คลังเก็บป้ายกำกับ: ทดสอบ

ตามไปดู 7 รายการในการ “ทดสอบการเจาะระบบเครือข่าย” ที่คุณต้องรู้

การทดสอบการเจาะระบบเครือข่ายจะช่วยให้มองเห็นช่องโหว่บนเน็ตเวิร์กได้ง่ายขึ้น เราสามารถค้นหาพอร์ตที่เปิดโล่งอยู่โดยไม่มีการป้องกัน, การแก้ปัญหาระบบและเซอร์วิสไปพร้อมกัน, และมองเห็นแบนเนอร์หรือสถานะสำคัญของระบบ

ซึ่งการทดสอบดังกล่าวที่หลายคนเรียกย่อๆ ว่า Pen-Testing นี้จะช่วยให้แอดมินสามารถปิดพอร์ตหรือเซอร์วิสที่ไม่ได้ใช้งาน, ซ่อนหรือปรับแต่งแบนเนอร์, แก้ปัญหาเกี่ยวกับเซอร์วิส, หรือแม้แต่ทดสอบกฎของไฟร์วอลล์

ซึ่งคุณควรตรวจสอบให้ครบทุกรูปแบบเพื่อให้มั่นใจได้ว่าไม่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยเหลืออยู่ ซึ่งครั้งนี้เราได้ยกตัวอย่างขั้นตอนการทดสอบแต่ละขั้นในการทดสอบการเจาะระบบเครือข่ายที่ใช้กันโดยนักสแกนเครือข่ายผู้มีชื่อเสียงในวงการดังนี้

1. การค้นหาโฮสต์

การสืบร่องรอยถือเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับระบบเป้าหมาย อย่างการตรวจสอบร่องรอยของ DNS จะช่วยระบุหา DNS Record อย่างเช่น A, MX, NS, SRV, PTR, SOA, CNAME ที่มีการลิงก์ไปยังโดเมนเป้าหมายได้ เราสามารถตรวจสอบโฮสต์ที่มีตัวตนและเข้าถึงได้ในเครือข่ายเป้าหมาย โดยใช้ทูลสแกนเครือข่ายอย่างเช่น Advanced IP scanner, NMAP, HPING3, NESSUS เหล่านี้เป็นต้น

2. การสแกนพอร์ต

เราสามารถสแกนพอร์ตได้โดยใช้ทูลอย่างเช่น Nmap, Hping3, Netscan tools, Network monitor ซึ่งทูลเหล่านี้จะช่วยตรวจสอบเซิร์ฟเวอร์หรือโฮสต์บนเครือข่ายเป้าหมายเพื่อค้นหาพอร์ตที่เปิดอยู่ได้ ซึ่งพอร์ตเหล่านี้ ถือเป็นประตูที่เปิดให้ผู้โจมตีสามารถเข้ามาติดตั้งแอพพลิเคชั่นประตูหลังที่เป็นอันตรายได้

3. การดูข้อมูลแบนเนอร์ หรือการทำ OS Fingerprinting

การดูดข้อมูลแบนเนอร์หรือติดตามร่องรอยการดูดข้อมูลแบนเนอร์หรือติดตามร่องรอยของระบบปฏิบัติการผ่าน Telnet, IDServe, NMAP จะทำให้สามารถระบุข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับระบบปฏิบัติการที่ใช้บนเครื่องโฮสต์เป้าหมายได้

ซึ่งเมื่อคุณรู้เกี่ยวกับเวอร์ชั่นและประเภทของระบบปฏิบัติการของเป้าหมายแล้ว ก็สามารถนำไปสู่การค้นหาช่องโหว่บนระบบที่เกี่ยวข้องเพื่อไล่ทดลองเจาะระบบจนกระทั่งสามารถเข้าไปควบคุมระบบเป้าหมายได้

รูปด้านบนคือหน้าตา IDServer เป็นอีกเครื่องมือที่ช่วยจัดการกับแบนเนอร์

นอกจากนั้นก็ยังมีเครื่องมือที่น่าสนใจเช่น

  1. https://www.netcraft.com/
  2. https://w3dt.net/tools/httprecon
  3. https://www.shodan.io/
4. การสแกนหาช่องโหว่

การสแกนหาช่องโหว่บนระบบด้วยทูลอย่างเช่น GIFLanguard, Nessus, Ratina CS, SAINT จะช่วยค้นหาบั๊กบนระบบและโอเอสเป้าหมายได้เป็นอย่างดี ขั้นตอนนี้จึงสามารถช่วยคุณหาจุดอ่อนบนระบบเป้าหมายได้โดยตรง

5. วาดแผนผังเครือข่าย

การวาดภาพแผนผังเครือข่ายขององค์กรที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้คุณเข้าใจเส้นทางที่มีความสัมพันธ์กับโฮสต์เป้าหมายบนเครือข่ายได้ ซึ่งสามารถวาดได้ผ่านทูลอย่างเช่น LANmanager, LANstate, Friendly pinger, Network view

6. การเตรียมพร้อกซี่ให้พร้อม

พร็อกซึ่นั้นทำหน้าที่เสมือนตัวกลางระหว่างอุปกรณ์เครือข่ายสองตัว ที่สามารถปกป้องเครือข่ายภายในจากการเข้าถึงของภายนอกได้ ดังนั้นการมีเซิร์ฟเวอร์พร็อกซี่พร้อมใช้ก็จะสามารถท่องเว็บได้แบบไม่ระบุตัวตนหรือนิรนาม

รวมทั้งยังสามารถใช้คัดกรองคอนเท็นต์ที่ไม่ต้องการได้โดยเฉพาะพวกโฆษณาทั้งหลาย สำหรับพร็อกซี่ที่แนะนำให้ใช้เพื่อซ่อนตัวเองจากการตรวจจับนั้น ได้แก่ Proxifier, SSL Proxy, Proxy Finder เป็นต้น

7. การทำเอกสารข้อมูลสิ่งที่ค้นพบทั้งหมด

ขั้นตอนสุดท้ายและสำคัญที่สุดคือ การเรียบเรียงทุกอย่างที่ค้นพบจากการทดสอบการเจาะระบบขึ้นมาอยู่ในรูปเอกสาร ซึ่งเอกสารนี้จะช่วยให้คุณค้นพบช่องโหว่ที่มีความสำคัญมากบนเครือข่าย ซึ่งเมื่อทราบถึงช่องโหว่ดังกล่าวแล้ว

คุณก็จะสามารถวางแผนรับมือและแก้ไขได้สอดคล้องและมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การทดสอบการเจาะระบบจะช่วยประเมินเครือข่ายของคุณก่อนที่จะประสบกับปัญหาจริง ที่อาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงทั้งด้านการเงินและความเชื่อมั่นได้

ที่มา : GBHackers

from:https://www.enterpriseitpro.net/most-important-network-penetration-testing/

บทความน่ารู้ : อุปกรณ์ด้านเน็ตเวิร์กที่จะต้อง “ทดสอบ” เพื่อที่จะใช้รองรับ Wi-Fi 6

เมื่อไม่นานมานี้ หน่วยงาน IEEE ได้เปิดตัวมาตรฐาน 802.11ax ที่ชื่อว่า Enhancements for High Efficiency Wireless (HEW) LAN ซึ่งเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า Wi-Fi 6 โดยเจ้ามาตรฐาน Wi-Fi รุ่นใหม่นี้ถูกวางอุดมคติไว้ว่าควรจะสื่อสารข้อมูลได้เข้าใกล้ระดับ 10 กิกะบิตให้ได้มากที่สุด ผ่านการใช้ช่องทางการสื่อสารพิเศษ 8 ช่อง ซึ่งแต่ละช่องทาง จะวิ่งด้วยความเร็วมากถึง 1.2 Gb/s เมื่อเปรียบเทียบกับ Wi-Fi 5 (802.11ac) ที่ทำได้แค่ 866 Mb/s ต่อช่องทาง และนอกจากนั้นแล้วมาตรฐาน Wi-Fi 6 ยังสามารถทำงานได้บนย่านความถี่ทั้ง 2.4 GHz และ 5 GHz

ในยุคสมัยที่ Wi-Fi 5 เข้ามาใหม่ๆ เป็นช่วงที่ทำให้พวกเราได้เห็นถึงความเร็วของสัญญาณไร้สายที่เหนือกว่า 1 Gb/s โดยทาง IEEE ได้เปิดตัวมาตรฐานสายเคเบิลในแบบ 2.5GBASE-T และ 5GBASE-T เป็นการเปิดทางให้สามารถใช้สายแบบ Category 5e และ Category 6 มารองรับความสามารถดังกล่าวได้อย่างเต็มที่

อย่างไรก็ตาม โรงงานผลิตสายเคเบิลแบบ Cat 5e และ 6 ก็ไม่ได้รับประกันว่าสายเหล่านี้จะสามารถรองรับ 2.5/5GBASE-T ที่ระยะทางได้ถึง 100 เมตร ได้เสมอไป นั่นจึงทำให้ต้องมีการทดสอบเพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ดังกล่าวนั้นได้ประสิทธิภาพตามมาตรฐานตามกำหนด และเมื่อมาถึงคราวที่อุปกรณ์ Wi-Fi 6 เข้ามาสู่ตลาดบ้างล่ะ ก็เรียกได้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเลยที่จะต้องมีการทดสอบด้วยเช่นกัน ….คำถามก็คือ เราจะต้องทดสอบอะไรกันบ้าง? บทความนี้จะชี้ให้เห็นกัน

อาจต้องใช้สายเคเบิลถึงสองเส้น!
ในช่วงแรก ผลิตภัณฑ์ Wi-Fi 6 ที่ออกมาใหม่ๆ ก็พอจะเป็นไปได้ที่จะนำเอาสายแบบ 2.5GBASE-T และ 5GBASE-T มาใช้ได้บ้าง แต่ผลิตภัณฑ์ที่จะมาทยอยเข้ามาในตลาดระลอกที่สองและสามนั้น ซึ่งเชื่อกันว่าความเร็วของการทำงานจะสูงกว่า 5 Gb/s ขึ้นไปอีก และอาจจำเป็นที่ต้องใช้สายเคเบิลแบบ 5GBASE-T ถึงสองเส้นเพื่อเชื่อมต่อกับไวร์เลสส์ แอคเซสพอยต์ แต่ละตัวเพื่อรองรับกับการรวมสัญญาณ เลยก็เป็นได้

และในท้ายสุดเมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อย จนถึงระดับที่ทำให้ทรูพุตวิ่งได้สูงสุดตามทฤษฎีแล้ว ในวันนั้นคุณอาจจำเป็นต้องใช้สายเคเบิลแบบ 10GBASE-T ถึงสองเส้น (และขั้นต่ำต้องเป็นแบบ Cat6e ด้วย) เพื่อเชื่อมต่อกับเจ้าไวร์เลสส์ แอคเซสพอยต์ ก็มีทางเป็นไปได้สูงเลย

สำหรับลูกค้าที่ยังไม่ได้อัพเกรดระบบสายเคเบิลของตัวเอง คุณอาจเริ่มจากการทดสอบการสื่อสารแบบ 2.5 หรือ 5GBASE-T บนสาย Cat 5e หรือ 6 ไปก่อน แต่สำหรับธุรกิจระดับองค์กรส่วนใหญ่ที่กำลังติดตั้งระบบสายเคเบิลใหม่ที่เน้นใช้สาย Cat 6A สำหรับระบบ Wi-Fi เป็นหลัก มันจะเป็นการดีมาก ถ้าองค์กรจะได้ลองทดสอบกับระบบ 10GBASE-T ตั้งแต่ตอนนี้ไปเลยก็ดีมาก (รวมถึงการทดสอบการสื่อสารสัญญาณรบกวนแบบ Alien Crosstalk ไปด้วยเลย)


พอกล่าวถึงสัญญาณรบกวนแบบ Alien Crosstalk มันก็จะมีประเด็นเข้ามาเกี่ยวข้องกับการทดสอบตัวอย่างของลิงก์ที่ถูกรบกวน ทั้งระยะทางแบบ สั้น กลาง และยาว เพื่อหาผลรวมของกำลัง Crosstalk แปลกปลอมบริเวณใกล้ปลายสาย (PS ANEXT) และผลรวมการอ่อนกำลังของสัญญาณวิทยุจาก Crosstalk แปลกปลอมบริเวณที่ไกลปลายสาย (PSASCRF) ซึ่งในตอนที่คุณได้มีการทดสอบลิงก์เพื่อหา Alien Crosstalk นั้น พึงระลึกเสมอว่า “ต้องเลือกลิงก์ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน” และสายที่อยู่โดยรอบทั้งด้านบนและด้านล่างที่เชื่อมตรงกับหัวต่อ มากกว่าจะไปเลือกลิงก์ที่เชื่อมในส่วนปลายสายของหัวต่อ ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยประกันได้ว่า คุณกำลังทดสอบสายสัญญาณเชื่อมต่อ ในสถานการณ์ที่มีโอกาสได้รับผลกระทบมากที่สุด และในกรณีถ้าค่าที่ออกมาทั้งหมดมีส่วนต่างเกินกว่า 5 dB แสดงว่าได้ผลดี

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทดสอบ Alien Crosstalk สามารถอ่านได้จาก https://www.flukenetworks.com/blog/cabling-chronicles/field-testing-misconceptions-alien-crosstalk-do-we-test-or-not-if-so-how

ถ้าคุณ (หรือลูกค้าของคุณ) ไม่มีเวลามากเพียงพอในการทดสอบ Alien Crosstalk แล้ว คุณสามารถดูผลการทดสอบอย่าง TCL และ ELTCTL ได้โดยเลือกเงื่อนไขข้อที่จำกัด (+ALL) บนอุปกรณ์ทดสอบ DSX CableAnalyzer Series สำหรับค่าเหล่านี้ แม้จะใช้เวลาทดสอบเพียงแค่ 6 วินาทีสั้นๆ แต่ก็นับได้ว่าเป็นตัวชี้วัดที่เพียงพอจะบอกได้ว่าสายเคเบิลให้ประสิทธิภาพด้าน Alien Crosstalk ที่เพียงพอหรือไม่ ส่วนในกรณียิ่งสายเคเบิลมีการหุ้มฉนวนด้วยแล้ว คุณก็แทบไม่จำเป็นต้องกังวลสัญญาณรบกวนจากสายข้างเคียงเลย

จำเป็นต้องพิจารณาเรื่องกำลังไฟฟ้าด้วย
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญสำหรับแอคเซสพอยต์ในแบบ Wi-Fi 6 คือ การประมวลผลที่ซับซ้อนมากขึ้นทำให้ต้องการไฟตามมาตรฐาน PoE ในระดับที่สูงขึ้นกว่าที่เราเคยเห็นจาก Wi-Fi รุ่นก่อนหน้า โดยรุ่นก่อนหน้านั้นทำงานบน PoE แบบ Type 1 ใช้กำลังไฟมากสุดแค่ 13 วัตต์เท่านั้น นั่นหมายความว่า อุปกรณ์ใหม่ๆ ที่เข้ามาอย่างน้อยต้องใช้ PoE Type 2 ที่กำลังไฟ 30 วัตต์เป็นอย่างต่ำ และแอคเซสพอยต์ระดับไฮเอนด์บางตัวอาจจำเป็นต้องใช้ PoE แบบ Type 3 ที่ให้กำลังไฟถึง 60 วัตต์เลยทีเดียว

อย่างที่คุณทราบดีว่า สายสัญญาณที่ใช้ก็จะเป็นตัวพากำลังไฟฟ้าไปยังแอคเซสพอยต์ Wi-Fi 6 ด้วย ดังนั้นจึงขอแนะนำเป็นอย่างยิ่งเลยว่า คุณต้องทดสอบค่าความไม่สมดุลของความต้านทานกระแสไฟฟ้า DC ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจได้ว่าไฟฟ้า DC ถูกส่งออกมาด้วยโวลต์ที่ปกติ มีการปล่อยพลังงานแบ่งออกมาเท่ากันระหว่างแต่ละตัวนำของแต่ละคู่สาย และระหว่างคู่สายบนทั้ง 4 คู่ของ PoE ซึ่งถ้าค่าดังกล่าวไม่สมดุลแล้ว อาจจะเกิดปัญหาเช่น สัญญาณอีเธอร์เน็ตก็อาจถูกรบกวน เกิดความผิดพลาดในการส่งสัญญาณของข้อมูล, ต้องเสียเวลาส่งสัญญาณใหม่, ไปจนกระทั่งอาจทำให้ลิงก์ส่งข้อมูลหยุดทำงานได้เลย

ไม่ว่าจะเป็นการผสานกันระหว่างสายสัญญาณความเร็วสูงอย่าง 10GBASE-T, PoE ที่ใช้กำลังไฟฟ้าสูง, และเทคโนโลยีสำคัญอย่าง Wi-Fi 6 นั่นจึงทำให้เราจำเป็นต้องทดสอบค่าความต้านทาน DC ด้วย และต้องบอกว่า โชคดีมากที่การทดสอบดับกล่าวสามารถทำได้บนตัวทดสอบ DSX CableAnalyzer Series ได้ โดยการเลือกตัวคัดกรอง (+All) หรือ (+PoE) นั่นเอง

ถ้ามีการติดตั้งและใช้งานระบบสายเคเบิลไว้ก่อนแล้ว คุณก็สามารถตรวจสอบกำลังไฟฟ้าที่ใช้บนลิงก์ดังกล่าวได้โดยใช้ตัว MicroScanner PoE ของ Fluke Networks เพียงแค่เสียบเข้ากับหัวต่อปลายสาย ซึ่งถ้าสายเคเบิลดังกล่าวเชื่อมต่อกับสวิตช์แบบ PoE หรืออุปกรณ์ให้พลังงานไฟฟ้า (PSE) ประเภทอื่นแล้ว ก็จะแสดงประเภทของกำลังไฟฟ้า (0 – 8) ที่มีบนลิงก์ จากนั้นคุณสามารถใช้ค่านี้เปรียบเทียบกับความต้องการของแอคเซสพอยต์ เพื่อดูว่าเรามีกำลังไฟฟ้ามากพอสำหรับใช้งานหรือไม่

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเภท (Class), รูปแบบ และมาตรฐานของ PoE นั้น สามารถศึกษาต่อได้ที่ https://www.flukenetworks.com/edocs/guide-successful-installation-power-over-ethernet

ฉนวนสำหรับปกป้อง
เนื่องจากระบบ Wi-Fi 6 นั้นอ่อนไหวทั้งกับเรื่องของ Alien Crosstalk และความร้อนที่เพิ่มขึ้นจากการส่งพลังงาน PoE ในกลุ่มสายเคเบิล จึงไม่แปลกใจเลยถ้าลูกค้าบางรายของคุณเลือกใช้สายเคเบิล Cat 6A แบบหุ้มฉนวนอีกชั้น (Shielded) เพื่อเชื่อมต่อกับแอคเซสพอยต์ แต่อย่าลืมว่าถ้าไม่ได้ติดตั้งอย่างถูกต้องแล้ว แม้แต่สายเคเบิลที่หุ้มฉนวนพิเศษก็อาจทำงานไม่ได้ตามที่หวัง อย่างในห้องควบคุม สายเคเบิลแบบหุ้มฉนวนที่ลากจากแผงเชื่อมต่อหนึ่งไปยังอีกแผงหนึ่งที่มีการหุ้มแบบเปิดก็อาจไม่ได้รับการทดสอบในส่วนของ Alien Crosstalk ของจริงได้

และอีกทั้งวันนี้ การทดสอบความต่อเนื่องของกระแส DC แบบง่ายๆ ก็อาจไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว เพราะสัญญาณไฟฟ้ากระแสตรงแบบ DC นี้ มันจะมองหาเส้นทางใดก็ตามที่สามารถวิ่งไปยังอีกปลายทางหนึ่ง ไม่เว้นแม้แต่ผ่านระบบสายกราวด์ ที่เชื่อมไปยังแผงเชื่อมต่อหรือตู้ Rack ที่เชื่อมต่ออยู่ ซึ่งหมายความว่าอุปกรณ์ทดสอบจะแสดงว่าสายมีการหุ้มฉนวน แม้จริงๆ แล้วมันจะไม่ได้หุ้มก็ตาม แต่เราสามารถหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดนี้ได้ด้วยอุปกรณ์ทดสอบอย่าง DSX CableAnalyzer Series ที่รายงานระยะห่าง กับปัญหาด้านการหุ้มฉนวนว่าเหมาะสมหรือไม่ ด้วยเทคนิคตรวจวัด AC ที่จดสิทธิบัตรไว้นั่นเอง

ที่มา: https://www.flukenetworks.com/blog/cabling-chronicles/wi-fi-6-here-so-now-what-will-you-be-testing

from:https://www.enterpriseitpro.net/fluke-networks-cable-analyzer/

Instagram เตรียมซ่อนยอด​ LIKE ในอเมริกา หลังทดสอบไปแล้วเจ็ดประเทศ

ภาพจาก Shutterstock

Adam Mosseri หัวหน้าฝ่ายธุรกิจของ Facebook ประกาศในการประชุม WIRED25 ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เมื่อวันศุกร์ (8 พ.ย.)ที่ผ่านมาว่า ในสัปดาห์หน้า Instagram จะเริ่มทดสอบซ่อนยอด LIKE ในอเมริกา ผู้ที่อาศัยอยู่ในอเมริกาจะเริ่มพบว่าตัวเลขบอกจำนวน LIKE หายไป

“เราได้ตัดสินใจที่อาจทำร้ายกลุ่มธุรกิจ แต่หากมันช่วยให้ผู้คนมีความเป็นอยู่และสุขภาพที่ดีขึ้น เราจำเป็นต้องทำ” Mosseri กล่าว

ก่อนหน้านี้ Instagram ได้ทดสอบซ่อนยอด LIKE ในเจ็ดประเทศได้แก่ ออสเตรเลีย, บราซิล, แคนาดา, ไอร์แลนด์, อิตาลี, ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น และกังวลว่าโพสต์ของตัวเองไม่ดีพอ จนเป็นเหตุให้ลบโพสต์ทิ้งไป

Influencer ที่ได้รับผลกระทบกล่าวว่า พวกเขาเริ่มได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้เนื่องจากโพสต์ของพวกเขามีการเข้าถึง (Reach) น้อยลงกว่าที่เคยเป็นมา

อย่างไรก็ตาม Instagram กล่าวว่า การซ่อนยอด LIKE จะทดสอบเฉพาะผู้ใช้บางรายเท่านั้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบที่ได้เริ่มแล้วในบางประเทศ เพื่อลดเสียงวิพากษ์วิจารณ์และพยายามสร้าง “สภาพแวดล้อมที่กดดันน้อยลง” บนแพลตฟอร์ม

อ้างอิง // BUSINESSINSIDER, TMZ

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/instagram-hiding-like-in-us/

7 ลิสต์รายการ เพื่อการทดสอบการเจาะระบบเครือข่ายที่คุณควรรู้

การทดสอบการเจาะระบบเครือข่ายหรือ Network Penetration Testing เป็นการค้นหาช่องโหว่บนระบบเครือข่าย เช่น การสแกนหาพอร์ตที่ถูกเปิดอยู่, แก้ปัญหาระบบและเซอร์วิสที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน, รวมทั้งการทำGrabbing System Banner

ซึ่งการทดสอบดังกล่าวหรือที่เรียกสั้นๆ ว่า Pen-Testing นี้จะช่วยให้ผู้ดูแลระบบในการปิดพอร์ตที่ไม่ได้ใช้งาน, ซ่อนหรือปรับแต่งแบนเนอร์, การแก้ปัญหาเซอร์วิส, และการสอบเทียบกฎที่ตั้งไว้กับไฟร์วอลล์ ซึ่งคุณควรทดสอบให้ครบถ้วนเพื่อประกันว่าไม่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยหลุดรั่วอยู่

สำหรับวิธีการทดสอบการเจาะเครือข่ายที่ตัวสแกนเครือข่ายยอดนิยมมักใช้กันมีดังต่อไปนี้

1. การค้นหาโฮสต์
การสแกนค้นหาจากร่องรอยต่างๆ หรือ Footprinting ถือเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับระบบเป้าหมาย ซึ่งการทำ DNS Footprint นั้นจะเป็นการวิเคราะห์บันทึกDNS ที่เกี่ยวข้องเช่น A, MX, NS, SRV, PTR, SOA, CNAMEที่โยงไปถึงโดเมนเป้าหมายได้

ซึ่งความหมายของค่าที่สำคัญได้แก่ A –ค่าสำหรับชี้โดเมนเนมไปยังที่อยู่ไอพี, MX – ค่าที่เกี่ยวข้องกับการรับส่งเมล์, NS – ค่าที่ใช้ระบุเซิร์ฟเวอร์ DNS ที่ดูแลโดเมน, SRV – ค่าที่ไว้แยกเซอร์วิสต่างๆ ที่ให้บริการบนแต่ละเซิร์ฟเวอร์, PTR เป็นค่าที่ไว้ย้อนกลับข้อมูล DNS ทำให้สามารถหาโดเมนที่เกี่ยวกับที่อยู่ไอพีนั้นๆ เป็นต้น

เราสามารถใช้ขั้นตอนนี้ในการตรวจหาโฮสต์ที่เปิดใช้งานอยู่ รวมไปถึงโฮสต์ที่สามารถเข้าถึงได้บนเครือข่ายเป้าหมาย โดยมักใช้ทูลสแกนเครือข่ายอย่างเช่น Advanced IP scanner, NMAP, HPING3, NESSUS

2. การสแกนพอร์ต
การสแกนพอร์ตด้วยทูลอย่างเช่น Nmap, Hping3, Netscan tools, Network monitorจะช่วยให้เราตรวจสอบสถานะเซิร์ฟเวอร์หรือเครื่องโฮสต์ต่างๆ บนเครือข่ายเพื่อหาพอร์ตที่เปิดใช้งาน ซึ่งพอร์ตที่เปิดไว้นี้นับช่องทางที่เปิดให้ผู้โจมตีเข้าสู่เครือข่ายเพื่อติดตั้งแอพพลิเคชั่นประตูหลังที่อันตรายต่างๆ ได้

3. การทำ Banner Grabbing / OS Fingerprinting
การทำ Banner Grabbing หรือทำ OS Fingerprinting ผ่านเครื่องมืออย่าง Telnet, IDServe, NMAPจะช่วยระบุข้อมูลของระบบปฏิบัติการบนเครื่องโฮสต์ได้ ซึ่งข้อมูลเวอร์ชั่นและชนิดระบบปฏิบัติการของเป้าหมายที่ได้นี้จะช่วยในการค้นหาช่องโหว่เพื่อโจมตี หรือเข้าควบคุมเครื่องเหยื่อได้ต่อไป

4. สแกนหาช่องโหว่
การสแกนหาช่องโหว่บนเครือข่ายนั้นสามารถทำได้ผ่านทูลอย่าง GIFLanguard, Nessus, Ratina CS, SAINTเป็นต้น ซึ่งทูลเหล่านี้จะช่วยให้เราค้นหาช่องโหว่บนระบบและระบบปฏิบัติการปลายทางได้ จนไปถึงการค้นหาจุดอ่อนของระบบเครือข่ายเป้าหมายที่ต้องการ

5. วาดแผนภาพเครือข่าย
การวาดภาพแผนผังเครือข่ายขององค์กร จะช่วยให้คุณทำความเข้าใจกับเส้นทางการเชื่อมต่อทางโลจิกที่เชื่อมไปยังโฮสต์ปลายทางต่างๆ บนเครือข่ายได้ ซึ่งมีโปรแกรมสำหรับวาดแผนผังเครือข่ายหลากหลายตัวให้เลือก เช่น LANmanager, LANstate, Friendly pinger, Network view

6. เตรียมพร็อกซี่
พร็อกซี่หรือ Proxy นั้นถือเป็นตัวกลางระหว่างอุปกรณ์เน็ตเวิร์กสองเครื่อง ซึ่งสามารถใช้นารปกป้องเครือข่ายภายในจากการเข้าถึงของภายนอกได้ การที่มีเซิร์ฟเวอร์พร็อกซี่นั้นจะทำให้สามารถพรางตัวตนระหว่างการท่องเว็บ และคัดกรองคอนเท็นต์ที่ไม่ต้องการอย่างเช่น โฆษณา และอื่นๆ ได้

7. ทำรายงานผลการค้นหาทั้งหมด
เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญที่สุดในการจัดทำเอกสารเรียบเรียงทุกอย่างที่ค้นพบจากการทำเพนเทส ซึ่งเอกสารที่ได้นี้จะช่วยให้คุณค้นหาช่องโหว่ที่อาจพบได้บนเครือข่าย เพื่อสามารถวางแผนรับมือได้อย่างสอดคล้องกัน

ที่มา : GBHackers

from:https://www.enterpriseitpro.net/most-important-network-penetration-testing-checklist/

iPhone X ทดสอบ Drop Test จากความสูง 300 เมตร ไร้เคส กระแทกพื้นจะรอดหรือไม่?

Iphone X 300 Meter Drop Test

เราคงได้เห็นคลิปการ drop test หรือการนำ iPhone X มาทดสอบการหล่นในแต่ละระดับกันไปแล้วว่ารุ่นนี้จะทนต่อการกระแทกได้ดีแค่ไหน แต่คิดว่าหลายคนคงยังไม่ได้ดูคลิปทดสอบนี้เมื่อนำ iPhone X บินสูงขึ้นไปบนฟ้าระดับความสูง 1,000 ฟุต (300 เมตร) แล้วปล่อยให้ลงมากระแทกพื้นถนน  งานนี้ iPhone X จะรอดหรือไม่ไปชมพร้อมๆ กันครับ

iPhone X ทดสอบ Drop Test จากความสูง 300 เมตร ไร้เคส กระแทกพื้นจะรอดหรือไม่?

Iphone X 300 Meter Drop Test 2

ผู้ทดสอบได้นำ iPhone X ผูกติดกับเชือกเข้ากับโดรน DJI Inspire 2 บินขึ้นไปในอากาศที่ความสูง 1,000 ฟุต หรือประมาณ 300 เมตร จากนั้นได้ปล่อยให้หล่นลงมากระแทกกับพื้นล่าง ทั้งนี้ iPhone X นั้นอยู่ในลักษณะเปลือยเปล่าไม่ได้ใส่เคสกันกระแทกแต่อย่างใด

งานนี้จะจบสวยหรือว่าสยองชมที่คลิปได้ล่างนี้ได้เลยครับ

คำเตือน ไม่แนะนำให้ทำตามคลิปนี้นะครับ

แต่ที่แนะนำคือ ถ้าใช้ iPhone X, 8, 8 Plus อยู่ ก็ควรไปหาเคสมาใส่ซะ!!

ติดตามชม LIVE สดเปิดขาย iPhone X วันที่ 24 พ.ย. 2560 นี้

ฝากติดตามกันได้เลยนะครับ 24 พ.ย. 2560 นี้เรามีนัดกันกับการเกาะติดสถานะการณ์เปิดขาย iPhone X ในประเทศไทย ทีมงาน iPhoneMod จะติดตามบรรยากาศมาให้ทุกๆ ท่านได้ชมกันครับ

ขอบคุณคลิปจาก UnlockRiver.com

from:https://www.iphonemod.net/iphone-x-drop-test-300-meter.html

[VDO] เคล็ดไม่ลับ ในการวัด QoS

ทาง NetworkComputing.com ได้ทำคลิปที่น่าศึกษาเกี่ยวกับวิธีใช้ Netscout OptiView XG ในการทดสอบด้านคุณภาพของประสิทธิภาพเครือข่ายว่าสอดคล้องกับข้อตกลงระดับการให้บริการ หรือ SLA ที่ผู้ให้บริการทำเอาไว้หรือไม่ โดยเฉพาะการวิเคราะห์ทั้งแบนด์วิธ, Packet Loss, และ Jitter บนลิงค์ของผู้ให้บริการ

โดยยกตัวอย่างผลการทดสอบว่า ถ้าแสดงผล Packet Loss 5% และ Jitter เท่ากับ 3 มิลลิวินาทีแล้ว จะพิจารณาอย่างไรว่าผลดังกล่าวกระทบกับประสิทธิภาพบนเครือข่ายของคุณ หรือสอบตกตามเกณฑ์ของ SLA หรือไม่ และควรใช้ทูลอะไรในการปรับแต่งเพื่อออกรายงานผลดังกล่าวอย่างชัดเจน

ตัวอย่างในคลิปข้างบนนี้ เป็นการวัดประสิทธิภาพจากเราเตอร์เมื่อกำหนดลิงค์ที่ 150 Mb และค่า Loss กับ Jitter ต่างๆ ซึ่ง OptiView XG สามารถให้คุณตั้งค่าเกณฑ์ที่ต้องการได้หลากหลาย โดยเฉพาะฟีเจอร์ที่มีการทดสอบการตั้งค่าของเรา ก่อนนำไปใช้ในการทดสอบจริงได้

นั่นคือ คุณสามารถปรับแต่งพารามิเตอร์สำหรับทดสอบ แล้วให้อุปกรณ์ตรวจสอบพารามิเตอร์ดังกล่าวว่าเหมาะสมหรือไม่ก่อนได้

ที่มา : http://www.networkcomputing.com/cloud-infrastructure/network-performance-testing-measuring-quality-service/838570929

from:https://www.enterpriseitpro.net/archives/7413

ฝาหลังเซรามิก Xiaomi Mi 5 ถูกท้าทายด้วย กุญแจ ตะไบ เลื่อย และสว่าน!! ผลปรากฎว่าไม่ระคายแม้แต่น้อย?

สำหรับวัสดุที่นำมาใช้ทำสมาร์ทโฟนแต่ละรุ่นนั้น หากจะแตกต่างกันชัดเจนก็คือวัสดุที่นำมาใช้ทำฝาหลัง ที่จะมีทั้ง พลาสติก อะลูมิเนียม และวัสดุพิเศษอื่น ๆ เพื่อทำให้เบา แข็งแกร่ง ทนทาน ระบายความร้อนได้ดี ราคาถูก ตามแต่แบรนด์จะเลือกชูจุดเด่นด้านใด ซึ่งในปัจจุบันจะเลือกทั้งหมดนั้นก็เป็นไปได้ยาก แต่ความวัสดุที่มีแนวโน้มว่าจะได้รับความนิยมมากขึ้นก็คือ เซรามิก ซึ่งมีความโดนเด่นมีความแข็ง มากกว่าวัสดุอื่น ๆ ที่เคยนำมาทำฝาหลังสมาร์ทโฟน ล่าสุด Xiaomi Mi 5 เรือธงตัวใหม่จาก Xiaomi ก็ได้เลือกใช้เซรามิกนี่หละครับ ตัดหน้า iPhone 7 ที่มีข่าวลือว่าจะเลือกใช้เซรามิกเป็นฝาหลังเช่นกัน

002

 

เพื่อทดสอบความแข็งของฝาหลังเซรามิก Xiaomi Mi 5  ทีมงาน Alex Wang จึงได้ทำคลิปทดสอบด้วย กุญแจ ตะไบ เลื่อย และสว่าน ผลปรากฏว่า ฝาหลังเซรามิกของ Xiaomi Mi 5  ไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อยครับ

.

.

 

น่าเสียดายที่ในคลิปไม่ได้ทดสอบความเหนียวโดยการทำหล่นทางที่สูงด้วย เพราะโดยคุณสมบัติของเซรามิกจะด้อยเรื่องความเหนียวพอสมควร อย่างไรก็ตาม เพื่อน ๆ ก็ใช้คลิปนี้เป็นตัวตัดสินใจได้นะครับว่า Xiaomi Mi 5 ที่มีมากกว่าความสวยนี้คุ้มค่าที่จะซื้อมาลอง ขูด ขีด และเจาะดูหรือไม่? หรือจะซื้อมาใช้งานปกติก็ไม่ต้องใส่ฝาหลังยังได้เลยครับ

 

ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับ Xiaomi Mi 5 >> คลิก!!

 

from:https://www.appdisqus.com/2016/03/31/ceramic-xiaomi-mi-5-test.html

รีวิว Lenovo Yoga Tablet 2 Pro สุดยอดแท็บเล็ตสเปคสูงระบบแอนดรอยด์ 13.3นิ้ว ที่มาพร้อมเครื่องฉายโปรเจคเตอร์ในตัว

รีวิว Lenovo Yoga Tablet 2 Pro สุดยอดแท็บเล็ตสเปคสูงระบบแอนดรอยด์ ที่มาพร้อมเครื่องฉายโปรเจคเตอร์ในตัว

เป็นหนึ่งในเครื่องสุดยอดที่ประทับใจผมมากครับ และอยากนำมาทดสอบรีวิวด้วยตัวเองจริงๆ เพราะเจ้า Yoga Tablet 2 Pro ไม่ได้ทำออกมาขายกันแต่ตัวเลขสเปค มันมีนวัตกรรมที่น่าสนใจและความใส่ใจในการออกแบบอยู่มากมายหลายจุดที่เราสังเกตเห็นได้ตั้งแต่แรกจับเลยทีเดียวครับ

thumb

การออกแบบตัวเครื่องได้การต่อยอดมาจากรุ่นแรกที่ได้รับคำชมไปมากทีเดียว ด้านหนึ่งเแบนราบบาง ส่วนอึกหนึ่งด้านเป็นที่อยู่ของการออกแบบสำคัญและชิ้นส่วนสำคัญ เป็นลักษณะโค้งมนกลมเข้ารูปกับการถือจับ พร้อมทั้งเป็นที่เก็บบานพับขาตั้งและสวิทช์ควบคุม รวมถึงลำโพง ทั้งหมดแต่เราได้ลองใช้งานก็จะเข้าใจในความสมเหตุสมผลของกาารออกแบบตรงนี้จาก Lenovo แล้วครับ

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ตัวเครื่องภายนอก

วัสดุตัวเครื่องทำจากโลหะอลูมิเนียมผสมกับพลาสติกเกรดดี งานปรานีต เรื่องนี้เอาว่าถ้าใครได้ลองสัมผัสตัวจริงของมันแล้วละก็ จะเข้าใจได่้ในทันที สวยและหรูกว่าแท็บเล็ตแอนดรอยด์ใดๆ ในตลาดตอนนี้ก็ว่าได้ครับ

บานพับสปริงกับปุ่มปลดล็อค ทำเข้ารูปกับลำโพงด้านหลัง การออกแบบบานพบัขาตั้งแบบนี้ ทำให้มันสามารถทำงานได้ในสี่รูปแบบ ตามลักษณะที่เราต้องการ ถือจับ วางนอน วางตั้ง และแขวนกับฝาพนังได้ แข็งแรงมาครับเพราะเป็นโลหะทั้งชิ้น

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ฝาหลังเรียบแต่มีลาย ดูคล้ายโลหะแต่เป็นพลาสติกสีเงิน ทำตัวเครื่องได้บางและแม้เจ้า Yoga Tablet 2 Pro จะมีหน้าจอขนาด 13.3 นิ้ว และตัวเลขสเปคแจ้งน้ำหนักว่า 1.6 Kg แต่เมื่อได้ลองถือ การออกแบบที่มีจุดกระจายน้ำหนักที่เหมาะสม จะแปลกใจเมื่อเทียบกับการถือ Ultrabook ที่มีน้ำหนักใกล้เคียงกันครับ เพราะมันรู้สึกว่าเจ้าตัวนี้เบากว่ามากทีเดียว แต่ยังไงซะด้วยขนาดก็ดูจะไม่เหมาะเป็นเครื่องแท็บเล็ตที่เน้นพกพาถือใช้งานกันในที่สาธารณะแน่ๆ ครับ

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ขอบเครื่องจากล่างขึ้นบนมีปุ่มสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณด้านล่าง ด้านขวาเริ่มจากปุ่มเปิดปิดเครื่องและพักหน้าจอปุ่มใหญ่ๆ กดถนัดมือ ซ่อนไว้สวยงามแถมยังใช้เป็นไฟแจ้งเตือนสถานะ ต้องบอกว่าถูกใจการออกแบบก็ตรงเนี้ยนี้แหละครับ มันสวยมากจริงๆ

P1010183

พอร์ต Micro USB สำหรับการชาร์จพลังงาน และรูปหูฟัง 3.5 มิล และปุ่มปรับระดับเสียงที่อยู่ด้านเดียวกันทางด้านซ้าย และด้านขวาปุ่มเปิดปิดเครื่องฉายภาพ (กดค้างไว้ 3วินาทีเพื่อเปิด) และหลอดฉายภาพโปรเจคเตอร์ มาซ่อนตรงนี้นี่เองครับ

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ในบริเวณด้านหลังใกล้ๆ กัน จะเป็นตัวปรับระดับการโฟกัสเพื่อปรับความคมชัดของภาพที่ฉายออกไปครับ

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ใต้บานพับขาตั้งด้านหลัง เราจะเห็นที่ใส่ซิมการ์ดและ Micro SD card เพราะเจ้า Yoga Tablet 2 Pro รองรับการเชื่อมต่อ 3G และ 4G LTE นั้นเอง

OLYMPUS DIGITAL CAMERA P1010192

ลำโพงวูฟเฟอร์เล็กๆ สกรีนลาย JBL และกล้องถ่ายภาพด้านหลังขนาด 8ล้านพิกเซล (มีกล้องถ่ายภาพด้านหน้าให้มาด้วยขนาด 1.6 ล้านพิกเซล)

P1010189

ด้านหน้าตัวเครื่องเป็นหน้าจอขนาดยักษ์ใหญ่ 13.3 นิ้วความละเอียด QuadHD (2560 x 1440) ใหญ่ยักษ์แต่คมชัดแน่นอน ลำโพงหลักด้านหน้าอีกสองตัวด้านหน้าซ้ายขวา รวมทั้งหมดเจ้า Yoga Tablet 2 Pro จะมีลำโพงสามตัวเพราะมันเป็นเครื่องที่มาพร้อมกับระบบเสียง Dolby 2.1 Surround Sound (เท่มั๊ยละ ^^)

Lenovo-Yoga-Tablet-2-proFullSizeRender-35

 

สเปคเครื่อง Lenovo Yoga Tablet 2 Pro

Processor
Intel® Atom™ Z3745 Processor
Operating System
Android™ v4.4 KitKat
Audio
2x Front large-chamber speakers, JBL® subwoofer, Dolby® Audio, Wolfson® Master Hi-Fi™ Codec
Memory
RAM: 2GB LPDDR3
Storage
  • 32GB EMMC
  • Micro SD card up to 64GB
Battery
  • Type: Li-ion, 9600 mAh
  • Usage Time: Up to 15 hours
Display
  • Size: 13.3″ (2560 x 1440) IPS display
  • Type: Capacitive touchscreen, 10-point multitouch
Weight
2.09 lbs
Color
Platinum
Integrated Cameras
  • Rear: 8MP f2.2 Auto-focus
  • Front: 1.6MP HD
Sensors
G-Sensor, e-Compass, Ambient Light, Hall, Vibration
Connectivity
  • WiFi 802.11 a/b/g/n, MiMo
  • 2.4 GHz and 5 GHz Dual Band
  • Bluetooth® 4.0
Ports
Micro USB / 3.5 mm audio jack / Micro SD card

 

ทดสอบการใช้งานภายใน

ประสิทธิภาพการใช้งานไล่กันตั้งแต่หน้าแรก ความลื่นไหลเอาไป 8/10 ความเป็นแท็บเล็ตแอนดรอยด์หน้าจอใหญ่ๆ จะทำให้เราเห็นได้เสมอว่ายังน่าจะลื่นกว่านี้ได้อีก แต่ก็ไม่ค่อยจะไปได้ถึงสักที สำหรับคะแนน 8 คะแนนนี่คือมากแล้วสำหรับแท็บเล็ตระบบนี้ในเรื่องของความลื่น หน้าตา UI ออกมาแบบมาได้เหมาะสมกับการเป็นแท็บเล็ตขนาดใหญ่ครับ เพราะแถบการแจ้งเตือนด้านบน โดนแยกออกจากแถบควบคุมคำสั่งที่ย้ายมาอยู่ด้านล่าง เมื่อต้องการเรียกใช้ก็สไลด์นิ้วจากขอบด้านล่างเครื่องขึ้นไปครับ

Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00063
Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00062
Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00061
Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00064

โดยในหน้าแรก การควบคุมที่เราสามารถเข้าถึงได้ก็มีมากมายแล้วครับ Yoga Tablet 2 Pro อนญาตให้เราสามารถเข้าไปกำหนดค่าการแจ้งเตือนได้หลายเรื่องสำคัญผ่านหน้าแจ้งเตือนด้านบน ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดรายชื่อแอพที่สามารถแจ้งเตือนได้ และสามารถกำหนดลำดับความสำคัญของแอพที่ต้องการแจ้งเตือนได้เช่นกันว่าแอพใดมาก่อนมาหลังตามความสนใจของเรา

Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00067

สามารถเลือกหน้าตาการแสดงสถานะแบตเตอรี่ จะเอาเป็นไอคอนรูปภาพหรือแบบตัวเลขเปอร์เซ็น รวมทั้งแสดงความเร็วของอินเตอร์เน็ตที่เรากำลังใช้งานอยู่ในปัจจุปันได้ครับ

Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00066

ในส่วนของฟังชั่นที่เรียกใช้งานผ่านการสไลด์หน้าจอจากด้านล่าง ทำให้เราสามารถเข้าถึงการเปิดปิดการทำงานสำคัญๆ ได้อย่างรวดเร็ว เช่นการเปิดปิด Wi-Fi, บลูทูธ หรือเข้าสู่โหมดการบิน เป็นต้น แต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาเป็นฟังชั่นเฉพาะของ Yoga Tablet 2 Pro ก็คือชุดควบคุมด้านขวามือครับ ไล่เรียงมาเลยก็เป็นการเข้าสู่โหมดถ่ายภาพ การล็อคหน้าจอ, การเซฟภาพหน้าจอแบบเลือกพื้นที่ได้เอง (เซฟภาพหน้าจอปกติให้กดปุ่มลดเสียง+ปุ่มพาวเวอร์) และตัวสำคัญปุ่มโหมด Lenovo Smart Switch สำหรับการกำหนดรูปแบบการทำงานที่เราต้องการได้อย่างรวดเร็ว (อธิบายต่อด้านล่าง) และปุ่มสุดท้ายคือปุ่มเข้าสู่การตั้งค่าตัวเครื่องครับ

Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00041

Lenovo Smart Switch คือฟังชั่นที่ Lenovo ออกแบบมาเพื่อ Yoga Tablet 2 Pro โดยเฉพาะ ด้วยการออกแบบขาตั้งและตัวเครื่องที่ทำงานได้ในสี่ลักษณะ ซึ่งแต่ลักษณะเหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละรูปแบบ เช่นการถือเครื่องด้วยมือก็น่าจะเป็นการใช้งานสำหรับการอ่านหนังสือ หรือการแชวนเครื่องไว้กับฝาพนังก็น่าจะเป็นการใช้งานในรูปแบบของการรับชมภาพยนต์เป็นต้น เมื่อการทำงานมันแตกต่างกันตามวัตถุประสงค์ ทาง Lenovo เลยจัดชุดโปรไฟล์ที่เหมาะสมกับการใช้งานในรูปแบบเหล่านั้นเอาไว้ให้ครับ โดยจะปรับแต้่งระบบเสียงและโทนสีแสงหน้าจอให้เหมาะกับการทำงานนั้นๆ ได้แบบอัตโนมัติถ้าเราต้องการ

Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00044

่เช่นเข้าโหมดการถือใช้ สีภาพหน้าจอก็จะปรับไปเป็นแบบถนอมสายตาเพื่อการอ่านหนังสือ หรือถ้าเข้าโหมดแขวน ระบบเสียงก็จะโดนปรับไปให้เป็นโปรไฟล์แบบรับชมภาพยนต์นั้นเองครับ

Yoga Tablet 2 Pro มีโหมดการทำงานแบบมัลติวินโดว์ การแสดงผลหลายหน้าจอที่ทำงานผ่านแอพพลิเคชั่นหลายๆ ตัวได้พร้อมกัน แต่แอพพลิเคชั่นที่ทำงานได้นั้นยังจำกัดอยู่ในแอพพลิเคชั่นสำคัญๆ ไม่กี่ตัวครับ เช่น Chrome, อีเมล, เครื่องคิดเลข, เครื่องเล่นวีดีโอ เป็นต้น

Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00040

ประสิทธิภาพการเข้าออกแอพบนหน้าจอความละเอียดสูงและแรมขนาด 2GB พอดีแบบปริ่มๆ ครับ ไม่ช้าแต่ก็ไม่ได้ไวปรู๊ดปร๊าด เพียงพอได้อยู่ ใช้งานมายังไม่เจอปัญหาแลค รีสตาร์ท ซอฟแวร์แน่นดี Lenovo ไม่ใช่มือใหม่ครับ

Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00085

การตั้งค่าสำคัญของ Yoga Tablet 2 Pro ก็จะมีตัวกำหนดระยะเวลาปืดเครื่องเองอัตโนมัติได้ มีฟังชั่นการประหยัดพลังงานเช่นการลดความเร็วของชุดประมวลผลลง และมีชุดโปรไฟล์เสียงปรับแต่งให้เข้ากับสถานะการใช้งาน

Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00099

 

การใช้งานด้านภาพ

จอภาพความละเอียดระดับ QuadHD บนหน้าจอ 13.3 นิ้วมันสมเหตุสมผลมากกว่าที่จะไปอยู้่บนหน้าจอเล็กๆ อย่างสมาร์ทโฟนมากๆ ครับ เพราะเมื่อดูจากสายตาแล้ว หน้าจอใหญ่ๆ ยังสามารถชัดกว่านี้ได้อีก มากขึ้นไปเกินระดับ 2K แต่ในตอนนีเท่านี้ก็หรูแล้วครับ ภาพไอคอนตัวหนังสือคมชัดกิ๊บๆ เข้าเว็บไซด์ อ่านข่าวอ่านการ์ตูนใหญ่และชัด ลื่นไหลสบายๆ ครับ

การเล่นวีดีโอและดูภาพ จะชัดแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับไฟล์ที่นำมาใช้ สีสันใช้ได้ แสงดีทีเดียว มุมมองกว้างมากครับ แต่กระจกจอมีแสงสะท้อนเยอะให้รำคาญตาอยู่บ้าง

Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00050

และอย่าลืมว่าเจ้า Yoga Tablet 2 Pro เป็นเครื่องที่มีโปรเจคเตอร์อยู่ในตัว มันเหมือนมีจอภาพที่สองที่พร้อมจะทำงานกับทุกๆ สถานที่ที่มีฉากฉายสีขาว ไม่ว่าจะเป็นผืนผ้าใบ กำแพง หรือแม้แต่ผ้าม่านเรียบๆ ตรงๆ มันก็สามารถฉายภาพได้ครับ โดยประสิทธิภาพของมันจากที่ทดสอบใช้งานเราสามารถจะฉายภาพขนาดกำแพงห้องก็ยังได้ แต่จะคมชัดมากที่สุดคือระยะห่างจากฉากฉายประมาณสองเมตร และได้ขนาดหน้าจอประมาณ 50นิ้วครับ สถานที่ต้องมืด ถ้าต้องการความคมชัดมากพอจะดูได้สบายตา ต้องมืดสนิทให้ห้องปิดเลยละครับ กำลังฉายของมันไม่สูงมากขนาดจะสู้แสงภาพนอกได้ไหว

OLYMPUS DIGITAL CAMERAOLYMPUS DIGITAL CAMERA

สามารถฉายภาพได้ทุกๆ ขณะการทำงานเหมือนเป็นหน้าจอตัวเครื่องมันเองเลย

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

รวมทั้งทำงานผ่านแอพพลิเคชั่นของทาง Lenovo ที่เตรียมเอาไว้ให้โดยเฉพาะ โดยจะมีความสามารถในการเล่นหนัง เปิดภาพ เปิดไฟล์เอกสารและแก้ไข อาจจะใช้ในการประชุมเป็นต้น สามารถขีดเขียนลงไปยังหน้าเอกสารได้โดยตรงเมื่อฉายภาพเอกสารผ่านโปรเจคเตอร์ของมันครับ

Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00077

มีโหมด Story ที่สามารถนำภาพและวีดีโอภายในเครื่องมาสไลด์โชว์ต่อเป็นเรื่องราวให้รับชมได้ด้วยครับ

Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00076

ตัวโปรเจคเตอร์มีการปรับตั้งค่ามาให้พอสมควร มีตัวปรับระดับโฟกัสอยู่ด้านหลังเครื่อง มีโหมดการตั้งค่าความสว่างและโทนสีของภาพ รวมทั้งการค่าการสลับหน้าจอการทำงานจากหน้าจอหลักไปยังโปรเจคเตอร์โดยการกำหนดระยะเวลาในการปิดหน้าจอหลักหลังการฉายภาพผ่านโปรเจคเตอร์เป็นต้น

Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00091

มีโหมดการปรับองศาการฉายภาพในกรณีเราฉายภาพเอียงมุมขึ้นไปบนฉากฉาย ให้สัดส่วนกลับมาเป็นสี่เหลี่ยมพอดีเหมือนเดิม

Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00089

ทดสอบการรับชมภาพยนต์ผ่านการฉายด้วยโปรเจคเตอร์ หนึ่งชั่วโมง เครื่องไม่ร้อน และใช้พลังงานไปประมาณ 27% ครับ หมายความว่ามันจะสามารถฉายภาพได้ต่อเนื่องอย่างน้อยๆ สามชั่วโมงขึ้นไปในกรณีแบตเตอรี่เต็ม

Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00047

 

ทดสอบการทำงานด้านเสียง

อย่าหลงรูปอยู่แต่กับแค่หน้าจอความละเอียดสูงและความสามารถในการฉายภาพของมันนะครับ เพราะเจ้า Yoga Tablet 2 Pro มีทีเด็ดในเรื่องของระบบเสียงไม่น้อยหน้าระบบภาพเช่นกัน ด้วยความที่มันเป็นเครื่องแท็บเล็ตแอนดรอยด์ที่มาในระบบเสียง Dolby 2.1 Surround Sound โดยผ่านชุดลำโพงสามตัว (สเตอริโอซ้ายขวาด้านหน้า และวูฟเฟอร์ด้านหลังอีกหนึ่ง) ของ JBL by Harman แท้ๆ และใช้ชิพเสียงของ Wolfson นี่มันศูนย์รวมความบันเทิงที่มากับแบรนด์ชื่อชั้นไม่ธรรมดาทั้งนั้นเลยครับ

ทดสอบการฟังเพลง ไม่ได้ดังอลังการ แต่เสียงแน่นเหมือนลำโพงพกพาภาพนอกขนาดเล็ก ความดังดังไม่เท่า แต่มีความกว้างของเสียงเซอร์ราวด์แบบชัดเจน กว้างมากและฟังสนุกกว่าลำโพงติดเครื่องแท็บเล็ตอื่นๆ แน่นอนครับ และอย่าลืมเปิดโหมดวูฟเฟอร์และปรับโปรไฟล์เสียงให้เหมาะกับการทำงานของมันก่อนด้วยนะครับ เช่นจะดูหนังหรือฟังเพลง เพราะเสียงทั้งสองโหมดมีความแตกต่างออกมาชัดเจนมาก

Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00093

หูฟังของ  Yoga Tablet 2 Pro ไม่ธรรมดาเช่นกันครับ หรูหรายันอุปกรณ์เสริม เพราะว่าให้มาเป็นหูฟังของ JBL อีกเช่นกันครับ แต่! เมื่อทดสอบฟังเสียงหูฟังแล้ว ผมว่ามันอึมครึมไปหน่อย เสียงแคบๆ ตึบๆ ตันๆ ตัวสวยแต่เสียงไม่ใสครับหูฟังของ JBL ตัวนี้ที่แถมมาให้

thumb (1)

ตัวแอพพลิเคชั่นสำหรับการปรับแต่งเสียงของ Dolby มีมาให้ตัวเต็มเหมือนของเครื่อง Notebook, PC กันเลย สามารถปรับแต่งโหมดเสียงได้หลากหลายเลยครับ ลองแต่งกันเล่นๆ ดู

Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00024

 

การทดสอบด้านเกม

ตัว  Yoga Tablet 2 Pro ใช้หน่วยประมวลผล Z3745 สี่หัว 1.86GHz ของทาง Intel ความแรงผ่าน แต่ประสบการณ์ของผู้ใช้งานบางคนยังเป็นห่วงว่าเกมบางเกมจะยังมีปัญหาเปิดใช้งานไม่ได้กับ CPU ตระกูลนี้อยู่หรือเปล่า? จากการทดสอบผ่านฉลุยครับ กับผู้พัฒนา GameLoft ที่เคยมีปัญหาในการเข้าเกม มีการอัพเดทแก้ไขความไม่เข้ากันต่างๆ ปรับตัวเกมให้สามารถรันทำงานได้กับ CPU ของ Intel กันได้หมดแล้ว แต่ถ้ามีใครเล่นแล้วเจอปัญหาเกมไหนเพิ่มเติม ฝากมาบอกกันด้วยนะครับ จะได้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ

Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00101
Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00102
Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00103
Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00104
Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00105
Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00106
Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00108

 

ผลทดสอบด้านอื่นๆ

Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00054
Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00055
Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00056
Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00057
Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00058
Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00059

จับสัญญาณ GPS ได้ไวมากครับ ทดสอบโดยไม่เปิดเน็ตก็จับตำแหน่งได้ง่ายๆ

Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00060

ตัว Lenovo Yoga Tablet 2 Pro ใส่ซิมเล่น 3G และ 4G ได้ แต่ไม่สามารถโทรออกรับสายได้ แต่ก็ยังสามารถรับส่งข้อความ SMS ได้อยู่นะครับ

Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00109

การทำงานบนแบตเตอรี่ขนาด 9,600 mAh พอใช้จากเช้าถึงค่ำแน่ๆ ครับเหลือๆ เลยทีเดียว แต่การชาร์จพลังงานกลับเข้าไปยังตัวเครื่อง ต้องเอาตัว Adapter ของมันมาใช้จะดีกว่าครับ แรงดันไฟสูง ชาร์จพลังงานเข้าได้ไวกว่าที่ชาร์จของสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตแอนดรอยด์ตัวอื่นๆ ชาร์จไฟเข้าได้แต่ช้ากว่ามากทีเดียว

P1010194

 

แอพพลิเคชั่นอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ตัว Yoga Tablet 2 Pro จะมีแอพพลิเคชั่นที่ทาง Lenovo ใส่มาไว้ให้ภายในหลายตัวครับ เช่นแอพ Projection ที่เอาไว้ใช้กับเครื่องฉายโปรเจคเตอร์ตามที่แนะนำไปด้านบน และแอพพลิเคชั่นจัดการเสียงของ Dolby ตัวเต็มๆ ยังมีแอพพลิเคชั่นเด็ดๆ ของทาง Lenovo เองอย่าง Security HD ที่เอาไว้ป้องกันและแสกนหาแอพพลิเคชั่นร้ายในเครื่องให้แก่ผู้ใช้ หรือแอพพลิเึขชั่น SHAREit สำหรับการรับส่งไฟล์หากันระหว่างเครื่องได้อย่างรวดเร็ว และแอพพลิเคชั่น CLONEit ที่เอาไว้คัดลอกข้อมูลย้ายเครื่องกันได้อย่างง่ายดาย

Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00079

ยังมีแอพพลิเคชั่นที่ผมว่ามีประโยชน์มากๆ นั้นคือ Lenovo Sketchpad ซึ่งเอาไว้ขีดๆ เขียนๆ หน้าจอได้โดยตรง และเซฟภาพส่งไฟล์เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในภายหลังได้ครับ

Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00083

 

 

การทดสอบด้านการถ่ายภาพ

แม้จะเป้นเครื่องแท็บเล็ตขนาดใหญ่ แต่ว่าก็มีกล้องถ่ายภาพมาให้ เลยทดสอบถ่ายมาฝากกันครับ กล้องของ Lenovo Yoga Tablet 2 Pro จะมาในความละเอียดขนาด 8 ล้านพิกเซล และกล้องหน้า 1.6ล้าน โหมดถ่ายภาพมีฟังชั่นการปรับแต่งมาให้นิดหน่อยครับ ไม่มีอะไรมากครับ แค่มีไว้ใช้เมื่อยามจะแอบครีเอทเล็กๆ ^^

Screenshot_2015-02-19-17-34-14-328
Screenshot_2015-02-19-17-34-22-425
Screenshot_2015-02-19-17-34-28-061
Screenshot_2015-02-19-17-34-35-023

การตั้งค่าในโหมดต่างๆ ของกล้องถ่ายภาพ

Screenshot_2015-02-19-17-34-45-959
Screenshot_2015-02-19-17-35-02-391
Screenshot_2015-02-19-17-37-34-659

ตัวกล้องยังสู้มาตรฐานของกล้องจากเครื่องสมาร์ทโฟนไม่ได้ครับ แสงซีดสีจาง และโฟกัสไม่คม ตัวอย่างภาพถ่ายของ Lenovo Yoga Tablet 2 Pro

Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00008
Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00004
Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00009
Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00012
Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00013
Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00003
Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00016
Lenovo Yoga Tablet 2 Pro 00018

 

สรุปท้ายรีวิว

Lenovo Yoga Tablet 2 Pro เป็นเครื่องแท็บเล็ตแอนดรอยด์ความสามารถสูง และมีคุณลักษณะการใช้ประโยชน์ที่แตกต่างจากเครื่องอื่นๆ ชัดเจน นั้นคือการเป็นเครื่องคู่กายระดับโปร ทั้งขนาดหน้าจอใหญ่ๆ เพื่อการทำงาน เพื่อการรับชมภาพและวีดีโอ รวมถึงการทำหน้าที่เป็นเครื่องฉายภาพที่มีแอพพลิเคชั่นรองรับทั้งในเรื่องความบันเทิงและในการประชุมหรือแสดงภาพสไลด์ ตัวเครื่องหรู บาง แต่แข็งแกร่ง ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้เด็กๆ ใช้เป็นแค่เครื่องเล่น แต่มีเอาไว้สำหรับผู้ที่ต้องการภาพลักษณ์และเพื่อคนทำงานจริงๆ

คุณสมบัติครบ เกรดสูง ราคาคุ้มเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้ 22,900 บาท แถมกล้าใส่ในสิง่ที่เจ้าอื่นไม่มี ตัวนี้น่าประทับใจผมมากครับ

เกรด A เริ่ดเชียว!

lenovo-yoga-tablet-2-pro-1380-main lenovo-tablet-yoga-tablet-2-pro-13-inch-android-front-side-projector-5 yoga-tablet-2-pro-hinge

from:http://www.appdisqus.com/devices/review-lenovo-yoga-tablet-2-pro

ทดสอบกล้อง OPPO R5 : ตัวอย่างภาพถ่ายชุดใหญ่ ผลลัพท์น่าประทับใจ พร้อมแนะนำฟังชั่นการถ่ายภาพเด็ดๆ ใหม่ๆ ของ OPPO R5

ทดสอบกล้อง OPPO R5 : ตัวอย่างภาพถ่ายชุดใหญ่ ผลลัพท์น่าประทับใจ พร้อมแนะนำฟังชั่นการถ่ายภาพเด็ดๆ ใหม่ๆ ของ OPPO R5

33

สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ตัวล่าสุดส่งท้ายปีของทาง OPPO ที่มาพรอมกับความบางเป็นสถิติโลก บางที่สุดในตอนนี้ที่เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย นั้นคือ Oppo R5  ด้วยความบาง 4.85 มิลลิเมตร และกล้องถ่ายภาพเทคโนโลยีล่าสุด Pure Image Engine 2.0 แน่นอนว่า เป็นสิ่งแรกๆ ที่เราอยากจะรู้ถึงประสิทธิภาพของมันเลยละครับ

หลังจากที่เราแอพดิสคัสได้ทำการทดสอบการถ่ายภาพของ OPPO R5 ก็ต้องยอมรับว่า งานดีจริง ในขั้นประทับใจเลยทั้งในเรื่องของคุณภาพ ความฉับไว และฟังชั่น ลองมาดูคุณภาพของภาพที่ได้กันครับ และมีฟังชั่นมาแนะนำที่เป็นฟังชั่นที่น่าสนใจภายในเครื่องอีกด้วยครับ

ตัวอย่างภาพถ่ายโหมดปกติ ภายนอกและภายในอาคาร (อัตโนมัติ)

IMG20141213195410 IMG20141213195442 IMG20141213195458 IMG20141213195600 IMG20141214135641 IMG20141214135944 IMG20141214135955

IMG20141214144843

จากที่เห็นตามตัวอย่างภาพถ่าย ระยะโฟกัสของตัวกล้อง มีระยะที่ใกล้ได้ใจมากครับ รูรับแสงขนาด 2.0f  จับภาพชัดลึกชัดตื้นได้สบายๆ ครับ โฟกัสจับได้ไว แม่น และมีโหมดฟังชั่นเพียบครับ สามารถดาน์โหลดและติดตั้งโหมดถ่ายภาพได้ เรียกใช้งานได้ง่ายๆ จากการสไลด์ขึ้นมาจากด้านล่างครับ

Screenshot_2014-12-14-13-56-47-301

 

สามารถดาวน์โหลดโหมดการถ่ายภาพอื่นๆ มาได้อีกมากมายครับ ตัวที่น่าสนใจก็อย่างโหมดการถ่ายภาพผู้เชี่ยวชาญ ที่เราสามารถเข้าถึงการตั้งค่าของตัวกล้องได้อย่างความเร็วชัตเตอร์หรือแมนนวลโฟกัสด้วยตนเอง, โหมด Ultra HD ที่สามารถสร้างภาพความละเอียดระดับ 50 ล้านพิกเซล แลการถ่ายพร้อมซุปเปอร์มาโคร สำหรับการถ่ายภาพวัตถุระยะใกล้ที่ใกล้มากๆ

โหมดที่พร้อมให้ดาวน์โหลดมาใช้งานกันได้ฟรีๆ อีกมากมาย มีหลายตัวน่าสนใจครับ

Screenshot_2014-12-14-13-57-00-61

โหมดการถ่ายภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ สามารถปรับสปีดชัตเตอร์และปรับค่าแสง, โฟกัสแบบแมนนวล ได้

Screenshot_2014-12-14-13-58-33-104

ตัวอย่างภาพถ่ายในโหมด ซุปเปอร์มาโคร เป็นการถ่ายภาพวัตถุในระยะใกล้ ตามตัวอย่างภาพถ่ายเราถ่ายในระยะใกล้ตามภาพมาโครปกติ และลึกเข้าไปให้ใกล้กว่าได้ด้วยโหมดซุเปอร์มาโคร ซึ่งเป็นโหมดที่ใช้การถ่ายภาพมาโครและการขยายภาพมาทำงานร่วมกันครับ

IMG20141214135725 IMG20141214135744 IMG20141214135758

ตัวอย่างภาพถ่าย Ultra HD (สูงสุด 50 ล้านพิกเซล) เป็นโหมดการถ่ายภาพที่เอาไว้ใช้ยามที่ต้องการภาพขนาดใหญ่ๆ เพื่อทำป้าย Billboard หรือแผ่นป้ายโฆษณา รวมทั้งใช้เพื่อการถ่ายภาพโดยรวมก่อนแล้วนำามาซูมส่วนที่ต้องการของภาพที่หลังก็ได้ครับ

1

ภาพด้านบนเป็นภาพขนาดเต็มของโหมด  Ultra HD ภาพด้านล่างเป็นภาพตัดขยาย 100% ในพื้นที่กรอบสีแดง

IMG20141214140210

IMG20141214140210

นอกจากนี้ สิ่งที่เป็นฟังชั่นความสามารถพิเศษของกล้องถ่ายภาพจาก Oppo ตั้งแต่รุ่นก่อนๆ อย่างการซูมดิจิตอล 4X ที่ให้ผลลัพท์แตกต่างกับการซูมภาพแบบดิจิตอลเดิมๆ จากที่ไม่เคยหวังพึ่งได้เพราะซูมทีไร ภาพเน่าซะทุกทีไป มาเป็นการซูมภาพด้วยซอฟท์แวร์แบบใหม่ ที่ให้ผลลัพท์ที่น่าพอใจมากครับ จากตัวอย่างภาพด้านล่าง จะเห็นระยะของวัตถุบนภาพก่อนการซูมและหลังการซูม ผลลัพท์ที่ได้จากการซูฒดิจิตอลถือว่าทำได้ดีกว่ากล้องมือถือตัวอื่นๆ มากครับ

IMG20141214135944IMG20141214135920

 

2

สำหรับการถ่ายภาพกลางคืนของ R5 ทาง OPPO ได้ทำซอฟท์แวร์สำหรับชดเชยจุดด้อยของกล้องสมาร์ทโฟนที่แพ้การถ่ายภาพในที่แสงน้อย ด้วยโหมดที่พัฒนามาโดยเฉพาะ

ตัวอย่างภาพถ่ายกลางคืนของ OPPO R5 ด้วยโหมดถ่ายภาพกลางคืน ที่ช่วยปรับแต่งให้เครื่องสามารถบันทึกภาพได้สวยกว่าเดิม ปรับลดนอยส์ แก้ไขสี เปิดโหมด “ถ่ายภาพกลางคืนที่มีสีสันสดใส” ช่วยได้เยอะมากครับ ตามการทดสอบใช้งานจริงด้านล่าง

IMG20141214181449 IMG20141214181648 IMG20141214181859 IMG20141214182541

สุดท้ายกับกล้องถ่ายภาพด้านหน้า ที่สมชื่อ OPPO หน้าใส อ่อนกว่าวัย ไม่ต้องอาศัยศัลยกรรมครับ ^^ การปรับแต่งที่เรากำหนดได้เอง ว่าต้องการให้ภาพของการถ่ายเซลฟี่ออกมาดูดีมากแค่ไหน แต่เอาแค่การตั้งค่าพื้นฐานที่เขาตั้งค่ามาให้ไว้ก็น่าใช้มากแล้วครับ

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ OPPO R5

IMG20141213195511 IMG20141213195649

เหล่านี้ก็เป็นตัวย่างภาพถ่ายและผลทดสอบของกล้องถ่ายภาพจาก OPPO R5 ในโหมดต่างๆ ถือว่าเป็นเครื่องที่นำมาใช้งานการถ่ายภาพสนุกแน่นอนเยละครับ หน้าตาเครื่องสวย UI การใช้งานสวย กล้องถ่ายภาพสวย แถมยังบางแต่แกร่งและสเปคก็แรงพอในการใช้งานด้านต่างๆ ได้อย่างสบายๆ

แต่อย่างไรก็ตาม รอติดตามรีวิวเต็มๆ ของ OPPO R5 ได้ที่นี่ แอพดิสคัส จัดมาให้กันเต็มๆ อย่างแน่นอนครับ

from:http://www.appdisqus.com/2014/12/14/camera-test-oppo-r5.html

วีดีโอรีวิว Nokia Lumia 830 by. Appdisqus Review

วีดีโอรีวิว Nokia Lumia 830 by. Appdisqus Review

P1010190

วีดีโอรีวิวของเครื่อง Nokia Lumia 830 มาแล้วครับ ความรู้สึกของผู้รีวิวอย่างผม บอกได้ว่าเป็นเครื่องที่อยู่ในระดับเรือธงทั้งในเรื่องประสิทธิภาพและการออกแบบ ความเนี้ยบในงานผลิตที่ทำให้เห็นได้ว่า เครื่องราคาถูกกว่าไม่จำเป็นต้องทำให้รู้สึกว่าด้อยกว่าเสมอไป ชอบครับกับความพอดีของเครื่องรุ่นนี้

เพื่อนๆ สามารถอ่านบทความเต็มๆ พร้อมผลทดสอบในด้านต่างๆ จากตัวบทความรีวิวและพรีวิวของ Appdisqus ที่ปล่อยออกไปให้อ่านกันก่อนหน้าได้จากลิงก์ที่ผมแนบมาให้ด้านล่างครับ

พรีวิว Nokia Lumia 830 โดยทีมงาน Appdisqus
รีวิว Nokia Lumia 830 มือถือฟังก์ชั่นเรือธง ราคาจับต้องได้

รีวิววีดีโอ Nokia Lumia 830

เกรด B ดีอยู่นะ !

from:http://www.appdisqus.com/devices/video-review-nokia-lumia-830