คลังเก็บป้ายกำกับ: FUTURE

จาก “Made in China” ถึง “Created in China”: เมื่อจีนไม่อยากเป็นแค่ “โรงงานโลก” อีกต่อไป

เมื่อจีนไม่ขอเป็นแค่โรงงานโลกอีกต่อไป

เพราะอนาคตของจีน คือการเป็นประเทศแห่งนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยี

Taobao Maker Festival 2019

จาก “Made in China” ถึง “Created in China”

ข้อความด้านบนไม่ใช่สโลแกนของทางการจีนแต่อย่างใด

หากแต่มันเป็นเพียงชุดคำที่ผุดขึ้นในหัวหลังจากได้เดินดูงาน “Taobao Maker Festival 2019” จากคำเชิญชวนของ Alibaba ให้เดินทางไปเยี่ยมชมในเมืองหางโจว ประเทศจีนเมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ในงานมีอะไรบ้าง?

โดยภาพรวมของงาน มีทั้งหมด 3 โซนใหญ่ๆ ได้แก่ โซนนวัตกรรม ที่นำเอาเทคโนโลยีล้ำๆ มานำเสนอ, โซนวัฒนธรรม ที่นำเอาเสื้อผ้า เครื่องประดับ และของใช้มาแสดง และโซนสุดท้ายคือ โซนรวบรวมเทรนด์และกระแส โดยมีทั้งเรื่องของอาหารการกิน เครื่องดื่ม ขนมที่แปลกใหม่ทั้งที่เคยเห็นและไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน

ทางเข้างาน Taobao Maker Festival 2019
ทางเข้างาน Taobao Maker Festival 2019

ความน่าสนใจที่สุดของงานนี้คือ “โซนนวัตกรรม-เทคโนโลยี” เนื่องจากสะท้อนภาพของอนาคตจีนได้ค่อนข้างดีทีเดียว

บทความนี้จะพาไปชมบรรยากาศภายในงานโดยเน้นไปที่โซนเทคโนโลยี พร้อมทั้งเสนอว่าสิ่งที่สังคมจีน (ในที่นี้คือ Alibaba) กำลังทำในภาพใหญ่ คือการขยับจากความภาพลักษณ์ของการเป็นโรงงานโลกในชื่อ “Made in China” ไปสู่ “Created in China” หรือประเทศแห่งนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยี

โซนนวัตกรรม Super Human Project
โซนนวัตกรรม Super Human Project

โซนนวัตกรรม-เทคโนโลยีในงาน Taobao Maker Festival 2019

  • เริ่มต้นที่บูธแรกในโซนนวัตกรรม Super Human Project บูธนี้ได้รับความสนใจอย่างมากจากทั้งสื่อมวลชนและผู้เข้าร่วมงาน

เชา หวาง ผู้ก่อตั้ง Exoskeleton เทคโนโลยีชุดสวมใส่เพื่อเพิ่มพละกำลัง (Technology Wearable Robot หรือเรียกว่า Power Suit) ระบุว่า เมื่อสวมใส่เทคโนโลยีตัวนี้แล้ว จะทำให้เราสามารถดึงพลังของร่างกายมาใช้ได้มากขึ้น เช่น ใส่แล้วสามารถยกของหนักขึ้นได้มากขึ้น อีกทั้งยังทำให้ร่างกายเราไม่ให้รับบาดเจ็บจากการยกของหนัก

ในบูธนี้ยังใช้คำว่า Future of Career สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า อนาคตของอาชีพหรือการทำงานของมนุษย์ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้พละกำลังมากมายมหาศาลอีกต่อไป เพราะนวัตกรรมและเทคโนโลยีจะเข้าช่วยเสริมได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ชุดเพิ่มพลังของสตาร์ทอัพจีนรายนี้เหมาะกับการทำงานในโลจิสติกส์ โดยเฉพาะที่ต้องยกของหนักๆ ได้ถึง 2.3 ตัน และที่มากไปกว่านั้น ชุดนี้สามารถใช้ในทางการทหารได้ด้วย ซึ่งในอนาคตจะมีพัฒนาชุดนี้ไปใช้กับนักผจญเพลิงอีกด้วย

โซนนวัตกรรม Aircraft Parking Lot
โซนนวัตกรรม Aircraft Parking Lot
  • ถัดมาคือบูธ Aircraft Parking Lot ที่นำเสนอรูปแบบการเดินทางของโลกอนาคตหรือ Future of Riding

สิ่งที่สตาร์ทอัพรายนี้เสนอคือ ในโลกอนาคตการเดินทางทั้งทางบกและทางอากาศระหว่างเมือง อาจกลายเป็นเรื่องเดียวกัน ในปัจจุบันเราได้เห็นเทคโนโลยีโดรนส่งของข้ามเมืองกันแล้ว แต่ต่อไปการขนส่งมนุษย์หรือเดินทางของมนุษย์ระหว่างเมืองอาจกลายเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม สตาร์ทอัพรายนี้มองว่า หากในอนาคตจะมีการนำเอาเทคโนโลยีตัวนี้ไปใช้จริง อาจจะต้องมีการพูดคุย/ถกเถียงถึงข้อจำกัดทางด้านกฎหมาย

  • บูธนี้คือ AI กับอนาคตเรื่อง “เสียง” และ “ภาษา” 

หนึ่งในอุปสรรคของการสื่อสารคือภาษา บูธนี้นำเสนอ AI ที่แปลภาษาได้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญด้วยพลังของ AI ที่พัฒนาขึ้นจนเก่งพอ จะสามารถแปลภาษาจากหนึ่งภาษาไปสู่หลายสิบภาษาได้แบบเรียลไทม์

ข้อดีของการแปลหลายๆ ภาษาได้แบบเรียลไทม์จะนำไปสู่การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการประชุม การเสวนา และยังรวมไปถึงการนำเสนอข่าว (news) ที่อาจใช้ AI แปลภาษาและนำเสนอได้แบบเรียลไทม์ด้วย

  • บูธ Shark Drive นำเสนอนวัตกรรมโดรนสำหรับสำรวจโลกใต้น้ำ

บูธนี้เป็นของ DJI ที่นำเอาโดรนใต้น้ำมาจัดแสดง โดยมีหน้าตาเหมือนฉลามและควบคุมผ่านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ซึ่ง DJI บอกว่า นี่คืออนาคตของการสำรวจโลกใต้น้ำ

  • บูธ Future Meat Lab ซึ่งนำเสนอเรื่อง Future of Food

บูธนี้นำเสนอกระแสของอาหารในโลกอนาคตที่ทุกอย่างจะเป็น plant-based meat หรือเนื้อที่ไม่ใช่เนื้อ เพราะทุกวัตถุดิบสังเคราะห์มากจาก “พืช” แต่มีเนื้อสัมผัสและรสชาติที่ใกล้กับเนื้ออย่างมาก

การนำเสนอเรื่อง “อนาคตของอาหาร” สอดคล้องกับสถิติที่ระบุว่า ประชากรโลกในปัจจุบันที่มีอยู่กว่า 7.7 พันล้านคนจะเพิ่มขึ้นเป็น 9 พันหรือ 1 หมื่นล้านในอนาคตอันใกล้ และแน่นอนว่าการสร้างทางเลือก (ที่อาจจะเป็นทางหลักในอนาคต) อย่างการทำวิจัยและนำมาสร้างเป็นโมเดลธุรกิจของอาหารที่มีลักษณะคล้านเนื้อสัตว์แต่ที่มีที่มาจากพืชล้วนๆ จะตอบโจย์ปัญหาของโลกในอนาคต

บรรยากาศงาน Taobao Maker Festival 2019
บรรยากาศงาน Taobao Maker Festival 2019

อนาคตของจีน อาจเป็นอนาคตของอีกหลายที่ทั่วโลก

คริส ตง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด Alibaba Group ระบุว่า เป้าหมายของการสร้างงาน Taobao Maker Festival 2019 ต้องการให้เป็นพื้นที่หลักทางวัฒนธรรม นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ เพราะมีทั้ง maker และ creator รุ่นใหม่ๆ ในจีนมารวมตัวกัน และทั้งหมดนี้จะทำให้จีนก้าวพ้นจากประเทศที่เป็นฐานของการผลิต (โรงงานโลก) ไปสู่ประเทศที่มีความโดเด่นของการใช้ความคิดสร้างสรรค์ ดีไซน์ และนวัตกรรมเทคโนโลยี

การฉายภาพอนาคตของจีนในงาน Taobao Maker Festival 2019 สะท้อนให้เห็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือ จีนพยายามจะบอกว่า อนาคตอยู่ที่นี่ (Future is here)

อนาคตของโลกในหลากหลายวงการจะเริ่มต้นจากจีน จีนจะเป็นผู้นำโลกในด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรม ไม่ใช่ผู้ตามแบบเดิมที่รู้จักกันในนาม “โรงงานโลก” ที่รอให้ใครมาใช้งานสั่งให้ผลิตสินค้าอีกต่อไป

  • เพราะจีนจะเป็นผู้นำโลก ด้วยวิสัยทัศย์ ด้วยเทคโนโลยี ด้วยเงินทุน และการสนับสนุนในระดับชาติจากรัฐบาลจีน

แต่ที่พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่า “จีนจะไม่เป็นโรงงานโลก” ในความหมาย Made in China แบบ 100% เพราะถึงที่สุด จีนยังมีประสิทธิภาพสูงในการผลิตสินค้าจำนวนมหาศาลอยู่เช่นเดิม

แต่ประเด็นคือ แม้จีนจะเป็นโรงงานโลกในความหมาย Made in China แบบเดิม แต่สิ่งใหม่ที่จีนผลักดันมากจนเห็นได้ชัดคือการจะเป็น “Created in China”

  • จีนจะเป็นประเทศที่โดดเด่นด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ สิ่งเหล่านี้จะกลายมาเป็นจุดแข็งของจีนในอนาคต
คริส ตง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด Alibaba Group
คริส ตง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด Alibaba Group

ดูจีนเสร็จ หันมองไทย อนาคตของเราจะเป็นอย่างไร?

ถึงวันนี้ เราปฏิเสธการเติบโตที่ยิ่งใหญ่ของจีนไม่ได้ และการเคลื่อนทิศทางของประเทศจากโรงงานโลกไปสู่ประเทศแห่งความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และเทคโนโลยี

ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า เป็นการเตรียมพร้อมต่อการลดลงของจำนวนประชากรในประเทศที่คนอายุ 15 ถึง 64 ปีจะต่ำลง ข้อมูลของ Harvard Business Review เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ปี 2015-2035 ประชากรกลุ่มที่มี productivity สูงกลุ่มนี้จะลดลง 9% และจะลดลง 20% ในปี 2050 นั่นหมายความว่า จำนวนประชากรจีนที่จะลดลงไปกว่า 200 ล้านคน ทำให้จีนไม่สามารถใช้กลยุทธ์แบบเดิมได้อีกต่อไป

  • Created in China จึงเป็นคำตอบใหม่ที่เอกชนจีน รัฐบาลจีน พยายามผลักดันให้ถึงที่สุด

ทีนี้กลับมามองประเทศไทย ซึ่งเราถือเป็นประเทศที่กำลังประสบปัญหา แก่ก่อนรวย ลาออกก่อนแก่ และมีหนี้สิน แนวโน้มสังคมที่น่าห่วง นอกจากนั้นงานวิจัยเรื่อง ประชากรไทยในอนาคต ได้เปิดเผยว่า “ประชากรไทยในอนาคตเพิ่มช้าลงไปเรื่อย ๆ อีกไม่เกิน 20 ปีข้างหน้า อัตราเพิ่มของประชากรไทยจะใกล้เคียงกับศูนย์ และอาจเป็นไปได้ว่าอัตราเพิ่มประชากรลดลงไปจนต่ำกว่าศูนย์หรือติดลบ จำนวนประชากรไทยใกล้จะถึงจุดคงตัวแล้ว เมื่ออัตราเพิ่มประชากรใกล้เคียงกับศูนย์ ประชากรก็จะมีจำนวนคงตัวที่ประมาณ 65 ล้านคน ในแต่ละปี ประชากรไทยจะไม่เพิ่มหรือลดไปจากจำนวนนี้มากนัก ประชากรไทยมีจำนวนคงตัวในระยะเวลาอีกเพียงประมาณ 15 ปีเท่านั้น”

ชะตากรรมของเราในแง่นี้คล้ายกันกับอีกหลายประเทศทั่วโลกที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเช่นกัน

คำถามสำหรับเรา ในฐานะคนไทย บริษัทไทย ชาติไทย คือ “เราจะเอาย่างไรกับโลกอนาคต”

แน่นอนว่า คำตอบไม่ได้มีหนึ่งเดียว และไม่มีคำตอบใดที่ดีที่สุดหรือถูกต้องที่สุด แต่เราต้องค้นหาให้เจอว่าจุดแข็งของเราคืออะไร จุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของเราคืออะไร และเราจะทำสิ่งนั้นให้ดีขึ้นจนคนอื่นๆ สู้และทัดเทียมยากได้อย่างไร

สิ่งนั้นอาจเป็น “ความสนุกสนาน” ที่ขึ้นชื่อของประเทศ แต่เราจะเปลี่ยนสิ่งนั้นให้เป็นโอกาสทางธุรกิจของประเทศทั้งระบบได้อย่างไร

บางที…การเริ่ม “คิด” ถึงอนาคตบ้าง ก็อาจเป็นคำตอบแรกที่เราควรทำครับ

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/taobao-maker-festival-2019/

5 บทเรียนจาก “ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา” ฝากถึงคนรุ่นใหม่

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา

เมื่อช่วงบ่ายของวันศุกร์ที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา คุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมา มาเป็นแขกรับเชิญในงาน WeShare ของวงใน (Wongnai)

คุณภิญโญคือเจ้าของสำนักพิมพ์ openbooks และเป็นผู้เขียนหนังสือ Future: ปัญญาอนาคต, Past: ปัญญาอดีต, One Millon: ปัญญาหนึ่งถึงร้อยหมื่น และล่าสุด Present: ปัญญาจักรวาล

ส่วน WeShare คืองานที่จะเชิญคนเก่งๆ เจ๋งๆ จากทั่วฟ้าเมืองไทยมาร่วมพูดคุย-แลกเปลี่ยนมุมมอง และแน่นอนครั้งนี้ หลายคนที่ได้ฟังคุณภิญโญ ได้รับ “ปัญญา” กันไปถ้วนหน้า

Brand Inside ร่วมอยู่ในงานและขอถอดสิ่งที่ได้ยิน-ได้ฟังออกมาเป็น 5 บทเรียนดังนี้

1. ถ้าเราไม่ฝากความหวังไว้กับคนรุ่นใหม่ ใครจะสร้างอนาคตให้ประเทศไทย

หนึ่งในคำตอบที่คุณภิญโญตอบไว้ได้ดีมากๆ คือการตอบคำถามถึงประเด็น “คนรุ่นใหม่”

  • คำถามคือ ทำไมทุกครั้งที่เห็นคุณภิญโญคิด เขียน หรือให้สัมภาษณ์ จะต้องมีคำว่า “คนรุ่นใหม่” ออกมาเสมอ ดูเหมือนว่าจะ “โปร” คนรุ่นใหม่เสียเหลือเกิน มันเป็นเพราะอะไร ทำไมจึงต้องโปรคนรุ่นใหม่ แล้วคนรุ่นเก่าอยู่ที่ไหนในสมการของอนาคต?

คุณภิญโญตอบว่า ที่ต้องโปรคนรุ่นใหม่ เพราะคนรุ่นเก่าโปรตัวเองกันเยอะไปแล้ว หลงใหลในความรุ่งเรืองในอดีตของตัวเองมากจนเกินไป คนรุ่นเก่ามีอำนาจอยู่ในมือเพราะว่าอยู่ที่นี่มานาน เมื่ออยู่มานานก็มีอำนาจเยอะ แล้วก็ไม่อยากสูญเสียอำนาจนั้นไป

“อำนาจในการตัดสินใจบงการชีวิตลูกหลาน อำนาจในการตัดสินใจบงการชีวิตอนาคตธุรกิจ อำนาจในการตัดสินใจบงการอนาคตการเมือง อำนาจในการกำหนดนโยบายอนาคตของประเทศ” คนรุ่นเก่าบงการไว้หมด

คุณภิญโญบอกว่า “คนรุ่นผมถือเป็นคนรุ่นเก่า จะมีประโยชน์อะไรที่จะมาชมเชยตัวเอง ถ้าเราทำดีไว้ในอดีตที่ผ่านมา เราคงไม่ต้องส่งมอบสังคมที่ทำให้ลูกหลานต้องลำบากแบบนี้ ถ้าเราใช้เวลา 20 ปีที่ผ่านมาทำงานอย่างเต็มที่มีประสิทธิภาพและทำในวิสัยทัศน์ที่ถูกต้อง เราจะส่งมอบสังคมที่น่าอยู่ ความขัดแย้งต่ำ แล้วทุกคนมองเห็นอนาคตร่วมกันได้ให้กับลูกหลาน ซึ่งก็คือทุกท่านที่นั่งอยู่ตรงนี้ แล้วลูกหลานจะไม่มีคำถามย้อนกลับมาที่เรา

“ผมว่าคนรุ่นผมต้องทำความผิดพลาดอะไรบางอย่าง หรือไม่ได้ทำบางอย่างให้ดี มันจึงไม่ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องตามที่ควรจะเป็น นั่นคือเหตุผลที่เราต้องละวางอดีต ละวางคนรุ่นเก่าไว้ เพราะว่ามีอำนาจ แต่ไม่สามารถสร้างสรรค์สังคมที่มีคุณภาพเพียงพอที่จะให้คนรุ่นใหม่อยู่อาศัยและเดินทางต่อไปสู่อนาคตได้” คุณภิญโญกล่าว

คำถามคือ แล้วถ้าผมอยู่ตรงกลาง ผมควรที่จะไปยึดอดีต แล้วโปรคนมีอำนาจล้นฟ้าอยู่แล้ว มีทรัพยากรล้นฟ้าอยู่แล้ว หรือผมควรจะหันหน้ากลับมาสนทนากับคนรุ่นใหม่แล้วบอกว่านี่คือปัญหาที่คนรุ่นผมสร้างมา หรือว่าไม่ได้สร้างมาแต่เราล้มเหลว เราทำไม่สำเร็จ

ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย ผมขอฝากอนาคตไว้กับคนรุ่นใหม่ แล้วทำสิ่งที่มันดีขึ้นให้กับประเทศนี้ ไม่งั้นผมจะอยู่ในสังคมแบบนี้ต่อไปได้อย่างไร

คนรุ่นผมเหลือเวลาไม่มากในการมีชีวิตอยู่ ความหวังก็คือหวังว่าคนรุ่นใหม่จะสร้างสรรค์ สังคมที่ดีขึ้น กำลังเราเหลือน้อย ปัญญาเราเหลือน้อย เราจำเป็นต้องฝากชีวิตเราไว้อยู่ในมือคนรุ่นใหม่ทุกท่าน เราต้องให้ปัญญา ให้กำลัง ให้ทรัพยากร และให้กำลังใจคนรุ่นใหม่ที่จะร่วมสร้างสังคมที่ดี

เราจำเป็นต้องอยู่อาศัยในสังคมนี้ ถ้าคนรุ่นใหม่ทำไม่สำเร็จ เราจะไม่เหลือใครที่มีกำลังพอที่จะแบกรับอนาคตของประเทศชาตินี้ไว้ได้เลย ซึ่งจะเป็นเรื่องที่น่าขมขื่นมาก พูดแล้วน้ำตาจะไหล…

  • คุณภิญโญน้ำตาไหล เมื่อตอบคำถามมาถึงตรงนี้

นี่คืออารมณ์ของสังคมตอนนี้ ผมว่ามันเป็นอารมณ์ที่อัดอั้นอยู่ในหัวใจคนไทย ที่ผมพูดอย่างนี้น้ำตามันไหลออกมาเอง ไม่ได้ตั้งใจจะดราม่า แต่คำถามมันโดนใจ

ถ้าเราไม่ฝากความหวังกับคนรุ่นใหม่ ใครจะสร้างอนาคตให้ประเทศไทย ผมจึงพยายามกำลังสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ว่าช่วยมีความมั่นใจและสร้างอนาคต เดินทางต่อไปแม้ว่าจะเป็นเรื่องยาก อย่าใช้อำนาจเป็นตัวนำสังคม ให้ใช้ปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ ให้เขาได้มีโอกาสสร้างอนาคตให้กับประเทศในวันที่มันพอจะสร้างได้ เพราะในวันที่มันสร้างไม่ได้ เราเหลือกลยุทธ์เดียวคือเราต้องหนี อย่าให้คนรุ่นใหม่ อย่าให้เยาวชนต้องหนีจากประเทศนี้ไป

จงให้ประเทศวันนี้เป็นดินแดนแห่งความหวัง ให้ประเทศนี้เป็นดินแดนแห่งอนาคต ไม่ใช่เป็นดินแดนที่ถูกอดีตกดทับ แล้วเราต้องอยู่กับความทรงจำกับความรุ่งเรืองในอดีตที่จางหายไปแล้วแต่คุณยังไม่ตระหนัก

นี่คือเหตุผลที่ผมต้องโปรคนรุ่นใหม่ เพราะผมต้องอาศัยอยู่ในอนาคตที่คนรุ่นใหม่สร้าง ฉะนั้นไม่มีทางที่ผมจะปฏิเสธกำลัง ความคิด ความฝัน ของคนรุ่นใหม่ ผมมีหน้าที่ต้องให้เวลา พลังงาน ปัญญากับคนรุ่นใหม่ เพื่อให้เขาทำหน้าที่อย่างดีที่สุด

คนรุ่นเก่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องเปิดพื้นที่ให้กับคนรุ่นใหม่ในทุกมิติได้แล้ว หยุดการครอบงำสังคมโดยอคติและความทรงจำเดิมๆ และความสำเร็จในอดีตของเราเสียที

2. ไม่มีประโยชน์ที่เข้าใจโลก แต่ไม่เข้าใจตัวเอง

“แต่ถ้าไม่เข้าใจตัวเอง ก็ไม่เข้าใจโลก” คุณภิญโญกล่าว

ในชีวิตของเรา เราจำเป็นต้องคบหาสมาคมกับผู้คนที่หลากหลาย ทั้งคนที่อาวุโสกว่า มีประสบการณ์มากกว่า อายุมากกว่า

“ความแก่มันเป็นพร คุณอยากแก่วันนี้ คุณก็แก่ไม่ได้” ถ้าคุณอายุน้อย คุณจะเข้าใจคนอายุมากได้อย่างไร หนทางเดียวคือการพูดคุย เพราะมันคือการแลกเปลี่ยนปัญญา

ฉะนั้น กรุณาคบหาสมาคมหรือหาโอกาสสนทนากับผู้คนในช่วงต่างวัยต่างอายุเพื่อเรียนรู้จากเขา การเรียนรู้จากเขาไม่ได้หมายความว่าเรียนรู้จากผู้สูงอายุกว่าเท่านั้น กรุณาอ่อนน้อมถ่อมตนแล้วเรียนรู้จากเด็กให้มากขึ้น ถ้าคุณฟังเขาแล้วคุณจะไม่หลงยุค คุณจะเข้าใจอารมณ์ของยุคสมัย คุณจะเข้าใจคนรุ่นใหม่ที่ไม่ใช่คุณ

  • หลักการข้างบนนี้เรียกว่าคบคนแบบ “แนวตั้ง” คือคบคนให้หลากหลายช่วงอายุ แต่ทั้งนี้มันยังมีการคบคนแบบแนวนอนและแนวกลมด้วย

“แนวนอน” คืออย่าอยู่กันเองให้มากไป อย่าคบหาสมาคมแต่เพียงเฉพาะคนที่อยู่ในแวดวงของเราเท่านั้น กรุณาคบหาสมาคมและหาโอกาสไปสนทนากับคนในแวดวงอื่นๆ ให้มาก มันจะทำให้คุณจะได้เห็นว่ามีโลกทัศน์อื่นๆ ที่คนอื่นเขามองอยู่ มันไม่ใช่โลกทัศน์แบบที่เรามองแบบเพื่อนเรามองและคนทำงานกับเรามองเท่านั้น

จักรวาลไม่ได้แคบแค่นั้น โลกไม่ได้แคบเท่าที่เราเห็น กรุงเทพฯไม่ได้มีแค่ถนนสุขุมวิท จักรวาลไม่ได้อยู่บนเส้นรถไฟฟ้าเท่านั้น

ส่วน “แนวกลม” คือ จงเดินทางให้มากขึ้น จงออกไปเห็นโลกให้มากขึ้น แล้วคุณจะรู้ว่าโลกมันกว้างใหญ่กว่าที่ตาเห็น ไปเรียนรู้อารยธรรมคนอื่น ไปเรียนรู้วัฒนธรรมคนอื่นที่แตกต่างจากเรา จะได้ไม่อยู่ในโลกที่แคบ

และถึงที่สุดแล้ว การคบหาสมาคมกับผู้คนทั้งแนวตั้ง-แนวนอน-แนวกลม อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือต้องย้อนมาคุยกับตัวเองเพื่อเข้าใจตัวเอง เพราะไม่มีประโยชน์ที่เข้าใจโลกแต่ไม่เข้าใจตัวเอง แต่ถ้าไม่เข้าใจตัวเองย่อมไม่เข้าใจโลก

3. จะอยู่รอดในยุค AI ต้องใช้ความเป็นมนุษย์

ในโลกที่หุ่นยนต์ AI จะเข้ามาทำงานแทนเราได้หลายส่วนหรือทั้งหมด ซึ่งงานส่วนใหญ่ๆ AI มันจะทำแทบเราได้

“AI มันน่าจะชงกาแฟอร่อยกว่าด้วยซ้ำไปถ้าสัดส่วนถูกต้อง” คุณภิญโญกล่าวพร้อมบอกว่า “เราเป็นมนุษย์ เรารู้อยู่แล้วว่าแท้ที่สุด ลึกลงไปของหัวใจ มนุษย์อย่างพวกเราต้องการอะไร และสิ่งที่เราต้องการจริงๆ”

คุณภิญโญตั้งคำถามเชิงเปรียบเทียบระหว่างมนุษย์ vs. หุ่นยนต์ AI ว่า:

  • เอาเข้าจริงแล้ว ความต้องการลึกๆ ของเรา หุ่นยนต์ AI มอบให้เราได้ไหม?
  • คุณคิดว่า AI จะเคยหลั่งน้ำตาให้ใครได้ไหม?
  • คุณคิดว่า AI จะเคยเสียใจปลอบใจใครได้ไหม?
  • ในวันที่เราสูญเสียคนรัก สูญเสียมิตรภาพ ตกงาน คุณอยากมีเพื่อนดีๆ สักคนหนึ่ง อยากกอดใครสักคนหนึ่ง หรือคุณจะกอดเครื่องดูดฝุ่นอัจฉริยะที่บ้านไหม? คุณจะคุยกับ Siri หรือ?
  • ในวันที่บุพการีของคุณ หรือคนที่คุณรักกำลังจะจากไป คุณจะให้ AI อยู่ข้างเตียงแล้วคอยเปิดบทสวดมนต์กล่อมพ่อแม่คุณให้ไปสู่สุคติ หรือคุณอยากได้สมณะที่คุณนับถือและคุณเชื่อว่ามีการปฏิบัติภาวนาที่แก่กล้านำพาดวงวิญญาณของบุพการีคุณสู่สัมปรายภพ?
  • คุณจะเลือกนักร้องที่ดังที่สุดที่อยู่ใน AI มาเปิดข้างเตียงให้แม่คุณฟัง หรือคุณอยากจะหาคนที่คุณไว้วางใจที่สุด นุ่มนวลที่สุดในชีวิตเข้าไปจับมือประคองดวงวิญญาณของบุพการีไปสู่สรวงสวรรค์?
  • ในวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ คุณอยากจะอยู่กับหุ่นยนต์สักตัวหนึ่งแล้วดินเนอร์ด้วยกัน หรือว่าคุณอยากจะนั่งอยู่กับคนที่คุณรักแล้วจับมืออยู่ด้วยกัน?
  • คุณอยากกินซูชิที่อร่อยที่สุดจากมือหุ่นยนต์ หรือคุณอยากนั่งกินซูชิโดยมือของเชฟที่อายุ 90 ปีที่ผ่านการทำงานมาแล้ว 50 ปี?

มันมีบางเรื่องในชีวิตที่หุ่นยนต์กลไกทำงานแทนมนุษย์ไม่ได้ และนั่นคือคำถามว่า “มันคืออะไร” และถ้ารู้ว่ามันคืออะไร…มนุษย์ต้องห่วงแหนรักษาเอาไว้เพื่อไม่ให้หายไป เพราะนั่นคือสิ่งที่จะทำให้เราอยู่รอดได้

ถึงที่สุดแล้ว AI ก็เป็นมนุษย์ไม่ได้ ปัญหาคือมนุษย์สูญเสียความเป็นมนุษย์ต่างหากจึงกลัว AI

สิ่งที่มนุษย์ต้องรักษาไว้สูงสุดคือ “ความเป็นมนุษย์”

ถ้าเรารักษาความเป็นมนุษย์ไว้ไม่ได้ นั่นคือเหตุผลที่เราต้องกลัวหุ่นยนต์ให้มากที่สุด แต่ถ้าเรารักษาความเป็นมนุษย์ แล้วเรารู้ว่าคุณค่าสูงสุดของมนุษย์อยู่ที่ไหน เราไม่จำเป็นที่จะต้องกลัวความเปลี่ยนแปลง

AI จะ disrupt เราไม่ได้ ฉะนั้นจงหาให้เจอว่าคุณค่าที่แท้จริงที่สูงสุดของมนุษย์อยู่ตรงไหน

ถามว่าจะต้องไปค้นหาที่ไหนเหล่า ก็ต้องย้อนกลับเข้ามาข้างในตัวเรา เพราะใครจะเป็นมนุษย์และรู้จักมนุษย์ได้ดีเท่ากับตัวเราเอง ทุกคนล้วนเป็นแบบจำลองของมนุษย์ที่ทั้งสมบูรณ์แบบและไม่สมบูรณ์แบบอยู่ในตัว

ใน Present หนังสือเล่มล่าสุดที่ผมเขียน ผมขอให้ทุกคนย้อนกลับเข้ามาดูในตัวเรา มันเป็นศาสตร์ที่ยากและลึกซึ้ง ต้องใช้เวลาอ่านหลายปี อาจจะต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ 10 ปี 20 ปีแต่หวังว่าทุกคนจะเริ่มทำความเข้าใจ แล้วย้อนกลับมาดูข้างในว่าอะไรคือหัวใจสูงสุดของมนุษย์ที่ AI หุ่นยนต์กลไกมา disrupt เราไม่ได้ เพราะมันเป็นศาสตร์ที่ปลูกฝังไว้ในตัวเรามาเป็นพันปีแล้ว แล้วทำไมปราชญ์โบราณ-ศาสดาพยากรณ์โบราณเข้าใจเรื่องแบบนี้ทั้งหมด แล้วเราซึ่งคิดว่าตัวเองชาญฉลาดที่สุดในโลก อยู่ในยุคที่ทันสมัยด้วยเทคโนโลยี ทำไมเราไม่เข้าใจ ทำไมเรามองข้าม ทำไมเราปรามาสว่านี่เป็นปัญญาแต่อดีตกาล แล้วเราหลงลืมกันไป แล้วเราก็กลัวว่า AI จะมา disrupt เรา

ถ้าเราหาหัวใจเหล่านี้ไม่เจอ เราก็จะสูญเสียหัวใจแห่งความเป็นมนุษย์ไป และแน่นอนเราจะถูก disrupt แต่ถ้าเราเจอหัวใจของตัวเรา ยากที่หุ่นยนต์กลไกจะ disrupt เราได้

คำถามคือเราเจอหรือเปล่าว่าหัวใจที่แท้จริง จิตวิญญาณที่แท้ ความหมายที่แท้ของการเป็นมนุษย์ของเราอยู่ที่ไหน?

ขอให้ย้อนกลับไปข้างในนั้นแล้วจะเจอ ถ้าไม่เจอวันนี้พรุ่งนี้ อาจจะใช้เวลา 10 ปี 20 ปี หรือเราจะต้องค้นหาไปชั่วชีวิต แต่หวังว่าทุกท่านจะพบเจอคำตอบนี้

4. วิชาตัวเบา

“วิชาตัวเบา” คือวิชาที่จะไม่แบกความคาดหวังที่มีต่อตัวเอง และไม่แบกความคาดหวังของโลกที่มีต่อตัวเรา วิชาที่จะจัดการความทะเยอทะยานของเราให้อยู่ในพื้นที่สมดุลกับสิ่งที่มนุษย์ควรมีและพึงจะเป็น

โลกนี้มันหนักอยู่แล้ว การดำเนินชีวิตอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วย “ภาระ” และ “ความทะเยอทะยาน” มันทำให้เราต้องแบกโลก สั้นที่สุดของวิชาตัวเบาคือทำยังไงให้เราไม่แบกโลก และเดินอยู่บนโลกได้อย่าง “เบาตัว” และ “เบาใจ”

นั่นหมายความว่า:

  • คุณต้องจัดการความทะเยอทะยานของตนได้ดีพอสมควร
  • คุณต้องจัดการความปรารถนาพื้นฐานของตนได้ดีพอสมควร
  • คุณต้องรู้ว่าความสุขของคุณอยู่ที่ไหน
  • ถ้าคุณรู้ว่าความสุขของคุณอยู่ที่ไหน คุณควรจะใช้ชีวิตตรงไปสู่ความสุขนั้น ไม่ใช่ไปใช้ชีวิตเปรียบเทียบกับผู้อื่น

ถ้าคุณเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นว่าเขามีสิ่งที่สวยกว่า ราคาแพงกว่า คุณก็จะหาซื้อสิ่งที่สวยกว่า แพงกว่าเขา

  • ถ้าเขามีรถ 4 ล้อคุณจะซื้อรถ 6 ล้อ เขาเอารุ่นนี้คุณจะเอารุ่นนั้น
  • ถ้าเขาบิน first class คุณอาจจะต้องซื้อ private jet
  • ถ้าเขามี private jet คุณต้องเรือยอร์ช 2 ลำ
  • ถ้าเขามีเรือยอร์ช 2 ลำ คุณต้องมีเรือรบ 1 ลำ
  • ถ้าเขามีเรือรบอยู่ คุณอาจจะต้องไปซื้อเรือดำน้ำ
  • ถ้าเขามีนาฬิกาปลุก คุณก็ต้องมีนาฬิกาข้อมือ

ความทะเยอทะยานที่ไปไม่สุดของคุณมันจะทำร้ายคุณไปเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่าคุณจะหยุดที่ตรงไหน หัวใจสำคัญของชีวิตคือเรื่องเวลา ไม่ใช่เรื่องนาฬิกา ถ้าคุณเข้าใจว่าการมีนาฬิกามากทำให้คุณมีความสุข นาฬิกาจะเล่นงานคุณ ถ้าคุณไม่มีนาฬิกาแม้แต่หนึ่งเรือน แต่คุณมีเวลา คุณจะนอนหลับ ไม่มีใครตามว่าคุณไปยืมนาฬิกาใครมา

เพราะ:

  • การรวยที่สุด ไม่ได้หมายความว่าจะมีความสุขที่สุด
  • การมีอำนาจมากที่สุด ไม่ได้หมายความว่าคนจะรักมากที่สุด
  • การฉลาดมากที่สุด ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นมนุษย์ที่ดีที่สุด
  • การมีคนรู้จักมากที่สุด ไม่ได้หมายความว่าจะมีเพื่อนรู้ใจมากที่สุด
  • การใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนม ไม่ได้หมายความว่าจะนำมาซึ่งสุขภาพร่างกายที่ดี
  • การกินอาหารร้านหรู ไม่ได้หมายความว่ากลับบ้านแล้วจะไม่ท้องเสีย

ฉะนั้นต้องแยกให้ออกระหว่างปัจจัยภายนอกกับความสำคัญที่อยู่ภายในจิตใจ ถ้าแยกออกก็จะเบา ถ้าแยกไม่ออกก็จะแบกหนัก

5. กรุณาเป็นคนคุณภาพ

บทเรียนข้อสุดท้ายที่ได้จากคุณภิญโญคือเรื่องการเลือก “คู่ชีวิต” ซึ่งหลักการที่ดีคือ “จงเป็นคนคุณภาพ”

  • มีคำถามขึ้นมาว่า คุณภิญโญมีวิธีคิดยังไงในการเลือกคู่ชีวิต และที่สำคัญคนนั้นต้องมีแนวคิดที่สอดคล้องและ/หรือสนับสนุนแนวคิดของเราด้วย?

“อันนี้มันรายการคลับฟรายเดย์นะครับ” คุณภิญโญตอบคำแรกแบบติดตลก หลังจากนั้นก็เสนอว่า “มันมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งชื่อว่า The 100 Year Life ชีวิตศตวรรษ อยากให้อ่านมาก เป็นหนังสือที่กำหนดเทรนด์ในอนาคตว่า ถ้าคุณมีชีวิตอยู่ถึง 100 ปี วิธีการบางอย่างที่คุณเคยวางแผนไว้อาจจะต้องเปลี่ยนไป”

ในอดีตรุ่นผมเรียนหนังสือจบมาทำงาน พออายุ 60 หรือ 65 ปีก็เกษียณ พอเกษียณเสร็จก็ใช้เงินบำนาญ ใช้ชีวิตไปซัก 80 ปีก็ตายแล้ว มีเงินเกษียณพอจะเลี้ยงไปจนเราเสียชีวิต แต่ถ้าชีวิตอยู่ถึง 100 ปีคุณทำงานถึง 65 เงินที่คุณเหลืออาจจะไม่พอที่จะทำให้คุณอยู่ถึง 100 ปี

เพราะฉะนั้นคุณมีความจำเป็นที่จะต้องวางแผนชีวิตหลายต่อหลายอย่างใหม่ เพราะถ้าคุณมีชีวิตอยู่ถึง 100 ปี คู่ชีวิตไม่ว่าจะเป็นคู่หญิง-ชาย ชาย-ชาย หรือหญิง-หญิงในอนาคตจะมีความหมายต่อคุณมาก เพราะเขาคือคนที่จะแชร์มากกว่าครึ่งหนึ่งของชีวิต

  • ถ้าคุณแต่งงานตอนประมาณอายุ 30 แล้วถ้าคุณอยู่ถึง 100 ปี เขาคือคนที่จะแชร์ประสบการณ์ชีวิต ช่วงเวลาสุขทุกข์ในชีวิตกับคุณถึง 70 ปี
  • นั่นคือปัจจัยที่สำคัญที่สุด คุณจะเลือกคนที่จะแชร์ชีวิตกับคุณ 70 ปีอย่างไร ถ้าคุณเลือกแบบสั้นๆ คุณจะทนเขาได้ไหม เมื่อคุณอายุผ่านไป 60 ปี แล้วคุณต้องอยู่กับเขาต่ออีก 40 ปี

ถ้าเลือกคู่ชีวิตที่ถูกย่อมสนับสนุนซึ่งกันและกัน เท้าสองข้างจะเดินไปด้วยกัน แต่ถ้าคุณเลือกคู่ชีวิตผิด ครึ่งหนึ่งของชีวิตคุณจะหายไป คุณเดินอย่างไรคุณก็เดินได้ไม่เต็มร้อย เผลอๆ จะเดินต่ำกว่า 50 เพราะคุณต้องเสียเวลาไปกับความขัดแย้ง กับความขมขื่นอีก 50% ของชีวิต

ฉะนั้น “คู่ชีวิต” จึงจะเป็นปัจจัยที่สำคัญ อาจจะมากกว่าการงานของคุณด้วยซ้ำไป

ในอนาคตอันใกล้ ถ้าคุณอาจจะมีชีวิตอยู่ถึง 100 ปี ถ้าคุณรู้ว่าคู่ชีวิตที่คุณเลือกมาแล้วไม่ใช่ แนวโน้มในการเปลี่ยนคู่ชีวิตก็จะเกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย ฉะนั้นจะเป็นการดีกว่า ถ้าคุณสามารถมองว่าคู่ชีวิตจะอยู่กับคุณไปทั้งชีวิตแล้วคุณเลือกให้ถูกต้องเสียตั้งแต่ต้น ถ้าไม่ถูกต้อง คุณจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนซะตั้งแต่เร็ววัน เพราะคุณจำเป็นต้องอยู่กับเขาไปเป็นเวลายาวนาน มันคือครึ่งหนึ่งหรือมากกว่าครึ่งหนึ่งของความสุขในชีวิตคุณ มันเป็นปัจจัยและเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากแต่จับต้องไม่ได้และวัดผลไม่ได้ ไม่เป็นตัวเลขแต่สร้างความสุขและความทุกข์ใจให้คุณได้อย่างมหาศาล

แต่การจะไปถึงจุดนั้นได้ ต้องเริ่มที่ตัวเราเองก่อน ข้อแรกคือ “กรุณาเป็นคนคุณภาพ” เพื่อที่จะสร้างคู่ชีวิตที่มีคุณภาพ และจะได้ไปสร้างชีวิตที่มีคุณภาพ แต่ถ้าครึ่งหนึ่งของคุณไม่มีคุณภาพ ต่อให้คุณประสบความสำเร็จทุกด้านก็ยากที่คุณจะมีความสุข

ผมเลยบอกว่าให้ไปคบคนสูงอายุไว้หน่อย จะได้เห็นว่าชีวิตของเราในอีก 10-20 ปีข้างหน้ามันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เราจะได้ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต และไม่ประมาทต่อการเลือกคู่ชีวิต

จงเป็นคนที่ดี และเลือกคู่ชีวิตที่ดี ขอให้โชคดีในการเลือกคู่ชีวิต

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/question-for-phinyo-traisuriyathanma-about-the-new-generation/

กรณีศึกษาจากจีน: หรือว่าอนาคตของการเลี้ยงหมู คือ “ฟาร์มอัจฉริยะ” ใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าหมู

ไม่ใช่แค่มนุษย์อย่างเราๆ เท่านั้น ที่เทคโนโลยีจดจำใบหน้า (Facial Recognition) จะเข้ามามีบทบาทในชีวิต เพราะตอนนี้ในประเทศจีน มีการนำเอาเทคโนโลยีตัวนี้มาใช้ในการเลี้ยงหมู เขาเรียกว่าเป็น “ฟาร์มอัจฉริยะ”

ทำไมต้องใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้ามาช่วยเลี้ยงหมู?

Jackson He ซีอีโอของ Yingzi Technology บริษัทเทคโนโลยีที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองกวางโจวในประเทศจีน ซึ่งผลิตเทคโนโลยีจดจำใบหน้าสำหรับฟาร์มหมูอัจฉริยะ บอกว่า เพราะนี่คืออนาคตแห่งการเลี้ยงหมูในฟาร์ม ต่อจากไปนี้ฟาร์มเลี้ยงหมูทุกแห่งจะกลายเป็น “ฟาร์มเลี้ยงหมูอัจฉริยะ”

  • เทคโนโลยีจดจำใบหน้าสามารถทำให้คนเลี้ยงหมูรู้ได้เลยว่า “หมูตัวไหนไม่มีความสุข หรือไม่เจริญอาหาร หรือในบางกรณีสามารถคาดการณ์ได้เลยว่า หมูตัวไหนจะป่วย”

การนำเทคโนโลยีจดจำใบหน้า และรวมถึงเทคโนโลยีจดจำเสียง (Voice Recognition) เข้ามาใช้ในการเลี้ยงหมู จะทำให้การติดตามเรื่องสุขภาวะของหมูแต่ละตัวได้แม่นยำ แต่ที่สำคัญที่สุดคือจะลดค่าใช้จ่ายในเรื่องโรคไปได้มาก เพราะการติดตามพฤติกรรมของหมูแต่ละตัวในฟาร์ม จะทำให้เจ้าของสามารถป้องกันก่อนที่โรคจะระบาดไปสู่หมูตัวอื่นๆ ในฟาร์ม

ใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าเลี้ยงหมู สำหรับในจีน ไม่ใช่เรื่องใหม่

การใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าสำหรับเลี้ยงหมูในฟาร์มในประเทศจีน มีการนำมาใช้จริงแล้วนำโดย Alibaba และ JD.com

ยกตัวอย่างของ Alibaba ที่ได้ไปจับมือกับ Tequ Group ผู้นำด้านธุรกิจอาหารและเกษตรรายใหญ่ของจีนที่เลี้ยงหมูอยู่ปีละ 10 ล้านตัว ตามไปอ่านรายละเอียดได้ที่ Alibaba เริ่มใช้ AI ไปช่วยเลี้ยงหมูในประเทศจีน

ข้อถกเถียงเรื่อง ความคุ้มค่าในการนำมาใช้

หากมองเรื่องการใช้เทคโนโลยีเพื่อป้องกันโรคระบาดในฟาร์มหมูเป็นหลัก ปัจจุบันคนเลี้ยงหมูจะใช้วิธีการตรวจที่หูของหมูเพื่อดูโรคอยู่แล้ว โดยหากคิดในเชิงต้นทุนของติดตามโรคระบาดจะอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 16-17 บาทต่อตัว ในขณะที่ต้นทุนของการนำเอาเทคโนโลยีจดจำใบหน้ามาใช้จะอยู่ที่ประมาณ 220 บาทต่อตัว

Dirk Pfeiffer ศาตราจารย์ด้านระบาดวิทยาจาก City University of Hong Kong ให้ความเห็นพร้อมกับตั้งคำถามว่า “ฟาร์มเลี้ยงหมูอัจฉริยะใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าเป็นความคิดที่ดี แต่ต้องทำให้มั่นใจให้ได้จริงๆ ว่ามันทำงานได้ผลจริง ไม่เช่นนั้นจะไม่เกิดผลอะไรเลย แถมต้องแบกรับต้นทุนเทคโนโลยีที่สูงอีกด้วย”

ส่วน Wang Lixian นักวิจัยด้านระบาดวิทยาจาก Chinese Academy of Agricultural Sciences มองว่า ถึงที่สุดแล้วเทคโนโลยีจดจำใบหน้าจะเกิดการนำมาใช้ในฟาร์มเลี้ยงหมู แต่ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับ “ราคา” ของเทคโนโลยี เพราะหากมีราคาที่ต่ำลงจนเข้าถึงได้ เชื่อว่าฟาร์มเลี้ยงหมูอัจฉริยะชนิดที่ใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าหมูจะเกิดขึ้นในวงกว้างอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ในประเทศจีนมีฟาร์มเลี้ยงหมูขนาดเล็กๆ กว่า 26 ล้านแห่ง ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้ว เทคโนโลยีจดจำใบหน้าจะเป็นอนาคตของการฟาร์มเลี้ยงหมูแห่งโลกอนาคตหรือไม่ คงต้องติดตามกันต่อไป

ที่มา – The New York Times

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/the-future-of-pig-farm-facial-recognition/

กรณีศึกษาจากจีน: หรือว่าอนาคตของการเลี้ยงหมู คือ “ฟาร์มอัจฉริยะ” ใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าหมู

ไม่ใช่แค่มนุษย์อย่างเราๆ เท่านั้น ที่เทคโนโลยีจดจำใบหน้า (Facial Recognition) จะเข้ามามีบทบาทในชีวิต เพราะตอนนี้ในประเทศจีน มีการนำเอาเทคโนโลยีตัวนี้มาใช้ในการเลี้ยงหมู เขาเรียกว่าเป็น “ฟาร์มอัจฉริยะ”

ทำไมต้องใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้ามาช่วยเลี้ยงหมู?

Jackson He ซีอีโอของ Yingzi Technology บริษัทเทคโนโลยีที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองกวางโจวในประเทศจีน ซึ่งผลิตเทคโนโลยีจดจำใบหน้าสำหรับฟาร์มหมูอัจฉริยะ บอกว่า เพราะนี่คืออนาคตแห่งการเลี้ยงหมูในฟาร์ม ต่อจากไปนี้ฟาร์มเลี้ยงหมูทุกแห่งจะกลายเป็น “ฟาร์มเลี้ยงหมูอัจฉริยะ”

  • เทคโนโลยีจดจำใบหน้าสามารถทำให้คนเลี้ยงหมูรู้ได้เลยว่า “หมูตัวไหนไม่มีความสุข หรือไม่เจริญอาหาร หรือในบางกรณีสามารถคาดการณ์ได้เลยว่า หมูตัวไหนจะป่วย”

การนำเทคโนโลยีจดจำใบหน้า และรวมถึงเทคโนโลยีจดจำเสียง (Voice Recognition) เข้ามาใช้ในการเลี้ยงหมู จะทำให้การติดตามเรื่องสุขภาวะของหมูแต่ละตัวได้แม่นยำ แต่ที่สำคัญที่สุดคือจะลดค่าใช้จ่ายในเรื่องโรคไปได้มาก เพราะการติดตามพฤติกรรมของหมูแต่ละตัวในฟาร์ม จะทำให้เจ้าของสามารถป้องกันก่อนที่โรคจะระบาดไปสู่หมูตัวอื่นๆ ในฟาร์ม

ใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าเลี้ยงหมู สำหรับในจีน ไม่ใช่เรื่องใหม่

การใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าสำหรับเลี้ยงหมูในฟาร์มในประเทศจีน มีการนำมาใช้จริงแล้วนำโดย Alibaba และ JD.com

ยกตัวอย่างของ Alibaba ที่ได้ไปจับมือกับ Tequ Group ผู้นำด้านธุรกิจอาหารและเกษตรรายใหญ่ของจีนที่เลี้ยงหมูอยู่ปีละ 10 ล้านตัว ตามไปอ่านรายละเอียดได้ที่ Alibaba เริ่มใช้ AI ไปช่วยเลี้ยงหมูในประเทศจีน

ข้อถกเถียงเรื่อง ความคุ้มค่าในการนำมาใช้

หากมองเรื่องการใช้เทคโนโลยีเพื่อป้องกันโรคระบาดในฟาร์มหมูเป็นหลัก ปัจจุบันคนเลี้ยงหมูจะใช้วิธีการตรวจที่หูของหมูเพื่อดูโรคอยู่แล้ว โดยหากคิดในเชิงต้นทุนของติดตามโรคระบาดจะอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 16-17 บาทต่อตัว ในขณะที่ต้นทุนของการนำเอาเทคโนโลยีจดจำใบหน้ามาใช้จะอยู่ที่ประมาณ 220 บาทต่อตัว

Dirk Pfeiffer ศาตราจารย์ด้านระบาดวิทยาจาก City University of Hong Kong ให้ความเห็นพร้อมกับตั้งคำถามว่า “ฟาร์มเลี้ยงหมูอัจฉริยะใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าเป็นความคิดที่ดี แต่ต้องทำให้มั่นใจให้ได้จริงๆ ว่ามันทำงานได้ผลจริง ไม่เช่นนั้นจะไม่เกิดผลอะไรเลย แถมต้องแบกรับต้นทุนเทคโนโลยีที่สูงอีกด้วย”

ส่วน Wang Lixian นักวิจัยด้านระบาดวิทยาจาก Chinese Academy of Agricultural Sciences มองว่า ถึงที่สุดแล้วเทคโนโลยีจดจำใบหน้าจะเกิดการนำมาใช้ในฟาร์มเลี้ยงหมู แต่ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับ “ราคา” ของเทคโนโลยี เพราะหากมีราคาที่ต่ำลงจนเข้าถึงได้ เชื่อว่าฟาร์มเลี้ยงหมูอัจฉริยะชนิดที่ใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าหมูจะเกิดขึ้นในวงกว้างอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ในประเทศจีนมีฟาร์มเลี้ยงหมูขนาดเล็กๆ กว่า 26 ล้านแห่ง ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้ว เทคโนโลยีจดจำใบหน้าจะเป็นอนาคตของการฟาร์มเลี้ยงหมูแห่งโลกอนาคตหรือไม่ คงต้องติดตามกันต่อไป

ที่มา – The New York Times

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/the-future-of-pig-farm/

หรือนี่คืออนาคตของวงการแพทย์ เมื่อ AI จากจีนสามารถวินิจฉัยโรคได้แม่นยำถึง 95%

อนาคตวงการแพทย์ ปัญญาประดิษฐ์
Photo: Shutterstock

หมอปัญญาประดิษฐ์จีนวินิจฉัยโรคได้แม่นยำมากถึง 95%

ผลการศึกษาล่าสุดเรื่องการใช้ AI (ปัญญาประดิษฐ์) มาวินิจฉัยโรคทางการแพทย์ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Medicine ซึ่งจัดทำโดยนักวิจัยชาวอเมริกันและจีนกว่า 50 คน พบว่า ในบางกรณี AI สามารถวินิจฉัยโรคได้แม่นยำมากถึง 95%

ผลวิจัยนี้ทำการเก็บข้อมูลโดยใช้ระบบ Deep Learning (เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งของ Machine Learning) มาเก็บข้อมูลสูงถึง 101 ล้านชุดของผู้ป่วยกว่า 1.3 ล้านคนผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในศูนย์การแพทย์ที่กวางโจว ประเทศจีน

  • นักวิจัยพบว่า AI สามารถวินิจฉัยโรคอย่างเช่น โรคหอบหืด โรคปอดบวม และโรคไซนัสอักเสบ ได้แม่นยำมากกว่าทีมแพทย์จบใหม่ที่ร่วมการศึกษา (junior physicians) ถึง 2 ทีม
  • จากงานศึกษายังพบว่า AI สามารถวินิจฉัยโรคได้แม่นยำ 90 – 95% แต่ในบางกรณีวินิจฉัยโรคได้แม่นยำเพียง 79% แต่ก็ถือว่ายังสูงกว่าการวินิจฉัยของกลุ่มแพทย์จบใหม่
  • แต่อย่างไรก็ดี ผลการวิจัยพบด้วยว่า หากรวมคะแนนการวินิจฉัยในภาพรวมของ AI ยังถือว่าแม่นยำน้อยกว่ากลุ่มแพทย์อาวุโส (senior doctors)

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยชิ้นนี้ยังมีจุดอ่อนหลายจุด เช่น ทีมวิจัยใช้ AI ในการเก็บข้อมูลจากศูนย์การแพทย์เพียงแห่งเดียวในจีน จึงทำให้ข้อมูลที่ได้อาจไม่เพียงพอหากจะนำไปประยุกต์ใช้งานในพื้นที่อื่นๆ

อนาคตวงการแพทย์ ปัญญาประดิษฐ์
Photo: Shutterstock

ที่มา – Quartz

อ่านงานวิจัยเพิ่มเติมอย่างละเอียดได้ที่ – งานวิจัย Evaluation and accurate diagnoses of pediatric diseases using artificial intelligence

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/future-of-doctor/

อนาคตของวงการ “ซูชิ” 🍣 ยังจำเป็นต้องใช้แรงงานคนหรือไม่ ในเมื่อหุ่นยนต์ทำได้ 60 ชิ้นภายใน 1 นาที

“อะไรๆ ก็ หุ่นยนต์”

  • หุ่นยนจะมาทำงานแทนคนได้แค่ไหน ลองไปดู “ซูชิ” อาหารญี่ปุ่นที่หลายคนชื่นชอบ ล่าสุดมีการดึงเอาหุ่นยนต์มาร่วมงานด้วยแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้แรงงานคนล้วนๆ อีกต่อไป
ร้านซูชิที่นำเอาหุ่นยนต์เข้ามาทำอาหารร่วมด้วย Big Eye Sushi
ร้านซูชิที่นำเอาหุ่นยนต์เข้ามาทำอาหารร่วมด้วย Big Eye Sushi

นี่คือ Big Eye Sushi ร้านซูชิในนิวยอร์กที่ผสมสานหุ่นยนต์เข้ามาในกระบวนการ ตั้งแต่ปั้นข้าวไปจนถึงหั่นซูชิ

พูดแบบนี้ แรงงานมนุษย์อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะแม้หุ่นยนต์จะปั้นข้าวหรือหั่นซูชิได้ แต่สิ่งที่หุ่นยนต์ยังทำไม่ได้คือ “หั่นปลา” หน้าที่นั้นยังคงเป็นของเชฟทำอาหารอยู่

  • ดังนั้น ในครัวของร้านอาหารแห่งนี้จึงยังมีแรงงานมนุษย์หลงเหลืออยู่ นั่นก็คือเชฟซึ่งทำหน้าที่หลักคือการหั่นปลากับหุ่นยนต์ทำซูชิ 1 ตัวก็เพียงพอแล้ว
  • เรียกได้ว่าลดได้ทั้งเวลาในการผลิตซูชิ แถมยังลดค่าจ้างแรงงานไปในคราวเดียวกันด้วย

จุดประสงค์ของการนำเอาหุ่นยนต์เข้ามาทำซูชิ ทางร้านบอกว่าต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้รวดเร็วและสม่ำเสมอมากขึ้น เพราะหุ่นยนต์ 1 ตัวสามารถทำข้าวปั้นและหุ่นซูชิได้ 60 ชิ้นภายใน 1 นาที

หุ่นยนต์ญี่ปุ่น
หุ่นยนต์ญี่ปุ่น Photo: Shutterstock
  • เจ้าหน้าที่ในร้านแห่งนี้บอกว่า เทคโนโลยีทำซูชิตัวนี้ไม่ใช่ “เรื่องใหม่” อะไร เพราะที่จริงในญี่ปุ่นมีการนำมาใช้กว่า 30 ปีแล้ว

ลองดูคลิปด้านล่างนี้ จะเห็นภาพของหุ่นยนต์ทำซูชิได้ชัดเจนมากขึ้น

อ้างอิงข้อมูล – Big Eye SushiBrooklynTicTocInsider Newyork

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/future-of-sushi/

อนาคตของวงการ “ซูชิ” 🍣 ยังจำเป็นต้องใช้แรงงานคนหรือไม่ เมื่อหุ่นยนต์ทำได้ 60 ชิ้นใน 1 นาที

“อะไรๆ ก็ หุ่นยนต์”

  • หุ่นยนต์จะมาทำงานแทนคนได้แค่ไหน ลองไปดู “ซูชิ” อาหารญี่ปุ่นที่หลายคนชื่นชอบ ล่าสุดมีการดึงเอาหุ่นยนต์มาร่วมงานด้วยแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้แรงงานคนล้วนๆ อีกต่อไป
ร้านซูชิที่นำเอาหุ่นยนต์เข้ามาทำอาหารร่วมด้วย Big Eye Sushi
ร้านซูชิที่นำเอาหุ่นยนต์เข้ามาทำอาหารร่วมด้วย Big Eye Sushi

นี่คือ Big Eye Sushi ร้านซูชิในนิวยอร์กที่ผสมสานหุ่นยนต์เข้ามาในกระบวนการ ตั้งแต่ปั้นข้าวไปจนถึงหั่นซูชิ

พูดแบบนี้ แรงงานมนุษย์อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะแม้หุ่นยนต์จะปั้นข้าวหรือหั่นซูชิได้ แต่สิ่งที่หุ่นยนต์ยังทำไม่ได้คือ “หั่นปลา” หน้าที่นั้นยังคงเป็นของเชฟทำอาหารอยู่

  • ดังนั้น ในครัวของร้านอาหารแห่งนี้จึงยังมีแรงงานมนุษย์หลงเหลืออยู่ นั่นก็คือเชฟซึ่งทำหน้าที่หลักคือการหั่นปลากับหุ่นยนต์ทำซูชิ 1 ตัวก็เพียงพอแล้ว
  • เรียกได้ว่าลดได้ทั้งเวลาในการผลิตซูชิ แถมยังลดค่าจ้างแรงงานไปในคราวเดียวกันด้วย

จุดประสงค์ของการนำเอาหุ่นยนต์เข้ามาทำซูชิ ทางร้านบอกว่าต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้รวดเร็วและสม่ำเสมอมากขึ้น เพราะหุ่นยนต์ 1 ตัวสามารถทำข้าวปั้นและหุ่นซูชิได้ 60 ชิ้นภายใน 1 นาที

หุ่นยนต์ญี่ปุ่น
หุ่นยนต์ญี่ปุ่น Photo: Shutterstock
  • เจ้าหน้าที่ในร้านแห่งนี้บอกว่า เทคโนโลยีทำซูชิตัวนี้ไม่ใช่ “เรื่องใหม่” อะไร เพราะที่จริงในญี่ปุ่นมีการนำมาใช้กว่า 30 ปีแล้ว

ลองดูคลิปด้านล่างนี้ จะเห็นภาพของหุ่นยนต์ทำซูชิได้ชัดเจนมากขึ้น

อ้างอิงข้อมูล – Big Eye SushiBrooklynTicTocInsider Newyork

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/the-future-of-sushi/

อวสานแม่บ้าน ญี่ปุ่นเปิดตัวหุ่นยนต์ควบคุมจากระยะไกล อยู่ที่ไหนก็ “ซักผ้า” และ “ตากผ้า” ได้

  • หรือว่าอนาคตของการดูแลงานบ้าน คือการควบคุมหุ่นยนต์จากระยะไกล ไม่ต้องจ้าง “แม่บ้าน” อีกต่อไป?
"ugo" หุ่นยนต์ซักผ้า-ตากผ้า Photo: Mira Robotics
“ugo” หุ่นยนต์ซักผ้า-ตากผ้า Photo: Mira Robotics

Mira Robotics สตาร์ทอัพสายหุ่นยนต์จากญี่ปุ่น เปิดตัว ugo หุ่นยนต์ดูแลงานบ้าน “ซักผ้า-ตากผ้า” ได้โดยควบคุมผ่านเทคโนโลยีระยะไกล ไม่ต้องอยู่ที่บ้านก็สั่งให้หุ่นยนต์ทำงานบ้านได้

สตาร์ทอัพรายนี้ บอกว่า การใช้หุ่นยนต์ตัวนี้จะช่วยลดรายจ่าได้ดีกว่าการจ้างแม่บ้านกว่าครึ่งหนึ่ง เพราะค่าบริการต่อเดือนจะตกอยู่ที่ 20,000 – 25,000 เยน (ประมาณ 5,700 – 7,100 บาทต่อเดือน) ในขณะที่ค่าจ้างแม่บ้านต่อคนตกอยู่ที่เดือนละ 50,000 – 100,000 เยน (ประมาณ 14,000 – 28,000 บาทต่อเดือน)

"ugo" หุ่นยนต์ซักผ้า-ตากผ้า Photo: Mira Robotics
“ugo” หุ่นยนต์ซักผ้า-ตากผ้า Photo: Mira Robotics

หุ่นยนต์ตัวนี้เริ่มพัฒนาระบบมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2018 โดยมีน้ำหนักประมาณ 72 กิโลกรัม ส่วนสูงสามารถเลือกขนาดได้ มีตั้งแต่ 110 – 180 เซนติเมตร และที่สำคัญแขนทั้ง 2 ข้างของหุ่นยนต์ที่ยาวประมาณ 60 เซนติเมตร สามารถยืดได้ยาวถึง 2 เมตร เรียกได้ว่ายืดหยุ่นสำหรับงานบ้านหลากหลายชนิด

  • แนะนำให้ดูคลิปด้านล่างนี้ จะเห็นถึงความชัดเจนของการควบคุมหุ่นยนต์จากระยะไกลได้ดี

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายสูงสุดของสตาร์ทอัพรายนี้ คือต้องการให้หุ่นยนต์สามารถทำงานบ้านได้อัตโนมัติ ไม่ต้องมีมนุษย์มาสั่งงานแต่อย่างใด แต่อุปสรรคตอนนี้คือ “ข้อมูลการใช้งานมหาศาล” ที่ยังไม่มีการจัดเก็บมาก่อน ทำให้ไม่สามารถลัดขั้นตอนไปสู่จุดนั้นได้

ดังนั้น ในขั้นเริ่มแรกสตาร์ทอัพรายนี้จึงต้องใช้ระบบสั่งงานระยะไกล เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งานหุ่นยนต์เพื่อทำงานบ้านของมนุษย์ตัวจริงเสียงจริงเสียก่อน และแน่นอนทั้งหมดนี้ก็เพื่อเตรียมพร้อมไปสู่อนาคตของงานบ้านที่หุ่นยนต์จะจัดการได้ 100% ไม่ต้องใช้มนุษย์พ่อบ้าน/แม่บ้านอีกต่อไป

  • คลิปด้านล่างนี้คือการสาธิตการตากผ้าโดยหุ่นยนต์
  • สตาร์ทอัพรายนี้ ประกาศว่า จะเปิดตัวให้ผู้บริโภคใช้งานจริงในช่วงเดือนพฤษภาคมปี 2020 และมั่นใจว่าในปี 2021 จะมีลูกค้าเข้ามาใช้งานนับพันราย
  • นอกจากนั้น ยังตั้งเป้าที่จะขยายขอบเขตการทำงานของหุ่นยนต์ออกไปมากกว่าเดิม เช่น ช่วยดูแลสัตว์เลี้ยงในบ้าน และช่วยรับจดหมายเวลาที่เจ้าของไม่อยู่
"ugo" หุ่นยนต์ซักผ้า-ตากผ้า Photo: Mira Robotics
“ugo” หุ่นยนต์ซักผ้า-ตากผ้า Photo: Mira Robotics

ข้อมูล – Japantimes

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/future-of-laundry-japan-mira-robotics-ugo/

ทำไมอนาคตของวงการแฟชั่นยุคถัดไป ไม่ใช่ความหรูหรา-เข้าถึงยาก แต่คือความหลากหลายทางวัฒนธรรม

ผู้บริโภคแฟชั่นยุคต่อไป จะสนใจ “วัฒนธรรม” ที่แบรนด์สื่อสารเป็นอันดับแรก

ในอดีตที่ผ่านมา จุดขายของความเป็นแฟชั่นคือความ Exclusive ซึ่งมาพร้อมกับความหรูหรา ราคาแพง แต่ในยุคหลังมานี้ความหรูหราที่ผูกติดคุณค่ากับสิ่งของมีราคาเริ่มเลือนคุณค่าไปบ้างแล้ว ดูได้จากกระแสการบริโภคของกลุ่มคนร่ำรวยในสหรัฐอเมริกาและจีน

ในวงการแฟชั่นนับจากนี้ไป ภาพของนางแบบ-นายแบบที่มีลักษณะผอมบาง ร่างน้อย หุ่นดี และมีผิวสีขาว จะไม่ใช่มาตรฐานของวงการแฟชั่นในอนาคต เพราะผู้บริโภคแฟชั่นยุคต่อไปจะสนใจความเป็นวัฒนธรรมที่มากับแบรนด์มากขึ้น

งานวิจัยของ Bain & Company บริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจ ระบุว่า ภายในปี 2025 สิ่งที่ผู้บริโภคสนใจมากที่สุดในการเลือกสินค้าแฟชั่นคือ “คุณค่า” ที่แบรนด์สื่อสารออกไปสู่สาธารณะ เช่น ความหลากหลายทางวัฒนธรรม

  • งานศึกษาถึงกับฟันธงว่า ผู้บริโภคแฟชั่นในยุคถัดไปจะสนใจคุณค่าและวัฒนธรรมของแบรนด์ มากกว่า คุณภาพของสินค้านั้นๆ เสียอีก
  • งานศึกษาคาดการณ์ว่าสินค้าแฟชั่นหรูจะเติบโตเพียง 3-5% เท่านั้น ถือเป็นตัวเลขที่ไม่สูง ต่างกันกับยุค 1990 – 2000 อย่างมากที่กระแสแฟชั่นหรูหรามาแรง และเติบโตแบบก้าวกระโดดหลายสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปี
  • ดังนั้น สิ่งที่ชี้ขาดในตลาดแฟชั่นอนาคตไม่ใช่เรื่องของความหรูหรา หากแต่เป็นปัจจัยทางวัฒนธรรมและการเมืองที่แบรนด์ต้องคำนึงถึงมากกว่า
Instagram: themodist
Instagram: themodist

การที่ผู้บริโภคยุคต่อไปจะซื้อเสื้อผ้าสักชิ้น สิ่งที่คำนึงจะไม่ใช่เพียงแค่ “ไลฟ์สไตล์” หรือ “คุณภาพของสินค้า” เท่านั้น

  • เพราะสิ่งสำคัญคือ การจะบริโภคสินค้าสักชิ้นต้องมีที่มาจากพื้นฐานของวัฒนธรรมที่ตนเองยึดถือ ยกตัวอย่างเช่น ความเชื่อทางศาสนา หากสาวมุสลิมต้องการเสื้อผ้าที่สะท้อนถึงจุดนี้ การที่เธอจะเลือกซื้อสินค้าของแบรนด์ใดๆ ก็ตาม จะมาจากการสื่อสารของแบรนด์ที่ส่งตรงมายังเธออย่างตรงใจและตรงตามพื้นฐานของความเชื่อส่วนตัว

ถ้าจะพูดเป็นภาษาฝรั่งก็คงจะได้ว่า ในอนาคตของแฟชั่นนั้น ยุคของ “One size fits all is over”

  • และต้องบอกว่า ไม่ใช่แค่ความหลากหลายทางวัฒนธรรมเท่านั้น เพราะความหลากหลายทางกายภาพก็สำคัญเช่นกัน

งานวิจัยของ Plunkett บริษัทวิจัยการตลาด คาดการณ์ไว้ว่า ในอนาคตแบรนด์แฟชั่นต้องใส่ใจในการออกแบบและคิดค้นเสื้อผ้าที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้หญิงไซส์ใหญ่ (รอบอก 38 นิ้วและเอว 41 นิ้วขึ้นไป) มากขึ้น อย่างในสหรัฐอเมริกาผู้หญิงกลุ่มนี้มีมากถึง 68% ของประชากรหญิงทั้งประเทศ

หนึ่งในประเด็นสำคัญของแบรนด์แฟชั่นที่ลงมาเล่นในตลาดผู้หญิงร่างใหญ่มักไม่ประสบความสำเร็จ เพราะไม่ได้ทำความเข้าใจคนกลุ่มนี้จริงๆ ผู้เชี่ยวชาญแฟชั่นมองว่า หากแบรนด์เล็กๆ ต้องการเข้ามาครอบครองตลาดนี้ ยังสามารถทำได้ เพราะยังมีช่องว่างทางธุรกิจสูง แต่ต้องเร่งสร้างอย่างไว เพราะในอนาคตอันใกล้แบรนด์หรูใหญ่ๆ จะลงมาเล่นในตลาดนี้อย่างแน่นอน

Instagram: 11honore
Instagram: 11honore

หมดยุคเดินตามใคร เพราะแฟชั่นหรูยุคต่อไปต้องสะท้อนตัวตน

ผู้เชี่ยวชาญในวงการแฟชั่นท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า ถ้ายังนิยามความหรูหราในวงการแฟชั่นแบบเดิมอย่างที่เคยเป็นมาก็นับว่าใกล้ตายเต็มทีแล้ว

Lazaro Hernandez หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Proenza Schouler แสดงความเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า “ความหมายของคำว่าหรูหราได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว … ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องความหรูหรา แต่มันคือความเป็นแบรนด์”

ในยุคถัดไป กลุ่มคนที่จะมีพลังในการบริโภคสูงคือกลุ่มคนยุคมิลเลนเนียลและ Gen Z โดยจะคิดเป็น 55% ของกำลังซื้อสินค้าหรูทั่วโลก โดยความต้องการของในการบริโภคแฟชั่นของคนกลุ่มนี้ คือความต้องการบ่งบอกถึงตัวตนให้โลกได้รับรู้ พวกเขาต้องการให้แบรนด์มองเห็นพวกเขา และสะท้อนความเป็นตัวตนของพวกเขาออกมาอย่างชัดเจน

ชัดเจนว่าเบื้องหลังของเรื่องนี้ คือการเติบโตของเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ต และโซเชียลมีเดียของคนในยุคนี้ (และยุคถัดไป) ที่ทำให้พลังของการแลกเปลี่ยน โต้ตอบ และแสดงความคิดเห็น จนทำให้เกิดพัฒนาการของความหลากหลายทางแฟชั่นมากขึ้นตามไปนั่นเอง

สรุป

แฟชั่นของหนุ่มสาวทั่วโลกในยุคถัดไปจะเน้นที่ความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากขึ้น ไม่ใช่ความหรูหรา ราคาแพงอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต

การทำสินค้า การทำการตลาดของแบรนด์แฟชั่นจึงจำเป็นต้องสนองตอบต่อคนกลุ่มนี้ จึงจะสามารถครองใจผู้บริโภคแฟชั่นในยุคถัดไปได้

แต่ถึงที่สุด แม้ความหรูหราจะถูกเปลี่ยนนิยามไปตามยุคสมัย แต่ไม่ได้หมายความแบรนด์หรูจะอยู่ไม่รอด เพราะเอาเข้าจริงแบรนด์แฟชั่นหรูสามารถปรับตัวได้ เช่น ออกสินค้าที่สนองตอบต่อตัวตนของลูกค้ามากขึ้น ไม่ว่าจะในทางความเชื่อทางศาสนา วัฒนธรรม หรือไซส์เสื้อผ้าที่หลากหลาย ไม่จำกัดแค่หุ่นนายแบบ-นางแบบที่มีแค่ไม่กี่รูปทรง

แบรนด์หรูหรือไม่หรูจะอยู่รอดได้แน่ ถ้าปรับตัวไปตามพฤติกรรมของผู้บริโภค

ข้อมูล – Quartz [1][2][3][4]

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/future-of-fashion-is-inclusivity/

Mindshare ชี้ 2018 เม็ดเงินโฆษณามีแนวโน้มโต 7.6% พบเทรนด์การใช้ “ข้อมูลอัจฉริยะ” เพิ่มขึ้น

อเจนซียักษ์ใหญ่ “Mindshare” เปิดแนวโน้มวงการโฆษณาปี 2018 พบเติบโตไปสู่ดิจิทัลชนิดที่หยุดไม่ได้อีกต่อไปแล้ว พร้อมคาดการณ์สถานการณ์ในปี 2018 ว่าจะเห็นการเติบโตด้านเม็ดเงินในวงการโฆษณาในแง่บวก โดยตั้งไว้ที่ 7.6% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 120,000 ล้านบาทจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ มหกรรมการแข่งขันฟุตบอลโลก สถานการณ์ทางการเมืองที่ใกล้เข้าสู่การเลือกตั้ง และความรู้สึกของผู้บริโภคที่เริ่มฟื้นตัว อย่างไรก็ดี ผลกระทบจากยุคดิจิทัลก็มีด้วยเช่นกัน นั่นคือ การกำหนดกลุ่มเป้าหมายจะเปลี่ยนไปเป็นการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลอัจฉริยะ เพราะจะทำให้การกำหนดเป้าหมายทำได้เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น ส่วนการกำหนดกลุ่มเป้าหมายจากข้อมูลประชากรจะเป็นเรื่องล้าสมัย ไม่เหมาะที่จะใช้ในยุคนี้อีกต่อไป

โดยหากย้อนพิจารณาเหตุการณ์ในปี 2017 สิ่งที่ Mindshare พบเกี่ยวกับสถานการณ์โดยรวมของตลาดในประเทศไทยคือมีสัญญาณบวกหลายประการ เช่น การส่งออกที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อก็คงที่ ส่วนตลาดหุ้น ก็ขึ้นไปปิดที่ 1,800 จุดซึ่งถือว่าสูงมาก นอกจากนั้น สถานการณ์เงินคงคลังของประเทศพบว่ามีเงินอยู่ 195,000 ล้านบาทซึ่ง Mindshare ระบุว่าสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา และไทยยังมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศมากถึง 35 ล้านคน ซึ่งทำให้จังหวัดอย่างกรุงเทพกลายเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในโลกด้วย

อีกสองปัจจัยที่จะมีผลทำให้การเติบโตของตลาดโฆษณาเป็นไปในแง่บวกคือ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบสาธารณูปโภค และนโยบาย Thailand 4.0 นั่นเอง

อย่างไรก็ดี สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนั้นไม่สามารถทำให้ GDP ของประเทศก้าวไปสู่ตัวเลขที่ทาง Mindshare ได้คาดการณ์ไว้ที่ 4.7% แต่อย่างใด ซึ่งทาง Mindshare ได้วิเคราะห์ว่า มาจากปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ การไว้อาลัยของประชาชนชาวไทยต่อการเสด็จสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ยาวนาน และตัวเลขหนี้สินครัวเรือนที่พบว่าสูงมากเป็นประวัติการณ์ ทำให้การใช้จ่ายของคนไทยไม่เป็นไปตามที่ภาคธุรกิจคาดการณ์ไว้นั่นเอง

จากปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลให้การใช้จ่ายในการโฆษณาในปี 2017 ลดลงจากปี 2016 ถึง 5.9% จาก 107,427 ล้านบาทลงมาอยู่ที่ 101,113 ล้านบาท (ส่วนแท่งสีเขียวและสีเหลือเป็นการคาดการณ์ของ DAAT)

หันมาทางสื่อทีวีที่ยังเป็นแพลตฟอร์มหลักที่ครองเม็ดเงินโฆษณาส่วนใหญ่เอาไว้นั้น ทาง Mindshare เผยว่า ทีวีดิจิทัลเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น แต่ความท้าทายก็คือผู้บริโภคไม่ได้ติดตามเพราะช่อง แต่ติดตามเพราะสนใจคอนเทนต์ หรือตัวผู้ดำเนินรายการเป็นหลัก

โดยหากพิจารณาจากช่องแล้ว ช่องที่มีความโดดเด่นสูงสุดคือ WorkPoint เนื่องจากเป็นบริษัทที่สามารถคิดคอนเทนต์ได้ดี และมีความพร้อมในการผลิตรายการสูงกว่าช่องอื่น ๆ อย่างไรก็ดี Mindshare เผยด้วยว่า มีช่องทีวีดิจิทัลจำนวนไม่น้อยที่เริ่มฉายแววโดดเด่น เช่น ช่อง One, GMM, RS, ไทยรัฐ, อมรินทน์, PPTV และ Mono ที่ต่างเริ่มหาจุดเด่นของตัวเองพบ และสามารถใช้จุดเด่นนั้นดึงดูดผู้ชมได้มากขึ้น ผลก็คือ เม็ดเงินโฆษณาเริ่มไหลเข้าสู่ทีวีดิจิทัลมากขึ้น ดังแผนภูมิที่ปรากฏ

หรือหากมองเป็นตัวเลข อาจพิจารณาได้จากแผนภูมิด้านล่างนี้

จะเห็นได้ว่า เม็ดเงินในส่วนของทีวีดิจิทัลนั้นเป็นบวกแล้ว ในขณะที่ภาพรวมของทีวีติดลบ

แต่นอกจากจะได้เห็นการเติบโตในส่วนของทีวีดิจิทัลแล้ว หากลงในรายละเอียดก็จะพบด้วยว่า ส่วนของวิทยุ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารนั้นก็เป็นไปตามคาด คือเป็นสื่อที่มียอดเงินโฆษณาติดลบอย่างต่อเนื่อง ตัวที่บวกเพิ่มจะมีแค่ด้านล่างเช่น สื่อ Cinema, Outdoor, Transit, In-store และ Internet

การใช้จ่ายของอุตสาหกรรม ติดลบ 9 ใน 10

สำหรับใครที่สงสัยว่าเงินหายไปไหนหมด Mindshare บอกว่า อุตสาหกรรมใหญ่ ๆ นั้นมีการลดการใช้เงินลงอย่างมีนัยสำคัญ มีเพียงธุรกิจสื่อและมาร์เก็ตติ้งธุรกิจเดียวเท่านั้นที่มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน

จากแผนภูมินี้จะเห็นว่า พฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันนั้น กลุ่มที่ดูทีวีคือกลุ่มที่อายุ 36 ปีขึ้นไป ส่วนกลุ่มที่อายุน้อยลง เช่น 21 – 34 ปีนั้น จะชมแบบสดผ่านทางออนไลน์ และมีการดูย้อนหลังบนช่องทางออนไลน์สูงมาก โดยตัวเลขนี้สัมพันธ์กับอีกข้อมูลหนึ่ง นั่นคือการครอบครองสมาร์ทโฟนที่มีสูงขึ้น จาก 33% ในปี 2014 มาเป็น 62% ในปี 2017 ทำให้สามารถเข้าถึงคอนเทนต์ออนไลน์ไม่ว่าจะแบบสดหรือแบบดูย้อนหลังได้ง่ายขึ้น

นอกจากนั้น หากพิจารณาผู้ใช้งาน Facebook, LINE และ YouTube ในไทยแล้วจะพบว่าทั้งสามแพลตฟอร์มมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก (Facebook 48 ล้าน, LINE 44 ล้าน และ YouTube 43 ล้าน ส่วนบนแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น Pantip.com, Sanook.com ฯลฯ อีกประมาณ 30 ล้านราย)

จากความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ Mindshare มองว่า เทรนด์ที่จะขับเคลื่อนวงการโฆษณาในปี 2018 นั้นประกอบด้วย 4  ด้านได้แก่

  • Digital จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และนี่คือเหตุผลที่ทำให้เม็ดเงินโฆษณาเติบโตขึ้นตาม โดย Mobile ยังคงเป็นจอสำคัญ
  • Social Commerce เราผ่านยุคของ e-commerce ไปสู่ m-commerce และตอนนี้ก็คือยุคของ social commerce แล้ว ซึ่ง Social Commerce นี้เองที่จะช่วยให้การค้าขายบนโลกดิจิทัลเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีแพลตฟอร์มที่มากขึ้นและกลไกการชำระเงินที่ง่ายขึ้น
  • Data ข้อมูลเป็นสิ่งที่จำเป็น ในปัจจุบันนี้บริษัทควรต้องลงทุนทั้งเทคโนโลยีและบุคคลากรที่จะสามารถจัดการกับข้อมูลได้
  • AI, Machine Learning, Bots เหล่านี้จะไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่จะเข้ามาอำนวยความสะดวกให้เราได้มากขึ้น
แต่ที่สำคัญที่สุดนั้น คุณปัทมวรรณ สถาพร กรรมการผู้จัดการ Mindshare กล่าวว่า “ทิศทางการสื่อสารการตลาดของแบรนด์ต้องปรับเปลี่ยนเพื่อมองผู้บริโภคว่าเป็นปัจเจกไม่ใช่ตัวเลข ผู้บริโภคจะมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ที่เข้าใจความชอบส่วนบุคคลของแต่ละคนและสามารถพูดกับพวกเขาในฐานะมนุษย์ที่ไม่ได้วัดเพียงแค่ ‘หญิงอายุ 20-39 ปี กรุงเทพฯ รายได้ระดับบน’ โดยแบรนด์ที่เข้าใจแก่นตรงนี้และสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธิ์ได้อย่างรวดเร็วจะเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค”

 

 
Source: thumbsup

from:http://thumbsup.in.th/2018/01/mindshare-digital-advertising-forcast-2018/