คลังเก็บป้ายกำกับ: WRISTBAND

IDC เผยตลาด Wearable ในไทยโตขึ้น 47.3% ยอดขายรวมกันเกือบ 3.5 ล้านเครื่อง

International Data Corporation หรือ IDC ได้ออกมาเปิดเผยรายงานยอดส่งออกของอุปกรณ์สวมใส่ Wearable ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มหูฟังไร้สาย สมาร์ทวอทช์ ไปจนถึงสายรัดข้อมืออัจฉริยะต่าง ๆ ของประเทศไทยประจำปี 202o ที่ผ่านมา พบว่าตลาดมีการเติบโตสูงขึ้นกว่าเดิม 47.3% ส่งออกไปทั้งสิ้นกว่า 3.46 ล้านเครื่อง แม้ว่าปีที่ผ่านมา (รวมถึงปีนี้) จะเจอกับสถานการณ์ระบาดของโรค COVID-19 เข้าอย่างจัง

ไฮไลท์หลัก ๆ จะอยู่ที่อุปกรณ์ในกลุ่ม Earwear หรือจำพวกหูฟังไร้สายต่าง ๆ ที่มียอดขายพุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมาก โดยยอดขายในปี 2020 ที่ผ่านมา ถือว่าเยอะกว่าเดิมเมื่อเทียบกับปี 2019 ก่อนหน้าถึง 97% เลยทีเดียว ซึ่งตรงนี้มาจากการที่แบรนด์จีนส่วนมากเริ่มกระโดดมาร่วมวงตลาดหูฟัง TWS กับเขาบ้างแล้ว ทำให้มีหูฟัง TWS สเปคดี ๆ ราคาไม่แพงเกิดขึ้นมา เพิ่มตัวเลือกให้กับผู้บริโภคได้เลือกใช้ตามความชอบและงบประมาณในกระเป๋าตังค์

อีกหนึ่งอุปกรณ์ Wearable ที่มาแรงสุด ๆ ในปีที่ผ่านมาก็คือ Wristband หรือพวก Fitness Band สายรัดข้อมืออัจฉริยะต่าง ๆ ที่ดูเหมือนว่าหลายแบรนด์จะตื่นตัว หันมาเปิดตัวสินค้าของตัวเองเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดอย่าง Mi Band ของ Xiaomi กันบ้างแล้ว โดยปัจจุบันเราจะเห็นว่า ตอนนี้ตลาด Wristband มีออฟชั่นให้เลือกเยอะมาก ๆ ทั้ง Mi Band, HUAWEI Band, OPPO Band, Galaxy Fit 2 หรือ Fitbit Charge 4

ส่วนสถานการณ์ของสมาร์ทวอทช์ในปี 2020 กลับมียอดขายที่น้อยกว่ากลุ่ม Fitness Band ซึ่งตรงนี้เข้าใจได้ว่า ราคาค่าตัวของนาฬิกาอัจฉริยะส่วนมากนั้นยังสูงเกินไปสำหรับผู้บริโภคบางกลุ่มอยู่ อีกทั้งฟีเจอร์ของ Fitness Band ในปัจจุบัน ก็แทบจะมีทุกอย่างเหมือนกับสมาร์ทวอทช์ราคาดี ๆ แล้ว ทั้งนี้ แม้ว่ายอดขายจะสู้ Wristband ไม่ได้ แต่หากเทียบยอดขายกับปี 2019 แล้ว สินค้ากลุ่มสมาร์ทวอทช์ก็ยังมีแนวโน้มเติบโตอยู่เหมือนกัน

ยอดส่งออกอุปกรณ์ Wearable ในไทย (ประจำปี 2020)
ประเภท ยอดส่งออก 2020 ส่วนแบ่งตลาด 2020 ยอดส่งออก 2019 ส่วนแบ่งตลาด 2019 ความเปลี่ยนแปลง 
Earwear (หูฟัง) 1.309 ล้านเครื่อง 37.8% 6.64 แสนเครื่อง 28.3% โตขึ้น 97%
Wrist Band (สายรัดข้อมือ) 1.080 ล้านเครื่อง 31.2% 7.33 แสนเครื่อง 31.2% โตขึ้น 47.3%
Watch (สมาร์ทวอทช์) 1.070 ล้านเครื่อง 30.9% 9.5 แสนเครื่อง 40.5% โตขึ้น 12.6%
ยอดรวม 3.459 ล้านเครื่อง 100% 2.347 ล้านเครื่อง 100% โตขึ้น 47.3%

 

โดยทาง IDC เผยว่า ยอดส่งออกของอุปกรณ์ Wearable ต้องเจอเข้ากับตออย่างจังในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี เนื่องจากการกลับมาของ COVID-19 ที่กลับมาระบาดอีกครั้ง ทำให้ไม่ค่อยมีใครจับจ่ายซื้อสอยสินค้าในกลุ่มนี้มากนัก

 

ที่มา: IDC

 

from:https://droidsans.com/idc-report-wearable-market-thailand-rose-by-almost-50-percent/

ฉลากใหม่ Coca-Cola ดึงออกเป็น Wristband เข้างาน Music Festival ในโรมาเนีย

แบรนด์น้ำดำนั้นต้องแข่งขันกันสร้างนวัตกรรมขวดแบบใหม่ตลอดเวลา ล่าสุด Coca-Cola หันมาเพิ่มลูกเล่นให้ฉลากติดขวด สามารถดึงออกมาเป็น wristband สวมใส่เล่นได้ แถมทุกคนยังสามารถร่วมสนุกกับกิจกรรมด้วยการสแกนโค้ดบน Wristband เพื่อเข้างานแฟร์ดนตรีในโรมาเนีย ทั้งหมดนี้ทำได้ด้วยสมาร์ทโฟนของตัวเอง

ฉลากที่สามารถดึงออกมาเป็น wristband สวมข้อมือนี้ถูกยกเป็น packaging innovation ที่มีไอเดียล้ำเลิศของ Coca-Cola เพราะไอเดียนี้มีต้นทุนต่ำ และเข้ากับไลฟ์สไตล์ของวัยรุ่นโรมาเนียที่ชื่นชอบงานแฟร์ดนตรีจริงจัง

ข้อมูลระบุว่า wristband นี้ถูกออกแบบโดยเอเจนซี่ McCann Bucharest มีทั้งหมด 8 แบบให้เลือกสะสม และไม่ใช่ทุกคนจะสามารถใช้ wristband นี้เข้างานได้หมด แต่ผู้สนใจจะต้องใช้สมาร์ทโฟนเปิดแอปพลิเคชันของ Coca-Cola เพื่อส่งบาร์โค้ดร่วมกิจกรรม ผู้ชนะเท่านั้นที่จะได้สิทธิ์เข้างาน

เอเจนซี่ McCann เชื่อว่า วัยรุ่นจะเริ่มสะสมและสวม wristband นี้จริงจัง ขณะเดียวกัน Coke ก็ร่วมมือกับพันธมิตรผู้จัดงาน music festival หลายงานหลักในโรมาเนีย หนึ่งในนั้นคือบริษัท Transylvania ผู้จัดงาน Untold Festival ซึ่งได้รับรางวัล Best Major European Festival จากเวทีประกาศรางวัล European Festival Awards

McCann ให้ข้อมูลเบื้องต้นว่าแคมเปญนี้สามารถเข้าถึงวัยรุ่นโรมาเนียได้มากกว่า 75% ส่งให้ยอดขายเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นมากกว่า 11% ซึ่งไม่ธรรมดาเลย

ที่มา: Adweek

 
Source: thumbsup

from:http://thumbsup.in.th/2017/05/coca-cola-bottle-labels-wristband/

BACtrack เปิดตัวสายนาฬิกา Apple Watch ที่สามารถวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดได้

BACtrack-Skyn

ย้อนกลับไปในเดือนพฤษภาคมของปีที่แล้ว BACtrack ได้เปิดตัว Skyn สายรัดข้อมือที่มาพร้อมเครื่องมือวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือด ซึ่งช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถรับรู้ได้ว่าตัวเองดื่มแค่ไหนควรจะพอ หรือทราบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดระหว่างออกไปปาร์ตี้กับเพื่อนๆ และ BACtrack Skyn ยังได้รับรางวัลจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติในสหรัฐฯ มาการันตีอีกด้วย

BACtrack-Skyn-apple-watch-band

ล่าสุด BACtrack ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาในรูปแบบของสายนาฬิกาสำหรับ Apple Watch โดยยังคงจุดเด่นในการวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือด หรือถ้าคุณไม่มี Apple Watch ก็สามารถใช้เป็นสายรัดข้อมือทำงานแบบ Standalone ได้เช่นเดียวกัน แต่คุณก็ต้องมี iPhone ไว้อ่านค่าที่วัดได้จาก BACtrack Skyn

BACtrack_Skyn

เดิมที BACtrack Skyn ตั้งเป้าวางจำหน่ายไว้ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2016 แต่ล่าสุดมีการพัฒนามากขึ้น พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ให้ใช้งานเป็นสายนาฬิกาสำหรับ Apple Watch ได้ด้วย จึงมีการเลื่อนมาวางจำหน่ายในไตรมาสที่ 2 หรือ 3 ของปี 2017 คาดว่าจะมีราคา 99 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือ ราว 3,540 บาท

ที่มา – BACtrack

from:http://www.flashfly.net/wp/?p=169633

สายดื่มต้องมี!! BACtrack Skyn สายรัดข้อมือวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือด

BACtrack บริษัทจากเมืองซานฟรานซิสโก ซึ่งรู้จักกันดีในฐานะผู้ผลิต Breathalyzer หรือ เครื่องเป่าแอลกอฮอล์ พัฒนาสายรัดข้อมือดิจิตอล BACtrack Skyn จนสามารถคว้ารางวัลกว่า 7.14 ล้านบาท จากการแข่งขันอุปกรณ์วัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือด ซึ่งจัดขึ้นโดยสถาบันสุขภาพแห่งชาติในสหรัฐฯ

bactrack-skyn

BACtrack Skyn มีดีไซน์เหมือนสายรัดข้อมือดิจิตอลสำหรับติดตามสุขภาพทั่วไป แต่มันสามารถตรวจจับเหงื่อเพื่อนำไปหาค่าแอลกอฮอล์ได้ โดยผ่านกระบวนการที่คล้ายเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิง ซึ่งให้ความแม่นยำกว่าอุปกรณ์วัดแอลกอฮอล์แบบเดิม

คุณสามารถสวมใส่ BACtrack Skyn ในระหว่างออกไปปาร์ตี้กับเพื่อนๆ ได้อย่างไร้กังวล ไม่ต้องมาคอยจำว่าคุณได้ดิ่มไปกี่แก้วแล้ว เพราะ BACtrack Skyn จะช่วยเตือนคุณได้ ถ้าคุณได้รับปริมาณแอลกอฮอล์มากจนเกินไป

อย่างไรก็ตาม BACtrack Skyn ยังไม่สามารถนำมาใช้งานแทนที่ Breathalyzer ที่ตำรวจใช้งานอยู่ในปัจจุบันได้ เพราะมันต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์หาระดับแอลกอฮอล์นานถึง 45 นาที นอกจากนำไปใช้ในกรณ๊พิเศษ หรือใช้กับงานวิจัย เพราะ BACtrack Skyn สามารถหาค่าปริมาณความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดได้อย่างแม่นยำ BACtrack Skyn มีแผนวางจำหน่ายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2016

ที่มา –  engadget 

from:http://www.flashfly.net/wp/?p=146468

รีวิว : Jawbone – UP24

สำหรับ Jawbone – UP ชื่อนี้หลายคนอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว ซึ่งเราก็เคยรีวิวไปแล้วเช่นกัน ครั้งนี้ Jawbone ปรับปรุงและออก activity tracker รุ่นใหม่ในนาม UP24

สำหรับ Jawbone – UP24 รูปร่างหน้าตาของตัวเครื่องทำเหมือนรุ่นแรกคือเป็นกำไลสำหรับใส่ข้อมือ บนตัวเครื่องไม่มีหน้าจอแสดงผลใด ๆ มีเพียงไฟแสดงสถานะต่าง ๆ 2 แบบคือเป็นรูปพระอาทิตย์และพระจันทร์เพื่อให้เราทราบว่าเครื่องอยู่ในโหมดไหน บนตัวกำไลมีปุ่มกดอยู่เพียงปุ่มเดียวเช่นเดิม โดยการกดใช้งานมีตั้งแต่กด 1 ครั้ง กด 2 ครั้ง และกด 3 ครั้ง แล้วแต่ว่าจะใช้ฟีเจอร์ไหน และมีระบบสั่นในตัวเช่นเดิม

jawbone-up-24_01

jawbone-up-24_02

 

จุดต่างระหว่าง Jawbone – UP รุ่นแรกกับ Jawbone – UP24 รุ่นใหม่หลัก ๆ คือ Jawbone – UP24 เพิ่มการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 4.0 เข้ามา จุดนี้ช่วยให้การใช้งานสะดวกขึ้น นอกจากนั้นก็จะมีบริเวณหัวแจ็กสำหรับชาร์จไฟของ Jawbone – UP24 มีขนาดเล็กกว่ารุ่นแรกทำให้ใช้งานหัวอแดปเตอร์ชาร์จไฟร่วมกันไม่ได้

jawbone-up-24_03

ซ้าย : Jawbone – UP รุ่นแรก / ขวา : Jawbone – UP24

 

กล่องของ Jawbone – UP24 เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่เป็นกล่องพลาสติกขนาดใหญ่มาเป็นแพ็กเกจที่ใช้กระดาษรีไซเคิลภายในกล่องนอกจากตัว Jawbone – UP24 ก็จะมีหัวอแดปเตอร์สำหรับชาร์จไฟ ซึ่งเราสามารถนำไปเทียบกับอแดปเตอร์ชาร์จไฟของโทรศัพท์ก็ได้หรือจะเสียงชาร์จกับคอมพิวเตอร์ก็ได้เช่นกัน ส่วนขนาดของ Jawbone – UP24 มีให้เลือก 3 ขนาดด้วยกันคือ S, M และ L ส่วนเรื่องสีสันของตัวกำไลในไทยปัจจุบันมีขาย 2 สีคือสีดำและสีส้ม

jawbone-up-24_22

 ด้านการใช้งานของ Jawbone – UP24 หลังจากที่เราได้แกะกล่องเรียบร้อยก็จัดการเซ็ทอัพให้ตัวกำไลกับแอป UP รู้จักกัน ในขั้นตอนนี้ไม่ยากอะไร (เครื่องที่รองรับการใช้งาน Bluetooth 4.0 ได้แก่ iPhone 4s ขึ้นไป, iPad 3 ขึ้นไป, iPod touch 5th Gen ขึ้นไป) หลังจากนั้นเราจะเห็นหน้าจอหลักของแอป UP โดยเราสามารถปรับเปลี่ยนเป้าหมาย (Goal) ในส่วนของการนอนและการเดินได้ว่าเราตั้งใจจะนอนให้ได้วันละกี่ชั่วโมงและอยากจะเดินหรือวิ่งสักกี่ก้าวในแต่ละวัน ในจุดนี้สำหรับคนที่ยังไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนแนะนำให้ตั้งค่าเกี่ยวกับการเดินแต่พอเหมาะก่อนที่ประมาณ 5,000 – 7,000 ก้าว ถ้าเราทำได้แล้วติดต่อกันสัก 3 วัน 5 วันค่อยมาเปลี่ยนให้ตัวเลขเพิ่มขึ้นก็ได้ ไม่ออย่างนั้นตั้งไว้สูง ๆ แต่แรกเดี๋ยวจะท้อไปเปล่า ๆ สำหรับตัวเลขการวัดค่าต่าง ๆ จะเป็นการคำนวณแบบคร่าว ๆ ไม่ได้เป๊ะหรือตรงสุด ๆ นะครับ ซึ่ง Activity Tracker ทุกยี่ห้อก็น่าจะมีสูตรคำนวณที่ใกล้เคียงกัน

jawbone-up-24_04

jawbone-up-24_07

แท่งกราฟสีม่วงเกี่ยวกับการนอน แท่งกราฟสีส้มคือกิจกรรมต่าง ๆ ระหว่างวัน

 

ในส่วนของการตั้งค่าอื่น ๆ นอกเหนือจากข้างต้นในแอป UP ก็จะมีส่วนเสริมอื่น ๆ อย่างเช่นการตั้งค่านาฬิกาปลุก โดยเมื่อถึงเวลาที่เราตั้งไว้ตัว Jawbone – UP24 ก็จะทำการสั่นได้ด้วย

jawbone-up-24_14

การใช้งานในชีวิตประจำวันถ้ากลัวว่าใส่แล้วจะดูเด่นก็ให้เลือกซื้อสีดำให้กลืน ๆ ไปกับข้อมือของเรา โดยการนับก้าวเดินตัวเครื่องจะนับให้อัตโนมัติ ส่วนถ้าเรามีกิจกรรมอื่นเช่นออกกำลังกาย วิ่ง ยกน้ำหนัก ตีเทนนิส เตะบอล และอื่น ๆ เหล่านี้เมื่อเราเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมเสร็จเรียบร้อยเราสามารถมาเพิ่มข้อมูลเข้าไปในแอปได้ด้วยว่าเราวิ่งไปเมื่อตอนกี่โมง วิ่งไปกี่นาที จะทำให้เราทราบได้ว่าข้อมูลในช่วงเวลานั้น ๆ แยกออกมาต่างหากได้ด้วย

jawbone-up-24_06

jawbone-up-24_10

 

สำหรับการใส่นอนที่แสดงผลเป็นแท่งกราฟสีฟ้าเข้มและฟ้าอ่อนเพื่อทำให้เราทราบข้อมูลการหลับของเราว่าเป็นอย่างไรตัว UP ทำได้ดีมาตั้งแต่รุ่นที่แล้ว พอมาถึง Jawbone – UP24 ก็ไม่ได้ติดปัญหาอะไรยกเว้นในแอปที่มีการเปลี่ยนคำศัพท์นิดหน่อยมาสักพักหนึ่งแล้วจากคำว่า Deep Sleep เป็น Sound Sleep (แท่งกราฟสีฟ้าเข้ม) ซึ่งถ้าคนที่ไม่เคยใช้มาก่อนอาจจะเข้าใจผิดว่า Sound Sleep คือหลับแล้วมีเสียงกรนหรือกระไร ในความหมายของ Sound Sleep ถ้าไปเปิดพจนานุกรมจะพบความหมายว่าหลับสนิท จุดนี้ต้องมาบอกกันไว้เผื่อจะมีคนเข้าใจผิด

jawbone-up-24_11

jawbone-up-24_12

 

และสำหรับคนที่อยากรู้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเรามากขึ้นไปอีกในแอป UP ก็ยังเตรียมส่วนที่ให้เราใส่ข้อมูลด้านอาหารที่เรากินเข้าไปได้ด้วย โดยเราสามารถเลือกรายชื่ออาหาร (ภาษอังกฤษ) จากฐานข้อมูลใน UP เองทีละอย่าง หรือถ้าเป็นพวกขนม นม เนย เราสามารถใช้วิธีสแกนบาร์โค้ดข้างฉลากก็ได้ ในเรื่องของการสแกนบาร์โค้ดจากที่ลองถ้าเป็นสินค้าไทยยังไม่เจอรายชื่ออาหารในฐานข้อมูลของอัพ ที่สแกนบาร์โค้ดแล้วเจอเท่าที่ผมมีเป้นมาม่า คือขึ้นมาถูกต้องด้วยว่าเป็น Instant Noodle นอกนั้นผมไม่เจอว่าบาร์โค้ดอาหารจะมีในฐานข้อมูล ส่วนอาหาร ขนม ที่เป็นของนำเข้าจากต่างประเทศจากที่ลอง 5 อย่างสแกนเจอ 4 อย่าง สำหรับการเพิ่มข้อมูลอาหาร ตัวผมเองทำไม่ได้ตลอด มีทำบ้างไม่ทำบ้าง จุดนี้แล้วแต่ความเคร่งของแต่ละคนว่าจะใส่สม่ำเสมอหรือไม่

jawbone-up-24_13

 

 

 

ส่วนเสริมอื่น ๆ คือ Jawbone – UP24 สามารถใช้งานร่วมกับแอปด้านสุขภาพและออกกำลังกายอื่นได้ด้วย อาทิ Strava, MyFitnessPal, RunKeeper, Wello, Withings, Lose It และยังมีแอปอื่น ๆ ที่รองรับอีกหลายแอป

jawbone-up-24_15

 

จากที่ผมลองเชื่อมต่อแอป UP กับแอป Strava Running and Cycling เวลาเราเปิดใช้แอป Strava เพื่อจับเวลาการวิ่งพอเราวิ่งเสร็จข้อมูลที่อยู่ใน Strava จะเข้ามาอยู่ในแอป UP โดยอัตโนมัติพร้อมกับรายละเอียดต่าง ๆ ว่าเราวิ่งหรือเดินไปกี่นาที ระยะทางเท่าไหร่ (เที่ยงตรงเพราะใช้ GPS วัดระยะทาง) ใช้พลังงานไปประมาณเท่าไหร่ และจะมีบอกด้วยว่านำข้อมูลมาจากแอปอะไร

jawbone-up-24_16

jawbone-up-24_17

jawbone-up-24_18

 

การกันน้ำของ Jawbone – UP24 ยังอยู่ในระดับการกันน้ำทั่วไปในชีวิตประจำวันเช่นเดิม เช่นใส่ตอนล้างมือ ล้านจาน โดนฝนได้ แต่การจะพาไปว่ายน้ำด้วยอันนี้ไม่แนะนำเพราะ Jawbone – UP24 ไม่ได้กันน้ำถึงระดับนั้น ข้อควรระวังการใช้ Jawbone – UP24 ก็เช่นเดิมคือระวังเรื่องฝาปิดบริเวณหัวแจ็คเสียบชาร์จไฟก็ขอให้ปิดให้สนิทจริง ๆ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวน้ำเข้าไปถึงข้างในแล้วจะแย่

แบตเตอรี่ของ Jawbone – UP24 พอปรับมาใช้ Bluetooth 4.0 เป็นตัวซิงค์ข้อมูลทำให้ระยะเวลาการใช้งานตามสเป็คลดลงมาจากรุ่นเดิม 10 วันเหลือ 7 วัน จากที่ลองพบว่าสามารถใช้งานได้ตามสเป็คจริงด้วยการชาร์จไฟเพียงครั้งเดียว ทั้งนี้ระยะเวลาการใช้งาน 7 วันบางช่วงถ้าเรามีการเดินเยอะทำกิจกรรมเยอะระยะเวลาก็อาจจะน้อยกว่า 7 วันก็ได้หรือถ้าไม่ค่อยได้ทำอะไรมากไม่ได้ออกกำลังกายหรือบางวันลืมใส่บ้างก็อาจจะใช้งานได้นานกว่า 7 วัน

จากที่ได้ใช้ Jawbone – UP24 คือสะดวกขึ้นกว่ารุ่นเดิมตรงที่มี Bluetooth 4.0 เข้ามาซิงค์ข้อมูลการใช้งาน ไม่ต้องเปิดฝาแล้วเอาตัวเครื่องมาจิ้มกับโทรศัพท์เพื่อซิงค์ข้อมูลในแต่ละครั้ง ภาพรวมของ Jawbone – UP24 ยังคงคอนเซ็ปท์การใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป ไม่ได้เน้นไปที่กลุ่มชอบออกกำลังกายเยอะ ๆ เหมือนของไนกี้

 

jawbone-up-24_19

 

ตัว Jawbone – UP24 รวมถึง Activity Tracker ยี่ห้ออื่นไม่ได้เหมาะกับทุกคน คือซื้อมาใส่ก็ไม่ได้หมายความว่าน้ำหนักเราจะลด เพียงแต่ตัว Activity Tracker จะคอยเก็บข้อมูลให้เราทราบว่าในแต่ละวันเราเป็นยังไงบ้าง ซึ่งถ้าเป็นคนที่ชอบทำกิจกรรมเป็นทุนเดิมอยู่แล้วบ้างการใช้ Activity Tracker อาจจะเข้ากันได้ดีกับชีวิตประจำวันของเรา ส่วนถ้าเป็นคนที่คาดหวังว่า Activity Tracker จะทำอะไรล้ำ ๆ เลิศ ๆ ได้ หรือคาดว่าจะช่วยให้เรากลายเป็นคนผอมได้ ช่วยให้วิ่งเร็วขึ้นได้ แต่ตัวเองไม่ได้เป็นคนมีกิจกรรมอะไรเลยคิดว่า Activity Tracker คงไม่ได้เหมาะการกับเสียเงินซื้อมาใช้สักเท่าไหร่

 

จุดสังเกต

  • มี Bluetooth 4.0 ช่วยเรื่องการซิงค์ข้อมูลไร้สาย
  • ไม่มีหน้าจอ
  • เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้ทราบชีวิตของเราในแต่ละวันทั้งกิจกรรมและการนอนหลับ
  • ตรวจสอบการนอนของเราได้
  • ราคาสูงไปนิด

 

ราคา : 6,290 บาท

 

เอื้อเฟื้ออุปกรณ์ทดสอบ : W Gadget Co.,Ltd.

LOGO_Wgadget-01

หาซื้อสินค้าได้ที่ :

  • iStudio by Copperwired
  • iStudio by Comseven
  • iStudio by SPVi
  • Power Buy
  • Power Mall (Siam Paragon & Emporium)

 

jawbone-up-24_01
jawbone-up-24_02
jawbone-up-24_03
jawbone-up-24_04
jawbone-up-24_05
jawbone-up-24_06
jawbone-up-24_07
jawbone-up-24_08
jawbone-up-24_09
jawbone-up-24_10
jawbone-up-24_11
jawbone-up-24_12
jawbone-up-24_13
jawbone-up-24_14
jawbone-up-24_15
jawbone-up-24_16
jawbone-up-24_17
jawbone-up-24_18
jawbone-up-24_19

from:http://www.siampod.com/2014/07/10/review-jawbone-up24/

AIRO สายรัดข้อมือสุดล้ำที่จับทุกพฤติกรรมเกี่ยวกับสุขภาพ

airo

ต้องบอกว่า ณ วันนี้กระแสอุปกรณ์สวมใส่อิเล็กทรอนิคส์หรือ Wearable Devices อาจจะยังไม่ร้อนแรงแบบพลุแตกในบ้านเรา แต่ในตลาดทั่วโลกจะเริ่มเห็นสินค้าประเภทนี้ออกมามากขึ้นเรื่อยๆ และดูเหมือนจะกลายเป็นกระแสหลักได้ในอีกไม่ช้า และในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ก็จะมีสายรัดข้อมือน้องใหม่ที่ล้ำสุดๆ ถึงขั้นตรวจจับได้ว่าเราทานอะไรเข้าไป!

ในปัจจุบัน หลายๆ คนคงได้มีโอกาสเห็นสายรัดข้อมืออิเล็กทรอนิคส์ที่สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหว การออกกำลังกาย รวมถึงการนอนได้ ซึ่งในบ้านเราก็ได้รับความนิยมในกลุ่มเล็กๆ และหลายๆ คนก็ชื่นชอบเพราะมันช่วยในการตรวจสอบปริมาณการนอน การเผาผลาญพลังงาน ทำให้การดูแลสุขภาพทำได้ดีขึ้นไปอีกระดับ

แต่สายรัดข้อมืออิเล็กทรอนิคส์ที่มีอยู่ในตลาดในปัจจุบันยังต้องอาศัยการป้อนข้อมูลหลายๆ อย่างด้วยตัวเอง โดยเฉพาะการรับประทานอาหารที่ต้องนั่งกดกันทีละเมนู และนี่ก็คือสิ่งที่ทีมงาน AIRO บริษัทน้องใหม่ได้ออกมาแก้โจทย์ตรงนี้เพื่อให้การตรวจตราสุขภาพสามารถทำได้แม่นยำขึ้นไปอีกระดับ

Screenshot from 2013-11-04 09:20:03

AIRO ใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า spectrometer ในการตรวจสอบการเต้นของหัวใจ, รูปแบบการนอน, การออกกำลังกาย รวมไปถึงปริมาณแคลอรี่ที่บริโภคเข้าไป โดยสามารถแยกประเภทของอาหารได้อีกด้วย โดยทีมงาน AIRO เผยว่าการตรวจจับอาหารสามารถทำได้ เนื่องจากเมื่อเราทานอาหารเข้าไป ร่างกายจะย่อยอาหารเหล่านี้และเซนเซอร์จะสามารถตรวจจับสารอาหารได้จากปริมาณของแสงที่ไหลผ่านเลือด ตัวอย่างเช่น การทานลูกอม เซนเซอร์จะสามารถตรวจจับการเพิ่มขึ้นของน้ำตาลได้อย่างชัดเจน

ทางด้านการตรวจจับการออกกำลังกายก็จะมีการประมวลผลโดยดูการเต้นของหัวใจประกอบด้วย ทำให้สามารถแยกได้ว่าเป็นการออกกำลังกายแบบจริงจัง หรือแค่การเคลื่อนไหวที่มากกว่าปกติเท่านั้น นอกจากนี้ตัวแอพพลิเคชั่นยังสามารถแนะนำได้ด้วยว่าวันไหนควรพัก หากพบว่ามีการออกกำลังกายที่มาเกินความจำเป็นแล้ว

AIRO ยังมาพร้อมกับการแนะนำในส่วนของกิจกรรมที่ควรทำหลังจากที่มีการประเมินรูปการออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร และการนอนแล้ว ซึ่งคำแนะนำโดยดูจากรูปแบบพฤติกรรมของผู้ใช้ดังกล่าวถือว่าเป็นอีกจุดเด่นที่แตกต่างจากรายอื่นๆ ในตลาด

สำหรับใครที่สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จากคลิปนี้

ความเห็นผู้แปล

สายรัดข้อมืออิเล็กทรอนิคส์นี้ถือเป็นเพียงหนึ่งในอุปกรณ์สวมใส่จำนวนมากมายที่เราจะได้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป กระแส Wearable Devices เกิดขึ้นเนื่องจากการเติบโตของเทคโนโลยีพกพา, แอพพลิเคชั่น รวมถึงไลฟ์สไตล์ของคนที่อิงกับ smart devices มากขึ้นเรื่อยๆ โดยงานวิจัยของ IMS Research ได้พยากรณ์ไว้ว่าจะมีจำนวน wearable devices ที่ถูกขายในปี 2017 สูงถึง 171 ล้านชิ้น จากเดิมเพียง 14 ล้านชิ้น ในปี 2011 ที่ผ่านมา

การขยายตัวของ wearable devices จะมีผลกระทบต่อหลายๆ อุตสาหกรรมและอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งเหมือนที่อุปกรณ์อย่าง iPhone และ iPad เคยทำมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวงการแพทย์ที่สามารถติดตามพฤติกรรมผู้ป่วยได้ใกล้ชิดและแม่นยำขึ้น หรือแม้แต่วงการโฆษณาที่สามารถรู้พฤติกรรมของผู้บริโภคและสามารถสื่อสารกับผู้บริโภคได้แบบ 1-1 อย่างแม่นยำอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ความท้าทายในอนาคตอันใกล้ไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยีแล้ว (แม้จะยังมีอีกหลายเปราะที่ต้องตอบโจทย์ให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความแม่นยำของข้อมูล หรือการเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้) แต่ความท้าทายน่าจะอยู่ที่การนำข้อมูลไปใช้ต่อมากกว่า เพราะเมื่อข้อมูลมีจำนวนมหาศาลและแตกต่างกันระดับรายบุคคล ผู้ให้บริการที่ต้องการนำเสนอบริการใหม่ๆ ที่มีความแม่นยำสูงต้องหาทางจัดการกับการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลนี้ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่นั่นก็คือโอกาสในการสร้างรายได้อย่างมหาศาลจากตลาดที่กำลังจะเติบโตอย่างรวดเร็วในอนาคตอันใกล้นี้

ที่มา: Engadget

from:http://thumbsup.in.th/2013/11/airo-health-wristband/