อุปกรณ์เสื่อมเสียหายตามระยะเวลาการใช้งาน 

ต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ถูกลงในการใช้งาน Operator Connect บน Microsoft Teams Phone นั้นจึงเป็นข้อได้เปรียบที่ต่างจากการใช้งานระบบโทรศัพท์ PBX แบบดั้งเดิมอย่างเห็นได้ชัด จากเดิมที่ต้องลงทุนจำนวนเงินมหาศาลนับหลายล้านไปกับฮาร์ดแวร์โครงสร้างพื้นฐานสำหรับติดตั้งระบบโทรศัพท์ แต่เมื่อองค์กรเลือกใช้ Operator Connect บน Microsoft Teams Phone ก็สามารถเปลี่ยนจากการลงทุนเงินก้อนไปกับสินทรัพย์ถาวรของบริษัท (CAPEX) แบบเดิม ๆ ไปสู่การลงทุนในรูปแบบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ (OPEX) ต่อเดือนตามจำนวนผู้ใช้งานในองค์กร ซึ่งช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้มากถึง 48% พร้อมกับเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและนำเงินทุนไปต่อยอดธุรกิจในส่วนอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

AIS Business ผู้ให้บริการ Operator Connect หนึ่งเดียวในไทย

บริการ Operator Connect บน Microsoft Teams Phone ถือว่าเป็นความร่วมมือครั้งล่าสุดระหว่าง AIS Business กับ Microsoft โดย AIS Business เป็นผู้ให้บริการ Operator Connect รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย พร้อมให้บริการครบวงจรแบบ One-stop Service ตั้งแต่การให้คำปรึกษาแนะนำรูปแบบการใช้งานให้เหมาะสมกับแต่ละองค์กร การให้บริการแพลตฟอร์มคลาวด์เชื่อมต่อระหว่าง Microsoft Teams และ SBC แบบองค์รวม การให้บริการ Microsoft Teams Phone พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ประจำที่ (Fixed Line) สำหรับโทรติดต่อภายนอก ไปจนถึงการให้บริการหลังการขายและการดูแลสนับสนุนอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง

ด้วยการให้บริการในรูปแบบ Subscription-based Model ของ Operator Connect จาก AIS Business นั้น ยิ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้องค์กรในเรื่องค่าใช้จ่ายตามปริมาณการใช้งาน ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับความต้องการตามจำนวนผู้ใช้งานที่แตกต่างกันในแต่ละองค์กร (จำนวนผู้ใช้งานขั้นต่ำ 5 หมายเลข) โดยประกอบด้วย

  • ค่า License ของระบบ Microsoft Teams Phone
    (สำหรับลูกค้า Microsoft 365 E5 ไม่ต้องชำระค่า License เพิ่ม)
  • ค่าบริการรายเดือนต่อผู้ใช้งาน
  • ค่า Voice Airtime Pooling ตามการใช้งาน

ดังนั้น เมื่อเทียบกับการใช้งานระบบโทรศัพท์แบบดั้งเดิมแล้ว Operator Connect จึงถือว่ามีความคุ้มค่าแก่การลงทุนในราคาย่อมเยา เพื่อเสริมการสื่อสารและสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรให้มีความสะดวกรวดเร็ว ราบรื่นไร้รอยต่อ และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นกว่าเดิม และวันนี้ AIS Business พร้อมแล้วที่จะเป็นส่วนหนึ่งของแรงขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวข้ามข้อจำกัดการสื่อสารแบบเดิม ๆ ก้าวรุดไปข้างหน้า และเชื่อมต่อทุกฝ่ายให้เข้าถึงกันผ่านบริการ Operator Connect บน Microsoft Teams Phone

สำหรับลูกค้าองค์กรที่สนใจใช้ระบบ Microsoft Teams Phone และบริการ Operator Connect กับองค์กรของตน พร้อมรับบริการคำแนะนำสำหรับองค์กรยุคใหม่จาก AIS Business สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ AIS Business ที่ดูแลองค์กรของท่าน หรือ E-mail: business@ais.co.th

————————————————

AIS Business พาร์ตเนอร์ที่ช่วยตอบโจทย์ทุกเรื่อง ICT & Digital ที่คุณมั่นใจ

“Your Trusted Smart Digital Partner”

ปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจได้ที่

Email : business@ais.co.th 

Website : Microsoft Teams Phone (ais.co.th)

from:https://www.techtalkthai.com/ais-operator-connect-on-ms-teams-phone/

รวมเว็บไซต์เช็คความเร็วเน็ต ทดสอบความเร็วง่ายๆ ใน 1 คลิก อัปเดต 2023

แนะนำเว็บไซต์เช็คความเร็วเน็ต ทดสอบความเร็วเน็ต อัปเดต 2023

เช็คความเร็วเน็ต

เชื่อว่าในปัจจุบันนั้น แทบทุกบ้านจะต้องติดตั้งอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง WiFi ที่สามารถปล่อยสัญญาณให้ใช้งานกันได้หลายอุปกรณ์ แถมยังมีโปรเน็ตบ้านจากผู้ให้บริการต่างๆ อีกมากมาย เพื่อให้ผู้บริโภคอย่างเราๆ นั้นได้เลือกแพ็กเกจมาใช้งานกันตามความต้องการ แต่ก็เป็นที่น่าสงสัยว่าแพ็กเกจเน็ต หรือ WiFi ที่เราใช้อยู่นั้น เร็วอย่างที่ผู้ให้บริการได้แจ้งไว้หรือไม่ ทีมงาน NotebookSPEC ก็อยากจะมาแนะนำเว็บไซต์สำหรับเช็ค WiFi Speed Test เช็คความเร็วเน็ต เช็คได้ทั้งไวไฟและเน็ตมือถือว่าเร็วแค่ไหน เร็วแรงจริงตามโปรโมชันหรือไม่


เช็คความเร็วเน็ตต้องดูอะไรบ้าง

การตรวจสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต ในปัจจุบันนั้นสามารถทำได้ง่ายๆ ผ่านทางเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชัน ซึ่งจะเป็นการตรวจสอบหรือวัดความเร็วอินเทอร์เน็ต เพื่อให้เราได้ทราบว่าอินเทอร์เน็ตที่เรากำลังใช้งานอยู่มีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด โดยระบบจะทำการตรวจสอบ IPv4 (Internet Protocol Version 4), IPV6 (Internet Protocol Version 4) และ TCP (Transmission Control Protocol) แล้วจะแสดงค่าต่างๆ ออกมา โดยที่ออกมานั้นหลักๆ ก็จะมีดังนี้

Advertisementavw
  • Connection Speed: เป็นค่าที่ใช้บอกความเร็วในการเชื่อมต่อ หรือ Connection Speed ระหว่างผู้ใช้บริการกับผู้ให้บริการ (ISP) นั่นเอง
  • Download Speed: เป็นค่าที่แสดงความเร็วของอินเทอร์เน็ตในการดาวน์โหลด หรือรับข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ภาพ เสียง วิดีโอ เว็บไซต์ หรือข้อมูลต่างๆ ที่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต โดยจะมีหน่วยวัดเป็น
    • Kbps หรือ Kilobit per second
    • Mbps หรือ Megabit per second
    • Gbps หรือ Gigabit per second
  • Upload Speed: เป็นค่าที่แสดงความเร็วของอินเทอร์เน็ตในการอัปโหลด หรือส่งข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ เสียง วิดีโอ โปรแกรม ไฟล์ เป็นต้น โดยจะมีหน่วยวัดเช่นเดียวกันกับการดาวน์โหลด นั่นก็คือ Mbps หรือ Megabit per second
  • Ping: เป็นค่าที่บอกเกี่ยวกับความเร็วในการตอบสนอง ระหว่างการรับ – ส่งข้อมูลจากเซิฟเวอร์ ยิ่งตัวเลข Ping เยอะ การตอบสนองกับเซิฟเวอร์ก็จะช้าลงไป ดังนั้น ถ้าค่า Ping น้อย ก็หมายถึงมีความเร็วในการตอบสนองที่รวดเร็วนั่นเอง Ping มีหน่วยวัดเป็น ms หรือ msec หรือ Milliseconds
  • Jitter: เป็นค่าที่แสดงความล่าช้าในการรับข้อมูล (เช่นเดียวกับ Ping ยิ่งตัวเลขที่แสดงค่าต่ำมากเท่าไหร่ ก็แสดงว่าอินเทอร์เน็ตมีความเร็วมากเท่านั้น)

การเตรียมพร้อมก่อนการทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต

  • ปิดเว็บไซต์, โปรแกรม, แอพพลิเคชัน ฯลฯ ที่ใช้งานอินเทอร์เน็ต
  • ปิด หรือ หยุด การดาวน์โหลดข้อมูลต่างๆ หรือข้อมูลที่กำลังแชร์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต
  • ในกรณีที่ใช้งาน WiFi อยู่ ให้นำอุปกรณ์อย่างคอมพิวเตอร์ เสียบต่อกับสาย LAN โดยตรง เพื่อความแม่นยำของการทดสอบ

ปัยใจที่ส่งผลต่อความเร็วอินเทอร์เน็ต

  • เทคโนโลยีของอินเทอร์เน็ตที่เราเชื่อมต่อ เช่น ADSL, VDSL, Fiber Optic ฯลฯ ก็จะมีข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป
  • ISP (Internet Service Provider) หรือ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ซึ่งความเร็วของอินเทอร์เน็ตที่ ISP ปล่อยให้กับผู้ใช้บริการนั้นก็มีความแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ใช้ จำนวนผู้ใช้งาน ความทั่วถึงของสัญญาณ ฯลฯ
  • สถานที่ตั้งและช่วงเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่มีจำนวนผู้ใช้งานเป็นจำนวนมากนั้น ก็จะส่งผลให้ความเร็วของอินเทอร์เน็ต ทั้งในแง่ของการดาวน์โหลด และอัปโหลด มีความเร็วที่ลดลง
  • Router หรือตัวรับสัยญาณก็มีผลกับความเร็วอินเทอร์เน็ตเช่นกัน เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ เลยก็คือ เสมือนว่าเราใช้งานโทรศัพท์ที่มีการอัปเดตระบบใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งหากเรายังใช้งานเครื่องเดิมไปตลอด การอัปเดตระบบใหม่ๆ ก็อาจไม่รองรับกับตัวเครื่อง เราเตอร์เองก็เช่นกัน เมื่อใช้งานไปสักระยะ หากเริ่มรู้สึกว่าการใช้งานไวไฟนั้นเริ่มมีปัญหา หรือไม่เสถียร การเปลี่ยนเราเตอร์ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สามารถรับสัญญาณอินเทอร์เน็ตได้ดีขึ้น
  • นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ที่ใช้งาน, เบราว์เซอร์ที่ใช้, ลักษณะของการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เป็นต้น

แนะนำเว็บไซต์เช็คความเร็วของอินเทอร์เน็ต WiFi

1. Fast

เช็คความเร็วเน็ต

Fast เป็นเครื่องมือสำหรับตรวจสอบความเร็วของอินเทอร์เน็ต WiFi ที่มาจาก Netflix โดยตรง มีจุดเด่นคือการตรวจสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็ว เพียงแค่เข้าไปที่หน้าเว็บ ระบบก็จะตรวจสอบและวัดค่าความเร็วของอินเทอร์เน็ตมาให้เราเลยในทันทีโดยอัตโนมัติ แต่ก็ไม่ได้แสดงเพียงค่า Internet Speed เท่านั้น เรายังสามารถกดเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม โดยคลิกเลือกที่ Show more info หรือ แสดงข้อมูลเพิ่มเติม ได้ด้วย ในส่วนของรายละเอียดที่ตัวเว็บแสดงค่าออกมาให้เราจะประกอบไปด้วย

  • Internet Speed ในที่นี้คาดว่าจะเป็นค่าที่แสดงความเร็วอินเทอร์เน็ตโดยรวม
  • Latency หรือค่า Ping เป็นค่าแสดงความเร็วในการตอบสนอง
  • Upload Speed ค่าแสดงความเร็วในการอัปโหลดข้อมูล
  • นอกจากนี้ยังมีการแสดงตำแหน่งที่ตั้ง, เครือข่ายผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต, เซิร์ฟเวอร์ ฯลฯ ด้วย

สามารถเข้าไปตรวจสอบความเร็วของอินเทอร์เน็ตได้ที่: Fast


2. Speedtest by Ookla

if2

เว็บไซต์ทดสอบความเร็วของอินเทอร์เน็ตจาก Ookla ซึ่งเป็นเว็บไซต์สำหรับทดสอบที่ได้รับการยอมรับและนิยมใช้งานเป็นอย่างมากจากทั่วโลก มีผู้ใช้งานมากกว่า 10 ล้านครั้งต่อวัน การใช้งานเว็บไซต์ง่ายมากๆ เพียงแค่เราเข้าไปยังเว็บไซต์ Ookla เริ่มต้นตัวระบบก็จะตรวจสอบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของเราก่อน รวมไปถึงเซิร์ฟเวอร์ด้วย จากนั้น ในการทดสอบความเร็ว ให้เรากดเลือกที่คำว่า Go เพื่อเริ่มการเช็คความเร็ว จากนั้นตัวเว็บก็จะแสดงค่าความเร็วอินเทอร์เน็ตออกมาให้เรา ประกอบไปด้วย

  • Download Speed หรือความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูล
  • Upload Speed หรือความเร็วในการอัปโหลดข้อมูล
  • ค่า Ping โดยจะแสดงเป็น Idle Latency, Download Latency และ Upload Latency
  • Server
  • เครือข่ายผู้ให้บริการ

สามารถเข้าไปตรวจสอบความเร็วของอินเทอร์เน็ตได้ที่: Ookla


3. nPerf

if3

เว็บไซต์ต่อมาก็คือ nPert ซึ่งได้รับความนิยมในการใช้งานไม่แพ้กัน โดย nPerf นั้น เป็นเว็บไซต์จากทางฝรั่งเศส แต่ภายในเว็บไซต์ก็รองรับการใช้งานภาษาไทยด้วย สามารถตรวจสอบและวัดความเร็วอินเทอร์เน็ตได้อย่างแม่นยำ มีการแสดงค่าต่างๆ ออกมาได้อย่างละเอียด การใช้งานก็สามารถเข้าไปใช้ได้ง่ายๆ เพียงแค่เข้าไปที่เว็บไซต์ nPerf จากนั้นกดคลิกเลือกที่ เริ่มทดสอบ หรือ Start test ระบบก็จะตรวจสอบและเช็คควมเร็วของอินเทอร์เน็ตให้เรา โดยจะแสดงค่าต่างๆ ออกมาดังนี้

  • ตำแหน่งที่ตั้งของพื้นที่ที่ทำการตรวจสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต
  • กราฟแสดงค่าต่างๆ ทั้ง Upload, Download, Latency
  • ตัวเลขแสดง Download Speed
  • ตัวเลขแสดง Upload Speed
  • ตัวเลขแสดง Latency
  • ข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ISP, Contention type, IPv4, IPv6, ASN, Browser และ System
  • เซิร์ฟเวอร์, แพ็กเกจอินเทอร์เน็ต รวจไปถึงเครือข่ายผู้ให้บริการ

สามารถเข้าไปตรวจสอบความเร็วของอินเทอร์เน็ตได้ที่: nPerf


4. True Internet Speedtest

if4.1

เว็บไซต์เช็คความเร็วเน็ตจาก TRUE ซึ่งมีความละเอียดในการแสดงค่าต่างๆ ค่อนข้างมากพอสมควร เป็นอีกเว็บไซต์หนึ่งเว็บไซต์ที่น่าใช้งาน ซึ่งการใช้งานก็ง่ายมากๆ เพียงแค่เราเข้าไปที่ True Internet Speedtest แล้วกดเลือกที่ Start test ระบบจะทำการตรวจสอบค่าต่างๆ เพื่อตรวจเช็คความเร็วของอินเทอร์เน็ต โดยจะมีค่าที่แสดง ดังนี้

  • ข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ISP, Contention type, IPv4, IPv6, ASN, Browser และ System
  • Download Speed ทั้งค่า Peak และ Average
  • Upload Speed ทั้งค่า Peak และ Average
  • Latency มีทั้ง Minimum, Average, Litter
  • ตำแหน่งที่ตั้ง

สามารถเข้าไปตรวจสอบความเร็วของอินเทอร์เน็ตได้ที่: True Internet Speedtest


5. TOT Speedtest

if5.1

สำหรับเว็บไซต์อีกเว็บไซต์หนึ่งที่อยากจะแนะนำในการตรวจสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต นั่นก็คือ TOT Speedtest ซึ่งมีสามารถใช้งานได้อย่างง่ายดาย แบ่งค่าต่างๆ ออกมาเป็นลักษณะของมาตรวัดที่ชัดเจน ทั้ง Download, Upload, Ping และ Jitter ในส่วนของการใช้งานก็ง่ายดายมาก เพียงแค่เข้าไปที่ TOT Speedtest จากนั้น กดคลิกที่ เริ่ม เพื่อเริ่มทำการตรวจสอบความเร็วของอินเทอร์เน็ต แล้วระบบก็จะทำการประมวลผล จากนั้นจะแสดงค่าต่างๆ ออกมาดังนี้

  • ความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูล หรือ Download Speed (Mbps)
  • ความเร็วในการอัปโหลดข้อมูล หรือ Upload Speed (Mbps)
  • Ping (ms)
  • Jitter (ms)

สามารถเข้าไปตรวจสอบความเร็วของอินเทอร์เน็ตได้ที่: TOT Speedtest


6. 3BB Speedtest

if6

สำหรับเว็บไซต์นี้ เป็นของผู้ให้บริการอย่าง 3BB ที่สามารถตรวจสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย เพียงแค่ไปที่ 3BB Speedtest แล้วจากนั้นกด Start เพื่อเริ่มการตรวจสอบ ระบบก็จะประมวลผลสักครู่แล้วแสดงค่าต่างๆ ออกมา โดยจะเป็นในลักษณะที่สามรถดูได้ง่าย เช่นเดียวกับของ TOT ในส่วนของค่าที่แสดงนั้น มีดังนี้

  • ความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูล
  • ความเร็วในการอัปโหลดข้อมูล
  • ค่า Ping
  • ตำแหน่งที่ตั้งและผู้ให้บริการ

สามารถเข้าไปตรวจสอบความเร็วของอินเทอร์เน็ตได้ที่: 3BB Speedtest


Speed Test by Speedcheck

wf1

Speedcheck เป็นอีกหนึ่งเว็บไซต์ที่น่าสนใจสำหรับการเช็คความเร็วเน็ต ที่สามารถเช็คได้ทั้งอินเทอร์เน็ต Wi-Fi และอินเทอร์เน็ตมือถือ สามารถเข้าไปใช้งานได้ง่ายๆ ด้วยการกดปุ่มเพียงครั้งเดียว ค่าที่ได้ก็ค่อนข้างมีความละเอียด แต่ข้อสังเกตของเว็บไซต์นี้คือมีโฆษณาภายในเว็บไซต์ค่อนข้างเยอะ แต่ก็ไม่ได้ขึ้นมาเยอะจนบดบังสายตา สำหรับค่าต่างๆ ที่เว็บไซต์แสดงให้เราดูหลังจากที่กดตรวจสอบวัดความเร็วอินเทอร์เน็ตแล้วนั้น มีดังนี้

  • ความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูล
  • ความเร็วในการอัปโหลดข้อมูล
  • ค่า Latency
  • IP-Address
  • ตำแหน่งที่ตั้งของเรา
  • ผู้ให้บริการเครือข่าย
  • ความปลอดภัย

สามารถเข้าไปตรวจสอบความเร็วของอินเทอร์เน็ตได้ที่: Speed Test by Speedcheck


และทั้งหมดนี้ก็คือเว็บไซต์สำหรับเช็คความเร็วเน็ต หรือ WiFi Speed Test เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเช็คความเร็วอินเทอร์เน็ตที่ตัวเองใช้งานอยู่ ว่ามีประสิทธิภาพที่ดีมากน้อยแค่ไหน มีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลที่ถูกต้อง ตรงตามที่แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตหรือผู้ให้บริการได้กล่าวอ้างหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ความเร็วอินเทอร์เน็ตนั้นก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายปัจจัยด้วยกัน ใครที่อยากลองทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตดูก็สามารถเข้าไปลองเช็คความเร็วอินเทอร์เน็ตกันได้เลย


อ่านบทความเพิ่มเติม / เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

เฟสบุ๊คเข้าไม่ได้, เข้าเฟสบุ๊คไม่ได้
แอพวัดขนาดน้องชาย, แอพวัดน้องชาย
RingSizeApp
นาฬิกาออกกำลังกาย ผู้ชาย
แอพหาคู่, แอพหาเพื่อน, แอพหาคนคุย, แอพหาเพื่อนคุย
แอพวัดที่ดิน
สมัครเน็ต AIS รายวัน, โปรเน็ต AIS รายวัน
นาฬิกาออกกำลังกาย 2023
โหลดคลิปจาก Facebook

from:https://notebookspec.com/web/691538-websites-for-internet-speed-test