คลังเก็บป้ายกำกับ: DELL_EMC

Dell EMC เปิดตัว Isilon รุ่น All-Flash เร็ว 25 ล้าน IOPS ความจุ 92.4PB #DellEMCWorld

All Flash Storage ได้กินส่วนแบ่งตลาดจัดเก็บข้อมูลใน Data Center ไปแล้ว 20% ทั่วโลก และ EMC ก็ประกาศเปิดตัว Dell EMC Isilon All-Flash ภายในงาน Dell EMC World 2016 ( #DellEMCWorld ) เป็นที่เรียบร้อย

dell_emc_isilon_all_flash

หลังจากที่ Dell EMC ได้วิจัยในโครงการ Project Nitro ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรม Blade ขนาด 4U ที่ได้กลายมาเป็น Dell EMC Isilon All-Flash ในตอนนี้ ทาง Dell EMC ก็ได้ประกาศเปิดตัว Dell EMC Isilon All-Flash ออกมาแล้วพร้อมประกาศเปิดตัวระบบปฏิบัติการ OneFS รุ่นใหม่ล่าสุดมาพร้อมกัน โดยมีคุณสมบัติใหม่ๆ ที่น่าสนใจดังนี้

  • มีความเร็วสูงถึง 25 ล้าน IOPS และมี Througput สูงถึง 1.5TBps
  • Chassis ขนาด 4U นั้นมีความจุสูงถึง 96TB และรองรับการเพิ่มขยายเป็น Scale-Out NAS สูงสุดได้ 400 Node ใน 100 Chassis รองรับความจุรวมกัน 92.4PB
  • มีเทคโนโลยี Next Generation Multi-Protocol Access ที่ทำให้ทุกๆ ข้อมูลสามารถูกเขียนอ่านได้พร้อมๆ กันจากผู้ใช้งานหลายๆ คนผ่านหลายโปรโตคอลพร้อมกันได้ ไม่ว่าจะเป็น NFS, SMB, HDFS, Object, NDMP, FTP และอื่นๆ
  • สามารถทำ Storage Tiering ได้ด้วยการทำ SmartPools และ CloudPools
  • มีอัตราการ Utilization สูงถึง 80% และยังประหยัดพื้นที่เพิ่มเติมได้มากกว่านั้นอีก 30% ด้วยเทคโนโลยี Isilon SmartDedupe
  • รองรับการควบคุมความปลอดภัยด้วยการกำหนดสิทธิ์, การแบ่งเขตการเข้าถึงข้อมูล, การกำหนด Write-Once Read Many (WORM), ระบบ File System Auditing, และเข้ารหัสข้อมูล Data-at-Rest ได้ด้วย Self-Encrypting Drive (SED)

Dell EMC Isilon รุ่น All Flash นี้เปิดให้สั่ง Pre-order ได้แล้ววันนี้ และจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายในปี 2017 พร้อมกับ OneFS รุ่นใหม่ที่จะเปิดให้ลูกค้าเก่าสามารถอัปเกรดได้ฟรีๆ ด้วย โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.emc.com/en-us/storage/isilon/index.htm นะครับ

ที่มา: http://www.emc.com/about/news/press/2016/20161019-05.htm

from:https://www.techtalkthai.com/dell-emc-announces-isilon-all-flash-with-25m-iops-at-dell-emc-world-2016/

Dell EMC เปิดตัว VxRail 4.0 เริ่มใช้ PowerEdge, เพิ่มความจุ 2 เท่า, เร็วขึ้น 40% #DellEMCWorld

หลังจากที่ Dell EMC VxRail เปิดตัวรุ่น 3.5 ไปเมื่อกลางปี ในที่สุด Dell EMC VxRail 4.0 ก็เปิดตัวในงาน Dell EMC World 2016 ( #DellEMCWorld ) เป็นที่เรียบร้อยแล้วในฐานะระบบ Hyper-Converged Infrastructure ใหม่ล่าสุดของ Dell EMC

dell_emc_vxrail_4-0

Dell EMC VxRail นั้นเป็นระบบ Hyper-Converged Infrastructure ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นปีนี้ และเริ่มเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยยอดขายกว่า 3,800 Node, 60,000 Cores, 700TB+ RAM, 25PB+ Storage ใน 90 ประเทศ โดยภายใน Dell EMC VxRail แต่ละชุดนั้นจะประกอบไปด้วยโซลูชัน Software Defined Data Center จาก VMware ทั้ง VMware vSphere, VMware vCenter และ VMware Virtual SAN (VSAN) พร้อมทั้งโซลูชัน Data Protection และ Marketplace จาก Dell EMC ให้พร้อมใช้งานภายในตัว

สิ่งที่เพิ่มเข้ามาใน Dell EMC VxRail 4.0 มีดังนี้

  • ใช้ Dell EMC PowerEdge Server เข้ามา ทำให้มีรุ่นใหม่ๆ มากขึ้นและรองรับการปรับแต่งต่างๆ ได้อีกกว่า 250 แบบ
  • รองรับ CPU Intel รุ่นใหม่ล่าสุด ทำให้มีความเร็วการประมวลผลสูงขึ้นอีก 40%
  • Flash Storage มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 2 เท่า
  • ใช้ 12Gbps SAS Interface แทน 6Gbps SAS Interface แล้ว
  • รองรับการเริ่มต้นใช้งานขั้นต่ำที่ 3 Node ประหยัดกว่าเดิม 25%
  • มีรุ่นเพิ่มเป็น 5 ตระกูล รองรับ Workload ได้หลากหลาย
  • การอัปเกรดจากรุ่น 3.5 มาเป็นรุ่น 4.0 นั้นทำได้ภายในคลิกเดียว

สำหรับ 5 ตระกูลของ Dell EMC VxRail ที่เปิดตัวมาใหม่นั้น มีดังนี้

  • G Series รุ่น General Purpose แบบ 2U/4Node มีทั้งแบบ All Flash และ Hybrid
  • V Series รุ่น VDI Optimized แบบ 2U/1Node พร้อม GPU ในตัว โดยจะใส่ GPU มาแต่แรกหรือไม่ก็ได้ รองรับการเพิ่ม GPU ภายหลังได้ มีทั้งแบบ All Flash และ Hybrid
  • S Series รุ่น Storage Dense แบบ 2U/1Node สำหรับรองรับ Microsoft SharePoint, Microsoft Exchange, Big Data และ Analytics โดยเฉพาะ มีเฉพาะแบบ Hybrid เท่านั้น
  • P Series รุ่น Performance Intensive แบบ 2U/1Node สำหรับรองรับ Workload หนักๆ อย่าง Database โดยเฉพาะ มีทั้งแบบ All Flash และ Hybrid
  • E Series รุ่น Entry ราคาประหยัด แบบ 1U/1Node สำหรับเริ่มต้นขนาดเล็ก และใช้งานได้ตาม Branch

dell_emc_vxrail_family

ที่มา: http://blogs.vmware.com/virtualblocks/2016/10/19/dell-emc-vxrail-4-0-announcement-new-models-use-cases/

from:https://www.techtalkthai.com/dell-emc-announces-vxrail-4-0-in-dell-emc-world-2016/

สรุปเนื้อหา Opening Session วิสัยทัศน์ของ Dell Technologies และ Dell EMC ในงาน Dell EMC World 2016 #DellEMCWorld

สำหรับงาน Dell EMC World 2016 ( #DellEMCWorld ) ที่กำลังจัดขึ้นอยู่ในตอนนี้ วันนี้ได้มี Opening Session เล่าวิสัยทัศน์จากเหล่าผู้บริหารระดับสูงของ Dell Technologies และบริษัทในเครือ ซึ่งทางทีมงาน TechTalkThai ก็ขอสรุปให้ได้อ่านกันดังนี้นะครับ

 

Michael Dell, Chairman & Chief Executive Officer, Dell Technologies

dell_emc_world_michael_dell

Michael Dell ได้เล่าถึงสถานการณ์โลกเราในปัจจุบันวว่ามีการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ กันมากถึง 8,000 ล้านชิ้นทั่วโลก และในปี 2031 ก็คาดว่าจะมีการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ มากถึง 200,000 ล้านชิ้นด้วยกัน ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ก็จะทำการส่งข้อมูลไปยัง Application ต่างๆ และนำข้อมูลมาใช้สร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ได้ นี่คือโอกาสของคนในรุ่นเรา และเป็นโอกาสที่ใหญ่มาก

ต่อจากนั้น Michael Dell ก็ได้เล่าถึงแนวคิดนวัตกรรม 10 เท่า ที่เทคโนโลยีทุกๆ อย่างจะพัฒนาขึ้น 10 เท่าในทุกๆ 5 ปี ดังนั้น ในอีก 15 ปีถัดจากนี้หรือปี 2031 เราจะมีทุกอย่างที่เร็วกว่าทุกวันนี้ 1,000 เท่า Smart City, Driverless Car, Drone และอื่นๆ ที่เราไม่เคยคิดฝันว่าจะเป็นจริงก็จะเป็นจริงขึ้นมาได้ สิ่งเหล่านี้ก็คือ Internet of Everything ที่จะทำให้โลกเราเกิด Industrial Revolution ครั้งใหม่ ที่จะเปลี่ยนทั้งการทำงาน การใช้ชีวิต และการเล่นของเรา

ด้วยข้อมูลปริมาณมหาศาลที่กำลังจะเกิดขึ้นบนโลกของเรา การนำ Artificial Intelligence (AI), Machine Learning (ML) และ Unsupervised Learning เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์และจัดการกับข้อมูลเหล่านั้น ก็จะช่วยสร้างองค์ความรู้และความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้กับมนุษยชาติและแก้ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของโลกได้ นี่เป็นยุคสมัยที่เรียกว่า Digital Dawn ซึ่ง Physical Reality จะเริ่มกลายเป็น Digital Reality แทน

จากการสำรวจเหล่า Executive 4,000 คนทั่วโลกนั้นก็พบว่า 45% นั้นกลัวว่าธุรกิจที่ดำเนินอยู่จะตกยุคภายในปี 3-5 ปี และ 48% ไม่รู้ว่าธุรกิจตัวเองจะเป็นอย่างไรในอีก 3 ปี ในขณะที่ 78% คิดว่าบริษัท Startup นั้นเป็นภัยคุกคามต่อธุรกิจของตน จะเห็นได้ว่าทุกคนนั้นกำลังกังวลกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ แต่อย่างไรก็ดี โลกจะหมุนต่อไปโดยไม่สนใจธุรกิจที่ตามไม่ทันโลก ซึ่งตรงนี้เองที่ Dell Technologies จะเข้ามาช่วยธุรกิจให้สามารถก้าวไปสู่การเป็น Digital Business ให้ได้สำเร็จ โดยภายใน Dell Technologies ก็จะประกอบไปด้วยธุรกิจในเครืออย่าง Dell, Dell EMC, Pivotal, RSA, SecureWorks, Virtustream และ VMware ที่จะมาช่วยให้การทำ Digital Transformation สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

dell_emc_world_dell_technologies_family

หลังจากการเข้าซื้อกิจการของ EMC แล้วเสร็จ ปัจจุบัน Dell Technologies ก็ได้กลายเป็นที่ 1 ในหลากหลายเทคโนโลยีระดับองค์กร ไม่ว่าจะเป็น Servers, Storage, Virtualization, Security, Cloud Software & Infrastructure, Software-Defined Data Center, Converged & Hyper-Converged Infrastructure และ Platform-as-a-Service โดยถือครองสิทธิบัตรจำนวนมากกว่า 20,000 ฉบับ และมีงบประมาณสำหรับการทำ Research & Development ในแต่ละปีสูงถึง 4,500 ล้านเหรียญ สูงกว่างบของคู่แข่งรายใหญ่ในปีหน้าถึง 2 เท่า รวมถึงยังมี Supply Chain ที่ดีที่สุดซึ่งรองรับการให้บริการได้ทั่วโลกอีกด้วย

dell_emc_world_no_1

ปัจจุบัน Dell Technologies มี Partner ใหญ่ที่สุดในโลก และมีลูกค้าเกินกว่า 10 ล้านรายทั่วโลก

การเป็น Private Company ของ Dell Technologies นี้ก็ทำให้มีความคล่องตัวสูงและสามารถดำเนินธุรกิจได้ง่าย และมุ่งเป้าไปที่การดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจระยะยาวได้ ต่างจากบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ต้องคำนึงถึงผลกำไรเป็นหลัก เป็นอีกจุดแข็งหนึ่งของ Dell Technologies

หลังเข้าซื้อกิจการของ EMC เรียบร้อย ตอนนี้ Dell สามารถนำเสนอทุกโซลูชันให้กับลูกค้าทั่วโลกได้ด้วย Product Portfolio ขนาดใหญ่ที่เป็นอันดับหนึ่งของโลกจำนวนมาก และมีทีมงานกว่า 60,000 คน 120,000 Certificate สนับสนุนใน 165 ประเทศทั่วโลก

ถ้าองค์กรไหนต้องการทำ Digital Transformation ทาง Dell Technologies ก็พร้อมช่วยเสมอ โดย Pivotal Cloud Foundry เป็นระบบที่ Dell Technologies จะใช้ในการช่วยเหล่าธุรกิจต่างๆ ในการก้าวเข้าสู่การทำ Digital Transformation ให้สามารถใช้ IT Infrastructure ใดๆ ก็ได้ทั้ง Cloud และ On-premises โดยไม่จำกัดว่าเป็นเทคโนโลยีของผู้ผลิตใด และจะช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถเลือกใช้ IT Infrastructure ที่ดีที่สุดได้ และนอกจากนี้ถ้าหากองค์กรไหนต้องการทำ Cloud ทาง Dell EMC ก็มีเทคโนโลยีสำหรับตอบโจทย์ได้อย่างครบถ้วนทุกรูปแบบ ด้วยเทคโนโลยีล่าสุดอย่าง Flash, Scale Out และ Software Defined ก็สามารถทำให้องค์กรต่างๆ สามารถนำสิ่งที่ดีที่สุดไปใช้ได้ทันที ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก, ธุรกิจขนาดใหญ่ หรือหน่วยงานรัฐบาลก็ตาม โดยการเลือก IT Infrastructure ที่ดีนั้นจะทำให้องค์กรสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น และนำเงินในส่วนนั้นไปสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ประเด็นนี้จึงมีความสำคัญมากทีเดียว

 

David Goulden, President, Infrastructure Solutions Group, Dell EMC

dell_emc_world_vxrail

David Goulden ได้เริ่มต้นจากการเสริมข้อมูลการสำรวจเหล่า Executive จำนวน 4,000 คนนอกเหนือจากที่ Michael Dell ได้นำเสนอไปแล้วอีกว่า 53% ของผู้ถูกสำรวจนั้นคาดหวังว่าจะเกิดการก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่ในอุตสาหกรรมที่ตนทำงานอยู่ และ 92% เห็นว่าการเริ่มต้นก้าวไปสู่การเป็น Digital Business นั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ

มองย้อนกลับไป 15 ปีที่ผ่านมาเรามักจะใช้ IT ในการจัดการงานในฝั่ง Back Office เป็นหลักในการทำธุรกิจ แต่ 15 ปีถัดจากนี้ที่ทุกอย่างจะพัฒนาขึ้นนับพันเท่า IT จะเข้าไปอยู่ในทุกๆ อย่างและกลายเป็นธุรกิจในตัวเอง ซึ่งภาพนี้ก็คือ Digital Business นั่นเอง

ในแง่ของการลงทุน ตั้งแต่ปี 2000 – 2015 นั้นการลงทุนทางด้าน IT นั้นเติบโตขึ้นมาเป็นอย่างมากในระบบ IT Infrastructure แบบเดิมๆ แต่ถัดจากนี้ไปการลงทุนสำหรับ IT Infrastructure แบบเดิมๆ นั้นก็จะเข้าสู่ Optimization Mode และมีการลงทุนน้อยลงเรื่อยๆ เพื่อนำเงินส่วนที่เหลือไปลงทุนกับการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อทำ Digital Transformation แทน และทำให้การลงทุนภาพรวมของ IT นั้นเติบโตยิ่งขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ

IT สำหรับองค์กรตอนนี้มีแบ่งเป็นสองส่วน ได้แก่ Traditional และ Cloud-Native โดย Traditional IT นั้นจะมีลักษณะแบบ Stateful, Scale Up, IT Centric ในขณะที่ Cloud-Native นั้นจะเป็นแบบ ScaleOut, Application Resiliency, DevOps Centric แทน ซึ่ง Dell EMC ก็มีเทคโนโลยีเพื่อรองรับการสร้าง IT Infrastructure ที่รองรับความต้องการเหล่านี้ได้อย่างครอบคลุม เป็นแนวคิดที่ Dell EMC ตั้งชื่อให้ว่า Modern IT

การรองรับ Modern IT ให้ได้ทั้ง On-premises และ Off-Premises นั้นคือรองรับ Hybrid Cloud และ Multi-Cloud ให้ได้ โดยปริมาณการใช้งานของทั้งสอง IT Infrastructure นี้อาจจะแตกต่างกันไปตามความต้องการของ Workload ซึ่งการทำ Hybrid Cloud นั้นก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 24% เมื่อเทียบกับระบบ IT Infrastructure แบบเดิม รวมถึงสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการริเริ่มโครงการใหม่ๆ ได้ถึง 40% และจุดนี้ก็จะทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างองค์กรที่ทำ Hybrid Cloud และไม่ทำ Hybrid Cloud อันจะส่งผลให้การก้าวไปสู่การเป็น Digital Business ได้สำเร็จนั้นมีอัตราความสสำเร็จที่ต่างกันถึง 3 เท่าเลยทีเดียว

ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็น Traditional IT Infrastructure หรือ Cloud-Native IT Infrastructure ก็ตาม Dell EMC นั้นมี Engineered Solution เตรียมพร้อมให้องค์กรเริ่มต้นใช้งานเพื่อเป็นฐานแก่การทำ Hybrid Cloud ได้ทันทีทั้งแบบ On-premises และ Off-premises รวมถึงยังสามารถทำงานร่วมกับบริการ Cloud ชั้นนำจาก VMware, IBM, AWS, Microsoft และ Google ได้อีกด้วย

การมี Engineered Solution นี้จะช่วยให้องค์กรสามารถสร้าง IT Infrastructure ที่ตนเองต้องการได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องกังวลกับความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างการติดตั้งและใช้งาน ความต้องการเหล่านี้ได้สะท้อนออกมาเป็นการเติบโตของ Converged Infrastructure ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่ง Dell EMC ก็มีโซลูชันต่างๆ สำหรับทั้ง Converged Infrastructure และ Hyper-Converged Infrastructure ดังนี้

  • Dell EMC VBlock/VxBlock ประกอบด้วย Cisco (Server/Network), Dell EMC (Storage) และ VMware (Virtualization)
  • Dell EMC VxRail ประกอบด้ววย Dell EMC (Server/Data Protection) และ VMware (Virtualization/Software-Defined Storage)
  • Dell EMC VxRack ประกอบด้วย Dell EMC (Server) โดยจะเป็น Hyper-Converged Infrastructure เอนกประสงค์ขนาดใหญ่ที่รองรับได้ถึง 1,000 Node และ 10,000 VM ในระบบเดียว พร้อมระบบเครือข่ายภายในตัว
  • Dell EMC XC Series ประกอบด้วย Dell EMC (Server) และ Nutanix (Software-Defined Storage)

dell_emc_world_vxrack

การที่ Dell EMC สามารถนำเสนอโซลูชันนี้ได้อย่างมั่นใจ เพราะ Dell EMC นั้นเป็นอันดับ 1 ทางด้าน Converged, Storage, Server, Flash, SDS, Virtualization และ Data Protection ทำให้โซลูชันเหล่านี้เกิดจากการนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดมาผสานกันนั่นเอง

ตอนนี้โลกเริ่มเปลี่ยนจากการใช้ Converged กลายเป็น Hyperconverged แทน โดยแนวคิดของการทำ Flash Server ที่ใช้ CPU ประสิทธิภาพสูงคู่กับ Flash มาทำ Scale-out ด้ววย Hyperconverged ผ่าน Software Defined Storage ก็เป็นอนาคตของ Data Center โดย Dell EMC VxRAIL จำนวน 3 Node ที่มีขนาดรวมกัน 3U นี้สามารถรองรับได้ถึง 200 VM ซึ่งหากเป็น 15 ปีที่แล้วก็ต้องใช้ Disk มากถึง 2,292 ลูกเลยทีเดียว และปัจจุบัน VxRAIL ก็รองรับการเพิ่มขยายได้ถึง 64 Node ทำให้สามารถรองรับการใช้งานได้หลากหลาย Workload

ส่วน Server นั้น Dell EMC ก็ยังครองความเป็นที่ 1 เอาไว้ได้ด้วย PowerEdge เช่นเคย

dell_emc_world_poweredge

สำหรับ Storage นั้น Dell EMC เชื่อว่า 1 size does not fit all และ Dell EMC ก็มี Storage หลากหลายให้ใช้งานได้ครบทุกความต้องการทั้งสำหรับ Traditional Storage และ Cloud-Native Storage สำหรับทั้ง On-premises และ Off-premises อย่างครบถ้วน โดยมีอัปเดตผลิตภัณฑ์ใหม่ที่น่าสนใจดังนี้

  • Dell EMC VMAX 250F All Flash รุ่นใหม่ล่าสุด จุข้อมูลได้หลัก Petabyte และหลายล้าน IOPS
  • Dell EMC Unity รองรับ 400TB All Flash Raw Capacity และ Cloud Tiering
  • Dell EMC XtremIO ขายดีมาก และรองรับการทำ NAS ในตัวด้วย Dell FluidFS แล้ว
  • Dell EMC Data Domain เปิดตัวใหม่ 4 รุ่น มี Cloud Tiering และ Flash-enabled
  • Dell EMC Data Domain Virtual Edition (DD VE) รุ่นใหม่ รองรับความจุ 96TB ในเครื่องเดียว ทำให้สามารถทำ Software Defined Data Protection ได้แล้ว
  • Dell EMC Compellent SC Series สามารถทำงานร่วมกับ PowerPath, ViPR, VPLEX, RecoverPoint และ Data Protection Suite ได้แล้ว
  • Dell EMC DSSD ผ่าน Benchmark สำหรับ Oracle, SAP และการทดสอบประสิทธิภาพอื่นๆ พร้อมใช้งานในองค์กรได้อย่างมั่นใจ
  • Dell EMC ScaleIO รองรับ Dell EMC PowerEdge Server แล้ว
  • Dell EMC Isilon รุ่น All Flash มี Throughput สูงขึ้น 10 เท่าเป็น 1.5TB/s, มี Density สูงขึ้น 10 เท่า, มีความจุได้ 100PB, ขยายได้เกินกว่า 400 Node
  • Dell EMC ECS รองรับ Dell EMC PowerEdge แล้ว ทำให้มีราคาถูกกว่าการเช่าใช้ Public Cloud 60% และสามารถตั้ง Dedicated ECS บน Virtustream ได้

dell_emc_world_storage

2 ประเด็นสำคัญที่ David Goulden ทิ้งท้ายเอาไว้ ก็คือการเปิดตัว OpenScale Flexible Payment Options ทั้งออปชั่นเดิมจาก Dell และจาก EMC และการที่ Dell EMC Services มีผู้เชี่ยวชาญและ Partner ทั่วโลกรวมกันถึง 60,000 ราย พร้อมให้บริการได้ทุกระดับ ซึ่ง Dell EMC ก็อยากเป็นผู้ช่วยให้องค์กรสามารถทำ Digital Transformation ได้สำเร็จต่อไปนั่นเอง

 

Jeff Clarke, Vice-chairman of Operations and President of Client Solutions for Dell & Frank Azor, Co-founder, Alienware

ประเด็นแรกที่ Jeff Clarke นำมาพูดถึงก่อนเลยก็คือ Workforce Transformation รูปแบบการทำงานจะเปลี่ยนไป จำนวนอุปกรณ์ที่ใช้งานก็จะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และองค์กรก็ต้องรับกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ให้ทัน ซึ่งเทคโนโลยีเองก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะใช้ดึงดูดเหล่าพนักงานที่เป็นคนรุ่นใหม่เข้ามาได้

อย่างไรก็ดีความปลอดภัยนั้นก็ยังเป็นเรื่องสำคัญ โดยจากผลสำรวจนั้นพบว่า 95% ของ Breach เกิดจากการโจมตีเข้ามาทาง Edge Device และ 45% ขององค์กรเองก็เกิดเหตุ Data Breach ใน 24 เดือนที่ผ่านมา ประเด็นเหล่านี้ถือว่าสำคัญมากในการที่จะเปลี่ยนการทำงานให้เป็นแบบใหม่ได้อย่างปลอดภัย การรวมบริษัทกันครั้งนี้ระหว่าง Dell และ EMC ทำให้ Dell EMC มีทั้ง Dell, Mozy, VMware AirWatch และ RSA มาช่วยกันปกป้องผู้ใช้งานและการทำธุรกิจให้ปลอดภัยจากการโจมตี Mozy จะแบ็คอัพ, RSA ตรวจจับการโจมตีและยืนยันตัวตน AirWatch บริหารจัดการ ทำให้ Endpoint Security ครบภาพแล้วสำหรับโซลูชันจาก Dell

ถัดจากนั้น Frank Azor ก็ได้มาเล่าถึงทิศทางของ Alienware ที่จะก้าวไปสู่การเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์พลังประมวลผลสูงเพื่อรองรับการมาของ Virtual Reality (VR) โดยตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจก็คือการนำ VR มาใช้ในการฝึกอบรมพนักงานโดยไม่ต้องใช้ Hardware หรือเครื่องจักรจริงอีกต่อไป ลองดูตัวอย่างได้ที่ https://www.esi-group.com/software-solutions/virtual-reality/icido นะครับ

 

ก็ขอจบการสรุปเนื้อหาเพียงเท่านี้ครับ มีบางส่วนที่ข้ามไปเหมือนกัน ใครที่สนใจก็สามารถติดตามดูคลิปย้อนหลังและ Live สดได้ที่ http://dellemcworld.com/live/stream นะครับ

from:https://www.techtalkthai.com/dell-emc-world-2016-opening-session-by-michael-dell-david-goulden-jeff-clarke-and-frank-azor/

Michael Dell: องค์กรและ Partner ต้องร่วมกันสร้างอนาคตใหม่ของโลกใบนี้ร่วมกัน #DellEMCWorld2016

Michael Dell ผู้ดำรงตำแหน่ง Chairman และ CEO รวมถึงยังเป็นผู้ก่อตั้งของ Dell Technologies ได้กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ที่มีต่ออนาคตของโลกใบนี้ ใน Dell EMC Partner Summit ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Dell EMC World 2016 ( #DellEMCWorld2016 ) ที่กำลังจัดขึ้นใน Austin, Texas ในเวลานี้

Michael Dell Credit: http://dellemcworld.com/2016/speakers?reveal=speaker7256
Michael Dell Credit: http://dellemcworld.com/2016/speakers?reveal=speaker7256

ก่อนหน้านี้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในโลกนั้นเป็นตัวนำพาให้อุตสาหกรรมต่างๆ ได้ปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานหรือธุรกิจให้ดีขึ้น แต่ Michael Dell ได้มองไปถึงอนาคตและเห็นว่าถัดจากนี้ไปที่เป็นยุคสมัยของการทำ Digital Transformation นั้น ไม่มีใครรู้จริงๆ ด้วยซ้ำว่ามันจะหมายถึงอะไร และเขาก็เชื่อว่า Dell เองไม่ต้องพยายามทำนายมันด้วยซ้ำ เพราะ Dell จะเป็นผู้ที่คอยสนับสนุนทางด้าน IT Infrastructure ให้กับภาคธุรกิจต่างๆ และแต่ละธุรกิจเองก็ต้องร่วมมือกับ Partner ของ Dell ในการประดิษฐ์และผสมผสานนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ด้วยตัวเอง

Michaell Dell ยังได้กล่าวถึงประเด็นของการที่ข้อมูลใหม่ๆ จะเกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และความท้าทายสำคัญอย่างหนึ่งก็คือการช่วยให้ลูกค้าแต่ละรายมองเห้นภาพให้ได้ว่าจะนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ทำอะไรได้บ้าง โดยการมาของเทคโนโลยีอย่าง Artificial Intelligence (AI), Machine Learning (ML) และ Deep Learning (DL) นั้นจะทำการเรียนรู้ข้อมูลเหล่านั้นแบบ Unstructured Learning ซึ่งถ้าหากเรายิ่งเพิ่มพลังการประมวลผลลงไปในระบบเท่าไหร่ ธุรกิจก็จะยิ่งค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลใหม่ๆ มากขึ้นเท่านั้น โดยสิ่งที่ค้นพบเหล่านี้ก็จะเกินกว่าขอบเขตที่มนุษย์จะค้นพบเองด้วยคณิตศาสตร์ได้ ซึ่งนี่ก็คือความน่าสนใจของศาสตร์ทางด้าน Computer Science และเรื่องนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้ไป

นอกจากนี้ Michael Dell เองก็ได้ให้ความเห็นถึงการผสานศาสตร์ทางด้าน Biosciences และ Information Sciences ด้วยเช่นกันว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก และจะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดคำถามว่ามนุษย์เรานั้นจะปรับตัวได้รวดเร็วตามเทคโนโลยีทันหรือไม่อีกด้วย

สัปดาห์นี้ก็คงจะมีข่าวอัปเดตใหม่ๆ จากงาน Dell EMC World 2016 ออกมาเป็นระยะๆ นะครับ นอกจากนี้ VMworld 2016 ก็ยังจัดที่ยุโรปอยู่ด้วย คงมีอะไรให้ติดตามกันไม่น้อยเลยครับสัปดาห์นี้

ที่มา: http://www.crn.com/news/channel-programs/300082481/michael-dells-vision-for-partners-its-you-and-your-customers-driving-the-future-of-the-world.htm

from:https://www.techtalkthai.com/michael-dell-businesses-and-dell-partners-to-drive-the-future-of-the-world/

Dell EMC เปิดตัว Data Domain รุ่นใหม่ ใช้ Flash ช่วยสำรองข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เชื่อมต่อ Cloud และ Hadoop ได้

Dell EMC ได้ประกาศเปิดตัว Data Domain อัปเดตใหม่ล่าสุด ที่มีทั้ง Software รุ่นใหม่และ Hardware รุ่นใหม่ที่รองรับการใช้งาน Flash สำหรับการสำรองข้อมูลและกู้คืนด้วยความเร็วสูง โดยมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้

dell_emc_data_domain

  • มี Data Domain Cloud Tier ระบบ Software สำหรับเชื่อมต่อไปยัง Public Cloud หรือ Private Cloud เพื่อใช้เป็น Tier สุดท้ายในการจัดเก็บข้อมูลที่ทำการสำรองเอาไว้ได้สูงสุดถึง 150PB และสามารถทำงานร่วมกับ Dell EMC Elastic Cloud Storage (ECS) และ Virtustream Storage Cloud ได้
  • เปิดตัวรุ่นใหม่ด้วยกัน 4 รุ่น ได้แก่ DD6300, DD6800, DD9300 และ DD9800 ซึ่งรองรับความจุสูงสุดได้ 50PB (ไม่นับ Data Domain Cloud Tier), รองรับการเพิ่มความเร็วได้ด้วย Flash และมีความเร็วในการสำรองข้อมูลสูงสุด 31TB/hr – 68TB/hr
    dell_emc_data_domain_spec_2016
  • เปิดตัวระบบปฏิบัติการ Data Domain OS 6.0 (DD OS 6.0) สามารถเชื่อมต่อกับ Hadoop ผ่านทาง Data Protection Suite เพื่อสำรองข้อมูลของระบบ Big Data ได้

Dell EMC Data Domain รุ่นใหม่นี้พร้อมวางจำหน่ายแล้ว ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อ Dell EMC ได้ทันที

ที่มา: http://www.storagenewsletter.com/rubriques/systems-raid-nas-san/dell-emc-has-revealed-software-and-new-data-domain-protection-storage-systems/

from:https://www.techtalkthai.com/dell-emc-launches-new-data-domain-family-with-new-software/

Dell EMC ประกาศ Partner Channel Program ใหม่ บังคับใช้ทั้งอดีต Partner ของ Dell และ EMC #DellEMCWorld2016

ภายในงาน Dell EMC World 2016 ( #DellEMCWorld ) ที่กำลังจัดขึ้นอยู่นี้ Dell EMC ได้ออกมาเผยถึง Partner Program ใหม่ที่จะบังคับใช้สำหรับเหล่า Reseller ทั่วโลกภายในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2017

dell_emc_003

Dell EMC ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า Partner Programe ที่จะถูกกำหนดขึ้นใหม่นี้จะอ้างอิงอยู่บนหลักการด้วยกัน 3 ข้อ ได้แก่ Simple (ง่าย), Predictable (ทำนายได้), Profitable (มีกำไร) เพื่อให้เหล่า Dell EMC Partner ในทุกๆ กลุ่มทั้ง Solution Provider, Cloud Service Providers, Global Alliance และ OEM Solution สามารถเติบโตร่วมกันไปกับ Dell EMC ได้ โดยจะนำเอาข้อดีของ Partner Program เดิมที่ทั้งสองบริษัทเคยใช้งานมารวมกัน และเสริมโอกาสใหม่ๆ ให้กับ Partner ทุกรายด้วย Portfolio ของผลิตภัณฑ์ที่กว้างขึ้นและเป็นอันดับ 1 ของโลกในหลายๆ ผลิตภัณฑ์

ใน Partner Program ที่จะบังคับใช้ในอนาคตนี้จะแบ่ง Partner ออกเป็น 4 ขั้นด้วยกัน ได้แก่ Gold, Platinum, Titanium และ Titanium Black โดย Titanium Black นี้ถือเป็นระดับสูงสุดสำหรับ Partner แบบ Exclusive ที่ทำยอดขายได้สูงเป็นพิเศษ

ก้าวนี้ถือว่าค่อนข้างสำคัญทีเดียว เพราะที่ผ่านมาทั้ง Dell และ EMC ต่างก็เริ่มต้นในธุรกิจและเติบดตมาด้วยการเป็นบริษัที่ขายตรงเข้าไปยังองค์กรต่างๆ แต่เมื่อโซลูชันนั้นเริ่มมีความซับซ้อนสูงขึ้น และความนิยมของการใช้ Cloud ที่เติบโตขึ้นเองนั้น ก็ทำให้ทั้งสองบริษัทต่างต้องปรับตัวเข้าหาตลาดด้วยการทำธุรกิจผ่าน Partner แทนเพื่อเสริมในประเด็นของการขายและการบริการเชิงเทคนิคแก่องค์กรของลูกค้าที่ต้องใช้ความรู้เฉพาะทางในการผสมผสานโซลูชันจากหลากหลายผู้ผลิตและผู้ให้บริการมากขึ้น

สำหรับรายละเอียดฉบับเต็มว่า Partner Program นี้จะเป็นอย่างไร อีกไม่นานคาดว่าจะมีประกาศออกมาจากทาง Dell EMC โดยตรง ใครเป็น Partner ของ Dell หรือ EMC หรือ Dell EMC ก็เตรียมรอฟังรายละเอียดจากทาง Vendor ได้โดยตรงเลยนะครับ

ที่มา: http://www.arnnet.com.au/article/608766/dell-emc-unveils-combined-channel-program-preview/?utm_medium=rss&utm_source=taxonomyfeed

from:https://www.techtalkthai.com/dell-emc-announces-new-partner-channel-program-which-will-be-used-by-february-2017/

Dell เปิดตัว Micro Modular Data Center รองรับ IoT เตรียมโชว์ในงาน Dell EMC World 2016

ด้วยการเติบโตของ Internet of Things (IoT) ที่คาดว่าจะเป็นไปอย่างรวดเร็วนับถัดจากนี้ Dell จึงได้วางแผนช่วยให้เหล่าธุรกิจ ISP และองค์กรเตรียมรับมือกับการเกิดขึ้นของข้อมูลปริมาณมหาศาลที่ต้องการวิเคราะห์เป็นจำนวนมากได้ด้วยการเปิดตัว Dell Micro Modular Data Center (MDC) ที่จะช่วยให้การสร้าง Data Center สำเร็จรูปสำหรับการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่กลายเป็นเรื่องง่าย

dell_micro_mdc

Dell Micro MDC นี้จะมีการติดตั้งทั้ง Hardware สำหรับการทำ Compute, Storage และ Networking อย่างครบถ้วนพร้อมระบบ Power และ Cooling ภายในตัว ทำให้การสร้าง Distributed Data Center นั้นเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว เกิดเป็นชั้นของการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลก่อนที่จะมีการส่งข้อมูลต่อไปยัง Data Center ส่วนกลางหรือบริการ Cloud ได้นั่นเอง

ตู้ Rack ภายใน Dell Micro MDC นี้จะติดตั้ง Dell DSS 9000 Rack-Scale Infrastructure เอาไว้ให้พร้อมใช้งาน และรองรับการเพิ่มขยายได้สูงสุดเกินกว่า 24 Rack ภายในระบบเดียว โดยสามารถบริหารจัดการจากศูนย์กลางได้ผ่านทาง Intel Rack Scale Design (RSD), Redfish และ OpenStack ทั้งหมด

ที่มา: http://en.community.dell.com/dell-blogs/dell4enterprise/b/dell4enterprise/archive/2016/10/11/transforming-infrastructure-at-the-edge

from:https://www.techtalkthai.com/dell-announces-micro-modular-data-center-for-iot-with-demo-in-dell-emc-world-2016/

[PR] มุ่งหน้าสู่การเป็นองค์กรที่พร้อมสำหรับอนาคต

หากเรามองย้อนกลับไปยังช่วงเริ่มต้นของสหัสวรรษใหม่นี้ เราจะมองเห็นถึงความเคลื่อนไหวหลายอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการที่อเมซอนพยายามหาวิธีที่จะนำร้านหนังสือไปใส่ไว้ในกระเป๋า หรือการนินเทนโดก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้าน Multi-player Gameplay หรือรูปแบบเกมที่มีผู้เล่นได้หลายคน ซึ่งในอีก 16 ปีถัดมาหลังจากนั้น อเมซอนก็หันมาเป็นผู้ขายสินค้าทุกอย่างและขายปลีกทุกสิ่ง ในขณะที่นินเทนโดก็เปิดตัววิดีโอเกมเพลย์ที่ต้องแสดงท่าทางในการเล่น แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เรายังเป็นพยานรับรู้ถึงเหตุการณ์อันน่าตกใจที่บริษัทยักษ์ใหญ่ที่อยู่มายาวนาน อย่างโกดัก รายได้กลับร่วงดิ่งลงจนไม่สามารถกู้ธุรกิจกลับมาได้

Credit: ShuttetStock.com
Credit: ShuttetStock.com

ข้อเท็จจริงที่เป็นที่รู้กันดีก็คือ จำนวน 4 ใน 10 ของบริษัทที่มีรายชื่ออยู่ในทำเนียบฟอร์จูน 500 ในปัจจุบัน จะสูญหายไปภายใน 10 ปีข้างหน้า และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ อายุขัยการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่อยู่ในทำเนียบดัชนี S&P 500 จากที่เคยอยู่มายาวนานกว่า 50 ปีในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา จะลดสั้นลงเหลือแค่เพียง 15 ปีในยุคปัจจุบัน ด้วยการมาถึงของยุคดิจิทัล บริษัท และองค์กรธุรกิจต่าง ๆ ต่างต้องพัฒนา และปรับเปลี่ยนตัวเองด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ( Digital Transformation ) เพื่อให้อยู่รอดได้ในทำธุรกิจ บริษัทหลายแห่งที่เปลี่ยนโฉมไปสู่ดิจิทัลได้ ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวประโยชน์ทั้งจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น การมีแหล่งรายได้ใหม่เพิ่มเข้ามา การสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้เพิ่มมากขึ้น ทั้งสามารถผูกใจพนักงานให้อยู่กับองค์กรได้นานยิ่งขึ้น

คุณพร้อมสำหรับอนาคตมากแค่ไหน?

อย่างที่ทราบกัน โลกที่เราอยู่ในตอนนี้อยู่ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา ความก้าวหน้าของนวัตกรรมในปัจจุบันพัฒนาไปอย่างรวดเร็วกว่าที่ผ่าน ๆ มา ซึ่งองค์กรต้องตระหนักรู้ว่าพลังในการควบคุมสิ่งต่าง ๆ นั้นกำลังเปลี่ยนแปลงไปตามความพึงพอใจของลูกค้า

การศึกษาดัชนีความพร้อมรับอนาคตของ ไอดีซี ประจำปี 2015 ซึ่งเดลล์ สนับสนุนการจัดทำ เผยให้เห็นว่าการให้บริการด้านไอทีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทันต่อเวลาได้มากเท่าไหร่ ก็จะส่งผลต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวในการทำธุรกิจได้มากเท่านั้น องค์กรที่ “พร้อมรับอนาคต” สามารถดำเนินการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้เร็วกว่าองค์กรอื่น อีกทั้งยังสามารถเตรียมพร้อมเพื่อก้าวสู่การเป็น “นักปฏิรูป” ด้วยตัวเองได้มากกว่าเช่นกัน ทั้งนี้ ไอดีซี ได้ระบุความพร้อมรับอนาคตขององค์กรธุรกิจใน 4 ระดับด้วยกัน ได้แก่ ผู้สร้างอนาคต ( Future Creators ) ผู้มุ่งเน้นที่อนาคต ( Future Focused ) ผู้ตระหนักถึงอนาคต ( Future Aware ) และ ผู้มุ่งเน้นเฉพาะปัจจุบัน ( Current Focused )

ไอดีซี ได้จัดให้ 16 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบการสำรวจ เป็นองค์กรที่มุ่งเน้นเฉพาะปัจจุบัน อีก 32 เปอร์เซ็นต์ เป็นองค์กรที่ตระหนักถึงอนาคต โดย 33 เปอร์เซ็นต์ เป็นองค์กรที่มุ่งเน้นอนาคต และอีก 18 เปอร์เซ็นต์ เป็นองค์กรผู้สร้างอนาคต โดยท้ายที่สุดของการจัดอันดับแสดงให้เห็นว่า องค์กรที่มุ่งเน้นเฉพาะอนาคตจะเป็นผู้ที่ยึดมั่นกับเทคโนโลยีแบบดั้งเดิมมาก ในขณะที่ผู้ที่ขี่กระแสคลื่นแห่งการเปลี่ยนโฉมไปสู่ดิจิทัลก็คือ ผู้สร้างอนาคต ซึ่งก็คือองค์กรที่อยู่เหนือการแข่งขันด้วยการนำแพลตฟอร์มที่ให้ความคล่องตัวในการทำงานรวมถึงบิ๊กดาต้ามาใช้ ส่วนองค์กรที่จัดอยู่ประเภทอื่น ๆ ก็จะพลาดประโยชน์ที่จะได้รับอย่างเต็มที่จากความพร้อมรับอนาคต

เอเชียแปซิฟิก เป็นภูมิภาคที่ได้รับการจัดให้อยู่ในแถวหน้าของคลื่นการเปลี่ยนแปลงนี้ในปี 2016 โดยกว่าครึ่งขององค์กรที่เป็นผู้สร้างอนาคตรับรู้ได้ว่าลูกค้ามีความพึงพอใจเพิ่มขึ้นมาก โดยกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ รายงานว่ามียอดขายพุ่งสูงขึ้น

หนทางสู่การเป็นผู้สร้างอนาคต ( Future Creators )

ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้สร้างอนาคตทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จะไม่หลับใหลในช่วงของคลื่นแห่งการเปลี่ยนสู่ดิจิทัล และผู้ที่มีความพร้อมด้วยระบบโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่แข็งแกร่งก็จะยืนหยัดอยู่เหนือกระแสที่กำลังไหลเชี่ยวที่ทุกสิ่งอยู่ในรูปของดิจิทัลและเชื่อมต่อถึงกัน และต่อไปนี้คือสามองค์ประกอบด้านไอทีที่ช่วยให้องค์กรธุรกิจในปัจจุบันก้าวไปสู่ความสำเร็จได้

  • ระบบวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ( BDA-Big Data Analytics ) ช่วยสร้างข้อมูลธุรกิจในเชิงลึกยิ่งขึ้น

ระบบวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ BDA ทำหน้าที่เสมือนเป็นเกตเวย์ในการส่งมอบข้อมูลไปยังผู้ที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสม โดยส่วนใหญ่องค์กรที่มีความล้ำหน้ามักใช้ BDA มาช่วยให้ฟังก์ชั่นสำคัญทางธุรกิจดำเนินไปโดยอัตโนมัติเพื่อเพิ่มความแม่นยำและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน นอกจากนี้ดัชนีองค์กรที่พร้อมสำหรับอนาคต พบว่าองค์กรที่มุ่งเน้นเฉพาะปัจจุบันไม่ได้มีกลยุทธ์ด้านบิ๊กดาต้าและการวิเคราะห์ ( BDA ) หรือมีแต่น้อยมาก และข้อมูลที่ได้จาก BDA ก็แทบไม่ช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น ในทางกลับกัน องค์กรผู้สร้างอนาคต ได้นำกลยุทธ์ BDA มาใช้ทั่วทั้งองค์กร นอกจากนี้ที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจก็มีความสนใจอย่างจริงจังกับผลวิเคราะห์ที่ได้จากข้อมูลบิ๊กดาต้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียแปซิฟิก 98 เปอร์เซ็นต์ของผู้มีอำนาจตัดสินใจที่อยู่ในองค์กร “ผู้สร้างอนาคต” สามารถเข้าถึง BDA เวลาที่มีเหตุการณ์สำคัญได้ทันที เมื่อเทียบกับผู้บริหารระดับสูงขององค์กรที่มุ่งเน้นเฉพาะปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 58% เท่านั้น

  • คลาวด์ คอมพิวติ้ง ทลายรูปแบบการทำงานแบบไซโล

เมื่อว่ากันด้วยเรื่องความคล่องตัว รวมถึงโมบิลิตี้ และการกู้คืนภัยพิบัติ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้องค์กรจำนวนมากต่างหันมาพึ่งคลาวด์ ถ้าเราลองปรับเทียบเข็มทิศใหม่ไปทางทิศตะวันออกซึ่งกำลังเผชิญกับสภาพรถติด มหาวิทยาลัย Fujian University of Technology ได้นำข้อมูลเรียลไทม์จากคลาวด์มาใช้วิเคราะห์รูปแบบการขับขี่รถยนต์ ซึ่งช่วยให้มณฑลฟูเจียนสามารถสร้างกลยุทธ์ด้านการขนส่งในเมืองอัจฉริยะ เพื่อบริหารจัดการจำนวนยวดยานพาหนะที่เพิ่มขึ้นได้ ทั้งนี้ในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ขององค์กร “ผู้สร้างอนาคต” กล่าวว่าการนำคลาวด์มาใช้ช่วยให้ใช้ BDA ในธุรกิจได้ และองค์กรส่วนใหญ่ก็พบว่าสามารถใช้ระบบโครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากรด้านข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

  • ระบบโครงสร้างแบบควบรวมช่วยลดความซับซ้อน

เวอร์ชวลไลเซชั่น และออโตเมชั่น ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้รับมือกับระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิม ๆ ที่ทำงานเป็นเอกเทศ แต่เมื่อสตอเรจและเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ ๆ เข้ามามีบทบาทยิ่งขึ้น ก็ทำให้ระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบควบรวมสามารถปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีความคล่องตัวขึ้นได้มาก เพราะมีการผสานรวมองค์ประกอบการทำงานของทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ไว้ในแพคเกจเดียวที่ให้ประสิทธิภาพรองรับการดำเนินธุรกิจได้สอดคล้องตามการขยายตัว ตัวอย่างเช่น องค์กรด้านการดูแลสุขภาพสามารถติดตั้งระบบงานเพื่อควบคุมการจัดทำเวชระเบียนบนอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างรวดเร็วและคุ้มค่าใช้จ่าย พร้อมกับติดตั้งระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อช่วยพัฒนาบริการใหม่ในการรักษาแบบจำเพาะบุคคลที่มีข้อมูลอย่างละเอียด ทั้งนี้ผู้ตอบแบบสอบถามที่มาจากองค์กรผู้สร้างอนาคต ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยังเน้นให้เห็นถึงประโยชน์สูงสุดที่องค์กรได้รับจากการใช้ระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์ คอนเวิร์จ ได้แก่เรื่องของการใช้ทรัพยากรได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พนักงานทำงานได้ผลิตผลมากยิ่งขึ้น

ในภาพรวมก็คือ องค์ประกอบของเทคโนโลยีเหล่านี้กลายเป็นเกราะเสมือนในการป้องกันสำหรับแผนกไอทีในองค์กรธุรกิจที่ใส่ใจอนาคต ผู้ปฏิรูปองค์กรได้จะเป็นผู้ที่ยืนหยัดอยู่เหนือผู้อื่น เพราะมองข้อมูลเป็นหัวใจสำคัญ อีกทั้งผู้มีอำนาจตัดสินใจยังต้องควบคุมองค์ประกอบต่าง ๆ เหล่านี้เพื่อการันตีอนาคตให้กับธุรกิจของตน

ความพร้อมสำหรับอนาคตคือการเดินทาง

องค์กรธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมต่างได้รับผลผลิตจากประโยชน์อันมหาศาลของการเปลี่ยนโฉมไปสู่ดิจิทัล ในขณะเดียวกันเทคโนโลยีสารสนเทศก็ช่วยให้องค์กรถีบตัวเองให้อยู่เหนือการแข่งขันได้ อีกทั้งยังสนับสนุนกระบวนการทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ลองดูตัวอย่างจากสถาบันการศึกษาเช่นวิทยาลัย Yale-NUS College ในประเทศสิงคโปร์ ที่ใช้ระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮบริดคลาวด์ มาช่วยสนับสนุนการทำวิจัยในหัวข้อที่ทันสมัยคือเรื่องของมนุษยศาสตร์ดิจิทัล ( Digital Humanities ) ถ้าจะอธิบายสั้น ๆ ก็คือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สารสนเทศด้านมนุษยศาสตร์ ซึ่งมนุษยศาสตร์ดิจิทัลนั้นสนับสนุนงานวิจัยด้วยการนำไอทีมาช่วยในเรื่องของการถอดรหัสตัวหนังสือโบราณ การค้นหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่จัดเก็บไม่เป็นระเบียบ และใช้คาดการณ์เหตุการณ์ทางการเมืองตามข้อมูลจากโซเชีลยมีเดีย ทั้งนี้นักวิจัยก็จะได้รับความรู้จากเหตุการณ์โลกที่เกิดขึ้นทั้งในอดีตและปัจจุบัน ทั้งหมดนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากพลังในการประมวลผลของคลาวด์

คุณไม่จำเป็นจะต้องเป็นถึงผู้สร้างอนาคตเพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ทางธุรกิจมากขึ้น เพราะความพร้อมรับอนาคต คือการเดินทาง และการเดินหน้าเพียงแค่หนึ่งก้าวไม่ว่าจุดเริ่มต้นจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ก็สามารถส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม สององค์ประกอบที่ยังคงเป็นพื้นฐานไปสู่ความสำเร็จในทุกระดับก็คือ การดำเนินการในเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยผลักดันไปสู่การตัดสินใจทางธุรกิจ ( ถ้าเป็นการมุ่งเน้นระยะสั้นก็คือการลดค่าใช้จ่าย ) และองค์กรไอทีที่สามารถทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยธุรกิจเพื่อตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรได้

 

บทความโดย อึง เทียน เบ็ง รองประธานอาวุโส และกรรมการผู้จัดการ ภูมิภาคเอเชียใต้ และเกาหลี เดลล์ อีเอ็มซี

dell-emc-tian-beng

from:https://www.techtalkthai.com/dell-emc-future-ready/

TechTalk Webinar: วิดีโอย้อนหลังเรื่อง “Backup Back-to-Basic โดย Dell EMC”

ttt_t_webinar_logo_small

สำหรับผู้ที่ไม่ได้เข้าชมการบรรยาย TechTalk Webinar เรื่อง “Backup Back-to-Basic โดย Dell EMC” ที่เพิ่งจัดไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หรือใครที่ต้องการรับชมการบรรยายซ้ำอีกครั้ง สามารถดูวิดีโอบันทึกย้อนหลังได้ที่บทความนี้

emc-facebook-banner

ผู้บรรยาย:

  • คุณณัฐวุฒิ ธราธรกุล System Engineer จาก Dell EMC
  • คุณสุรักษ์ ธรรมรักษ์ Advisory System Engineer จาก Dell EMC

“Backup Back-to-Basic” เป็นการทำความรู้จักกับเทคโนโลยีสำหรับการสำรองข้อมูลในรูปแบบต่างๆ และแนวคิดพื้นฐานในการออกแบบระบบ Backup, Replication และ Disaster Recovery จาก Dell EMC

ใน TechTalk Webinar นี้ท่านจะได้พบกับ

  • พื้นฐานการสำรองข้อมูล
  • ประเภทของการสำรองข้อมูล เช่น Full Backup, Incremental Backup, Differential Backup
  • ข้อดีข้อเสียของสื่อที่ใช้สำรองข้อมูลแต่ละประเภท
  • ระบบการสำรองข้อมูลที่ดีต้องคำนึงถึงปัจจัยอะไรบ้าง
  • โซลูชันการสำรองข้อมูลของ Dell EMC เข้ามาช่วยตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างไร

from:https://www.techtalkthai.com/techtalk-webinar-dell-emc-video/

Dell EMC ออกแพทช์อุดช่องโหว่ร้ายแรงบน VMAX Enterprise Storage Systems

Dell EMC ผู้ให้บริการโซลูชัน Backup & Storage ชั้นนำของโลก ประกาศออกแพทช์อุดช่องโหว่ความรุนแรงสูงรวม 6 รายการบน VMAX Enterprise Storage Systems ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกแฮ็คเข้าควบคุมระบบและข้อมูลไฟล์สำคัญรั่วไหลสู่ภายนอก

img_0103

3 ใน 6 ของช่องโหว่เหล่านั้นมีความรุนแรงระดับ Critical ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

  • ช่องโหว่แรกค้นพบบน Unisphere for VMAX Enterprise Storage Arrays ซึ่งให้บริการ Web-based Management Interface สำหรับทำการ Provision, Manage และ Monitor ระบบ VMAX ซึ่งช่องโหว่นี้ช่วยให้แฮ็คเกอร์สามารถขโมยข้อมูล Arbitrary Text Files จาก Virtual Appliance โดยใช้สิทธิ์ของ Root และไม่ต้องพิสูจน์ตัวตนได้
  • ช่องโหว่ที่ 2 พบบนแอพพลิเคชัน vApp Manager for Unisphere ซึ่งรันอยู่บนพอร์ท 5480 แฮ็คเกอร์สามารถส่งคำสั่งแปลกปลอมเข้ามารันผ่านทางคลาสที่เรียกว่า GetSymmCmdCommand ได้ตามต้องการโดยไม่ต้องพิสูจน์ตัวตน
  • vApp Manager ยังมีอีกช่องโหว่ที่ค้นพบบนคลาส RemoteServiceHandler ซึ่งช่วยให้แฮ็คเกอร์สามารถบายพาสการพิสูจน์ตัวตนและเรียกใช้งานคลาสสำคัญอื่นๆ ได้ตามต้องการ ส่งผลให้แฮ็คเกอร์สามารถรันคำสั่งแปลกปลอมโดยใช้สิทธิ์ของ Root ได้ทันที

นอกจากนี้ยังมีอีก 3 ช่องโหว่ความรุนแรงระดับ High บน vApp Manager ซึ่งช่วยให้แฮ็คเกอร์ที่มีสิทธิ์ระดับต่ำสามารถรันคำสั่งแปลกปลอมโดยใช้สิทธิ์ของ Root ได้ แต่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวตนเข้ามาก่อน

รายละเอียดเพิ่มเติม: https://www.digitaldefense.com/emc-unissphere-vulnerabilities/

ที่มา: http://www.networkworld.com/article/3126815/dell-emc-patches-critical-flaws-in-vmax-enterprise-storage-systems.html

from:https://www.techtalkthai.com/dell-emc-patches-vmax-management-vulns/