คลังเก็บป้ายกำกับ: CLOUD-FIRST

สรุปแนวโน้มด้าน Access Security ยุค Cloud-First ของภูมิภาค APAC โดย Thales

Thales ผู้ให้บริการโซลูชันด้าน Cybersecurity & Trust ออกรายงาน “2021 Thales Access Management Index: The Challenges of Trusted Access in a Cloud-First World” ซึ่งสรุปแนวโน้มด้านการจัดการการเข้าถึงแอปพลิเคชัน เครือข่าย และระบบ Cloud ของภูมิภาค APAC ในช่วง COVID-19 ที่องค์กรส่วนใหญ่หันไปใช้ระบบ Cloud และทำงานแบบ Work from Home มากขึ้น ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้

COVID-19 กับความพร้อมของการทำงานแบบ Remote Access

การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้องค์กรส่วนใหญ่เปลี่ยนไปใช้กลยุทธ์ Work from Home และหันไปใช้ระบบ Cloud เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ สภาพแวดล้อมของการทำงานวิถีใหม่นี้สร้างความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยขึ้นมาหลากหลาย จากการสำรวจธุรกิจในภูมิภาค APAC พบว่า ร้อยละ 83 มีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงและภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นกับการทำงานจากระยะไกล แต่มีเพียงร้อยละ 54 เท่านั้นที่ค่อนข้างหรือพร้อมที่จะรับมือกับความเสี่ยงเหล่านั้น

“มีเพียง 53% ของผู้ตอบแบบสำรวจเท่านั้นที่มั่นใจว่า เทคโนโลยีด้าน Access Security ที่ตนใช้งานอยู่ มีประสิทธิภาพพอที่จะช่วยให้พนักงานสามารถทำงานจากระยะไกลได้อย่างสะดวกสบายและมั่นคงปลอดภัย ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายๆ องค์กรที่กำลังพิจารณากลยุทธ์การทำงานแบบ Work from Anywhere ระยะยาวหรือแบบถาวรกำลังเป็นกังวล” — ในรายงานระบุ

การใช้ MFA ยังคงตามหลังเทคโนโลยีด้านความมั่นคงปลอดภัยอื่นๆ

แม้จะทราบว่าการใช้ Password ในปัจจุบันมีข้อจำกัดหลายประกาศ แต่มีเพียงครึ่งหนึ่ง (52%) ของธุรกิจในภูมิภาค APAC ที่มีการนำ 2-Factor  หรือ Multi-Factor Authentication (MFA) เข้ามาใช้ ซึ่งไม่แตกต่างจากทั่วโลกมากนัก จากการสำรวจพบว่า มีเพียงร้อยละ 11 และ 14 ของธุรกิจใน APAC ที่ใช้ MFA เพื่อปกป้อง On-prem Apps และ Cloud Services เกินครึ่งหนึ่งของที่ใช้งานอยู่ตามลำดับ ผลสำรวจนี้แสดงให้เห็นว่า จำเป็นต้องมีการดำเนินการเพื่อให้เกิดการใช้ MFA แพร่หลายเทียบเท่าการใช้ Firewall, Endpoint Security, SIEM, Email Security หรือเทคโนโลยีด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยอื่นๆ

โดยทั่วไปแล้ว MFA มักถูกใช้ในบางสถานการณ์และเฉพาะกลุ่มผู้ใช้เป็นหลัก หนึ่งในนั้นคือ Remote Access ซึ่งมีผลสำรวจที่น่าสนใจแยกตามกลุ่มผู้ใช้ ดังนี้

  • ร้อยละ 72 ของธุรกิจ APAC ใช้ MFA กับพนักงานที่ไม่ใช้ฝ่าย IT ที่ต้องทำงานจากระยะไกล
  • ร้อยละ 51 ใช้ MFA กับกลุ่มผู้ให้บริการภายนอก เช่น ที่ปรึกษา คู่สัญญา พาร์ทเนอร์ ซัพพลายเออร์
  • ร้อยละ 47 ใช้ MFA กับกลุ่มผู้บริหารและพนักงาน IT

นอกจากนี้ยังพบว่า ราว 1 ใน 3 ของธุรกิจที่ใช้ MFA มีการใช้เครื่องมือสำหรับการพิสูจน์ตัวตนมากกว่า 3 แบบ ซึ่งสร้างความซับซ้อนในการวางระบบและบริหารจัดการเป็นอย่างมาก

VPN ยังคงเป็นเจ้าเทคโนโลยีด้าน Remote Access หลายธุรกิจเตรียมใช้ Zero Trust

เป็นไปได้ว่าสาเหตุที่ธุรกิจใน APAC กังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยในการทำงานแบบรีโมตมาจากการใช้เทคโนโลยี VPN เป็นหลัก จากการสำรวจพบว่า ร้อยละ 62 เลือกใช้ VPN เป็นช่องทางหลักในการอนุญาตให้พนักงานสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันจากระยะไกลได้ ตามมาด้วย VDI ร้อยละ 54 และ Zero Trust Network Access (ZTNA) / Software-defined Perimeter (SDP) ร้อยละ 53

สำหรับธุรกิจใน APAC ที่ต้องการยกระดับ Access Security โมเดล Zero Trust คือรากฐานในการเปลี่ยนผ่านสู่การพิสูจน์ตัวตนยุคใหม่ อย่างไรก็ตาม พบว่าธุรกิจส่วนใหญ่ยังคงอยู่ช่วงเริ่มต้นของการประยุกต์ใช้โมเดลดังกล่าว มีเพียงร้อยละ 34 ของธุรกิจใน APAC เท่านั้นที่ระบุว่าตนเองมีการวางกลยุทธ์  Zero Trust อย่างเป็นทางการและมีการบังคับใช้นโยบาย Zero Trust แล้ว ในขณะที่อีกร้อยละ 19 กำลังวางแผนและศึกษาเพื่อพัฒนากลยุทธ์ Zero Trust ของตัวเอง

การใช้งานแบบไฮบริดและภาระค่าใช้จ่ายคือความท้าทายหลัก

เมื่อธุรกิจเริ่มพลิกโฉมจาก Perimeter-based Security ไปสู่ Zero Trust Security การบริหารจัดการการเข้าถึงทรัพยากรสำคัญของธุรกิจจึงเป็นหัวใจสำคัญของทุกกลยุทธ์ด้านความมั่นคงปลอดภัย อย่างไรก็ตาม มีเพียงร้อยละ 39 ของธุรกิจใน APAC ที่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Access Security แบบบูรณาการที่สามารถจัดการได้ทั้ง Policy-based Access, Cloud SSO และ Authentication หนึ่งในความท้าทายสำคัญที่หลายธุรกิจประสบ คือ การที่ต้องปกป้องบริการบน Cloud และ On-prem พร้อมๆ กัน (31%) ตามมาด้วยภาระเรื่องค่าใช้จ่าย (27%)

“42% ของธุรกิจใน APAC เลือกใช้เทคโนโลยี Access Security จากผู้ให้บริการด้านความมั่นคงปลอดภัยภายนอกมากกว่าเทคโนโลยีที่มาจากผู้ให้บริการ Cloud  และครึ่งหนึ่งเชื่อว่าการใช้เทคโนโลยี Access Management ที่ไม่ยึดติดกับผู้ให้บริการใดๆ สามารถปกป้องระบบแบบ Multicloud ได้ดีที่สุด” — รายงานระบุปิดท้าย

โดยสรุปแล้ว COVID-19 ทำให้การ Work from Home กลายเป็นส่วนหนึ่งของภาพการรักษาความมั่นคงปลอดภัยอย่างถาวร ซึ่งสร้างความเสี่ยงและความท้าทายด้านความมั่นคงปลอดภัยใหม่ให้แก่องค์กร ดังนั้นแล้ว เครื่องมือและกระบวนการด้านความมั่นคงปลอดภัยจำเป็นต้องปรับตัวไปสู่โมเดลแบบ Zero Trust ที่สามารถควบคุมการเข้าถึงได้ละเอียดกว่า และนำบริบทต่างๆ มาใช้เพื่อพิสูจน์ตัวตนได้ ซึ่งจะยกระดับกลไกการรักษาความมั่นคงปลอดภัยขององค์กรได้ดียิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม องค์กรส่วนใหญ่ใน APAC ยังคงอยู่ในเฟสเริ่มต้นของการปรับสู่โมเดล Zero Trust ในขณะที่ MFA ก็ยังคงตามหลังเทคโนโลยีด้านความมั่นคงปลอดภัยอื่นๆ อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงที่พิจารณาจากบริบทรอบข้างและการพิสูจน์ตัวตนแบบ Passwordless จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและทำให้ User Experience ดียิ่งขึ้น ตอบโจทย์การทำงานจากระยะไกลและการใช้ระบบ Cloud ที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในปัจจุบัน

ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดรายงาน “2021 Thales Access Management Index: The Challenges of Trusted Access in a Cloud-First World” จาก Thales ไปศึกษาเพิ่มเติมได้ตามลิงก์ด้านล่าง

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชัน Access Management ของ Thales  ได้ที่
Mr. Payathai Kalyawogsa
Email: payathai@bangkoksystem.com
Phone: 080-608-4551
Website: https://www.bangkoksystem.com/
Facebook: https://www.facebook.com/bangkoksystems

from:https://www.techtalkthai.com/access-security-trends-in-apac-by-thales/

HPE Aruba | Zscaler Webinar: WAN & Security Transformation with Aruba EdgeConnect and Zscaler Zero Trust Exchange

Zscaler ร่วมกับ HPE Aruba ขอเรียนเชิญผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานด้าน Network & Security เข้าร่วมงานสัมมนาออนไลน์เรื่อง “WAN & Security Transformation with Aruba EdgeConnect and Zscaler Zero Trust Exchange” ในวันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน 2021 เวลา 14:00 น. ผ่านทาง Live Webinar

รายละเอียดการบรรยาย

หัวข้อ: WAN & Security Transformation with Aruba EdgeConnect and Zscaler Zero Trust Exchange
ผู้บรรยาย: Chayaporn Keawpromman, Technical Consultant จาก Zscaler และ Chanon Ruangphunglhuang, SD-WAN Specialist จาก HPE Aruba 
วันเวลา: วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน 2021 เวลา 14:00 – 15:30 น.
ช่องทางการบรรยาย: Online Web Conference
จำนวนผู้เข้าร่วมสูงสุด: 500 คน
ภาษา: ไทย
ลิงก์ลงทะเบียน: https://us06web.zoom.us/webinar/register/2216340532259/WN_ujWhWqUgTEi5W2HRq-u7lA

เข้าร่วม Webinar นี้เพื่อเรียนรู้การสร้าง WAN และ Security ในยุค Cloud-First รวมไปถึงการ Work from Anywhere อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นคงปลอดภัยเมื่อไม่มีเครือข่ายขององค์กรคอยรองรับ เพราะ SD-WAN ที่ดี ต้องไม่ใช่แค่ประสิทธิภาพ แต่ต้องมาพร้อมกับความมั่นคงปลอดภัยเสมอ!!

หัวข้อการบรรยายประกอบด้วย

  1. สร้าง WAN และ Security ในยุค Cloud-First กับ Aruba EdgeConnect 
  • แนวโน้ม WAN และ Security ในยุค Cloud-First
  • ความต้องการด้าน WAN & Security ที่เปลี่ยนไป 
  • การสร้าง WAN & Security ที่เหมาะสมในยุค Cloud-First
  • รู้จัก Aruba EdgeConnect – Advanced SD-WAN
  1. Work from Anywhere อย่างมั่นคงปลอดภัยด้วย Zscaler Zero Trust Exchange
  • การเปลี่ยนแปลงของ Applications และ User ในยุค Digital Transformation
  • ความต้องการด้าน Work from Anywhere
  • ความท้าทายด้าน Security เมื่อไม่มีเครือข่ายขององค์กรมาปกป้องเราอีกต่อไป  
  • รู้จัก Zscaler Zero Trust Exchange เพื่อการ Work from Anywhere อย่างมั่นคงปลอดภัย

from:https://www.techtalkthai.com/hpe-aruba-zscaler-webinar-wan-and-security-transformation/

[Guest Post] InfoBlox 3.0 ผสาน Hybrid DDI และระบบรักษาความปลอดภัยเพื่อปลดล็อกกลยุทธ์ Cloud-First

 

InfoBlox บริษัทผู้นำด้านเครือข่ายหลักและการบริการรักษาความปลอดภัย เปิดตัว InfoBlox 3.0 ที่มุ่งนำประสบการณ์ระบบเครือข่ายแบบ Cloud-First) อย่างปลอดภัย โดยบริษัทฯ ได้นำ NIOS ซึ่งเป็นโซลูชัน DDI (DNS, DHCP, IPAM) ชั้นนำในอุตสาหกรรมสำหรับเซิร์ฟเวอร์องค์กร มารวมกับแพลตฟอร์ม BloxOne Threat Defense และ BloxOne DDI ที่ทำงานบนระบบคลาวด์ เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถเชื่อมโยงระบบเครือข่ายหลักและระบบรักษาความปลอดภัยเข้ากับระบบคลาวด์ได้อย่างราบรื่นภายใต้แนวทางที่พร้อมตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรสมัยใหม่

InfoBlox 3.0 ผู้นำโซลูชันการรักษาความปลอดภัยชั้นนำของอุตสาหกรรมทั้ง DDI และ DNS เพิ่มศักยภาพให้สามารถปรับเปลี่ยนการทำงานของเซิร์ฟเวอร์องค์กร ระบบเสมือนจริง ระบบคลาวด์ และระบบไฮบริดให้เหมาะกับความต้องการด้านเครือข่ายที่ทันสมัยของลูกค้า โดยการปรับใช้งานดังกล่าวจะช่วยให้ลูกค้าสามารถขยายเครือข่ายของตน อย่างเหนือชั้น ดังนี้

  • เรียบง่าย Simple : การนำเสนอประสบการณ์เครือข่ายที่ให้ความสำคัญกับระบบคลาวด์เป็นหลักในรูปแบบอัตโนมัติและได้มาตรฐานโดยใช้ชุด API สำหรับระบบคลาวด์ที่มีความสมบูรณ์ที่สุด ตลอดจนการผสานรวมระบบและข้อมูลที่สอดคล้องกับทิศทางของตลาด
  • เชื่อถือได้ Reliable : เป็นโซลูชันที่ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าสามารถรับประกันความพร้อมใช้งานของเครือข่ายที่มีความสำคัญต่อภารกิจได้ถึง 99.999%  ซึ่งรวมถึงเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกโดยอาศัยความยืดหยุ่นและความมีประสิทธิภาพคุ้มค่าของระบบคลาวด์
  • ปรับขนาดได้ Scalable : ให้บริการได้ทุกที่ทุกเวลาตามที่ลูกค้าต้องการภายใต้ความมีประสิทธิภาพราบรื่นและความสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งระบบ
  • ปลอดภัย Secure : ช่วยให้ลูกค้าสามารถดูแลและรักษาความปลอดภัยทั่วไปสำหรับผู้ใช้งานและอุปกรณ์ทั้งหมดได้ทุกที่ทุกเวลาด้วยการตรวจจับและแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับภัยคุกคามได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

สถานการณ์ของโรคระบาดใหญ่ได้ผลักดันให้เครือข่ายขององค์กรจำเป็นต้องเดินหน้าเข้าสู่ระบบคลาวด์ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งยังจะต้องขับเคลื่อนให้เครือข่ายมีความสมัยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากหลาย บริษัทต่างพากันหันไปใช้แอปพลิเคชันและบริการบนระบบคลาวด์เพื่อสร้างสถานที่ทำงานให้มีลักษณะไฮบริดหรือแบบผสมผสานมากยิ่งขึ้นคุณอภิชาติ เจิมประไพ ผู้จัดการประจำประเทศไทย InfoBlox กล่าว “InfoBlox 3.0 ช่วยให้องค์กรสามารถเก็บเกี่ยวสิ่งที่ดีที่สุดจากระบบเซิร์ฟเวอร์องค์กรและโลกแห่งระบบคลาวด์ด้วยการปรับแต่งระบบเครือข่ายและระบบรักษาความปลอดภัยเพื่อสร้างกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับระบบคลาวด์เป็นหลักหรือ Cloud-First เรากำลังให้รากฐานที่ลูกค้าต้องการ ไม่ว่าจะเป็นระบบคลาวด์แบบส่วนตัวที่รองรับการใช้งานบนเซิร์ฟเวอร์องค์กร รวมถึงเครือข่ายไฮบริดที่ผสานศูนย์ข้อมูลและระบบคลาวด์หรือเครือข่ายที่เป็นระบบคลาวด์อย่างสมบูรณ์”

คุณอภิชาติ เจิมประไพ ผู้จัดการประจำประเทศไทย InfoBlox
คุณโรหิต เมห์รา รองประธานบริหารฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย บริษัท ไอดีซี

“InfoBlox เป็นผู้นำตลาดด้าน DDI โดยเป็นผู้บุกเบิกในสายนี้ตั้งแต่สมัยที่เซิร์ฟเวอร์เครือข่ายยังติดตั้งอยู่ในตู้ของสาขาบริษัทต่างๆ” คุณโรหิต เมห์รา รองประธานบริหารฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย บริษัท ไอดีซี กล่าว “InfoBlox 3.0 เป็นสุดยอดผลงานของบริษัทที่สามารถสร้างแพลตฟอร์ม BloxOne บนระบบคลาวด์ขึ้นเป็นครั้งแรก รวมถึงการเชื่อมต่อความสามารถด้านดีดีไอ สำหรับเซิร์ฟเวอร์องค์กรของ NIOS เข้ากับ BloxOne DDI และ BloxOne Threat Defense ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้างเครือข่ายดีดีไอแบบไฮบริดและแบบคลาวด์อย่างเดียวได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่องค์กรสมัยใหม่ต้องการเพื่อเปลี่ยนโฉมสถานที่ทำงานให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ”

หากใครสนใจโซลูชันของทาง InfoBlox สามารถดูรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.infoblox.com

from:https://www.techtalkthai.com/infoblox-3-0-hybrid-ddi-and-cloud-first-strategy/

[Guest Post] Aveva ให้ความสำคัญแก่กลยุทธ์ระบบคลาวด์ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการในช่วง New Normal

AVEVA ผู้นำระดับโลกในด้านวิศวกรรมและซอฟต์แวร์อุตสาหกรรมเปิดตัว ‘Cloud-First’ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์พอร์ตโฟลิโอซอฟต์แวร์ระยะยาว เพื่อมุ่งเน้นการให้บริการหลักในระบบคลาวด์ เพื่อให้แน่ใจว่ามีพร้อมใช้งานได้และความพร้อมใช้งานสูง มีการจัดการผู้ใช้และความยืดหยุ่นในการทดลองใช้โซลูชันใหม่ๆ กลยุทธ์ดังกล่าวนั้นรวมถึงการแนะนำการผสมผสานที่ขับเคลื่อนด้วยสถานการณ์ระหว่างผลิตภัณฑ์เพื่อให้เกิดมูลค่าอย่างรวดเร็ว

 

 

ในส่วนหนึ่งของกลยุทธ์นี้ AVEVA ยังได้ประกาศความก้าวหน้าใหม่ที่สำคัญสำหรับแพลตฟอร์มคลาวด์ชั้นนำของอุตสาหกรรม AVEVA ConnectAVEVA Unified Engineering และ AVEVA Insight Guided and Advanced Analytics โซลูชันใหม่เหล่านี้เข้าถึงได้ในระบบคลาวด์ ลดต้นทุนการเป็นเจ้าของโดยรวม ช่วยให้ผู้ใช้ปรับปรุงประสิทธิภาพและเปิดใช้งานการสนับสนุนการตัดสินใจด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในอุตสาหกรรม

AVEVA Connect ได้รับการออกแบบมาเพื่อโฮสต์โซลูชันซอฟต์แวร์ AVEVA ในระบบคลาวด์อย่างปลอดภัย AVEVA Connect ช่วยให้ลูกค้ามากกว่า 1,900 รายและผู้ใช้มากกว่า 25,000 รายสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆจากแพลตฟอร์มเดียวด้วยการลงชื่อเพียงครั้งเดียว การเชื่อมต่อทีม ข้อมูลและกระบวนการในระบบคลาวด์เป็นตัวสร้างความแตกต่างที่สำคัญสำหรับ AVEVA ในปัจจุบัน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน ข้อมูลจำนวนมหาศาลที่สร้างขึ้นโดยอุตสาหกรรม และความจำเป็นในการนำกระบวนการที่แตกต่างกันจำนวนมากมารวมกันผ่านแหล่งเดียว มันช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดการผู้ใช้ที่ได้รับการปรับปรุงในสินทรัพย์ทั้งหมด รวมทั้งความสามารถในการตรวจสอบการใช้เครดิตการสมัครสมาชิกในกลุ่มซอฟต์แวร์ AVEVA ทั้งหมด

“New normal นี้จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงในการมุ่งเน้นและความจำเป็นทางธุรกิจ” Ravi Gopinath ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายคลาวด์และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ AVEVA กล่าว “ในอนาคต ธุรกิจต่างๆจะได้เห็นใช้ต้นทุนที่ลดลง การเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงาน ความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับเครื่องมือการแสดงภาพและความคล่องตัว และการตอบสนองที่มากขึ้นทั่วทั้งห่วงโซ่คุณค่า เพื่อลดการรั่วไหลของมูลค่า และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร การมุ่งเน้นขององค์กรเปลี่ยนไปเพื่อต้องการความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้น การทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์มากขึ้น แอปพลิเคชันอัจฉริยะและประสบการณ์ผู้ใช้ที่คล่องตัวยิ่งขึ้น AVEVA Connect จะทำหน้าที่เป็น “one stop shop” สำหรับข้อกำหนดเหล่านี้ทั้งหมด”

 

โซลูชัน AVEVA Connect ใหม่ มอบประสิทธิภาพที่ดีขึ้นสำหรับองค์กรอุตสาหกรรม

AVEVA Unified Engineering แบ่งไซโลเพื่อส่งมอบสภาพแวดล้อมที่มีข้อมูลเป็นศูนย์กลางโดยมีแหล่งที่มาของแอคเคานท์เดียวตลอดวงจรชีวิตวิศวกรรม ขณะนี้ ทีมที่มีระเบียบวินัยหลากหลายสำหรับผู้ดำเนินการ เจ้าของและ EPC สามารถทำงานร่วมกันเพื่อดำเนินโครงการกรีนฟิลด์และบราวน์ฟิลด์ที่มีความสามารถในการตรวจสอบสูงในสภาพแวดล้อมคลาวด์ที่ปลอดภัย ซึ่งสามารถตั้งค่าได้ในไม่กี่วันเพื่อเร่งเวลาในการสร้างมูลค่าและลดต้นทุนการติดตั้งทั้งหมด ขณะนี้ AVEVA Insight Guided and Advanced Analytics พร้อมใช้งานแล้วในระบบคลาวด์สำหรับการจดจำรูปแบบขั้นสูง เพื่อเพิ่มการวิเคราะห์อัตโนมัติและการตรวจสอบเงื่อนไข โซลูชันนี้มอบความคุ้มค่าในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ลูกค้าสามารถเริ่มต้นกลยุทธ์ประสิทธิภาพสินทรัพย์ตามการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ได้ โดยไม่ต้องใช้การสร้างแบบจำลองที่ซับซ้อนหรือวิทยาศาสตร์ข้อมูล โซลูชันนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างแบบจำลองที่ใช้งานง่ายโดยกำหนดเป้าหมายไปที่เนื้อหาเฉพาะโดยให้การตรวจจับความผิดปกติที่เชื่อถือได้โดยมีการปรับแต่งน้อย

 

กลยุทธ์ cloud-based ของ AVEVA เพื่อรองรับความต้องการของภาวะ New Normal

ตั้งแต่การวิเคราะห์ข้อมูลการดำเนินงานและการพัฒนาแอปพลิเคชัน low-code ไปจนถึงการแสดงภาพทางวิศวกรรมที่ซับซ้อน ฟังก์ชันการทำงานของ AVEVA Connect ช่วยให้สามารถทดลองใช้ความสามารถใหม่ๆ ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าได้รับประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่เป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดซึ่งเข้าถึงได้ทั้งหมดผ่านระบบคลาวด์

‘Cloud-First’ ประกอบด้วยการแนะนำการผสานรวมตามสถานการณ์ระหว่างผลิตภัณฑ์เพื่อให้คุ้มค่าอย่างรวดเร็ว ปลายปีนี้ AVEVA จะแนะนำชุดพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อให้พันธมิตรสามารถจัดหาโซลูชันของตนภายในแพลตฟอร์ม AVEVA Connect เพื่อเพิ่มขีดความสามารถที่หลากหลายให้กับลูกค้า

“การเปลี่ยนไปใช้ระบบคลาวด์ไม่ใช่เรื่องของทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างจริงจัง ข้อดีอย่างมากของค่าใช้จ่ายในการปรับใช้งานและการเป็นเจ้าของความสามารถในการใช้อย่างยืดหยุ่นตามความต้องการอย่างแท้จริง และการกำจัดอุปสรรคที่ของแต่ละท้องที่เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการทำงานและการทำงานร่วมกันในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน หมายความว่าเราจะเพิ่ม rich domain content ของพอร์ตโฟลิโอของเราต่อไป เพราะนี่ไม่ได้เป็นเรื่องของเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับความเป็นจริงและความเฉพาะเจาะจงของธุรกิจของลูกค้าด้วย” Ravi Gopinath ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายคลาวด์และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ AVEVA กล่าวสรุป

 

เกี่ยวกับ AVEVA

AVEVA เป็นผู้นำระดับโลกในด้านวิศวกรรมและซอฟต์แวร์อุตสาหกรรม ที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิตอลทั่วทั้งสินทรัพย์ และการดำเนินงานตลอดวงจรชีวิตของอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เงินทุนสูง วิศวกรรมการวางแผน และการดำเนินงาน ประสิทธิภาพของสินทรัพย์ และโซลูชันการตรวจสอบ และควบคุมของบริษัท ให้ผลลัพธ์ที่พิสูจน์แล้วแก่ลูกค้ากว่า 16,000 รายทั่วโลก ลูกค้าได้รับการสนับสนุนจากระบบนิเวศอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ที่ใหญ่ที่สุดรวมถึงพันธมิตร 4,200 ราย และนักพัฒนาที่ผ่านการรับรอง 5,700 ราย AVEVA มีสำนักงานใหญ่ในเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักรโดยมีพนักงานมากกว่า 4,400 คนใน 80 สาขาในกว่า 40 ประเทศ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชม: www.aveva.com

 

 

from:https://www.techtalkthai.com/aveva-solution-cloud-connect/