คลังเก็บป้ายกำกับ: DATA

Microsoft เสนอทางเลือกเก็บข้อมูลนอกสหรัฐฯ หวังหนีการสอดรู้ของ NSA

Microsoft เพิ่งประกาศโพล่งถึงแนวทางการจัดการข้อมูลใหม่แก่ผู้ใช้บริการนอกสหรัฐอเมริกา โดยเสนอทางเลือกในการจัดเก็บข้อมูลต่างๆ นอกพรมแดนสหรัฐอเมริกา เพื่อป้องกันการล้วงข้อมูลโดย NSA

Financial Times รายงานว่า Microsoft ตัดสินใจดำเนินแผนงานนี้หลังจากที่พบว่า NSA ได้ใช้เครือข่ายของพวกเขาเพื่อสอดแนมผู้คนในบราซิลและสหภาพยุโรป โดยจนถึงขณะนี้ Microsoft เป็นเพียงบริษัทใหญ่รายเดียวที่เสนอแผนการจัดเก็บข้อมูลนอกสหรัฐอเมริกาให้แก่ผู้ใช้ ในขณะที่ Google และ Yahoo ซึ่งโดน NSA ใช้เครือข่ายเป็นเครื่องมือสอดแนมเช่นกัน ยังไม่มีแผนการในลักษณะเดียวกันปรากฏให้เห็น

ถึงแม้ว่าการจัดเก็บข้อมูลนอกสหรัฐอเมริกาจะไม่สามารถรับรองว่าจะรอดพ้นการชอนไชเข้าหาข้อมูลโดย NSA ได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ถือเป็นการเพิ่มการป้องกันข้อมูลให้เข้าถึงได้ยากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบังคับใช้กฎหมายของประเทศที่เป็นสถานที่จัดเก็บข้อมูลย่อมจะต้องเข้มงวดกับการเข้าถึงข้อมูลโดยหน่วยงานของสหรัฐอเมริกาเพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษอย่างแน่นอน

นอกเหนือจากการจัดเก็บข้อมูลแล้ว Microsoft ยังทำการปรับเปลี่ยนเส้นทางการส่งข้อมูลของเว็บในความรับผิดชอบของตนเองออกห่างจากสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะการใช้งานของกลุ่มผู้ใช้ในประเทศบราซิล ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ใช้ทั่วโลกว่า ถึงแม้คุณอาจจะไม่ไว้ใจรัฐบาลสหรัฐอเมริกา แต่ก็ยังไว้ใจบริษัทอเมริกันอย่าง Microsoft ได้เสมอ

ที่มา – The Verge

Microsoft, Data, NSA, Information Security

from:https://www.blognone.com/node/52706

dtac เผยยอดการใช้งานมือถือช่วงปีใหม่ SMS 13.8 ล้านข้อความ ,MMS 3 แสนข้อความ และดาต้าสูงกว่าเดิม 175%

ดีแทครายงานยอดการใช้งานมือถือของลูกค้าในช่วงเคาท์ดาวน์และอวยพรปีใหม่ 2557 หรือคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2556 ต่อเนื่องวันปีใหม่ 1 มกราคม 2557 มีการใช้งานดาต้าเพิ่มสูงขึ้นจากการใช้ปีที่ผ่านมาประมาณ 175% รับกระแสความต้องการใช้งานโมบายล์อินเทอร์เน็ตที่เติบโตกว่าปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งความนิยมในสมาร์ทโฟนและแอพพลิเคชั่นสังคมออนไลน์ที่ยังคงมีสูงต่อเนื่อง รวมถึงการขยายพื้นที่ให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ย่าน 2100MHz ของดีแทค ไตรเน็ตครอบคลุมพื้นที่การให้บริการใช้งานของประชากรกว่า 55% ของประเทศ

dtacS3_8727

ปกรณ์ พรรณเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) กล่าวว่า “พฤติกรรมผู้ใช้มือถืออวยพรปีใหม่ได้เปลี่ยนแปลงสู่ยุค 3G อย่างชัดเจน ตามทิศทางผู้ใช้งานทั่วโลกที่นิยมอวยพรผ่านสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตด้วยแอพพลิเคชั่นที่ใช้ติดต่อสื่อสารประจำผ่านสังคมออนไลน์ เช่น Facebook, LINE, WhatsApp, Instagram, Twitter หรือ Google+ เป็นต้น และที่ผ่านมาผู้ใช้งานส่วนใหญ่นิยมเปลี่ยนมาใช้งานบนสมาร์ทโฟนและแพ็กเกจใช้งานบน 3G ที่คุ้มค่า และจากการทำตลาดที่ต้องการให้ทุกคนเป็นเจ้าของได้ในราคาเบาๆ แต่คุณภาพสูง เช่น dtac TriNet Phone ในรุ่น Mousey ราคาเครื่องเปล่าเพียง 1,290 บาท หรือ Lion ที่มาเต็มประสิทธิภาพ แต่ราคาเครื่องพร้อมแพ็กเกจเพียง 5,990 บาท”

“สถิติที่นิยมใช้งานดาต้าหรืออวยพรปีใหม่ออนไลน์กันสูงสุดอยู่ในช่วงเวลา 21.15-21.30 น. เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2556 และมียอดการใช้งานสูงสุด ณ ช่วงเวลาหนึ่งถึงประมาณ 2.6 ล้านราย (Concurrent Users) โดยในปีนี้มีการใช้งานดาต้าเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาถึงประมาณ 175% ผู้ใช้งานนิยมการอวยพรผ่านแอพพลิเคชั่นออนไลน์ที่เพิ่มสีสันและความน่ารักในการส่งข้อความมากยิ่งขึ้น เช่น การอวยพรผ่าน LINE ซึ่งดีแทคได้เปิดให้ดาวน์โหลดสติ๊กเกอร์ LINE คาแรคเตอร์ใหม่ล่าสุดต้อนรับเทศกาลปีใหม่นี้ และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีโดยยอดผู้ใช้งาน LINE เข้ามาแอดเฟรนด์ผ่าน dtac Official Account เพื่อดาวน์โหลดสติ๊กเกอร์ดีแทคแล้วมากกว่า 10 ล้านราย” นายปกรณ์ กล่าว

สำหรับการอวยพรผ่าน MMS ในปีนี้มียอดประมาณ 3 แสนข้อความ และยอดอวยพรผ่าน SMS มีประมาณ 13.8 ล้านข้อความ โดยมีการใช้งานหนาแน่นสูงสุดในช่วงเวลาประมาณ 00.00-01.00 น. ของวันที่ 1 ม.ค. 2557 (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ม.ค. 2557 เวลา 8.00 น.)

ทั้งนี้ ในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองความสุขเดือนธันวาคม และปีใหม่ ดีแทคได้เตรียมความพร้อมของโครงข่ายดีแทคและดีแทคไตรเน็ตเพื่อให้ลูกค้าได้ใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง มีการจัดทีมงานพิเศษเพื่อดูแลเครือข่ายการใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง เพิ่มการมอนิเตอร์ในพื้นที่การใช้งานปรับพารามิเตอร์ให้เสาส่งสัญญาณรองรับพื้นที่การใช้งานที่หนาแน่นให้ดีที่สุด และเพิ่ม Capacity ตามแผนในแต่ละจุดของพื้นที่รองรับการใช้งานหนาแน่นช่วงเทศกาล พร้อมทั้งส่งรถโมบายล์เพิ่มขยายช่องสัญญาณรองรับการใช้งานเพิ่มเติมอีกด้วย

from:http://www.flashfly.net/wp/?p=83380

พบผู้บริโภคส่วนใหญ่ยินดีให้ข้อมูลส่วนตัวกับแบรนด์ หากได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า

swirl-data-trading-for

การเข้าถึงข้อมูลของผู้บริโภคในปัจจุบันนอกเหนือจากการศึกษาผ่านทางเว็บไซต์แล้ว โทรศัพท์มือถือก็เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยให้เรียนรู้ข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น แต่การเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากอาจกระทบต่อการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล รวมถึงผู้บริโภคอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้สึกยินดีกับการให้ข้อมูลส่วนตัวสักเท่าไหร่นัก ดังนั้นจึงต้องมีการสร้างแรงจูงใจในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะโปรโมชั่นหรือผลตอบแทน เพื่อช่วยให้การเข้าถึงข้อมูลเป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งขึ้น

การรายงานของเว็บไซต์ PSFK เผยว่า แบรนด์ส่วนใหญ่เริ่มหันมาดึงดูดผู้บริโภคเพื่อให้ข้อมูลกับแบรนด์ ด้วยวิธีการแลกเปลี่ยนกับข้อเสนอและบริการต่างๆ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดจะเป็นประโยชน์ในเชิงลึกทั้งด้านการตลาด รวมถึงด้านธุรกิจ เพื่อนำไปสู่การตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น

ตัวอย่างที่น่าสนใจของการเข้าถึงข้อมูลและนำไปใช้ประโยชน์ด้านธุรกิจ คือ แอพพลิเคชั่น Swirl เป็นรูปแบบในการทำตลาดบนมือถือ ที่ช่วยเปิดประสบการณ์ใหม่ในการซื้อสินค้า แอพ Swirl เป็นการเสนอโปรโมชั่นที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละรายเพื่อแลกเปลี่ยนกับการเข้าถึงข้อมูลของลูกค้า เช่น การติดตามสถานที่ซื้อสินค้าหรือสินค้าที่ได้รับความสนใจภายในร้าน

ประโยชน์ของแอพ Swirl นอกจากทำให้แบรนด์สามารถติดตามข้อมูลของลูกค้าได้แล้วนั้น ยังเป็นการสร้างแรงจูงใจในการซื้อสินค้าและช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และลูกค้าในเวลาเดียวกัน โดย Hilmi Ozguc ตำแหน่ง CEO ของ Swirl เผยว่าลูกค้ามีแนวโน้มที่จะให้ข้อมูลส่วนตัวกับแบรนด์มากขึ้นหากได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า แต่ลูกค้าเองต้องมีขอบเขตในการให้ข้อมูลด้วยเช่นกัน

อีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ CVS เชนร้านขายยายักษ์ใหญ่ ที่นำเสนอโปรโมชั่นพิเศษและคูปองสำหรับสมาชิกที่แตกต่างกันในแต่ละรายโดยดูจากประวัติการซื้อสินค้าในอดีต วิธีดังกล่าวมีข้อดีหลายด้าน เช่น ประหยัดกระดาษ, เวลาในการซื้อสินค้าของลูกค้า และเป็นการยื่นข้อเสนอในการซื้อสินค้า ที่ช่วยให้ลูกค้าไม่ต้องไปเสิร์ชหาจากที่ไหนอีก

การเข้าถึงข้อมูลของลูกค้านอกจากวิธีดังกล่าวที่เสนอแล้ว ยังอาจได้มาจากบริษัทที่สำรวจและรวบรวมข้อมูล ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เรียกได้ว่า มีมูลค่ามากกว่าเงินเสียอีก

ที่มา: PSFK

from:http://thumbsup.in.th/2013/11/data-trading-trend-examples/

เปิดกลยุทธ์ใหม่ Motorola เสนอตัวช่วยย้ายข้อมูลจาก iCloud

ios-mitm-hero-verge-800_large_verge_medium_landscape

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โลกออนไลน์ตื่นเต้นกันมากเมื่อ Motorola ประกาศแผนแอบดึงผู้ใช้จาก Apple ด้วยการเสนอความช่วยเหลือในการแปลงข้อมูลจาก iCloud มาอยู่บน Google ให้แก่ผู้ใช้ที่สนใจ กลยุทธ์นี้ดำเนินการอย่างไร และจะทำให้ Motorola ได้ประโยชน์เพียงไหน thumbsup จะพาทุกคนไปตอบคำถามนี้ด้วยกัน

Motorola รู้ว่าผู้ใช้หลายคนรู้สึกปวดหัวเมื่อจำเป็นต้องเปลี่ยนค่ายสมาร์ทโฟน โดยเฉพาะผู้ใช้อุปกรณ์จากฝั่ง Apple ที่อาจพบความลำบากยากเย็นในการย้ายข้ามค่ายมาใช้งาน Android เพราะข้อมูลที่อยู่ใน iPhone หรือ iPad แทบจะทุกอย่างต้องถ่ายโอนผ่าน iTunes ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแปลงข้อมูลให้เข้ากับอุปกรณ์ที่เป็น Android

Motorola จึงเปิดตัวบริการที่จะช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป โดยบริการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญโฆษณาสมาร์ทโฟน Android รุ่นใหม่ Moto X

Screen-Shot-2013-10-16-at-1.35.11-PM

หนึ่งในแผนการของ Motorola ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่ที่กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ Google ไปเมื่อไม่นานมานี้ คือการเปิดบริการที่จะช่วยในการย้ายข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ หรือนัดหมายกำหนดการต่างๆ ที่อยู่บน iCloud มาไว้บน Google แทน โดยผู้ใช้เพียงกรอกชื่อ Apple ID และรหัสผ่านที่ใช้กับ iCloud เพื่อเชื่อมกับชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านของบัญชี Google ซึ่งเพียงไม่กี่คลิก ระบบจะเชื่อมต่ออัตโนมัติโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าให้วุ่นวาย

บริการนี้นับว่าเป็นแผนการที่แยบคายของ Motorola ในการดึงความสนใจจากผู้ใช้ iOS ในปัจจุบัน โดยทาง Punit Soni ผู้บริหารของบริษัท ได้ออกมากล่าวว่านี่เป็นเพียงก้าวแรกในแผนการ และหนทางยังอีกยาวไกล ซึ่งฟังดูเหมือนเป็นการส่งข้อความไปยัง Apple เกี่ยวกับแผนการในอนาคต

นับเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้งาน iOS มานานแต่ไม่กล้าย้ายค่าย ซึ่งบริการย้ายข้อมูลนี้ถือว่าเป็น “หมัดแย๊บ” ที่เข้าเป้าอย่างจังทีเดียว คงต้องคอยดูว่า Apple จะมีหมัดเด็ดอะไรมาสวนกลับไปบ้าง

ที่มา: TheNextWeb

from:http://thumbsup.in.th/2013/10/migrate-icloud-data-to-the-motorola/

Apple ซื้อกิจการ AlgoTrim ผู้พัฒนาเทคนิคการบีบอัดข้อมูล

Apple เข้าซื้อกิจการของ AlgoTrim ผู้เชี่ยวชาญด้านการบีบอัดข้อมูลดิจิทัล โดยไม่เปิดเผยมูลค่าในการทำสัญญา

AlgoTrim เป็นบริษัทที่ตั้งในเมือง Malmo ประเทศสวีเดน เริ่มต้นจากการพัฒนาอัลกอริทึ่มสำหรับการใช้งานฟีเจอร์โฟน ก่อนจะขยายผลงานมาลงสู่อุปกรณ์สมาร์ทโฟนในที่สุด มีพนักงานเพียง 2 คน คือ Anders Holtsberg ผู้จบดอกเตอร์ด้านการประมวลผลสัญญาณโซนาร์ของเรือดำน้ำ รับหน้าที่ด้านการทำซอฟต์แวร์ และ Martin Lindberg ผู้เคยทำงานวิจัยด้านการประมวลผลข้อมูลภาพสำหรับเรดาร์ รับหน้าที่เป็น CTO

ตัวอย่างผลงานที่น่าสนใจของ AlgoTrim นั้นมีทั้งซอฟต์แวร์ถอดรหัสข้อมูลภาพในแอพแกลลอรี่ของ Google ที่ใช้กับระบบปฏิบัติการ Android รุ่น Ice Cream Sandwich รวมทั้งการบีบอัดข้อมูลสำหรับเฟิร์มแวร์เพื่อการอัพเดตใหม่ของผู้ผลิตสมาร์ทโฟน Android บางราย

ถึงแม้ Apple จะไม่ยอมปริปากถึงเป้าหมายที่แท้จริงในการซื้อกิจการในครั้งนี้ แต่เราคงพอจะเดาได้ว่า Apple จะได้ประโยชน์หลายทางจากผลงานของ AlgoTrim ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนา App Store ที่ต้องสนับสนุนแอพต่างๆ ในการส่งข้อมูลอัพเตดแอพและเฟิร์มแวร์มากมาย รวมทั้งงานด้านซอฟต์แวร์ของ Apple เองที่น่าทำให้การโหลดข้อมูลหรือภาพต่างๆ มาแสดงผลได้เร็วขึ้นเพราะขนาดของข้อมูลที่เล็กลงด้วยเทคนิคการบีบอัดข้อมูลนั่นเอง

ที่มา – TechCrunch

Apple, Acquisition, Data,

from:http://www.blognone.com/node/47998

Foursquare ลุยเก็บข้อมูลร้านค้าจากการ check-in

11SS_LS_Social_Foursquare_CheckinHere_500x175

ถือเป็นก้าวสำคัญของ Foursquare ที่วางแผนอัพเกรดตัวเองจากการเป็นแอพโซเชียลมีเดียทั่ว ๆ ไป ให้เป็นแหล่งข้อมูลธุรกิจ ด้วยการเปิดตัวความสามารถใหม่ที่มาพร้อมกับแอพเวอร์ชันล่าสุด

Foursquare ประกาศเปิดตัวแอพพลิเคชันเวอร์ชันอัพเดทใหม่บน Android และ iOS จุดเด่นของแอพเวอร์ชันนี้คือการเปิดให้ผู้ใช้ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรวบรวมข้อมูลของร้านค้าหรือบริการต่างๆ ซึ่งจะทำให้ Foursquare สามารถเป็นแหล่งเก็บข้อมูลธุรกิจในท้องถิ่นได้อย่างละเอียด ด้วยการถามคำถามเล็กน้อยเพื่อให้ชาว check-in ได้ร่วมตอบ

เมื่อผู้ใช้ทำการ check-in ร้านค้ากับ Foursquare เวอร์ชันใหม่ จะปรากฎคำถามที่เกี่ยวกับร้านค้านั้น เช่น ร้านนี้รับบัตรเครดิตหรือไม่ หรือร้านมีให้บริการโต๊ะนอกอาคารหรือเปล่า

Foursquare-Implements-Paid-Ads-with-Promoted-Updates-Feature1

ทั้งหมดนี้ Foursquare พยายามป้องกันไม่ให้รูปแบบการเก็บข้อมูลแบบนี้เสี่ยงต่อภาพลักษณ์ของ Foursquare ว่าดูวุ่นวายมากเกินไป ด้วยการกำหนดให้ปรากฏคำถามแสดงขึ้นมาเป็นบางครั้งเท่านั้น โดยจะพิจารณาร่วมกับพฤติกรรมของผู้ใช้ เช่นความถี่ในการ check-in หรือรูปแบบการใช้งานอื่นๆ แล้วนำข้อมูลตรงนี้มาคำนวณความถี่ในการแสดงคำถาม เนื่องจาก Foursquare เชื่อว่าจำนวนการ check-in จะสามารถสะท้อนถึงความอยากมีส่วนร่วมได้

อย่างไรก็ตาม ความนิยมของ Foursquare ถูกมองว่ากำลังอยู่ในช่วงขาลง เพราะความนิยมในการ check-in หรือการแข่งกันเป็น Mayor ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย โดยจะเห็นได้จากตัวเลขที่ทางบริษัทออกมาเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ว่ามีการ check-in เกิดขึ้น 5 ล้านครั้งต่อวัน ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่ต่างกันกับ 1 ปีก่อนหน้านี้เลย

นักวิเคราะห์เชื่อว่า หนึ่งในภารกิจที่ Foursquare จำเป็นต้องทำในขณะนี้ คือการออกแคมเปญที่น่าสนใจเพื่อสร้างแรงกระตุ้นให้กระแสการ check-in กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้ Foursquare มีการร่วมมือกับบริการเพลงออนไลน์ Deezer และผู้ผลิตอุปกรณ์อย่าง Samsung ซึ่งผลที่ออกมาถือว่าเป็นที่น่าพอใจ โดยรายได้ของ Foursquare เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 15 – 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

การปรับตัวของ Foursquare สะท้อนว่าการสร้างรายได้จากการอิงกระแสของผู้ใช้อย่างเดียวเป็นวิธีที่เริ่มไม่ได้ผลแล้วในปัจจุบัน เราจึงเห็นว่าทุกวันนี้แอพ social network ต่างก็หาทางปรับเปลี่ยนบทบาทของตัวเอง และเพิ่มความหลากหลายของบริการ เพื่อเป็นช่องทางในการเพิ่มรายได้ ผู้พัฒนาในบ้านเราก็ควรนำแนวทางนี้ไปปรับใช้กับงานของตัวเองกันดู

ที่มา: Techcrunch

from:http://thumbsup.in.th/2013/08/foursquare-begins-crowdsourcing-local-business-data-collection-with-questions-that-appear-after-check-in/

YouTube ขยายสิทธิการใช้งานด้านวิดีโอสำหรับแอพจากนักพัฒนาภายนอก

YouTube เพิ่มสิทธิการใช้ data API ให้แก่นักพัฒนาภายนอกเพิ่มเป็น 10 เท่า ช่วยเพิ่มโอกาสให้อัพโหลดวิดีโอได้มากขึ้นเป็น 100 เท่าจากเดิม

ตามปกติแล้ว YouTube จำกัดสิทธิการใช้ data API สำหรับนักพัฒนาภายนอก ซึ่งหมายถึงการจำกัดจำนวนครั้งในการอัพโหลดวิดีโอ รวมทั้งจำนวนครั้งเขียนและอ่านข้อมูลของวิดีโอ โดยแต่เดิมนั้น YouTube ให้สิทธิในการใช้งานส่วนนี้นับเป็นหน่วยได้ไม่เกิน 5,000,000 หน่วยต่อวัน แต่ล่าสุด YouTube ได้ปรับเพิ่มตัวเลขดังกล่าวเป็น 50,000,000 หน่วยต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 10 เท่านั่นเอง

เท่านั้นยังไม่พอ เฉพาะการอัพโหลดวิดีโอ ซึ่งเดิมที YouTube จะนับการอัพโหลดวิดีโอ 1 ครั้งว่าเป็นการใช้ data API จำนวน 16,000 หน่วย แต่ล่าสุดก็ได้ปรับการคำนวณตรงส่วนนี้ใหม่ โดยจะนับการอัพโหลดวิดีโอ 1 ครั้งว่าเป็นการใช้ data API เพียง 1,600 หน่วยเท่านั้น ซึ่งเท่ากับว่าหากนักพัฒนาต้องการใช้หน่วยของ data API เท่าเดิมก็จะสามารถอัพโหลดคลิปวิดีโอสู่ YouTube ได้เพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า

หากนำทั้ง 2 ประเด็นมาคิดรวมกันแล้ว เท่ากับว่านักพัฒนาจะมีสิทธิในการอัพโหลดวิดีโอได้เพิ่มมากขึ้นสูงสุดนับ 100 เท่าเลยทีเดียว นั่นจะทำให้แอพที่ถูกพัฒนาขึ้นสามารถนำเสนอคลิปวิดีโอต่างๆ และเปิดให้ผู้ใช้สามารถแก้ไขหรือเข้าถึงข้อมูลของคลิปวิดีโอบน YouTube ได้บ่อยครั้งมากขึ้นนั่นเอง

ที่มา – TechCrunch

YouTube, API, Data

from:http://www.blognone.com/node/47825

Google เปิดให้ใช้งานสิทธิบัตรด้านการจัดการข้อมูลและกลุ่มเมฆได้ฟรี 79 รายการ

Google ตัดสินใจเปิดสิทธิบัตร 79 รายการที่เกี่ยวกับการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ และระบบกลุ่มเมฆ ให้นักพัฒนาใช้งานสำหรับโครงการโอเพ่นซอร์สได้ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

สิทธิบัตรข้างต้นเกี่ยวกับซอฟต์แวร์เพื่อบริหารจัดการศูนย์ข้อมูล, และอุปกรณ์สื่อกลางต่างๆ ตลอดจนระบบกระจายการจัดเก็บข้อมูล, ระบบจัดการฐานข้อมูล รวมทั้งการตรวจสอบระบบและการแจ้งเตือน โดยบางส่วนเป็นสิทธิบัตรที่ Google ซื้อมาจาก IBM และ CA Technologies ซึ่งมีสิทธิบัตรที่ยื่นจดในสหรัฐอเมริกา, ยุโรป และเอเชีย

ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นปี Google เคยออกมาประกาศให้ใช้งานสิทธิบัตร 10 รายการที่เกี่ยวกับ MapReduce สำหรับโครงการโอเพ่นซอร์สโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเช่นเดียวกัน ซึ่งจนถึงตอนนี้สิทธิบัตรที่ Google เปิดให้ใช้งานโดยไม่มีค่าใช้จ่ายนี้เกี่ยวข้องกับการจัดการระบบในเบื้องหลังเป็นส่วนใหญ่ ซึ่ง Google เองได้เผยว่าในอนาคตยังมีแผนที่จะเปิดสิทธิบัตรส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ให้นักพัฒนาได้ใช้งานกันแพร่หลายมากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน

ที่มา – TechCrunch

Cloud, Data, Google, Patent

from:http://www.blognone.com/node/47363

รวมข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วโลก ในรูปแบบ Infographic

June 28

ถึงข่าวนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับการตลาดดิจิติอลโดยตรง แต่การอัพเดทข้อมูลแนวโน้มการใช้งานอุปกรณ์ไอทีในตลาดโลกก็เป็นเรื่องน่าสนใจที่นักการตลาดดิจิตอลไม่ควรพลาด โดยเฉพาะสถิติแปลกใหม่ที่แสดงว่าผู้บริโภคในประเทศอย่างปากีสถานนั้นใช้โทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้นเกิน 1 หมื่นเปอร์เซ็นต์ทีเดียว

เว็บไซต์ Lebara.com สำรวจอัตราการเติบโตของการใช้งานโทรศัพท์มือถือจากหลายประเทศทั่วโลกแบบเจาะลึก รวมทั้งหมด 19 ประเทศ ใน 4 ทวีปภายในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา (2001-2011) โดยเกณฑ์ที่ใช้สำหรับวัดการเติบโตของการใช้งานโทรศัพท์มือถือถือมีทั้งหมดรวม 5 ข้อ ประกอบด้วย การครอบครองโทรศัพท์มือถือ, การใช้งานรับเข้าโทรออก, การรับส่ง SMS, การใช้งานโซเชียลมีเดีย และการใช้สื่อ (Media) โดยข้อมูลทั้งหมดได้ถูกนำมารวบรวมและสรุปออกมาเป็น 3 อันดับแรกของประเทศที่มีเติบโตของการใช้งานโทรศัพท์มากที่สุดในแต่ละทวีป

เริ่มต้นด้วยทวีปแรกที่ทวีปยุโรป ซึ่งมีการทำสำรวจรวม 8 ประเทศ ได้แก่ รัสเซีย, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, กรีซ, สเปน, โปแลนด์และอิตาลี โดยประเทศที่มีการเติบโตของการใช้งานสูงสุดเป็น 3 อันดับแรก คือ อันดับ 1 รัสเซีย (3205%) อันดับ 2 โปแลนด์ (401%) และอันดับ 3 เยอรมัน (94%)

ตามมาด้วยทวีปแอฟริกาและตะวันออกกลาง มีประเทศที่ทำการสำรวจรวม 4 ประเทศประกอบด้วย อียิปต์, เลบานอน, จอร์แดนและตูนีเซีย โดย ตูนีเซียเป็นประเทศที่มีการเติบโตของการใช้งานโทรศัพท์สูงมาเป็นอันดับแรก (3084%) รองลงมาเป็นอียิปต์ (2886%) และจอร์แดน (764%)

ทวีปอเมริกา มีการทำสำรวจเพียงแค่ 3 ประเทศ ได้แก่ บราซิล, สหรัฐฯและแม็กซิโก ซึ่งอันดับที่ 1 ได้แก่ บราซิล (750%) ตามมาด้วยเม็กซิโก (335%) และสหรัฐฯ (126%)

ปิดท้ายด้วยทวีปเอเชียเป็นทวีปสุดท้าย มีประเทศที่ทำการสำรวจทั้งหมด 4 ประเทศ ประกอบด้วย ญี่ปุ่น, อินเดีย, ปากีสถานและจีน โดยปากีสถานเป็นประเทศที่มีการเติบโตสูงสุดมาเป็นอันดับที่ 1 (14564%) รองลงมาเป็นอินเดีย (13568%) และจีน (581%)

จากข้อมูลทั้งหมดเป็นข้อพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นถึงกระแสความความนิยมในการใช้งานโทรศัพท์มือถือตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะ “ปากีสถาน” ที่ผลสำรวจพบว่า เป็นประเทศที่มีการเติบโตของการใช้โทรศัพท์มือถือสูงสุดถึง 14564% ขึ้นแท่นเป็นอันดับ 1 จากทั้งหมด 19 ประเทศที่ทำการสำรวจ

หากลองแบ่งตามสัดส่วนการใช้งานในแต่ละประเภท พบว่า “สเปน” เป็นประเทศที่ประชากรมีโทรศัพท์มือถือเป็นของตัวเองมากที่สุด ในขณะที่ “อังกฤษ” ก็ไม่น้อยหน้าโดยครองแชมป์ประเทศที่มีการใช้งานโซเชียลมีเดียบนโทรศัพท์มือถือสูงสุด ส่วนเจ้าแห่งเทคโนโลยีอย่าง “ญี่ปุ่น” ก็ขึ้นแท่นเป็นประเทศที่มีการใช้สื่อ (Media) บนโทรศัพท์มือถือสูงสุดเป็นอันดับ 1

mobile-usage-around-the-world

ที่มา: Lebara Website

from:http://thumbsup.in.th/2013/06/mobile-data-usage-phone-cell/

Microsoft ยื่นจดสิทธิบัตรการใช้อวัยวะเป็นช่องทางส่งผ่านข้อมูล

Microsoft เพิ่งยื่นจดสิทธิธิบัตรที่น่าสนใจอีก 1 รายการ เกี่ยวกับเทคนิคการส่งผ่านข้อมูลผ่านทางอวัยวะในร่างกายมนุษย์ ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้งานเพื่อเพิ่มความสะดวกแก่ผู้ใช้ในการรับข้อมูลจากสื่อต่างๆ ผ่านทางการสัมผัสอุปกรณ์ แทนการมองแล้วจดจำ

Microsoft พยายามคิดหาวิธีที่จะทำให้ผู้ใช้สามารถรับข้อมูลจากสื่อต่างๆ ได้สะดวกและง่ายยิ่งขึ้น จากแต่เดิมเราใช้การมองเพื่อจดจำข้อมูลจากสื่อต่างๆ โดยรอบ พัฒนาเป็นการจดบันทึกข้อมูล หรือจดบันทึกที่มาของแหล่งข้อมูลนั้น เช่น จดลิงก์สำหรับการค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต จนทุกวันนี้ที่มีรหัส QR ที่เพียงใช้สมาร์ทโฟนถ่ายภาพ ก็สามารถถอดข้อความเป็นเนื้อหาข้อมูลหรือเป็นลิงก์ไปยังแหล่งข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตได้โดยตรง แต่นั่นยังไม่สะดวกเท่ากับสิ่งที่ Microsoft เล็งเอาไว้

สิทธิบัตรที่ Microsoft ยื่นจด จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถรับเอาข้อมูลจากสื่อที่อยู่โดยรอบมาบันทึกไว้ได้ด้วยการสัมผัส โดยผู้ใช้ต้องสวมใส่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์คล้ายสายรัดข้อมือ เมื่อผู้ใช้เอามือไปสัมผัสป้าย, แท่นสัมผัส หรือจออุปกรณ์ที่รองรับการทำงานของสายรัดพิเศษนั้น จะทำให้ข้อมูลจากป้าย, แท่นสัมผัส หรือจอนั้น ถูกถ่ายเทมาเก็บไว้ในสายรัดได้ทันที ซึ่งผู้ใช้สามารถเปิดดูข้อมูลที่ได้รับมาในภายหลังได้

นอกจากจะใช้ในการรับข้อมูลสื่อแล้ว เทคนิคดังกล่าวจะสามารถใช้เพื่อการส่งต่อข้อมูลได้ผ่านทางการสัมผัสร่างกายเช่นกัน ตัวอย่างเช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนตัวของคน 2 คนที่ใส่อุปกรณ์สายรัดข้อมือแบบพิเศษ ก็อาจทำได้โดยการจับมือกัน ซึ่งข้อมูลของแต่ละคนจะถูกส่งผ่านทางอวัยวะ จากข้อมือ สู่ปลายนิ้ว และไหลเข้าสู่ร่างกายของอีกคนได้โดยอัตโนมัติ และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแลกนามบัตรกันอีกต่อไป

หัวใจสำคัญของเทคนิคที่ Microsoft ยื่นจดสิทธิบัตร คือการมองร่างกายของมนุษย์เป็นเสมือนตัวนำสัญญาณประเภทหนึ่งคล้ายสายแกนร่วม (coaxial communication channel) ซึ่งเป็นแนวคิดพื้นฐานคล้ายคลึงกับงานวิจัย Touché ของ Disney ที่มองร่างกายมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของวงจรสัญญาณไฟฟ้า

ที่มา – Engadget, ข้อมูลสิทธิบัตรจาก FPO

Microsoft, Data, Patent

from:http://www.blognone.com/node/45548