คลังเก็บป้ายกำกับ: WHITE_BOX_SWITCH

ลือ AWS อาจเข้าสู่ตลาด Enterprise Networking ด้วย White Box Switch และ Open Source Software

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีข่าวลือออกมาเกี่ยวกับการที่ AWS กำลังเตรียมเข้าสู่ตลาด Enterprise Networking ด้วยอุปกรณ์ White Box Switch ราคาถูก สำหรับใช้ติดตั้ง Open Source Network Software เพื่อรองรับ Software-Defined Networking (SDN) ภายในองค์กรได้ทันที

 

Credit: ShutterStock.com

 

ข่าวลือนี้เริ่มต้นที่ https://www.theinformation.com/articles/amazon-web-services-targets-cisco-in-networking โดยต้นทางระบุว่ามีแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยตัวตนได้ออกมาให้ข่าวเกี่ยวกับการที่ AWS เตรียมเข้าสู่ตลาด Enterprise Networking และทำให้หุ้นของ Cisco และ Juniper Networks ตกลงทันที

ในข่าวนั้นระบุว่ากลยุทธ์ของ AWS คือการจำหน่ายอุปกรณ์ White Box Switch ในราคาที่ถูกกว่าของคู่แข่งรายใหญ่ๆ 70-80% เพื่อให้องค์กรนำไปติดตั้ง Open Source Software ในกลุ่มที่เป็น Network Operating System ได้เอง และ AWS ก็จะมีโซลูชันสำหรับเชื่อมต่อ Software บน Switch เข้ากับบบริการ Cloud ของตน เพื่อเป็นจุดเด่นในการแข่งขันกับคู่แข่งรายใหญ่ๆ

ที่ผ่านมา AWS เองก็มีการใช้เทคโนโลยี White Box Switch ภายใน Data Center ของตนเองอยู่แล้ว และเหล่าบรรดาผู้ให้บริการ Cloud รายใหญ่ต่างก็มีเทคโนโลยีลักษณะเดียวกันทั้งหมด อีกทั้งบน Cloud เองก็ยังมีบริการเสริมต่างๆ เช่น VPN, Load Balancer และอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงไม่แปลกหากบริษัทเหล่านี้จะมีองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านระบบเครือข่าย และต้องการก้าวเข้าสู่ตลาดนี้

ในข่าวลือระบุว่าเทคโนโลยีดังกล่าวจะเปิดตัวภายใน 18 เดือนนับถัดจากนี้ และ AWS เองก็กำลังร่วมมือกับเหล่าผู้พัฒนาอุปกรณ์ White Box Switch อย่าง Celestica, Edgecore Networks และ Delta Networks เพื่อการนี้

ก็ต้องติดตามกันต่อไปครับว่าข่าวลือนี้จะเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน, การมาของผู้เล่นรายใหญ่ระดับนี้จะส่งผลต่อตลาด White Box Switch อย่างไร และสุดท้ายผู้ผลิตในกลุ่ม Enterprise Network จะรับมือกับกระแสดังกล่าวได้อย่างไร

 

ที่มา: https://virtualizationreview.com/articles/2018/07/16/aws-networking-report.aspx

from:https://www.techtalkthai.com/aws-might-enter-enterprise-networking-market-with-white-box-switch/

Canonical เปิดตัว Ubuntu Core: Deploy Server ต่างๆ ได้จาก Top-of-Rack Switch

ในงาน OpenStack Design Summit ทาง Canonical ได้ออกมาเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ใช้ Top-of-Rack Switch ในการบริหารจัดการ Server ภายในตู้ Rack ได้ เพื่อเป็นช่องทางหนึ่งในการ Deploy ระบบ Cloud ขนาดใหญ่

canonical_ubuntu_core_smart-switches-oct-2016-1

Canonical นั้นเสนอแนวทางในการนำ White Box Switch มาติดตั้ง Ubuntu Core แทนระบบปฏิบัติการสำหรับระบบเครือข่าย แล้วจึงติดตั้ง Application ต่างๆ ที่เป็น Snap Package ลงไปเพื่อให้บริการในส่วนที่ต้องการได้ตามแนวคิดของการทำ Software Defined Networking อย่างเช่น NOS/Net Snap สำหรับให้บริการด้าน Switch และ App Snap ต่างๆ เพื่อให้บริการอื่นๆ โดยในกรณีนี้ Canonical ก็แนะนำให้ติดตั้ง Component สำหรับการจัดการ Cloud ตามรูปแบบที่ต้องการไป เช่น OpenStack หรือ MaaS 2.0 ที่สามารถ Deploy Physical Server ได้ ทำให้ Switch เหล่านั้นทำงานทั้งในฐานะของ Top-of-Rack Switch และ Deployment System ไปพร้อมๆ กัน

Ubuntu Core นั้นเริ่มมี Partner มากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึง Facebook ที่พัฒนา Facebook Open Switch System (FBOSS) ระบบปฏิบัติการสำหรับ Switch ที่สามารถติดตั้งบน Ubuntu Core ได้ด้วย รวมถึง Ubuntu Core นี้ก็ยังรองรับ OpenWRT ได้ด้วยในตัวเป็นอีกทางเลือกเช่นกัน

แนวคิดการทำ Disaggregation นี้เป็นที่พูดถึงในวงการระบบเครือข่ายมานานพอสมควรแล้ว ก่อนหน้านี้การทำ Disaggregation สำหรับอุปกรณ์เครือข่ายมักจะใช้ในแนวคิดของการทำ Open Networking เพื่อให้ธุรกิจต่างๆ สามารถก้าวไปสู่การทำ Software Defined Networking ได้ด้วยการเลือกชั้นของ Hardware และ Software ได้อย่างอิสระและปรับแต่งเพื่อให้เหมาะกับการทำ Automation ในรูปแบบต่างๆ ที่ต้องการเท่านั้น แต่การนำเสนอเทคโนโลยี Ubuntu Core ครั้งนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนภาพที่น่าสนใจในฐานะของการนำ Switch มาใช้ในฐานะ Management System สำหรับ Cloud ได้เลยในตัว

ถือเป็นแนวคิดที่น่าสนใจสำหรับการทำ Software Defined Networking (SDN) ใน Cloud ที่ช่วยให้ระบบทั้งหมดมีความคุ้มค่ามากขึ้นและทำงานได้แบบ Distributed ยิ่งขึ้นอีกด้วยครับ

ที่มา: https://insights.ubuntu.com/2016/10/21/managing-your-physical-infrastructure-from-the-top-of-rack-switch/

from:https://www.techtalkthai.com/canonical-announces-ubuntu-core-to-deploy-server-from-top-of-rack-switch/

รู้จักกับ 3 เทคโนโลยีมาแรงสำหรับ Data Center ปี 2016: Disaggregation, Container และ Hyperconvergence

Credit: ShutterStock.com
Credit: ShutterStock.com

ในปี 2016 นี้ เทรนด์เทคโนโลยีในฝั่งของ IT Infrastructure ที่จะมาแรงและน่าจับตามองก็จะมีด้วยกัน 3 ตัว ได้แก่ Disaggregation, Container และ Hyperconvergence ซึ่งแต่ละตัวเป็นยังไง ทางทีมงาน TechTalkThai ก็ขอสรุปคร่าวๆ ให้อ่านเข้าใจกันได้ง่ายๆ เอาไว้ดังนี้ครับ

 

Disaggregation การแยก Software ออกจาก Hardware

คำว่า Disaggragation นี้เป็นคำที่ตรงข้ามกับคำว่า Aggregation ที่เราคุ้นเคยกันดีในการทำ Port Aggregation นั่นเอง ความหมายแบบสั้นๆ ก็คือ “การแยกออกจากกัน” ซึ่งคำๆ นี้ถูกนำมาใช้เนื่องจากการมาของ Network Software ที่มีการพัฒนา Operating System Software สำหรับนำมาใช้ทำหน้าที่ในส่วนประกอบต่างๆ ของระบบเครือข่าย และเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถนำ Hardware ที่ต้องการมาติดตั้ง Software เหล่านี้เข้าไปด้วยตัวเองได้อย่างอิสระ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของการทำ Software Defined Networking ได้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นการแยก Network Software ออกจาก Network Hardware นั่นเอง

อุปกรณ์ Hardware สำหรับติดตั้ง Network OS เหล่านี้จะถูกเรียกว่า White Box Hardware เช่น ถ้าถูกออกแบบมาสำหรับติดตั้ง Switch OS ก็จะถูกเรียกว่า White Box Switch เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันนี้ผู้ผลิตอย่าง HP, Dell, Juniper และ Supermicro ต่างก็ผลิต White Box Switch นี้ออกมาวางจำหน่ายแล้ว ซึ่งแนวคิดนี้ก็จะทำให้แต่ละบริษัทสามารถ Focus ไปกับการพัฒนาสิ่งที่ตัวเองถนัดได้มากขึ้น ในขณะที่ผู้บริโภคเองก็มีทางเลือกมากขึ้น และรองรับการเปลี่ยน Network OS โดยไม่เปลี่ยน Hardware ได้ รวมถึงในอนาคต Network OS เหล่านี้ก็จะมีบทบาทในโลกของ Virtualization, Cloud และ Container อีกด้วย

 

Container แนวทางของ IT Infrastructure ที่ตอบโจทย์ DevOps

ทางด้านของ Container ที่เป็นเทคโนโลยีคู่กับวงการ IT มาช้านาน แต่เพิ่งมีการตื่นตัวอย่างรวดเร็วด้วยการมาของ Docker เมื่อเร็วๆ นี้ ก็เป็นเทคโนโลยีที่จะช่วยให้การจำลอง Environment สำหรับให้ Application ต่างๆ สามารถทำงานได้นั้นสามารถทำได้อย่างสะดวกและง่ายดายยิ่งขึ้น โดยผู้พัฒนา Software ก็สามารถพัฒนาบน Container ที่มี Environment แบบเดียวกับระบบ Producition ได้ ทำให้การ Deliver Software หรือ Feature ใดๆ นั้นน้อยลง รวมถึงรองรับสถาปัตยกรรมแบบ Microservice สำหรับรองรับการ Scale ระบบได้อย่างรวดเร็ว

ในขณะที่มุมของผู้ดูแลระบบเองก็สามารถสร้าง Container จำนวนมากเพื่อรองรับ Load ของผู้ใช้งานได้อย่างง่ายดายโดยที่มี Overhead ของ Resource ที่น้อยกว่าระบบ Virtualization เป็นอย่างมาก รวมถึงความผิดพลาดในการกำหนดค่าต่างๆ สำหรับ Environment ที่ต้องการใช้งานก็จะมีความผิดพลาดน้อยลงด้วยแนวคิดของ Infrastructure-as-Code อีกด้วย

 

Hyperconvergence ระบบ Data Center Infrastructure สำเร็จรูปด้วย Software

หลังจากที่พิสูจน์ตัวเองมาเป็นระยะเวลา 5 ปี แนวคิดของการทำ Hyperconvergence ก็กลายเป็นที่ยอมรับของตลาดจนมาถึงจุดที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยการยุบรวมชั้นของ Server, Storage, Network และบางครั้งก็ถึงขั้นยุบรวมชั้นของ Security เข้ามาให้กลายเป็นระบบ Virtualization ทั้งหมดด้วย Software และติดตั้งลงบน Physical Server ใดๆ ก็ทำให้ Server นั้นๆ สามารถทำหน้าที่แทนทั้ง Server, Storage, Network รวมถึง Security ได้ทั้งหมดในตัวเดียว

ไม่เพียงเท่านั้น แนวคิดของ Hyperconvergence เองก็ยังเปิดให้ Server ที่ติดตั้ง Software เหล่านี้สามารถเพิ่มขยายแบบ Scale-out ได้ง่ายๆ ด้วยการเพิ่ม Server เข้ามาในระบบ และทำการติดตั้ง Software ให้เรียบร้อย จากนั้นก็เชื่อมต่อเครือข่ายเข้าถึงกัน ระบบ Hyperconvergence เหล่านี้ก็จะผสานระบบเข้าเป็นหนึ่งเดียว พร้อมให้บริหารจัดการได้จากศูนย์กลาง และรองรับประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้นตามประสิทธิภาพของ Server ที่เพิ่มเติมเข้าไปได้ทันที เป็นสถาปัตยกรรมที่ Cloud Data Center ขนาดใหญ่มักจะใช้กัน

 

ทั้งสามเทคโนโลยีนี้จะกลายเป็นสิ่งที่ผู้ดูแลระบบ IT ในองค์กรไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป และต้องเริ่มทำการศึกษาเพื่อปรับตัวให้สามารถนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้ในอนาคตอีกด้วยครับ

จริงๆ แล้วทั้งสามเทคโนโลยีนี้ให้เล่าแยกแต่ละตัวก็เล่าได้ยาวมากเลยแหละครับ แต่เพื่อไม่ให้บทความนี้ยาวจนเกินไป และไม่เกินจากจุดประสงค์แค่แนะนำให้พอรู้จักเบื้องต้น ทางทีมงาน TechTalkThai ก็ขอจบบทความนี้เอาไว้เพียงเท่านี้ก่อนครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม: http://www.networkworld.com/article/3020668/virtualization/containers-hyperconvergence-and-disaggregation-are-hot.html#tk.rss_all 

from:https://www.techtalkthai.com/introduce-disaggregation-container-and-hyperconvergence-for-data-center-in-2016/