เล่มแรกในไทย! เปิดตัว ‘ขายหัวเราะ ฉบับ AI’ สร้างสรรค์โดยปัญญาประดิษฐ์ ชวนสำรวจอารมณ์ขันของ AI และบทบาทใหม่ของทีมขายหัวเราะ
‘ขายหัวเราะ’ แบรนด์การ์ตูนความฮาสามัญประจำบ้านของชาวไทย เปิดตัว ‘ขายหัวเราะ ฉบับ AI < VER 1.2023 Beta >’ การ์ตูนแก๊กเล่มแรกในวงการการ์ตูนไทยที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ในการสร้างสรรค์เรื่องและภาพทั้งเล่ม คิดมุก วาดแก๊กการ์ตูนเชิงอารมณ์ขัน รวมถึงตีความปกและ logo ขายหัวเราะใหม่ Prompt อารมณ์ขันโดยทีมขายหัวเราะ ชวนแฟนๆ การ์ตูนสำรวจอารมณ์ขันของ AI ยุคปัจจุบัน
โดย ‘ขายหัวเราะ ฉบับ AI < VER 1.2023 Beta >’ นี้ เป็นการตีความสร้างสรรค์ content ขายหัวเราะที่แฟนๆ คุ้นเคย เช่น แก๊กการ์ตูน ขำขัน เรื่องสั้น ขึ้นใหม่โดย AI ซึ่งนอกจากการคิดและวาดการ์ตูนแก๊กแล้ว สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ ‘อารมณ์ขันของ AI’ โดยในโปรเจ็กต์นี้ ทีมขายหัวเราะเปลี่ยนบทบาทจาก ‘ผู้สร้างสรรค์อารมณ์ขันและการ์ตูน’ มาเป็น ‘ผู้ prompt (ป้อนคำสั่ง) อารมณ์ขันและการ์ตูน’ แทน นับเป็นความร่วมมือมิติใหม่ของมนุษย์และ AI ในวงการ content การ์ตูนไทย
“เราพยายามให้เนื้อหาขายหัวเราะ ฉบับ AI เล่มแรกนี้เป็นไปตามธรรมชาติที่แท้จริงของ AI มากที่สุด โดยทีมขายหัวเราะเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้ป้อนคำสั่ง รวบรวม และเชื่อมต่อในส่วนที่ AI เวอร์ชั่นปัจจุบันยังไม่ครอบคลุม รวมถึงงานบรรณาธิการผ่านมุมมองความเชี่ยวชาญของทีม เพราะฉะนั้น แฟนๆ การ์ตูนจะได้เห็นความสามารถที่แท้จริงของ AI ปัจจุบัน ซึ่งโปรเจ็กต์ดังกล่าวเกิดจากการตั้งคำถามของทีมงานว่า ในเมื่อ AI สามารถตอบคำถามได้มากมาย แล้ว AI จะมีอารมณ์ขันรึเปล่า จึงได้เริ่มทำโปรเจกต์ในรูปแบบเป็น sandbox เพื่อถ่ายทอดอารมณ์ขันของ AI ซึ่งเราคงได้เรียนรู้การปรับตัวแบบใหม่ๆ ของทั้งเทคโนโลยีและมนุษย์อีกมากมายในอนาคต” พิมพ์พิชา อุตสาหจิต ตัวแทนทีมขายหัวเราะกล่าว
อีกหนึ่งอย่างที่จะอดพูดถึงไม่ได้เลยในฝั่งของฮาร์ดแวร์นั้นคือการที่ Sony ตั้งใจออกแบบคอนโทรลเลอร์สำหรับ PlayStation VR 2 ขึ้นมาแบบจริงๆ จังๆ เสียที โดยเจ้า PlayStation VR 2 Sense Controller ที่มีแถมมากับ PlayStation VR 2 นั้นคือตัวตึงที่มาเปลี่ยนวงการเกมของ PlayStation VR โดยแท้จริง โยน PlayStation Move ที่แทบจะใช้งานร่วมกับ PlayStation VR รุ่นแรกไม่ได้ทิ้งไปได้เลย เพราะประสบการณ์ที่ได้รับจาก PlayStation VR 2 Sense Controller นั้นมันเป็นอะไรที่อัพเกรดขึ้นกว่าเดิมมากจนประเมินค่าไม่ได้ และเมื่อได้ลองใช้ PS VR 2 Sense Controller ตัวนี้เล่นเกมจริงจังอย่าง Horizon Call of the Mountain และ Star Wars: Tales from Galaxy’s Edge ดูแล้วก็ต้องยอมรับเลยว่าการมาถึงของ PS VR 2 Sense Controller นั้นจะเป็นเหมือนใบเปิดทางให้เหล่าเกมเมอร์ที่เน้นการเล่นเกมจริงจังได้เข้ามาสัมผัสโลก Virtual Reality ของ Sony ได้อย่างแท้จริงเสียที
ตัว PS VR 2 Sense Controller นั้นมีคุณสัมบัติเดียวกันกับ Dualsense Controller ที่เราใช้งานกับ PlayStation 5 เลย ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการจัดวางตำแหน่งของปุ่มที่มือซ้ายและมือขวาของเรานั้นจะแยกเลย์เอาต์จอยออกเป็นฝั่งซีกซ้ายและซีกขวาเหมือนบน Dualsense Controller ตลอดจนความรู้สึกในการใช้งานที่ก็ไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่นัก ฟังก์ชั่นการสั่นสะเทือนหรือ Haptic Feedbackซึ่งจะมีความแตกต่างกันไปตามพื้นผิวที่เราเหยียบหรือสภาพอากาศที่เกิดขึ้นภายในเกม หรือจะเป็น Adaptive Triggerที่เราเคยหลงรักบน Dualsense Controller นั้นก็ยังคงอยู่อย่างครบถ้วนบน PS VR 2 Sense Controller ตัวนี้ ซึ่งทั้งหมดได้ถูกโชว์เคสไว้อย่างสมบูรณ์ใน Horizon Call of the Mountain ไม่ต่างจากการเล่นเกมบนเครื่อง PlayStation 5 ที่เชื่อมต่อกับจอทีวีปกติเลย
กล้อง 4 ตัวที่ฝังอยู่บนหน้ากาก PS VR 2 Headset นั้นคือหัวใจหลักในการตั้งค่าพื้นที่การเล่นเลย เพราะการออกแบบในลักษณะ Inside Out นี้ทำให้เราสามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมรอบห้องของเราได้จริงในโหมด See Through และยังเอื้อให้ซอฟต์แวร์การตั้งค่าสามารถสแกนพื้นที่การเล่นของเราได้อย่างละเอียดและแม่นยำอีกด้วย เมื่อรวมกับ PS VR 2 Sense Controller ที่ออกแบบมาให้ใช้วัดระดับจากพื้น และใช้เป็นเครื่องมือในการคาลิเบรตระดับพื้นในโลก VR ของเราแล้วยิ่งทำให้พื้นที่การเล่นหรือ Play Areaนั้นมีความแม่นยำสูงขึ้นไปอีก…สูงถึงขนาดที่ในหลายๆ ฉากของเกมอย่าง Horizon Call of the Mountain นั้นอเล็กซ์ต้องกระโดดตัวลอยจากพื้นจริงเพื่อคว้าเชือกจับเลยทีเดียว
ดังนั้นหากเพื่อนๆ กำลังสนใจเจ้า PS VR 2 อยู่แล้วล่ะก็ ก่อนอื่นเลยต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราเป็นเจ้าของเครื่อง PlayStation 5 อยู่แล้วเท่านั้น เพราะมันจะไม่สามารถใช้งานได้กับระบบอื่นเลย หรือแม้แต่ PlayStation 4 หรือ PlayStation 4 Pro เองก็ใช้ไม่ได้นะครับ
อย่างไรก็ตาม ข้อดีของการที่มันออกแบบมาให้รองรับ PlayStation 5 เท่านั้นที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคงหนีไม้พ้นความสามารถในการประมวลผลเกมที่ได้ขุมพลังที่ทรงพลังมากๆ อย่าง PlayStation 5 มาช่วย ทำให้งานภาพที่ได้นั้นอลังการไม่ต่างอะไรไปจากการเล่นเกมบนจอทีวีทั่วไปเลย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดนั้นคงหนีไม่พ้น Horizon Call of the Mountain ที่ตอนเล่น อเล็กซ์ต้องสารภาพเลยว่าหาความแตกต่างทางด้านภาพกับ Horizon Forbidden West ที่เล่นบนจอทีวีที่เชื่อมต่อกับ PlayStation 5 ไม่เจอเลย และยิ่งเมื่อไปอยู่ในโลกของ VR ยิ่งทำให้ประสบการณ์ทั้งหมดนั้นยกระดับขึ้นแบบสุดๆ เมื่อเทียบกับ PlayStation VR รุ่นก่อนหน้าที่เชื่อมต่อกับเกมบน PlayStation 4 Pro
PlayStation VR 2 นิยามโลกใบใหม่ของ Virtual Reality ในแบบฉบับ Sony ที่ยอดเยี่ยมเหลือเกิน
Homekitคือเฟรมเวิร์คบ้านอัจฉริยะของ Apple ที่จะทำให้อุปกรณ์อัจฉริยะทั้งหลายในบ้านเราสามารถควบคุมและสั่งงานได้ผ่านทาวงแอพพลิเคชั่น “บ้าน” หรือ Home ที่มีอยู่บน iPhone, iPad และ Mac ทุกเครื่อง รวมไปจนถึงการสั่งงานผ่านผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Siri ด้วย ซึ่ง APPDISQUS เองเคยทำบทความอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้อย่างละเอียดแล้ว โดยเพื่อนๆ สามารถเข้าไปอ่านได้ที่
เปิดแอพพลิเคชั่น Hub for Homekit ขึ้นมาอีกครั้ง ในหน้า Hub จะมี QR Code ของฮับตัวนี้แสดงอยู่ ให้เปิดแอพ Home หรือ บ้าน อุปกรณ์ iOS อีกตัวที่ใช้งานประจำ (เช่น iPhone/iPad เครื่องหลัก) แล้วทำการเพิ่ม Hub ตัวนี้เข้าบ้านของเราตามวิธีปกติโดยการสแกน QR Code ที่ปรากฏ (กดตกลง/ยืนยัน ในทุกคำถาม)
อุปกรณ์ในบริการที่เราได้ตั้งค่าไว้ในแอพพลิเคชั่น Hub for Homekit จะปรากฏใรแอพบ้านของเราโดยอัตโนมัติ และหากเราต้องการเพิ่มอุปกรณ์ ก็เพียงทำตามขั้นตอนด้านบนนี้อีกครั้ง แต่ไม่จำเป็นต้องสแกน QR Code ใหม่แล้ว อุปกรณ์จากบริการใหม่ๆ ที่เราเพิ่มก็จะปรากฏขึ้นในแอพบ้าน หรือ Home ของเราอัตโนมัติทันทีที่เราปิดโปรแกรม Hub for Homekit แล้วเปิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ข้อควรระวังตัวเท่าบ้าน
ย้ำอีกครั้งว่า iPhone/iPad ที่เรานำมาติดตั้ง Hub for Homekit นั้นจะต้องเปิดเครื่อง เปิดหน้าจอ และเปิดแอพพลิเคชั่นนี้ไว้ตลอดเวลา รวมถึงต้องเชื่อมต่อกับ WiFi Network เดียวกันกับอุปกรณ์ Home Hub อย่าง Apple TV, Homepod หรือ iPad ของเราเท่านั้นนะครับ มิฉะนั้นจะใช้งานไม่ได้ ซึ่งเป็นเงื่อนไขทั่วไปของ Homekit เอง
ย้ำอีกรอบว่าเราเพิ่มบริการใหม่ๆ เองไม่ได้ หากต้องการความยืดหยุ่น คำตอบที่ดีที่สุดคือการติดตั้ง Homebridge Server เองบนอุปกรณ์อื่น เช่น Rapsberry Pi ครับ แต่เท่าที่ดูผู้พัฒนาเองก็ทำการอัพเดตบริการและเวอร์ชั่นของ Homebridge อยู่เสมอครับ
ข้อดีและข้อเสียของการใช้ iPhone / iPad มาเป็น Homebridge Server
Fast Pair นั้นเป็นระบบการเชื่อมต่ออุปกรณ์บลูทูธของ Google โดยการใช้ประโยชน์จากหน้าต่างป๊อปอัพเพื่อให้ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องกดเข้าไปเชื่อมต่อในเมนูการตั้งค่าอย่างแต่ก่อน และก็เพราะไอ้เจ้าเทคโนโลยี Fast Pair นี้เองที่ทำให้ผู้ใช้งาน Android สามารถเชื่อมต่อหูฟังของตัวเองเข้ากับอุปกรณ์ Android ทั้งหมดที่ตัวเองเป็นเจ้าของและใช้งานอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องทำการแพริ่งใหม่ทุกครั้งกับอุปกรณ์ทุกเครื่องของเรา โดยเทคโนโลยีคล้ายกันนี้ถูกใช้งานบนระบบ iOS/iPadOS/MacOS/tvOS และ WatchOS ของ Apple ได้อย่างสเถียรมาระยะใหญ่แล้ว ในขณะที่ทางฝั่งของ Google เองนั้นยังต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาอีกพอสมควรเพื่อให้รองรับความสามารถทั้งหมดของเทคโนโลยีดังกล่าวได้เหมือนกับฝั่งของระบบ Apple เค้า โดยเป้าหมายของ Google นั้นชัดเจนมากว่าจะพัฒนาระบบ Fast Pair ของตัวเองให้ใช้งานได้กว้างขึ้นกว่าเพียงแค่การเชื่อมต่อหูฟัง แต่จะให้ครอบคลุมไปถึงการใช้งานกับโทรทัศน์และอุปกรณ์สมาร์ทโฮมทั้งหลายด้วยในอนาคต
โดยแผนการที่ขัดเจนที่สุดของ Google ต่อการพัฒนาเจ้า Fast Pair นั้นคือการนำเอาฟังก์ชั่น Auto-Switching มาใช้งาน ซึ่งฟังก์ชั่นดังกล่าวนี้ผู้ใช้งานระบบ Apple Ecosystem เองได้ใช้งานกันมาเป็นระยะเวลาพอสมควรแล้ว หลักการทำงานคร่าวๆ นั้นก็ไม่ได้ซับซ้อน แต่ซ่อนประโยชน์เอาไว้ให้กับผู้ใช้งานโดยตรง โดยเจ้าฟีเจอร์ Auto-Switching ที่ว่านี้จะทำหน้าที่ในการเปลี่ยนการเชื่อมต่อของหูฟังก์หรืออุปกรณ์บลูทูธของเราตามความเหมาะสมของการใช้งานในขณะนั้น ยกตัวอย่างช่นหากเรากำลังใช้ฟูฟังก์ของเราฟังเพลงบน Chromebook อยู่ และจู่ๆ ก็มีโทรศัพท์เข้ามาที่มือถือ Android ของเรา ระบบ Auto-Switching จะทำการสลับหูฟังบลูทูธของเราไปเชื่อมต่อกับมือถือโดยอัตโนมัติเพื่อให้เรารับสายจากบลูทูธได้โดยไม่จำเป็นต้องทำการสลับอุปกรณ์เชื่อมต่อด้วยตัวเอง
นอกจากนี้ Google เองยังวางแผนจะเพิ่มฟีเจอร์ Spatial Audio หรือระบบเสียงรอบทิศทางให้กับมือถือและอุปกรณ์ระบบ Android อีกด้วย เมื่อใช้งานร่วมกับหูฟังที่รองรับ โดย Spatial Audio นั้นจะจำลองระบบเสียงรอบทิศทางตามการเคลื่อนไหวของศีรษะของผู้ใช้งาน โดยเป็นระบบเสียงแบบ 360 องศาเหมือนกับระบบ Dolby Atmos ซึ่งจะรองรับการใช้งานที่หลากหลายทั้งบริการดูหนัและฟังเพลงต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น Netflix, Apple Music และ Tidal ที่ผู้ใช้งานระบบ Apple Ecosystem กำลังใช้งานกันอยู่ในปัจจุบันนี้
ทั้ง Auto-Switching และ Spatial Audio นั้นมีแผนที่จะปล่อยให้อัพเดตและเปิดใช้บริการในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้บนอุปกรณ์ที่รองรับ ซึ่งทาง Google จะมีประกาศรายชื่อและเวอร์ชั่นของระบบปฏิบัติการออกมาให้ทราบต่อไปในอนาคต
หมดยุคกุญแจรถแบบโบราณ Android เตรียมเข้าสู่ยุค Digital Car Key หรือกุญแจรถแบบดิจิตัล
ฟังก์ชั่น Digital Car Key ที่ Google เผยออกมาล่าสุดนั้นจะทำให้ผู้ใช้งาน Google Pixel และมือถือ Samsung รุ่นที่รองรับสามารถใช้มือถือของตัวเองเป็นกุญแจดิจิตัลให้กับรถที่เพื่อนๆ ขับกันอยู่ได้ โดยในสเตจแรกนั้นจะเปิดฟังก์ชั่นให้ใช้งานร่วมกับรถหรู BMW รุ่นที่รองรับก่อน เช่นเดียวกับ Digital Car Key ของทางฝั่ง Apple ที่มีเปิดให้บริการกันไปแล้ว ทั้งนี้ Google จะใช้ความสามารถของเทคโนโลยี Ultra Wideband (UWB) มาช่วยในการสั่งงานรถ เพื่อที่เจ้าของรถจะได้ไม่จำเป็นต้องหยิบเอามือถือออกมาเพื่อควบคุมรถแต่อย่างใด และหากมีเพื่อนฝูงหรือคนในครอบครัวต้องการยืมรถของเราไปใช้ เราก็ยังสามารถให้เพื่อนๆ หรือคนในครอบครัวเรายืม Digital Car Key ของเราไปใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้กุญแจรถยนต์แบบเดิมๆ อีกต่อไป
ทั้งนี้ Google ยังเสริมอีกว่ามีแผนที่จะนำ Digital Car Key ไปใช้งานกับอุปกรณ์ Android แบรนด์อื่นๆ รวมถึงรถยนต์จากค่ายอื่นๆ เพิ่มเติมด้วยภายในปีนี้ และยังรวมไปจนถึงการยืนยันว่าในตอนนี้ทางบริษัทเองกำลังพัฒนาแอพลิเคชั่นที่จะทำให้สามารถเชื่อมต่อมือถือ Android เข้ากับคอมพิวเตอร์ระบบ Windows ผ่านทางเทคโนโลยี Fast Pair นี้ได้ด้วย เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถ “เชื่อมต่ออุปกรณ์บลูทูธและซิงค์ข้อความต่างๆ ตลอดจนแชร์ไฟล์ต่างๆ ระหว่างอุปกรณ์ผ่านระบบ Nearby Share” ได้ ซึ่งก็เทียบได้กับระบบ Continuity และ Airdrop ที่ใช้กันอยู่บน Apple Ecosystem ในปัจจุบันนั่นเอง
ด้านหลังเคสชาร์จจะเป็นพอร์ตชาร์จ USB Type C ดีไซน์ใหม่ให้วางตั้งเพราะได้รุ่นนี้รองรับการชาร์จไร้สายด้วย สามารถวางบนแท่นชาร์จได้เลย รุ่นเก่าจะวางตั้งตรงไม่ได้ เวลาจะตั้งคือต้องกลับตัวมันก็ดูแปลกไปหน่อย
เชื่อมต่อได้อย่างรวดเร็วรองรับ Fast Pair ของ Google จับคู่กับอุปกรณ์ Android ได้ง่าย เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.2 หรือแตะด้านหลังสมาร์ทโฟนที่รองรับ NFC ขณะที่ Swift Pair ช่วยให้เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ Windows 10 ผ่าน Bluetooth ได้ง่ายขึ้น
หลังจากแฟลชเรียบร้อย ให้เอา MicroSD การ์ดดังกล่าวไปใส่เข้า Raspberry Pi ที่เตรียมไว้ อย่าเพิ่งเปิดเครื่องจนกว่าจะอ่านขั้นตอนต่อไป
– ต้องการเชื่อมต่อ Homebridge Server ผ่านสาย Lan (Ethernet) – แนะนำ
ก่อนทำการเปิดเจ้า Raspberry Pi ให้คุณเชื่อมต่อสาย Lan เข้าพอร์ต Lan บน Raspberry Pi ให้เรียบร้อยก่อน และตรวจสอบให้แน่ใจว่าอินเตอร์เน็ตสามารถใช้งานได้ปกติ จากนั้นให้ทำการเปิด Raspberry Pi ขึ้นมาได้
– ต้องการเชื่อมต่อ Homebridge Server ผ่าน WiFi – ไม่แนะนำ
1. เปิด Raspberry Pi ขึ้นมา ไม่ต้องเชื่อมต่อสาย Lan เข้า Raspberry Pi จากนั้นรอประมาณ 2 – 3 นาที
2. เปิด iPhone ขึ้นมาสแกนหาสัญญาณ WiFi ชื่อ Homebridge WiFi Setup แล้วทำการเชื่อมต่อ
3. รอสักครู่ หน้าจอ Captive Portal บนจะปรากฏขึ้นมาบน iPhone ให้เลือกชื่อสัญญาณ WiFi ของคุณและระบุรหัส WiFi (Raspberry Pi บางรุ่นสามารถเชื่อมต่อได้กับคลื่น 2.4Ghz เท่านั้น เช่น Raspberry Pi Zero) เพียงเท่านี้ Homebridge Server ของคุณก็พร้อมใช้งานแล้ว
หมายเหตุ: จำ IP ที่แสดงในหน้า Captive Protal เอาไว้ เพราะในขั้นตอนต่อไป หากไม่สามารถเข้าใช้งาน Homebridge UI X ผ่าน http://homebridge.local ได้ เราจะต้อเข้าใช้งานด้วย IP ที่ปรากฏแทน
เริ่มต้นใช้งาน Homebridge Server ของเรา
หลังจากติดตั้ง Homebridge Server สำเร็จแล้ว เราจะสามารถเข้าสู่หน้า Homebridge UI X ซึ่งติดตั้งมาพร้อมกับ Image นี้แล้ว (แต่ก่อนการติดตั้งยากกว่านี้เพราะยังไม่มีไฟล์ Homebridge Image) เราสามารถเข้าสู่หน้าล็อกอิน Homebridge Server ของเราได้ที่ http://homebridge.local เมื่อหน้าล็อกอินปรากฏขึ้นมา ให้กรอกชื่อผู้ใช้งานเป็น admin และรหัสผ่านเป็น admin ในครั้งแรกที่เข้าใจงาน
ในกรณีที่ไม่สามารถเข้าหน้าล็อกอินผ่าน http://homebridge.local ได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดกับผู้ใช้งาน Windows ให้แก้ปัญหาโดยการหา IP ที่แท้จริงของ Homebridge Server ของเราเพื่อเรียกหน้าเว็บอินเตอร์เฟซสำหรับการล็อกอินออกมาผ่าน IP โดยจะเข้าผ่าน http://<ไอพีของ Homebridge Server ของเรา> ทั้งนี้หากเพื่อนๆ ลืมจด IP ในหน้า Captivate Portal ไว้ และไม่ทราบวิธีการหา IP ของ Homebridge Server นั้น มันสามารถทำได้อย่างง่ายดายโดยการเอา iPhone/iPad มาเปิดไปที่ http://homebridge.local จากนั้นล็อกอินเข้าด้วย admin/admin หลังจากล็อกอินแล้ว IP ของ Homebridge Server จะแสดงให้เห็นในช่อง Server Information ของหน้า UI และเมื่อได้ IP มาแล้วก็ค่อยนำมาเข้าระบบเพื่อใช้งานต่อบนคอมพิวเตอร์
ในขั้นตอนนี้ APPDISQUS ขอแนะนำให้เราทำการตั้งค่า IP ของ Homebridge Server เราให้เป็น Fixed IP (ไม่ว่าจะเชื่อมต่อแบบ Ethernet หรือ WiFi) เพื่อลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาในอนาคต ซึ่งเราสามารถเข้าไปตั้งค่า IP ให้กับเซิร์ฟเวอร์ของเราได้โดยการตั้งค่า Reserve DHCP บนเราเตอร์ของเรานั่นเอง
ในหน้า Homebridge UI X นี้เองที่เราจะเห็นบาร์โค๊ดของ Homebridge Server ของเรา ซึ่งเราสามารถเปิดแอพ “บ้าน” หรือ “Home” บน iPhone ของเรามาสแกนบาร์โค๊ดดังกล่าวนี้เพื่อเพิ่ม Homebridge ของเราเข้าสู่ Homekit Framework ได้ในทันที โดยขั้นตอนการเพิ่มนั้นก็เพียงแค่เปิดแอพ Home ขึ้นมา จากนั้นกดเครื่องหมาย + ที่มุมซ้ายบนแล้วเลือก “เพิ่มอุปกรณ์เสริม” แอพ Home จะเด้งขึ้นมาให้เราสแกนบาร์โค๊ด ให้ส่องกล้องไปที่บาร์โค๊ดของ Homebridge Server ของเรา แล้วทำการเพิ่มบริดจ์ใหม่เข้าไปใน Homekit เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว