คลังเก็บป้ายกำกับ: RECOMMENDED

เล่มแรกในไทย! เปิดตัว ‘ขายหัวเราะ ฉบับ AI’ สร้างสรรค์โดยปัญญาประดิษฐ์

เล่มแรกในไทย! เปิดตัว ‘ขายหัวเราะ ฉบับ AI’ สร้างสรรค์โดยปัญญาประดิษฐ์
Teethasade Isarankura Na Ayudhaya

เล่มแรกในไทย! เปิดตัว ‘ขายหัวเราะ ฉบับ AI’ สร้างสรรค์โดยปัญญาประดิษฐ์ ชวนสำรวจอารมณ์ขันของ AI และบทบาทใหม่ของทีมขายหัวเราะ

Aw KhaiAI comic2 | AI | เล่มแรกในไทย! เปิดตัว ‘ขายหัวเราะ ฉบับ AI’ สร้างสรรค์โดยปัญญาประดิษฐ์

‘ขายหัวเราะ’ แบรนด์การ์ตูนความฮาสามัญประจำบ้านของชาวไทย เปิดตัว ‘ขายหัวเราะ ฉบับ AI < VER 1.2023 Beta >’ การ์ตูนแก๊กเล่มแรกในวงการการ์ตูนไทยที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ในการสร้างสรรค์เรื่องและภาพทั้งเล่ม คิดมุก วาดแก๊กการ์ตูนเชิงอารมณ์ขัน รวมถึงตีความปกและ logo ขายหัวเราะใหม่ Prompt อารมณ์ขันโดยทีมขายหัวเราะ ชวนแฟนๆ การ์ตูนสำรวจอารมณ์ขันของ AI ยุคปัจจุบัน

 

โดย ขายหัวเราะ ฉบับ AI < VER 1.2023 Beta >’ นี้ เป็นการตีความสร้างสรรค์ content ขายหัวเราะที่แฟนๆ คุ้นเคย เช่น แก๊กการ์ตูน ขำขัน เรื่องสั้น ขึ้นใหม่โดย AI ซึ่งนอกจากการคิดและวาดการ์ตูนแก๊กแล้ว สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ ‘อารมณ์ขันของ AI’ โดยในโปรเจ็กต์นี้ ทีมขายหัวเราะเปลี่ยนบทบาทจาก ‘ผู้สร้างสรรค์อารมณ์ขันและการ์ตูน’ มาเป็น ‘ผู้ prompt (ป้อนคำสั่ง) อารมณ์ขันและการ์ตูน’ แทน นับเป็นความร่วมมือมิติใหม่ของมนุษย์และ AI ในวงการ content การ์ตูนไทย

 

“เราพยายามให้เนื้อหาขายหัวเราะ ฉบับ AI เล่มแรกนี้เป็นไปตามธรรมชาติที่แท้จริงของ AI มากที่สุด โดยทีมขายหัวเราะเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้ป้อนคำสั่ง รวบรวม และเชื่อมต่อในส่วนที่ AI เวอร์ชั่นปัจจุบันยังไม่ครอบคลุม รวมถึงงานบรรณาธิการผ่านมุมมองความเชี่ยวชาญของทีม เพราะฉะนั้น แฟนๆ การ์ตูนจะได้เห็นความสามารถที่แท้จริงของ AI ปัจจุบัน ซึ่งโปรเจ็กต์ดังกล่าวเกิดจากการตั้งคำถามของทีมงานว่า ในเมื่อ AI สามารถตอบคำถามได้มากมาย แล้ว AI จะมีอารมณ์ขันรึเปล่า จึงได้เริ่มทำโปรเจกต์ในรูปแบบเป็น sandbox เพื่อถ่ายทอดอารมณ์ขันของ AI ซึ่งเราคงได้เรียนรู้การปรับตัวแบบใหม่ๆ ของทั้งเทคโนโลยีและมนุษย์อีกมากมายในอนาคต” พิมพ์พิชา อุตสาหจิต ตัวแทนทีมขายหัวเราะกล่าว

cover KhaiAI comic 1 | AI | เล่มแรกในไทย! เปิดตัว ‘ขายหัวเราะ ฉบับ AI’ สร้างสรรค์โดยปัญญาประดิษฐ์

‘ขายหัวเราะ ฉบับ AI < VER 1.2023 Beta >’ ไซส์พิเศษ จำนวน 32 หน้า (ไม่รวมปก) พิมพ์สี่สีสวยงามทั้งเล่ม ผลิตจำนวนจำกัด Limited Edition สำหรับงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 30 มี.ค. – 9 เม.ย. เท่านั้น โดยแจกฟรีเฉพาะที่บูธขายหัวเราะ (บูธ i30) สำหรับผู้ที่ซื้อของในบูธครบ 555 บาท หรือหากแฟนๆ ท่านไหนอยากสะสมพิเศษก็สามารถซื้อแยกได้ในราคาอารมณ์ดี 55 บาท

ปัจจุบันบทบาท AI ในฐานะผู้สร้างสรรค์กำลังเป็นปรากฏการณ์ในวงการต่างๆ ทั่วโลก โดยวงการการ์ตูนญี่ปุ่นก็เพิ่งเปิดตัววางจำหน่ายการ์ตูนมังงะเล่มแรกที่ใช้ AI วาดภาพประกอบทั้งเล่ม (Cyberpunk: Peach John) เช่นกันเมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา

ข่าว: เล่มแรกในไทย! เปิดตัว ‘ขายหัวเราะ ฉบับ AI’ สร้างสรรค์โดยปัญญาประดิษฐ์ มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/the-first-book-in-thailand-launched-kai-hualor-ai-edition-created-by-artificial-intelligence/

รีวิว PlayStation VR2 – ประสบการณ์ใหม่ที่ยอดเยี่ยมของการเล่นเกม VR บน PlayStation 5

รีวิว PlayStation VR2 – ประสบการณ์ใหม่ที่ยอดเยี่ยมของการเล่นเกม VR บน PlayStation 5
Alex

ย้อนกลับไปปี 2016 Sony ได้เปิดตัว PlayStation VR รุ่นแรกเพื่อใช้ร่วมกับ PlayStation 4 ออกมาให้ชาวเกมเมอร์ได้ตื่นเต้นกัน แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อจำกัดของ PlayStation 4 เอง และความจริงที่ว่า PS VR นั้นไม่ได้อยู่ในโร๊ดแมฟของ Sony มาตั้งแต่ต้นก่อนจะพัฒนา PlayStation 4 ออกมาจำหน่าย จึงให้หลายต่อหลายอย่างใน PS VR รุ่นแรกนั้นดูไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อที่ต้องอาศัยกล่องแปลงสัญญาณแยกเพื่อให้สามารถส่งภาพเข้าแว่น PS VR รุ่นแรกและจำลองโลก Virtual Reality ออกมาได้ หรือจะเป็นจอยควบคุมที่ไม่ได้มีจอยที่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานกับแพลตฟอร์ม PS VR โดยเฉพาะ แต่ต้องไปยืมเทคโนโลยีล้าหลังมากๆ ตั้งแต่สมัย PlayStation 3 อย่าง PlayStation Move มาใช้แทน ตลอดจนการตรวจจับการเคลื่อนไหวและทิศทางที่ต้องอาศัยอุปกรณ์เสริมเป็นกล้องแยกออกมา ทำให้หลายต่อหลายอย่างนั้นดูไม่สะดวกและติดขัดไปหมด ซึ่งแม้ว่า Sony จะพยายามอย่างเต็มความสามารถแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่า PS VR รุ่นแรกนั้นไม่ได้ให้ประสบการณ์การเล่น VR ที่ดีนักกับนักเล่นเกมประจำค่าย PlayStation

Horizon Call of the Mountain กับการควบคุมธนูด้วย PS VR 2 Sense Controller
Horizon Call of the Mountain กับการควบคุมธนูด้วย PS VR 2 Sense Controller

PS VR 2 ตอบโจทย์การเล่นเกม Virtual Reality ได้ดีและสมจริงมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังลดขั้นตอนการเตรียมตัวและการเชื่อมต่อก่อนการเล่นลง ทำให้ PS VR 2 นั้นกลายเป็นอุปกรณ์ VR ตัวแรกของ Sony ที่สามารถพาผู้เล่นเข้าไปสัมผัสโลกเสมือนจริงได้อย่างยอดเยี่ยมตามแบบที่มันควรจะเป็น

มาในปีนี้ Sony นำ VR กลับมาใหม่อีกครั้งด้วยการออกแบบใหม่จากรากเพื่อให้สามารถใช้งานกับ PlayStation 5 ที่ก็ถูกออกแบบสถาปัตยกรรมให้เหมาะสมกับ VR มาแล้วโดยสมบูรณ์ ภายใต้ชื่อ PlayStation VR2 หรือ PS VR2 รวมไปจนถึงการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงในหลายส่วนที่เคยเป็นปัญหากับ PS VR รุ่นแรกให้มีความเหมาะสมกับการทำงานของ VR มากยิ่งขึ้น โดยสองส่วนสำคัญนั้นคือการเปลี่ยนจากการใช้กล้องแยกข้างนอก (Outside In) มาเป็นฝังกล้องสี่ตัวลงไปที่ตัว Headset ของ PS VR 2 โดยตรงเลยแทน (Inside Out) เพื่อลดความปวดหัวในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมและเพิ่ม Field Of Play หรือพื้นที่ในการเล่นจริงให้ได้ใกล้เคียงกับ 360 องศามายิ่งขึ้น ตลอดจนการพัฒนาจอยเกมสำหรับ PS VR จริงๆ ขึ้นมาอย่าง PS VR 2 Sense Controller เพื่อมากลบจุดด้อยทั้งหมดของ PlayStation Move สองสิ่งนี้และอีกหลายๆ อย่างที่ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงมาจากระดับฐานรากนั้นทำให้ PS VR 2 ตอบโจทย์การเล่นเกม Virtual Reality ได้ดีและสมจริงมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังลดขั้นตอนการเตรียมตัวและการเชื่อมต่อก่อนการเล่นลง ทำให้ PS VR 2 นั้นกลายเป็นอุปกรณ์ VR ตัวแรกของ Sony ที่จะพาผู้เล่นเข้าไปสัมผัสโลกเสมือนจริงได้ตามแบบที่มันควรจะเป็น ส่วนจะทำได้ดีแค่ไหนนั้น วันนี้ APPDISQUS จะพาเพื่อนๆ มาทดสอบเจ้า PS VR 2 นี้ไปพร้อมๆ กันในบทความรีวิวนี้

ฮาร์ดแวร์: การอัพเกรดใหม่แบบถอนรากถอนโคน

PSVR 2 Unboxing - อุปกรณ์ PSVR 2 เมื่อสวมใส่
PSVR 2 กับการแทร็กการเคลื่อนไหวและพื้นที่เล่นเกมแบบใหม่ที่เรียกว่า Inside Out ผ่านกล้อง 4 ตัวที่ฝังอยู่บนหน้ากาก Headset

มันไม่เกินจริงเลยที่จะบอกว่า PlayStation VR 2 คือการอัพเกรดจาก PlayStation VR รุ่นแรกแบบถอนรากถอนโคนของจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทางฝั่งของฮารด์แวร์ที่การกลับมาในรอบนี้ Sony ได้เอาข้อเสียที่เคยเกิดขึ้นกับ PlayStation VR เจนเนอเรชั่นแรกมาแก้ไขแบบหมดจด เริ่มตั้งแต่การปรับโครงสร้างการตรวจจับความเคลื่อนไหวและการสแกนพื้นที่เล่นเกมที่แต่เดิมนั้นเคยใช้กล้องภายนอกเป็นตัวตรวจจับ ซึ่งเราจะเรียกกันในภาษา VR ว่า Outside In มาเป็นการฝังตัวกล้องลงไปบนหน้ากาก PS VR 2 Headset เลยเป็นจำนวน 4 ตัว ทำให้รูปแบบการแทร็กการเคลื่อนไหวนั้นเปลี่ยนไปเป็นแบบ Inside Out ที่มีความแม่นยำกว่าเดิมมาก และยังช่วยลดพื้นที่ใช้งานในการเล่นเกม VR ลงจากเดิมใน PS VR รุ่นแรกที่ต้องอาศัยพื้นที่กว้างพอสมควร มาเหลือพื้นที่เพียงเล็กน้อยก็เล่นได้อย่างสะดวกใน PS VR 2 นี้ นอกจากนี้การฝังกล้องทั้ง 4 ตัวลงบนหน้ากาก Headset ในครั้งนี้ยังช่วยให้ PS VR 2 สามารถตรวจจับระดับความสูงจากพื้นดินได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้เกิดความสมจริงมากยิ่งขึ้นเวลาที่เราเล่นเกมในโลก Virtual Reality อีกด้วย โดยนอกจากข้อดีที่พูดถึงไปแล้วนั้น การเปลี่ยนมาใช้กล้อง 4 ตัวฝังลงบนหน้ากาก Headset นี้ยังหมายถึงการที่เราไม่จำเป็นต้องติดตั้งกล้องภายนอกเพิ่มเติมให้วุ่นวายเหมือนในสมัย PlayStation VR รุ่นแรกอีกด้วย

เลนส์และมุมมองภายใน Headset ของ PS VR 2
เลนส์และมุมมองภายใน Headset ของ PS VR 2

นอกเหนือจากการฝังกล้องเข้ามาบนหน้ากาก Headset ของ PS VR 2 แล้ว อีกหนึ่งอย่างที่ Sony ทำออกมาได้ดีมากคือการฝังเอามอเตอร์สั่นเข้าไปในตัว Headset ด้วย ซึ่งหากเรามองกันแบบผิวเผินแล้วอาจจะไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นมากนัก แต่เมื่อลองใช้งานจริงกลับพบว่าการที่หน้ากาก Headset สามารถสั่นได้ตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริงภายในเกมนั้นมันเป็นอะไรที่เปิดประสาทสัมผัสใหม่ให้เกิดขึ้นกับเกมเพลย์จริงๆ แบบที่คงจะอธิบายออกมาเป็นตัวอักษรได้ยากมาก หากไม่ได้ลองสัมผัสด้วยตัวเอง

PSVR2 Sense Controller - จอยควบคุม VR ที่เจ๋งจริง
PSVR2 Sense Controller – จอยควบคุม VR ที่เจ๋งจริง

อีกหนึ่งอย่างที่จะอดพูดถึงไม่ได้เลยในฝั่งของฮาร์ดแวร์นั้นคือการที่ Sony ตั้งใจออกแบบคอนโทรลเลอร์สำหรับ PlayStation VR 2 ขึ้นมาแบบจริงๆ จังๆ เสียที โดยเจ้า PlayStation VR 2 Sense Controller ที่มีแถมมากับ PlayStation VR 2 นั้นคือตัวตึงที่มาเปลี่ยนวงการเกมของ PlayStation VR โดยแท้จริง โยน PlayStation Move ที่แทบจะใช้งานร่วมกับ PlayStation VR รุ่นแรกไม่ได้ทิ้งไปได้เลย เพราะประสบการณ์ที่ได้รับจาก PlayStation VR 2 Sense Controller นั้นมันเป็นอะไรที่อัพเกรดขึ้นกว่าเดิมมากจนประเมินค่าไม่ได้ และเมื่อได้ลองใช้ PS VR 2 Sense Controller ตัวนี้เล่นเกมจริงจังอย่าง Horizon Call of the Mountain และ Star Wars: Tales from Galaxy’s Edge ดูแล้วก็ต้องยอมรับเลยว่าการมาถึงของ PS VR 2 Sense Controller นั้นจะเป็นเหมือนใบเปิดทางให้เหล่าเกมเมอร์ที่เน้นการเล่นเกมจริงจังได้เข้ามาสัมผัสโลก Virtual Reality ของ Sony ได้อย่างแท้จริงเสียที

ตัว PS VR 2 Sense Controller นั้นมีคุณสัมบัติเดียวกันกับ Dualsense Controller ที่เราใช้งานกับ PlayStation 5 เลย ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการจัดวางตำแหน่งของปุ่มที่มือซ้ายและมือขวาของเรานั้นจะแยกเลย์เอาต์จอยออกเป็นฝั่งซีกซ้ายและซีกขวาเหมือนบน Dualsense Controller ตลอดจนความรู้สึกในการใช้งานที่ก็ไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่นัก ฟังก์ชั่นการสั่นสะเทือนหรือ Haptic Feedback ซึ่งจะมีความแตกต่างกันไปตามพื้นผิวที่เราเหยียบหรือสภาพอากาศที่เกิดขึ้นภายในเกม หรือจะเป็น Adaptive Trigger ที่เราเคยหลงรักบน Dualsense Controller นั้นก็ยังคงอยู่อย่างครบถ้วนบน PS VR 2 Sense Controller ตัวนี้ ซึ่งทั้งหมดได้ถูกโชว์เคสไว้อย่างสมบูรณ์ใน Horizon Call of the Mountain ไม่ต่างจากการเล่นเกมบนเครื่อง PlayStation 5 ที่เชื่อมต่อกับจอทีวีปกติเลย

นอกจากนี้ PlayStation VR 2 ยังมาพร้อมกับมุมมองการแสดงผลที่กว้างขึ้นเป็น 110 องศา (จากเดิมบน PS VR รุ่นแรกนั้นอยู่ที่ 100 องศา) รวมถึงหน้าจอ OLED ความละเอียดภาพสูงสุดถึง 4K ที่อัตราการกระพริบ 120Hz และรองรับ HDR สำหรับภาพที่คมชัดสมจริงพร้อมรายละเอียดสีสันที่ครบถ้วนกว่าเดิมด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นสิ่งที่ทำให้ PS VR 2 นั้นกลายเป็นการอัพเกรดครั้งใหญ่ที่ยกระดับ Virtual Reality ของฝั่ง Sony PlayStation ขึ้นอย่างแท้จริง

ซอฟแวร์: ความฉลาดในการออกแบบ เกิดเป็นซอฟต์แวร์ที่สร้างสรรค์และใช้งานได้จริง

ต้องขอบคุณความฉลาดในการออกแบบ PS VR 2 ของทาง Sony ที่ทำให้เราลดขึ้นตอนการเชื่อมต่อลงไปได้เยอะมาก โดยในครั้งนี้ เพียงแค่เรานำสาย USB-C ที่ติดอยู่กับตัว Headset เสียบเข้ากับช่อง USB-C หน้าเครื่อง PlayStation 5 ของเราโดยตรง ไม่จำเป็นต้องผ่านกล่องแปลงสัญญาณใดๆ เลยเหมือนอย่างที่เคยต้องทำบน PS VR รุ่นแรก

ทันทีที่เราเชื่อมต่อสาย USB-C เข้ากับเครื่อง PlayStation 5 นั้น หน้าจอก็จะแสดงคำแนะนำการตั้งค่าต่างๆ ขึ้นมาให้เราได้ทำตามเป็นขั้นตอนอย่างง่ายดาย โดยเริ่มตั้งแต่การตั้งค่าพื้นที่การเล่นเกม ซึ่งเราสามารถเลือกรูปแบบการเล่นได้ทั้งแบบนั่งและแบบยืน และยังสามารถบันทึกพื้นที่เล่นเกมนี้ไว้ชั่วคราวและกลับมาเปลี่ยนแปลงใหม่ได้อย่างรวดเร็วเมื่อเรามีการปรับเปลี่ยนการจัดวางของในห้องหรือสลับรูปแบบการเล่นจากนั่งเป็นยืน หรือจากยืนเป็นนั่ง

การตั้งค่าระดับความสูงจากพื้นด้วย PS VR 2 Sense Controller เพื่อความสมจริงของเกม
การตั้งค่าระดับความสูงจากพื้นด้วย PS VR 2 Sense Controller เพื่อความสมจริงของเกม

กล้อง 4 ตัวที่ฝังอยู่บนหน้ากาก PS VR 2 Headset นั้นคือหัวใจหลักในการตั้งค่าพื้นที่การเล่นเลย เพราะการออกแบบในลักษณะ Inside Out นี้ทำให้เราสามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมรอบห้องของเราได้จริงในโหมด See Through และยังเอื้อให้ซอฟต์แวร์การตั้งค่าสามารถสแกนพื้นที่การเล่นของเราได้อย่างละเอียดและแม่นยำอีกด้วย เมื่อรวมกับ PS VR 2 Sense Controller ที่ออกแบบมาให้ใช้วัดระดับจากพื้น และใช้เป็นเครื่องมือในการคาลิเบรตระดับพื้นในโลก VR ของเราแล้วยิ่งทำให้พื้นที่การเล่นหรือ Play Area นั้นมีความแม่นยำสูงขึ้นไปอีก…สูงถึงขนาดที่ในหลายๆ ฉากของเกมอย่าง Horizon Call of the Mountain นั้นอเล็กซ์ต้องกระโดดตัวลอยจากพื้นจริงเพื่อคว้าเชือกจับเลยทีเดียว

psvr2 review virtual wall | Horizon Call of the Mountain | รีวิว PlayStation VR2 - ประสบการณ์ใหม่ที่ยอดเยี่ยมของการเล่นเกม VR บน PlayStation 5
psvr2 review 2 out of play area | Horizon Call of the Mountain | รีวิว PlayStation VR2 - ประสบการณ์ใหม่ที่ยอดเยี่ยมของการเล่นเกม VR บน PlayStation 5

ทุกครั้งที่เราเซ็ตพื้นที่การเล่นเกมของเราขึ้นมา ซอฟต์แวร์ของเจ้า PS VR 2 จะสร้างกำแพงเสมือนจริง หรือ Virtual Wall ขึ้นมาเพื่อบ่งบอกอาณาเขตในการเล่นเมื่อเราสวมใส่แว่น VR โดยกำแพงเสมือนจริงนี้จะปรากฏขึ้นทุกครั้งที่เรากำลังจะเดินหลุดออกจากพื้นที่เล่นเกมที่เราตั้งค่าเอาไว้  และหากเรายังขืนเดินออกจากกำแพงเสมือนจริงอย่างไม่หยุดยั้งแล้ว ตัวเกมก็จะปิดตัวลงชั่วคราวพร้อมกับที่ฟังก์ชั่น See Through ของ PS VR 2 นั้นจะแอคติเวทขึ้นโดยอัตโนมัติเผยเป็นภาพจริงแบบขาวดำให้เราเห็นว่าข้างหน้าเรานั้นมีอะไรขวางอยู่เพื่อป้องกันเราและสิ่งของรอบตัวจากอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ นี่ถือเป็นความฉลาดของซอฟต์แวร์ที่อเล็กซ์ต้องขอชื่นชมมากๆ เป็นการส่วนตัว เพราะหลายๆ คนอาจจะทราบดีจากคลิปที่มีเผยแพร่ออนไลน์มากมายว่าตอนสมัย PS VR รุ่นแรกนั้น ชาวคอนโซลเกมเมอร์เผลอทำทีวีตัวเองจอแตกจากการเอา PlayStation Move ฟาดไปทั่วโลกรวมกันนี่ไม่น้อยเลยทีเดียวนะ

ทริคเล็กน้อย: หากรู้สึกล้าดวงตาหรือปวดหัวในขณะที่เล่นเกม VR การลดความสว่างของหน้าจอ PlayStation VR 2 ในเมนูการตั้งค่าอุปกรณ์เสริมนั้นอาจช่วยลดอาการ VR Sickness ของเพื่อนๆ ได้

นอกจากการความสามารถของกล้อง 4 ตัวที่ฝังอยู่บนหน้ากาก Headset ของเจ้า PS VR 2 แล้ว เจ้า VR ตัวเก่งจาก Sony ตัวนี้ยังมาพร้อมกับความสามารถในการแทร็กการเคลื่อนไหวดวงตาของผู้เล่น โดยไม่จำเป็นต้องหันทั้งหน้าอีกด้วย ซึ่งฟังก์ชั่นนี้นอกจากที่จะเอื้อให้นักพัฒนาสามารถนำมาใช้งานในเกมของตัวเองเป็นหนึ่งในวิธีการควบคุมการเคลื่อนไหวของตัวละคร หรือการเลือกเมนูต่างๆ อย่างที่ใน Horizon Call of the Mountain ทำได้แล้ว มันยังทำให้เกม PS VR 2 นั้นสามารถเรนเดอร์ภาพที่มีความละเอียดสูงในระดับ 4K HDR นี้ขึ้นมาได้ไวมากขึ้นเยอะอีกด้วย ซึ่ง Sony เรียกฟีเจอร์นี้ไว้อย่างเป็นทางการว่า Foveated Rendering โดยหากดูจากสเป็กแล้วจะไวขึ้นได้ประมาณ 3.6 เท่า สาเหตุนั้นก็เพราะว่า PlayStation VR 2 และ PlayStation 5 นั้นไม่จำเป็นต้องใช้พลังไปกับการเรนเดอร์ความละเอียดภาพสูงสุดในทุกส่วนของจอแสดงผล แต่โฟกัสการเรนเดอร์ไปในตำแหน่งและระยะที่ดวงตาของผู้เล่นมองอยู่ได้เลย เพราะโดยปกติแล้ว การมองเห็นในชีวิตจริงของคนเราก็จะมีระยะการมองเห็นชัดเจนแบบไม่เต็มทั้งเฟรมแบบ 110 องศาอยู่แล้ว ซึ่งต้องบอกว่าจากที่อเล็กซ์ได้รองเล่น Horizon Call of the Mountain นั้น นักพัฒนาสามารถเอาฟีเจอร์นี้มาใช้งานได้อย่างเหมาะสมมากๆ ทำให้ภาพในระยะที่เราเห็นจริงหรือ Perceivable Visual นั้นสวยงามมากมายไม่ต่างอะไรจากการเล่นเกนบนทีวีที่เชื่อมต่อกับ PlayStation 5 จริงเลย และแน่นอนว่าผู้เล่นสามารถคาลิเบรตการตรวจจับดวงตานี้ให้ถูกต้องและแม่นยำได้โดยตรงจากเมนูการตั้งค่า PlayStation VR 2 เมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องการ

การแทร็กการเคลื่อนไหวที่แม่นยำของ PS VR 2 ทำให้เกิดท่าทางที่สมจริง
ยืดสุดแขนจริง เพราะระยะการออกท่าทาง และลักษณะการเคลื่อนไหวมีมีผลพอๆ กับการกดปุ่ม

นอกจากซอฟต์แวร์ฉลาดๆ ที่ส่งผลกับการเล่นเกม Virtual Reality โดยตรงของ PlayStation VR 2 แล้ว ตัวเครื่องยังมาพร้อมกับ Cinema Mode หรือโหมดการรับชมคอนเทนต์ต่างๆ ในรูปแบบจอใหญ่ยักษ์ ผ่านทาง PS VR 2 รวมไปจนถึงการเล่นเกมปกติทั่วไปบน PlayStation 5 ผ่านจอของ PS VR 2 นี้ด้วย ซึ่งเราสามารถเข้าไปกำหนดขนาดหน้าจอการแสดงผลของ PS VR 2 Headset ได้ในเมนูการตั้งค่านั่นเอง โดยส่วนตัวแล้วอเล็กซ์มองว่าโหมดนี้อาจไม่ค่อยจะมีประโยชน์กับตัวเองสักเท่าไหร่นัก เพราะจากการทดลองใช้งานแล้วต้องบอกว่าจอมันใหญ่สะใจอารมณ์นั่งอยู่ใน IMAX ก็จริง แต่คุณภาพของภาพนั้นก็ไม่ได้ดีเหมือนกับการดูจากบนทีวีโดยตรงอยู่ดี แต่การที่ Sony มีซอฟต์แวร์ในส่วนนี้เพิ่มเติมมาให้ก็ช่วยให้ PS VR 2 นั้นสามารถนำไปใช้งานให้เกิดประโยชน์ได้มากขึ้น ถือเป็นเรื่องดีของผู้บริโภคอย่างเรา อยู่ดีนั่นล่ะ

PlayStation VR 2 การเริ่มต้นใหม่ที่ไม่สามารถใช้เกมจาก PS VR รุ่นแรกได้เลย

ถึงแม้ว่า PS VR 2 นั้นจะมีดีให้เราได้ชื่นชมทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ตามที่กล่าวไปข้างต้น แต่ปัญหาหนึ่งที่อเล็กซ์แอบหนักใจไม่น้อยก็คือเรื่องที่เจ้า PS VR 2 นั้นจะไม่รองรับเกมจาก PS VR รุ่นแรกเลย นอกเสียจากนักพัฒนาเกมเหล่านั้นจะทำการอัพเกรดตัวเกมให้รองรับ PS VR 2ในเวลาต่อมา ซึ่งก็ไม่มีใครการันตีได้ว่าการอัพเกรดเหล่านั้นทำให้เราต้องเสียเงินซื้อเกมหรือซื้อการอัพเกรดหรือไม่ หรือจะเป็นการอัพเกรดให้ฟรีๆ สำหรับใช้เล่นบน PS VR 2 เนื่องจากทาง Sony เองไม่ได้วางกฏนี้ไว้กับนักพัฒนาจึงทำให้การตัดสินใจในเรื่องของข้อกำหนดนั้นขึ้นอยู่กับนักพัฒนาแต่ละเกมโดยตรง

จาก Presskit ที่หลายๆ ค่ายส่งมาให้นั้น การอัพเกรดเกม PS VR 1 ไปเป็น PS VR 2 ส่วนใหญ่แล้วจะมาพร้อมกับค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายเพิ่มกัน แม้จะไม่แพงเท่าการซื้อใหม่ แต่ก็ยังมีค่าอัพเกรดกันอยู่ดี

Horizon Call of the Mountain หนึ่งในเกม Exclusive ที่พร้อมเล่นตั้งแต่วันแรก
Horizon Call of the Mountain หนึ่งในเกม Exclusive ที่พร้อมเล่นตั้งแต่วันแรก

Capcom เองจะเป็นค่ายต้นๆ ที่ยืนยันออกมาแล้วว่าอย่างน้อยทางค่ายก็จะเปิดอัพเกรด Resident Evil: Village ให้รองรับ PS VR 2 ฟรีๆ ตั้งแต่วันแรกที่ PS VR 2 ออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แต่ชาว PS VR รุ่นแรกที่ซื้อเกมเอาไว้เต็มไลบรารี่ก็ยังคงต้องลุ้นกันต่อไปอยู่ดีว่าค่ายนักพัฒนาอื่นๆ จะมีแผนทำแบบเดียวกันกับ Capcom ไหม และจากที่ APPDISQUS ทราบจาก Presskit ที่หลายๆ ค่ายส่งมาให้นั้น การอัพเกรดเกม PS VR 1 ไปเป็น PS VR 2 ส่วนใหญ่แล้วจะมาพร้อมกับค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายเพิ่มกัน แม้จะไม่แพงเท่าการซื้อใหม่ แต่ก็ยังมีค่าอัพเกรดกันอยู่ดี ทำให้เกม Virtual Reality เก่าๆ ที่เคยซื้อเก็บไว้จาก PSN Store นั้นจะไม่สามารถนำมาใช้งานร่วมกับ PS VR 2 ได้ในวันแรกที่วางจำหน่ายอย่างแน่นอนแล้ว ซึ่งก็ส่งผลให้เพื่อนๆ ที่วางแผนจะซื้อ PS VR 2 นั้นคงต้องเตรียมเงินสำหรับซื้อเกมอย่าง Horizon Call of the Mountain หรือ Star Wars: Tales from Galaxy’s Edge มาเพิ่มเติมด้วย หรือไม่ก็ต้องตัดสินใจซื้อกล่องบันเดิลที่มาพร้อมกับตัวเกม Horizon Call of the Mountain ไปเลย โดยทาง Sony วางราคาเอาไว้ที่ 23,890 บาท แพงกว่าเวอร์ชั่นตัวเครื่อง PS VR 2 เพียวๆ ที่เปิดตัวที่ 22,190 บาท ไปอีก 1.700 บาทเลยทีเดียว

นอกจากนี้ การที่เกมจาก PS VR รุ่นแรกจะไม่สามารถนำมาใช้งานบน PS VR 2 ได้โดยอัตโนมัตินี้ยังส่งผลให้จำนวนเกมที่รองรับ PS VR 2 ในวันเปิดตัวนั้นมีปริมาณไม่เยอะ และเกมที่เหมาะกับซีเรียสเกมเมอร์จริงๆ ก็ยิ่งมีปริมาณที่น้อยลงไปอีก ซึ่งกว่าที่จะมีเกมมาสะสมแต้มจำนวนให้กับระบบ PS VR 2 ได้ในปริมาณมากและหลากหลายนั้นก็คงต้องใช้ระยะเวลาอีกนานพอสมควร ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ VR ค่ายคู่แข่งอย่างฝั่ง Steam หรือ Oculus Quest แล้ว นี่อาจจะถือเป็นข้อด้อยจุดใหญ่มากๆ ที่ผู้ที่กำลังสนใจเจ้า PS VR 2 อยู่ต้องเก็บไปพิจารณาประกอบ

APPDISQUS ได้รวบรวมรายชื่อเกมที่น่าสนใจที่เพื่อนๆ สามารถหาซื้อมาเล่นได้ตั้งแต่วันเปิดตัว PS VR 2 เอาไว้ ตามรายการด้านล่างนี้เลยครับ โดยทุกเกมที่กล่าวถึงนี้ก็ต้องขอขอบคุณทางนักพัฒนาและค่ายต่างๆ ด้วยที่ส่งโค๊ดมาให้เราได้ทดสอบตัวเกมกันไปในการทำรีวิว PS VR 2 ครั้งนี้

psvr2 games | Horizon Call of the Mountain | รีวิว PlayStation VR2 - ประสบการณ์ใหม่ที่ยอดเยี่ยมของการเล่นเกม VR บน PlayStation 5

อุปกรณ์ VR ราคาแรง ที่ผูกขาด Ecosystem ให้กับ PlayStation 5 เท่านั้น

แม้จะไม่แปลกที่ PlayStation VR 2 นั้นจะถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้กับ PlayStation 5 ของ Sony เท่านั้น แต่ในใจลึกๆ เราก็ยังแอบคาดหวังว่าอุปกรณ์ VR ที่มีฮาร์ดแวร์ระดับไม่ธรรมดา และมาพร้อมราคาที่ก็ไม่ธรรมดาแบบเจ้า PS VR 2 นี้น่าจะสามารถใช้งานได้กับเกม Steam ที่เล่นผ่านคอมพิวเตอร์ PC สักหน่อยเพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้เล่นที่หลากหลายและเพื่อเป็นการกระตุ้นการพัฒนาเกมบนแพลตฟอร์ม VR ของ Sony เองให้มีความหลากหลายขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว

PS VR 2 การอัพเกรดแบบก้าวกระโดดสำหรับโลก VR บน PlayStation 5
PS VR 2 การอัพเกรดแบบก้าวกระโดดสำหรับโลก VR บน PlayStation 5

ถึงแม้ ณ ตอนนี้ Sony จะยังไม่มีการออกมาประกาศอย่างชัดเจนว่า PS VR 2 นั้นจะพอร์ตให้ใช้งานได้กับ Steam หรือไม่ แต่หากดูจากประวัติของ PS VR รุ่นก่อนหน้าแล้วก็ต้องบอกว่ายากเอาการอยู่ที่จะคาดหวังแบบนั้น ทั้งนี้ก็อาจเป็นไปได้ว่าต่อไปในวันข้างหน้าอาจมีนักพัฒนาอิสระที่สนใจจะเข้ามาทำแฮ๊คให้ PS VR 2 ตัวนี้สามารถใช้งานได้กับ Steam เหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้วใน PS VR รุ่นแรกก็เป็นได้

ดังนั้นหากเพื่อนๆ กำลังสนใจเจ้า PS VR 2 อยู่แล้วล่ะก็ ก่อนอื่นเลยต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราเป็นเจ้าของเครื่อง PlayStation 5 อยู่แล้วเท่านั้น เพราะมันจะไม่สามารถใช้งานได้กับระบบอื่นเลย หรือแม้แต่ PlayStation 4 หรือ PlayStation 4 Pro เองก็ใช้ไม่ได้นะครับ

psvr2 review accessories 1 | Horizon Call of the Mountain | รีวิว PlayStation VR2 - ประสบการณ์ใหม่ที่ยอดเยี่ยมของการเล่นเกม VR บน PlayStation 5
psvr2 review accessories 3 | Horizon Call of the Mountain | รีวิว PlayStation VR2 - ประสบการณ์ใหม่ที่ยอดเยี่ยมของการเล่นเกม VR บน PlayStation 5

อย่างไรก็ตาม ข้อดีของการที่มันออกแบบมาให้รองรับ PlayStation 5 เท่านั้นที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคงหนีไม้พ้นความสามารถในการประมวลผลเกมที่ได้ขุมพลังที่ทรงพลังมากๆ อย่าง PlayStation 5 มาช่วย ทำให้งานภาพที่ได้นั้นอลังการไม่ต่างอะไรไปจากการเล่นเกมบนจอทีวีทั่วไปเลย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดนั้นคงหนีไม่พ้น Horizon Call of the Mountain ที่ตอนเล่น อเล็กซ์ต้องสารภาพเลยว่าหาความแตกต่างทางด้านภาพกับ Horizon Forbidden West ที่เล่นบนจอทีวีที่เชื่อมต่อกับ PlayStation 5 ไม่เจอเลย และยิ่งเมื่อไปอยู่ในโลกของ VR ยิ่งทำให้ประสบการณ์ทั้งหมดนั้นยกระดับขึ้นแบบสุดๆ เมื่อเทียบกับ PlayStation VR รุ่นก่อนหน้าที่เชื่อมต่อกับเกมบน PlayStation 4 Pro

PlayStation VR 2 นิยามโลกใบใหม่ของ Virtual Reality ในแบบฉบับ Sony ที่ยอดเยี่ยมเหลือเกิน

PlayStation VR 2 คือนิยามบทใหม่ของการเล่นเกม Virtual Reality จากทางฝั่ง PlayStation ที่ยอดเยี่ยมเหลือเกิน ยอดเยี่ยมจนเราไม่จำเป็นต้องเสียเวลานั่งนึกย้อนไปถึงสัมผัสและความรู้สึกที่เราเคยมีต่อ PlayStation VR รุ่นก่อนหน้าเลย เพราะเจ้า PS VR 2 นี้มาเพื่อแก้ทุกประสบการณ์ไม่ดีที่เราเคยมีกับรุ่นเก่าไปแบบไม่เหลือซึ่งลายเดิม ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบหน้ากาก Headset ให้มีกล้อง Tracking และ Room Mapping ถึง 4 ตัวฝังมาใน Headset โดยไม่ต้องใช้กล้องแยกข้างนอกอีกแล้ว หรือจะเป็นการพัฒนาคอนโทรลเลอร์สำหรับ PS VR 2 โดยเฉพาะออกมาภายใต้ชื่อ Sense Controller ที่มาพร้อมประสบการณ์การเล่นชนิดที่ครบถ้วนเหมือนใน Dualsense เด๊ะๆ หรือการเพิ่มเติมกิมมิคเล็กๆ อย่างการสั่นที่ตัว Headset ที่ก็เพิ่มประสบการณ์การเล่นที่ไม่เล็กเลยขึ้นมาได้เป็นอย่างดี และท้ายที่สุดคือ Eyes Tracking ที่มีเพิ่มเข้ามา ซึ่งทำให้ PS VR 2 นั้นสามารถเรนเดอร์การแสดงผลได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก รวมทั้งยังเพิ่มมิติใหม่ของการบังคับและควบคุมเกมผ่านเพียงการชายตามอง ซึ่งเป็นประสบการณ์การเล่นที่น่าสนใจทีเดียว

เมื่อนำทั้งหมดนี้มาผสานเข้ากับขุมพลังประสิทธิภาพสูงอย่างเจ้า PlayStation 5 แล้ว ยิ่งทำให้โลกจำลองหรือ Virtual Reality บน PlayStation VR 2 นั้นเป็นอะไรที่น่าหลงไหลมากอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับ Headset ตัวอื่นๆ ที่เคยลองมาก่อน เหลือเพียงอย่างเดียวคือจำนวนเกมที่รองรับ PS VR 2 ที่ ณ ตอนนี้ยังมีปริมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับค่ายอื่น หรือแม้แต่กับบน PS VR รุ่นก่อนหน้าเอง ซึ่งอาจจะต้องให้เวลา Sony และนักพัฒนามากกว่านี้ก่อนที่เราจะมีเกมดีๆ บนแพลตฟอร์ม VR ของ Sony มาเล่นมากยิ่งขึ้น ทำให้ใครที่กำลังตัดสินใจจะหาซื้อมาตั้งแต่วันแรกที่วางจำหน่ายอาจจะต้องคิดหนักหน่อยในเรื่องของความคุ้มค่า เพราะสนนราคาค่าตัวนั้นแพงกว่าตัวเก่ามากทีเดียว โดยจะเปิดจำหน่ายในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 นี้ ในราคาเริ่มต้นที่ 22,190 บาท

แต่หากใครไม่มีปัญหากับเรื่องปริมาณเกมที่อาจจะยังไม่มากนัก ในวันวางจำหน่าย PS VR 2 ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะยังไม่มีเกมดีๆ ออกมาให้ได้เล่นกัน เพราะเท่าที่ประกาศมาในตอนนี้ เพื่อนๆ สามารถหาซื้อเกมดีๆ มาเล่นจริงจังบน PS VR 2 กันได้ตั้งแต่วันแรกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นไตเติลใหญ่ยักษ์อย่าง Horizon Call of the Moutain หรือจะเป็น Star Wars: Tales From Galaxy’s Edge และ Resident Evil: Village เองที่ CAPCOM ก็พร้อมอัพเกรดให้เล่นบน PS VR 2 ได้ฟรีกันตั้งแต่วันแรกที่ตัวเครื่องเปิดวางจำหน่ายกันไปเลย นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างรายชื่อเกมเบื้องต้นเท่านั้น ใครสนใจตรวจสอบแบบเต็มๆ สามารถตามลิงก์นี้ไปรับชมกันได้เลย

สุดท้ายนี้คงต้องบอกว่า PlayStation VR 2 นั้นทำให้เราเห็นอนาคตที่แจ่มใสของ VR บนแพลตฟอร์ม PlayStation ได้เสียที หลังจากที่หลงทางลองของไปกับ PS VR รุ่นก่อนหน้านี้ และค่อนข้างจะมั่นใจว่าการลงทุนในครั้งนี้สำหรับการหาซื้อเจ้า PS VR 2 มาเป็นเจ้าของนั้นจะไม่มีอะไรต้องทำให้รู้สึกเสี่ยง เพราะจากสิ่งที่ APPDISQUS ได้ลองมา ก็ต้องบอกว่า Sony จัดเต็มจริง ไม่น่าจะมีทางทิ้งกันไปง่ายๆ อย่างแน่นอนครับ

ขอขอบคุณ Sony สำหรับอุปกรณ์ PlayStation VR 2 ที่ให้ทาง APPDISQUS ได้มาทดสอบกันก่อนใครในครั้งนี้

ข่าว: รีวิว PlayStation VR2 – ประสบการณ์ใหม่ที่ยอดเยี่ยมของการเล่นเกม VR บน PlayStation 5 มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/psvr2-review-a-leap-in-vr-experience-for-playstation5/

เปิดตัว realme C33 กับกล้องนำเทรนด์ 50ล้าน เสริมด้วย realme Buds T100 หูฟังบลูทูธ Two-Tone

เปิดตัว realme C33 กับกล้องนำเทรนด์ 50ล้าน เสริมด้วย realme Buds T100 หูฟังบลูทูธ Two-Tone
Teethasade Isarankura Na Ayudhaya

realme C33 สัมผัสดีไซน์จากผืนทะเลอันไร้ขอบเขตในสมาร์ตโฟน Entry-level ตื่นตากับกล้องล้ำนำเทรนด์ 50 ล้านพิกเซล
พร้อมอัลกอริธึมอัจฉริยะเสริมทัพด้วย realme Buds T100 หูฟังบลูทูธสุดคูลสไตล์ Two-Tone
unnamed 2 | realme Buds T100 | เปิดตัว realme C33 กับกล้องนำเทรนด์ 50ล้าน เสริมด้วย realme Buds T100 หูฟังบลูทูธ Two-Tone
กรุงเทพฯ 25 ตุลาคม 2565 – realme (เรียลมี) แบรนด์เทคโนโลยีเพื่อคนรุ่นใหม่ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก เปิดตัวบัดเจ็ตสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ที่แฟน ๆ เรียลมีชาวไทยต่างรอคอยกับ “realme C33” ที่ได้รับการยกย่องเป็น Budget King รุ่นล่าสุด ชูจุดเด่นกล้องสุดล้ำนำเทรนด์ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมการประมวลผลภาพแบบใหม่ด้วย CHDR algorithm เพื่อดึงสีสัน ความสว่าง และความคมชัดสดใสให้คุณได้ภาพถ่ายที่สวยน่าประทับใจ ภายใต้ดีไซน์ฝาหลังที่หรูหราด้วยเอ็กเฟ็กต์แบบระลอกคลื่นน้ำที่เล่นแสงจากทุกทิศทาง ผสานรูปทรงตัวเครื่องที่บางเพียง 8.3 มม. ทำให้ realme C33 มอบสไตล์ที่โดดเด่นที่สุดในสมาร์ตโฟนเซกเมนต์เดียวกัน และเพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของหนุ่มสาวสมัยใหม่ เรียลมียังได้เปิดตัวอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์สุดล้ำพร้อมกัน “realme Buds T100” หูฟังบลูทูธรุ่นใหม่ที่มาพร้อมดีไซน์ Two Tone Hit Color มอบพลังเสียงสะใจด้วย Dynamic Bass Driver ขนาด 10mm และเป็นหูฟังราคาประหยัดเพียงไม่กี่รุ่นที่ให้ระบบตัดเสียงรอบข้าง AI ENC และเรตกันน้ำถึงระดับ IPX5 จับคู่สองแก็ดเจ็ตสุดคุ้มเพื่อให้คุณสนุกกับชีวิตในยุคดิจิทัลได้อย่างเต็มที่และอิสระอย่างใจต้องการ
“realme C33” สมาร์ตโฟน Budget King แห่งปี

  • มอบสไตล์โดดเด่นที่สุดในสมาร์ตโฟนเซกเมนต์เดียวกัน
    ด้วยแรงบันดาลใจในการออกแบบจากพื้นทะเลที่ไร้ขอบเขต ผสานการใช้เทคโนโลยีการพิมพ์หิน (Lithography) ที่ละเอียดระดับไมครอน ทำให้ฝาหลังของ realme C33 มอบเอ็ฟเฟ็กต์แสงแบบไดนามิกที่เหลือบแสงอย่างสวยงามเมื่อมองจากมุมที่ต่างกัน บวกกับการเคลือบผิวคอมโพสิตแบบเกล็ดทรายอันระยิบระยับที่สร้างเอ็ฟเฟ็กต์ “การไหลของสายน้ำ” ได้อย่างชัดเจนและสมจริง

    งานประกอบฝาหลังเลือกใช้วัสดุ 2D ระดับพรีเมียมโดยประกอบจาก PC และ PMMA ที่แข็งแกร่งทนทานต่อรอยขีดข่วน นำมาขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวแบบ Uni-cover ผสานความเพรียวบางของตัวเครื่องเพียง 8.3 มม. จึงไม่น่าแปลกใจที่ realme C33 จะมอบความสวยงามอันโดดเด่น หรูหราอย่างมีสไตล์ และแตกต่างจากสมาร์ตโฟนในระดับเดียวกันอย่างสิ้นเชิง
    unnamed 1 1 | realme Buds T100 | เปิดตัว realme C33 กับกล้องนำเทรนด์ 50ล้าน เสริมด้วย realme Buds T100 หูฟังบลูทูธ Two-Tone

    Aqua Blue

    unnamed 2 1 | realme Buds T100 | เปิดตัว realme C33 กับกล้องนำเทรนด์ 50ล้าน เสริมด้วย realme Buds T100 หูฟังบลูทูธ Two-Tone
    Night Sea

  • กล้องความละเอียด 50MP เก็บภาพคมชัดทุกรายละเอียด
    สัมผัสสุดยอดกล้องความละเอียดสูงที่หาได้ยากในเซกเมนต์เดียวกัน โดย realme C33 จัดเต็มกับกล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมโหมดถ่ายภาพสุดล้ำทั้ง Beauty, Super Night, HDR, Panoramic View, Portrait, Time-lapse และ Expert Mode สามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียด Full HD 1080p/30fps

    นอกจากนี้ realme C33 ยังใช้อัลกอริธึมการประมวลผลภาพแบบใหม่ “CHDR Algorithm” เพื่อปรับปรุงการถ่ายแบบ HDR ซึ่งมีความเปรียบต่างของแสงในภาพสูง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการลดไฮไลต์ที่ขาวโพลนเกินไป พร้อมเพิ่มความสว่างในส่วนมืดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้คุณได้ภาพที่คมชัดและสว่างอย่างสม่ำในทุกมุม พร้อมสีสันที่สวยงามสดใส ราวกับภาพถ่ายจากกล้องระดับแฟล็กชิป ให้คุณเก็บภาพประทับใจหรือสร้างสรรค์คอนเทนต์ได้อย่างมืออาชีพ

    image 1 | realme Buds T100 | เปิดตัว realme C33 กับกล้องนำเทรนด์ 50ล้าน เสริมด้วย realme Buds T100 หูฟังบลูทูธ Two-Tone
  • ประสิทธิภาพเหนือความคาดหมายด้วยฟีเจอร์ที่คุณคาดไม่ถึง
    realme C33 ใช้จอแสดงผลแบบ Mini-drop ขนาดใหญ่ 6.5 นิ้ว (16.5 ซม.) ที่แสดงผลสีสันได้มากถึง 16.7 ล้านสี ด้วยอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่อง 88.7% และให้ความสว่างสูงสุด 400nits พร้อม Touch sampling rate 120Hz

    ด้วยการส่งเสริมให้ทุกคนได้ออกไปใช้ชีวิตในแบบที่เลือกอย่างเต็มที่ realme C33  จึงพร้อมให้คุณใช้งานได้ต่อเนื่องตลอดวันด้วยแบตเตอรี่ยักษ์ความจุถึง 5000mAh สามารถโทรต่อเนื่องได้ 36.7 ชั่วโมง หรือฟังเพลงได้นาน 84.7 ชั่วโมง หรือเล่นวิดีโอโปรดของคุณได้ถึง 14 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังรองรับ Ultra-Saving Mode ที่แม้แบตเตอรี่เหลือเพียง 5% ก็สามารถเปิดสแตนด์บายได้นานถึง 43.6 ชั่วโมง

    นอกจากนี้ realme C33 ยังเป็นสมาร์ตโฟนรุ่นแรกของ C Series ที่จะเปิดประตูนำผู้ใช้สู่ Android 12 แบบเต็มระบบ และยังมีฟีเจอร์สแกนลายนิ้วมือบนปุ่มด้านข้างเพื่อความปลอดภัยที่มากขึ้น โดยใช้เวลาในการปลดล็อกเพียง 0.5 วินาที พร้อมฟังก์ชั่นเด็ดที่แม้แต่มือถือระดับแฟล็กชิปก็ไม่มีให้ นั่นคือถาดใส่ซิมแบบ 3 สล็อต แบ่งเป็นช่องซิมการ์ด 2 ช่อง และช่อง Micro SD card อีก 1 ช่อง ซึ่งสามารถขยายหน่วยความจำได้สูงสุดถึง 1TB

    unnamed 3 | realme Buds T100 | เปิดตัว realme C33 กับกล้องนำเทรนด์ 50ล้าน เสริมด้วย realme Buds T100 หูฟังบลูทูธ Two-Tone
  • ราคาและการวางจำหน่าย realme C33 นำเสนอความโดดเด่นแห่งดีไซน์สมาร์ตโฟนจาก 2 โทนสีสุดหรูทั้ง
  • Aqua Blue มอบเอ็ฟเฟ็กต์สะท้อนแสงสุดโรแมนติก ชวนให้นึกถึงวันหยุดอันแสนสุขริมหาดและท้องทะเล
  • Night Sea โทนสีดำอันนิ่งสงบ หรูหราและเป็นเอกลักษณ์ เข้ากับทุกกิจกรรมไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน

    รุ่นหน่วยความจุ 4+64GB ราคา 4,499 บาท โดยจะวางจำหน่ายพร้อมกันในวันที่ 28 ตุลาคมเป็นต้นไปผ่านช่องทาง realme Brand Shop ช่องทางออนไลน์และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
    unnamed | realme Buds T100 | เปิดตัว realme C33 กับกล้องนำเทรนด์ 50ล้าน เสริมด้วย realme Buds T100 หูฟังบลูทูธ Two-Tone

realme Buds T100 หูฟังบลูทูธสุดคูลเพื่อหนุ่มสาวยุคดิจิทัล

  • ดีไซนโดดเด่นตอกย้ำการเป็นผู้นำเทรนด์รุ่นใหม่
    realme Buds T100 มาพร้อมกับแนวคิดการออกแบบ Two Tone Color Hit โดยเคสชาร์จและตัวเอียร์บัดจะมาใน 2 โทนสีที่ตัดกัน ทำให้ในการเปิด-ปิดจะมีเอ็ฟเฟ็กต์การใช้งานที่สวยงามสะดึดตา ซึ่งมีมาให้เลือก 2 สีคือ Punk-Black และ Pop-White รวมถึงมีการออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์เพื่อมอบความสบายขณะสวมใส่ ทัง้ยังมีน้ำหนักที่เบาโดยหนักเพียงข้างละ 4.1 กรัมเท่านั้น จึงใช้งานได้อย่างยาวนานโดยไม่เจ็บใบหู
  • มอบประสบการณ์เสียงแบบไดนามิกระดับพรีเมียม
    ด้วยไดนามิกไดรฟ์เวอร์ขนาด 10mm มอบคุณภาพเสียงที่ครอบคลุมทุกย่านความถี่ โดยเฉพาะเสียงเบสที่มีความอย่างน่าประทับใจ ผสานการใช้ PEEK+TPU Composite Diaphragm ที่มอบความแข็งแรงทนทานต่อการใช้งานและเบสที่นุ่มลึกยิ่งขึ้น
    นอกจากนี้ realme Buds T100 ยังมีโหมดเกมซึ่งมีความหน่วงสัญญาณต่ำเพียง 88 มิลลิวินาที มอบประสบการณ์เกมมิ่งด้วยเสียงที่แม่นยำตรงกับการเคลื่อนไหวและการกดปุ่ม แทบไม่มีการดีเลย์ อีกทั้งยังมี Volume Boost Mode เพื่อระดับเสียงสูงสุดจาก 97dB เป็น 102dB รวมถึงเพิ่มเบสให้หนักแน่นและเสียงร้องเพลงที่ดังขึ้นด้วย
  •  ระบบตัดเสียงรบกวน AI ENC และการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.3
    realme Buds T100 ติดตั้งระบบ AI ENC ที่ทำงานร่วมกันทั้งไมโครโฟนตัดเสียงและอัลกอริธึมอัจฉริยะ ทำให้สามารถลดเสียงรบกวนรอบข้างได้อย่างมีประสิทธิภาพระหว่างการโทร ช่วยดึงเสียงพูดให้ชัดเจนให้คู่สนทนาได้ยินชัดขึ้นแม้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง ระบบ Bluetooth 5.3 รุ่นใหม่ ช่วยให้มั่นใจได้ถึงการเชื่อมต่อความเร็วสูง สัญญาณที่เสถียร และใช้พลังงานต่ำ โดยมีด้วยระยะการส่งสัญญาณไกลสุดถึง 10 เมตร
  • แบตเตอรี่ทนทานใช้ยาวยาวนานถึง 28 ชั่วโมง
    เอียร์บัดพร้อมเคสชาร์จสามารถใช้งานได้นาน 28 ชั่วโมง ช่วยให้คุณใช้งานได้อย่างยาวนานทั้งการประชุมผ่านวิดีโอคอลล์ การฟังเพลง เสพคอนเทนต์โปรดได้อย่างมั่นใจว่าแบตเตอรี่จะไม่หมดระหว่างวันเมื่ออยู่นอกบ้าน นอกจากนี้ realme Buds T100 ยังรองรับการชาร์จไว Fast Charge โดยชาร์จเพียง 10 นาที ก็สามารถใช้งานได้นานถึง 2 ชั่วโมง
  • ควบคุมด้วยระบบสัมผัสและฟังก์ชั่นการกันน้ำ IPX5
    realme Buds T100 มอบการควบคุมด้วยระบบสัมผัสแบบ Touch Controls ที่สะดวกง่ายดาย พร้อมลุยไปกับคุณทุกสภาวะด้วยประสิทธิภาพรองรับการกันน้ำระดับ IPX5 จึงไม่ต้องกลัวเหงื่อระหว่างเล่นกีฬาหรือในวันที่ฝนตก

    unnamed 4 | realme Buds T100 | เปิดตัว realme C33 กับกล้องนำเทรนด์ 50ล้าน เสริมด้วย realme Buds T100 หูฟังบลูทูธ Two-Tone
  • ราคาและการวางจำหน่าย
    realme Buds T100 นำเสนอ 2 คู่สีคือ Punk-Black และ Pop-White พิเศษ! Exclusive เฉพาะบนช่องทาง Shopee จะวางจำหน่ายในราคาพิเศษเพียง 499 บาท (จากราคาปกติ 699 บาท) ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2565 ถึง 3 พฤศจิกายน 2565

สามารถติดตามข่าวสารและดูข้อมูลผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดของ realme ได้ที่เฟซบุ๊ก realme Official Fan Page หรือเว็บไซต์ https://www.realme.com/

ข่าว: เปิดตัว realme C33 กับกล้องนำเทรนด์ 50ล้าน เสริมด้วย realme Buds T100 หูฟังบลูทูธ Two-Tone มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/launch-realme-c33-with-a-50-million-camera-trend/

6 ฟีเจอร์สุดเจ๋งบน iPhone ที่คนมักมองข้ามแต่เราอยากให้ลองเพื่อการใช้งานที่คุ้มค่าของจริง

6 ฟีเจอร์สุดเจ๋งบน iPhone ที่คนมักมองข้ามแต่เราอยากให้ลองเพื่อการใช้งานที่คุ้มค่าของจริง
Alex

ช่วงนี้กระแสเปลี่ยน iPhone ทุกปีกำลังมาแรง หลายต่อหลายคนกำลังถกกันว่า iPhone นั้นอาจจะเป็นมือถือที่คุ้มค่ากว่าหากเราใช้งานและเปลี่ยนตามปีทุกรุ่น ซึ่งแน่นอนว่า แอพดิสคัส เองคงบอกไม่ได้ว่ามันคุ้มกว่าจริงไหม เพราะสำหรับบางคนอาจมองว่าการซื้อมาแล้วเก็บไว้ใช้นานๆ เลยนั้นน่าจะตอบโจทย์ความคุ้มค่ามากกว่า เนื่องจากเครื่องไม่เสียก็ยังไม่ต้องเปลี่ยน แต่กับบางคนที่อาจมองโทรศัพท์มือถืออีกแบบอาจจะคิดต่างกันออกไป ดังนั้นประเด็นนี้คงต้องปล่อยให้เป็นนานาจิตตังแทนละกันนะ

แต่สิ่งหนึ่งที่ แอพดิสคัส ทำได้อย่างแน่นอนคือการเพิ่มพูนเทคนิกการใช้งาน iPhone ให้คุณผู้อ่านและผู้ที่ติดตามเราสามารถใช้มันได้อย่างคุ้มค่าในทุกอณู และในวันนี้เรามาพร้อมกับ 6 ฟีเจอร์ที่บรรณาธิการเราลงมติแล้วว่าดีแบบสุดๆ แต่คนมักจะมองข้ามกันไปบน iOS รับรองเลยว่า จบจากบทความนี้ไป เพื่อนๆ จะสามารถรัดเอาประสิทธิภาพของ iPhone ที่มีอยู่ในมือได้อย่างคุ้มค่าจนแทบไม่อยากจะเชื่อ

บทความนี้อาจจะยาวหน่อยนะ แต่คุณสามารถ “ฟัง” แทนการอ่านได้ เพียงแค่กดเปิดฟังจากปุ่มด้านบนเท่านั้นเอง อ้อ! และเนื้อหาแทบทั้งหมดบน แอพดิสคัส สามารถเลือกฟังแทนการอ่านได้นะถ้าต้องการ…อาจเอาไว้ฟังชิวๆ เวลาขับรถก็ได้นะ เราจ้างเสียงจากพี่ Google มาเล่าข่าวให้คุณฟังแล้ว ถ้าน้องอ่านผิด อ่านตก อ่านพลาดก็ให้อภัยน้องหน่อยนะ น้องเป็น AI กำลังหัดอ่านน่ะ

1. เก็บทุกบัตรสมาชิกสำคัญไว้บน iPhone ด้วยแอปพลิเคชั่นกระเป๋าสตางค์หรือ Wallet

แอปพลิเคชั่นกระเป๋าสตางค์นั้นอยู่คู่ iPhone มาช้านาน (ย่าสับสนกับแอปพลิเคชั่น เป๋าตัง ที่ใช้กับโครงการคนละครึ่งนะ) แต่กลับเป็นฟีเจอร์ที่ผู้ใช้ iPhone ในประเทศไทยเรามองข้ามกันมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ เลยก็ว่า อาจเพราะระบบ iOS ในประเทศไทยนั้นยังไม่รองรับการใช้งาน Apple Pay จึงทำให้หลายๆ คนไม่สนใจที่จะเปิดแอปพลิเคชั่นนี้ขึ้นมาดูเลยแม้แต่น้อย แต่จริงๆ แล้วนี่คือฟีเจอร์ที่มีประโยชน์เป็นอันดับต้นๆ ของ iPhone เลยก็ว่าได้ แม้จะกลับชาวไทยเราที่ไม่มี Apple Pay ให้ใช้งานก็เถอะ

Apple Wallet -

แม้ว่าในตอนนี้เราจะยังไม่สามารถเพิ่มบัตรเครดิตเข้าไปในแอปพลิเคชั่นกระเป๋าสตางค์ได้ แต่เราสามารถเก็บบัตรสมาชิกต่างๆ ของเราในรูปแบบดิจิทัลและไปใช้งานกับร้านที่ที่รองรับบัตรแบบดิจิทัลไว้ในแอปพลิเคชั่นนี้ได้ ยกตัวอย่างร้านที่รองรับฟีเจอร์เก็บบัตรในแอปพลิเคชั่นกระเป๋าสตางค์อย่างเป็นทางการในประเทศไทยก็เช่น บัตรสมาชิกจาก NESPRESSO, NIKE, การบินไทย Royal Orchid Plus , ธนพรคลินิก หรือแม้แต่โชว์รูมรถยนต์อีกหลายๆ ที่ เช่น Thanyaburi Group (Honda ธัญบุรี) เป็นต้น ซึ่งหลายๆ บัตรก็จะแสดงแต้มสะสมอัพเดตแบบเรียลไทม์ให้เราเห็นกันเลยด้วย โดยวิธีการหลักๆ นั้นก็แค่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นของร้านค้านั้นๆ มาติดตั้งลงบน iPhone ของเรา จากนั้นก็ออกบัตรผ่านทางแอพพลิเคชั่นดังกล่าว เพียงเท่านี้ก็จะได้บัตรสวยๆ มาอยู่ใน Wallet ของเราแล้วล่ะ (ยกเว้นการบินไทยต้องทำการขอบัตรผ่านทางเว็บไซต์สมาชิก ROP, ธนพรคลินิกและ Honda ธัญบุรี ที่ต้องแสกนออกบัตรฟรีจากหน้าสาขาโดยตรง)

นอกจากนี้กับร้านค้าที่ยังไม่มีบัตรในรูปแบบดิจิทัลให้บริการในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เราก็สามารถใช้บริการฟรีจากเว็บไซต์อย่าง PassSource หรือแอปพลิเคชั่นฟรีบน iPhone เองอย่าง STOCARD มาเป็นตัวช่วยในการสร้างบัตรให้กับเรา ซึ่งสามารถเอาไปใช้ที่ร้านจริงๆ ได้ด้วย โดยข้อแม้มีเพียงอย่างเดียวคือบัตรสมาชิกที่เป็นบัตรแข็งของร้านนั้นๆ จะต้องสามารถใช้งานด้วยการยิงบาร์โค๊ดได้ และเราต้องทราบเลขที่สมาชิก / เลขที่บาร์โค๊ดบัตรสมาชิกของร้านนั้นๆ ก็จะเป็นอันทำได้แล้วล่ะครับ ยกตัวอย่างในบ้านเราก็เช่นบัตรสมาชิก IKEA Family Club และ บัตรสมาชิก Makro (แมคโคร) เป็นต้น เพียงเท่านี้ก็จะลดปัญหาจำเลขบัตรหรือหาบัตร IKEA Family Club หรือ Makro ไม่ได้เวลาไปซื้อของแล้วล่ะครับ

นอกจากนี้สำหรับวัยทำงานทั้งหลาย อย่าลืมเพิ่มบัตรประกันสังคม ของเราเข้าไปใน Apple Wallet เพื่อเก็บไว้ดูสิทธิ์โรงพยาบาลและจำนวนเงินสมทบชราภาพที่เราสะสมมาจนถึงปัจจุบันกันไว้ด้วยนะ โดยอัพเดตจำนวนเงินสมทบที่เราและบริษัทจ่ายเข้าไปตามจริงเช่นเดียวกัน ซึ่งสามารถเพิ่มได้ที่ ssoconnect.mywallet.co ได้เลย (ก่อนหน้านี้การประปาส่วนภูมิภาคเองก็มีบริการเช่นเดียวกับประกันสังคม แต่น่าจะปิดบริการไปแล้วเพราะผู้เขียนเองไม่เห็นอัพเดตมานานมากแล้วจึงขออนุญาตไม่เอามารวมในบทความนี้นะครับ)

2. ควบคุมบ้านจากที่ไหนก็ได้เพียงปลายนิ้วด้วยแอปพลิเคชั่นบ้าน หรือ Home

อีกหนึ่งแอปพลิเคชั่นที่สำคัญมากๆ บน iOS คือแอป “บ้าน” หรือ “Home” ที่ทีมบรรณาธิการอยากให้ผู้อ่านได้ลองพิจารณาใช้งานกันดูสักครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่กำลังสนใจในเรื่องของบ้านอัจฉริยะ ซึ่งแอปพลิเคชั่น “บ้าน” นี้ทำงานอยู่บน Homekit Framework จาก Apple ที่จะรวบรวมเอาอุปกรณ์บ้านอัจฉริยะจากหลากหลายแบรนด์ที่รองรับ Apple Homekit ให้มาแสดงเอาไว้ในที่เดียวเพื่อการควบคุมที่สะดวกรวดเร็ว และยังสามารถใช้ Siri ในการควบคุมอุปกรณ์และการทำงานของบ้านเราแบบอัจฉริยะได้อีกด้วย

Apple Home - 5 most

ข่าวดีกว่านั้นคือใน iOS 16.1 ที่กำลังจะปล่อยออกมาในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อจากนี้ Apple จะมีการเพิ่มการรองรับ Matter Accessories หรืออุปกรณ์ Matter ให้กับแอปพลิเคชั่น “บ้าน” ด้วย นั่นหมายความว่าต่อจากนี้ไปเราจะสามารถใช้อุปกรณ์บ้านอัจฉริยะใดๆ จากผู้ผลิตที่ไหนก็ได้ที่รองรับการเชื่อมต่อแบบ Matter กับระบบ Homekit ซึ่งเนื่องด้วย Matter นั้นเป็นฟรีโปรโตคอลที่ใครๆ ก็สามารถหยิบไปใช้งานกันได้อย่างอิสระ (เพราะออกแบบมาเพื่อพัฒนาวงการบ้านอัจฉริยะให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น) จึงทำให้ต่อจากนี้ไปอุปกรณ์บ้านอัจฉริยะเองน่าจะมีราคาถูกลงมากๆ นะ

ใครสนใจเรื่องนี้อยู่ แอพดิสคัส เองเคยมีบทความแนะนำระบบ “บ้าน” และบ้านอัจฉริยะบน Homekit Framework เอาไว้ให้ผู้อ่านลองศึกษาและทำตามกันได้ ส่วนใครกลัวคำว่าบ้านอัจฉริยะว่าจะหมายถึงการลงทุนที่สูง รับรองว่าติดตามบทความนี้ทั้งหมด (รวมทั้งวิดีโอที่แอพดิสคัสเคยทำเอาไว้ด้วย) แล้วเพื่อนๆ จะเปลี่ยนความคิดที่มีต่อบ้านอัจฉริยะไปอย่างแน่นอน เชื่อเถอะว่าอุปกรณ์บางตัวไม่ถึงร้อยบาทยังมีเลย แถมหาซื้อได้ง่ายสุดๆ อีกด้วย

 

3. Siri ใช้ให้คล่อง ใช้ให้เป็น นี่คือผู้ช่วยส่วนตัวชั้นดีที่คุณจ้างมาจากเงินซื้อ iPhone นั่นล่ะ

เคยถามตัวเองไหมว่าที่ผ่านมาเราใช้ Siri กันบ่อยแค่ไหน เคยได้พูด “หวัดดีสิริ” หรือ “Hey Siri” กับ iPhone เราบ้างไหม เพราะจริงๆ แล้ว เงินที่เราเสียไปให้กับการซื้อ iPhone นั้น มันมาพร้อมกับผู้ช่วยส่วนตัวที่จะคัสตอมการทำงานให้เหมาะสมกับการใช้งานของเราแบบสุดๆ เสมอโดย Siri ในแต่ละเครื่องจะตอบสนองการทำงานในแต่ละอย่างแตกต่างกันไป เพราะเธอจะเรียนรู้พฤติกรรมการใช้งานของเจ้าของ iPhone แต่ละคนเพื่อทำให้การช่วยเหลือเราเป็นเรื่องง่ายนั่นเอง

Hey Siri - 5 overlooked features

ยกตัวอย่างการทำงานง่ายๆ แต่จริงๆ แล้วมีประโยชน์มากๆ คือการบอก Siri ให้เตือนคุณเวลาที่คุณต้องทำอะไรสักอย่าง ยกตัวอย่างเช่นถ้าคนที่บ้านคุณโทรมาบอกให้คุณซื้อขาวสารก่อนเข้าบ้าน และคุณเองก็ทราบว่าคุณจะถึงหน้าซอบบ้านประมาณหกโมงเย็น คุณสามารถบอก Siri ว่า

“หวัดดีสิริ อย่าลืมเตือนให้ซื้อข้าวสารก่อนเข้าบ้านตอนหกโมงเย็นนะ”

เพียงเท่านี้เมื่อถึงเวลาหกโมงเย็น Siri ก็จะเตือนให้คุณซื้อข้าวสารเข้าบ้านด้วย รับประกันได้เลยว่าคุณจะไม่ลืมแน่นอน

นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆ เท่านั้นนะ ในความเป็นจริง Siri สามารถช่วยเหลือคุณได้มากกว่านี้เยอะ และช่วยคุณได้แบบไม่อิดออดเลยด้วย หนึ่งในการช่วยเหลือที่เป็นประโยชน์มากๆ คือการขอให้ Siri ช่วยคิดเลขให้ในกรณีที่มือของคุณไม่ว่างสำหรับการพิมพ์ตัวเลขในแอปพลิเคชั่นเครื่องคิดเลข หรือแม่แต่เวลาที่คุณใช้ iPad ที่ไม่มีแอปพลิเคชั่นเครื่องคิดเลขมาให้ หรือจะถามสภาพการจราจร สภาพดินฟ้าอากาศประจำวันก่อนออกจากบ้านก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่แปลก และช่วยให้การใช้ชีวิตในแต่ละวันของคุณเป็นเรื่องง่ายขึ้นด้วยนะ

ที่สำคัญคือ สำหรับใครก็ตามที่ใช้งาน Homekit หรือแอปพลิเคชั่น “บ้าน” ที่พูดถึงไปด้านบน คุณสามารถบอกให้ Siri เปิด/ปิดแอร์ ไฟ ทีวี ลำโพง หรือแม้แต่ประตูบ้านให้คุณได้ด้วยเวลาที่คุณต้องการ รวมไปจนถึงการเช็คว่าหน้าต่างบ้านคุณยังเปิดอยู่ไหม หรือคุณปิดประตูบ้านแล้วยังตอนออกมาจากบ้าน หรือให้เจ๋งไปกว่านั้นก็ตั้งให้ Siri ควบคุมไปเองเลยตามเงื่อนไขที่คุณตั้งค่าไว้ เช่นทันทีที่คุณออกจากบ้าน ให้ปิดแอร์ในห้องนอนของคุณ และทันทีที่เข้ามาในรัศมีของบ้านระยะ 100 เมตร ให้ Siri เปิดประตูบ้านให้คุณโดยอัตโนมัติเลยก็ยังทำได้ เรียกได้ว่าเธอคือผู้ช่วย No.1 ที่คุณเสียตังค์จ้างมาแล้วตั้งแต่เดย์วันที่ซื้อเครื่องอย่างแท้จริง

4. วัดระยะ ขนาด หรือระนาบ (ระดับน้ำ) ได้ง่ายๆ ด้วยแอปพลิเคชั่น เครื่องมือวัด

Measure App - 5 most overlooked

Apple เพิ่มฟีเจอร์นี้มาตั้งแต่สมัย iOS 12 แล้ว โดยมาในรูปแบบแอปพลิเคชั่นติดเครื่องชื่อว่า “เครื่องมือวัด” หรือ “Measure” ส่วนหนึ่งนั้นเพื่อเอามาจำลองเป็นเดโมให้กับฟีเจอร์ AR หรือ Augment Reality ที่เพิ่งจะเป็นกระแสและใส่เข้ามาใน iOS ในช่วงเวลานั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วแอปพลิเคชั่นดังกล่าวกับมีประโยชน์มากกว่าแค่การเป็นเครื่องมือเดโมมากนัก และสามารถใช้งานได้จริงด้วย

“เครื่องมือวัด” ใช้ประสิทธิภาพของ AR มาผนวกกับความฉลาดของ AI ในการจำนวนระยะหรือขนาดของสิ่งที่เราต้องการด้วยการเอากล้องของ iPhone ชี้ไปที่สิ่งที่ต้องการจะวัด ซึ่งการใช้งานนั้นก็ง่ายมากๆ สามารถวัดได้ทุกอย่างตราบใดที่มีจุดเริ่งต้นให้ AR ได้มาร์คเป็นจัดตั้งต้นได้ (วัดสิ่งที่มีพื้นผิวได้หมด แต่ต้องมีระยะตั้งต้นจากพื้นดินเป็นเกณฑ์)โดยเราสามารถกำหนดจุดเริ่มต้นและจุดจบของสิ่งที่ต้องการวัดได้ เมื่อได้ผลลัพธ์ที่ต้องการแล้วก็แคปเจอร์หน้าจอเก็บไว้ หรือไม่ก็จดเก็บไว้ในแอพ “บันทึก” หรือ “Note” ได้เลย

5. โฟกัสโหมด กำหนดช่วงเวลาสำคัญที่เราต้องการอยู่กับสิ่งที่ทำและไม่ต้องการให้คนหรือแอปพลิเคชั่นที่ไม่สำคัญจริงๆ มารบกวน

คุณรู้ไหมว่า iPhone สามารถช่วยคุณบริหารเวลาในการทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมเลยล่ะ หนึ่งในหลายๆ ฟีเจอร์ที่กองบรรณาธิการค่อนข้างจะมั่นใจว่าคนพลาดไม่ได้ใช้งานกันคือโหมด “โฟกัส” ที่จะช่วยให้คุณสามารถสลับความสำคัญของคนโทรเข้าและการแจ้งเตือนได้ตามความเหมาะสมของช่วงเวลาและสถานที่ ไม่ว่าจะโดยอัตโนมัติหรือจะโดยการกดเพียงปลายนิ้วสัมผัสก็ตาม

Focus - 5 most overlooked features

โฟกัส หรือ Focus มีเพิ่มเข้ามาให้ได้ใช้งานกันสักระยะแล้ว โดยอยู่ภายใต้การตั้งค่าของตัวเครื่อง (การตั้งค่า > โฟกัส) และเราจะสามารถสร้างโหมดโฟกัสได้อย่างอิสระ นอกเหนือไปจาก 4 โหมดตั้งต้นที่มีมา คือโหมดห้ามรบกวน โหมดนอนหลับ โหมดทำงาน และโหมดส่วนตัว ซึ่งในแต่ละโหมดเราสามารถเลือกได้ว่าต้องการให้ใครบ้างที่โทรหาเราได้ในช่วงเวลานั้น รวมไปจนถึงตั้งว่าเราต้องการให้แอปพลิเคชั่นใดบ้างที่จะแจ้งเตือนเราเมื่อเราตั้งค่า iPhone ให้อยู่ในโหมดที่กำหนด แถมเมื่อเราตั้งค่าเรา เรายังสอนให้ iPhone ของเราเรียนรู้การใช้งานเราได้โดยอัตโนมัติด้วยว่าในสถานที่นี้ เวลานี้ โดยปกติแล้วเราต้องการอยู่ในโฟกัสโหมดไหน เพื่อให้มันสลับโหมดให้เราได้โดยที่เราไม่ต้องแม้แต่จะสลับเองเลย

ที่ แอพดิสคัส ทีมงานแทบทุกคนจะมีโหมด “ประชุม” เอาไว้ในโฟกัสเป็นแสตนดาร์ด นั่นหมายความว่าเวลาที่เรามีการประชุม จะมีเพียงคนจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่จะโทรเข้ามาหาเราได้ (ที่บ้านและลูกค้า) รวมไปจนถึงแอปพลิเคชั่นบางตัว เช่นแอปอีเมลเท่านั้นที่จะได้รับการอนุญาตให้แจ้งเตือนได้ ส่วนแอปไลน์หรือเมสเสนเจอร์อื่นๆ จะถูกบล็อคไว้ชั่วคราว ซึ่งก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประชุมในภาพรวมได้ดีมากทีเดียว อย่าลืมลองไปใช้กันดูล่ะ

6. Keyword Search ใช้ให้คล่อง เพื่อการหาข้อมูลทำรายงานด้วย iPhone ที่มีประสิทธิภาพ

Safari Keyword Search - 5 most overlooked features on iOS

ชีวิตปัจจุบันเราแทบจะเรียกได้ว่าต้องอยู่กับมือถือกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว และบ่อยครั้งที่ iPhone เองก็เป็นอุปกรณ์ข้างกายเพียงชิ้นเดียวที่เราจะสามารถหยิบมาใช้คนหาสิ่งที่ต้องการได้ แต่หลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้ว่าเวลาที่เราคนหาบทความหรือเรื่องบางเรื่องโดยใช้ Safari บน iPhone เรานั้น เราสามารถค้นหาเฉพาะคำบางคำในหน้าที่เรากำลังเปิดอ่านอยู่ได้อีกด้วย

วิธีการนั้นก็ง่ายแสนง่าย เพียงแค่เราเปิดหน้าเว็บไซต์ที่เราต้องการ จากนั้นก็กดไอคอน “แชร์” ที่ตรงกลางด้านล่างของจอแล้วเลือก “ค้นหาในหน้า” แล้วพิมพ์คำที่เราต้องการค้นหาลงไป เพียงเท่านี้ iPhone จะแจ้งให้เราทราบว่าในบทความที่เราอ่านอยู่นั้นมีคำที่เราค้นหาทั้งสิ้นกี่คำ รวมทั้งไฮไลท์เอาไว้ให้เราด้วยว่าอยู่ตรงไหนบ้าง และเราสามารถเลือกไปที่คำที่ต้องการเป็นลำดับๆ ได้จากปุ่มลูกศรขึ้น/ลงที่ปรากฏบนคีย์บอร์ดเราในทันที ทีมงานเองเชื่อว่าฟังก์ชั่นนี้ไม่ได้มีประโยชน์แต่กับเหล่าบรรณาธิการและนักเขียนเท่านั้น แต่นักเรียนและบุคคลทั่วไปที่ใช้ iPhone เพื่อหาข้อมูลเองก็จะได้ประโยชน์จากฟังก์ชั่นนี้เช่นเดียวกัน ดังนั้นอย่าลืมใช้กันให้คล่องนะ

นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์เด่นๆ ที่เราคาดว่าคุณอาจจะพลาดไปอีกตามนี้เลย

ข่าว: 6 ฟีเจอร์สุดเจ๋งบน iPhone ที่คนมักมองข้ามแต่เราอยากให้ลองเพื่อการใช้งานที่คุ้มค่าของจริง มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/6-iphone-most-overlooked-features-you-need-to-use-now/

รีวิวเกม BTS Island: In the SEOM อาร์มี่ต้องกดไลค์ให้สิ่งนี้

รีวิวเกม BTS Island: In the SEOM เกม Puzzle แก้ปริศนาพร้อมผจญภัยไปบนเกาะกับเหล่าสมาชิก BTS เปิดให้เล่นครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา พัฒนาโดย HYPE IM Co.,Ltd นอกจากเกมที่ผลิตจากบริษัทต้นสังกัดโดยตรงแล้ว เพลงประกอบของเกม Our Island ยังแต่งโดย SUGA สมาชิกในวง BTS อีกด้วย โดยก่อนหน้านี้มีเปิดให้ลงทะเบียนล่วงหน้ากันไปแล้ว ซึ่งได้รับการตอบรับจากเหล่าอาร์มี่แฟนๆ ของวงเป็นอย่างดี ทาง Appdisqus จะมารีวิวความน่าเล่นของเจ้าเกม BTS Island: In the SEOM ที่แม้จะไม่ได้เป็นเมนใครพิเศษ ก็ทนความน่ารักของเกมไม่ไหวกันเลยทีเดียว

re5z94i9izu1yCdoN3Z-oBTS Island: In the SEOM ดาว์นโหลดได้ทั้ง Android และ iOS 

ดาว์นโหลดบน : Android

ดาว์นโหลดบน : iOS

สตอรี่

สตอรี่ของเรื่องเริ่มจากเหล่าสมาชิกทั้ง 7 คน RM ,จิน ,Suga ,Jhope ,V ,จีมินและจองกุก ไปแล่นเรือและขับไปชนโขดหินทำให้เรือได้รับความเสียหายและได้รับการช่วยเหลือจากปลาวาฬพาพวกเขาทั้ง 7 คนมายังเกาะร้าง โดยทุกคนจะต้องปรับตัวและทำกิจกรรมเพื่อจะได้มีชีวิตรอดบนเกาะจนกว่าจะติดต่อคนภายนอกได้และได้รับการช่วยเหลือ

Screenshot 20220702-183507 BTS-Islandตัวเกมให้ความสำคัญกับคาแรคเตอร์ของตัวละครมาก ไม่ว่าจะเป็นลักษณะท่าทาง การเดิน การเต้น ถอดแบบมาจากสามชิกวงแบบเป๊ะๆ อย่าในเกมเราจะได้เห็น SUGA หลับบ่อยมาก หรือท่าเต้นแปลกๆ ของ RM เห็นแล้วมันใช่มาก รวมถึงคำพูดของแต่ละคนด้วย

Screenshot 20220703-221515 BTS-Island

เราสามารถเคลื่อนย้ายตัวสมาชิกโดยการแตะค้างได้ เมื่อเอาอีกคนไปไว้กับอีกคนก็จมีปฏิสัมพันธ์พิเศษแตกต่างกันไป อย่างเช่น เมื่อลากเจโฮปไปไว้กับจองกุก จองกุกก็จะโดนเจโฮปปากล้วยใส่ เอาจินไปไว้กับวี ทั้งคู่ก็จะจับไมค์ร้องเพลงด้วยกัน กิมมิคความฮาเล็กๆ ที่ผู้สร้างเกมใส่มาให้แฟนๆ

Screenshot 20220704-104717 BTS-Island
Screenshot 20220704-104725 BTS-Island

ไม่มีอะไรจะทำก็เอาตัวมาต่อกันสูงๆ เล่นก็ได้นะ

Screenshot 20220704-104915 BTS-Island
Screenshot 20220704-104937 BTS-Island

วิธีเล่น

หลายๆ คนต้องเคยเล่นเกม Puzzle กันมาบ้างแล้ว จะเป็นรูปแบบการต่อชิ้นส่วนเหมือนกันให้เป็นแถวในแนวตั้งและแนวนอน ให้เหมือนกันเป็น 3,4,5 ชิ้นในระเบิดออกจากกัน ตัวเลขด้านบนซ้ายหลังลูกศรสีม่วงจะเป็นจำนวนของเดินหมากว่าเราสามารถเดินได้ที่ตา มันจะยากก็ตรงจำนวนการเดินในแต่ละตาไม่เท่ากัน ช่องสีเทาจะเป็นโจทย์ในแต่ละด่านว่าจะให้ระเบิดอะไร อย่างในตัวอย่างก็จะเป็นสตอเบอรี่ 20 ชิ้น ใบไม้ 20 ชิ้น เล่นเพลินๆ แป๊ปเดียวผ่านเป็นสิบด่าน

Screenshot 20220702-183742 BTS-Island
Screenshot 20220702-183417 BTS-Island

เมื่อเราต่อ Puzzle เป็นแถวเรียง 4 แนวนอนก็จะได้ไอเท็มระเบิดแนวยาวทั้งแถว เรียง 4 เป็นบล็อกสี่เหลี่ยมก็จะได้ไอเท็มระเบิดที่เป็นการระเบิดตรงจุดที่โจทย์ให้มา เรียงติกัน 5 ชิ้นทรงลูกศรก็ระได้ลูกระเบิด ถ้าเรียงได้ 5 แนวยาวหรือตั้งก็จะได้ตัวปลาวาฬสีม่วง ด่านไหนที่ได้ตัวปลาวาฬก็จะมีโอกาสชนะและจบเกมเร็ว

Screenshot 20220703-122947 BTS-Island
Screenshot 20220704-001435 BTS-Island

ไอเท็มที่ได้มาทั้งหมดสามารถเอามารวมกันได้เมื่อมาอยู่ใกล้กัน ก็จะเพิ่มพลังการทำลายล้างได้สูงขึ้น อย่างเจ้าตัวปลาวาฬเมื่อมาอยู่ใกล้กับไอเท็มไหนเมื่อเอามารวมกันก็สามารถจำนวนไอเท็มได้มหาศาล หรือทำให้จำนวนของสิ่งของที่เราหายไปได้

Screenshot 20220703-115840 BTS-Island

ทุกการใช้ไอเท็มครบ 10 ครั้ง สมาชิกจะออกมาช่วยทำลายบล็อกที่เหลือ 1 ครั้ง โดยสมาชิกแต่ละคนจะสลับกันออกมาช่วย

Screenshot 20220703-011331 BTS-Island
Screenshot 20220703-013549 BTS-Island
Screenshot 20220703-124213 BTS-Island
Screenshot 20220703-125135 BTS-Island
Screenshot 20220703-125201 BTS-Island
Screenshot 20220703-125358 BTS-Island

นอกจากเหล่าสมาชิกจะออกมาช่วยแล้ว ยังมีบางด่านที่เหล่าสมาชิกเป็นคนครีเอทด่านเองด้วย ซึ่งบางด่านก็ยากจนน่าโมโห อย่างด่านที่ 137 ที่ครีเอทโดยจองกุก ซัดไปจนหัวใจแทบเกลี้ยงกว่าจะผ่านได้

Screenshot 20220703-115017 BTS-Island
Screenshot 20220703-115251 BTS-Island
Screenshot 20220703-115426 BTS-Island
Screenshot 20220703-115854 BTS-Island

แต่กับสมาชิกบางคนก็ง่ายเกิ๊น ผ่านมาได้แบบงงๆ เหมือนครีเอทมาขำๆ ให้เราไปสะสมดาวเพิ่ม

Screenshot 20220703-151822 BTS-Island
Screenshot 20220703-152322 BTS-Island
Screenshot 20220703-163559 BTS-Island
Screenshot 20220703-163841 BTS-Island
Screenshot 20220703-220605 BTS-Island
Screenshot 20220703-220737 BTS-Island

หลังจากจบแต่ละด่านเราจะได้ดาวมา 1 ดวง และเหรียญรางวัล บางด่านอาจจะได้ไอเท็มเสริม ดาวเอาไว้สำหรับทำ Missions ซึ่งทุกอย่างจะสัมพันธ์กัน เล่นเกมได้ดาว >ทำ Missionsได้ไอเท็ม > เอาไปเล่นเกม

Screenshot 20220702-183446 BTS-Island

ทำ Missions ไปเพื่ออะไร

Missions ในแต่ละวันจะเป็นการให้ทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อแลกไอเท็ม รวมถึงสะสมของรางวัลต่างๆ อย่าง Photoset ของสมาชิกวงแต่ละคน ของตกแต่งภายในเกาะ และไอเท็มเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของสมาชิก นอกจากนี้ยังมีไข่อีสเตอร์ที่วาดมือโดยสมาชิกในวงอีกด้วย โดยการจะทำมิชชั่นในแต่ละข้อนั้นจำเป็นต้องมีดาวที่ได้มาจากการเล่นเกมนั่นเอง พอทำครบทุกมิชชั่นก็จะเท่ากับ 1 วันในเกม จะได้เปิดกล่องของขวัญกล่องใหญ่ด้วย

Screenshot 20220703-212457 BTS-Island

มิชชั่นในแต่ละข้อจะใช้จำนวนดาวไม่เท่ากัน บางครั้งก็ต้องใช้เวลาพอสมควรอย่างมิชชั่นให้สร้างสิ่งปลูกสร้างที่มีขนาดใหญ่หรือซ่อมแซมของ อาจต้องให้เวลาหลายนานที ระหว่างรอเราก็ไปเล่นเกมสะสมดาวไปก่อนส่วนใครที่รอไม่ไหวก็ใช้เพชรในการ Skip เพื่อให้สำเร็จเลยก็ได้ แหม่..คนรวยเพชรมันดีแบบนี้เอง

Screenshot 20220703-200258 BTS-Island

พอจบมิชชั่นที่มีต้องใช้เวลา ก็จะได้ของรางวัลพิเศษพร้อมเหล่าสมาชิกที่ออกมาเต้นเพลง Burning Up (Fire) ให้ได้ชมอีกด้วย

Screenshot 20220703-204620 BTS-Islandในแต่ละมิชชั่นก็จะมีกิจกรรมให้ทำแตกต่างกันไป ตั้งแต่ซ่อมบ้าน อาบน้ำแมว รวมถึงกิจกรรมบางอย่างที่ถามความเห็นของสมาชิกในวง ตรงนี้ไม่ต้องกลัวว่าจะตอบผิดแล้วจะไม่ได้คะแนน

Screenshot 20220702-183543 BTS-Island
Screenshot 20220703-125511 BTS-Island
Screenshot 20220703-203118 BTS-Island
Screenshot 20220703-203940 BTS-Island

เป็นการเลือกตามความสเน่หาของตัวผู้เล่นเอง จะได้เป็นค่าประสบการณ์ของสมาชิกคนนั้นๆ เมื่อค่าประสบการณ์ของแต่ละคนเต็มหลอด ก็จะได้เป็นไอเท็มเป็นการตอบแทน

Screenshot 20220703-200152 BTS-Islandมิชชั่นซ่อมแซมหรือตกแต่งของเราสามารถเลือได้เช่นกันว่าอยากให้เป็นแบบไหนสีอะไร ตามที่ระบุไว้ มีปลดล็อคแบบใหม่ๆ ในอนาคตด้วย

Screenshot 20220703-200008 BTS-Islandของรางวัลที่ได้จากการทำมิชชั่นนอกจากจะมีของตกแต่งแล้ว ยังปลดล็อกเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของสมาชิกในวงด้วย

Screenshot 20220703-120555 BTS-Island

Photo Album ที่ได้จากการทำมิชชั่น โดยมีทั้งหมด 64 รูปต่อสามชิก 1 คน สามารถโหลดออกมาเป็นภาพ Hi-res คมชัดไว้ดูได้ ก่อนโหลดต้องให้แน่ใจว่าเราเปิดใช้ wifi อยู่ จะมากรีดร้องเน็ตหมดเพราะโหลดรู้ผู้ชายไม่ได้นะ ขนาดภาพค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียว จะโหลดเป็นรูปเดี่ยวหรือทั้งหมดที่เราปลดล็อคมาก็ได้

Screenshot 20220702-191426 BTS-Island
Screenshot 20220703-120810 BTS-Island

Screenshot 20220703-120613 BTS-Island
Screenshot 20220703-120627 BTS-Island
Screenshot 20220703-120635 BTS-Island
Screenshot 20220703-120649 BTS-Island
Screenshot 20220703-120657 BTS-Island
Screenshot 20220703-120715 BTS-Island

ตัวอย่างภาพที่โหลดมา

Screenshot 20220703-120908 BTS-Island
Screenshot 20220703-121057 BTS-Island
Screenshot 20220703-131201 BTS-Island
Screenshot 20220703-130116 BTS-Island
Screenshot 20220703-121002 BTS-Island
Screenshot 20220703-130858 BTS-Island

หัวใจหมดทำยังไง??

อันดับแรกซื้อสิฮะ..เงินแก้ปัญหาได้ทุกสิ่ง ใช้ 900 เหรียญในเกม หรือกดเข้า Claim Hearts ขอเอาจากเพื่อน เริ่มจากการติดตามเพื่อนและหาคลับเข้า เพื่อนนี่แหละจะช่วยเติมใจเราให้เต็ม วิธีติดตามเพื่อนให้เข้าไปที่ไอคอนสีม่วงที่มีรูปคำพูดเป็นจุดสามจุด อยู่ตรงแถบล่างด้านซ้าย หาคลับที่ยังไม่ครบ 30 คน

Screenshot 20220703-121315 BTS-Islandพยายามเลือกเพื่อนที่ติดตามคนอื่นเยอะๆ และเลเวลสูง เพราะจะมีโอกาสที่จะช่วยให้หัวใจ เพราะบางคนเล่นอย่างเดียวแต่ไม่คิดจะช่วยใครเลยก็มี เพื่อนในเกมจึงสำคัญ เราสามารถเพิ่มเพื่อนได้ถึง 200 คน ถ้าไม่รู้จะแอดใครแอดเราก็ได้นะ PAPOOD ไม่รู้ผีตัวไหนสิงให้ใช้ชื่อนี้ เพราะใส่ชื่ออะไรเข้าไปก็ซ้ำหมด ถ้าอยากเปลี่ยนไปใช้ชื่อใหม่ต้องเสีย 1000 เพชร ..บ้าที่สุด

Screenshot 20220703-121409 BTS-Island
Screenshot 20220703-121333 BTS-Island

เราสามารถขอหัวใจซ้ำได้อีกเมื่อผ่านไป 4 ชั่วโมง หัวใจเต็มแล้วก็ขอได้ เป็นการเก็บสะสมหัวใจไว้ใช้ยามจำเป็น การช่วยให้หัวใจเพื่อน 1 ครั้งเราได้เหรียญมา 1 เหรียญด้วย หัวใจที่ได้จะไปอยู่ใน Mailbox เราทยอยใช้ที่ละดวงก็ได้

Screenshot 20220703-195029 BTS-Island-1

ว่ากันด้วยเรื่องของตั๋วทอง ตั๋วทองเราได้จากอะไรได้บ้าน เล่นเกม ทำมิชชั่นสำเร็จ ฯลฯ เพราะไม่แน่ใจว่าจะโผล่มาจากทางไหนอีก โดยตั๋วทองเราเอาไปสุ่มกล่อง Lucky Box ในนั้นก็จะมีไอเท็มเจ๋งๆ อย่างเสื้อผ้าแรร์ไอเท็มของสมาชิกวง รวมถึงเกลือที่ไม่ค่อยอยากได้อย่างกระถางดอกไม้เป็นต้น เข้าไปสุ่มได้จากในชอปที่เป็นไอคอนรถเข็นสีเหลืองด้านล่างซ้าย พอเข้ามาก็จะเป็นร้านค้าขายแพคเก็จพิเศษอย่างเซต V Hwarang ก็จะได้ตัวละครพิเศษจากซีรีส์เรื่องฮวารังที่วีร่วมแสดงด้วย รวมถึงแพคเก็จอื่นๆ ซื้อเหรียญ ซื้อเพชรบวกไอเท็มพิเศษก็มาหาซื้อได้ในนี้ ถ้าจะเล่นกล่องสุ่มเลือกช่องล่างสุดเลยจ้า

Screenshot 20220703-130011 BTS-Island
Screenshot 20220703-124412 BTS-Island
Screenshot 20220703-221448 BTS-Island
Screenshot 20220703-221439 BTS-Island

อีเวนต์ในเกมที่สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ มีทั้งแบบอีเวนต์เสียเงินลุ้นไอเท็มที่มีทั้งของแรร์และเกลือเช่นกัน และอีเวนต์ทำภารกิจแลกของรางวัล

Screenshot 20220703-120534 BTS-Island
Screenshot 20220703-121229 BTS-Island

อเวนต์ล่าสุด Strawberry Festival โดยการระเบิดสตอเบอรี่ในเกมให้ได้ตามจำนวนในแต่ละยอดเพื่อเอามาแลกรางวัล

Screenshot 20220708-203208 BTS-Islandสรุป

เป็นเกม Puzzle ที่น่ารักมากๆ ไม่ต้องเป็นสาวก BTS ก็น่าจะรักเกมนี้ได้ไม่ยาก ยิ่งถ้าเป็นติ่งยิ่งน่าจะฟินหนักเข้าไปใหญ่ ตัวเกมดูมีอะไรให้เล่นเยอะ ได้ฝึกสมองประลองปัญหา ได้สะสมภาพศิลปินที่ชื่นชอบไปในตัวอีกด้วย ตัวเกมมีความใส่ใจในคาแรคเตอร์ของสมาชิก ไม่ว่าจะเป็นคำพูด ท่าทาง การกระทำ ถอดแบบอกมาเป๊ะๆ รอดูต่อไปว่าตัวเกมจะอัพเดทอะไรใหม่ๆ มาอีก เริ่มเล่นมาหนึ่งอาทิตย์รู้สึกว่าติดมาก

ข่าว: รีวิวเกม BTS Island: In the SEOM อาร์มี่ต้องกดไลค์ให้สิ่งนี้ มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.
from:https://www.appdisqus.com/bts-island-in-the-seom-game-review-armys-liked-this/

อารมณ์ค้างก็ไปฟังเพลงกันต่อใน Spotify กับเพลย์ลิสต์ใหม่ในธีม Stranger Thing !!!

Stranger Thing คือซีรีย์ ที่ดังมากๆ ของ Netflix ในตอนนี้ ด้วยความที่ ซีซั่น 4 พึ่งปล่อยออกมา และ มันมีกระแส และ คำวิจารณ์ที่ดีมากๆ ทำให้เรื่องนี้ทำให้ Netflix ล่มไปเลยทีเดียวโดยเป็นเรื่องของเมือง ฮวอกกิ้นส์ เมืองชนบทของ อเมริกา ได้เกิดคดีแปลกประหลาดขึ้น โดยเรื่องนี้จะเซ็ตอยู่ในช่วงยุค 80 ทำให้มี วัฒนธรรมมากมายในช่วงนั้นเช่น ตู้เกมส์ แนวเพลง การแต่งตัว อะไรต่างๆ ในเรื่องนี้คลุมธีมตามปีที่ผ่านๆ ไปเรื่อยๆ โดยล่าสุดนอกจากจะ Co กับ เลย์ แล้ว ยังไป Co กับ Spotify นำเพลงฮิตติดหูในซีรีย์เข้ามาให้รับฟังกัน!

Screenshot-2022-07-03-204418

โดยนี้ไม่ใช่ เพลย์ลิสต์ธรรมดาเพราะมันมีเอฟเฟคพิเศษเป็นโลกกลับด้าน ที่จะมีฝุ่นผงตกลงมา และ ธีมสีน้ำเงิน พร้อมลูกเล่นไฟ อีก สามารถเข้าไปฟังได้ในเพลย์ลิสต์ของ Spotify เลย!!

289542997 3863033430589014 3394870139302139098 n-1

ข่าว: อารมณ์ค้างก็ไปฟังเพลงกันต่อใน Spotify กับเพลย์ลิสต์ใหม่ในธีม Stranger Thing !!! มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.
from:https://www.appdisqus.com/for-sure-keep-listening-to-music-on-spotify-and-choose-yen-stranger-thing/

วิธีเปลี่ยน iPhone / iPad เก่าให้กลายเป็น Homebridge Server เพื่อใช้งาน Homekit กับอุปกรณ์ที่ไม่รองรับ

Homekit คือเฟรมเวิร์คบ้านอัจฉริยะของ Apple ที่จะทำให้อุปกรณ์อัจฉริยะทั้งหลายในบ้านเราสามารถควบคุมและสั่งงานได้ผ่านทาวงแอพพลิเคชั่น “บ้าน” หรือ Home ที่มีอยู่บน iPhone, iPad และ Mac ทุกเครื่อง รวมไปจนถึงการสั่งงานผ่านผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Siri ด้วย ซึ่ง APPDISQUS เองเคยทำบทความอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้อย่างละเอียดแล้ว โดยเพื่อนๆ สามารถเข้าไปอ่านได้ที่

แต่หากใครที่ไม่อยากอ่าน APPDISQUS เองก็เคยพูดถึงเรื่องนี้เอาไว้ในรายการ Smart Home Guide แบบละเอียดสุดๆ และสามารถทำความเข้าใจตามไปได้ง่ายๆ โดยเพื่อนๆ ที่สนใจ สามารถกดรับชมได้จากวิดีโอข้างล่างนี้เลยครับ

แต่ถ้าใครเคยติดตาม Smart Home Guide จะทราบว่าการจะเปลี่ยนอุปกรณ์อัตฉริยะในบ้านให้รองรับระบบ Homekit โดยการเลือกซื้ออุปกรณ์ที่รองรับ Homekit อย่างเป็นทางการนั้นเป็นอะไรที่มีค่าใช้จ่ายหนักมากจริงๆ แถมอุปกรณ์ที่รองรับ Homekit อย่างเป็นทางการในบ้านเรายังมีราคาสูงมาอีกด้วย เพราะเหตุนี้ทาง APPDISQUS จึงได้แนะนำวิธีการลดต้นทุนการเปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นบ้านอัจฉริยะโดยการเปลี่ยนอุปกรณ์อัจฉริยะจากแบรนด์ที่ราคาไม่สูงทั้งหลายให้กลายเป็นอุปกรณ์ที่รองรับ Homekit ด้วยการใช้ Homebridge เอาไว้ โดยได้แนะนำวิธีการติดตั้ง Homebridge Server บน Raspberry Pi และการใช้งาน Homebridge เอาไว้แบบละเอียดสุดๆ จนแทบจะเรียกว่าจับมือทำได้เลย ซึ่งหากเพื่อนๆ สนใจอ่านวิธีการก็สามารถศึกษาได้จากบทความนี้

แน่นอนว่าใครที่ไม่ค่อยชอบการอ่าน แต่อยากได้วิดีโอจับมือสอนทำกันเลยนั้นก็สามารถเปิดดูและติดตามได้จากวิดีโอที่ลิงก์ไว้ให้ในบทความข้างต้นได้เลยครับ รับรองว่าละเอียดและทำตามได้ง่ายดายแบบสุดๆ แต่ถ้าใครยังรู้สึกว่าการติดตั้ง Homebridge Server บนอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยตัวเองตามบทความข้างต้นนั้นยังเป็นเรื่องยุ่งยาก โดยเฉพาะกับยุคนี้ที่บอร์ด Raspberry Pi หาได้ยากและมีราคาสูงแบบสุดๆ วันนี้ AppDisqus เองมีวิธีการใช้งาน Homebridge โดยใชเจ้า iPhone / iPad เก่าๆ ของเราเป็น Server มาฝากกัน โดยวิธีนี้ต้องเรียกว่าง่ายๆ สุดๆ แล้วเพราะแทบไม่จำเป็นต้องตั้งค่าอะไรเลย เพียงแค่ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นบน App Store มาใช้งาน เพียงเท่านี้เพื่อนๆ ก็จะมี Homebridge Server (แบบความสามารถจำกัด) ไว้ใช้เป็นตัวเชื่อมอุปกรณ์ที่ไม่รองรับ Homekit ให้สามารถใช้งานกับแอพ Home ของ Apple ได้แล้ว

สิ่งที่มีและข้อควรรู้ก่อนใช้งาน iPhone/iPad เป็น Homebridge Server

  1. ต้องมี iPhone / iPad ที่ใช้งาน iOS13 ขึ้นไป เปิดหน้าจอและแอพพลิเคชั่น Hub for Homekit ทิ้งไว้ตลอดเวลา และอุปกรณ์ตัวนี้ต้องเชื่อมต่อ WiFi Network เดียวกับ Home Hub ของเราเสมอเพื่อการใช้งาน ห้ามย้ายออกไปนอกบ้านหรือเปลี่ยนวง WiFi ทำให้อุปกรณ์ iPhone/iPad ที่นำมาใช้งานนั้นต้องเป็นอุปกรณ์เก่าเหลือใช้จริงๆ ไม่สามารถเอาเครื่องที่ใช้งานในชีวิตประจำวันมาทำได้
  2. เซอร์วิสที่รองรับนั้นยังมีไม่ครอบคลุมเหมือน Homebridge ที่ติดตั้งเองบนอุปกรณ์อื่นๆ เช่น Raspberry Pi ซึ่งทางผู้พัฒนาแอพสามารถเพิ่ม/ลดเซอร์วิสเหล่านี้ได้ตลอดเวลา ทำให้ไม่สะดวกและควบคุมเองไม่ได้เหมือนการตั้ง Homebridge Server เอง โดยเซอร์วิสที่รองรับในปัจจุบันนั้นก็เช่น Nest, Wemo, Samsung TV, Neato, Meross, Bond, Yeelight, eWeLink และ Yale Sync Alarm เป็นต้น

hub-for-homekit-2
hub-for-homekit-1

วิธีการใช้งาน Hub For Homekit เพื่อทำ iPhone/iPad ให้กลายเป็น Homebridge Server

  • ดาวน์โหลด Application ที่ชื่อ Hub for Homekit จาก App Store ลงบน iPhone/iPad ที่ต้องการให้ทำหน้าที่เป็น Homebridge Server โดยต้องใช้งาน iOS13 ขึ้นไปเท่านั้น
hub-for-homekit-app
แอพพลิเคชั่น Hub For Homekit บน AppStore สำหรับการทำ iPhone/iPad ให้เป็น Homebridge Server
  • หลังจากติดตั้งแล้ว ให้เปิด Application ดังกล่าวขึ้นมา จากนั้นเลือกเมนู Integrations แล้วทำการผูกบัญชีต่างๆ ที่ต้องการเข้ากับแอพ และเลือก Enable This Integration ให้สังเกตว่าเมื่อย้อนกลับมาที่หน้าเมนู Integration สถานะของบริการที่เราเลือกจะขึ้นเป็น On ตามภาพตัวอย่าง

homekit-hub-integration-yeelight
hub-for-homekit-integration-on

  • จากนั้นให้กลับมาที่หน้า Hub ตัวแอพพลิเคชั่นจะแจ้งให้เราทำการรีสตาร์ทตัว Application โดยวิธีการก็ให้ปิดแอพนี้ไปเลยด้วยการเคลียร์แอพ Hub ออกจากแท็ปหน้าจอ หากไม่ทราบว่าทำอย่างไร ลองอ่าน วิธีการควบคุม iPhone แบบละเอียด ที่ทาง AppDisqus เคยเขียนไว้แนะนำตอนสมัย iPhone X ออกจำหน่ายใหม่ๆ ได้เลย

hub-for-homekit-hub-menu
hub-for-homekit-slide-menu

  • เปิดแอพพลิเคชั่น Hub for Homekit ขึ้นมาอีกครั้ง ในหน้า Hub จะมี QR Code ของฮับตัวนี้แสดงอยู่ ให้เปิดแอพ Home หรือ บ้าน อุปกรณ์ iOS อีกตัวที่ใช้งานประจำ (เช่น iPhone/iPad เครื่องหลัก) แล้วทำการเพิ่ม Hub ตัวนี้เข้าบ้านของเราตามวิธีปกติโดยการสแกน QR Code ที่ปรากฏ (กดตกลง/ยืนยัน ในทุกคำถาม)
hub-for-homekit-qr-code
QR Code สำหรับสแกนเข้าไปในแอพพลิเคชั่นบ้าน หรือ Home
  • อุปกรณ์ในบริการที่เราได้ตั้งค่าไว้ในแอพพลิเคชั่น Hub for Homekit จะปรากฏใรแอพบ้านของเราโดยอัตโนมัติ และหากเราต้องการเพิ่มอุปกรณ์ ก็เพียงทำตามขั้นตอนด้านบนนี้อีกครั้ง แต่ไม่จำเป็นต้องสแกน QR Code ใหม่แล้ว อุปกรณ์จากบริการใหม่ๆ ที่เราเพิ่มก็จะปรากฏขึ้นในแอพบ้าน หรือ Home ของเราอัตโนมัติทันทีที่เราปิดโปรแกรม Hub for Homekit แล้วเปิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

ข้อควรระวังตัวเท่าบ้าน

  1. ย้ำอีกครั้งว่า iPhone/iPad ที่เรานำมาติดตั้ง Hub for Homekit นั้นจะต้องเปิดเครื่อง เปิดหน้าจอ และเปิดแอพพลิเคชั่นนี้ไว้ตลอดเวลา รวมถึงต้องเชื่อมต่อกับ WiFi Network เดียวกันกับอุปกรณ์ Home Hub อย่าง Apple TV, Homepod หรือ iPad ของเราเท่านั้นนะครับ มิฉะนั้นจะใช้งานไม่ได้ ซึ่งเป็นเงื่อนไขทั่วไปของ Homekit เอง
  2. ย้ำอีกรอบว่าเราเพิ่มบริการใหม่ๆ เองไม่ได้ หากต้องการความยืดหยุ่น คำตอบที่ดีที่สุดคือการติดตั้ง Homebridge Server เองบนอุปกรณ์อื่น เช่น Rapsberry Pi ครับ แต่เท่าที่ดูผู้พัฒนาเองก็ทำการอัพเดตบริการและเวอร์ชั่นของ Homebridge อยู่เสมอครับ

ข้อดีและข้อเสียของการใช้ iPhone / iPad มาเป็น Homebridge Server

ข้อดี ข้อเสีย
1. ง่ายมาก แค่ลงแอพก็พร้อมใช้งานเลย 1. ต้องมี iPhone/iPad หนึ่งตัวที่ใช้ iOS13 ขึ้นไป 
2. แอพพลิเคชั่นฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม 2. ไม่มีความยืดหยุ่น เพิ่มบริการที่รองรับเองไม่ได้
3. ไม่มีการเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน 3. ไม่สามารถอัพเดตเวอร์ชั่นของ Homebridge ได้ด้วยตัวเอง 
  4. แอพพลิเคชั่นมีปิดตัวเองบ้างบางครั้ง อาจทำให้ใช้งานสะดุด

 

ข่าว: วิธีเปลี่ยน iPhone / iPad เก่าให้กลายเป็น Homebridge Server เพื่อใช้งาน Homekit กับอุปกรณ์ที่ไม่รองรับ มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.
from:https://www.appdisqus.com/how-to-use-iphone-ipad-as-homebridge-server-for-homekit/

อะไรคือ Spatial Audio, Digital Car Key และเทคโนโลยี Fast Pair ที่กำลังจะมาบน Android เรามีคำตอบ

Google เตรียมปรับปรุง Android ครั้งใหญ่ในปีนี้ โดยจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบด้วยฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจ ที่ก่อนหน้านี้เคยเปิดตัวไปกับระบบ iOS แล้วมากมาย ยกตัวอย่างเช่นระบบเสียง Spatial Audio หรือระบบเสียงรอบทิศทางเมื่อใช้งานคู่กับหูฟังที่รองรับ หรือระบบ Digital Car Key หรือกุญแจรถแบบดิจิตัลที่เคยเรียกเสียงฮือฮามาแล้วเมื่อครั้งที่ Apple เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ โดยฟีเจอร์ทั้งหมดที่ว่ามา และอีกหลายๆ ฟีเจอร์นั้นเกิดขึ้นได้จากการอัพเดตเทคโนโลยี Fast Pair ของตัวระบบ Android เอง และบางฟีเจอร์จะพร้อมใช้งานในอีกไม่กี่สีปดาห์ข้างหน้านี้ ในขณะที่บางฟีเจอร์จะใช้งานได้หลังจากนี้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

Spatial Audio และ Auto-Switching ฟีเจอร์ที่ยังคงขาดหายไปจาก Android

google-auto-switching-feature

Fast Pair นั้นเป็นระบบการเชื่อมต่ออุปกรณ์บลูทูธของ Google โดยการใช้ประโยชน์จากหน้าต่างป๊อปอัพเพื่อให้ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องกดเข้าไปเชื่อมต่อในเมนูการตั้งค่าอย่างแต่ก่อน และก็เพราะไอ้เจ้าเทคโนโลยี Fast Pair นี้เองที่ทำให้ผู้ใช้งาน Android สามารถเชื่อมต่อหูฟังของตัวเองเข้ากับอุปกรณ์ Android ทั้งหมดที่ตัวเองเป็นเจ้าของและใช้งานอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องทำการแพริ่งใหม่ทุกครั้งกับอุปกรณ์ทุกเครื่องของเรา โดยเทคโนโลยีคล้ายกันนี้ถูกใช้งานบนระบบ iOS/iPadOS/MacOS/tvOS และ WatchOS ของ Apple ได้อย่างสเถียรมาระยะใหญ่แล้ว ในขณะที่ทางฝั่งของ Google เองนั้นยังต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาอีกพอสมควรเพื่อให้รองรับความสามารถทั้งหมดของเทคโนโลยีดังกล่าวได้เหมือนกับฝั่งของระบบ Apple เค้า โดยเป้าหมายของ Google นั้นชัดเจนมากว่าจะพัฒนาระบบ Fast Pair ของตัวเองให้ใช้งานได้กว้างขึ้นกว่าเพียงแค่การเชื่อมต่อหูฟัง แต่จะให้ครอบคลุมไปถึงการใช้งานกับโทรทัศน์และอุปกรณ์สมาร์ทโฮมทั้งหลายด้วยในอนาคต

โดยแผนการที่ขัดเจนที่สุดของ Google ต่อการพัฒนาเจ้า Fast Pair นั้นคือการนำเอาฟังก์ชั่น Auto-Switching มาใช้งาน ซึ่งฟังก์ชั่นดังกล่าวนี้ผู้ใช้งานระบบ Apple Ecosystem เองได้ใช้งานกันมาเป็นระยะเวลาพอสมควรแล้ว หลักการทำงานคร่าวๆ นั้นก็ไม่ได้ซับซ้อน แต่ซ่อนประโยชน์เอาไว้ให้กับผู้ใช้งานโดยตรง โดยเจ้าฟีเจอร์ Auto-Switching ที่ว่านี้จะทำหน้าที่ในการเปลี่ยนการเชื่อมต่อของหูฟังก์หรืออุปกรณ์บลูทูธของเราตามความเหมาะสมของการใช้งานในขณะนั้น ยกตัวอย่างช่นหากเรากำลังใช้ฟูฟังก์ของเราฟังเพลงบน Chromebook อยู่ และจู่ๆ ก็มีโทรศัพท์เข้ามาที่มือถือ Android ของเรา ระบบ Auto-Switching จะทำการสลับหูฟังบลูทูธของเราไปเชื่อมต่อกับมือถือโดยอัตโนมัติเพื่อให้เรารับสายจากบลูทูธได้โดยไม่จำเป็นต้องทำการสลับอุปกรณ์เชื่อมต่อด้วยตัวเอง

google-spatial-audio-resonance

นอกจากนี้ Google เองยังวางแผนจะเพิ่มฟีเจอร์ Spatial Audio หรือระบบเสียงรอบทิศทางให้กับมือถือและอุปกรณ์ระบบ Android อีกด้วย เมื่อใช้งานร่วมกับหูฟังที่รองรับ โดย Spatial Audio นั้นจะจำลองระบบเสียงรอบทิศทางตามการเคลื่อนไหวของศีรษะของผู้ใช้งาน โดยเป็นระบบเสียงแบบ 360 องศาเหมือนกับระบบ Dolby Atmos ซึ่งจะรองรับการใช้งานที่หลากหลายทั้งบริการดูหนัและฟังเพลงต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น Netflix, Apple Music และ Tidal ที่ผู้ใช้งานระบบ Apple Ecosystem กำลังใช้งานกันอยู่ในปัจจุบันนี้

ทั้ง Auto-Switching และ Spatial Audio นั้นมีแผนที่จะปล่อยให้อัพเดตและเปิดใช้บริการในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้บนอุปกรณ์ที่รองรับ ซึ่งทาง Google จะมีประกาศรายชื่อและเวอร์ชั่นของระบบปฏิบัติการออกมาให้ทราบต่อไปในอนาคต

หมดยุคกุญแจรถแบบโบราณ Android เตรียมเข้าสู่ยุค Digital Car Key หรือกุญแจรถแบบดิจิตัล

google-digital-car-key-android-12

ฟังก์ชั่น Digital Car Key ที่ Google เผยออกมาล่าสุดนั้นจะทำให้ผู้ใช้งาน Google Pixel และมือถือ Samsung รุ่นที่รองรับสามารถใช้มือถือของตัวเองเป็นกุญแจดิจิตัลให้กับรถที่เพื่อนๆ ขับกันอยู่ได้ โดยในสเตจแรกนั้นจะเปิดฟังก์ชั่นให้ใช้งานร่วมกับรถหรู BMW รุ่นที่รองรับก่อน เช่นเดียวกับ Digital Car Key ของทางฝั่ง Apple ที่มีเปิดให้บริการกันไปแล้ว ทั้งนี้ Google จะใช้ความสามารถของเทคโนโลยี Ultra Wideband (UWB) มาช่วยในการสั่งงานรถ เพื่อที่เจ้าของรถจะได้ไม่จำเป็นต้องหยิบเอามือถือออกมาเพื่อควบคุมรถแต่อย่างใด และหากมีเพื่อนฝูงหรือคนในครอบครัวต้องการยืมรถของเราไปใช้ เราก็ยังสามารถให้เพื่อนๆ หรือคนในครอบครัวเรายืม Digital Car Key ของเราไปใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้กุญแจรถยนต์แบบเดิมๆ อีกต่อไป

ทั้งนี้ Google ยังเสริมอีกว่ามีแผนที่จะนำ Digital Car Key ไปใช้งานกับอุปกรณ์ Android แบรนด์อื่นๆ รวมถึงรถยนต์จากค่ายอื่นๆ เพิ่มเติมด้วยภายในปีนี้ และยังรวมไปจนถึงการยืนยันว่าในตอนนี้ทางบริษัทเองกำลังพัฒนาแอพลิเคชั่นที่จะทำให้สามารถเชื่อมต่อมือถือ Android เข้ากับคอมพิวเตอร์ระบบ Windows ผ่านทางเทคโนโลยี Fast Pair นี้ได้ด้วย เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถ “เชื่อมต่ออุปกรณ์บลูทูธและซิงค์ข้อความต่างๆ ตลอดจนแชร์ไฟล์ต่างๆ ระหว่างอุปกรณ์ผ่านระบบ Nearby Share” ได้ ซึ่งก็เทียบได้กับระบบ Continuity และ Airdrop ที่ใช้กันอยู่บน Apple Ecosystem ในปัจจุบันนั่นเอง


ทั้งหมดนี้ถือเป็นอีกก้าวที่หน้าจับตามองมากๆ ของ Google และ Android ที่จะช่วยให้การใช้งานระบบ Android นั้นตอบโจทย์ได้อย่างครอบคลุมมายิ่งขึ้น และยังช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้งานอย่างเราๆ ท่านๆ ให้สามารถใช้มือถือ Android ของเราได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วย แน่นอนว่าทันทีที่มีความคืบหน้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟีเจอร์น่าสนใจเหล่านี้ APPDISQUS จะไม่พลาดที่จะรีบนำมาอัพเดตให้เพื่อนๆ ที่ติดตามได้รับทราบกันอย่างแน่นอน

ข่าว: อะไรคือ Spatial Audio, Digital Car Key และเทคโนโลยี Fast Pair ที่กำลังจะมาบน Android เรามีคำตอบ มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.
from:https://www.appdisqus.com/spatial-audio-and-digital-car-key-that-google-brings-to-android-explanation/

รีวิว SONY WF-1000XM4 หูฟังไร้สายตัดเสียงขั้นเทพ ดีไซน์ใหม่หมด

กลับมาอีกครั้งหลังจากหายไป 2 ปี กับหูฟังไร้สายที่มีระบบตัดเสียงรบกวนยอดเยี่ยมที่สุดจากโซนี่ SONY WF-1000XM4 ต่อยอดมาจากรุ่น WF-1000XM3 กับดีไซน์ใหม่หมดทั้งภายนอกและภายใน ขนาดที่เล็กลงใส่สบายมากขึ้น พกพาง่ายขึ้น รองรับเทคโนโลยี LDAC สัญญาณคุณภาพเสียง Hi-Res Audio Wireless พร้อมฟังก์ชั่นปรับการฟังตามความชอบและกิจกรรมเฉพาะบุคคลด้วย เปิดตัวมาในราคา 8,990 บาท วางจำหน่ายด้วยกัน 2 สี สีเงินและสีดำ หลังจากที่ได้อยู่ด้วยกันกับเจ้า WF-1000XM4 ตัวสีดำมาทั้งอาทิตย์ เราจะมารีวิวให้ชมค่ะว่ามีอะไรใหม่บ้าง

ดีไซน์ใหม่หมด

กลับมาครั้งนี้ทางโซนี่ได้ดีไซน์เจ้า WF-1000XM4 ใหม่หมด จะเห็นว่าหน้าตาจะแตกต่างกับ WF-1000XM3 ที่ตอนนี้ลดราคาลงมาเหลือเพียง 5,990 บาทเท่านั้น ขนาดเล็กลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ตัวเคสชาร์จที่มีขนาดเล็กลงที่เค้าว่าเล็กลงกว่าถึง 40% เลยทีเดียว

รวมถึงกล่องที่ใสตัวหูฟังด้วย ทางโซนี่ใช้วัสดุรีไซเคิลลดการใช้แพคเกจที่ผลิตจากพลาสติกและก่อให้เกิดสารพิษ โดยวัสดุที่ใช้ทางโซนี่ก็เป็นผู้คิดค้นด้วยการใช้วัสดุจากธรรมชาติอย่าง ต้นไผ่  ต้นอ้อย และกระดาษรีไซเคิล เราจะแกะกล่องให้ดูว่าข้างในมีอะไรกันบ้างค่ะ

ตัวเคสชาร์จและหูฟัง SONY WF-1000XM4 รุ่นนี้จะวางจำหน่าย 2 สี สีเงินและดำ ตัวที่เราจะมารีวิวให้ชมกันเป็นตัวสีดำ  ทรงโค้งมน ดีไซน์แบบมินิมอล เรียบๆ สีเกลี้ยงๆ เคลือบผิวเนียบสีดำด้าน แค่มีสกรีนสีทองคำว่า SONY ก็ดูแพงอย่างไม่น่าเชื่อ

ด้านหน้ามีไฟแสดงสถานะของแบตเตอรี่ ด้านบนสกรีนโลโก้โซนี่สีทอง

ด้านหลังเคสชาร์จจะเป็นพอร์ตชาร์จ USB Type C  ดีไซน์ใหม่ให้วางตั้งเพราะได้รุ่นนี้รองรับการชาร์จไร้สายด้วย สามารถวางบนแท่นชาร์จได้เลย รุ่นเก่าจะวางตั้งตรงไม่ได้ เวลาจะตั้งคือต้องกลับตัวมันก็ดูแปลกไปหน่อย

ด้านในเคสชาร์จมีแม่เหล็กดูดติดตัวหูฟัง มันก็จะหนึบๆ เวลาดึงออก ทำให้หล่นยากเพราะด้วยขนาดตัวหูฟังที่สั้น ก็เสี่ยงหล่นง่ายเวลาที่เราเผลอไปคว่ำเคส อย่างหูฟังบางรุ่นที่ทรงสั้นเหมือนกันเวลาเราเผลอเปิดฝาเคสแรงไป ตัวหูฟังกระเด้งหลุดออกด้วย 555 แต่รุ่นนี้หายห่วงค่ะ

นอกจากดีไซน์ภายนอกที่มีการปรับเปลี่ยนแล้ว ด้านในตัวหูฟังก็ปรับเปลี่ยนด้วยเช่นกัน ตัวหูฟังที่เปลี่ยนจากทรงรีแบนๆ เป็นทรงกลมโค้งมนละมุนมือและมีขนาดเล็กลงกว่าเดิม 10% แต่ตัวหูฟังที่อ้วนป้อมก็มีปัญหากับคนช่องหูเล็ก

จุกหูฟังก็มีการเปลี่ยนมาใช้วัสดุที่ทำจาก โพลียูริเทน มีความคล้ายกับตัวเมมโมรี่โฟมบีบแล้วบู้บี้ไปตามแรงนิ้ว มันก็จะมีความนุ่มนิ่มหนึดใส่แนบสนิทกระชับหูกว่าเดิม ช่วยกันเสียงได้ดีกว่าเดิมเพียงแค่ใส่ก็เก็บเสียงแล้ว

ในกล่องมีมาให้อีก 2 ไซส์ค่ะ เป็น L และ S ควรเปลี่ยนขนาดให้พอดีเพื่ออรรถรสในการฟังและกันเสียงรบกวนจากภายนอกค่ะ

คู่มือการใช้งานสารพัดภาษา ทำมาให้อ่านก็ควรอ่านจั๊กน้อย สรุป..ไม่มีภาษาไทย (ร้องไห้ T-T)

มีสาย USB Type C แบบสั้นมาให้ 1 สายค่ะ

ของในกล่องทั้งหมดก็ตามนี้ค่ะ

การเชื่อมต่ออุปกรณ์

เชื่อมต่อได้อย่างรวดเร็วรองรับ Fast Pair ของ Google จับคู่กับอุปกรณ์ Android ได้ง่าย เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.2 หรือแตะด้านหลังสมาร์ทโฟนที่รองรับ NFC  ขณะที่ Swift Pair ช่วยให้เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ Windows 10 ผ่าน Bluetooth ได้ง่ายขึ้น

แอพพลิเคชั่น SONY / Headphone Connect

โหลดแอพพลิเคชั่นของหูฟัง SONY เพื่อการใช้งานเต็มประสิทธิภาพ ช่วยในการตั้งค่าต่างๆ และควบคุมหูฟัง สมารถเปิด/ปิด ปรับอีควอไลเซอร์ได้ถึง 12 รูปแบบ ให้เหมาะกับเพลงที่ฟัง ตั้งค่าเสียงที่สมบูรณ์แบบให้กับทุกๆ เพลง แอพ ช่วยให้คุณสามารถปรับระดับเสียงเบสของเราได้ และมีการตั้งค่าเสียงล่วงหน้าสำหรับเสียงแบบกลางแจ้ง คลับ ฮอลล์ หรือ แบบเวทีคอนเสิร์ต


ดาว์นโหลดได้ทั้ง Android และ IOS

การสั่งงานด้วยการแตะสัมผัส

มีระบบตรวจจับการสวมใส่ เซ็นเซอร์จะทำการตรวจจับและประเมินระยะห่างของหูฟังแต่ละข้าง เพื่อดูว่าเรากำลังสวมหูฟังอยู่หรือไม่ พอสวมหูฟังใส่หูทั้ง 2 ข้าง..เพลงที่เราเล่นค้างล่าสุดจะขึ้น เอาหูฟังออก 1 ข้างเพลงจะหยุดทันที  นอกจากนี้เราสามารถสั่งงานได้จากภายนอกโดยไม่ต้องเปิดมือถือด้วยการแตะบริเวณตัวหูฟัง

  • แตะที่หูฟังด้านซ้ายเป็นการเปิด Noice Canceling / Ambient Sound
  • แตะค้าง เข้าสู่โหมด Quick Attention เป็นการเงียบเสียงชั่วขณะ เพื่อสนทนาหรือฟังเสียงจากภายนอก โดยเพลงจะเบาลงตลอดการแตะที่หูฟัง
  • แตะหูฟังข้างขวา 1 ครั้ง เป็นการหยุด / เปิด เพลง
  • แตะหูฟังข้างขวา 2 ครั้งเป็นการข้ามเพลง

นอกจากนี้เรายังสามารถเข้าไปตั้งค่าเพิ่มได้ในแอพพลิเคชั่น Headphone Connect

ระบบตัดเสียงรบกวน

การออกแบบหูฟังดีไซน์ใหม่ที่เปลี่ยนจากจุกยางมาเป็นโพลียูริเธน และดีไซน์ให้เข้ากับสรีระหูกรองเสียงจากภายนอกเพิ่มความกระชับมากขึ้น ทำให้แค่ใส่หูฟังเข้าหูก็สัมผัสได้ถึงความเงียบ และชุดประมวลผลใหม่ Intergrated Processor V1  ที่ลงระบบตัดเสียงและการเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth ไว้ด้วยกันในชิปเดียว เซ็นเซอร์จับเสียงรบกวนแบบคู่ที่ปรับปรุงใหม่ ที่จับเสียงรอบข้างได้กว้างและแม่นยำขึ้น

เราสามารถเข้าโหมดตัดเสียงรบกวนรอบข้าง Noice Canceling ได้จากภายนอกเพียงแตะที่ด้านซ้ายของหูฟัง เพื่ออรรถรสในการฟังเพลงที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น หรือแตะอีกครั้งเพื่อเข้าสู่โหมด Ambient Sound หรือโหมดเปิดรับเสียงรอบข้าง ทำให้เราสามารถฟังเพลงไปด้วยและไม่พลาดเสียงจากภายนอก อย่างการแจ้งเตือนบนรถไฟฟ้าหรือสนามบิน

ยังมีฟีเจอร์ Speak-to-Chat ที่เมื่อเราใส่หูฟังฟังเพลงอยู่ แล้วอยากสนทนากับคนข้างๆ เมื่อเราพูดเพลงจะหยุดเล่นอัตโนมัติ แล้วเล่นต่อเมื่อเราหยุดพูด

คุณภาพเสียงของ WF-1000XM4

ชื่อเสียงของหูฟัง SONY แทบไม่ต้องกล่าวอะไรกันมาก มาพร้อมคุณภาพเสียงที่ดีอย่างแน่นอน รองรับเทคโนโลยี LDAC สัญญาณคุณภาพเสียง Hi-Res Audio Wireless ไดร์เวอร์หูฟังขนาด 6 มม. ปรับปรุงใหม่ เพิ่มส่วนกำเนิดสภาพแม่เหล็กขึ้นอีก 20% ในตัวบอดี้ ทำให้ไดอะแฟรมตอบสนองได้ดีขึ้น จากช่วงความถี่ต่ำถึงความถี่สูง เพิ่มคุณภาพเสียงให้โดดเด่น ตัดเสียงรบกวนได้มากขึ้น ตอบสนองความถี่เสียงได้กว้างขึ้น เสียงใส บีทหนักและมีพลัง

เทคโนโลยี AI ในชุดประมวลผล Intergrated Processor V1 ช่วยจดจำแนวเพลงที่เราชอบฟังปรับค่ารายละเอียดของเครื่องดนตรีให้คุณภาพที่ดีที่สุดด้วย แม้ต้นสัญญาณจะถูกบีบอัด อย่างการสตรีมเพลงดิจิทัล Dess Extreme จะช่วยอัพสเกลและคืนรายละเอียดที่ถูกลดทอนช่วยให้ฟังเสียงที่มีคุณภาพต่ำเทียบเท่ากับไฟล์เสียงคุณภาพสูง

ส่วนตัวชอบความเบสหนักของ WF-1000XM4 ส่วนตัวเป็นคนชอบฟังเพลงแนวเฮฟวี่เมททัล รวมถึงเพลงที่บีทหนักเร้าใจ ชอบความเบสตุบๆ ฟังแบบปกติยังไม่ปรับอีควอไลเซอร์เบสก็ดีดพอตัว เข้าไปปรับอีควอฯ ในส่วนที่เราต้องการเพิ่มอรรถรสและเข้ากับแนวเพลงที่เราฟัง ชอบความเบส +8 ของ Excited ดีดขี้หูเด้ง หรือจะเป็นสไตล์อื่นที่ชอบและเหมาะกับเพลงที่ฟัง สามารถปรับได้ถึง 12 รูปแบบ


คุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยมมิติเสียงที่กว้าง ฟังเพราะทุกแนวเพลง เก็บเสียงได้เงียบทำให้การฟังเพลงชัดเจนและเป็นส่วนตัวมากขึ้น เก็บครบทุกเสียงดนตรี

นอกจากนี้ยังสนับสนุนระบบเสียง 360 Reality Audio  สามารถเปิดระบบเสียง 360 Reality ผ่านทางแอปพลิเคชั่น Sony Headphones Connect ให้ความรู้สึกเหมือนวงดนตรีมาแสดงสดอยู่ตรงหน้า มีแอพฯ เพลงสตรีมมิ่งที่รองรับการฟังเพลง 360 องศา 4 แอพฯ  และยังสามารถปรับแต่งเสียงให้เหมาะสมสำหรับการฟังของแต่ละบุคคลได้ด้วย


คุณสมบัติกักน้ำ

กันน้ำในระดับ IPX4 ป้องกันในระดับน้ำกระเด็น ใส่ออกกำลังกายได้ ถูกฝนแบบปรอยๆ ได้

รองรับชาร์จเร็วและชาร์จไร้สาย

เคสชาร์จรองรับชาร์จไร้สายด้วยเทคโนโลยี Qi เพียงวางบนแท่นชาร์จไร้สายและสมาร์ทโฟนที่มีฟังก์ชั่นแชร์แบตเตอรี่ ระบบชาร์จเร็ว ชาร์จ 5 นาที ใช้งานได้ 1 ชั่วโมง

แบตเตอรี่

ฟังเพลงต่อเนื่องได้นานสูงสุด 8 ชั่วโมง ปรับปรุงมาจากรุ่นเดินที่ใช้งานต่อเนื่องได้ 6 ชั่วโมง +16 ชั่วโมงจากเคสชาร์จ รวมแล้วใช้งานได้ 24 ชั่วโมง หมดปัญหาแบตฯ หมดระหว่างวัน

สรุปการใช้งาน

ถือเป็นหูฟังที่น่าใช้ที่สุดในเวลากับคุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยมรองรับเทคโนโลยี LDAC สัญญาณคุณภาพเสียง Hi-Res Audio Wireless ขนาดและดีไซน์ที่ปรับใหม่พกพาง่ายขึ้น แบตเตอรี่ที่ใช้งานต่อเนื่องได้นานขึ้นรองรับชาร์จไร้สาย และระบบตัดเสียงรบกวนที่ดีกว่าเดิม วางจำหน่ายแล้วในราคา 8,990 บาท มี 2 สี สีเงินและสีดำ

 

ข่าว: รีวิว SONY WF-1000XM4 หูฟังไร้สายตัดเสียงขั้นเทพ ดีไซน์ใหม่หมด มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.
from:https://www.appdisqus.com/review-of-sony-wf-1000xm4-wireless-headphones-with-noise-cancellation-all-new-design/

วิธีการติดตั้ง Homebridge เพื่อใช้งานอุปกรณ์ที่ไม่รองรับ Homekit กับ แอพพลิเคชั่น Home

หลังจากที่ Smart Home Guide ตอนที่ 1 นั้นได้พาเพื่อนๆ ไปรู้จักและทำความเข้าใจกับ Homekit Framework ซึ่งเป็นระบบบ้านอัจฉริยะจาก Apple กันแบบละเอียดแล้ว ใน Smart Home Guide ตอนที่ 2 นี้ เราจะพาเพื่อนๆ มาทำความรู้จักกับ Homebridge ซึ่งเป็นสิ่งที่จะช่วยให้เราสามารถใช้งานอุปกรณ์ Smart Device ที่ไม่รองรับ Homekit กับเฟรมเวิร์ค Homekit จาก Apple ได้ ซึ่งจะช่วยให้เราประหยัดเงินในกระเป๋าได้เยอะมาก

เอาล่ะ ใครที่อยากมีบ้านอัจฉริยะบนแพลตฟอร์มของ Apple แต่ยังไม่อยากจะสิ้นเนื้อประดาตัวไปเสียก่อน ติดตามได้จาก Smart Home Guide EP2 : ทำอุปกรณ์ถูกๆ ให้รองรับ Homekit ด้วย Homebridge Server

ส่วนใครที่ชอบอ่าน ในบทความนี้เพื่อนๆ จะได้รู้จักกับ Homebridge ว่ามันคืออะไร รวมทั้งขั้นตอนการติดตั้ง Homebridge โดยละเอียด และการใช้งาน Homebridge เบื้องต้น แต่หากอ่านแล้วสับสนงงงวย ที่ท้ายบทความเราได้ลงลิงก์เพื่อให้ไปซื้อ Homebridge Hub แบบสำเร็จรูปที่ติดตั้งและตั้งค่าบท Raspberry Pi Zero W แล้วมาใช้งานกันได้เลย จะได้ไม่ต้องลงมือทำเอง

เอาล่ะ ใครพร้อมแล้วก็ไปอ่านกันต่อได้


เฟรมเวิร์คบ้านอัจฉริยะของ Apple อย่าง Homekit นั้นจำเป็นต้องใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อัจฉริยะที่รองรับ Homekit ด้วย โดยสังเกตได้จากข้างกล่องที่จะเขียนว่า “Works with Homekit” นั่นเอง ทั้งนี้เพื่อนๆ ต้องห้ามสับสนกับอีกคำที่หลายๆ ผู้ผลิตใช้ว่า “Works with Siri” เป็นอันขาด เพราะอันหลังนี้ไม่ได้หมายความว่าใช้กับ Homekit ได้ แต่หมายความว่าใช้กับ Siri Shortcuts หรือแอพ “คำสั่งลัด” บน iPhone และ iPad ของเราได้เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์อัจฉริยะที่รองรับ Homekit นั้น ในบ้านเรายังถือว่ามีจำหน่ายไม่แพร่หลายนัก แถมยังมีตัวเลือกให้เลือกไม่มากด้วย แต่ที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องราคาที่โหดเอาเรื่องกันแทบทุกตัวเลย ซึ่งหากใครคิดจะใช้งานบ้านอัจฉริยะบน Homekit Framework จาก Apple และตั้งใจจะใช้อุปกรณ์ที่รองรับ Homekit ทั้งหมดนั้นคงมีหวังกระเป๋าแบนกันไปก่อนแน่ๆ ดังนั้น Homebridge จึงเข้ามาเป็นพระเอกในจุดนี้ ที่จะช่วยเชื่อมอุปกรณ์ที่ไม่รองรับ Homekit อย่างเป็นทางการทั้งหลายให้สามารถใช้งานบน Homekit Framework ได้ในราคาที่สุดแสนจะสบายกระเป๋านั่นเอง

Homebridge คืออะไร?

Homebridge คือเซิร์ฟเวอร์ NodeJS ที่ทำหน้าที่เป็นสะพานให้กับอุปกรณ์อัจฉริยะภายในบ้านของเราให้สามารถเชื่อมต่อกับ Homekit ของ Apple ได้ โดยหน้าที่หลักๆ ของมันนั้นคือการจำลองตัวเองเป็น Bridge (หรือเราอาจเรียกว่า Hub ก็ได้) ให้กับอุปกรณ์ที่ไม่รองรับ Homekit ที่เชื่อมต่อเข้ากับตัวมันเองอีกที และเมื่อเราทำการติดตั้งอุปกรณ์พวกนี้ลงไปบน Homebridge แล้ว มันก็จะไปปรากฏบนแอพพลิเคชั่น Home ใน iPhone, iPad และ Mac ของเราที่ ณ ตอนนี้มีสถานะเป็น Bridge ให้กับ Homekit Framework ในทันที

หากยังนึกภาพไม่ออก ให้ลองจินตนาการถึง Philips Hue ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่รองรับ Homekit ด้วยตัวเองอยู่แล้ว ในการที่จะทำให้หลอดไฟของ Philips Hue ใช้งานกับ Homekit ได้นั้น เราจำเป็นต้องเชื่อมต่อหลอดไฟเหล่านั้นเข้ากับ Philips Hue Bridge ก่อน จากนั้นก็เอา Philips Hue Bridge ไปเชื่อมเข้ากับ Homekit อีกทีด้วยรหัสการเชื่อมต่อเฉพาะที่มากับตัว Hue Bridge เพียงเท่านี้หลอดไฟ Philips Hue ของเราก็จะปรากฏและควบคุมได้บนแอพพลิเคชั่น Home แล้ว

Homebridge เองก็ทำหน้าที่เหมือนกับ Philips Hue Bridge นั่นล่ะ และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เรานำมาเชื่อมต่อกับ Homebridge ผ่านปลั๊กอินของ Homebridge ก็เปรียบเสมือนหลอดไฟในระบบ Philips Hue ที่ไม่ได้เชื่อมต่อตรงไปที่ Homekit แต่เป็นการเชื่อมต่อผ่าน Homebridge ที่ทำหน้าที่เป็นสะพานอีกที

และเมื่ออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อผ่าน Homebridge เหล่านั้นถูกส่งต่อไปยัง Homekit แล้ว มันก็จะทำหน้าที่ทุกอย่างได้เหมือนอุปกรณ์ Homekit แท้ๆ รวมถึงการสั่งงานด้วยเสียงผ่านทาง Siri และการตั้ง Scene และ Automation ต่างๆ ด้วย

อุปกรณ์ที่ต้องมีในการติดตั้ง Homebridge

ปกวิธีการติดตั้ง Homebridge Server

Homebridge นั้นสามารถติดตั้งได้บนอุปกรณ์หลากหลายมาก (บน PC ก็ได้) แต่จำไว้อย่างหนึ่งว่า Bridge นั้นต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตและเปิดเครื่องอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการติดตั้งบน PC อาจจะไม่ตอบโจทย์นัก ในบทความนี้เราจึงจะมาติดตั้ง Homebridge Server กันบน Raspberry Pi แทน ซึ่งเป็นอุปกรณ์ขนาดเล็ก ไม่กินไฟ และสามารถเปิดใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องบำรุงรักษาอะไรเลย

โดยวิธีการนี้จะเป็นการติดตั้งแบบ Headless ซึ่งหมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องมีหน้าจอเชื่อมต่อกับ Raspberry Pi ของเราแต่อย่างใด ขั้นตอนที่ต้องใช้หน้าจอจะเป็นการใช้งานหน้าจอของคอมพิวเตอร์หลักที่เราจะใช้ในขั้นตอนการติดตั้งเท่านั้น และ Homebridge Server ของเราจะสามารถใช้งานได้ต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องเสียบหน้าจอมอนิเตอร์ให้เปลืองไฟและเปลืองพื้นที่ตลอดกาล

ถ้าพร้อมแล้ว เรามาจัดหาอุปกรณ์ตามนี้กัน

  1. Raspbery Pi (โมเดลไหนก็ได้ที่สะดวก เน้นที่มีฟังก์ชั่นการเชื่อมต่อครบทั้ง WiFi และ Bluetooth และสามารถเชื่อมต่อ USB ได้เผื่อต้องการเพิ่มฟังก์ชั่นให้กับ Homebridge ในอนาคต) – สั่งซื้อ Raspberry Pi 4B (2GB RAM) จาก Lazada
  2. การ์ด MicroSD 16GB ขึ้นไป – สั่งซื้อ MicroSD 16GB จาก Lazada
  3. การ์ดรีดเดอร์สำหรับการเชื่อมต่อการ์ด MicroSD กับคอมพิวเตอร์ –  สั่งซื้อการ์ดรีดเดอร์จาก Lazada
  4. คอมพิวเตอร์เครื่องหลักที่จะใช้เป็นตัวกลางในการติดตั้ง Homebridge Server ลงบน Raspberry Pi

ข้อควรระวัง: ปกติแล้ว Raspberry Pi นั้นจะขายเฉพาะตัวบอร์ด สายชาร์จ (USB C หรือ MicroUSB) รวมไปจนถึงเคสของมันนั้นต้องทำการซื้อแยกนะครับ โดยหากซื้อ Raspberry Pi 4B รุ่นที่ลิงก์ไปให้นั้น สามารถซื้ออุปกรณ์เสริมตรงรุ่นนี้ได้โดยการคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้เลย

ขั้นตอนการติดตั้ง Homebridge Server บน Raspberry Pi 4B

  1. ดาวน์โหลด Homebridge Raspberry Pi Image และโปรแกรม Etcher มาเตรียมไว้ในคอมพิวเตอร์ก่อน ไม่จำเป็นต้องแตกไฟล์ .zip ของไฟล์ Image แต่อย่างใด
    ขึ้นตอนการติดตั้ง homebridge server 1
    ต้องมีไฟล์ Image ของ Homebridge และโปรแกรมอัด Image ลงไปใน MicroSD Card ชื่อ Etcher
  2. เปิดโปรแกรม Etcher ขึ้นมา จากนั้นเลือกไฟล์ Homebridge-Raspbian-vX.X.X.zip ที่ดาวน์โหลมา
  3. เลือก MicroSD Card ที่เราเสียบเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับติดตั้ง Homebridge Server จากโปรแกรม Etcher
    ขั้นตอนการติดตั้ง Homebridge Server 2
    หน้าจอโปรแกรม Etcher
  4. กด Flash! เพื่อทำการแฟลช Image ลงบน MicroSD การ์ดที่เตรียมไว้
  5. หลังจากแฟลชเรียบร้อย ให้เอา MicroSD การ์ดดังกล่าวไปใส่เข้า Raspberry Pi ที่เตรียมไว้ อย่าเพิ่งเปิดเครื่องจนกว่าจะอ่านขั้นตอนต่อไป

    – ต้องการเชื่อมต่อ Homebridge Server ผ่านสาย Lan (Ethernet) – แนะนำ
    ก่อนทำการเปิดเจ้า Raspberry Pi ให้คุณเชื่อมต่อสาย Lan เข้าพอร์ต Lan บน Raspberry Pi ให้เรียบร้อยก่อน และตรวจสอบให้แน่ใจว่าอินเตอร์เน็ตสามารถใช้งานได้ปกติ จากนั้นให้ทำการเปิด Raspberry Pi ขึ้นมาได้

    – ต้องการเชื่อมต่อ Homebridge Server ผ่าน WiFi  – ไม่แนะนำ
    1. เปิด Raspberry Pi ขึ้นมา ไม่ต้องเชื่อมต่อสาย Lan เข้า Raspberry Pi จากนั้นรอประมาณ 2 – 3 นาที
    2. เปิด iPhone ขึ้นมาสแกนหาสัญญาณ WiFi ชื่อ Homebridge WiFi Setup แล้วทำการเชื่อมต่อ

    ขั้นตอนการติดตั้ง Homebridge 3
    ในหน้า Captive Portal ให้เลือก SSID ของคุณและใส่รหัสผ่าน WiFi

    3. รอสักครู่ หน้าจอ Captive Portal บนจะปรากฏขึ้นมาบน iPhone ให้เลือกชื่อสัญญาณ WiFi ของคุณและระบุรหัส WiFi (Raspberry Pi บางรุ่นสามารถเชื่อมต่อได้กับคลื่น 2.4Ghz เท่านั้น เช่น Raspberry Pi Zero) เพียงเท่านี้ Homebridge Server ของคุณก็พร้อมใช้งานแล้ว

    หมายเหตุ: จำ IP ที่แสดงในหน้า Captive Protal เอาไว้ เพราะในขั้นตอนต่อไป หากไม่สามารถเข้าใช้งาน Homebridge UI X ผ่าน http://homebridge.local ได้ เราจะต้อเข้าใช้งานด้วย IP ที่ปรากฏแทน

เริ่มต้นใช้งาน Homebridge Server ของเรา

หลังจากติดตั้ง Homebridge Server สำเร็จแล้ว เราจะสามารถเข้าสู่หน้า Homebridge UI X ซึ่งติดตั้งมาพร้อมกับ Image นี้แล้ว (แต่ก่อนการติดตั้งยากกว่านี้เพราะยังไม่มีไฟล์ Homebridge Image) เราสามารถเข้าสู่หน้าล็อกอิน Homebridge Server ของเราได้ที่ http://homebridge.local เมื่อหน้าล็อกอินปรากฏขึ้นมา ให้กรอกชื่อผู้ใช้งานเป็น admin และรหัสผ่านเป็น admin ในครั้งแรกที่เข้าใจงาน

ขั้นตอนการใช้งาน Homebridge 4
หน้าล็อกอิน Homebridge Server ที่เราเพิ่งติดตั้งเสร็จ โดยผู้ใช้งานและรหัสเริ่มต้นเป็น admin/admin

ในกรณีที่ไม่สามารถเข้าหน้าล็อกอินผ่าน http://homebridge.local ได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดกับผู้ใช้งาน Windows ให้แก้ปัญหาโดยการหา IP ที่แท้จริงของ Homebridge Server ของเราเพื่อเรียกหน้าเว็บอินเตอร์เฟซสำหรับการล็อกอินออกมาผ่าน IP โดยจะเข้าผ่าน http://<ไอพีของ Homebridge Server ของเรา> ทั้งนี้หากเพื่อนๆ ลืมจด IP ในหน้า Captivate Portal ไว้ และไม่ทราบวิธีการหา IP ของ Homebridge Server นั้น มันสามารถทำได้อย่างง่ายดายโดยการเอา iPhone/iPad มาเปิดไปที่ http://homebridge.local จากนั้นล็อกอินเข้าด้วย admin/admin หลังจากล็อกอินแล้ว IP ของ Homebridge Server จะแสดงให้เห็นในช่อง Server Information ของหน้า UI และเมื่อได้ IP มาแล้วก็ค่อยนำมาเข้าระบบเพื่อใช้งานต่อบนคอมพิวเตอร์

ขั้นตอนการติดตั้ง Homebridge 5
เลื่อนลงมาที่ไทล์ Server Information ในหน้า Homebridge UI หลังจากเข้าระบบแล้วจะแสดง IP ของเซิร์ฟเวอร์

ในขั้นตอนนี้ APPDISQUS ขอแนะนำให้เราทำการตั้งค่า IP ของ Homebridge Server เราให้เป็น Fixed IP (ไม่ว่าจะเชื่อมต่อแบบ Ethernet หรือ WiFi) เพื่อลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาในอนาคต ซึ่งเราสามารถเข้าไปตั้งค่า IP ให้กับเซิร์ฟเวอร์ของเราได้โดยการตั้งค่า Reserve DHCP บนเราเตอร์ของเรานั่นเอง




ในหน้า Homebridge UI X นี้เองที่เราจะเห็นบาร์โค๊ดของ Homebridge Server ของเรา ซึ่งเราสามารถเปิดแอพ “บ้าน” หรือ “Home” บน iPhone ของเรามาสแกนบาร์โค๊ดดังกล่าวนี้เพื่อเพิ่ม Homebridge ของเราเข้าสู่ Homekit Framework ได้ในทันที โดยขั้นตอนการเพิ่มนั้นก็เพียงแค่เปิดแอพ Home ขึ้นมา จากนั้นกดเครื่องหมาย + ที่มุมซ้ายบนแล้วเลือก “เพิ่มอุปกรณ์เสริม” แอพ Home จะเด้งขึ้นมาให้เราสแกนบาร์โค๊ด ให้ส่องกล้องไปที่บาร์โค๊ดของ Homebridge Server ของเรา แล้วทำการเพิ่มบริดจ์ใหม่เข้าไปใน Homekit เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว

ใน Homebridge UI X นั้น เพื่อนๆ สามารถเลือกติดตั้งปลั๊กอินสำหรับการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์บ้านอัจฉริยะที่ไม่ได้รองรับ Homekit เช่นอุปกรณ์จาก Tuya Platform ได้โดยการไปที่เมนู “Plugins” ซึ่งในเมนูนี้เพื่อนๆ จะสามารถค้นหาปลั๊กอินที่ต้องการได้โดยการพิมพ์คีย์เวิร์ดลงไป เช่นหากต้องการหาปลั๊กอินสำหรับ Tuya ก็ได้พิมพ์คำว่า Tuya หรือหากต้องการปลั๊กอินเกี่ยวกับ Xiaomi ก็ให้พิมพ์คำว่า Xiaomi ลงไปนั่นเอง ทั้งนี้ APPDISQUS ขอแนะนำให้เลือกติดตั้งปลั๊กอินที่มีแท็ก “Verified” อยู่เพราะปลั๊กอินเหล่านี้ได้รับการตรวจสอบจากทีมนักพัฒนา Homebridge แล้ว และต้องมาพร้อมกับ Web UI Config ทำให้สามารถตั้งค่าอุปกรณ์เหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย แทบไม่ต้องไปยุ่งกับไฟล์ “config.json” ที่เหมาะกับผู้ใช้งานที่แอดวานซ์ขึ้นมา

วิธีติดตั้ง Homebridge Plugin
หน้าแสดงการติดตั้ง Homebridge Plugin

อัพเดต Homebridge Server และระบบ

Homebridge นั้นจะมีปล่อยอัพเดตมาอยู่เสมอ โดยจะมุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์การใช้งานที่ดีและเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่ง APPDISQUS แนะนำให้เพื่อนๆ อัพเดต Homebridge Server กันอย่างสม่ำเสมอ และนอกจาก Homebridge Server เองแล้ว NodeJS และ NPM ซึ่งเป็นดีเพ็นเดนซี่สำคัญของ Homebridge Server เองก็มีการอัพเดตอยู่เสมอเพื่อความปลอดภัยในการใช้งานเช่นเดียวกัน โดยเราสามารถเข้าไปทำการอัพเดตอุปกรณ์ของเราได้ตามขั้นตอนดังนี้

1. อัพเดต NodeJS

– กดสัญลักษณ์ไข่ปลาสามจุดที่มุมขวาบนของจอ จากนั้นเลือก “Terminal” เพื่อเรียกหน้าต่าง Terminal ขึ้นมา

– พิมพ์ sudo hb-config แล้วกดเอ็นเตอร์ หน้าต่าง hb-config จะปรากฏขึ้นมา

อัพเดต nodeJS ด้วย hb-config
อัพเดต nodeJS ด้วย hb-config

– กด Upgrade Node.js เพื่อทำการอัพเดต NodeJS เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด

– เมื่ออัพเดตเสร็จแล้วให้กลับมาหน้า Terminal และพิมพ์ “sudo hb-service rebuild –all” เพื่อทำการอัพเดต Node Modules ทั้งหมด

ขั้นตอนการอัพเดต Node Modules บน Homebridge
ขั้นตอนการอัพเดต Node Modules บน Homebridge

– รีสตาร์ท Homebridge Server ของเราเพื่อสิ้นสุดการอัพเดต

 

2. อัพเดต Homebridge Server

– เปิดเข้าหน้า Homebridge UI-X จากนั้นดูที่เวอร์ชั่นของ Homebridge กดลงไปที่ตัวเลขเวอร์ชั่นแล้วเลือกอัพเดตเป็นเวอร์ชั่น 1.2.5 หรือ 1.3.0-BetaX โดย 1.2.5 จะรองรับโปรโตคอลการสื่อสารใหม่ที่ชื่อ Ciao และไม่สามารถเลือกเปลี่ยนได้ ในขณะที่ 1.3.0-BetaX นั้นรองรับทั้ง Ciao และ Bonjour-Hap

ขั้นตอนการอัพเดต Homebridge Server
ขั้นตอนการอัพเดต Homebridge Server

– กด Install เพื่อทำการติดตั้ง Homebridge Server เวอร์ชั่นที่เลือก โดยเราสามารถกลับมาเปลี่ยนเวอร์ชั่นได้เสมอตามต้องการ

 

3. อัพเดต Homebridge UI-X

– กดเข้าเมนู Plugins จากนั้นสังเกตว่า Homebridge UI มีอัพเดตหรือไม่ หากมีอัพเดตให้ทำการกดอัพเดตเพื่อให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด

ขั้นตอนการอัพเดต Homebridge UI-X
ขั้นตอนการอัพเดต Homebridge UI-X

Smart Home Guide EP2 และบทความน่าจะครอบคลุมทุกสิ่งที่จำเป็นในการติดตั้งและเริ่มต้นใช้งาน Homebridge ของเพื่อนๆ กันแล้ว ในตอนต่อไป เราจะพูดกันถึงแบรนด์และอุปกรณ์อัจฉริยะที่น่าสนใจที่เราควรนำมาใช้กับ Homekit ของเรา ทั้งที่เป็น Homekit แท้ๆ และที่ใช้งานผ่าน Homebridge โดยเราจะมุ่งเน้นที่ความคุ้มค่าของราคาและประสิทธิภาพการทำงานของมัน เช่นเดียวกับความยากง่ายในการหาซื้อมาใช้งาน

ติดตามรายการ Smart Home Guide ได้ทุกวันอาทิตย์ ผ่านทางช่อง APPDISQUS บน Youtube รวมถึงบทความที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในตอนนั้นๆ ทุกสัปดาห์บนหน้าเว็บ Appdisqus.com แล้วอย่าลืมกดไลค์ กดแชร์ กับติดตามและกระดิ่งแจ้งเตือนกันเอาไว้เพื่อให้ไม่พลาดทุกการอัพเดตในโลก Smart Home ไปด้วยกันนะครับ

บทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Smart Home

ข่าว: วิธีการติดตั้ง Homebridge เพื่อใช้งานอุปกรณ์ที่ไม่รองรับ Homekit กับ แอพพลิเคชั่น Home มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/2021/02/14/how-to-install-homebridge-on-raspberry-pi.html