รีวิว realme C55 อัปเกรดสเปคใหญ่ ขึ้นแชมป์ความคุ้ม เหนือทุกรุ่นในเรทราคา

รีวิว realme C55 อัปเกรดสเปคใหญ่ ขึ้นแชมป์ความคุ้ม เหนือทุกรุ่นในเรทราคา
Noppinij

realme C55 เป็นสมาร์ทโฟนที่มาในโอกาสที่ดีมากครับ เพราะนี่คือสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่เปิดตัวออกมาหลังคำประกาศสำคัญของแบรนด์ realme เพราะพวกเขาเพิ่งได้ประกาศใช้กลยุทธ์ “A Champion of The Segment” หรือเจตนารมณ์ที่ต้องการที่จะให้สินค้าของเขาได้ขึ้นครองตำแหน่งแชมป์ที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนอื่นในกลุ่มราคาเดียวกัน

และ realme C55 คือสมาร์ทโฟนรุ่นแรกจากเจตนารมณ์ที่ว่ามานั้นเองครับ ฉะนั้นมันจึงถูกอัปเกรดยกสเปคมาครั้งใหญ่ ใส่ความคุ้มเข้ามาเพิ่มในจุดเด่น 4 ฟีเจอร์หลัก นั้นคือการถ่ายภาพ, ขนาดหน่วยความจำ, ระบบชาร์จ และงานดีไซน์

โดยสิ่งที่คุณจะได้เมื่อซื้อเครื่องสมาร์ทโฟนที่เปิดจำหน่ายมาในราคาแค่ 5,999 บาท นั้นคือสมาร์ทโฟนที่มีกล้องถ่ายภาพ 64MP เป็นเพียงหนึ่งเดียวที่มีในตลาด ถ้าดูจากสมาร์ทโฟนมีแบรนด์ที่เปิดจำหน่ายมาในเรทราคาเดียวกัน  และมีระบบชาร์จไว 33W SUPERVOOC และสำหรับตัวเลือกในราคา 7,299 บาท จะได้เครื่องที่มีหน่วยความจำ (ROM) ขนาดใหญ่ถึง 256GB พร้อม RAM ขนาด 8GB ให้มาเยอะมากทีเดียว รวมไปถึงคุณภาพตัวเครื่องภายนอกก็ไม่ทิ้ง เพราะรุ่นนี้เขาใส่ใจในงานดีไซน์ตัวเครื่องมาเป็นอย่างดีอีกด้วย

การออกแบบตัวเครื่อง

realme ให้ความสำคัญกับการออกแบบตัวเครื่อง C55 ค่อนข้างมาก ตัวเครื่องขอบมุมฉากแต่มีการเก็บเหลี่ยมลบคมเพื่อให้ถือจับสบายมือ มีเข้ามาจำหน่ายสองสีคือ คือ Sunshower สีทองไล่เฉดรุ้ง และ Rainy Night เครื่องสีดำเงาแต่ผิวสัมผัสด้าน ใช้เทคนิคการเคลือบผิวสองชั้นและโครงสร้างลายเส้นเหมือนสายฝน ทำให้ฝาหลังของ realme C55 สวยงามครับ มีความแข็งแกร่ง สะท้อนเล่นเงากับแสงได้ เกิดไดนามิคสะท้อนให้เห็นลวดลาย และใช้งานได้แบบไม่เกิดคราบมันรอยนิ้วมือขึ้นมาแต่อย่างใด

 

กมีการจัดวางโครงสร้างภายในตัวเครื่องเป็นอย่างดี เพราะตัวเครื่องทำออกมาได้มีความบางแค่ 7.89 มม. เท่านั้น แม้ภายในจะใส่แบตเตอรี่ขนาด 5,000mAh และมีที่สแกนลายนิ้วมืออยู่ตรงปุ่มพาวเวอร์ด้านข้างเครื่องก็ตาม ปกติเครื่องที่ติดตั้งจุดสแกนลายนิ้วมือด้านข้างมักจะมีความหนามากกว่านี้พอสมควร

งานการประกอบแน่นหนา จับสัมผัสถือใช้รู้สึกแน่น ขอบเหลี่ยมเข้ามือได้กระชับดี น่าจะมีความทนทานใช้งานได้ยาวนานครับ เพราะได้ผ่านการทดสอบที่เข้มงวดด้านความทนทานมามากกว่า 320 รายการตามมาตรฐานงานผลิตของแบรนด์ realme มาแล้วนั้นเอง

ให้หน้าจอขนาดใหญ่ 6.72 นิ้ว ความละเอียด FullHD+ (1080×2400) รีเฟรชเรท 90Hz ความสว่างสูงสุด 680nits จอดี คุ้มราคา และขอบจอก็เล็กมาก สัดส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่อง 91.4% เจาะรูวางกล้องหน้าความละเอียด 8MP รองรับการสแกนใบหน้าเข้าใช้งาน

ลำโพงเสียงดังชัดเจนครับ มีระบบ Ultraboom Sound เพิ่มระดับความดังเสียงได้มากกว่าปกติไปได้ที่ 200% ใช้ดูหนังฟังเพลงภายในห้องเสียงดังชัดเจนมาก

รองรับ 4G สองซิมการ์ด สามารถเพิ่มหน่วยความจำด้วย micro SD Card ได้สูงสุด 1TB

ด้านหลังติดตั้งกล้องคู่ ตัวหลัก 64MP ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์ 1/2” ตัวเดียวกันกับที่ถูกใช้ในสมาร์ทโฟนรุ่นใหญ่ realme GT Master Edition เลยครับ ทำงานคู่กับกล้อง B&W ช่วยจับโฟกัสอีกหนึ่งตัว ความละเอียด 2MP

รูหูฟังและพอร์ทชาร์จ Type C อยู่ด้านล่างตัวเครื่องทั้งคู่ รองรับระบบชาร์จไว 33W SUPERVOOC จากอะเดปเตอร์ที่แถมมาให้ภายในกล่องครับ จากที่ทดสอบสามารถชาร์จแบตขนาด 5,000mAh ได้ครึ่งก้อนในเวลาแค่ 30นาที และชาร์จเต็มได้ในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครับ ไม่มีความร้อนสะสม ใช้งานมารู้สึกปลอดภัย ระบบไฟของ SUPERVOOC มีระบบป้องกันอัจฉริยะ 5 ขั้นตอน ป้องกันในเรื่องกระแสไฟ ไฟเกิน และดูเรื่องระดับความร้อนในขณะชาร์จอยู่แล้วโดยอัตโนมัติ

ภายในกล่องก็จะมีตัวชาร์จ 33W SUPERVOOC แถมมาให้เลย พร้อมกับเคสใสซิลิโคน และสาย USB Type C แต่จะไม่มีชุดหูฟังแถมมาให้นะครับ

สเปคการใช้งานภายใน

realme C55 เป็นสมาร์ตโฟนรุ่นแรกใน C Series ที่มาพร้อมกับระบบ realme UI 4.0 ตั้งแต่แกะกล่องเลย ครอบทับบน Android 13 ตัวล่าสุดด้วยเช่นกัน ใช้ชิปเซ็ต MediaTek Helio G88 เทคโนโลยีการผลิต 12nm และใช้ GPU Mali-G52 ด้วย octa-core 2.0GHz

ให้ ROM หรือหน่วยความจำมาเยอะมากๆ มีสองตัวเลือก 128GB/256GB และ RAM 6GB/8GB ตามลำดับ โดยมีความสามารถในการขยายแรมออกไปได้ด้วยพื้นที่หน่วยความจำที่ยังไม่ถูกใช้งานได้อีก 8GB รวมเป็นสูงสุด 8GB+8GB สเปครุ่นนี้ถือว่าไม่ธรรมดา

ด้วยหน่วยความจำขนาดนี้ ติดตั้งแอปและเกมได้สบายใจหลายร้อยแอปครับ เก็บรูปภ่ายได้มากกว่า 50,000 เก็บหนังเก็บเพลงไว้ฟังได้ไม่ซ้ำยาวเป็นเดือน ยังไม่นับพื้นที่ที่สามารถเพิ่มได้จาก micro SD Card ที่ใส่ได้อีก

realme UI 4.0 ของ realme C55 มีความสามารถใหม่ที่เรียกว่า “Mini Capsule” นับเป็นประเภทของรูปแบบการแจ้งเตือนใหม่ ออกแบบมาให้เข้ากับจอแสดงผลที่มีกล้องหน้าขวางอยู่กลางจอภาพ ปรับให้เป็นลูกเล่นบนพื้นที่พิเศษ หน้าตาขณะทำงานจะคล้ายๆ Dynamic Island ของเครื่อง Apple iPhone 14 Pro แต่จะเป็นแค่การแสดงผลขึ้นมาเพียงชั่วคราเท่านั้น แจ้งเตือนเสร็จแล้วก็หดหายไป ไม่ได้เป็นการเสียพื้นแบบถาวรบนหน้าจอไปตลอดเหมือนเครื่อง iPhone นั้นเองครับ

Mini Capsule จะถูกใช้ในการแจ้งเตือนสถานะแบตเตอรี่ในกรณีกำลังเสียบชาร์จ หรือแบตเตอรี่ใกล้จะหมด จะปรากฏออกมาในอนิเมชั่นและสีสันเอฟเฟ็กต์ที่ต่างกัน รวมถึงแจ้งบอกจำนวนก้าวเดินและปริมาณการใช้ข้อมูลอินเทอร์เน็ตเมื่อใกล้ถึงขีดจำกัดถ้าเรากำหนดไว้ โดยความสามารถของ Mini Capsule จะถูกเพิ่มเติมเข้ามาได้ภายหลัง และเราสามารถควบคุมได้ จากการตั้งค่าภายในเครื่องหัวข้อ realme Lab นั้นเองครับ

ระบบยังมีการใส่ความสามารถที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น ระบบด้านความปลอดภัยในขณะที่เรากำลังจะแชร์ภาพที่อาจจะมีข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ ใบหน้า หรือลิงก์เว็บไซด์ ในโหมดจัดการภาพเราสามารถกดเบลอสิ่งเหล่านี้ได้ในคลิ๊กเดียวโดยอัตโนมัติ เพื่อความง่ายในการส่งต่อภาพที่อาจจะมีข้อมูลละเอียดอ่อน หรือการกดเพื่อแปลภาษาที่อยู่ในภาพได้โดยตรง ก็ทำได้ด้วยเช่นกัน

รองรับท่าทาง Gesture ด่วน ลากสามนิ้วลงมาเพื่อเซฟภาพหน้าจอ หรือดันสามนิ้วขึ้นไปเพื่อแบ่งหน้าจอทำงานสองแอปพลิเคชั่นพร้อมกัน  ซึ่งการแบ่งแอปทำงานสามารถทำได้ทั้งลักษณะของการแบ่งครึ่งหน้าจอ และแบบลอยเป็นหน้าต่อป๊อบอัพ

ประสิทธิภาพการทำงานจอง realme C55 ไม่ได้แรงเร็วทรงพลังสูงมาก แต่ใช้งานได้ลื่นไหลพอประมาณ เปิดเข้าออกแอปพลิเคชั่นต่างๆ ทำได้เร็วไม่มีปัญหาใดๆ มีขนาดแรมที่ใหญ่มากพอจะเปิดแอปทิ้งไว้ได้หลายแอปพร้อมกัน แต่ก็ไม่ใช่เครื่องที่รวดเร็ว 100% แบบรุ่นใหญ่ราคาแพงเท่านั้นเอง

แต่แน่นอนว่าด้วยแบตเตอรี่ขนาด 5,000mAh บนสเปคที่ไม่ได้ใช้พลังงานมากมายนัก จึงอยู่กับเราได้ยาวนานมากครับ ที่ผมลองใช้งานระดับทั่วๆ ไป สามารถอยู่ได้ข้ามคืนเลยทีเดียว โดยมีฟีเจอร์ในการจัดสรรพลังงานช่วยเหลือเพิ่มเติมด้วย เช่นการปรับระดับประสิทธิภาพเครื่องเพื่อการถนอมพลังงาน หรือใครที่อยากจะเร่งให้เครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ตลอดเวลา ก็สามารถเข้าไปเปิดได้ในการตั้งค่าหัวข้อพลังงานครับ

กล้องถ่ายภาพ

หนึ่งเดียวที่มาพร้อมกล้องหลัก 64MP สำหรับตัวเลือกที่ไม่เกินหกพัน เป็นเซนเซอร์ใหญ่ 1/2” และมีขนาดพิกเซลที่ใหญ่ 0.7μm ถ้าเทียบกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง C35 ก็เรียกได้ว่าขนาดเซ็นเซอร์เพิ่มขึ้น 54% และความคมชัดเพิ่มขึ้นถึง 53.8% เลยทีเดียว ทำงานร่วมเลนส์ B&W ความละเอียด 2MP ช่วยวัดแสงจับโฟกัส

สามารถซูมภาพได้ตั้งแต่ 1x ไปจนถึงซูมดิจิทัล 10x พร้อมตัว AI ช่วยเร่งสีสันของภาพให้ดูสดใสตามสิ่งที่กำลังจะถ่ายให้อัตโนมัติ

ความคมชัดของกล้อง ไม่ธรรมดาครับ เพราะได้เซนเซอร์เกรดรุ่นใหญ่ใส่เข้ามาให้ แสงดีๆ เดินถ่ายยังไงภาพก็ออกมาสวยชัดง่ายๆ

กล้องถ่ายภาพมีโหมดถ่ายมากมายครับ โหมดสำคัญที่น่าสนใจอย่างภาพความละเอียดสูง 64MP และโหมดถ่ายภาพบุคคล, โหมดกลางคืน และพิเศษกับโหมด Street Photography ซึ่งปกติจะอยู่ในเฉพาะรุ่น GT Series แต้นี้มีมาให้ใช้ครั้งแรกใน C55 ด้วยครับ

โหมดถ่ายภาพ 64MP ภาพความละเอียดสูง เหมาะสำหรับถ่ายแล้วนำมาครอปตัดภายหลังโดยที่ภาพยังคงคมชัดอยู่ แต่จะได้ไฟล์ภาพขนาดใหญ่กินพื้นที่สักหน่อยครับ ประมาณ 20MB แต่รุ่นนี้หน่วยความจำมีขนาดใหญ่ ถ้าจำเป็นก็ถ่ายโหมด 64MP ไปก่อนเผื่อไปครอปตัดเอาทีหลังก็ได้ครับ ภาพค่อนข้างคมมากครับ

โหมด Street Photography หรือโหมดท้องถนน จะเป็นโหมดเอฟเฟ็กต์สีสันและโทนภาพที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ออกแบบเพื่อการถ่ายภาพแนวสตรีท แนวอาร์ท เล่นกับสีและแสงที่สร้างความแปลกตาได้ดี ด้วยเทคโนโลยี Dynamic Image  Snapshot ช่วยปรับปรุงประสบการณ์การถ่ายภาพแนวนี้ได้อย่างดีครับ จับภาพไว ไม่กลัวแสงกลางคืน ปรับสีสันโทนภาพให้ออกมาอาร์ทได้สวยงาม

โหมดถ่ายภาพบุคคล สามารถถ่ายหน้าชัดหลังเบลอได้ทั้งกล้องหลังและกล้องหน้าครับ (กล้องหน้าความละเอียด 8MP) นอกจากจะถ่ายหน้าชัดหลังเบลอแบบปกติได้แล้ว ยังมากับฟังก์ชั่นที่เล่นกับฉากหลังได้มากกว่าเดิม เช่น Bokeh Flare Portrait การเพิ่มความโดดเด่นให้กับดวงโบเก้ด้านหลัง ให้มีความจัดจ้านและสวยงามมากขึ้น และ AI Color Portrait การปรับฉากหลังให้กลายเป็นโทนขาวดำ เหลือไว้แต่ตัวแบบที่ยังมีสีสัน ตัดได้คม เพิ่มความเด่นให้กับภาพบุคคล ทำออกมาได้ครับสำหรับ realme C55

สรุปท้ายรีวิว

สมาร์ทโฟนในกลุ่มราคาเริ่มต้น สเปคการใช้งานกำลังดี แต่ให้มาคุ้มสุดแล้วในตลาดราคา 5,999 และ 7,299 บาท เพราะได้เพิ่มขนาดหน่วยความจำ เพิ่มความละเอียดกล้อง ใส่ของที่เทียบเท่ากับตัวราคาแพงกว่าหลายพันบาทมาให้เลยทีเดียว และยังให้ระบบชาร์จที่ไว้ใจได้อย่าง 33W SUPERVOOC ชาร์จไวและปลอดภัยทั้งใช้เองหรือให้คนในบ้านที่เป็นเด็ก,ผู้ใหญ่ใช้ ตัวเครื่องสวย บาง และดูแข็งแรง

realme C55 เปิดราคาจำหน่ายมาสองรุ่น มีให้เลือกด้วยกัน 2 สีคือ สี Sunshower และสี Rainy Night วางจำหน่ายพร้อมกันในวันที่ 31 มีนาคมผ่านช่องทาง realme brand shop และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

• รุ่นความจุ 6GB+128GB ราคา 5,999 บาท
• รุ่นความจุ 8GB+256GB ราคา 7,299 บาท

พิเศษ! สำหรับช่องทางออนไลน์ สามารถเป็นเจ้าของ realme C55 ได้ก่อนใคร โดย เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะช่องทาง Lazada ที่เดียว พร้อมราคาสุดพิเศษเฉพาะวันที่ 27 มีนาคม –1 เมษายน

โดย realme C55 รุ่นความจุ 6+128GB จะได้รับส่วนลดสูงสุด 500 บาท ราคาพิเศษจะเหลือเพียง 5,499 บาท และ realme C55 รุ่นความจุ 8+256GB เป็น 200 ออเดอร์แรก รับไปเลยทันทีกระเป๋า Backpack

ช่องทางการสั่งซื้อทาง Lazada :

• realme C55 รุ่นความจุ 6+128GB https://www.lazada.co.th/products/i4462650998.html?spm=a1zawg.24863640.table_online_product.1.51884edf4Y4FNz
• realme C55 รุ่นความจุ 8+256GB https://www.lazada.co.th/products/i4474612344.html?spm=a1zawg.24863640.table_online_product.1.10254edff0eXGN

 

ข่าว: รีวิว realme C55 อัปเกรดสเปคใหญ่ ขึ้นแชมป์ความคุ้ม เหนือทุกรุ่นในเรทราคา มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/realme-c55-review-champion-of-the-segment/

Advertisement

รีวิว OPPO Find N2 Flip สมาร์ทโฟนจอพับที่จะทำให้คุณหลงรัก มอบประสบการณ์พับที่ดีกว่า

รีวิว OPPO Find N2 Flip สมาร์ทโฟนจอพับที่จะทำให้คุณหลงรัก มอบประสบการณ์พับที่ดีกว่า
Noppinij

OPPO Find N2 Flip สมาร์ทโฟนจอพับรุ่นล่าสุดพร้อมจำหน่ายไทย มากับความลงตัวในการออกแบบจนต้องบอกว่าน่าประทับใจ หลายคนอาจยังสงสัย แค่จอพับได้จะมีอะไรมากมายอย่างที่ว่ามา? ฉะนั้นในรีวิวนี้ผมจะพามารู้จักกันครับ ว่าเมื่อจอสมาร์ทโฟนของเราพับได้และพับได้ในแบบที่ OPPO เขาทำมา มันจะสร้างความพิเศษได้มากกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นในตลาดอย่างไรบ้าง?

หน้าจอด้านนอกที่ใหญ่ที่สุด + บานพับที่ดีที่สุด

สองสิ่งนี้คือไฮไลค์สำคัญที่ทำให้ OPPO Find N2 Flip โดดเด่นและแตกต่าง ตั้งแต่ที่พวกเขาได้เริ่มพัฒนาสมาร์ทโฟนจอพับมาตั้งแต่ปี 2018 พวกเขาสามารถสร้างสมาร์ทโฟนจอพับที่รอยพับตรงกลางจอมีน้อยมากจนแทบมองไม่เห็น ทำมาได้สำเร็จตั้งแต่ในรุ่น OPPO Find N หรือสมาร์ทโฟนจอพับตัวแรกของแบรนด์ ด้วยการใช้บานพับที่เป็นเอกสิทธิ์ของพวกเขาเอง “Flexion Hinge” และมันได้ถูกพัฒนาต่อเนื่องเรื่อยมาจนมาถึงรุ่นล่าสุด นั้นคือตัวบานพับทีเ่อามาใช้ใน OPPO Find N2 Flip รุ่นนี้นั้นเอง

เป็นสมาร์ทโฟนจอพับที่เราแทบไม่เห็นรอยพับเมื่อกางออกมาใช้งาน เวลาเรากางจอ จะสามารถใช้จอแสดงผลขนาดใหญ่ 6.8 นิ้วได้เต็มที่ โดยไม่มีสิ่งรบกวนสายตามากเท่าจอพับของแบรนด์อื่น และยังเป็นหน้าจอคุณภาพสูงซะด้วยครับ สีสันสวยงาม สดใสในสไตล์จอเทคโนโลยี E6 AMOLED มีความละเอียด FullHD+ อัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz ติดตั้งกล้องหน้าไว้กลางจอเป็นกล้องความละเอียดสูง 32MP กินพื้นที่ไว้เพียงเล็กๆ

ใช้งานได้เต็มตาตามสไตล์สมาร์ทโฟนหน้าจอขนาดใหญ่ และมาพร้อมลำโพงคู่เสียงดี รองรับระบบเสียง Dolby Atmos ใช้งานภายในห้องไม่ต้องต่อลำโพงภายนอกให้เสียเวลา กางใช้เต็มหน้าจอแทบไม่เห็นรอยพับ

แต่ทว่าเมื่อมันพับเก็บลงไป ตัวเครื่องในส่วนบนและส่วนล่างมันก็สามารถพับกันได้แนบสนิทมากที่สุดในตลาดด้วยเช่นกัน ระหว่างตัวเครื่องส่วนบนและส่วนล่างประกับแนบสนิท ไม่เกิดช่องว่างให้เศษฝุ่นหรือสิ่งสกปรกเข้าไปติดได้ง่ายๆ แถมทำให้มันมีขนาดเล็กมากเมื่อยามพับเก็บ กลายร่างเป็นสมาร์ทโฟน Pocket Portable ที่มีความบางและเบาพกพาง่าย มีเคสหูหิ้วเล็กๆ ก็พกพาสบายแล้ว ^^

ตัวเครื่อง OPPO Find N2 Flip มีน้ำหนักโดยรวมแค่ 191 กรัม และเมื่อกางออกมันจะมีความบางเพียงแค่ 7.45 มม. เท่านั้นเอง ถือเป็นสมาร์ทโฟนจอใหญ่เครื่องเล็กแม้จะมีกลไกที่ซับซ้อนซ่อนอยู่ภายใน

เก็บใส่กระเป๋าใบเล็กได้ทุกประเภทในขณะที่พับครึ่ง แม้แต่กระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋ากางเกง มีความแข็งแรงด้วยกรอบเครื่องอะลูมิเนียม กรอบถูกขัดเงาโดยเคลือบสีให้เข้ากับฝาหลังตัวเครื่องเพื่อเพิ่มความสวยงาม แถมบานพับ Flexion Hinge รุ่นใหม่นี้ มีความทนทานมากกว่ารุ่นก่อน โดยได้รับการรับรองจาก TÜV Rheinland ว่าโทรศัพท์จะยังคงทางานได้ดีแม้จะใช้การพับและกางตัวอุปกรณ์ไปแล้วกว่า 400,000 ครั้ง ต่อให้พับและกางเข้าออกทุกวันวันละเป็นร้อยครั้ง ก็ยังสามารถอยู่กับเราได้อย่างทนทานยาวนานนับสิบปี!

ผิวเครื่องจะเป็นผิวสัมผัสด้าน งานผลิตแบบ OPPO Glow ใช้งานไม่เกิดคราบรอยนิ้วมือให้ต้องเช็ด และทนต่อรายขีดข่วนได้ดี มีเข้ามาจำหน่ายสองสีคือ นั้นคือสีม่วง Moonlit Purple และสีดำ Astral Black ซึ่งเป็นสีที่เห็นในบทความนี้

ด้านหลังบานพับก็ยังใส่ใจรายละเอียด ออกแบบมาได้หรูหราพรีเมี่ยม สลักลายโลโก้ OPPO ที่จะเหมือนคลื่นเวลาสะท้อนกับแสง ออกแบบไว้สวยมาก

นอกจากนั้นแล้วหลังการพับ ก็จะเป็นหน้าที่ของจอด้านนอก ซึ่ง OPPO ได้ออกแบบมาได้แตกต่าง โดยใส่หน้าจอด้านนอกมาให้ในขนาดที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาโทรศัพท์ฝาพับที่มีอยู่ทุกรุ่นในตลาด มันมีขนาดใหญ่ถึง  3.26 นิ้ว เป็นจอ AMOLED ความสว่างสูงสุด 900nits ใช้กระจกจอเป็น Gorilla Glass 5 ออกแบบมาเป็นเนื้อระนาบเดียวเนียนไปกับฝาหลัง และยังใช้จอที่มีสัดส่วนจอ 17:9 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับหน้าจอแสดงผลด้านใน ทำให้เวลาเราใช้งานหน้าจอด้านนอกจะสามารถอ้างอิงการใช้ที่ถนัดได้มากกว่า เช่นเวลาใช้พรีวิวภาพถ่ายในขณะที่เราใช้งานกล้องถ่ายภาพ ด้วยสัดส่วนที่ใกล้เคียงทำให้เราถ่ายภาพด้วยจอด้านนอกได้โดยง่ายนั้นเองครับ

หน้าจอด้านนอกรองรับการทัชสกรีนเต็มขั้นเหมือนจอใน รองรับฟังก์ชั่น AOD (Alway On Display) ให้แสดงเวลาและไอคอนแจ้งเตือนพื้นฐานเอาไว้ให้เรารู้ตลอดเวลา มีการใส่ตัว Widget สำหรับการใช้งานด่วนได้หลายงาน เราไม่จำเป็นต้องเปิดหน้าจอด้านในเพื่อใช้งานสิ่งต่างๆ ที่เราใช้กันบ่อย เช่น ดูการแจ้งเตือนเหตุการณ์ต่างๆ การรับสายโทรเข้าที่เราสามารถกดรับสายจากจอนอกได้เลย (การสนทนาจะเปิดผ่านลำโพงให้โดยอัตโนมัติ) หรือจะตอบกลับสายด้วยข้อความที่ตั้งไว้ล่างหน้าก็ได้ทันทีด้วยเช่นกัน และ

รวมถึงเราสามารถเปิดใช้กล้องถ่ายภาพได้โดยไม่ต้องเปิดหน้าจอด้านในขึ้นมา ใช้กล้องหลังร่วมกับจอด้านนอกเพื่อการถ่ายเซลฟี่หรือถ่ายวีดีโอ VLOG ของตัวเองได้เลยโดยไม่ต้องเปิดจอด้านใน

ยังมี Widget ที่เราสามารถเรียกใช้งานด่วนได้จากหน้าจอด้านนอกอีกหลายตัว ดูหมายกำหนดการ, เปิดการบันทึกเสียงด่วน, เช็คสภาพอากาศ,

รวมถึงฟังก์ชั่นน่ารักๆ อย่าง Interactive pet หรือวอลเปเปอร์สัตว์เลี้ยงที่สามารถโต้ตอบกับการสัมผัสของคุณได้ มีการทำออกมาให้เราเรียกออกมาใช้ได้บนหน้าจอด้านนอก เป็นตัวการ์ตูนสัตว์น่ารักๆ 5 ตัว ที่จะเพิ่มความสนุกสนานในการใช้งานด้วยอิริยาบทต่างๆ ที่จะอยู่เป็นเพื่อนกับเราได้ทั้งวัน ^^

หน้าจอด้านนอกยังสามารถใช้ในการควบคุมเพลง และแสดงรายชื่อเพลงในขณะที่กำลังเล่น จากแอปอย่างเช่น Spotify ได้ด้วยนะครับ และเจ้าสัตว์เลี้ยงของเรา มันก็จะฟังเพลงไปพร้อมกับเราด้วยนะ ^^

กล้องหลังคุณภาพสูง กลับกลายเป็นกล้องหน้าสำหรับการเซลฟี่

การที่หน้าจอด้านนอกของ OPPO Find N2 Flip สามารถใช้ควบคุมการถ่ายภาพได้นั้น ทำให้เกิดประโยชน์ในแบบที่สมาร์ทโฟนทั่วไปทำให้เราไม่ได้อยู่สองอย่าง อย่างแรกคือการใช้กล้องหลังตัวหลักที่มีคุณภาพสูงกว่ากล้องหน้า มาใช้เป็นกล้องสำหรับการถ่ายเซลฟี่ได้นั้นเองครับ

กล้องหลังของ OPPO Find N2 Flip เป็นกล้องคู่คุณภาพสูงที่พัฒนาร่วมกันกับ Hesselbald และภายในเครื่องยังมีการติดตั้งชิป MariSilicon X ซึ่งเป็น NPU ที่ช่วยประมวลผลด้านภาพโดยเฉพาะใส่เข้ามาให้ด้วย โดยกล้องหลักเป็น Sony IMX890 ความละเอียด 50MP ทำงานคู่กับกล้อง Ultra-wide 8MP พลังประสิทธิภาพเกิดกล้องหน้าสมาร์ทโฟนทุกรุ่นในตลาดไปไกลแสนไกล

แต่ด้วยจอด้านนอกที่คุณสามารถใช้มองเพื่อพรีวิวภาพในขณะถ่ายภาพหรือวีดีโอด้วยกล้องหลังได้อย่างนี้แล้ว ฉะนั้นในเรื่องของคุณภาพการถ่ายเซลฟี่หรือวีดีโอ VLOG ของรุ่นนี้หายห่วงครับ สวยขาด! จัดวางคอมโพสของภาพได้ง่าย เพราะสัดส่วนหน้าจอด้านนอกใกล้เคียงกับสัดส่วนหน้าจอด้านใน รองรับ Palm Selfies ใช้สัญลักษณ์การกางมือบนหน้ากล้อง เพื่อสั่งถ่ายภาพในระยะไกลแบบไม่ต้องสัมพัสเครื่อง

สามารถเปิดใช้การแสดงภาพตัวอย่างได้พร้อมกันทั้งสองหน้าจอในขณะถ่ายภาพได้แบบ Dual Preview สะดวกมากเมื่อถ่ายภาพพอร์ตเทรตให้เพื่อนหรือถ่ายภาพหมู่ เพราะผู้ถูกถ่ายก็เห็นตัวเองในขณะโพสท่าเตรียมถ่ายไปด้วยเช่นกัน

อีกหนึ่งประโยชน์ที่จะได้รับจากรูปทรงเครื่องที่ไม่เหมือนสมาร์ทโฟนทั่วไป จากหน้าจอที่พับได้ ทำให้เราสามารถใช้งานการถือจับเครื่องในขณะถ่ายภาพได้หลากหลายกว่ามาก เช่นการวางบนโต๊ะเพื่อถ่ายภาพเซลฟี่หรือ VLOG ได้ด้วยกล้องหลัง และทำได้โดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง หรือการถือจับเครื่องในลักษณะของกล้องวีดีโอ HandyCam จับได้ถนัดและมั่นคงกว่าด้วยการกำ ใช้งานในสไตล์เฉพาะตัวที่ดูดีด้วยเทคโนโลยีการผลิตเครื่องที่ทันสมัยกว่า

รวมถึงในขณะที่ต้องการถ่ายภาพมุมเสย ไม่ต้องก้มต่ำสุดตัวหรือนอนราบไปบนพื้นอีกต่อไป เพราะหน้าจอที่งบพับได้ สร้างองศาการถ่ายภาพมุมเสยได้โดยแค่ย่อตัวลงมานิดเดียวเท่านั้น

คุณภาพของกล้องรุ่นนี้สวยงามด้วยครับ การร่วมมือกันกับแบรนด์กล้องระดับโลก Hasselblad โทนภาพออกมาสดใสและสวยถูกใจคนถูกถ่ายอย่างแน่นอน แม้กล้องรุ่นนี้จะไม่มีการติดตั้งกันสั่นแบบ OIS มาให้ แต่ด้วยซอฟท์แวร์และ AI มันทำผลลัพท์ของกล้องออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมครับ

ฟิลเตอร์ Master ที่ถูกปรับแต่งมาจาก Hasselblad มีให้เลือกใช้ในหลายโหมด ทำงานได้ร่วมกันกับ AI Portrait Retouching ของทาง OPPO การถ่ายภาพบุคคลออกมาสวย หวาน สดใส และหน้าเนียนดูดีได้แบบเป็นธรรมชาติมากครับ ตัว AI รองรับการทำงานได้ทั้งภาพนิ่งและการถ่ายภาพวีดีโอ

จะถนัดหยิบใช้กล้องหลังตัวหลัก 50MP พร้อมกับหน้าจอด้านนอกเพื่อการถ่ายภาพในระดับคุณภาพสูงสุด หรือจะใช้กล้องหน้าตัว 32MP ที่อยู่บนหน้าจอด้านใน ทั้งคู่ก็รองรับ AI Portrait Retouching และฟิลเตอร์ Master ของ Hasselblad ทั้งสองด้านครับ แล้วแต่สะดวกและความถนัด

แต่บอกเลยจะถ่ายเองหรือถ่ายให้คนอื่น โพสท่าง่ายเพราะเห็นตัวเองได้ตลอด ^^ และกล้องถ่ายบุคคลยังคงยอดเยี่ยมตามมาตรฐานของ OPPO ครับ แค่เลือกฟิลเตอร์ที่ชอบ แล้วรัวชัตเตอร์ รับประกันคุณภาพ

แม้ไม่มีกันสั่น แต่คุณภาพไม่มีกลัวแสงกลางคืนเลยครับ ภาพออกมาสวยงาม แน่น คม ทั้ง 0.6x, 1x, หรือซูม 2x แม้จะถือเครื่องถ่ายด้วยมือเปล่า

ภาพกลางวันคมชัด หายห่วงเรื่องคุณภาพ พกเครื่องเดียวจบเที่ยวได้รอบโลกครับคุณภาพกล้องระดับนี้

มีโหมดคลาสสิคพิเศษ Hasselblad XPAN มีมาให้ใช้กันในรุ่นนี้ด้วย ภาพที่มีความกว้างพิเศษด้วยสัดส่วน 65:24 และสามารถปรับเปลี่ยนโทนภาพให้กลายเป็นขาวดำแบบกล้องคลาสสิค ด้วยสัดส่วนที่เหมือนภาพพาโนรามาแต่ถ่ายได้การกดแชะเดียว และไม่มีการบิดเบือนของขอบภาพ ทำให้เราจะได้ภาพที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะรุ่นที่น่าสนใจมากครับ คุณภาพหวังผลได้ทั้งกลางวันและกลางคืน

ข้อสังเกตในด้านการถ่ายภาพของ OPPO Find N2 Flip คือ เมื่อเปิดการทำงานของกล้องต่อเนื่อง และมีการเปิดใช้หน้าจอสองจอพร้อมกันเพื่อพรีวิวภาพ ตัวเครื่องอาจจะมีความร้อนสะสมขึ้นมาให้รู้สึกได้ เปิดใช้งานโหมดสองหน้าจอ Dual Preview แค่เมื่อจำเป็นต้องใช้ จะเป็นการช่วยยืดอายุการใช้พลังงานในระหว่างวันได้อีกด้วย

ประสิทธิภาพสูง ระบบแบตเตอรี่ที่ดีสุดของสมาร์ทโฟนจอพับ

OPPO Find N2 Flip เป็นสมาร์ทโฟนจอพับแนวตั้ง ที่ให้แบตเตอร์รี่มาขนาดใหญ่มากที่สุด 4,300mAh จากที่ทดสอบใช้งานสามารถใช้ได้ตลอดแบบเช้าถึงค่ำวันต่อวัน ไม่แตกต่างไปจากสมาร์ทโฟนหน้าจอไซด์เดียวกันสักเท่าไหร่ และยังรองรับกับระบบชาร์จไว 44W SUPERVOOC ของทาง OPPO อีกด้วย สามารถชาร์จแบตเตอรี่จากใกล้หมดให้กลับมาเป็น 50% ได้ในเวลาประมาณ 20 นาทีเท่านั้นเอง และสามารถชาร์แบตให้เต็ม 100% ในเวลาไม่เกินประมาณหนึ่งชั่วโมง ถือว่ามีความเร็วในการชาร์จที่เร็วที่สุดในสมาร์ตโฟนจอพับด้วยเช่นกัน

หน่วยประมวลผลใช้ Mediatek Dimensity 9000+ เทคโนโลยีการผลิตระดับ 4นาโนเมตร รองรับการเชื่อมต่อ 5G ได้พร้อมกันทั้งสองซิม (ไม่รองรับการใส่ micro SD Card เพิ่มเติม) ให้ RAM มาในขนาด 8GB สามารถขยายได้อีกสูงสุด 8GB ด้วยพื้นที่หน่วยความจำภายในที่ยังไม่ถูกใช้งาน โดยให้พื้นที่หน่วยความจำมาเป็นขนาด 256GB รุ่นนี้จะมีความจุเดียวที่นำเข้ามาจำหน่ายครับ

รันด้วยระบบ Android 13 ครับทับด้วย ColorOS 13 รุ่นใหม่ล่าสุดด้วยเช่นกัน ในอนาคตสมาร์ทโฟนรุ่นนี้มีการการันตีอัปเดทระบบให้นานถึง 4ปี และอัปแพทช์ความปลอดภัยในยาวนานถึง 5ปี ด้วยการการันตีด้านระบบ และมาตรฐานการผลิตที่ดีของ OPPO ทำให้สมาร์ทโฟนรุ่นนี้น่าจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานคุ้มค่าตัวกันอย่างแน่นอนครับ

ความลื่นไหลในการใช้งานหายห่วง นี่คือสมาร์ทโฟนระดับเรือธงอีกหนึ่งรุ่นที่ให้ประสบการณ์การใช้งานในระดับสูงครับ เล่นเกมกราฟิกสูงได้ลื่นไหล การเข้าออกแอปพลิเคชั่นทำได้ไว การตอบสนองสั่งงานไม่มีปัญหา ไม่มีอาการค้าง ช้า หรือรีสตาร์ทให้พบเลยสักครั้งในการทดสอบใช้งาน

หน้าจอขนาดใหญ่ซึ่งสามารถรองรับการเปิดแอปพลิเคชั่นซ้อนกันหรือแบ่งหน้าจอเพื่อทำงานได้พร้อมกันแบบลื่นไหลไม่มีอาการสะดุด ผลจากตัวเครื่องมีสเปคแรงบวกกับซอฟท์แวร์ที่ดีของทาง OPPO การใช้งานหายห่วงครับ การออกแบบเสาสัญญาณแบบรอบตัว ไม่มีจุดบอดในการถือจับ สามารถเชื่อมต่อรับสัญญาณได้เสถียรดีทั้งในเรื่องของ 5G และสัญญาณ WiFi

อุปกรณ์ภายในกล่องก็จะมีตัวชาร์จ 44W SUPERVOOC และเคสใสมาให้ครับ เป็นเคสแยกส่วนสองชิ้น

สรุปท้ายรีวิว

สนุก น่ารัก ทันสมัย! เป็นสมาร์ทโฟนยุคสมัยใหม่ที่ OPPO ออกแบบมาได้อย่างลงตัว สร้างการใช้งานในรูปแบบที่มือถือทั่วไปทำให้กับเราไม่ได้ สนุกกว่า แปลกใหม่กว่า และมีประโยชน์มากกว่า บนความน่ารักและสวยงามของตัวเครื่อง ที่คุณสามารถพกพามันได้ง่ายขึ้น

ประสิทธิภาพสูงในระดับสมาร์ทโฟนแฟลกชิปทั้งในการใช้งานและคุณภาพการถ่ายภาพ ตัวหน้าจอพับได้ไม่ได้สร้างอุปสรรคสำหรับประสบการณ์การใช้งานเลยแม้แต่น้อย  แถมยังสร้างข้อได้เปรียบในการใช้งานเช่นการถ่ายภาพเซลฟี่หรือถ่ายวีดีโอตัวเองด้วยกล้องหลังตัวหลักได้เหมือนการใช้กล้องหน้าเป็นต้น

OPPO ออกแบบหน้าจอด้านนอกมาได้อย่างดี ทั้งขนาดที่ใหญ่คมชัดจนเห็นอะไรได้เต็มตา ไปจนถึงฟังก์ชั่นที่สามารถเรียกใช้งานได้ผ่านหน้าจอด้านนอก

ผมเชื่อว่าผู้ที่รักความแปลกใหม่ ชอบในเทคโนโลยีที่สร้างความแตกต่าง และผู้ที่หลงรักการใช้งานในสไตล์และมาตรฐานของทาง OPPO คุณจะรักสมาร์ทโฟนจอพับตัวนี้ครับ “พับที่ดีกว่า พับที่ใช้งานสนุก พับครั้งแรกที่ควรลอง” OPPO Find N2 Flip ขอแนะนำครับ ^^

ราคาและโปรโมชัน

ราคาเปิดตัวในรุ่น 8+256GB อยู่ที่ 29,990 บาท มีให้เลือก 2 สี สีม่วง Moonlit Purple และสีดำ Astral Black เริ่มเปิดให้สั่งซื้อสินค้าได้ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2566 เวลา 19.00น. ไปจนถึงวันที่ 23 มีนาคมเวลา 24.00น. ลูกค้าที่สั่งซื้อ OPPO Find N2 Flip ในช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ว่าจะช่องทางไหนจะได้รับของสมนาคุณมูลค่า 21,198 บาทไปด้วย โดยมีรายละเอียดดังนี้

• E-VIP CARD มูลค่า 17,000 บาท รับการรับประกันจอแตก (ประกันให้ทั้งหน้าจอด้านนอกและหน้าจอด้านใน) ภายในระยะเวลา 1 ปี (**E-VIP CARD เป็นสิทธิพิเศษที่สามารถกดรับสิทธิ์ได้จากภายในแอปพลิเคชั่น My OPPO)
• OPPO Band 2 สายรัดข้อมืออัจฉริยะ มูลค่า 2,999 บาท
• OPPO Find N2 Flip Portable PU case มูลค่า 1,199 บาท

เคส Portable PU case น่ารัก ^^ เพิ่มความน่าใช้ขึ้นมากทีเดียว

เมื่อซื้อ OPPO Find N2 Flip จะได้รับ OPPO Premium Service บริการสุดพิเศษไปด้วย โดยมีรายละเอียดดังนี้

1.สิทธิประโยชน์ด้านพรีเมี่ยม

• 1.1 สาหรับลูกค้าPre-Order จะได้รับสิทธิพิเศษ สิทธิ์ประกันจอแตกฟรีหน้าจอหลัก(จอใน) มูลค่า 13,000 บาท และจอนอก(เล็ก) มูลค่า 4,000 บาท ฟรีอย่างละ 1 สิทธิ์ มูลค่ารวม 17,000 บาท
• 1.2 บริการคอลเซ็นเตอร์ Premium Hotline เบอร์ 1800-019-098
• 1.3 บริการเครื่องสำรองใช้ระหว่างซ่อม (รุ่นFind series) สำหรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในศูนย์บริการเอง
• 1.4 รับบริการติดฟิล์มกันรอยและทำความสะอาดเครื่องฟรี 2ครั้ง/ปี เป็นระยะเวลานาน 2 ปี
• 1.5 รับส่วนลดเปลี่ยนหน้าจอหลัก(จอใน) 1 ครั้ง มูลค่า 3,000 บาท สำหรับความเสียหายที่อยู่นอกเงื่อนไขการให้บริการ

2.สิทธิประโยชน์ด้านการบริการ

• 2.1 บริการช่องทางพิเศษในศูนย์บริการ และผู้เชี่ยวชาญ Find Master ( Shop V3.0 มีทั้งหมด 18 สาขา)
• 2.2 บริการจองคิวล่วงหน้าก่อนเข้ามาใช้บริการ จองได้ที่เว็บไซต์ htps://support.oppo.com/th/ หรือ Application My OPPO
• 2.3 บริการ รับ-ส่งเครื่องซ่อมฟรี โดยติดต่อคอลเซ็นเตอร์หรือเว็บไซต์ https://support.oppo.com/th/ หรือ Application My OPPO

3.สมาชิก My OPPO (กดรับสิทธิ์ใน Application My OPPO)

• 3.1 รับสิทธิ์ประกันจอแตก 1 ครั้งภายในระยะเวลา 1 ปี ระดับ Gold และ Diamond *หน้าจอหลัก(จอใน) มูลค่า 13,000 บาท
• 3.2 ได้รับสิทธิพิศษส่วนลด ลดราคาอะไหล่และอุปกรณ์เสริมที่ศูนย์บริการออปโป้เซอร์วิส

ข่าว: รีวิว OPPO Find N2 Flip สมาร์ทโฟนจอพับที่จะทำให้คุณหลงรัก มอบประสบการณ์พับที่ดีกว่า มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/review-oppo-find-n2-flip/

รีวิว Xiaomi Robot Vacuum S10 หุ่นยนต์ดูดฝุ่นถูพื้น 2-in-1 วางผังบ้านฉลาดด้วยเลเซอร์ รวดเร็วแม่นยำและราคาคุ้ม!

รีวิว Xiaomi Robot Vacuum S10 หุ่นยนต์ดูดฝุ่นถูพื้น 2-in-1 วางผังบ้านฉลาดด้วยเลเซอร์ รวดเร็วแม่นยำและราคาคุ้ม!
Noppinij

Xiaomi Robot Vacuum S10 หุ่นยนต์ทำความสะอาดบ้าน รองรับทั้งงานดูดฝุ่นและถูพื้นในตัวแบบ 2-in-1 มาพร้อมกับระบบสแกนผังบ้านด้วยเลเซอร์ LDS (Laser Distance Sensor) สร้างผังบ้านได้รวดเร็วและแม่นยำด้วยตาเลเซอร์ที่ติดตั้งอยู่ด้านบนของตัวเครื่อง

ฉลาดในการสร้างแผนที่ และมีซอฟท์แวร์ที่ดีช่วยกันกำหนดการทำความสะอาดบ้านเราได้อย่างอิสระ ผ่านแอปพลิเคชั่น Mi Home

Xiaomi Robot Vacuum S10 อุปกรณ์ดูดฝุ่นและถูพื้นที่ใช้ตัวนำทางและสแกนพื้นที่แบบเลเซอร์จะได้ที่ความแม่นยำและทำงานได้เร็ว เรียนรู้ลักษณะบ้านเราได้ในเวลาไม่นาน และสร้างขึ้นมาเป็นแผนบ้านภายในแอป เพื่อกำหนดการทำงานได้ตามลักษณะพื้นที่จริง

การสแกนผังบ้านด้วยเลเซอร์จะคล้ายการมองด้วยตามนุษย์ครับ มีความแม่นยำกว่าเซนเซอร์แบบเดิมๆ และมองทะลุได้ เช่นถ้าประตูบ้านเราใช้ประตูกระจกใส มันก็สามารถสร้างผังพื้นบ้านในส่วนด้านหลังประตูกระจกที่มันเห็นได้เลยครับ เห็นถึงไหนก็สแกนได้ถึงจุดนั้น และมีความแม่นยำสูงมากอีกด้วยครับ

ตัวเลเซอร์ LDS จะทำงานร่วมกับซอฟท์แวร์และเซนเซอร์เสริมต่างๆ ที่อยู่ในตัว ทำให้มันสามารถแบ่งโซนแยกห้องให้เราได้อย่างเหมาะสมโดยไม่ใช่แยกให้แค่ตามผังบ้านเท่านั้น เพราะมันจะสามารถแยกตามพื้นผิวที่แตกต่างกันได้ด้วย ถ้าบ้านใครปูพรมเอาไว้ หรือบางส่วนของบ้านติดไม้บาเก้เสริมไว้ มันจะสแกนและระบุแยกให้เราเป็นเหมือนเป็นอีกหนึ่งห้องไว้ต่างหาก เพื่อความสะดวกในการกำหนดการทำความสะอาดให้เหมาะสมกับลักษณะพื้นบ้าน

นำไปทดสอบในที่มีการปูพื้นไม้ขึ้นมาเป็นพิเศษ ตัวหุ่นยนต์ก็จะจับแยกให้เป็นอีกหนึ่งห้องให้เราได้แม่นเลยทีเดียว

และแม้ตัวหุ่นยนต์จะยังไม่เคยออกไปลานหน้าบ้านหรือเข้าไปที่ห้องด้านหลัง แต่ด้วยประตูที่เป็นกระจกใส มันจึงมองเห็นและสร้างผังบ้านในส่วนที่มันไม่เคยเข้าถึงเอาไว้ให้เราได้ด้วยเช่นกัน

และนี่คือจุุดเริ่มต้นที่ดีของการใช้งาน Xiaomi Robot Vacuum S10 เพราะเมื่อเรามีผังบ้านที่แม่นยำมาใส่ภายในแอปสั่งงานตัวมันแล้ว ที่เหลืออะไรก็ง่าย ^^ เพราะภายในแอปของทาง Xiaomi ออกแบบมาให้เราสามารถกำหนดการทำงานของหุ่นยนต์ได้ละเอียดมากเลย

Xiaomi Robot Vacuum S10 ใช้การสั่งงานผ่านตัวแอปพลิเคชั่น Mi Home (รองรับทั้ง Android และ iOS) ซึ่งเป็นแอปศูนย์กลางการควบคุมอุปกรณ์ AIoT ของ Xiaomi ทั้งหมด เป็นแอปที่เราใช้ในการอัปเดทซอฟท์แวร์และใช้จัดการตั้งค่าอุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงการจับกลุ่มผลิตภัณฑ์ตามห้องใช้งานเอาไว้ด้วยครับ

และเมื่อเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ทำงานภายใต้ ECO ของ Mi Home มันจึงรองรับการสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Google Assistant และ Alexa ไปด้วยในตัวนั้นเองครับ

Xiaomi Robot Vacuum S10 ใช้การเชื่อมต่อกับสัญญาณ WiFi 2.4Ghz ทำให้เราสั่งงานได้ผ่านแอปทั้งในระยะใกล้และระยะไกล จะกดสั่งให้เริ่มทำงานจากที่ไหนก็ได้แค่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต

โดยภายในแอปเราสามารถกำหนดการทำงานของหุ่นยนต์ได้อิสระมากครับ เพราะเมื่อเรามีแผนผังตัวบ้านอยู่ในมือเราแล้ว ก็จะสามารถกำหนดพื้นที่ทำความสะอาดแบบเฉพาะเจาะจงได้ แค่ลากกรอบวางบนส่วนพื้นที่ที่ต้องการ หรือกำหนดสั่งให้ทำความแบบแยกห้อง แยกส่วน โดยกำหนดระดับแรงดูดที่แตกต่างกันเอาไว้ได้ในแต่ละห้อง

เราสามารถกำหนดเวลาในการทำความสะอาดแยกกันเอาไว้ได้ล่วงหน้าในแต่ละห้อง ทั้งการดูดฝุ่นและการถูพื้นครับ

หรือจะสร้างกำแพงเสมือนขึ้นมาภายในแอป ให้เป็นกำแพงที่ตัวหุ่นยนต์ห้ามผ่าน โดยเราไม่ต้องไปหาอะไรมาวางขวางให้เกะกะ เรากำหนดกำแพงจำลองขึ้นมาภายในแอปได้เลย

เรียกได้ว่ากำหนดการทำงานได้ทั้งหมด ทั้งกำหนดเวลา กำหนดพื้นที่ และกำหนดระดับความเข้มข้นในการทำความสะอาด

ประสิทธิภาพการทำงาน

Xiaomi Robot Vacuum S10 สามารถทำหน้าที่ให้เราได้ทั้งสองโหมด ทั้งดูดฝุ่นและถูพื้นในตัวเอง โดยเราสามารถกำหนดระดับการทำงานได้ทั้งโหมดดูดและโหมดถูพื้นครับ

แรงดูดมีสามระดับด้วยการเร่งความเร็วพัดลมโบลเวอร์ภายใน โหมดสูงสุดทำงานในระดับแรงดูด 4000Pa แรงดูดได้มาตรฐาน สามารถเก็บเส้นผมและวัสดุแข็งขนาดเล็กเข้าถังดักฝุ่นได้ดี มีบนแปรงหมุนด้านล่างช่วยทำความสะอาดและเก็บเส้นผม

หุ่นยนต์รุ่นนี้สามารถถูพื้นไปให้ได้พร้อมกันเมื่อเติมน้ำใส่ถังและติดตั้งชุดผ้าถูพื้นที่ให้มาไว้ด้านล่างตัวเครื่อง โดยเราสามารถกำหนดระดับความชื้นของน้ำได้สามระดับไม่ทำให้พื้นเปียก เพื่อควบคุมระดับความชื้นของห้อง

เป็นการถูพื้นแบบเช็ดผ่านด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์ ไม่ทำให้เกิดรอยบนพื้นผิว ช่วยให้พื้นมีความสะอาดและดักเก็บฝุ่นได้มากขึ้น

ทดสอบใช้งานแบบต่อเนื่องมา รุ่นนี้จะทำงานให้เราได้ต่อเนื่องประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง แบตเตอรี่ที่ให้มามีขนาด 3200mAh ถือว่าทำงานได้นานกว่าที่คิดครับก่อนจะกลับฐานเอง และตัวมันไม่หนักมากเกินไปถ้าจำเป็นต้องเคลื่อนย้าย

ระบบนำทางทำมาได้ฉลาดครับ ในจุดที่เข้าออกยาก ถ้ามันเข้าได้ก็ออกได้ เพราะสามารถจดจำเส้นทางและระบุตำแหน่งที่มันอยู่ในปัจจุบัน โดยเราจะเห็นเส้นทางที่มันทำความสะอาดได้ชัดเจนภายในแอปพลิเคชั่นครับ แต่ถ้ามันเกิดปัญหาหลงทางติดขัดกลับบ้านไม่ได้ มันก็จะแจ้งขอความช่วยเหลือมาผ่านทางแอปพลิคชั่นได้อยู่ครับ ^^ ก็ต้องไปช่วยอุ้มน้องเขาหน่อย

ตัวเครื่องเขาออกแบบมาดีอยู่ครับ ติดขัดค่อนข้างยากถ้าไม่หลงเข้าไปที่รกมากจริงๆ โดยทำขอบเครื่องลาดเอียงให้สามารถปีนสิ่งกีดขวาง เช่นสายไฟที่หนาประมาณ  1 เซนติเมตรก็พอจะผ่านได้ครับ

แต่การเป็นอุปกรณ์แบบทั้งดูดฝุ่นทั้งถูพื้น แม้จะสะดวกแต่ก็ต้องดูแลกันสักนิด โดยตัวถังเก็บฝุ่นจะเป็นถังที่ใช้เติมน้ำถูพื้นไปในตัวด้วยเช่นกัน (ความจุถังเก็บฝุ่น 300ml ความจุถังเติมน้ำ 170ml)

ถ้าใครต้องการจะดูดฝุ่นถูพื้นไปในตัวบ่อยๆ ก็ต้องหมั่นล้างและทำความสะอาดถังเก็บฝุ่นและผ้าถูพื้นบ่อยหน่อยนะครับ เพราะเป็นส่วนที่เก็บสิ่งสกปรกและไม่ควรให้เปียกน้ำ เพราะทำให้ตัวแผ่นกรองอากาศเกิดความอับชื้นขึ้นได้ จุดนี้ใช้งานต้องดูแลให้ถูกต้อง

การออกแบบต่างๆ สมกับเป็นแบรนด์ Xiaomi ทำมาได้ง่าย ถอดเข้าถอดออกได้สะดวก ใช้ดสลักยึดแบบไม่ต้องใช้แรงกด พ่อบ้านแม่บ้านทำงานสะดวกครับ

ตัวฐานชาร์จไม่ต้องยึดติด แค่วางเอาไว้ที่พื้นก็สามารถรับการเข้าชาร์จของหุ่นยนต์ได้สบาย เป็นแบบแผงสัมผัส เข้าชาร์จนิ่มนวลครับรุ่นนี้

มีการทำช่องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดขนแปรงด้านล่างมาให้ด้วย เป็นหัวแปรงและข้องอพร้อมใบมีดไว้ทำความสะอาด และใช้ตัดเส้นผมที่เข้ามาม้วนผันกับแกนขนแปรง งานละเอียดดีครับ

ทุกอย่างถอดออกล้างได้สะดวก มีอะไหล่เป็นบนแปรงปัดมาให้เปลี่ยนภายในกล่อง

สรุปท้ายรีวิว

Xiaomi Robot Vacuum S10 หุ่นยนต์ดูดฝุ่นถูพื้นตัวใหม่ ฉลาด ใช้ง่าย มาตรฐานดีตามสไตล์สินค้าแบรนด์เสียวหมี่ และมาในราคาที่ไม่แพงครับ

การทำงานฉลาดมีซอฟท์แวร์ที่ดี สะดวกสำหรับคนใช้อุปกรณ์อื่นภายในบ้านของเสียวหมี่อยู่แล้ว เพราะรองรับการทำงานร่วมกับอุปกรณ์ AIoT อื่นๆ ในแอป Mi Home แอปเดียวจบ

Xiaomi Robot Vacuum S10 เปิดตัวจำหน่ายในราคา 12,990 บาท ที่ Xiaomi Store และร้านตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการทั่วประเทศ โดยมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับวันที่ 1 ถึง 31 มีนาคม 2566 สามารถซื้อได้ในราคาโปรโมชั่นเพียง 9,990 บาทเท่านั้นครับ

ข่าว: รีวิว Xiaomi Robot Vacuum S10 หุ่นยนต์ดูดฝุ่นถูพื้น 2-in-1 วางผังบ้านฉลาดด้วยเลเซอร์ รวดเร็วแม่นยำและราคาคุ้ม! มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/review-xiaomi-robot-vacuum-s10/

รีวิว HollyLand Lark M1 ไมค์ไร้สายมาเป็นเซ็ต เล็กเบา เสียงชัดตัดเสียงรบกวน

รีวิว HollyLand Lark M1 ไมค์ไร้สายมาเป็นเซ็ต เล็กเบา เสียงชัดตัดเสียงรบกวน
Noppinij

ไมค์เซ็ตมาเป็นชุดภายในเคสเดียว รุ่นนี้คือ HollyLand Lark M1 Duo ไมค์ไร้สายแบบคู่ที่ใช้งานได้กับทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นกล้อง, สมาร์ทโฟน Android หรือ iOS รวมถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะรองรับการเชื่อมต่อทั้งแบบรู 3.5mm. และพอร์ต USB Type-C

โดยในชุดนี้จะเป็นชุดแบบ DUO หรือมีหนึ่งตัวรับและไมค์โครโฟน 2 ตัว ( TX 2, RX 1) ทั้งหมดถูกออกแบบให้เก็บครบอยู่ภายในเคสพกพาอันเดียว เพื่อง่ายต่อการพก ง่ายต่อการชาร์จ และง่ายต่อการหยิบใช้หรือจัดเก็บ และตัวเคสยังเป็นแบตสำรองให้ในตัวยามที่เก็บอุปกรณ์กลับเข้าเคส แบตก็จะคอยชาร์จให้ชุดไมค์ไฟเต็มตลอดเวลา

นี่คือข้อดีของไมค์แบบกล่องเซ็ต ที่เป็นเทรนด์ของชุดไมค์ไร้สายในยุคปัจจุบันนี้ครับ

HollyLand Lark M1 ถูกออกแบบมาให้เป็นไมค์ขนาดเล็ก น้ำหนักเบามาก ตัวไมค์มีน้ำหนัก 11.8กรัม และตัวรับเสียงหนักแค่ 17.5กรัม ทำให้เวลาไปยึดติดกับเสื้อ หรือใส่ใน Hotshoe ของกล้อง ก็จะไม่หนักไม่เกะกะ ไม่รู้สึกเป็นภาระครับ

การใช้งานออกแบบมาง่ายๆ แค่หยิบออกจากเคสก็จะเป็นการเปิดไมค์พร้อมใช้งาน ตัวไมค์จะจับคู่กับตัวรับโดยทันที หยิบตัวไหนใช้ตัวนั้นได้เลย ถ้าเก็บลงเคสก็คือการปิดไมค์ไปในตัว ไม่ต้องคอยเปิดปิดเองให้เสียเวลา

ตัวไมค์และตัวรับถูกออกแบบให้มีปุ่มสั้งงานไม่กี่ปุ่ม มีปุ่มเปิดปิดที่สามารถกดเองได้เช่นกัน และมีปุ่มพิเศษบนตัวไมค์ที่จะเป็นการเปิดการทำงานโหมด HearClear Smart NC (Noise Cancellation) หรือตัวตัดเสียงรบกวนรอบข้าง เสียงจะเงียบและคมขึ้น สามารถเปิดปิดโหมดนี้ได้ด้วยปุ่มสีเหลืองข้างตัวไมค์แต่ละตัว โดยจะมีไฟ LED แสดงสถานะการทำงาน ถ้าไฟเป็นสีฟ้าคือการทำงานในโหมดธรรมดา แต่ถ้าเป็นสีเขียวก็คือการเปิดโหมด HearClear Smart NC นั้นเองครับ ขึ้นไฟสีแดงก็หมายถึงแบตเตอรี่ใกล้จะหมด

ส่วนตัวรับก็จะมีปุ่มที่คอยควบคุมระดับเสียงอยู่ เพื่อให้ผู้ถือกล้องเป็นคนกำหนดระดับความดังของเสียงบันทึกได้สามระดับ และเมื่อกดปุ่มลดเสียง/หรือ M ค้างไว้ก็จะเป็นการสลับโหมดบันทึกระหว่างโหมดบันทึกแบบสเตอริโอ ที่ไมค์แต่ละตัวจะแทนการบันทึกเสียงแยกกันซ้าย/ขวา และโหมดโมโนที่จะบันทึกเสียงจากทั้งสองไมค์ให้เป็นแชนเนลเสียงเดียวกัน โดยจะมีไฟแจ้งสถานะที่ตัวรับไว้ด้วย ถ้าเปิดเป็นโหมดสเตอริโอจะเป็นไฟสีฟ้า และถ้าเป็นโหมดโมโนจะเป็นไฟสีเขียวครับ ถ้าขึ้นไฟสีแดงก็หมายถึงแบตเตอรี่ใกล้หมดเช่นกัน

ซึ่งเราจะสังเกตเห็นพอร์ต USB Type C บนตัวอุปกรณ์ตัวรับ พอร์ตนี้สามารถเอามาเชื่อมกับอุปกรณ์ที่สามารถอินพุตเสียงเข้าผ่านทาง USB ได้ เช่น อุปกรณ์สมาร์ทโฟนที่มี Type C หรือแม่แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ก็ตาม

ฉะนั้นอุปกรณ์ไมค์ตัวนี้ก็จะรองรับไปใช้งานได้ทุกอุปกรณ์ที่ต้องการไมค์อัดเสียงเลยครับ และถ้าเราใช้การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ผ่านทางพอร์ต USB Type C เราก็ยังสามารถเสียบหูฟังผ่านรู 3.5มม.ที่ยังว่างไปพร้อมกัน เพื่อมอนิเตอร์เสียงเข้าได้แบบเรียลไทม์ด้วย

ที่สำคัญการใช้งานไมค์รุ่นนี้แทบจะไม่ต้องห่วงเรื่องแบตเตอรี่เลยครับ ตัวนิดเดียวแต่แบตอึดมาก จากที่ทดสอบใช้งานมาเปิดไว้ทำงานร่วมๆ หกชั่วโมงกว่า แบตเตอรี่ยังไม่ขึ้นแดงมาเตือนเลย ตามสเปคว่าสามารถใช้งานได้นานสุด 8 ชั่วโมง และยังสามารถเก็บเข้าเคสชาร์จไฟกลับมาใช้ได้อีก 2 รอบเลยทีเดียวครับ

โดยอุปกรณ์ภายในกล่องก็จะมีสาย TRS-TRS 3.5มม. สำหรับการเชื่อมต่อกับกล้อง และสาย TRS-TRRS 3.5มม. สำหรับการใช้งานร่วมกับโทรศัพท์ที่มีรู 3.5มม. พร้อมกับคู่มือการใช้งานเบื้องต้น และกระเป๋ากล่องพกพามาให้ด้วยครับ เป็นกล่องแข็งเนื้อผิวผ้า ใช้เป็นกระเป๋าพกพาป้องกันแรงกระแทกได้ในระดับหนึ่ง และตัว Furry Windshield อุปกรณ์คลุมหัวไมค์ลดเสียงลมขนยาวสีดำจำนวน 2 ชิ้น

และสาย USB Type C สำหรับใช้ชาร์จ โดยวิธีการชาร์จไมค์และตัวรับจะใช้การชาร์จผ่านกล่องเคสทีเดียวได้ทั้งหมด เก็บอุปกรณ์เข้าเคสแล้วเสียบชาร์จ ไฟก็จะเข้าไปทั้งตัวไมค์ ตัวรับเสียง และเก็บเข้าเคสเป็นไฟสำรองไปด้วยพร้อมๆ กัน ง่ายเลยครับ

ในกรณีที่จะนำไปใช้กับอุปกรณ์สมาร์ทโฟนที่ไม่มีรูฟัง ก็มีตัวอุปกรณ์เสริม อย่างสาย TRS-to-Lightning สำหรับนำ Lark M1 ไปใช้งานกับอุปกร์ iPhone หรือสาย TRS-to-TypeC สำหรับนำไปใช้กับอุปกรณ์ที่มี Type-C อย่างสมาร์ทโฟนในระบบ Android นั้นเองครับ รองรับการใช้งานได้ไม่ต่างกันกับการเสียบผ่านสาย 3.5มม.

 

คุณภาพการบันทึกเสียงอยู่ในเกรด Hi-Fi 48kHz-16bits เน้นเสียงที่ฟังสมจริงเหมือนเสียงจากผู้พูดที่เราได้ยิน เสียงเข้าไมค์ได้นุ่ม เก็บระยะเสียงได้ดี หนีบปกเสื้อห่างปากผู้พูดประมาณหนึ่งฟุตเสียงก็ยังเข้าได้เต็ม การรับเสียงของไมค์ถือว่าน่าประทับใจครับ

ถ้าเราเปิดโหมดไมค์เป็น HearClear Smart NC ก็จะลดเสียงในย่านที่ไม่ใช่เสียงมนุษย์ออกไป รอบข้างก็จะเงียบมากขึ้น ทำให้เสียงผู้พูดชัดเจนมากขึ้นครับ ค่อนข้างเห็นผลต่างในการทดสอบของทั้งสองโหมดนี้

ระยะห่างการใช้งานของ HollyLand Lark M1 ระหว่างตัวรับและตัวส่งตามสเปคอยู่ที่ 200เมตร แต่เราทำการทดสอบแค่ในระยะใช้งานจริงประมาณ 20 เมตร เสียงนิ่งๆ ครับ ไม่แกว่งหรือมีสัญญาณรบกวนแทรก

คุณภาพค่อนข้างครบ การใช้งานได้คุณภาพที่ดี ตัวเล็กพกพาง่าย แบตเตอรี่อึด และด้วยราคาจำหน่ายของ HollyLand Lark M1 Duo ที่หาในร้านออนไลน์ได้ในราคาแค่ 3,650 บาท ถือว่าถูกมาก เราแนบหน้าลิงก์สิ้นค้าบน Shopee:มาให้ตรงนี้ เผื่อใครจะสนใจจะลองเอาใช้แบบ Appdisqus

สรุปท้ายรีวิว

ชุดเซ็ตไมค์พกง่าย ไร้สายขนาดเล็ก ใช้งานคล่องตัวดีมาก ทั้งการหยิบเก็บเข้าออก ให้คุณภาพการบันทึกที่ดีครับ ตัวเล็กเหน็บติดง่ายและไม่เกะกะ รองรับการใช้งานทั้งกล้อง, สมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ก็ใช้ได้เช่นกัน มีโหมดบันทึกเสียงทั้งโมโนและสเตอริโอให้เลือกใช้ พร้อมฟังก์ชั้นช่วยลดเสียงรอบข้างในกรณีต้องการเสียงพูดที่บริเวณรอบข้างเงียบมากกว่าปกติ

แบตเตอรี่อึด เมื่อรวมกับเคสชาร์จก็มั่นใจได้เลยว่าออกกองไปถ่ายได้เต็ม 1 วันแน่นอนไม่ต้องห่วงเรื่องแบต ราคาไม่แพง ถือเป็นไอเท็มเริ่มต้นทำมาหากินสำหรับสายงานที่ต้องการบันทึกคลิปหรือถ่ายวีดีโอที่มีเสียงพูดประกอบได้เลยครับ

หน้าลิงก์สั่งซื้อสิ้นค้า สั่งผ่านทาง Shopee:

ข่าว: รีวิว HollyLand Lark M1 ไมค์ไร้สายมาเป็นเซ็ต เล็กเบา เสียงชัดตัดเสียงรบกวน มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/review-hollyland-lark-m1-wireless-mic/

รีวิว OPPO Reno8 T 5G รุ่นใหม่! ถ่ายภาพบุคคลสวย คมชัด 108MP Portrait Camera อัปเกรดมาใหม่ในทุกด้าน

รีวิว OPPO Reno8 T 5G รุ่นใหม่! ถ่ายภาพบุคคลสวย คมชัด 108MP Portrait Camera อัปเกรดมาใหม่ในทุกด้าน
Noppinij

เปิดตัวกันออกมาแล้วสำหรับสมาร์ตโฟนสายพอร์ตเทรตตัวจริง กับ OPPO Reno8 T 5G สมาร์ตโฟนรุ่นใหม่งานปราณีต ที่อัปเกรดเรื่องกล้องถ่ายภาพมาครบ สเปคดี ตัวเครื่องสวยงาม ทนทาน ตามมาตรฐานงานของ OPPO จะมีอะไรที่น่าสนใจในรุ่นนี้บ้าง Appdisqus จะพามารู้จักกันครับ

สมาร์ตโฟน The Portrait Expert ตามนิยามของ OPPO Reno Series เป็นสมาร์ตโฟนในซีรี่ส์ที่มีจุดเด่นอยู่ที่การถ่ายภาพอยู่แล้ว โดยเฉพาะการถ่ายภาพบุคคล มีฟังก์ชั่นที่น่าสนใจช่วยเสริมให้การถ่ายภาพทำได้สนุก และได้ภาพสวยกันอยู่มากมาย และในรุ่นนี้มากับสเปคเครื่องที่อัปเกรดขึ้นกว่ารุ่นก่อนในทุกด้าน ครบเครื่องน่าสนใจมากทีเดียวครับ

โดยในรุ่นนี้ใส่กล้องความละเอียดสูง คมชัดที่สุดด้วย 108MP Portrait Camera ถ่ายภาพพอร์ตเทรตสวยอยู่แล้ว รุ่นนี้คมชัดกว่าที่เคย ทำงานคู่กับกล้อง Depth ช่วยจับโฟกัส 2MP และกล้องเด็ดตัวที่สามคือกล้อง 40x
Microlens เป็นกล้องระดับจุลทรรศน์ที่สามารถถ่ายภาพด้วยกำลังขยายได้ถึง40 เท่า! เป็นกล้องที่อยู่กับมือถือราคาสามหมื่นบาท ตอนนี้นำมาใส่อัปเกรดให้  OPPO Reno8 T 5G  ได้ใช้งานกันแล้วครับ

ในด้านฟังก์ชั่นการถ่าย ก็มาครบจบทุกโหมดพอร์ตเทรต รวมครบในรุ่น ตัวช่วยปรับแต่งใบหน้าตัวเก่งของ OPPO ช่วยปรับผิวและใบหน้าได้เหมือนการผ่านโปรแกรมรีทัช AI Portrait Retouching รับประกันความพึงพอใจในความสวยใสกันทุคนแน่นอน เลือกระดับความเนียนได้ 100 ระดับ ^^ และปรับระยะโฟกัสชัดลึกชัดตื้นละลายฉากหลังด้วยค่ารูรับแสงจำลอง ตั้งแต่ f 1.4 ถึง f 16 ซึ่งรองรับทั้งกล้องหลังและกล้องหน้าที่ให้ความละเอียดมา 32MP ด้วยนะครับ

ใส่โหมดถ่ายภาพบุคคลที่เพิ่มความโดดเด่นมาให้ ทั้ง Bokeh Flare Portrait เป็นความสามารถในการเพิ่มความโดดเด่นของดวงไฟโบเก้ฉากหลัง แสงรอดจากพระอาทิตย์ หรือหลอดไฟในฉากหลัง กลมโตดูสวยมากขึ้นเยอะเลยครับ เป็นโหมดที่แนะนำให้เปิดใช้งานกันเป็นพื้นฐานเวลาถ่ายภาพบุคคลเลยครับ และ AI Colour Portrait การตัดสีฉากหลังให้กลายเป็นขาวดำ คงเหลือไว้แต่สีของแบบ สวยงาม ตัดได้คมกริบ รองรับการใช้ได้ทั้งกล้องหลังและกล้องหน้า คุณภาพของกล้องดีงามมาก

ภาพบุคคลออกมาดูสวย ตัดฉากหลังและใบหน้าของแบบดูเนียนเป็นธรรมชาติมากครับ

โหมด Bokeh Flare Portrait ช่วยเร่งเม็ดโบเก้ฉากหลังให้เป็นดวงชัด ภาพจะดูมีความหวานสวยงามมากขึ้น เป็นโหมดหลักที่อยากจะแนะนำให้ใช้กันบ่อยๆ

สามารถนำไปเล่นกับแสงดวงไฟ แสงรอดจากพุ่มไม้ หรือแสงไฟกลางคืนได้อีกมากมายครับสำหรับ โหมด Bokeh Flare Portrait และด้วยความที่รองรับทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง แถมยังไม่กลัวแสงกลางคืน ทำให้ OPPO Reno8 T 5G ไม่ต้องห่วงเลยว่าจะถ่ายภาพกันตอนไหน ขอเพียงแค่ไม่มืดสนิทมากไป ตัวกล้องยังคงถ่ายภาพพอร์ตเทรตออกมาได้ดีเช่นเดิม

กล้องหน้าความละเอียด 32MP มีคุณสมบัติในการถ่ายภาพเซลฟี่แบบครบถ้วน Selfie AI Portrait Retouching และ Selfie HDR ช่วยการปรับแต่งใบหน้า และปรับแสงเพิ่มความสว่างเมื่อกล้องตรวจพบแสงที่สว่างเกินไปที่ฉากหลัง ทุกอย่างทำงานให้อย่างอัตโนมัติ ปรับทุกภาพและทุกโอกาสในขณะที่เราถ่ายเซลฟี่

ภาพออกสวยแบบจบหลังกล้องพร้อมแชร์ครับ และรองรับโหมด Bokeh Flare Portrait พร้อม AI Colour Portrait  ครบถ้วนเหมือนกล้องหลัง ฉะนั้นกล้องหน้ารุ่นนี้ใช้งานสนุกครับ

และด้วย OPPO Reno8 T 5G มีการใส่กล้องหลังตัวหลักที่มีความละเอียดสูง 108MP เราจึงสามารถนำภาพมาครอบตัดหรือแก้ไข ภาพก็ยังคมชัด จัดคอมโพสของภาพใหม่ภายหลังการถ่ายก็ยังดูคมสวยครับ

ถ่ายแล้วมาเลือกใช้บางส่วนของภาพด้วยโปรแกรมจัดการภาพภายในเครื่องได้เลย

กล้องตัวที่สามคือกล้อง 40x Microlens ตัวนี้สนุกครับ ส่องถ่ายสิ่งของต่างๆ ในระยะใกล้ระยะประชิด ด้วยกำลังการขยายสูงสุด 40 เท่า สิ่งที่เราเห็นจะเปลี่ยนโลกทัศน์ไปอย่างสิ้นเชิง เราจะเห็นเส้นใย เห็นเนื้อเยื่อ เห็นองค์ประกอบรายละเอียดที่ตาเปล่าเราไม่เคยมองเห็น ใช้งานได้หลากหลายและเพิ่มความสนุกของการถ่ายภาพได้มากทีเดียว

ส่องถ่ายกับสิ่งรอบตัว เพื่อเห็นความต่างในโลกขยายระดับ 40X

ในโหมดกล้องการถ่ายทั่วไป  มี AI และ HDR คอยช่วยตรวจจับสิ่งที่ถ่าย โฟกัสไว ถ่ายได้ไว รองรับการซูมภาพ 3X รายละเอียดยังดีอยู่ (ซูมได้สูงสุดแบบดิจิทัลที่ 6X) มีโหมดการถ่ายภาพกลางคืน มีใส่ฟิลเตอร์เล่นกับโทนสีมาให้สามรูปแบบ ภาพกลางคืนถ่ายไม่ยาก โหมดกล้องกลางคืนทำมาได้ดีเช่นกันครับ และมีโหมดการถ่ายวีดีโอที่มีลูกเล่นให้ใช้งานอย่างโหมดเล่นกับเวลา สโลว์โมชั่นและโหมดไทม์แลปส์ รวมถึง Dual-View Video การถ่ายวีดีโอด้วยกล้องหน้าและกล้องหลังพร้อมกัน

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดต่างๆ ของ OPPO Reno8 T 5G

ประสิทธิภาพการใช้งาน

OPPO Reno8 T 5G อัปเกรดสเปคเครื่องจากรุ่นเดิมหลายด้านเลยครับ รองรับ 5G เลือกใช้ชุดประมวลผลแรงดี เป็น Snapdragon 695 ทำงานร่วมกับ RAM 8GB ที่สามารถขยาย RAM ออกไปได้อีกสูงสุด 8GB รวมเป็น 8GB+8GB พื้นที่ขนาดนี้ใช้งานได้สบาย ให้พื้นที่เก็บข้อมูลมาเป็นตัวเลือกสองขนาด คือ 128GB และ 256GB

มีการใส่ระบบชาร์จไวตัวใหม่ 67W SUPERVOOCTM ชาร์จไฟแรงเร็ว สามารถชาร์จแบตขนาดใหญ่ 4,800mAh ให้เต็ม 100% ได้ในเวลา 44 นาที หรือถ้ามีเวลาแวะชาร์จเพียง 5 นาทีก็สามารถคุยได้โทรศัพท์นานกว่า 5 ชั่วโมงแล้วครับ และตัวเครื่องไม่ร้อนด้วยครับ ทดสอบใช้งานมาไม่เจอความร้อนของเครื่องให้เป็นกังวลเลย ระบบชาร์จของ OPPO ใช้งานรู้สึกปลอดภัยครับ เพราะมีระบบตรวจสอบความปลอดภัย 5 ขั้นเพื่อดูแลในด้านนี้โดยเฉพาะ ป้องกันการโอเวอร์โหลดและการลัดวงจรของไฟฟ้า จะใช้งานเองหรือให้คนที่บ้านใช้งานก็อุ่นใจได้

รองรับ 5G สองซิมการ์ด หรือจะสลับใส่หน่วยความจำ micro SD Card แทนได้ในช่องซิมที่สองที่เป็นแบบไฮปริด ใส่เพิ่มหน่วยความจำได้สูงสุด 1TB

ลองทดสอบเล่นเกม MMORPG 3D เล่นได้ลื่นเลยครับ ประสิทธิภาพรุ่นนี้ใช้งานได้เต็มที่แม้แต่สายเล่นเกม มีแรมขนาดใหญ่เข้าออกแอปได้ไว เปิดทำงานได้หลายแอปไม่หน่วงไม่แลค ส่วนหนึ่งเพราะระบบดีด้วยครับ ไม่พบปัญหาแลค ค้าง รีสตาร์ทเลยสักครั้งในการทดสอบใช้งาน

ตัวระบบของ OPPO Reno8 T 5G อัปเกรดล่าสุดมาเป็น Android 13 มาเลย ครอบทับด้วย ColorOS 13 ตัวใหม่สุดด้วยเช่นกัน มีการปรับแต่งของระบบและฟังก์ชั่นเพิ่มความสะดวกมาให้เยอะเลยครับ ปรับแต่งอนิเมชั่นสแกนนิ้ว, แสงไฟขอบจอสำหรับการแจ้งเตือน เปลี่ยนไอคอนและสีของธีม

มีหน้า Alway On ที่จะแสดงผลตลอดเวลาแม้หน้าจอปิด โดยใน ColorOS 13 สามารถแสดงรายชื่อเพลงที่เล่นจาก Spotify และสามารถกดควบคุมการเล่นได้โดยไม่ต้องปลดล็อคหน้าจอก่อนได้ครับ

ในด้านความปลอดภัยก็จะมีมาทั้งระบบล็อคแอป, ซ่อนแอป ไม่ให้ผู้อื่นเข้าใช้งานแอปส่วนตัวของเราได้ง่ายๆ ล็อคไว้ด้วยรหัสผ่านอีกชั้นหนึ่ง

และระบบป้องกันความเป็นส่วนตัวในขณะเซฟหน้าจอที่เรากำลังแชต ตัวระบบจะทำการเบลอหน้าบุคคลในแชตให้เป็นโมเสคได้ในคลิ๊กเดียว เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวก่อนการแชร์ภาพ หรือความสะดวกในการเซฟภาพหน้าจอด้วยการสไลด์นิ้วสามนิ้วลงบนหน้าจอ เลือกเซฟส่วนที่ต้องการได้ง่ายๆ ด้วยการค้างนิ้วที่สไลด์ไว้แล้วเลื่อนไปในพื้นที่ที่ต้องการ และหลังการเซฟภาพหน้าจอ เราสามารถเรียกใช้งานการแปลภาษาของ Google Translate ได้ทันที โดยไม่ต้องก็อบบี้ภาพไปเปิดในแอปแปลภาษาอีกที สะดวกมากครับ

การใช้งานลื่นไหลดี ตอบสนองได้ไว และแบตเตอรี่ถือว่าอึดกว่าที่คิดไว้ครับ สามารถใช้งานได้เต็มวันแม้จะเปิดใช้งานเครื่องขึ้นมาบ่อยๆ เปิดหน้าจอทำงานต่อเนื่องกินแบตเตอรี่ประมาณชั่วโมงละ 15% ก็จะสามารถเปิดจอทำงานต่อเนื่องได้ประมาณ 7 ชั่วโมงแบตเตอรี่ถึงจะหมดครับ

จอใหญ่ๆ รับชมคลิปหรือภาพยนตร์ภาพสวย ลำโพงเสียงดังชัด เพราะรุ่นนี้ไม่ใช่แค่ใหญ่ชัดในเรื่องหน้าจอเท่านั้น แต่ในระบบเสียงเองก็มีความสามารถในการเร่งเสียงจากลำโพงให้ดังชัด โดยจะสามารถเพิ่มระดับเสียงให้มีความดังไปมากกว่าปกติได้ถึง 200% เปิดสุดเสียงก็ไม่แตก ใช้งานในห้องคนเดียวชัดเจนแน่นอนครับ

ตัวเครื่องพรีเมี่ยม ดีไซน์ระดับแฟลกชิป

งานผลิตและการออกแบบของ OPPO ไม่เคยทำให้ผิดหวัง และรุ่นนี้ก็มาในงานระดับแฟลกชิป ตัวเครื่องสวยครับ ใช้การออกแบบขอบโค้งบรรจบทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทำให้ตัวเครื่องดูเพรียวบาง  มีความเงางามและแข็งแกร่งด้วยวัสดุโครงเครื่องโลหะ และใช้สีขอบเครื่องแบบโครเมี่ยม ดูหรูหราเวลาสะท้อนกับแสง

หน้าจอขนาดใหญ่ถึง 6.7 นิ้ว ความละเอียดสูง FullHD+ 2410x1080p Refresh Rate 120Hz เป็นจอขอบโค้ง 3D รุ่นแรกของ OPPO ที่เปิดจำหน่ายในเรทราคาระดับกลางๆ และยังเป็นจอ AMOLED ที่รองรับการแสดงสีระดับ 10bits หนึ่งพันล้านสี  ขอบจอบางมากๆ บางสุดแล้วในเซคเมนต์ราคาเดียวกันนี้ โดยให้สัดส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องอยู่ที่ 93% เลยทีเดียวครับ

สีสันจอสดใส แสงสว่างดี และมีระบบการหรีแสงด้วยเทคโนโลยี High-Frequency PWM Diming ที่สูงถึง 2,160Hz ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานทั่วไปกว่าสองเท่าตัว ช่วยให้เราใช้งานในที่แสงน้อยโดยหน้าจอจะลดความสว่างลงและจะส่งผลกระทบต่อความเมื่อยล้าของสายตาในระดับน้อยกว่าจอปกติทั่วไปได้มากเลยครับ

หน้าจอของ OPPO Reno8 T 5G เป็นหน้าจอโค้งที่โดดเด่นในด้านความทนทานด้วยครับ เพราะทาง OPPO ได้เพิ่มประสิทธิภาพด้วยการใช้กระจกป้องกัน DT-Star2 ซึ่งเป็นวัสดุกระจกนิรภัยระดับสองเป็นตัวครอบหน้าจอ และไม่ใช่แค่หน้าจอเท่านั้น เพราะก่อนที่จะวางจำหน่ายสมาร์ทโฟนทุกรุ่น ทาง OPPO จะมีการทดสอบความทนทานของตัวเครื่องในมาตรฐานที่ค่อนข้างสูง เป็นเกรดสินค้าของแบรนด์ใหญ่อย่าง OPPO นั้นเองครับ

และใน OPPO Reno8 T 5G ก็มีการทดสอบคุณภาพอย่างละเอียด 23 รายการที่แตกต่างกัน เรียกว่าการทดสอบ 48-Month Fluency Protection หรือการทดสอบจำลองการใช้งานในระดับทนทานนาน 4 ปีเป็นอย่างน้อย ดำเนินการทดสอบต่างๆ ในห้องปฏิบัติการ OPPO อย่างเช่นการทดสอบการตกจากที่สูง 1 เมตร ทดสอบการกระแทก การทดสอบการบิด และความทนทานต่อการสึกหรอ และการทดสอบฝช้งานในสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อจำลองสถานการณ์ของผู้ใช้ เพื่อให้ได้ความทนทานเป็นพิเศษทั้งหน้าจอรวมถึงตัวเครื่องด้วย ก็เป็นแบรนด์ที่รับประกันความเชื่อใจได้อย่างดี เราจึงไม่ค่อยเจอปัญหาตัวเครื่อง OPPO เสียหรือเสื่อม ก่อนเวลาที่ควรเป็นนั้นเองครับ

และแม้แต่ตัวแบตเตอรี่เองก็ยังคงทน ไม่ใช่แค่พัฒนามาแค่เรื่องชาร์จไฟให้ไวเท่านั้นครับ แต่ทาง OPPO ใส่ใจในเรื่องอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ด้วย มีระบบ Battery Health Engine เอกสิทธิ์เฉพาะที่ช่วยปกป้องสภาพของแบตเตอรี่ให้สามารถใช้งานได้ปกติเป็นเวลาประมาณ 4 ปี โดยแบตภายในของเครื่อง OPPO Reno8 T 5G จะสามารถเพิ่มรอบจำนวนชาร์จ/คายประจุได้สูงสุดถึง 1,600 รอบ นับเป็นสองเท่าของมาตรฐานอุตสาหกรรมที่ปัจจุบันอยู่ที่ 800 รอบเท่านั้น

OPPO Reno8 T 5G มีเข้ามาจำหน่ายสองสี หนึ่งคือสีใหม!่ สีทอง Sunrise Gold เป็นสีทองที่ออกเฉดผสมสีฟ้าและม่วง เหลือบสีไปมาเล่นกับแสงสะท้อน เปลี่ยนมุมถือก็เปลี่ยนสีสันให้อารมณ์อบอุ่นเป็นสีโทนสว่าง ใช้เทคนิคการผลิตแบบ OPPO Glow ที่ใช้การแกะสลักวัสดุในระดับจุลภาค สร้างคริสตัลรูปทรงปิรามิดหลายล้านเม็ดลงบนพื้นผิวฝาหลัง ทำให้ได้พื้นผิวสัมผัสแบบด้าน มีรายละเอียด และสะท้อนกับแสงที่มากระทบได้สวยงาม ผิวของ OPPO Glow น่าสัมผัสครับ และเวลาใช้งานก็ไม่เกิดคราบรอยนิ้วมืออีกด้วย มีอีกหนึ่งสีที่เข้ามาคู่กันคือสีดำ Midnight Black สีดำบริสุทธิ์แต่ก็เสริมด้วย OPPO Glow เป็นสีดำที่ดูสงบ เข้ม และก็ไม่ใช่ดำธรรมดา เพราะยังคงมอบความระยิบระยับเป็นประกายเวลาสะท้อนกับแสงได้เช่นเดียวกัน

OPPO Reno8 T 5G ตัวเครื่องเพรียวบาง มีความหนาแค่ 7.7 มม. และหนักเพียง 171 กรัม วางโมดูลกล้องหลังทั้งสองในแนวตั้งในแผงวงรีที่ทำพื้นผิวให้สีตัดกันกับตัวเครื่องส่วนอื่นอ และตัวกล้องยังล้อมรอบไว้ด้วยวงแหวนโลหะที่ช่วยตกแต่งให้เครื่องมีความพรีเมียม พร้อมเป็นตัวปกป้องกระจกเลนส์ได้ไปในตัว

อุปกรณ์ภายในกล่องของ OPPO Reno8 T 5G ก็จะมีเคสใสซิลิโคน สายดาต้า USB Type C และที่ชาร์จ 67W SUPERVOOCTM มาให้

แต่ผู้ที่สั่งจองเครื่อง OPPO Reno8 T 5G 8+128 และ OPPO Reno8 T 5G 8+256  ในช่วงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 ถึง 16 กุมภาพันธ์ 2566 จะได้ของแถมเป็นกล่อง Reno Gift Set ที่ภายในประกอบไปด้วย เคสมือถือ/ ที่วางมือถือแบบโลหะ /ลำโพงบลูทูธไร้สาย มูลค่ารวม 2,099 บาท และบัตร E-VIP CARD มูลค่า 5,500 บาท ที่ลูกค้าจะได้รับการรับประกันจอแตกเป็นจำนวน 1 ครั้งภายในระยะเวลา 1 ปี ไปด้วยครับ

กล่อง Reno Gift Set ที่ภายในประกอบไปด้วย เคสมือถือ/ ที่วางมือถือแบบโลหะ /ลำโพงบลูทูธไร้สาย

สรุปท้ายรีวิว

กล้องคุณภาพสูงบนตัวอุปกรณ์ที่สวยงาม ความละเอียดกล้องชัด 108MP และโหมดถ่ายภาพที่ทำมาได้ยอดเยี่ยมของ OPPO จับโฟกัสบุคคลแม่นยำ มีกล้องจุลทรรศน์ 40x Microlens มาให้ใช้งานกันได้สนุก พกพาไปท่องเที่ยวถ่ายภาพวิวสวย ถ่ายภาพคนได้คม พกง่ายเพราะตัวเครื่องเบาบาง แต่สเปคประมวลผลแรงใช้งานได้ครอบคลุมรวมทั้งการเล่นเกม และทนทานมีมาตรฐานการใช้งานได้ยาวนาน และปลอดภัยตามมาตรฐานการผลิตของแบรนด์ OPPO

OPPO Reno8 T 5G สมาร์ทโฟนครบเครื่อง ในราคาที่ไม่แพงครับ

ข้อมูลพรีออเดอร์

ลูกค้าที่สั่งจอง OPPO Reno8 T 5G 8+128 และ OPPO Reno8 T 5G 8+256 ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 ถึง 16 กุมภาพันธ์ 2566 จะได้รับของสมนาคุณมูลค่า 7,599 บาท ประกอบไปด้วย
– E-VIP CARD มูลค่า 5,500 บาท ลูกค้าจะได้รับการรับประกันจอแตกจำนวน 1 ครั้งภายในระยะเวลา 1 ปี และรับประกันตัวเครื่อง 1 ปีนับตั้งแต่วันที่ซื้อเครื่อง
– Reno Gift Set มูลค่า 2,099 บาท ประกอบไปด้วย เคสมือถือ/ที่วางมือถือ/ลำโพงบลูทูธ

ข่าว: รีวิว OPPO Reno8 T 5G รุ่นใหม่! ถ่ายภาพบุคคลสวย คมชัด 108MP Portrait Camera อัปเกรดมาใหม่ในทุกด้าน มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/review-oppo-reno8-t-5g-108mp/

รีวิว HONOR X9a 5G ดีไซน์พรีเมียมสวยงาม น้ำหนักเบา ราคาหมื่นต้น

รีวิว HONOR X9a 5G ดีไซน์พรีเมียมสวยงาม น้ำหนักเบา ราคาหมื่นต้น
Noppinij

สมาร์ทโฟนใหม่เน้นดีไซน์สวย  HONOR X9a 5G การออกแบบพรีเมี่ยมสวยงาม น้ำหนักเบาแต่สเปคแรงในราคาไม่แพงมากครับ เปิดตัวมาในราคา 11,990 บาทเท่านั้น

HONOR X9a 5G ใช้การออกแบบด้านหลังเครื่องโค้ง ประกบกับหน้าจอโค้ง ทำให้ได้ตัวเครื่องในลักษณะขอบโค้งบางเป็นสันเหมือนสมาร์ทโฟนตัวพรีเมี่ยมทั้งหลาย ตัวเครื่องมีความบางเพียง 7.9 มม. และน้ำหนักแค่ 175 กรัมเท่านั้นเอง

มีเข้ามาจำหน่ายสองสีครับ คือสี Titanium Silver และ Emerald Green หรือสีเขียวสัมผัสโลหะ มีประกายเวลาสะท้อนแสงแดด และใช้งานไม่เกิดคราบรอยนิ้วมือ เป็นสีที่เห็นอยู่ในรีวิวนี้นั้นเองครับ

งานประกอบแน่นหนา ลองจับแล้วเข้ามือ มาตรฐานการผลิตกันน้ำระดับ IPX4 โดนน้ำกระเซ็นหรือความชื้นไม่มีปัญหาอะไรในการใช้งาน

ด้านหลังวางวงแหวน Matrix Star Ring เป็นดีไซน์ของการวางกล้องหลังที่เด่นมากทีเดียว ให้เลนส์หลักเป็นกล้องความละเอียด 64MP ทำงานร่วมกับกล้องมุมกว้างอัลตร้าไวด์ความละเอียด 5MP และกล้องเลนส์มาโคร 2MP

ส่วนหน้าจอของ HONOR X9a 5G เป็นจอ Ultra-tough OLED Curve Display จอโค้งที่วัดจากตัวเครื่องได้ถึง 45 องศา มาพร้อมกับกระจอเสริมแกร่งเทคโนโลยี Ultra-Tough เคลือบทับไว้ด้านหน้าด้วยความบางเพียง 0.65 มิลลิเมตร เพิ่มความแข็งแรงและทนทานให้กับหน้าจอ

หน้าจอใหญ่ 6.67 นิ้ว ความละเอียด FHD+ ขอบจอบาง อัตราส่วนหน้าจอสูงถึง 93% รีเฟรชเรทสูง 120Hz และมีตอบสนองการทัชหน้าจอสูง 300Hz เป็นสเปคจอเหมาะสำหรับเล่นเกมด้วย

แสดงสีสันได้ถึง 1.07 พันล้านสี อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีลดแสงระดับสูง PWM Dimming 1920Hz ช่วยลดอัตราการกระพริบของหน้าจอ ทำให้สายตาไม่เมื่อยล้าจากการใช้งานเป็นเวลานาน เกรดจอดี ภาพสวย และลดภาระทางสายตาไปพร้อมกัน

ดีไซน์บางแต่มีแบตเตอรีขนาดใหญ่ 5100mAh รองรับการชาร์จเร็วด้วยเทคโนโลยี HONOR SuperCharge 40W จากที่ทดสอบสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ประมาณ 50% ในเวลาแค่ 30นาทีเท่านั้นครับ

อุปกรณ์ภายในกล่องของ HONOR X9a 5G ก็จะมีตัวชาร์จ SuperCharge 40W มาให้เลย พร้อมกับเคสใสซิลิโคน แต่จะไม่มีชุดหูฟังแถมมาให้ภายในกล่องนะครับ

ตัวเครื่องสวย บางเบา แต่แข็งแรงน่าใช้ครับ การออกแบบตัวเครื่องรู้สึกได้ถึงคุณภาพที่ดีครับในสมาร์ทโฟนรุ่นนี้

การใช้งานภายใน

HONOR X9a 5G ใช้ชิปเซต Qualcomm Snapdragon 695 5G มีความแรงพอตัว รองรับการใช้ทั่วไปได้สบาย และนำมาเล่นเกมได้แบบจริงจัง

ทำงานบนซอฟต์แวร์ MagicOS 6.1 ครอบทับบน Android 12 ให้ RAM 8GB และหน่วยความจำขนาดใหญ่ 256GB มีความสามารถในการขยายแรมออกไปได้ด้วย  HONOR RAM Turbo อีก 5GB ด้วยพื้นที่หน่วยความจำที่ยังไม่ใช้งาน

ระบบ MagicOS 6.1 มีความลื่นไหลมากครับ ตอบสนองไวและไม่หน่วงช้า จากการทดสอบใช้งานมายังไม่เจอปัญหาใดๆ ไม่ค้าง ไม่รีสตาร์ทให้เจอเลยใช้งานแล้วรู้สึกถึงความสเถียรและความคล่องตัวของระบบ แต่จุดอ่อนของระบบ HONOR ยังเป็นเรื่องที่เขาไม่ได้พัฒนาโหมดสำหรับการเล่นเกมมาให้โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นโหมดที่จะช่วยปรับสภาพเครื่องและปิดกั้นการแจ้งเตือนให้กับเราได้แบบอัตโนมัติ ที่เราไม่ต้องไปเปิดปิดการตั้งค่าเหล่านั้นด้วยตัวเองครับ

หน้าจอแสดงผลก็ปรับเปลี่ยนตามการใช้งานของเราได้เยอะครับ ปรับลดค่ารีเฟรชเรทได้เองตามการใช้งาน มีโหมดถนอมสายตาลดแสงสีฟ้า หรือจะเปลี่ยนโหมดอีบุ๊คสำหรับการอ่านหนังสือผ่านสมาร์ทโฟนก็ได้ครับ

การถ่ายภาพของรุ่นนี้ มีโหมดกล้องค่อนข้างครบตามที่ใช้งานกัน โหมดภาพบุคคล โหมดภาพปรับรูรับแสงเพื่อทำภาพชัดลึกชัดตื่น โหมดถ่ายภาพกลางคืน และมากับ AI คอยปรับแสงและแนวสีของภาพตามความเหมาะสมให้กับผู้ถ่ายได้อัตโนมัติ

กล้องถ่ายภาพสามารถถ่ายได้ในระยะใกล้ตั้งแต่มาโคร 4 เซนติเมตร ถ่ายภาพมุมกว้าง 122 องศา และซูมแบบดิจิทัลในระยะ 8X

มีโหมดกล้องคู่ สำหรับการถ่ายภาพวีดีโอทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังได้พร้อมกัน ปรับได้หลายรูปแบบครับ

โหมดถ่ายภาพบุคคล สามารถถ่ายได้ทั้งกล้องหลังและกล้องหน้า ภาพบุคคลถ่ายได้คมตัดฉากหลังได้สวยดีครับ มีฟิลเตอร์สีสันให้เลือกเปลี่ยนอารมณ์ของภาพได้หลายฟิลเตอร์

ภาพถ่ายออกมาดูสวยสมราคา ในการถ่ายภาพกลางวันคมชัดทั้งการถ่ายภาพวิวและการถ่ายภาพบุคคล ภาพที่ได้มาสีสันดี สมดุลแสงขาวไม่เพี้ยนหวังพึ่งผลลัพท์ได้ ภาพกลางคืนก็ยังลดนอยส์ได้ดี แม้จะไม่คมมากแต่พอใช้งานได้ในโหมดกลางคืน

ตัวอย่างภาพถ่ายของ HONOR X9a 5G

สรุปท้ายรีวิว

ตัวเลือกในเรทราคาหมื่นต้นๆ ตัวเครื่องสวย บาง การออกแบบใช้พรีเมียมดีไซน์ โดดเด่นและมีเอกลักษณ์เหมือนเป็นเรือธง หน้าจอสวยขนาดจอใหญ่ มีเทคโนโลยีหรี่แสงจอที่เหนือกว่าระดับตลาด PWM Dimming 1920Hz ช่วยลดอาการเมื่อยล้าของสายตาได้ดีมาก

คุณสมบัติต่างๆ มีครบทั้งเรื่องแบตเตอรี่ อายุการใช้งาน และรองรับการชาร์จไว กล้องมีคุณภาพที่ดีกว่าราคาจำหน่ายของเครื่องด้วยครับ

HONOR X9a 5G เปิดจำหน่ายในราคา 11,990 บาท ที่ HONOR Official Store บนแพลตฟอร์มออนไลน์ Shopee และ Lazada และร้านค้าตัวแทนจำหน่าย HONOR ทั่วประเทศ

ผู้ใช้งานสามารถรับบริการหลังการขาย ภายใต้สัญลักษณ์ Trusted by Synnex ที่มีศูนย์บริการมากกว่า 11 ศูนย์ทั่วประเทศ

ข่าว: รีวิว HONOR X9a 5G ดีไซน์พรีเมียมสวยงาม น้ำหนักเบา ราคาหมื่นต้น มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/review-honor-x9a-5g-premium/

รีวิว OPPO A78 5G ตัวเลือกที่ดีสุดของสมาร์ทโฟน 5G ราคาไม่ถึงหมื่น

รีวิว OPPO A78 5G ตัวเลือกที่ดีสุดของสมาร์ทโฟน 5G ราคาไม่ถึงหมื่น
Noppinij

OPPO A78 5G สมาร์ทโฟนออกแบบดี รองรับ 5G พร้อมสีใหม่ สีม่วง Glowing Purple มีสเปคคุ้มกับราคาที่เปิดตัวมาในเรทไม่ถึงหมื่นเท่านั้นครับ

OPPO A78 5G ใช้ตัวประมวลผลเป็น Dimensity 700 ชิปเซ็ตระดับ 7 นาโนเมตร ตัวแรงของสมาร์ทโฟนระดับ Mid-End เป็นชิปเซ็ตในตัวเลือกที่ดีมาก รองรับการใช้งาน 5G ได้ทั้งสองซิมพร้อมกัน ทำงานคู่กับ RAM ขนาดใหญ่ถึง 8GB และมีความสามารถในการขยายแรม RAM Expansion ที่ได้รับการอัพเกรดให้สามารถขยายแรมออกไปด้วยหน่วยความจำภายในที่ยังไม่ถูกใช้งานได้อีกถึง 8GB เลยทีเดียว รวมเป็นขนาด 8GB+8GB ถือว่าเยอะมาก และมีหน่วยความจำภายในมาให้ 128GB ครบเครื่องแรงดีในด้านสเปคการใช้งานครับ

ประสิทธิภาพแรงเกินพอจะนำมาใช้งานทั่วๆ ไปได้ทั้งหมด รวมถึงการนำมาเล่นเกมรุ่นนี้ก็ทำได้ดีเช่นกัน จากการทดสอบสามารถเล่นเกมภาพกราฟิกสวยๆ ได้ลื่นไหลครับ เกมที่มีเอฟเฟ็กต์สกิลใหญ่ๆ อย่างพวก MMORPG ก็เล่นได้สบายไม่มีปัญหาอะไร

ต้องบอกว่าออกแบบตัวเครื่องและระบบความร้อนภายในมาได้ดีด้วย เพราะไม่ร้อนเลยในเวลาใช้งานนานๆ ภายในติดตั้งชุดระบายความร้อน Multi-cooling System ช่วยกระจายอุณหภูมิและระบายออกได้รวดเร็ว แม้จะเสียบชาร์จไฟไปพร้อมใช้งานตัวเครื่องก็ไม่มีความร้อนสูงจนต้องเป็นกังวลแต่อย่างใด รองรับ 5G ทั้งสองซิมโดยใช้ช่องใส่ซิมแบบไฮปริด สามารถสลับซิมการ์ดที่สองไปใส่ Micro SD Card ได้แทนครับ และรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi ทั้ง 2.4 และ 5.0GHz ด้วย

ระบบชาร์จที่ให้มาก็เป็นระบบตัวเก่งของ OPPO ครับ 33W SUPERVOOC สามารถชาร์จแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5,000mAh ได้มากเกินกว่า 52% ในเวลาแค่ 30 นาที ซึ่งมาตรฐานการชาร์จของ OPPO มีความปลอดภัยสูงครับ มีระบบการป้องกันหลายชั้นตั้งแต่หัวชาร์จไปจนถึงตัวเครื่อง เวลาใช้งานก็จะอุ่นใจได้ครับเพราะแบรนด์นี้เขามีมาตรฐานการผลิตที่เรียกว่า OPPO Enduring Quality ซึ่งเป็นการทดสอบความทนทานของตัวเครื่องในหลายๆ ส่วนก่อนการผลิตออกมาจำหน่ายจริง เช่นความทนต่อแรงบิด, แรงกด ทดสอบความทนทานของปุ่มกดต่างๆ ให้ใช้งานได้เป็นแสนๆ ครั้งโดยไม่เสียหรือชำรุดไปไวก่อนเวลาอันควร มาตรฐานเขาดี

หน้าจอแสดงผลขนาด 6.56 นิ้ว ความละเอียด HD+ Refresh rate 90Hz ขอบจอเล็กอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่อง 89.9% จอภาพสวยครับ ความแม่นยำของสีสูง NTCS Color Gamut 96%, 100% DCI-P3 ติดตั้งกล้องหน้าความละเอียด 8MP รองรับการสแกนใบหน้าเข้าใช้งาน

OPPO A78 5G มีจุดเด่นที่ระบบเสียงด้วยครับ เพราะรุ่นนี้มากับลำโพงคู่ สเตอริโอรอบทิศทาง เสียงดังดีชัดเจนครับ เปิดใชัดูหนังฟังเพลงในห้องส่วนตัว ไม่ต้องต่อลำโพงภายนอกเพิ่ม

ตัวเครื่องของ OPPO A78 5G ออกแบบมาได้สวยงามครับ ใช้การผลิตฝาหลังแบบ OPPO Glow ผิวสัมผัสคล้ายโลหะกึ่งกระจก นอกจากสวยแล้วก็จะช่วยลดการเกิดรอยขีดขาวย และเวลาใช้งานก็จะไม่เกิดรอยนิ้วมือขึ้นมาให้ต้องเช็ดบ่อยๆ อีกด้วย ออกแบบเครื่องมาได้ทันสมัยและดูบางดีเช่นเดิมครับ แค่ 7.99 มม.

ขอบเครื่องตัดเหลี่ยม ทรงทันสมัย สีสวยมากด้วย โดยมีการนำเข้ามาจำหน่ายสองสีครับ Glowing Purple เป็นสีม่วงอ่อนจากดอกไลแลค มีความงดงาม ดูหรูหรามีระดับ อีกหนึ่งสีคือ Glowing Black สีดำบริสุทธิ์แต่มีลวดลายบนผื้นผิวคล้ายอวกาศ รองรับการสแกนลายนิ้วมือด้านข้างเครื่อง ขอบเครื่องตัดเหลี่ยมกระชับจับเข้ามือ น้ำหนักเบาพกพาง่าย 188 กรัม

ชุดกล้องหลังเป็นพื้นเรียบระดับเดียวกับฝาหลัง แต่ตัดกันด้วยสีสันและพื้นผิวขัดเงา วางกล้องหลังคู่ความละเอียด 50MP และกล้อง Depth ความละเอียด 2MP ช่วยจับโฟกัส

อุปกรณ์ภายในกล่องจะมีตัวชาร์จ 33W SUPERVOOC และสาย USB Type C และเคสใสซิลิโคน แต่จะไม่มีชุดหูฟังแถมมาให้ภายในกล่องนะครับ

ระบบใช้งาน Android 13 ครอบทับด้วย ColorOS 13

ระบบที่ติดตั้งมาให้เป็นระบบใหม่ล่าสุด Android 13 ครอบทับด้วยระบบล่าสุด ColorOS 13 เป็นระบบใหม่ล่าสุดเช่นกันครับ ภายในมีการใส่ฟังก์ชั่นในด้านความสะดวกสบายของผู้ใช้และความปลอดภัยมาให้ เป็นระบบที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่ายๆ สามารถปรับแต่งธีม ไอคอน และโทนสีของ UI ได้เองค่อนข้างอิสระเลยครับใน ColorOS 13 เลือกพื้นหลังและสีที่อ้างอิงเข้ากันมาใช้ได้เองในการตั้งค่าครับ

การทำงานมีฟังก์ชั่นฉลาดๆ เยอะ เช่นการเซฟหน้าจอด้วยการสไลด์สามนิ้วลงบนหน้าจอ เลือกพื้นที่เซฟหน้าจอได้อิสระ รวมถึงการทำงานแบบมัลติวินโดวเปิดใช้งานได้หลายแอปพร้อมๆ กัน

ทำงานได้ทั้งแบบแบ่งหน้าจอ และแบบเป็นป๊อบอัพ เลือกปรับขยายหรือสลับแอปไปมาได้ตลอดครับ สิ่งหนึ่งที่ระบบของ OPPO ทำมาได้สะดวกมากคือการเปิดหน้าต่างแอปใหม่เพื่อทำการแชร์ไฟล์ในขณะนั้นขึ้นมาโดยเฉพาะครับ เพราะเราไม่ต้องสลับหน้าต่างไปยังแอปอื่นในขณะทำงาน

การปรับหน้าจอเพื่อแสดงสีสันในลักษณะที่ต้องการ เร่งสีด้วย AI เมื่อใช้งานในแอปพลิเคชั่นเล่นวีดีโอบางตัว และมากับโหมดถนอมสายตาลดแสงสีฟ้า หรือจะปรับหน้าจอให้กลายเป็นขาวดำเหมือนหน้ากระดาษเพื่ออ่านหนังสือก็ทำได้

ด้านการจัดสรรพลังงานของ OPPO A78 5G มีมาทั้งโหมดที่เน้นความสมดุล หรือจะเน้นประหยัดพลังงานเพื่อการใช้งานที่ยาวนานได้มากขึ้น หรือจะเร่งประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อให้สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพโดยไม่สนใจในเรื่องของพลังงานมากนักก็ทำได้ครับ

โหมด Super Nighttime Standby เป็นการทำงานของตัว AI ที่จะช่วยลดการใช้พลังงานของเครื่องลงไปอย่างมากในยามที่เราหลับ ตัดการทำงานที่ไม่จำเป็นออกไปได้เอง ทำให้ในเวลาหนึ่งคืนตัวเครื่องจะใช้พลังงานไปแค่ประมาณ 2% ในการสแตนด์บายได้ทั้งคืนเท่านั้นเองครับ

รวมถึงมีโหมดเร่งประสิทธิภาพเครื่อง เราสามารถปลดล็อกตัวจำกัดของโทรศัพท์ ให้สามารถใช้งานการประมวลผลได้เต็มประสิทธิภาพที่สุดโดยไม่สนใจในเรื่องของการใช้พลังงานได้เองด้วยครับ สำหรับวันที่เราไม่ได้สนใจกับระยะเวลาสแตนด์บายของแบตเตอรี่สักเท่าไหร่ ก็เปิดใช้งานได้เลย

มีการโหมดฉุกเฉินในการเซฟพลังงานไว้ขั้นสูงสุดในยามวิกฤต Super Power Saving Mode เป็นโหมดประหยัดพลังงานที่ ตัวระบบจะปิดการทำงานอื่นๆ และปรับหน้าจอเป็นพื้นหลังดำ จะช่วยยืดอายุการใช้งานคงเหลือของแบตเตอรี้่ออกไปได้อีก 3 เท่า

Game Mode ก็จะเป็นอีกฟังก์ชั่นที่จะช่วยปรับระดับประสิทธิภาพเครื่อง โดยเน้นไปที่ความสำคัญในการเล่นเกมเป็นหลัก เช่นโหมด”ใช้พลังงานต่ำ” เพื่อการเล่นเกมที่จะกินพลังงานเครื่องได้น้อยที่สุดแต่ก็แลกมากับความหน่วงช้าลงกว่าปกติสักหน่อย หรือ”โหมดสมดุล” และสุดท้ายคือ”โหมดโปรเกมเมอร์” เป็นโหมดที่เน้นไปที่ประสิทธิภาพ เพื่อการเล่นเกมที่ไหลลื่นและไม่มีการขัดจังหวะในการเล่นเกม โดยระบบจะปิดกั้นการแจ้งเตือน เร่งความไวตอบสนองของการทัชบนหน้าจอ และเปิดระดับเฟรมเรทสูงสุดของเครื่องออมาทำงาน เน้นไปที่ประสิทธิภาพแต่ก็จะแลกมากับการกินพลังงานมากขึ้นและตัวเครื่องอาจจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น แต่จากที่ทดสอบ แม้จะเปิดโหมดโปรเกมเมอร์ขึ้นมาใช้งานเป็นเวลานานๆ ตัวเครื่องก็ไม่เกิดความร้อนสะสมมากมายอะไรให้ต้องเป็นกังวลครับ

ในด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ในระบบ OPPO A78 5G จะมากับความสามารถใหม่ที่อยู่ใน ColorOS 13 เช่นการเบลอหน้าและชื่อของผู้ใช้งานในการแชต ได้ด้วยการคลิ๊กปกปิดข้อมูลเพียงครั้งเดียว หรือการลบ TAG ข้อมูลของภาพถ่ายออกไปได้ในคลิ๊กเดียวก่อนการแชร์ออกไปได้เช่นกัน

กล้องถ่ายภาพ

OPPO A78 5G มากับกล้องหลังคู่ AI ความละเอียดกล้องหลัก 50MP ทำงานคู่กับเลนส์ช่วยโฟกัส 2MP  กล้องหน้าความละเอียด 8MP โฟกัสภาพไว มีตัว AI และ HDR ช่วยในการทำงาน กล้องรุ่นนี้ไม่ผิดหวังสามารถนำไปใช้ถ่ายภาพท่องเที่ยวต่างๆ ได้อย่างดีครับ

มีความสามารถในการถ่ายภาพ Ultra-Clear 108MP ได้ด้วยนะครับ เป็นการใช้ซอฟท์แวร์ในการรวมภาพจากกล้องหลัง 50MP มาสร้างภาพขนาดใหญ่ในการถ่ายเพียงแชะเดียว ถ่ายเพื่อนำไปซูมใช้งานในบางส่วนของภาพได้โดยยังมีความคมชัดเช่นเดิม

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดต่างๆ ของ OPPO A78 5G

ภาพดีครับ เข้มและคมชัด ภาพกลางคืน Night Mode ก็ยังคงคุณภาพของภาพได้ดีครับ

กล้อง OPPO A78 5G มากับ AI Portrait Retouch การปรับแต่งผิวหน้าและรายละเอียดของใบหน้าได้สวยงาม ทำงานฉลาดดูไม่หลอกตาหลังการปรับแต่งเลยครับ ภาพบุคคลของ OPPO ยังคงทำได้อย่างยอดเยี่ยม ปรับระดับระยะชัดลึกชัดตื้นได้ตั้งแต่ f 0.95 ไปจนถึง f16 ทำงานพร้อมกับ AI Portrait Retouch โดยสามารถทำงานได้ดีทั้งหน้าและกล้องหลังเลยครับ รวมถึงการใช้ AI Portrait Retouch ในการถ่ายวีดีโอก็ทำงานได้เช่นกันด้วย

มาพร้อมกับฟิลเตอร์ปรับสีสันแบบต่างๆ ให้เราสามารถเติมแต่งปรับภาพได้ก่อนถ่ายหลากหลายมากครับ ทั้งในตอนกลางวัน ตอนกลางคืน และรวมถึงการถ่ายวีดีโอด้วยเช่นกัน สามารถถ่ายวีดีโอโดยการเลือกดึงสีเก็บไว้เพียงสีใดสีหนึ่งระหว่าง สีแดง, เขียว, น้ำเงิน

Portrait Mode  แสงดีภาพสวย โดยฟิลเตอร์ต่างๆ ที่มีภายในตัวกล้อง จะช่วยทำแนวภาพใสๆ หวานๆ นุ่มๆ ให้กับการถ่ายคนได้หลากหลายด้วย ^^

สรุปท้ายรีวิว

OPPO A78 5G เป็นสมาร์ทโฟนเครื่องสวย มาตรฐานดี เกรดงานผลิตพรีเมี่ยมที่เปิดจำหน่ายมาในราคาไม่ถึงหมื่นบาทครับ งานเครื่องดีงามเช่นเดิมสำหรับ OPPO ในรุ่นนี้ รองรับการใช้งาน 5G มีชิปเซ็ตที่แรงคุ้มค่า ให้แรมมาขนาดใหญ่มาก 8GB ซึ่งรองรับการขยายออกไปได้อีก 8GB แรมใหญ่ครับ

หน้าจอใหญ่ภาพสวยและลำโพงสเตอริโอคู่ บนแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5,000mAh รองรับชาร์จไว 33W SUPERVOOC ชาร์จไวและปลอดภัย

ระบบภายในไหลลื่น ตัวเครื่องภายนอกสวยงาม ทนทาน มีมาตรฐานการผลิตที่เชื่อถือได้ของ OPPO เป็นการันตี

OPPO A78 5G เปิดจำหน่ายในไทยราคา 9,999 บาทที่ OPPO Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ พร้อมรับของแถมสุดพิเศษ E-VIP Card รับประกันหน้าจอแตกจํานวน 1 ครั้ง ภายในระยะเวลา 1 ปี มูลค่า 4,000 บาท และ OPPO Trendy Bag มูลค่า 1,999 บาท มูลค่ารวม 5,999 บาท

และพิเศษเมื่อสั่งซื้อทางผู้ให้บริการเครือข่าย dtac ราคาเริ่มต้นเพียง 4,190 บาท และ AIS ราคาเริ่มต้นเพียง 5,999 บาท ตั้งแต่วันนี้ – 28 กุมภาพันธ์ 2566

รายละเอียดผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมที่ : https://bit.ly/3k8suu9

ข่าว: รีวิว OPPO A78 5G ตัวเลือกที่ดีสุดของสมาร์ทโฟน 5G ราคาไม่ถึงหมื่น มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/review-oppo-a78-5g-ram-8gb-dimensity700/

รีวิว Oukitel WP19 สมาร์ตโฟนสายแกร่ง แบตใหญ่ 21,000 mAh คู่หูผจญภัย ลุยได้ทุกสภาพ

รีวิว Oukitel WP19 สมาร์ตโฟนสายแกร่ง แบตใหญ่ 21,000 mAh คู่หูผจญภัย ลุยได้ทุกสภาพ
Noppinij

Oukitel WP19 เป็นสมาร์ตโฟนที่อยู่ในประเภท Rugged Phone หรือกลุ่มอุปกรณ์สายลุย แตกต่างกับสมาร์ตโฟนทั่วไปอย่างมาก ภายนอกจะดูเป็นอุปกรณ์ภาคสนามที่ออกแบบมาเพื่อความสมบุกสมบัน ลุยได้ทุกสภาพแวดล้อม และพร้อมใช้ในทุกสภาพอากาศ โดยเฉพาะรุ่นนี้ที่มากับแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่กว่าสมาร์ทโฟนทั่วไปมากถึง 7 เท่าเลยทีเดียว

เรามารู้จักกับ Oukitel (อ่านว่า “อูคิเทล” ) WP19 รุ่นนี้กันครับ

Oukitel WP19 ใช้การออกแบบภายนอกที่เห็นได้ชัดว่าเป็นอุปกรณ์ Rugged Phone ตัวเครื่องหนา หนัก 570g ไม่ใช่มือถือที่จะเอาพกพาใช้งานทั่วไปอย่างแน่นอน

งานประกอบแน่น มีความถึก ได้มาตรฐานมาทั้ง IP68 & IP69K และ MIL-STD-810H ทนน้ำทนฝุ่นและทนทานต่ออุณหภูมิ บุกป่า ลุยเขา เอาไปลุยกับเราได้ทุกสภาวะผจญภัย และยังทนทานต่อแรงกระแทกได้มากกว่าสมาร์ตโฟนโดยทั่วไป เพราะป้องกันการตกกระทบในระดับความสูงไม่เกิน 1.5เมตรได้ในตัวอีกด้วย

การออกแบบทรงเครื่องมีสันหลบมุมเพื่อให้เข้ารูปกับฝ่ามือ ทำให้ถือใช้งานไม่ลำบากมากนักสำหรับมือผู้ชาย ฝาหลังใช้วัสดุกึ่งหนัง เสริมโครงโลหะ ขอบเครื่องผิวสัมผัสยาง วัสดุทุกอย่างออกแบบให้มีความกระชับกับการถือของมือ ไม่ลื่นหลุดมือง่ายๆ และยังเป็นตัวกันกระแทกให้กับตัวสมาร์ทโฟนในตัวไปด้วยนั้นเองครับ

มีปุ่ม Smart Key เป็นปุ่มพิเศษของเครื่อง สามารถกำหนดให้ทำงานเป็นปุ่มเรียกใช้ฟังก์ชั่นด่วน ฟังก์ชั่นสำคัญได้โดยตรง รวมถึงเป็นปุ่มเปิดฟังก์ชั่น SOS ขอความช่วยเหลือด่วน ตัวอุปกรณ์จะพยายามส่องแสงและส่งเสียงเพื่อบอกพิกัด รวมถึงติดต่อไปยังรายชื่อที่เราตั้งไว้ได้สูงสุดพร้อมกัน 3 รายชื่อครับ

ปุ่มกดเป็นโลหะดูแข็งแรงทุกปุ่ม รองรับการสแกนลายนิ้วมือด้วยปุ่มพาวเวอร์ด้านข้างเครื่อง

พอร์ตทุกพอร์ตจะมีฝาปิด เพิ่มความแน่นหนาและไม่ให้อะไรเข้าไปอุดตันตามช่องต่างๆ ได้ง่าย ใช้พอร์ตชาร์จเป็น USB Type C และมีช่องหูฟัง 3.5มม.

รองรับ 4G สองซิมการ์ดและช่องใส่ micro SD Card เปิดออกได้โดยการเปิดฝาแล้วใช้เข็มจิ้มซิม ซึ่งเข็มจิ้มซิมที่ให้มาออกแบบมาเพื่อใช้งานได้ทั้งสองด้าน เพื่อใช้เปิดฝาปิดและเป็นเข็มจิ้มถาดซิมได้อีกด้านหนึ่ง

ความถึกทนในรูปแบบอุปกรณ์ภาคสนาม แค่ดูรูปทรงก็รู้เลยว่าสายพันธุ์ลุยแน่นอนครับ มีการทำหูแขวนสำหรับใส่สายรัดหรือยึดกับอุปกรณ์พกพามาให้ท้ายเครื่อง

ความทนทานของตัวเครื่อง มาพร้อมกับความอึดทนของแบตเตอรี่ภายใน ที่ให้มาขนาดใหญ่ถึง 21,000mAh เรียกว่าใหญ่ท็อปสุดของโลก ทำให้ Oukitel WP19 มีอายุการสแตนบายด์ใช้งานได้นานกว่าสามเดือนเลยทีเดียวครับ การสแตนด์บายใช้พลังงานน้อยอยู่แล้วครับ โดยเฉพาะเครื่องที่มีแบตเตอรี่มากขนาดนี้ถ้านำติดตัวไปท่องเที่ยวเชิง adventure ไม่ได้หยิบมากดเล่นอะไรมากนัก เป็นไปได้ว่าตลอดทริปอาจจะไม่ต้องชาร์จพลังงานเลยสักครั้งก็ได้ครับ

และจากการทดสอบใช้งาน โดยเปิดหน้าจอต่อเนื่องทิ้งไว้ สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ก็ใช้แบตเตอรี่ไปแค่ชั่วโมงละ 3% เท่านั้นเอง ฉะนั้นถ้าจะเฉลี่ยการใช้งานต่อเนื่องจนให้แบตเตอรี่หมดก็ต้องเปิดเล่นวีดีโอหรือเล่นเกมไม่พักไปนานกว่า 30 ชั่วโมงละครับแบตเตอรี่ถึงจะหมด

Oukitel WP19 รองรับระบบชาร์จไว Fast Charging 33W สามารถชาร์จแบตได้ 80% ในเวลาประมาณ 3 ชั่วโมงครับ ใช้เวลานานสักหน่อยเพราะแบตก้อนใหญ่มากๆ

หน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ครับ 6.78 นิ้ว FHD+ เป็นจอ IPS Refresh Rate 90Hz จอใหญ่เห็นชัด สู้แสงได้ดีครับ ส่วนลำโพงเดี๋ยวด้านหลัง เสียงดังชัดครับ ออกแหลมเล็กน้อยเพื่อให้เราได้ยินเสียงของอุปกรณ์ได้ชัดไกลมากขึ้น

Oukitel WP19 มาพร้อมกับความโดดเด่นในเรื่องของกล้องถ่ายภาพอีกด้วยครับ มากับกล้องหลัง 3 ตัว ใช้กล้องหลักเป็น 64MP Samsung S5K ทำงานร่วมกับเลนส์ Macro 2MP และสุดท้ายคือกล้อง SONY IMX 350 ความละเอียด 20MP

แต่ด้วยการออกแบบที่ทำมาเพื่องานผจญภัย เช่นลุยป่า งานแอดเวนเจอร์ ที่เราอาจจะเจอกับสิ่งต่างๆ จากสถานการณ์ซึ่งไม่ใช่แค่สภาพในเมือง กล้องของ Oukitel WP19 จึงมีการใส่ตัว Night Vision IR Emitter มาเพื่อจับโฟกัสวัตถุในสภาพมืดมากๆ มาให้ใช้งานกันด้วย จะทำงานเมื่อเราเปิดกล้องโหมด Night Vision ในที่แสงน้อยขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

รองรับโหมดถ่ายรูปใต้น้ำ โหมดมาโคร และโหมดกลางคืน กล้องถือว่ามาครบหมด และมีความพิเศษครับ

โดยเฉพาะในที่มืดสนิท ตัว Night Vision IR Emitter สามารถจับภาพในสภาพที่ไร้แสงได้เหมือนแว่นมองกลางคืนเลยครับ

ภาพมาโครและโหมดความละเอียด 64MP ถือว่ามีคุณภาพใช้ได้เลยครับ เหมาะแล้วสำหรับการใช้ในการเดินทางท่องเที่ยว จำเป็นต้องเก็บภาพสิ่งต่างๆ ได้ในความละเอียดที่สูงและชัดเจนเป็นหลักครับ

สเปคชุดประมวลผลอยู่ในระดับปานกลาง MediaTek Helio G95 ให้ RAM 8GB และ ROM 256GB รันระบบ Android 12 สเปคไม่สูงมาก ให้ระดับการทำงานต่างๆ ลื่นไหลพอประมาณ ไม่ช้าไม่หน่วง ทำงานต่างๆ ได้ดีครับ

ระบบภายในเป็น Android 12 ทำงานได้ทุกอย่างตามความสามารถของระบบ Android แต่ภายใน Oukitel WP19 จะมีการออกแบบมาเป็นพิเศษให้เหมาะสมกับการทำงานของสาย Rugged Phone โดยเฉพาะเพิ่มเติม

มีโหมดการทำงานที่จำเป็นต่อสถานการณ์เช่น เปิดไฟแฟลชเป็นสัญญาณไฟเมื่อมีสายเรียกเข้า, ยกเครื่องขึ้นแนบหูเพื่อรับสายอัตโนมัติทันที, ปุ่มเปิดไฟฉายด่วน, การส่งขอความช่วยเหลือ SOS โดยการกดปุ่ม Smart Key ค้างไว้ เป็นต้น

การตั้งหน้าที่ของปุ่ม Smart Key ทำได้หลายหน้าที่ครับ กำหนดไว้ได้ทั้งการกดครั้งเดียว กดสองครั้ง และแบบกดค้างไว้

รองรับการรับสัญญาณวิทยุแบบไม่ต้องใช้ Internet จะใช้สายหูฟังเพื่อเป็นสายรับสัญญาณ และมีกล่องเครื่อง ToolBag เป็นแหล่งรวมเครื่องมือที่ช่วยเหลือผู้ใช้งานได้ในหลายกรณี เช่นเป็นเข็มทิศ, เป็นไฟฉาย, เป็นตัวจับเสียง, วัดองศา, วัดระดับน้ำ, เป็นแว่นขยาย เป็นต้น และตัวทำเสียงจำลอง Voice Simulation เป็นเสียงสุนัขเห่า, เสียงเครื่องยนต์ อาจจะไม่เหมือนจริงเท่าไหร่ แต่มีเสียงไซเรนและเสียงหวอขอความช่วยเหลือ ที่จะมีประโยชน์แน่นอนในบางกรณีที่ฉุกเฉินครับ

สายหูฟังและที่ชาร์จ 33W จะมีแถมมาให้ภายในกล่องของ Oukitel WP19 ครับ

Oukitel WP19 มีตัวแทนจำหน่าย Rugged Phone Thailand ที่นำเข้าสมาร์ตโฟนสายลุยรุ่นดังกล่าวมาขายไทยอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว โดยเปิดจำหน่ายในราคาพิเศษ 18,900 บาท พร้อมรับประกันให้นาน 1ปี

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและโปรโมชั่น จากลิงหน้าร้านค้าได้ที่ Shopee และ Lazada

ข่าว: รีวิว Oukitel WP19 สมาร์ตโฟนสายแกร่ง แบตใหญ่ 21,000 mAh คู่หูผจญภัย ลุยได้ทุกสภาพ มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/review-oukitel-wp19-rugged-phone/

รีวิว Skullcandy MOD เสียงคัสตอมพรีเมียม ฟีเจอร์เยี่ยม รวมมาในราคาระดับกลาง

รีวิว Skullcandy MOD เสียงคัสตอมพรีเมียม ฟีเจอร์เยี่ยม รวมมาในราคาระดับกลาง
Noppinij

Skullcandy MOD True Wireless หูฟังขนาดพกพา ที่มีความสามารถในการปรับแต่งเสียงได้ละเอียดในแบบเฉพาะบุคคลผ่านแอปพลิเคชั่นเชื่อมต่อของ Skullcandy ไมค์รับเสียงคุณภาพสูงเพื่อการสนทนาและการประชุมออนไลน์ เปิดตัวออกมาในราคาไม่แรงสำหรับวัยรุ่น จำหน่ายเมืองไทยอยู่ที่ราคา 3,590 บาท

Skullcandy MOD มีเข้ามาในตัวกล่องสี True Black ผิววัสดุพลาสติกด้าน น้ำหนักรวมเบา 54.8 กรัม จุดเด่นแรกคือภายในตัวเคสจะมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ เมื่อรวมกับแบตเตอรี่ในหูฟัง รุ่นนี้จะใช้งานได้นานรวมกันถึง 37 ชั่วโมง ตัวหูฟังใช้งานต่อเนื่องได้นานประมาณ 7 ชั่วโมง เป็นหูฟังไร้สายที่จัดอยู่ในกลุ่มแบตเตอรี่อึดได้เช่นกัน

ตัวเคสใช้พอร์ทชาร์จแบบ USB Type C รองรับการชาร์จด่วน Rapid Charge แวะชาร์จ 10 นาทีเพื่อใช้งานได้ 2 ชั่วโมง ชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มตัวเคสใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง มีไฟแจ้งเตือน LED ขนาดใหญ่ข้างพอร์ตชาร์จ จะเปลี่ยนเป็นไฟสีเขียวเมื่อชาร์จเต็ม

การออกแบบเคสเรียบ ไม่มีปุ่มสั่งงาน ฝากล่องเป็นแบบไม่มีสปริง เปิดปิดเองด้วยมือ มีการออกแบบตำแหน่งวางหูฟังแปลกดีครับ วางหูฟังด้านบนเคสโชว์ลวดลายตัวหูฟังชัดเจนเวลาวางเก็บเข้าตำแหน่งชาร์จ หยิบใช้งานง่ายเพราะไม่ต้องวางลึกลงไปในเคส

เคสตัวนี้ออกแบบมาคล้ายเป็นขาตั้งวางมือถือได้ แม้อาจจะไม่ตั้งใจแต่สามารถดัดแปลงมาใช้ได้ครับ

ตัวหูฟังเป็นแบบ In-Ear ใช้การควบคุมด้วยปุ่มกด รองรับการสั่งงานแบบกดหนึ่งครั้ง, สองครั้ง รวมถึงการกดค้างไว้ (กดสองครั้งแล้วค้างไว้เพื่อเปิดการเชื่อมต่ออุปกรณ์ใหม่) มาตรฐานงานประกอบกันน้ำ, กันฝุ่น IP55 ใส่ออกกำลังกาย โดนเหงื่อหรือโดนฝนได้ไม่เสียหาย ใช้งานได้แยกกันเพียงข้างหนึ่งข้างใดได้อิสระ เก็บเข้าเคสหรือกดสองครั้งแล้วกดค้างไว้ที่ตัวหูฟังเพื่อปิดการทำงานของหูฟังข้างที่ไม่ต้องการใช้

ทำงานผ่านสัญญาณเชื่อมต่อ Bluetooth 5.2 มีความเสถียรสูงและความหน่วงต่ำ แม้จะไม่มีโหมดเล่นเกมโดยเฉพาะแต่ก็ให้ค่าความหน่วงไม่สูงมากนักพอจะใช้งานในการเล่นเกมได้ มีความสามารถในการเชื่อมต่อได้กับสองอุปกรณ์พร้อมกัน สลับการทำงานได้ทันทีเมื่อมีสัญญาณเข้าจากอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ มีจุดเด่นคือตัวไมโครโฟนรับเสียง ใชเป็นไมค์คู่ลดเสียงรบกวน Clear Voice Smart Mic สนทนาได้ชัดเจนแม้จะอยู่ในที่สาธารณะ ออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับการโทรศัพท์, วิดีโอคอลล์, การประชุม หรือเรียนออนไลน์

Skullcandy MOD เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่มีการติดตั้งเทคโนโลยีการติดตาม Tile Finding เอาไว้ด้วยครับ ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับอีโค่ซิสเต็มของระบบระบุตำแหน่งผ่านทางแอป Tile ร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ อีกเป็นล้านเครื่องทั่วโลก ด้วยการใช้สัญญาณ BLE หรือบลูทูธพลังงานต่ำ เอาไว้ช่วยค้นหากันและกันยามทำอุปกรณ์หายได้ครับ

คุณภาพเสียง Supreme Sound จาก Skullcandy เป็นความสามารถในการปรับแต่งเสียงได้ตามใจด้วยแอปพลิเคชั่น Skullcandy (ใช้งานได้ทั้งบนระบบ iOS และ Android) ตัวแอปจะใช้งานทั้งการปรับ EQ การตั้งค่าฟีเจอร์ต่างๆ รวมถึงการอัปเดทซอฟท์แวร์ของตัวหูฟังครับ

แนวเสียงมีพลังแน่นใช้ได้ครับ ไดรเวอร์ไม่ใหญ่มาก ขนาด 6mm ไม่โดดเด่นไปในทางแหลมหรือทางเบสจัดจ้านมากๆ ปรับแต่งเสียงแล้วสามารถให้เสียงที่กลมกล่อมสบายหูดีทีเดียว แนวฟังเพลินฟังสบาย

สามารถตั้งปุ่มใช้งานได้ตามต้องการในหูฟังแต่ละข้างได้อิสระจากภายในแอป, เปิดปิดโหมด Stay Aware โหมดที่จะเพิ่มการรับรู้สิ่งรอบข้าง ใช้ไมค์รับเสียงแวดล้อมให้ผู้สวมใส่ได้ยินเพื่อความปลอดภัยเมื่อใช้ในที่สาธารณะ

สรุปท้ายรีวิว

Skullcandy MOD หูฟังวัยรุ่น งานออกแบบทะมัดทะแมงทนทาน หยิบใช้งานง่าย พกพาง่ายน้ำหนักเบา แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาว รองรับการเชื่อมต่อได้สองอุปกรณ์พร้อมกัน มีไมโครโฟนที่ดีใช้งานในการเรียนหรือประชุมออนไลน์ได้ชัดเจนแม้จะอยู่ในที่สาธารณะ ปรับแต่งแนวเสียงได้อิสระให้เสียงที่ไม่แตกไม่แหลม สบายหูทั้งแนวเสียงที่ได้และการสวมใส่ด้วยครับ

อุปกรณ์ภายในกล่อง

• ตัวหูฟังและเคส
• Ear Gels สำรองเปลี่ยนสามขนาด (S, M, L)
• สายชาร์จ USB-C
• คู่มือการใช้งานเบื้องต้น

Skullcandy MOD True Wireless ราคา 3,590บาท เปิดจำหน่ายผ่านทาง Skullcandy Official Store ใน Lazada, Shopee, Tiktok Shop, หน้าร้าน Mentagram Official Store Emporium และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

ข่าว: รีวิว Skullcandy MOD เสียงคัสตอมพรีเมียม ฟีเจอร์เยี่ยม รวมมาในราคาระดับกลาง มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/review-skullcandy-mod-true-wireless/

รีวิว Razer Naga V2 Pro เมาส์ไร้สายตัวท็อป สลับเพลตข้างได้ 3 แบบ เมาส์เดียวเข้ามือได้ทุกประเภทเกม

รีวิว Razer Naga V2 Pro เมาส์ไร้สายตัวท็อป สลับเพลตข้างได้ 3 แบบ เมาส์เดียวเข้ามือได้ทุกประเภทเกม
Noppinij

6เมาส์เกมมิ่งไร้สาย Razer Naga V2 Pro ผมว่าเมาส์ตัวนี้ถือว่าเป็นเจ้าแห่งเมาส์เกมมิ่งเลยครับ เพราะความสามารถครบที่สุด และรองรับการใช้งานหรือเล่นเกมได้ทุกแนวมากที่สุด เพราะเป็นเมาส์ที่ออกแบบมาพิเศษ สามารถเปลี่ยนเพลตด้านข้างของตัวมันเองได้ 3 ชนิด เพื่อปรับลักษณะจำนวนและตำแหน่งปุ่มควบคุมให้เหมาะสมได้หมดทุกแนวเกม

Razer Naga V2 Pro เป็นเมาส์ที่ได้รับความนิยมสูงตั้งแต่รุ่นแรกที่เปิดจำหน่ายแล้วครับ เพราะมีจุดขายสำคัญคือแผงปุ่มด้านข้าง ที่เราสามารถสลับเปลี่ยนไปมาได้ง่าย ด้วยตัวยึดแบบแม่เหล็กที่ถอดประกอบได้ทันทีโดยไม่มีขอเกี่ยวหรือตัวล็อกที่ทำให้เกิดการเสียดสีหรือต้องงัดแงะ

ชุดเพลตปุ่มกดด้านข้างจะมีมาให้ภายในกล่องสามรูปแบบที่แตกต่างกัน โดยจะมีรูปแบบ 2 ปุ่มกดที่เหมือนเมาส์เกมมิ่งทั่วไป และแบบ 6 ปุ่มกดที่เหมาะสมกับเกมที่เน้นออกสกิลแม่นๆ อย่างเกม MOBA และแบบชนิด 12 ปุ่ม เพื่อเกมที่ต้องมีช็อตคัตเยอะๆ ไว้ออกสกิลหรือตั้งปุ่มมาโครที่หลากหลาย เช่นเกม MMO หรือ FPS ที่ตั้งมาโครไว้ซื้ออาวุธในแต่ละประเภทเป็นต้น

การออกแบบตามสรีระศาสตร์ที่เยี่ยมยอดตามมาตรฐานเมาส์เกมมิ่งตัวท็อปของแบรนด์ Razer ผิวสัมผัสไม่มีคม ติดตั้งไฟ Razer Chroma RGB ที่บริเวณ Logo (และแผ่นเพรต 12 ปุ่มจะมีไฟเช่นกัน) สามารถเก็บ USB dongle ตัวเชื่อมต่อไว้ใต้ฝาเพรต ตัวน้ำหนักเมาส์รวม 134 กรัม การออกแบบสำหรับใช้งานมือขวา

อีกหนึ่งการอัปเกรดที่สำคัญในเมาส์ Naga V2 Pro คือการใช้เซ็นเซอร์ Razer Focus Pro 30K Optical Sensor โดยเซ็นเซอร์ใหม่ล่าสุดนี้จะทำให้เราสามารถนำไปใช้งานเมาส์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าเราจะนำไปใช้งานบนพื้นผิวแบบใด รวมถึงการใช้งานบนพื้นผิวกระจกด้วยครับ ยังคงแม่นยำและควบคุมเมาส์ได้ง่ายเช่นเดิม ใช้แผ่นรองใต้ฐานเมาส์เป็นวัสดุ PTFE ชนิด 100%

ปรับแต่งการใช้งานได้ละเอียดยิบ ปรับจูนค่าเซนเซอร์ให้เข้ากับพื้นผิวได้เองถ้าต้องการ มีฟังก์ชั่นช่วยในการปรับจูนเช่น Smart Tracking, Asymmetric Cut-off กำหนดค่าระยะให้เหมาะสมกับพื้นผิวได้ในโปรแกรม Razer Synapsis โหมดนี้ออกแบบมาสำหรับมืออาชีพเลยละครับ

ตัวเมาส์ยังมีหน่วยความจำภายในตัว เพื่อจดจำการตั้งค่าของปุ่มต่างๆ ในแต่ละชุดเพลตเอาไว้โดยไม่ต้องเซ็ตค่าใหม่ทุกครั้งที่สลับหรือจะใช้งาน โดยจะแยกจดจำเอาไว้ทั้งสามเพลต และยังเก็บเป็นพรีเซ็ตโฟรไฟล์ไว้ได้ในหน่วยความจำของตัวเมาส์โดยตรงได่ถึง 5 โปรไฟล์ เราสามารถกดสลับโปรไฟล์ที่เราเซ็ตไว้จากปุ่มด้านล่างของเมาส์ได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านโปรแกรมในคอมพ์พิวเตอร์ครับ

การตั้งค่าต่างๆ ของแต่ละปุ่ม รวมถึงการเซฟโปรไฟล์ลงไปเก็บที่ตัวเมาส์ สามารถทำได้ผ่านโปรแกรม Razer Synapsis ตัวเดียวจบเช่นเดิมครับ ทั้งการปรับแต่งสีไฟ รวมถึงการอัปเดตเฟิร์มแวร์ระบบของเมาส์ด้วยเช่นกัน

และอีกหนึ่งจุดเด่นพิเศษ คือการออกแบบตัวแป้นหมุนด้านบนที่เราสามารถปรับระดับแอ็กชันสัมผัสจากการหมุนได้เองครับ ผู้ใช้สามารถสลับการใช้งานได้จากการตั้งค่าการหมุนแป้น 6 โหมด

โดยในแต่ละโหมดจะให้สัมผัสการตอบสนองจากตัวหมุนแตกต่างกัน ตั้งแต่เรียบลื่น, แยกเป็นลำดับชัดเจน, หรือแบบ Adaptive ที่จะปรับให้แรงต้านทำให้หมุนเร็วขึ้นด้วยการปรับระดับไปตามแรงหมุนของนิ้ว และโหมด Free ที่จะให้หมุนได้ลื่นไหลได้เร็วที่สุด และสุดท้ายคือโหมด Custom ที่ผู้ใช้สามารถปรับระดับความลื่นไหลและการตอบสนองได้เอง

และมีการใช้ตัวสวิตช์ปุ่มกดแบบ Razer Optical Mouse Switches Gen-3 ที่พัฒนามาจนเป็นสวิตช์ที่ใช้เวลาในการรับรู้การกดได้เพียง 0.2 มิลลิวินาที และไม่มีอาการหน่วงจากการเด้งกลับของปุ่มเลย ทำให้กดได้ถี่ กดได้รัว เสียงเพราะด้วยครับ “กิ๊ก” เบาๆ ใช้ระบบตรวจสอบแรงกดผ่านแสงอินฟราเรดจึงไม่เกิดปัญหาการคลิ๊กซ้อนนิ้วลั่นโดยที่เราไม่ตั้งใจ และทาง Razer การันตีความทนทาน ด้วยคุณภาพปุ่มที่รองรับกดได้มากกว่าเดิมที่ 90 ล้านครั้ง – – กดจนนิ้วพังเมาส์ยังไม่เป็นไรเลยครับ

ในด้านการเชื่อมต่อทำมารองรับสามระบบทั้งแบบไร้สายและแบบเสียบสายครับ โดยเมาส์ Naga V2 Pro ใช้การเชื่อมต่อแบบไร้สายได้ใน 2 เทคโนโลยี

HyperSpeed Wireless เทคโนโลยีเฉพาะตัวเก่งของ Razer ที่ทำให้ Naga V2 Pro สามารถรับส่งข้อมูลในแบบไร้สายระดับสูง ความหน่วงต่ำ เป็นเทคโนโลยีไร้สายเพื่อการเล่นเกมโดยเฉพาะ สามารถตรวจจับและสลับช่องความถี่สัญญาณได้แบบ Adaptive เพื่อหลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่มีสัญญาณรบกวนอยู่มากได้ทันที

เทคโนโลยี Razer HyperSpeed จะใช้ตัวรับสัญญาณที่เป็นลักษณะ USB dongle ซึ่งมีมาให้ภายในกล่อง มีความสามารถในการเชื่อมต่อไร้สายได้กับอุปกรณ์เรเซอร์หลายอุปกรณ์ได้พร้อมกันด้วยตัวรับเพียงตัวเดียว ช่วยให้ผู้ใช้งานที่มีคีย์บอร์ดเทคโนโลยี Razer HyperSpeed อยู่ด้วย สามารถเชื่อมต่อร่วมกับ Naga V2 Pro ได้ผ่าน USB dongle ตัวเดียวกัน เป็นการช่วยลดการใช้พอร์ต USB บนเครื่อง PC, Notebook ลงได้

และการเชื่อมต่อผ่าน สัญญาณบลูทูธเพื่อการใช้งานแบบอเนกประสงค์ และสามารถเชื่อมต่อแบบเสียบสายเคเบิล SpeedFlex USB Type C ที่มีมาให้ภายในกล่อง เป็นสายที่ออกแบบมาแบบไร้แรงต้าย และสามารถชาร์จไฟไปได้พร้อมกันในขณะเล่นเกม

เมาส์ Naga V2 Pro สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ทั้งแบบเสียบสาย USB และชาร์จไร้สายได้ในมาตรฐาน Qi แต่ต้องมีอุปกรณ์เสริมนั้นคือ Razer Wireless Charging Puck ที่สามารถเปลี่ยนกับฝาปิดด้านล่างของตัวเมาส์ ซึ่งมีจำหน่ายมาคู่กันเป็นแพ็กเกจ

และในชุดจำหน่ายยังมีแพ็กเกจที่มากับ Razer Mouse Dock Pro ซึ่งเป็นฐานชาร์จไร้สายที่ออกแบบมาให้ใช้คู่กันเพื่อความสวยงาม และยังทำหน้าที่เป็นตัวรับสัญาณไร้สายจากตัวเมาส์เข้าสู่คอมพิวเตอร์ได้แทน USB dongle ได้ในตัว แต่จะเป็นเทคโนโลยีที่ดีกว่าและมีความเสถียรที่สูงกว่าครับ โดยตัวแบตเตอรี่ของ Naga V2 Pro สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวกว่า 15 ชั่วโมงเมื่อเชื่อมต่อผ่านสัญญารไร้สาย HyperSpeed Wireless และสามารถใช้งานได้นานถึง 300 ชั่วโมงเมื่อเชื่อมต่อบลูทูธ

สรุปท้ายรีวิว

Naga V2 Pro เป็นเมาส์เกมมิ่งแบบตัวเดียวจบ ด้วยอุปกรณ์ต่อพ่วงจากเพลตข้าง 3 ชิ้น ปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมได้ลหลากหลาย นำไปเลือกใช้งานได้เองทั้งในการเล่นเกมรวมถึงการทำงานต่างๆ ด้วยครับ ไม่ว่าจะใช้ในด้านครีเอเตอร์ตัดต่อวีดีโอหรือแต่งภาพ รวมถึงโปรแกรมเอกสารไฟล์งานต่างๆ เพราะมีปุ่มที่ตั้งโปรแกรมได้เยอะและหลายแบบ และเทคโนโลยีการเชื่อมต่อไร้สาย Razer HyperSpeed Wireless ก็รวดเร็วในระดับเพื่อการเล่นเกมได้โดยตรง

แป้นหมุน Razer HyperScroll Pro Wheel รุ่นใหม่ ปรับเปลี่ยนเมาส์ตัวนี้ให้ลูกกลิ้งตอบสนองได้แบบที่เราชอบใจ ปรับได้เองอิสระอย่างมากครับ เซนเซอร์ด้านล่าง Razer Focus Pro 30K Optical Sensor มีความแม่นยำ และใช้งานได้หลากหลายพื้นผิว พกพาไปใช้งานในที่ต่างๆ ไม่เจอปัญหา รองรับการชาร์จไฟหลายรูปแบบทั้งเสียบสายหรือชาร์จไร้สายได้เมื่อมีอุปกรณ์เสริม Razer Wireless Charging Puck

ความทนทานสูง Razer Optical Mouse Switches Gen-3 ใช้งานได้มากกว่า 90ล้านครั้ง แ Naga V2 Proละการรับประกันจาก Razer ที่ยาวนานสองปี ใช้กันได้ยาวคุ้มกับราคาครับ

Razer เปิดจำหน่ายในราคา 179.99 ดอลลาร์ และแบบแพ็กเกจพร้อมตัวอุปกรณ์เสริม Razer Wireless Charging Puck 199.99 ดอลลาร์ และแพ็กเกจใหญ่สุด Razer Naga V2 Pro + Mouse Dock Pro Bundle ที่จะมี Razer Wireless Charging Puck มาให้ด้วย ในราคา 249.98 ดอลล่าร์

ข้อมูลเพิ่มเติมของ Razer Naga V2 Pro ดูได้ ที่นี่

ข่าว: รีวิว Razer Naga V2 Pro เมาส์ไร้สายตัวท็อป สลับเพลตข้างได้ 3 แบบ เมาส์เดียวเข้ามือได้ทุกประเภทเกม มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/review-razer-naga-v2-pro-gaming-mouse/