คลังเก็บป้ายกำกับ: JOB

Facebook เตรียมจ้างงานกว่า 10,000 ตำแหน่งในยุโรป ลุยพัฒนา Metaverse

Facebook ประกาศเตรียมจ้างงานกว่า 10,000 ตำแหน่งในยุโรป ลุยพัฒนา Metaverse อย่างเต็มที่

Facebook ได้ออกมาประกาศว่าจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 10,000 ตำแหน่ง โดยเน้นทีมพัฒนาเทคโนโลยี Metaverse เป็นหลัก ที่ผ่านมา Facebook มีแนวทางชัดเจนว่าจะมีการลงทุนและพัฒนาในเทคโนโลยี Metaverse หรือเทคโนโลยีโลกเสมือน ซึ่งเป็นการผสานระหว่าง Virtual Reality และ Augmented Reality โดยมีการลงทุนซื้อบริษัท Oculus ผู้พัฒนาแว่น VR ไปเมื่อปี 2014 อย่างไรก็ตาม Metaverse นั้นต้องมีเทคโนโลยีที่เหนือกว่านั้นมาก เนื่องจาก Metaverse นั้นจะมาเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตของผู้คนอนาคต ทั้งวิธีการทำงาน, การเล่นเกมส์, การชมคอนเสิร์ต หรือแม้กระทั่งการท่องเที่ยว โดยการจ้างงานในครั้งนี้จะเกิดขึ้นภายในระยะเวลา 5 ปีต่อจากนี้ไป และเน้นแรงงานที่มีความสามารถจากกลุ่มประเทศยุโรป เพื่อเป็นการเสริมความแข็งแรงในฝั่งเทคโนโลยีของยุโรปอีกด้วย

ก่อนหน้านี้ Facebook เคยได้ให้เงินลงทุนกับ Technical University of Munich, เปิดศูนย์ European AI research lab ในฝรั่งเศส และเปิด Facebook Reality Labs ในไอร์แลนด์มาแล้ว

ที่มา: https://www.theregister.com/2021/10/18/facebook_metaverse/

from:https://www.techtalkthai.com/facebook-hires-10000-high-skilled-tech-talent-to-build-metaverse/

LinkedIn แนะนำตำแหน่งงานเด็กจบใหม่ความต้องการสูงในปี 2021 พร้อมทักษะที่ช่วยให้ได้งาน

LinkedIn เว็บไซต์หางานยอดนิยม แนะนำตำแหน่งงานสำหรับเด็กจบใหม่ที่มีความต้องการสูงในปี 2021 พร้อม 5 ทักษะสำคัญต้องมี นายจ้างมองหาจากเด็กจบใหม่

ช่วงเวลาเดือนพฤษภาคมของทุกๆ ปี เป็นช่วงเวลาที่นักศึกษามหาวิทยาลัยกำลังจะเรียนจบเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งรุ่น แต่การเรียนจบในช่วงที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายอย่างแน่นอน

LinkedIn เว็บไซต์หางานยอดนิยม ได้แนะนำตำแหน่งงานที่ต้องการเด็กจบใหม่ (Entry Level) จำนวนมาก โดย LinkedIn ได้จัดอันดับตำแหน่งงานสำหรับเด็กจบใหม่ที่มีความต้องการสูงสุด 5 ตำแหน่ง ดังนี้

    • Software Engineering Specialist (ต้องการทักษะ JavaScript, React.js และ Node.js)
    • Online Specialist (ต้องการทักษะ Social Media การตลาด และการบริการลูกค้า)
    • Sterilization Technician (ต้องการทักษะ การฆ่าเชื้อ การขจัดสิ่งปนเปื้อน และสาธารณสุข)
    • Wellness Specialist (ต้องการทักษะ สุขภาพ การให้คำแนะนำด้านสุขภาพ และการพูดในที่สาธารณะ)
    • Medical Technologist (ต้องการทักษะ โลหิตวิทยา)

ส่วนตำแหน่งงานสำหรับเด็กจบใหม่ที่สามารถ Work From Home ได้ และมีความต้องการสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่

    • Customer Support Specialist (ต้องการทักษะ การบริการลูกค้า การป้อนข้อมูล และการให้บริการด้านเทคนิค)
    • Office Associate (ทักษะที่ต้องการ การพูดในที่สาธารณะ การวางแผนการจัดงาน และการเข้าถึงชุมชน)
    • Business Development Representative (ทักษะที่ต้องการ การติดต่อลูกค้า และการพัฒนาธุรกิจ)
    • Product Manager (ทักษะที่ต้องการ การทำงานแบบ Agile การทำงานข้ามทีม และการวางแผนผลิตภัณฑ์)
    • Real Estate Agent (ทักษะที่ต้องการ การติดต่อกับลูกค้า และความเข้าใจในอสังหาริมทรัพย์)

นอกจากนี้งานสำหรับเด็กจบใหม่ที่มีความต้องการสูง LinkedIn ยังได้แนะนำ 5 ทักษะจำเป็น ที่ช่วยให้เด็กจบใหม่เริ่มต้นการทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย ซึ่งมีทักษะดังต่อไปนี้

    • Analytical Skill (ทักษะการวิเคราะห์)
    • Project Management
    • Customer Service (ทักษะการบริการลูกค้า)
    • Marketing (การตลาด)
    • Time Management (ทักษะการบริหารจัดการเวลา)

ที่มา – LinkedIn

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post LinkedIn แนะนำตำแหน่งงานเด็กจบใหม่ความต้องการสูงในปี 2021 พร้อมทักษะที่ช่วยให้ได้งาน first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/linkedin-entry-level-job-for-new-graduate/

Amazon ไม่ได้ต้องการแค่คนเก่ง: เปิด 3 วิธีคัดเลือกคนทำงานตามสไตล์ Jeff Bezos

Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon บริษัทด้าน e-Commerce ที่เป็นที่รู้จักกันดี พ่วงด้วยตำแหน่งบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของโลก ด้วยมูลค่าทรัพย์สินกว่า 1.13 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.58 ล้านล้านบาท

Jeff Bezos
SEATTLE, WA – JUNE 18: Amazon.com founder and CEO Jeff Bezos presents the company’s first smartphone, the Fire Phone, on June 18, 2014 in Seattle, Washington. The much-anticipated device is available for pre-order today and is available exclusively with AT&T service. (Photo by David Ryder/Getty Images)

การได้รับการจัดอันดับให้กลายเป็นบุคคลที่มีทรัพย์สินมากที่สุดในโลก คงหนีไม่พ้นจากความสำเร็จของ Amazon ที่ Jeff Bezos เป็นผู้ก่อตั้งมากับมือ และความสำเร็จของ Amazon นี้ “คน” ก็เป็นปัจจัยสำคัญในฐานะผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จเช่นกัน

คำถามที่เกิดขึ้นคือ Amazon มีวิธีในการคัดเลือกคนเข้ามาทำงานอย่างไร เพราะบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Amazon แค่ความเก่งอย่างเดียว คงยังไม่ใช่คุณสมบัติที่เพียงพอที่จะทำให้ได้งาน

3 วิธีคัดเลือกคนเข้าทำงานแบบ Amazon

Jeff Bezos เคยอธิบายวิธีการคัดเลือกพนักงาน ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้น ว่า Amazon ตั้งมาตรฐานในการคัดเลือกคนเข้ามาทำงานสูง ในฐานะปัจจัยสร้างความสำเร็จของ Amazon และตัว Bezos เอง ก็เคยบอกเช่นกันว่า การจะเข้ามาทำงานกับ Amazon ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยวิธีการคัดเลือกพนักงานของ Amazon ที่ทำกันมาตั้งแต่ปี 1998 พนักงานของ Amazon จะต้องมีคุณสมบัติดังนี้

ต้องเป็นคนที่น่านับถือ น่าชื่นชม

ครั้งหนึ่ง Jeff Bezos เคยเล่าว่า การคัดเลือกพนักงาน ไม่ได้เลือกแค่ความเก่งเท่านั้น แต่ต้องเลือกคนที่ Bezos รู้สึกว่าน่านับถือ และน่าชื่นชม เพราะหากเรารู้สึกว่าคนใดคนหนึ่งน่านับถือ และน่าชื่นชม แสดงว่าเราสามารถเรียนรู้ตัวอย่างจากคนๆ นั้นได้

โดยคนที่ Bezos จะชื่นชม คือคนเก่ง แต่ต้องเป็นผู้ฟังที่ดี และพร้อมที่จะเปลี่ยนความคิดเสมอ เพราะคนเก่ง “จะเป็นคนที่ทบทวนความเข้าใจ ทบทวนถึงปัญหาที่เคยหาทางออกไปได้แล้วเสมอ เป็นคนที่ยอมเปิดมุมมอง หาข้อมูล ความคิด และความท้าทายใหม่ๆ ให้กับวิธีการคิดของตัวเอง”

หนึ่งในคำถามที่สามารถวัดความน่านับถือ และน่าชื่นชม ได้ คือ “ให้เล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่คุณได้รับ Feedback จากคนอื่นๆ และทำให้คุณเปลี่ยนกลยุทธ์ในการทำงาน” ซึ่งคำถามนี้จะวัดได้ว่า ผู้สมัครแต่ละคนพร้อมที่จะเปิดใจยอมรับไอเดียใหม่ๆ และสามารถทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ได้หรือไม่

ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับทีม

Jeff Bezos มองหาพนักงานที่จะมีส่วนในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับ Amazon เหมือนกับการสร้างมาตรฐานที่สูงขึ้นเรื่อยๆ

ในช่วงเวลาสัมภาษณ์งาน Amazon จะคัดเลือกผู้ที่ทำหน้าที่สัมภาษณ์ เพื่อประเมินว่า ผู้สมัครคนนั้นๆ จะสามารถสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กรได้อย่างไร โดยเทียบกับค่านิยมผู้นำ 14 ประการของ Amazon เช่น การให้ความสนใจกับความต้องการของลูกค้า มีความเป็นผู้นำ และชอบการเรียนรู้ เป็นต้น (อ่านเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของ Amazon)

ผู้สมัครที่เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี สามารถตอบคำถามโดยอ้างอิงกับค่านิมยมผู้นำ 14 ประการได้ ซึ่งจะทำให้ช่วยเพิ่มโอกาสที่จะทำให้ได้งาน

ฉายความเป็นดาว สร้างความแตกต่างจากคนอื่นๆ

ลักษณะนิสัยสุดท้ายที่ Amazon มองหาจากผู้สมัคร ที่จะเข้ามาเป็นพนักงาน นั่นคือ “ความเป็นดาว” ที่แตกต่างจากคนอื่นๆ Jeff Bezos อธิบายว่า แต่ละคน มีทักษะ ความสนใจ และมุมมองที่แตกต่างกัน ซึ่งจะช่วยสร้างบรรยากาศในการทำงานที่ดีได้ และบางครั้งความแตกต่าง และความโดดเด่นของพนักงานแต่ละคน อาจไม่ใช่ทักษะที่เกี่ยวกับเรื่องานเลยด้วยซ้ำ เหมือนครั้งหนึ่งที่ Amazon เคยจ้างพนักงานที่ได้รับรางวัลการแข่งขันสะกดคำระดับประเทศ (Spelling Bee)

คำถามที่ Amazon มักใช้ คือ “Amazon เป็นบริษัทที่แตกต่าง ไม่เหมือนใคร แล้วความแตกต่างของตัวคุณ ที่ไม่เหมือนใครคืออะไร” หรือ “หาก Jeff Bezos เดินเข้ามาในห้อง และให้เงิน 1 ล้านดอลลาร์ คุณจะมีไอเดียในการทำธุรกิจอย่างไร” ซึ่งคำถามเหล่านี้ ผู้สมัครที่เตรียมตัวมาดี จะสามารถฉายแววความโดดเด่น สร้างความแตกต่างจากผู้สมัครคนอื่นๆ ได้อย่างชัดเจนที่สุด

ชวนมาหาคำตอบความต่างที่นายจ้างต้องการ

ความจริงแล้วปัจจัยที่จะทำให้ได้งาน หรือไม่ได้งาน ยุคนี้แค่ความเก่งคงยังไม่พอ เพราะต้องมีทักษะที่เหมาะสมกับการทำงานที่จำเป็นกับยุคปัจจุบันด้วย การสร้างความแตกต่าง และความโดดเด่นเหนือผู้สมัครคนอื่นๆ จึงสำคัญ ถ้าอยากรู้ว่าทักษะ หรือความโดดเด่นอะไรที่นายจ้างต้องการ ชวนมาหาคำตอบกันได้ที่งาน Brand Inside Forum 2020: New Workforce

จากผู้เชี่ยวชาญด้านการทำงานที่หลากหลาย ทั้งในมุมของนายจ้าง และลูกจ้าง ซึ่งงานจะจัดขึ้นวันที่ 2 พฤศจิกายน 2563 ตั้งแต่ 9.00 – 16.00 น. ที่สามย่านมิตรทาวน์

โดยสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ https://forum.brandinside.asia/newworkforce-2020

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/how-amazon-hire-a-new-employee/

‘โบนัส’ สำคัญแค่ไหน กับการตัดสินใจ อยู่ต่อ-ลาออก

 

 

เรื่องเงินเดือนคือเรื่องเซนซิทีฟในที่ทำงาน เพราะเงินเดือนก็เหมือนกับค่าตัวของคนๆ นั้น แต่โบนัสเป็นเรื่องเซนซิทีฟกว่าเงินเดือน เพราะวัดจาก Performance โดยตรง รวมถึงปัจจัยของแต่ละบริษัทด้วย แล้วโบนัสมีผลต่อการทำงานยังไง สำคัญแค่ไหนกับการทำงานในบริษัทเดิมต่อหรือจะเป็นผลให้ลาออกดี

โบนัสเหมือนของขวัญความเหนื่อย

โบนัสส่วนใหญ่จะออกช่วงเมษา ไม่ก็สิ้นปีเลย ขึ้นอยู่กับกฏของแต่ละบริษัท ถ้าถามว่าโบนัสสำคัญยังไง สำหรับคนที่ทำงานแล้วมาระดับหนึ่ง นอกจากเงินเดือนที่เป็นประเด็นพูดคุยกับคนใกล้ตัวแล้ว โบนัสก็เช่นกัน

ส่วนใหญ่จะไม่บอกตัวเลขชัดเจน แต่จะบอกเป็นเท่า โดย 1 เท่าคือปกติ 2 เท่าดีต่อใจ 3 เท่าเริ่มเยอะแล้ว ด้วยความที่หลายเท่านี้เอง ทำให้เวลาโบนัสออกแต่ละครั้ง สามารถเปลี่ยนวิกฤติการเงินในช่วงนั้นได้เลย แถมช่วยให้เงินคล่องมือขึ้นอีกเยอะ

ทำให้ความบากบั่นในการทำงานมาทั้งปี จะมาอุ่นใจเอาก็ตอนนี้ แถมบวกกับเงินเดือนปกติไปแล้วก็ยิ่งเยอะเข้าไปอีก

นักวางแผนการเงินหลายท่านบอกว่าเมื่อมีเงินนอนในบัญชีหลักแสนหรือยอดคงเหลือมากขึ้นหลังจ่ายหนี้สินครบแล้ว จะทำให้เงินสามารถงอกเงยขึ้นได้ เช่น เก็บเงินได้เยอะขึ้น หรือเอาเงินส่วนนี้ไปลงกับธุรกิจเล็กๆ  โบนัสจึงเหมือนจุดเปลี่ยนของมนุษย์เงินเดือนหลายคน

 

ไม่มีโบนัสก็เหมือนทำงานฟรี

สิ่งนี้อาจจะไม่ได้เป็นประเด็นใหญ่ถ้าเราไม่รู้ฐานเงินเดือนในภาพรวมและโบนัสที่เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆได้รับ เพราะเพื่อนย่อมรู้ศักยภาพในการทำงานของกันและกันดี ยิ่งสายงานเดียวกันยิ่งมองออกง่าย แต่ถ้าอยู่คนละบริษัท คนละกฏ ผลตอบแทนที่ได้ก็ย่อมต่างกัน การเปรียบเทียบกันอาจน้อยกว่า

แน่นอนว่ามีผลต่อกำลังใจในการทำงานที่ลดลงเช่นกัน หากคนหนึ่งทำงานหนักมากแต่ได้เงินน้อย ขณะที่อีกคนทำงานน้อยแต่บริษัทให้ผลตอบแทนดีกว่า ย่อมส่งผลต่อความรู้สึก ทำให้ไม่อยากทำงานตาอ และวางแผนลาออกได้ง่ายๆ แต่ก็ไม่ทุกคนนะคะ เป็นแค่แนวโน้มมากกว่า

 

โบนัสสะท้อนองค์กร

ประเด็นนี้พูดยากที่สุดเพราะทุกองค์กรมองค่าตัวพนักงานไม่เท่ากัน  บางบริษัทคิดว่างานหนักๆ ที่เราทำตอนนี้ยังไม่คุ้มกับเงินที่จ่าย แถมไม่ให้โบนัสอีก กลายเป็นทำงานหนักแต่ไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีเลย

แต่คำว่าผลตอบแทนที่ควรได้ของแต่ละคนก็เป็นเรื่องที่พูดยากอีก มันขึ้นอยู่กับว่าเราให้คุณค่าตัวเองเท่าไหร่ ถ้าทำงานไปสักพักจะพบว่า ไม่ใช่คนเก่งที่ได้เงินดี แต่คนที่รู้จักค่าตัวของตัวเองต่างหากที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดี

ดังนั้น การเติบโตในสายงานไม่ได้มีแค่ความสามารถ แต่ยังรวมถึง พฤติกรรม ทักษะในการต่อรองเงินเดือนกับองค์กร รวมทั้งภาพลักษณ์ของเราอีกด้วย

 

พูดมาขนาดนี้หลายคนอาจมีความคิดที่จะเปลี่ยนบริษัทกันแล้วใช่ไหมคะ อย่าเพิ่งตัดสินใจแบบนั้นนะคะ เพราะความพอใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และการอยู่ทำงานต่อไม่อยากให้มองแค่โบนัสอย่างเดียว

แต่อยากให้มองที่ความก้าวหน้าในสายอาชีพนั้นๆ ในอนาคตมากกว่าว่ามีกำเพงเงินเดือนเท่าไหร่ โตไปได้อีกแค่ไหนในบริษัทที่ทำอยู่ หรือถ้าย้ายไปบริษัทอื่นแล้วจะขึ้นไปได้อีกในระดับที่เท่าไหร่ เมื่อคิดครอบคลุมแล้ว เราจะได้คำตอบที่ชัดเจน มากกว่าแค่บ่นว่าอยากออกๆ แต่ทำงานต่ออีกหลายๆ ปีค่ะ

from:https://www.thumbsup.in.th/bonus-passive-income

ทำอย่างไรให้ได้ ‘งานในฝัน’ คุยกับ Adecco พร้อมเคล็ดลับที่คนหางานไม่ควรพลาด

ทีมงาน thumbsup ได้รับเกียรติจากคุณธิดารัตน์ กาญจนวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Adecco Group Thailand บริษัทด้านการสรรหาบุคลากร การจ้างงาน และยังป็นที่ปรึกษาสายงานทรัพยากรบุคคลให้แก่ลูกค้าองค์กรชั้นนำทั่วโลก

ทั้งยังเป็นบริษัทที่ติดอันดับ Fortune Global 500 Company ของบริษัทชั้นนำทั่วโลก ที่มีผลประกอบการและชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับจัดขึ้นโดยนิตยสารฟอร์จูน โดยเธอจะมาเล่าเรื่องราวในโลกของการดำเนินธุรกิจจัดหางาน และข้อมูลน่ารู้สำหรับคนทำงานทุกคนที่อยากเปลี่ยน ‘งานในฝัน’ เป็น ‘งานในชีวิตจริง’ กันค่ะ

ปัจจุบัน Adecco มีออฟฟิศทั้งหมด 7 แห่งในประเทศไทย แต่ภาพรวมแล้วมีกว่า 60 ออฟฟิศทั่วโลก โดยในบางประเทศอาจจะมีเพียงออฟฟิศเดียว สำหรับในประเทศไทยนั้น มีการก่อตั้งมากว่า 28 ปีแล้ว

ภาพรวมธุรกิจจัดหางานในปัจจุบัน

ธิดารัตน์: ในด้าน Recruitment ทุกคนอาจจะตั้งคำถามว่าธุรกิจเป็นอย่างไรในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ซึ่งตอนนี้มีแรงกระแทกจากเรื่องการขนส่งที่ลดลง และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน มันเยอะไปหมดซึ่งสถานการณ์ข้างนอกไม่ค่อยดีเท่าไหร่

แต่ในเมืองไทยเรายังมีจุดบางจุดที่ยังเป็นจุดเด่นของเราในภูมิภาคอาเซียน คือรัฐบาลได้สนับสนุนในเรื่องของเศรษฐกิจอยู่แล้วและใน AEC ก็ชัดเจนแล้วในเรื่องนี้ ซึ่งเราค่อนข้างพร้อมในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน

ทางด้านของเงินลงทุนยังมีทิศทางที่ดีอยู่ เพียงแต่ที่เปลี่ยนคือเมื่อก่อนเราจะมองว่าญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนหลัก กับธุรกิจหนักๆ ในด้านยานยนต์ หรือก่อนนี้จะเป็นอิเล็กทรอนิกส์ ถ้าถามว่าอะไรเปลี่ยนไปภาพมันก็ยังคงคล้ายๆ เดิมอยู่

ส่วนใน Automatic Industry ก็ค่อนข้างแข็งแรงในตรงนี้ ซึ่งเม็ดเงินที่เข้ามาใหม่เปลี่ยนเป็นทางด้านจีนอันดับที่ 1 และญี่ปุ่นตามมา ถัดมาด้วยฮ่องกง แต่ทั้งหมดทั้งปวงนี้ อุตสาหกรรมหลักของธุรกิจยานยนต์ยังสูงที่สุด ซึ่งถ้ามองในแง่สัดส่วนของ BOI จะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องดิจิทัลเยอะ แต่ยังไงเม็ดเงินไม่เท่าธุรกิจยานยนต์อยู่ดี

เพราะธุรกิจยานยนต์ จีนจะลงเรื่องการผลิตยางรถยนต์คู่ไปกับปริมาณรถยนต์ที่ทั่วโลกใช้กันอยู่ และแนวโน้มอื่นๆ อย่างญี่ปุ่นเปลี่ยนเป็นลงทุนพวกพลังไฮบริดผสมด้วยพลัสไฮบริดด้วยอะไรหลายๆ อย่าง

ดังนั้น ภาพธุรกิจมันยังมีอยู่แต่เปลี่ยนเป็นเม็ดเงินใหม่ๆ จนเกิดการสร้างงานใหม่ๆ ขึ้นมา ส่วนพวกธุรกิจที่ใช้แรงงาน เช่น แรงงานพม่า เขมร ลาว เยอะๆ ก็มีการเคลื่อนย้ายไปหมดแล้ว

ดิจิทัลช่วยให้หาคนง่ายขึ้นหรือไม่

ธิดารัตน์: จริงๆ เรื่องเทคโนโลยีมาพร้อมความท้าทาย เพราะว่าเข้าถึงคนจำนวนมากได้ง่ายกว่า แต่ก็ต้องมองสองอย่าง คือ คนรุ่นใหม่เขามีทางเลือกเยอะ และขณะเดียวกันลูกค้าเองก็ต้องการคนที่มีความสามารถหลากหลายขึ้น เนื่องจากธุรกิจเปลี่ยนไปก็ต้องตามให้ทัน

ซึ่งมันจะเกิดความไม่สมดุลระหว่างสองข้างนี้ เพราะฉะนั้น เอเจนซีคือคนที่ต้องเข้าใจทั้งลูกค้า เข้าใจงานที่ขาดคน ว่าต้องการคนแบบไหน ในบางครั้งลูกค้าเองก็พูดว่าต้องการแบบไหน แต่เราก็ต้องบอกด้วยว่าแบบนี้จะดีกว่าหรือเปล่า? ในตรงนี้เราทำหน้าที่เหมือนเป็น Partner ที่ไม่ใช่แค่เอเจนซี

หลักการในการคัดเลือก

ธิดารัตน์: เราต้องวางภาพกว้างในการให้โอกาสทุกคนที่เข้ามาสมัครงาน สิ่งที่เราดูคือสมรรถภาพของเขา ประสบการณ์ที่มีอยู่ รวมทั้งความสามารถที่เขามี ซึ่งเหล่านี้คือเรื่องหลักๆ ที่เราปักเอาไว้เป็นธงอันแรก

ขณะที่เรามีโจทย์ที่ลูกค้าต้องการเป็นธงอีกอันนึง หน้าที่เราคือการจับคู่คนกับงาน ทำอย่างไรให้คนที่เราเลือกตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด

และหน้าที่เราต้องดูว่าเขาเหล่านั้นมีโปรไฟล์อย่างไรบ้าง แต่ว่าในการจับคู่ 100% มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ที่เราจะสามารถหางานได้ถูกใจคนที่เข้ามา หรือคนที่เข้ามจะได้งานถูกใจไปทุกครั้ง เพราะไม่ได้เหมายความว่าผู้สมัครเข้ามาจะได้งานปีนี้ เพราะอาจจะได้งานที่ใช่ปีหน้า หรือ 5-10 ปีข้างหน้า ซึ่งไม่มีใครรู้เลย เนื่องจากฐานข้อมูลที่มีอยู่ในวันนี้อาจจะเจองานที่เหมาะในอีกหลายๆ ปีข้างหน้า

ต้องไปหาผู้สมัครให้เหมาะสมที่สุดเท่าที่จะเหมาะสมได้

หน้าที่สำคัญของ Adecco ในการจัดหางาน ?

ธิดารัตน์: ในส่วนของลูกค้าเราต้องเข้าไปเจาะลึก คือ ต้องเข้าใจลูกค้าให้เยอะๆ เนื่องจากต้องดูลักษณะงานว่าต้องไปโฟกัสอะไร ไม่โฟกัสอะไร มีลักษณะการทำงานแบบไหน ลักษณะของคนที่เข้าไปแล้วอยู่รอดได้ในองค์กรเป็นอย่างไร

ซึ่งหน้าที่ของเอเจนซีคือต้องไปหารายละเอียดลึกๆ ให้เจอและต้องไปหาผู้สมัครให้เหมาะสมที่สุดเท่าที่จะเหมาะสมได้ เพื่อที่จะให้ลูกค้าได้สัมภาษณ์ และให้ผู้สมัครได้มีโอกาสสัมผัสความเป็นบริษัทนั้น

เพราะว่าผู้สมัครก็ต้องเลือกงานและบริษัทก็ต้องเลือกเขา เรามีหน้าที่แค่ Matches Maker ในเชิงของมืออาชีพ จัดสรรความต้องการของสองข้างเพื่อทำอย่างไรให้เขาไปต่อ และให้เขาอยู่ยาวๆ มากที่สุด

คำแนะนำถ้าอยากเปลี่ยนสายงาน

ธิดารัตน์: เวลาจะเปลี่ยนสายงาน ผู้สมัครงานจะตั้งธงไว้ก่อนถึง ‘ประสบการณ์’ เพราะเป็นตัวแรกที่เขาจะดูและสิ่งที่เหลือก็จะเป็นจำพวก Hard Skill ในงานบางอย่างที่เรื่องนี้มันต้องชัดเจนมากเลย

บางทีเราทำงานไม่ได้เราต้องเข้าใจข้อนี้ อย่างเช่น งานด้านไอที ถ้าคุณจะเข้าไปทำงานตำแหน่งโปรแกรมเมอร์ คุณต้องรู้โค้ดบางอย่างที่มันเฉพาะเจาะจงตามที่เขาตามหาอยู่ และรู้จักโค้ดใหม่ๆ เพื่อให้คุณดูเหนือกว่าผู้สมัครท่านอื่น ถ้าคุณไม่มีทักษะรอบด้านเลย การได้งานที่ตนเองสนใจก็จะยาก

แต่ว่าถ้าเป็นงานบางอย่างที่เขามองเรื่อง ทัศนคติ แรงจูงใจ มาก่อน คือเลือกรับพนักงานจากคนที่มีแนวคิดเหล่านี้ตรงกันก่อน และมาพัฒนาเรื่องทักษะทีหลัง มันเป็นไปได้สำหรับคนที่มีอายุงานไม่เยอะ แต่มีศักยภาพในการที่จะเรียนรู้บริษัทก็จะรับเข้ามา

ในกรณีที่สอง คือ งานที่มีความทับซ้อนกันในลักษณะของงานสองงาน แต่มันมีสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘Tranfer Skill’ คือ ทักษะความรู้ความสามารถบางอย่างที่สามารถเปลี่ยนผ่านได้จากงานหนึ่งไปยังอีกงานหนึ่งได้

เช่น เราหาตำแหน่งเซลล์ สมมติว่าผู้สมัครเป็นนักบัญชี แต่เป็นนักบัญชีที่ไม่เหมือนทั่วไป แต่สามารถที่จะทำงานคนเดียวได้และทำงานที่เกี่ยวกับตัวเลข ก็อาจจะมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นน้อย แต่หากคนนี้สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นได้ดี พูดจารู้เรื่อง ก็สามารถผันตัวไปเป็นเซลล์ได้

การเขียนเรซูเม่ที่ดีต้องเป็น Opening Statement 

แล้วต้องทำแบบไหนให้ ‘เรซูเม่เข้าตา’ ?

ธิดารัตน์: คนที่มีโอกาสเปลี่ยนงานจะมาจากการมีทักษะหลายด้าน สิ่งนี้จะเป็นสะพานแห่งความเชื่อมโยงของงานสองงาน มันยากตรงส่งเรซูเม่มาเขาอาจจะโยนทิ้งเลย เนื่องจากมันไม่ตรงสายงาน ดังนั้น การเขียนเรซูเม่ที่ดีต้องเป็น Opening Statement  ที่คนจะอ่านยิ่งสนใจ การเขียนเรซูเม่แบบเปิดกว้างว่าทำงานได้หลากหลาย ควรระบุให้มันชัดเจนและบอกทักษะที่สามารถทำงานข้ามสายกันได้

ดังนั้น ต้องบอกให้ได้ว่าถ้าไปอยู่ที่นั่นจะไปสร้างประโยชน์อะไร ถ้าคุณรับผมคุณจะได้อะไรจากผม หมายความว่าเราต้องวิเคราะห์ตัวเราเองให้ได้ก่อน คือ ต้องมั่นใจตัวเราเองก่อนว่าเรามีสิ่งนี้ และจะเดินไปไหน

นอกจากนี้ ก็ต้องถามตัวเองก่อนว่าเราอยากเปลี่ยนเพราะอะไร ต้องมีเหตุผลก่อนแล้ว แพทชั่นจะเป็นตัวช่วยให้เราไปต่อได้

แล้วถ้าอยากได้เงินเดือนสูงๆ ต้องเป็นคนแบบไหน ?

ธิดารัตน์:  คนที่ประสบความสำเร็จในด้านการงาน จะมีรื่องคล้ายกัน คือ ‘พื้นฐานการสื่อสารที่ดี’ และ ‘ทัศนคติที่ดี’ พร้อมจะเรียนรู้เปรียบเสมือนน้ำไม่เต็มแก้วตลอดเวลา

ซึ่ง Soft Skill สำคัญกว่า Hard Skill ที่ได้มาจากการเรียน ในหลายๆ ครั้งคนที่มี Emotional Intelligence หรือความฉลาดทางอารมณ์เยอะจะสามารถไปได้ไกลกว่าคนที่เรียนเก่งเฉพาะในห้องอย่างเดียว เพราะมันคือสิ่งพื้นฐานของการที่เราจะอยู่ในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง  ดังนั้นการมีซอฟต์สกิลที่ดีมันจะทำให้สามารถทำงานใหญ่ๆ ได้

การเทรนนิ่งสำคัญสำหรับ ‘องค์กร’ แค่ไหน ?

ธิดารัตน์: เรื่องเทรนนิ่ง มันก็ยังเป็นการพัฒนาองค์กรให้ไปสู่ระดับที่กำหนดไว้ ดังนั้นการเทรนนิ่ง องค์กรทุกองค์กรจะบอกว่าสนใจหมดเลย แต่อยู่ที่องค์กรจะมองว่าแค่ทำไปเป็นเช็คลิสต์ ถึงเวลาสิ้นปีก็เอาใช้เงินเทรนนิ่งให้มันหมดๆ ไปหรือเปล่า

หรือมองว่าเทรนนิ่งเป็นการลงทุน ดังนั้นในเวลาลงทุนก็ต้องการพิจารณาวิเคราะห์มากขึ้นกว่าเดิมว่า ถ้าเราจะพัฒนาคน ประเมินศักยภาพของคนในองค์กรก่อน ว่าขาดอะไรแล้วเราจะมาเติมให้เต็มได้

สิ่งที่องค์กรพูด กับความเป็นจริงที่คนทำงานมาเจอมันตรงกันแค่ไหน?

วิธีดึง Talent Group มาร่วมงานสำหรับองค์กรต่างๆ ?

ธิดารัตน์: การที่เราจะดึงดูด Talent Group ที่มีความสามารถมาร่วมงานกับองค์กร สำหรับกลุ่มนี้เขาก็ไม่ได้เลือกเหมือนเดิมแล้ว เพราะไม่ใช่ว่าเป็นบริษัทใหญ่ๆ แล้วจะวิ่งใส่ แต่จะเป็นบริษัทใหม่ๆ ที่น่าสนใจ มองว่างานที่เขาเข้าไปทำแล้ว สร้างมูลค่าได้หรือเปล่า? สามารถโปรเจกต์ที่เขาอยากไปทำไหม? แม้จะเป็นบริษัทเล็กๆ อย่าง Startup ก็ตาม

เพราะฉะนั้นตัวองค์กรเองที่จะดึง Talent Group เข้ามาในองค์กรก็จะต้องมีด้านแรกสำคัญ คือ ภาพลักษณ์องค์กร วัฒนธรรมองค์กร และโปรเจคที่องค์กรทำอยู่มันมีคุณค่าพอกับ Talent Group ไหม?

ส่วนสวัสดิการซึ่งตอนนี้โลกของเรามันค่อนข้างเอาตัวเราเป็นที่ตั้ง ชอบอะไรที่มันเป็นเรื่องซับซ้อน และเฉพาะตัวมากขึ้นแล้วก็ยังมี Fix Ability ซึ่งสามารถเป็นเช็กลิสต์ให้ตรงกับความต้องการของเขาได้ ซึ่งก็เป็นการบ้านสำหรับองค์กรเพราะไม่ใช่ทุกองค์กรจะทำได้

ดังนั้นองค์กรต้องพยายามสื่อให้เห็นว่ามากับฉันมีแบบนี้นะ และใครเป็นคนดูแลโปรเจกต์ที่คุณทำ มันมีคุณค่าต่อองค์กรอย่างไร ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความท้าทายที่จะดึงดูดว่าเมื่อเข้ามาแล้วจะสามารถอยู่ได้ไหม ประกอบกับว่า สิ่งที่องค์กรพูดกับความเป็นจริงที่คนทำงานมาเจอมันตรงกันแค่ไหน?

ต่อไปคุณตำแหน่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มันจะลำบาก เนื่องจากในบางครั้งเราก็ทิ้งลูกน้องไม่ได้

มุมมองของเรื่อง ‘การเปลี่ยนงาน’

ธิดารัตน์: เอาในแง่ของธุรกิจก่อน อะไรที่เป็นงานแล้วออกก่อนสามปีจะดูแปลกๆ คืออย่างน้อยต้องอยู่ให้เกินสามปีสำหรับการอยู่ที่ที่หนึ่ง เพราะว่าหกเดือนแรกเป็นการเริ่มต้นเรียนรู้หลังจากนั้นก็เป็นการเริ่มอะไรบางอย่างที่ยังไม่ทันพัฒนาต่อยอดเลย ก็หมดไปแล้วสองปี

ปีที่สามก็เข้าใจได้ถ้ายังไม่มีอะไรจูงใจหรืออาจจะคิดต่อในภาพอันนี้ไม่ใช่ภาพ 10 ปีที่แล้ว  ถ้าวันนี้เห็นคนที่เปลี่ยนงานทุกปี ในความรู้สึกของเรายังมองว่ามันเป็น Jop Hopping อยู่ดี  ยกเว้นมีปัจจัยบางอย่างจำเป็นต้องเปลี่ยนงาน

ถ้าไม่ใช่จริงๆ ต้องถามตัวเองว่าสถานการณ์มันใช่ไหม เนื่องจากในโลกไม่มีอะไรใช่ทุกเรื่อง แต่มันเป็นเรื่องของการปรับตัว ถ้าหากคุณไปเลย คุณถอย คุณโยนมันทิ้ง ยังไม่ได้ใช้การปรับตัวตามสถานการณ์ ที่คุณควรบริหารจัดการความรู้สึกทางอารมณ์ให้เป็นในฐานะมืออาชีพ หากทำไม่ได้แล้วต่อไปคุณตำแหน่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มันจะลำบาก เนื่องจากในบางครั้งเราก็ทิ้งลูกน้องไม่ได้

ถ้าบางคนบอกว่าไม่ใช่ก็ไปดีกว่าตั้งแต่ต้น แต่ในวันที่คุณเลือกได้คุณเลือก แต่ถ้าในวันที่คุณเลือกไม่ได้คุณจะปรับตัวไม่ได้เลย

มีโครงการ CEO for One Month ที่เอาเด็กจบใหม่มาทำงานคู่ CEO

ธิดารัตน์: CEO for One Month ที่เป็นโครงการในเมืองนอกด้วยกว่า 50 ประเทศ โดยคอนเซปต์คือการที่เปิดโอกาสให้เด็กจบใหม่ไม่นาน ขึ้นมาทำงานคู่กับ CEO ของบริษัท

เกิดจากการที่เปิดให้ Local CEO ของทุกประเทศเสาะหามา จากผู้สมัครในประเทศไทยประมาณ 1,000 คนของปีนี้คัดเหลือคนเดียว

เด็กจะได้สังเกตการณ์และทำความเข้าใจ เขาจะได้เห็นการทำงานของเราในฐานะ CEO ของบริษัท มีการเข้าร่วมประชุมกับ Management เมืองนอก เพื่อจะได้รู้ว่าชีวิต CEO เป็นแบบนี้

โครงการนี้ทำให้เรารู้สึก Amazing มาก จนแอบคิดว่าตอนเราอายุเท่าเขาเราทำอะไรอยู่ คืออะไรที่เราเรียนรู้ในสี่ปี แต่เด็กรุ่นใหม่สามารถเรียนรู้ได้ภายในหนึ่งชั่วโมง เรื่องนี้มันน่าทึ่งมาก

ตอนนี้มันเปลี่ยนไปเป็นบริษัทเร็วกินบริษัทช้า ไม่ใช่ปลาใหญ่กินปลาเล็กแล้ว

คุณสมบัติที่เด็กรุ่นใหม่ควรมี ถ้าอยากก้าวไปเป็น CEO ?

ธิดารัตน์: 

  • Communication เป็นสิ่งที่ทิ้งไม่ได้
  • Networking เนื่องจากโลกปัจจุบันนี้เราไม่สามารถทำงานคนเดียวได้
  • Agility คือความคล่องตัวในการเปลี่ยนแปลง เพราะเราต้องวิ่งไปรอข้างหน้าแล้วหันกลับมามอง รวมทั้งต้องเป็น Trend Setter ด้วย ไม่ฉะนั้นคุณจะถูกเขากลืนไป เพราะตอนนี้มันเปลี่ยนไปเป็นบริษัทเร็วกินบริษัทช้า ไม่ใช่ปลาใหญ่กินปลาเล็กแล้ว

‘มนุษย์’ ก็ยังเป็นส่วนสำคัญในธุรกิจ

ธิดารัตน์: มองว่าเราก็ต้านกระแสเทคโนโลยีไม่ได้ แต่เราจะทำอย่างไรในการเอาพวกปัญญาประดิษฐ์ AI เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการการทำงานของเราในหลายๆเรื่อง ถ้าเป็นธุรกิจ Recruitment จะต้องมีเรื่องของ AI เข้ามาซึ่งเราต้องยอมรับว่า AI เข้ามาลดอคติในหลายอย่าง

แต่อย่างไรก็ตามพี่ยังยืนยันอยู่ว่า ‘หุ่นยนต์’ ก็คือ ‘หุ่นยนต์’  แต่มนุษย์ยังเป็นส่วนสำคัญในการดูแลหรือการให้ความเห็นในเรื่องหลายๆ อย่าง

ส่วนในเรื่องของ Data ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น คือ บริษัทเอเจนซี่เองก็ต้องให้ความสำคัญในเรื่องของฐานข้อมูล ที่เอามาคิดวิเคราะห์ต่อ เรียกว่าน่าจะเป็นก้าวถัดไปที่น่าสนใจของธุรกิจ Recruitment ที่เราทำงานอยู่บน Data

สุดท้ายแล้วธิดารัตน์บอกเราว่าประวัติของเราเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราจะฝากประวัติส่วนตัวไว้กับใครสักคน คุณจะฝากกับใครที่ไม่รู้จักเขาไหม คุณก็ต้องฝากกับบริษัทที่มีชื่อเสียง และมีคนที่เราฝากไปกับเขาแล้วสามารถดูแลเราได้ ไม่วาจะเป็นฐานข้อมูล หรือในยามที่เราได้งานในฝันแล้วก็ตาม 😀

from:https://www.thumbsup.in.th/interview-adecco-tidarat-kanchanawat

รับมืออย่างไรในวันที่ต้อง ‘ตกงาน’ และการหาทางออกให้กับชีวิต

เมื่อตกงานสิ่งที่ตามมาคือความเครียด ความกังวล ไม่ว่าจะเป็นการตกงานแบบเตรียมใจไว้แล้ว หรือตกงานแบบกระทันหัน เรื่องนี้ก็ทำให้รู้สึกเคว้งคว้างไม่ต่างกัน ยิ่งในยุคนี้ที่มีข่าวเรื่องการตกงาน หรือเลิกจ้าง ออกมาให้กันบ่อยๆ ลองมาดูกันว่าควรทำอย่างไรดีเมื่อต้องเจอกับเรื่องแบบนี้

นอกจากความเครียดแล้ว สำหรับอดีตผู้มีงานทำหลายๆ รายยังมีความรู้สึกที่ถาโถมมาคือไร้ค่า ไม่มีความหมาย โทษตัวเอง มาดูวิธีรับมือกับเรื่องนี้ไม่ให้เครียดจนเกินไปกัน รวมไปถึงเทคนิคในการได้งานที่ใช่ในเร็ววันกันค่ะ

1. สำรวจเงินสำรองก่อนเลย

อันดับแรกคือการสำรวจความมั่นคงทางการเงินของตัวเอง โดยทางที่ดีควรมีเงินสำรองฉุกเฉินไว้ใช้ระหว่างหางานช่วง 3-6 เดือน ถ้ามีไม่เพียงพอแนะนำให้สำรวจสิ่งของรอบตัวที่ไม่ค่อยจำเป็น เช่น เครื่องเกมที่ไม่ค่อยได้ใช้ อุปกรณ์ออกกำลังกายที่เอาไว้ตากผ้า ของสะสมเต็มบ้านที่ฝุ่นเริ่มจับ เผื่อว่าจะเปลี่ยนทรัพย์สินที่มีมาเป็นเงินเก็บฉุกเฉินได้

2. แจ้ง ‘ว่างงาน’ กับประกันสังคม

อีกอย่างที่สำคัญมากๆ คือการลงทะเบียนเป็นผู้ว่างงานกับสำนักงานประกันสังคม สำหรับรับเงินชดเชยรายเดือน ภายในเวลา 30 วันหลังจากที่เราตกงาน ซึ่งการจะได้รับเงินชดเชยว่างงานนั้น ผู้ลงทะเบียนต้องจ่ายเงินสมทบมามากกว่า 6 เดือน และต้องตกงานโดยไม่ใช่การถูกเลิกจ้าง หมดสัญญาจ้าง หรือทำผิดทางกฎหมาย

โดยคุณต้องไปรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ตามกำหนดเดือนละหนึ่งครั้ง (สามารถรายงานตัวล่วงหน้าก่อนถึงเวลานัดได้ 7 วัน) โดยจะได้รับเงินชดเชย 3 เดือน ซึ่งก็ถือว่าเป็นเงินทุนในระหว่างช่วงที่กำลังหางานให้อุ่นใจ

3. ให้มองว่าการหางานก็คือ ‘งาน’

แน่นอนว่าเมื่อตกงานแล้วก็ต้องหางานใหม่ อยากให้มองว่าตัวคุณคือ ‘สินค้า’ ที่รอคนมาซื้อ ซึ่งต้องดูแล Resume ให้มีความน่าสนใจ พร้อมทั้งวางกลยุทธ์สัมภาษณ์งานด้วย และสิ่งเหล่านี้ก็คือ ‘งาน’ หลักๆ ที่คุณกำลังทำอยู่ นั้นไม่ได้หมายความว่าคุณกำลังไม่มีอะไรทำ และใช้ชีวิตไปอย่างว่างเปล่า

4. บอกคนรอบตัวว่าคุณกำลังมองหางานแบบไหน

เพราะ “โอกาสมาพร้อมกับผู้คน” ให้ลองบอกคนเพื่อน หรือเหล่าคนรู้จักรอบตัวว่าคุณมีความถนัดอะไร และกำลังมองหางานแบบไหนอยู่ เพราะบางครั้งอาจมีเพื่อนของเพื่อนของเพื่อน ที่กำลังต้องการคนอย่างมาคุณมาร่วมงานก็ได้

5. เอาเวลาที่ ‘รอ’ มาทำชีวิตให้ดีขึ้น

เอามาเรียนเพิ่ม ลงคอร์สออนไลน์ เข้ากลุ่ม workshop กิจกรรมที่สนใจ ออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ตัวเอง และสร้างความรู้สึกในทางบวกว่าเรากำลังเป็นคนที่ดีขึ้นในทุกๆ วัน

6. บางทีโลกโซเชียลก็คือ ‘มายา’ จงอย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

การเห็นคนอื่นประสบความสำเร็จ ก็อาจจะยิ่งทำให้คุณจมดิ่งกับความรู้สึกแง่ลบลงไปอีกในสภาวะแบบนี้ ดังนั้นจงเข้าใจเสมอว่าโลกโซเชียลมักจะแสดงด้านสวยงามเป็นส่วนมาก แต่ในชีวิตจริงทุกคนก็มีช่วงที่ล้มเหลว ผิดพลาด ด้วยกันทั้งนั้น

7. มองหาตลาดใหม่ในการขายตัวเอง

หากคุณมีความสามารถด้านภาษาต่างประเทศที่ดีอยู่แล้ว ลองใช้โอกาสนี้ในการเปิดโลกตัวเองด้วยการสมัครงานที่ต่างประเทศ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน เพราะที่จริงแล้วตลาดงานนั้นกว้างมากๆ และอาจจะมีงานในฝันของคุณรออยู่ที่อีกซีกโลกหนึ่งก็ได้

8. คุยกับผู้เชี่ยวชาญ

ถ้าเครียดมากๆ การไปพบจิตแพทย์ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพราะเป็นการหาทางแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ ซึ่งมีหลายคนที่กลายเป็นโรคซึมเศร้าหลังจากตกงานเป็นเวลานานๆ เหมือนกัน

สุดท้ายอยากให้มองว่าการ ‘ตกงาน’ ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต และถึงแม้จะถูกปฎิเสธบ้างก็อย่าเพิ่งล้มเลิกที่จะหางาน เพราะช่วงเวลาในการจะได้ทำงานนั้นมีหลายขั้นตอนมาก จงอดทนและเราเชื่อว่าคุณก็จะได้งานที่ตรงใจในที่สุดค่ะ 😀

from:https://www.thumbsup.in.th/how-to-do-when-you-unemployed

ไม่รอให้มาสมัคร ออสเตรเลียเปิดโครงการล่าแรงงานทักษะสูงฝีมือดีเข้าประเทศ ได้วีซ่าถาวร

เพราะ “คน” คือสิ่งสำคัญในการพัฒนาประเทศ รัฐบาลออสเตรเลียจึงมีโครงการล่าแรงงานทักษะสูง-ฝีมือดีจากทั่วโลกให้เข้าประเทศและให้วีซ่าถาวร ที่สำคัญแอบทำเงียบๆ มาตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมาแล้ว

Australia
Australia Photo: Shutterstock

ออสเตรเลียพร้อมล่าแรงงานทักษะสูง-ฝีมือดีเข้าประเทศ ให้วีซ่าถาวร

รัฐบาลออสเตรเลียประกาศโครงการ Global Talent Independent Program หรือ GTIP ซึ่งเป็นโครงการที่เอาไว้ล่าแรงงานทักษะสูง-ฝีมือดีจากทั่วโลกกว่า 5,000 คน

กลุ่มคนมีฝีมือที่รัฐบาลออสเตรเลียต้องการ คือคนที่ทำงานสายเทคโนโลยีในระดับอาวุโส (senior) รวมถึงสายนักวิจัย นักพัฒนา และผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ โดยทางรัฐบาลจะเสนอให้วีซ่าเพื่อมาพำนักแบบถาวรในออสเตรเลีย

รัฐบาลออสเตรเลียระบุว่า “วิธีการนี้จะสร้างโอกาสให้กับชาวออสเตรเลีย เพราะจะทำให้เกิดการถ่ายโอนความรู้รวมถึงสร้างโอกาสใหม่ๆ ในหน้าที่การงานให้กับออสเตรเลียด้วย”

สิ่งที่รัฐบาลออสเตรเลียต้องการคือดึงดูดแรงงานทักษะสูง-ฝีมือดีจากทั่วโลกให้เข้ามาในประเทศ ซึ่งสิ่งที่ทำให้ออสเตรเลียโดดเด่นมากๆ ในครั้งนี้คือการที่ออสเตรเลียไม่รอให้แรงงานเหล่านั้นสมัครเข้ามา หากแต่ทางออสเตรเลียใช้วิธีการออกไปล่าหัวแรงงานเก่งๆ เข้ามาแทน

อย่างไรก็ตาม โครงการล่าแรงงานทักษะสูง-ฝีมือดีของรัฐบาลออสเตรเลียแอบทำแบบเงียบๆ มาตั้งแต่เดือนมิถุนายนแล้ว ซึ่งผู้ที่สนใจดูโครงการสามารถดูได้จากเว็บไซต์ทางการของออสเตรเลียที่นี่

นอกจากออสเตรเลีย หนึ่งในประเทศที่พยายามเปิดรับแรงงานทักษะสูง-ฝีมือดีจากทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัดคือ ญี่ปุ่นที่มีโครงการทำนองนี้เช่นกันโดยได้เปิดเว็บไซต์กลาง เอาไว้รับสมัครแรงงานต่างชาติทักษะสูง-มีฝีมือโดยเฉพาะ และที่สำคัญหากเข้ามาทำงานในลักษณะนี้ ทางรัฐบาลญี่ปุ่นจะชวนให้อยู่ยาวและเอาครอบครัวมาอยู่ได้

นี่คือภาพของการทำงานในโลกอนาคตที่เราจะได้เห็นมากขึ้น

ที่มา – ITNews

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/australia-headhunt-global-talent-officers-5000/

ใครกำลังหางานยกมือขึ้น รวมบริษัทจัดหางานที่น่าฝาก Resume

เข้าสู่ช่วงกลางปีแบบนี้ แน่นอนว่าต้องอัพเดทเรซูเม่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับคนที่กำลังมองหางาน หรืออยากเปลี่ยนงานใหม่ ซึ่งในครึ่งปีแรกที่ผ่านมาก็ต้องมีทักษะและประสบการณ์ที่ทำมามากมายเลยใช่ไหมคะ ทาง thumbsup ได้รวบรวมเว็บไซต์สมัครงานชั้นนำที่น่าสนใจ มาเป็นตัวเลือกสำหรับคนที่กำลังมองหางานกันค่ะ

หากมีบริษัทรับจัดหางานที่น่าสนใจ ก็แนะนำกันมาได้นะคะ

from:https://www.thumbsup.in.th/job-listing-in-thailand

เผย 9 อันดับแรงงานด้าน IT ที่ภาคธุรกิจต้องการ “โปรแกรมเมอร์-ดาต้า” ครองแชมป์

Experis เผยผลสำรวจถึงตำแหน่งงานด้านสาย IT ที่ภาคธุรกิจต้องการมากที่สุด โดยที่สายโปรแกรมเมอร์ หรือนักพัฒนามาเป็นอันดับหนึ่ง เงินเดือนพุ่งไปเกือบหลักแสน

Photo : Shutterstock

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการดำเนินธุรกิจและการทำงาน ส่งผลให้ตลาดแรงงานโดยเฉพาะสายงานด้าน IT มีความต้องการสูง 

ล่าสุด Experis บริษัทในเครือแมนพาวเวอร์กรุ๊ป ทำการสำรวจ และเปิดเผยถึงกลุ่มงานทางด้านไอทีจากผู้ประกอบการ 8 กลุ่มธุรกิจ พร้อมจัดอันดับ 9 สายงานเนื้อหอมที่ตลาดต้องการ หวังกระตุ้นตลาดแรงงานปรับตัว

จากผลการสำรวจพบว่า ความต้องการของบุคลากรทางด้านไอที และดิจิทัลยังเติบโตและเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่องของทั้งภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม โดยมีปัจจัยจากนโยบายขับเคลื่อนประเทศไทยแลนด์ 4.0  และเป็นผลจากความก้าวหน้าและการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในการดำเนินธุรกิจ  รวมถึงการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานเต็มรูปแบบของยุคดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น  

และจากการสำรวจทิศทางตลาดงานดังกล่าวทาง ได้มีการจัดอันดับความต้องการแรงงานสายอาชีพ IT  ปี 2019 พบว่ามี 9 กลุ่มสายงานที่กำลังเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่อง โดยสำรวจจากกลุ่มลูกค้าภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม ได้แก่  กลุ่มค้าปลีก อีคอมเมิร์ซ สถาบันการเงิน โทรคมนาคม การขนส่ง อุตสาหกรรมการผลิต ที่ปรึกษาและให้บริการด้านไอที  ดังนี้

  1. สายงาน Programmer & Developer  

ปัจจุบันภาคธุรกิจมีการเร่งพัฒนาระบบงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ และแอปพลิเคชันที่รองรับการใช้งานบนสมาร์ทดีไวซ์ทุกแพลตฟอร์ม เพื่อนำไปสู่การให้บริการและเข้าถึงกลุ่มลูกค้า รวมถึงการขยายตลาดใหม่ๆ  ทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาแอปพลิเคชัน และซอฟท์แวร์ให้สามารถใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น 

สายงานนี้จึงเป็นส่วนขับเคลื่อนที่สำคัญ สำหรับตำแหน่งที่เป็นที่ต้องการในสายงานดังกล่าว เช่น Software Engineer, โปรแกรมเมอร์ และนักพัฒนา (Front-End/Back-End/Full Stack), นักพัฒนาโมบายแอปพลิเคชัน (iOS/Android/Hybrid) มีฐานรายได้เฉลี่ยเริ่มต้นตั้งแต่ 25,000 ไปจนถึง 135,000 บาทต่อเดือน

  1. สายงาน Data Science  

ในยุคของเศรษฐกิจดิจิทัล  ทั้งภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมต่างมีการเร่งแข่งขันด้านนวัตกรรมและการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆให้กับลูกค้า ซึ่งหัวใจสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้นั้น คือ การเข้าใจและเข้าถึงพฤติกรรมของลูกค้า  

Photo : Shutterstock

ข้อมูลทางธุรกิจจึงเป็นกุญแจสำคัญที่หลายองค์กรจะต้องมีการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ ที่พร้อมนำไปสร้างโมเดลธุรกิจใหม่เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลที่แม่นยำ และนำไปสู่การวางแผนการใช้ข้อมูลเพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ดังนั้น จึงทำให้สายงานดังกล่าวมีความต้องการสูง เช่น Data Scientist, Data Analyst, Business Intelligence, AI (Artificial Intelligence Engineer), ML (Machine Learning Engineer)  โดยมีรายได้เฉลี่ยเริ่มต้นตั้งแต่ 30,000 ไปจนถึง 180,000 บาทต่อเดือน

  1. สายงานทางด้าน Infrastructure เช่น Network & System  

เป็นสายงานที่มีความต้องการต่อเนื่อง เพราะการขับเคลื่อนและพัฒนาในส่วนของเทคโนโลยีต่างๆ ต้องใช้บุคลากรที่มีประสบการณ์ทางด้านการออกแบบและวางแผนระบบเครือข่ายพื้นฐาน รวมไปถึงมีทักษะการจัดการระบบฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ที่ครบถ้วน เช่น Infrastructure Manager, Network Engineer, System Engineer, Network Administrator, System Administrator, Network & System Security  มีฐานรายได้เฉลี่ยเริ่มต้นตั้งแต่ 28,000 ไปจนถึง 150,000 บาทต่อเดือน

  1. สายงาน E-Commerce & Digital Marketing  

ด้วยเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน และพฤติกรรมผู้บริโภคคนไทยมีการใช้งานอินเตอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียต่างๆ เพิ่มขึ้นซึ่งติดอันดับท็อป 5 ของภูมิภาคเอเชีย อีกทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคผ่านช่องทางการค้าออนไลน์มากขึ้น รวมไปถึงการใช้งาน E-Payment ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคที่ใช้เวลาอยูในโลกออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ความต้องการของสายงานนี้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น Online/Digital Marketing, Content Manager/Specialist, SEO/SEM, Web/Graphic Designer, Web Master, E-Commerce Front/Back End Developer (Web/Mobile) กลุ่มนี้มีฐานรายได้เฉลี่ยเริ่มต้นตั้งแต่ 26,000 ไปจนถึง 90,000 บาทต่อเดือน

ภาพโดย Dressformer (Own work) [CC BY-SA 3.0 (https://creativecommons.org/licenses/by-sa/3.0)%5D, via Wikimedia Commons
  1. สายงาน ERP / SAP   

เมื่อองค์กรมีความต้องการใช้ระบบ ERP เพื่อนำมาช่วยจัดการสายงานทุกสายงานของธุรกิจให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและได้ข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ สามารถนำไปใช้ประกอบการดำเนินกิจกรรมของธุรกิจได้ และผู้บริหารสามารถเรียกดูข้อมูลและตรวจสอบข้อมูลสถานะของบริษัทได้ โดยทำหน้าที่จัดการเกี่ยวกับทรัพยากรขององค์กรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตำแหน่งงานของสายงานทางด้านนี้ยังเป็นที่ต้องการสูง เช่น SAP/Oracle Functional Consultant, SAP/ERP Analyst, ERP Consultant, ERP Implementation Specialist, ERP Support & Administrator  โดยมีฐานรายได้เฉลี่ยเริ่มต้นตั้งแต่ 30,000 ไปจนถึง 220,000 บาทต่อเดือน

  1. สายงาน Database Management  

ระบบฐานข้อมูลถือเป็นหัวใจสำคัญในการรองรับและสนับสนุนการพัฒนาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หรือโปรแกรมประยุกต์เพื่อรองรับการใช้งาน สำหรับการดำเนินธุรกิจในยุคดิจิทัลการเข้าใช้งานบนเว็บไซต์และโปรแกรมประยุกต์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นส่งผลให้ระบบฐานข้อมูลมีความจำเป็นต้องมีบุคลากรผู้เชี่ยวชาญดูแลในส่วนของการบำรุงรักษา สำรองข้อมูล เพิ่มประสิทธิภาพ ดูแลการทำงานของระบบ การรวมหรือย้ายข้อมูล ดูแลด้านความถูกต้องและความปลอดภัยของฐานข้อมูล ส่งผลให้ตำแหน่ง Database Administrator ยังเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่เสมอ ซึ่งในตำแหน่งดังกล่าว มีฐานรายได้เฉลี่ยเริ่มต้นตั้งแต่ 28,000 ไปจนถึง 105,000 บาทต่อเดือน

  1. สายงาน IT Management & Project Management  

การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้และเสริมความแข็งแกร่งให้กับกระบวนการทางธุรกิจยังมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขั้นตอนและกระบวนการในปัจจุบัน มีการถูกปรับเปลี่ยนโดยนำเทคโนโลยีมาเพิ่มศักยภาพให้มีความเป็นอัตโนมัติยิ่งขึ้น ทำให้เกิดโจทย์ทางธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งต้องการกลุ่มสายงานลูกผสมที่มีความรู้ทางด้านธุรกิจควบคู่กับไอทีมาช่วยพัฒนาซอฟต์แวร์และระบบต่างๆในเชิงงานโครงการ ทำให้สายงานเช่น Product Owner, Project Manager, Scrum Master, Business/System Analyst เป็นที่ต้องการเป็นอย่างมากและมีฐานรายได้เฉลี่ยเริ่มต้นตั้งแต่ 38,000 ไปจนถึง 150,000 บาทต่อเดือน

ภาพจาก shutterstock
  1. สายงาน Cyber Security  

สายงานนี้มีความสำคัญและเป็นที่ต้องการสูง เนื่องจากการเติบโตของจำนวนผู้ใช้งานในโลกไซเบอร์ที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ต้องสร้างความมั่นใจว่าระบบต่างๆ มีความปลอดภัย ไม่มีช่องโหว่เกิดขึ้นในระบบขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นระบบความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ ความปลอดภัยเครือข่าย ความปลอดภัยด้านโปรแกรมประยุกต์และระบบปฎิบัติการ ความปลอดภัยของโปรโตคอล, เทคโนโลยีเข้ารหัสข้อมูล, และการใช้งานไฟล์วอลล์ร่วมกับมาตรการความปลอดภัยอื่นๆ  รวมถึงต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูลด้วย  สายงานดังกล่าวมีฐานรายได้เฉลี่ยเริ่มต้นตั้งแต่ 65,000 ไปจนถึง 200,000 บาทต่อเดือน

  1. สายงาน IT Support  

เป็นสายงานที่มีความต้องการของตลาดมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง  จากการใช้งานของอุปกรณ์ไอที ระบบฮาร์ดแวร์/ซอฟแวร์ ระบบเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานและแอปพลิเคชัน อันเป็นปัจจัยหลักในการใช้ทำธุรกิจและติดต่อสื่อสาร ผู้ใช้งานยังคงต้องการความช่วยเหลือหน้างานจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ นั่นคือ IT Support, IT Helpdesk และ Technical Support ซึ่งนับวันยิ่งมีความต้องการสูงขึ้นเนื่องจากการขยายตัวของตลาดไอทีและการทรานส์ฟอร์เมชั่นเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล  โดยสายงานนี้มีฐานรายได้เฉลี่ยเริ่มต้นตั้งแต่ 18,700 ไปจนถึง 55,000 บาทต่อเดือน

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/experis-research-9-jobs-it/

15 บริษัทระดับโลก ที่กำลังต้องการแรงงานด้านไอทีเป็นจำนวนมาก

หลายคนคิดว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านไอทีของโลกในซิลิคอนแวลเล่ย์นั้นเป็นแหล่งหางานที่ดีที่สุด แต่จากการวิเคราะห์ฐานข้อมูลการจ้างงานล่าสุดของ Indeed.com พบว่าบริษัทที่โพสต์หาพนักงานในตำแหน่งเกี่ยวกับเทคโนโลยีในช่วงปีที่ผ่านมามากที่สุดนั้น กว่าสองในสามไม่ได้เป็นบริษัทด้านไอทีโดยตรง และมีแค่ 2 บริษัทเท่านั้นที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในซิลิคอนแวลเล่ย์ โดยส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในรัฐวอชิงตัน, เมืองดีซี, และหลายบริษัทอยู่ในกลุ่มงานด้านผลิตอาวุธ, ที่ปรึกษา, ดูแลสุขภาพ, ไปจนถึงสถาบันการเงิน

บริษัทเหล่านี้เป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่จ้างพนักงานหลักหมื่นถึงแสนคน ซึ่งบริษัทที่จ้างงานเพิ่มน้อยที่สุดนั้นอยู่ที่ 19,000 คน ขณะที่บริษัทที่ต้องการคนเพิ่มมากที่สุดจ้างงานเพิ่มมากถึงครึ่งล้านตำแหน่งเลยทีเดียว ซึ่งบริษัทผู้จ้างเหล่านี้กล่าวว่าตนเองมีการโพสต์หาพนักงานใหม่เฉลี่ย 125 ตำแหน่งในสหรัฐฯ ทุกๆ วันต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

โดยรายละเอียดของทั้ง 15 บริษัทที่โพสต์หาพนักงานด้านไอทีมากที่สุดในสหรัฐฯ ช่วงปีที่ผ่านมาจากข้อมูลของ Indeed.com เรียงจากน้อยไปมาก เป็นดังต่อไปนี้

• Oracle

ก่อตั้งเมื่อ 1977 จำหน่ายซอฟต์แวร์ระดับองค์กร, คลาวด์คอมพิวติง, และโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ โดยเป็นที่รู้จักในด้านซอฟต์แวร์ฐานข้อมูล ล่าสุดรั้งอันดับ 82 ในรายชื่อ Fortune 500 มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Redwood Shores รัฐแคลิฟอร์เนีย มีพนักงานประมาณ 137,000 คน รายรับต่อปีอยู่ที่ 39.83 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โพสต์หาตำแหน่งงานด้านไอทีเป็นสัดส่วน 0.33% ของตำแหน่งงานที่มีในตลาดทั้งหมด โดยเข้าไปดูได้ที่

• Northrop Grumman

ผู้ผลิตเครื่องบินรบ โดยเฉพาะแบบไร้คนขับ ตั้งอยู่ที่เวอร์จิเนีย มีพนักงาน 85,000 คน รายรับต่อปี 25.803 พันล้านดอลลาร์ฯ โพสต์งานใหม่คิดเป็น 0.34% ดูรายละเอียดได้จาก

• General Dynamics Information Technology

เป็นคู่สัญญากับรัฐบาลสหรัฐฯ ด้านบริการเทคโนโลยี อยู่อันดับ 99 ของ Fortune 500 ตั้งอยู่ที่เวอร์จิเนีย มีพนักงาน 45,00 คน โพสต์งานใหม่คิดเป็น 0.35% ดูรายละเอียดได้จาก

• Capgemini

เป็นหนึ่งในบริษัทที่ปรึกษาที่ใหญ่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่กรุงปารีส มีพนักงาน 200,000 คน รายรับต่อปีอยู่ที่ 12.8 พันล้านดอลลาร์ฯ โพสต์งานใหม่คิดเป็น 0.36% ดูรายละเอียดได้ที่

• IBM

บริษัทไอทีที่เก่าแก่ที่สุด รั้งอันดับ 34 ใน Fortune 500 ตั้งอยู่ที่นิวยอร์ก มีพนักงานรวม 366,000 คน รายรับต่อปี 79.139 พันล้านดอลลาร์ฯ โพสต์งานใหม่คิดเป็น 0.37% ดูรายละเอียดได้ที่

• CACI International Inc.

เป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นไอทีสำหรับกลาโหมและหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯ ประจำกรุงดีซี ตั้งอยู่ที่เวอร์จิเนีย มีพนักงาน 19,800 คน รายรับต่อปี 4.47 พันล้านเหรียญฯ โพสต์งานใหม่คิดเป็น 0.39% ดูรายละเอียดได้ที่

• Apple

รั้งอันดับ 4 ใน Fortune 500 จัดเป็นบริษัทไอทีที่มีรายรับมากที่สุดในโลก อยู่ที่แคลิฟอร์เนีย มีพนักงาน 132,000 คน รายรับต่อปี 265.6 พันล้านเหรียญฯ โพสต์งานใหม่คิดเป็น 0.43% รายละเอียดดูได้ที่

• UnitedHealth Group

เป็นบริษัทดูแลสุขภาพที่มีรายรับมากที่สุดในโลก รั้งอันดับ 5 ใน Fortune 500 ตั้งอยู่ที่มิเนโซต้า มีพนักงานมากกว่าสามแสนคน รายรับต่อปี 201.1 พันล้านเหรียญฯ โพสต์งานใหม่คิดเป็น 0.44%

• Booz Allen Hamilton

ให้บริการที่ปรึกษาด้านงานบริหารและไอทีที่เก่าแก่ที่สุด ตั้งอยู่ที่เวอร์จิเนีย มีพนักงาน 24,225 คน รายรับต่อปี 6.2 พันล้านเหรียญฯ โพสต์งานใหม่คิดเป็น 0.46% ดูรายละเอียดได้จาก

• Leidos

เป็นคู่สัญญากับทางการสหรัฐฯ ด้านยุทโธปกรณ์ และความปลอดภัยทางไซเบอร์ อยู่อันดับ 292 ของ Fortune 500 ตั้งอยู่รัฐเวอร์จิเนีย มีพนักงาน 32,000 คน รายรับต่อปี 10.2 พันล้านเหรียญฯ โพสต์งานใหม่คิดเป็น 0.57% ดูรายละเอียดได้ที่

• Best Buy

เปิดร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า, โทรศัพท์, คอมพิวเตอร์, และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กว่าพันแห่งทั้งในสหรัฐฯ, แคนาดา, และเม็กซิโก สำนักงานใหญ่อยู่ที่มิเนโซต้า มีพนักงาน 125,000 คน รายรับต่อปี 42 พันล้านเหรียญฯ โพสต์งานใหม่คิดเป็น 0.63% ดูรายละเอียดได้ที่

• JPMorgan Chase

เป็นหนึ่งในสถาบันการเงินใหญ่ที่สุดในโลก มีทรัพย์สินรวมกว่า 2.6 ล้านล้านดอลลาร์ฯ อยู่อันดับ 20 ของ Fortune 500 สำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงนิวยอร์ก มีพนักงาน 250,000 คน รายรับต่อปี 99.6 พันล้านดอลลาร์ฯ โพสต์งานใหม่คิดเป็น 0.70% ดูรายละเอียดได้จาก

• Lockheed Martin

หนึ่งในคู่สัญญาผลิตอาวุธรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ มีสำนักงานกระจายอยู่ทั่ว 50 รัฐและ 52 ประเทศ อยู่อันดับ 59 ของ Fortune 500 สำนักงานใหญ่อยู่แมรี่แลนด์ มีพนักงานกว่าแสนคน รายรับต่อปีที่ 51 พันล้านเหรียญฯ โพสต์งานใหม่คิดเป็น 0.74% ดูรายละเอียดได้ที่

• Microsoft

ปัจจุบันนอกจากโอเอสและซอฟต์แวร์ออฟฟิศแล้ว ยังให้บริการด้านคลาวด์, เกมคอนโซลอย่าง Xbox, โน้ตบุ๊ก Surface, โซเชียลเน็ตเวิร์กอย่าง LinkedIn, ทูลสำหรับพัฒนาต่างๆ เป็นต้น รั้งอันดับ 30 ใน Fortune 500 ตั้งอยู่ที่เรดมอนด์ รัฐวอชิงตัน มีพนักงาน 134,944 คน รายรับต่อปีที่ 110.4 พันล้านดอลลาร์ฯ โพสต์พนักงานใหม่คิดเป็น 0.79% ดูรายละเอียดได้ที่

• Amazon

โพสต์หางานด้านไอทีเยอะที่สุดในประเทศแล้วในช่วงปีที่ผ่านมา ในหลายด้านด้วยกัน มีโพสต์ตำแหน่งงานเพิ่มเฉลี่ย 125 ตำแหน่งทุกวันในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เริ่มต้นจากธุรกิจร้านค้าออนไลน์ จนแตกแขนงมาด้านคลาวด์คอมพิวติง, อุปกรณ์สมาร์ทโฮม, แท็บเล็ต, และจำหน่ายคอนเทนต์ ครองอันดับ 8 ในรายชื่อ Fortune 500 มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน มีพนักงานรวมกว่า 560,000 คน รายรับต่อปีอยู่ที่ 177.9 พันล้านดอลลาร์ฯ โพสต์งานใหม่คิดเป็น 1.77%

ที่มา : Networkcomputing

from:https://www.enterpriseitpro.net/5-top-companies-it-job-postings/