คลังเก็บป้ายกำกับ: 11.11

เจาะลึกมหกรรม 11.11 ประสบการณ์ช้อปปิ้งเก๋ไก๋ ล้ำสมัยด้วยนวัตกรรม ให้คุณได้ช้อปสนุก พร้อมร่วมสร้างสังคมยั่งยืน ด้วยการบริโภคสีเขียว ที่ ‘เขียว’ กว่าเดิม

มหกรรมช้อปปิ้งระดับโลก 11.11 ประจำปี 2565 ของอาลีบาบาได้สิ้นสุดลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พร้อมผลลัพธ์และ GMV ที่น่าประทับใจ สอดคล้องกับผลการดำเนินงานของปีที่แล้ว แม้ท่ามกลางความท้าทายระดับมหาภาค และผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19

11.11 ปีนี้ จัดว่าเต็มไปด้วยความหลากหลายและมีชีวิตชีวาที่สุดเท่าที่เคยมีมา และได้ต้อนรับผู้ค้ากว่า 290,000 แบรนด์จาก 7,000 หมวดหมู่ โดยมีผู้ค้าต่างประเทศเกือบ 40,000 ราย ครอบคลุม 90 ประเทศและภูมิภาค ที่ตบเท้ากันเข้าร่วมมหกรรมบนทีมอลล์ โกลบอล (Tmall Global) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซนำเข้าสินค้าของอาลีบาบา เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวจีน ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายแบรนด์ไทยแท้ๆ ไปจนถึงอุปกรณ์ปิกนิคสไตล์ผู้ดีอังกฤษ เช่นเดียวกันกับเหล่าผู้ประกอบการจีนที่พากันเข้าร่วม 11.11 นี้ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน สตาร์ทอัพที่ก่อตั้งโดยกลุ่มมิลเลนเนียล และ Gen-Zers ตลอดจนผู้ขายจากมากกว่า 30 อุตสาหกรรม และอื่นๆ อีกมากมาย อีกทั้ง ยังเห็นการเติบโตอย่างชัดเจนของกลุ่มสินค้าต่างๆ บนทีมอลล์ อาทิ กลุ่มกีฬาและกิจกรรมกลางแจ้ง กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง กลุ่มของเล่นของสะสม และกลุ่มเครื่องประดับ อีกด้วย

ขณะที่ไลฟ์สตรีมมิ่ง ยังคงเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญประกอบการตัดสินใจของผู้บริโภค ตลอดมหกรรม 11.11 ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา มีผู้บริโภคมากกว่า 300 ล้านคน รับชมการไลฟ์สตรีมมิ่งที่จัดขึ้นบนเถาเป่า ไลฟ์ (Taobao Live) โดย 62 ช่องไลฟ์สตรีมที่โฮสท์โดยอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง สามารถทำยอด GMV ทะลุ 100 ล้านหยวน (กว่า 500 ล้านบาท) จากในจำนวนผู้ค้าอีกหลายร้อยคนที่สร้างยอด GMV จากการจัดไลฟ์สตรีมมิ่งได้สูงถึง 10 ล้านหยวน (กว่า 50 ล้านบาท) นอกจากนี้ เหล่าโฮสท์จากพื้นที่ห่างไกล ยังได้เสนอขายผลิตภัณฑ์จากท้องถิ่น ผ่านเซสชั่นไลฟ์สตรีมมิ่งบนเถาเป่า ไลฟ์ มากกว่า 100,000 เซสชั่น

11.11 ปีนี้ ยังได้นำเสนอบริการ “ส่งถึงประตูบ้าน” (door-step delivery) ซึ่งกลายเป็นที่นิยมแพร่หลายที่สุดในประวัติศาสตร์ของมหกรรม ด้วยพลังสนับสนุนจากศูนย์คัดแยกพัสดุที่ผ่านการปรับปรุงพัฒนาระบบอัตโนมัติ และระบบโลจิสติกส์ภายใต้การบริหารของไช่เหนียว (Cainiao) ทำให้ตลอดทั้งช่วงมหกรรม ไช่เหนียวสามารถจัดส่งพัสดุได้มากกว่า 120 ล้านชิ้น ถึงหน้าประตูบ้านของผู้บริโภค นอกจากนี้ ไช่เหนียว ยังได้เพิ่มจำนวนหุ่นยนต์ขนส่งอัตโนมัติ “เสี่ยวหมานหลีว์” (Xiaomanlv) (AGVs) อีกไม่ต่ำกว่า 700 คัน ครอบคลุมวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยต่างๆ กว่า 400 แห่งทั่วประเทศจีน โดยเสี่ยวหมานหลีว์ สามารถจัดส่งพัสดุเกือบ 2 ล้านชุดในช่วง 11.11 ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากปีที่แล้ว

alibaa
ไช่เหนียวเพิ่มจำนวนหุ่นยนตร์ขนส่งอัตโนมัติ “เสี่ยวหมานหลีว์” (AGVs) เพื่อสนับสนุนระบบขนส่งสินค้าตั้งแต่ต้นทางจนถึงมือผู้บริโภค

ขยายฐานลูกค้าที่ภัคดี เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน

ผู้บริโภค มีบทบาทสำคัญที่สุดต่อการการันตีอนาคตการเติบโตของธุรกิจ ในขณะที่การเติบโตทางธุรกิจ ก็เป็นสิ่งที่ตอกย้ำถึงนวัตกรรมที่จะยังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตลอดเส้นทางการช้อปปิ้งของผู้บริโภค สำหรับปีนี้ อาลีบาบาได้ส่งมอบเครื่องมือและโซลูชั่นต่างๆ มากมาย ให้กับผู้ประกอบการ เพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถขยายฐานสมาชิก Loyalty Program ได้มากขึ้น พร้อมๆ กับเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และเหนือสิ่งอื่นใด เพื่อนำพาพวกเขาไปสู่ความสำเร็จตลอดช่วงมหกรรม 11.11 นี้

ชุย เฉีย ประธานศูนย์พัฒนาและปฏิบัติการอุตสาหกรรมของเถาเป่าและทีมอลล์ แห่งอาลีบาบา กรุ๊ป ได้เปิดเผยว่า ผู้บริโภคคุณภาพสูงในจีนได้กลายเป็นลูกค้าประจำของผู้ค้าบนแพลตฟอร์มของอาลีบาบามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งส่งผลให้ผู้ค้าสามารถสร้างการเติบโตในระยะยาวได้อย่างมั่นคง โดยปัจจุบัน ผู้ประกอบการมากกว่า 40 แบรนด์บนทีมอลล์ มี Loyalty Programs ที่มีจำนวนสมาชิกแล้วไม่ต่ำกว่าสิบล้านคน ขณะที่อีกกว่า 600 แบรนด์ มีสมาชิกมากกว่า 1 ล้านคนใน Loyalty Programs เหล่านี้

alibaa
ชุย เฉีย ประธานศูนย์พัฒนาและปฏิบัติการอุตสาหกรรมของเถาเป่าและทีมอลล์ แห่งอาลีบาบา กรุ๊ป

“11.11 ถือเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของผู้ค้าของเราทุกปี การเปลี่ยนสถานะผู้บริโภคมาเข้าสู่ Loyalty Programs จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีที่สุด”

อาลีบาบาได้ดำเนินการจัดโปรแกรมสมาชิกระดับพรีเมียมที่ครอบคลุมทั่วทั้งระบบนิเวศในชื่อ “88VIP” ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 25 ล้านคน สร้างการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคน มากกว่า 57,000 หยวนต่อปี สะท้อนถึงฐานผู้บริโภคคุณภาพสูง ที่มีความต้องการผลิตภัณฑ์และอำนาจการซื้อที่แข็งแกร่ง โดยข้อแตกต่างสำคัญที่ทำให้ 88VIP เหนือกว่าโปรแกรมสมาชิกแบบดั้งเดิม คือ ความครอบคลุมต่อผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายทั่วทั้งระบบนิเวศของอาลีบาบา ดังนั้น ยิ่งมีผู้ค้าเข้าร่วมโปรแกรม 88VIP มากขึ้นเท่าไหร่ สมาชิกก็จะยิ่งได้รับสิทธิประโยชน์และข้อเสนอที่น่าดึงดูดใจยิ่งขึ้นเท่านั้น

ในขณะที่ 88VIP ช่วยให้ผู้ค้าสามารถสร้างความเหนียวแน่นและการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้ง อาลีบาบาก็ยังเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ต่างๆด้วยระบบที่ทำให้พวกเขาสามารถบริหารจัดการสมาชิกได้อย่างเต็มศักยภาพ แบรนด์ชั้นนำมากมาย รวมทั้ง ไนกี้ (Nike) และ ยูนิลีเวอร์ (Unilever) ก็ได้มีการจัด Loyalty Programs ผ่านหน้าร้านบนทีมอลล์ เพื่อพัฒนาศักยภาพในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเดิม และการดึงดูดลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากฐานผู้บริโภคที่ใช้บริการบนแพลตฟอร์มเป็นประจำกว่า 123 ล้านรายต่อปี รวมการใช้จ่ายต่อคน ไม่ต่ำกว่า 10,000 หยวนต่อปี บนเถาเป่าและทีมอลล์

โปรแกรมสมาชิกของแบรนด์ต่างๆ ยังเป็นรากฐานสำคัญสำหรับผู้ค้าในการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างมั่นคงและน่าเชื่อถือ โดยใน 4 ชั่วโมงแรกของการช้อปปิ้งในช่วงที่สอง ซึ่งเริ่มตั้งแต่เวลา 20.00 น. ของวันที่ 10 พฤศจิกายน มีผู้ค้ามากกว่า 130 แบรนด์ สามารถทำรายได้เกิน 100 ล้านหยวน (กว่า 500 ล้านบาท) จากยอด GMV ที่มาจากการซื้อของลูกค้าสมาชิก ขณะที่ผู้ค้ามากกว่า 5,600 แบรนด์ ต่างประสบความสำเร็จกับยอด GMV ที่มาจากการซื้อของลูกค้าสมาชิก ซึ่งสูงเป็นสองเท่า เมื่อเทียบกับ 4 ชั่วโมงแรกของการช้อปปิ้งในช่วงที่สอง ของเมื่อปีที่แล้ว

สนับสนุนผู้ค้าทั้งใน และต่างประเทศ

อาลีบาบา มีวิธีการที่หลากหลายในการสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมบนแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะใน 11.11 ปีนี้ บริษัทได้นำเสนอความช่วยเหลือด้านการตลาด และช่วยระบุลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ให้กับแบรนด์ต่างๆที่เพิ่งเริ่มจัดไลฟ์สตรีมบนแพลตฟอร์มเป็นครั้งแรก

ขณะเดียวกัน ในด้านซอฟแวร์เก็บรวบรวมข้อมูลทางธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เครื่องมือวิเคราะห์การตลาด อาลีบาบาก็ได้ให้การสนับสนุนผู้ค้าทุกรายบนเถาเป่าและทีมอลล์อย่างเต็มที่ตลอดช่วง 11.11 นี้ เพื่อเป็นตัวช่วยประกอบการตัดสินใจทางธุรกิจของผู้ค้าได้แบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของกระบวนการโอนเงินที่สะดวกรวดเร็วขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ค้าในช่วงมหกรรมช้อปปิ้งครั้งนี้ และทำให้รอบบัญชีลูกหนี้ลดลงครึ่งหนึ่ง เหลือเพียง 7 วันโดยเฉลี่ย สำหรับสินค้าบางประเภท

อาลีบาบา ยังคงใช้เทคโนโลยี ที่ทันสมัยและหลากหลาย อย่างต่อเนื่อง เช่น Extended Reality (XR) บน Taobao Live ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มไลฟ์สตรีมมิ่ง เพื่อสร้างประสบการณ์เสมือนจริงให้ลูกค้าได้ดื่มด่ำกับการช้อปปิ้ง และขับเคลื่อนการเติบโตของผู้ค้าในเวลาเดียวกัน โดยก่อนที่ 11.11 ครั้งนี้จะเริ่มเปิดฉาก บริษัทได้อัพเดตห้องไลฟ์สตรีมไว้สำหรับผู้ค้า เพื่อให้พวกเขาสามารถส่งมอบประสบการณ์เสมือนจริงออกสู่สายตาผู้บริโภคได้อย่างเต็มศักยภาพ งานนี้ มีผู้ประกอบการมากกว่า 2,000 แบรนด์ ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อจัดงานเปิดตัวสินค้าใหม่ทางออนไลน์ในช่วง 11.11 ที่ผ่านมา

alibaa
เซสชั่นไลฟ์สตรีมในช่วงมหกรรม 11.11 ที่ส่งมอบประสบการณ์เสมือนจริงแก่ลูกค้า

นอกจากนี้ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ต่อการสนับสนุนด้านโลจิสติกส์สำหรับผู้ค้าข้ามพรมแดน ไช่เหนียว (Cainiao) ได้มีการปรับปรุงพัฒนาระบบคลังสินค้า พิธีการศุลกากร การขนส่งระหว่างคลัง และการจัดจำหน่ายสินค้าในช่วงมหกรรมช้อปปิ้ง 11.11 ให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยบริษัทได้เพิ่มจำนวนเส้นทางขนส่งสินค้าขาเข้าขึ้น 20% และเพิ่มความจุของคลังสินค้าที่บริษัทบริหารเอง เป็นสองเท่า ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อสร้างประสบการณ์ด้านโลจิสติกส์ที่ราบรื่นยิ่งขึ้น แก่ผู้ค้าบนแพลตฟอร์มข้ามพรมแดน ทีมอลล์ โกลบอล รวมถึงแบรนด์ต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย

สร้าง 11.11 สีเขียว…ให้ ‘เขียว’ ยิ่งกว่าเดิม

อีกพันธกิจที่อาลีบาบาให้ความสำคัญ คือการขับเคลื่อนการบริโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยล่าสุด ปีนี้ อาลีบาบา กรุ๊ป ได้วางเกณฑ์มาตรฐานผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำและเริ่มใช้อย่างเป็นทางการใน 11.11 ที่ผ่านมา อาทิ ทีมอลล์ ได้กระตุ้นให้มีการติดฉลากผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำให้ครอบคลุมหมวดหมู่รายการช้อปปิ้งที่หลากหลายขึ้น บนแพลตฟอร์ม เพิ่มเติมจากหมวดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ประหยัดพลังงาน เช่น หมวดเครื่องแต่งกาย อาหาร และเครื่องสำอาง เพื่อส่งเสริมวิถีการบริโภคอย่างยั่งยืน ฉลากผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำบนแพลตฟอร์มได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้พวกเขารับทราบถึงผลกระทบของการซื้อที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนส่งเสริมทางเลือกที่ยั่งยืนมากขึ้น

ทีมอลล์ยังร่วมกับผู้ค่ากว่า 40 แบรนด์ ในการจัดแคมเปญสีเขียวเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำผ่านความคิดริเริ่มต่างๆ โดย 10 จากทั้งหมด 40 แบรนด์ เช่น Procter & Gamble, Haier, ThinkPad และ Yili ได้ร่วมกับทีมอลล์ จัดทำถุงช้อปปิ้งสร้างสรรค์และยั่งยืน เป็นของขวัญแจกฟรีสำหรับผู้บริโภค โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน ข้อมูลของทีมอลล์ระบุว่า กระเป๋าครอสโอเวอร์หนึ่งใบของพวกเขา ทำมาจากขวดพลาสติก PET รีไซเคิล 6 ขวดซึ่งสามารถหาได้ง่าย 

นอกจากนี้ ทีมอลล์ยังร่วมกับอาลีบาบา คลาวด์ (Alibaba Cloud) เทคโนโลยีดิจิทัลและแกนหลักอัจฉริยะของอาลีบาบา กรุ๊ป ในการใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มบริหารจัดการคาร์บอน Energy Expert เพื่อจัดทำแบบจำลองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ออนไลน์ คำนวณและรับรองปริมาณ สำหรับผู้ค้า 40 แบรนด์ข้างต้น เพื่อให้พวกเขาสามารถตรวจสอบปริมาณคาร์บอนในผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ และมีข้อมูลจากการดำเนินงานตามแนวทางปฏิบัติด้านความยั่งยืน

ด้วยความร่วมมือจากผู้ค้านับหมื่นราย ไช่เหนียวมุ่งมั่นที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากกระบวนการขนส่งและบรรจุภัณฑ์ โดย 11.11 นี้ บริษัทสามารถเพิ่มจำนวนตู้รับกล่องพัสดุรีไซเคิลตามสถานีบริการไช่เหนียว โพสต์ (Cainiao Post) ได้เกือบ 130,000 แห่งทั่วประเทศ และตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 11 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา สามารถรีไซเคิลกล่องพัสดุได้มากเกือบ 4 ล้านกล่อง และผู้บริโภคมากกว่า 100,000 คนต่อวัน ได้ส่งพัสดุที่บรรจุโดยกล่องรีไซเคิลจากสถานีไช่เหนียว โพสต์ ในช่วง 11.11

alibaa
ไช่เหนียวเพิ่มจำนวนตู้รับกล่องพัสดุรีไซเคิลตามสถานีไช่เหนียว โพสต์กว่า 130,000 แห่งในช่วง 11.11

แพลตฟอร์ม X แบรนด์ หัวใจหนุนธุรกิจเติบโต

อาลีบาบายังคงให้ความสำคัญกับการศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคในทุกภาคส่วนและหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง และได้แบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความชอบและพฤติกรรมของผู้บริโภคให้แก่ผู้ค้า เพื่อเร่งขั้นตอนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เร็วขึ้น และสามารถคว้าโอกาสใหม่ ๆ ได้ทันท่วงที ขณะเดียวกัน บริษัทก็ยังให้การสนับสนุน และส่งมอบทรัพยากรที่แข็งแกร่งในด้านอื่นๆ แก่ผู้ค้า เช่น การจัดการลูกค้า การตลาด และการขนส่ง เพื่อเสริมกำลังในการพัฒนาธุรกิจ

ในฐานะผู้ผลิตช็อกโกแลต และหนึ่งในแบรนด์ที่เข้าร่วม 11.11 มาหลายปี Mars Wrigley ได้ผ่านการทำงานร่วมกับอาลีบาบาอย่างใกล้ชิด เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาด และแน่นอนว่าสำหรับ 11.11 นี้ ทางแบรนด์ก็ไม่พลาดการเปิดตัวช็อกโกแลตรสใหม่ออกสู่ตลาดจีนเช่นกัน ทั้งนี้ หยาง อี ซิน หัวหน้าฝ่ายการตลาดดิจิทัลของ Mars Wrigley ได้กล่าวว่า การทำงานกับทีมอลล์อย่างใกล้ชิด ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Mars ใช้เวลาน้อยกว่า 8 เดือนในกระบวนการพัฒนาจากงานวิจัยไปสู่ตลาด ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพสูงมาก เมื่อเทียบกับวงจรนวัตกรรมเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ที่มักใช้ระยะเวลาราว 2 ปี และที่สำคัญ ความร่วมมือนี้ ยังทำให้แบรนด์สามารถขยายตลาดได้อย่างต่อเนื่อง และเข้าไปนั่งในใจผู้บริโภค

Royal Canin แบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงที่มีสมาชิกมากกว่าหนึ่งล้านคน และดำเนินธุรกิจบนทีมอลล์มายาวนานกว่า 10 ปี 

ซุน หยาง ฉวง รองผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของ Omni-SPT Royal Canin กล่าวว่า แบรนด์ได้พยายามสร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคให้ลึกซึ้งมากกว่าแค่การเสนอผลิตภัณฑ์และส่วนลด และยังคงพัฒนาโซลูชันด้านโภชนาการตามหลักวิทยาศาสตร์สำหรับสัตว์เลี้ยงอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมมือกับส่วนงานด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ของทีมอลล์ ในขณะเดียวกัน ก็มีการสร้างกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่างๆ ตามความเหมาะสมแก่สมาชิก เช่น การแบ่งปันความรู้ทางวิทยาศาสตร์และประสบการณ์ 50 ปี ในการดูแลสัตว์เลี้ยง ให้กับลูกค้า ทั้งนี้ ในอนาคต Royal Canin หวังที่จะทำงานร่วมกับทีมอลล์ เพื่อสร้างระบบสมาชิก ที่จะช่วยขยายภาพลักษณ์ของแบรนด์ออกสู่สายตาสังคมในวงกว้าง รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้บริโภคกลายเป็น Key Opinion Consumers (KOCs) ต่อไป

Inner Health แบรนด์อาหารเสริมที่เข้าร่วมกับ ทีมอลล์ โกลบอล ในปี 2565

Inner Health แบรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสัญชาติออสเตรเลีย ซึ่งเพิ่งเข้ามาเปิดหน้าร้านบนทีมอลล์ โกลบอล ในปี 2565 ได้เปิดตัวสินค้าครั้งแรกใน 11.11 ปีนี้ ฮวง เสี่ยว ฉุน ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดประเทศจีน แห่ง Inner Health กล่าวว่า Inner Health ได้ทำการสำรวจว่าผู้บริโภคมีความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือไม่ และได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่ลูกค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่าง ๆ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทางแบรนด์และทีมอลล์ต้องทำงานร่วมกัน เพื่อให้ความรู้แก่ผู้บริโภค ตลอดจนสร้างดีมานด์ในผู้บริโภค

Inner Health ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านห่วงโซ่อุปทานจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เนื่องจากคลังสินค้าบางแห่งต้องระงับการดำเนินงาน บริษัทจึงได้ใช้โซลูชันคลังสินค้าหลายแห่งของ ทีมอลล์ โกลบอล และ ไช่เหนียว เพื่อกระจายสต็อกออกสู่คลังสินค้าหลายแห่ง ซึ่งถือเป็นการกระจายความเสี่ยง และรับประกันความต่อเนื่องของบริการ โดยในช่วงแปดเดือนที่ผ่านมา แบรนด์ได้เตรียมการรับมืออย่างครอบคลุม ซึ่งรวมไปถึงการทดสอบแผนการตลาดและการวางตำแหน่งทางการตลาด ทั้งนี้ มหกรรม 11.11 ถือเป็นเวลาที่ยอดเยี่ยมในการทดสอบกลยุทธ์ของแบรนด์ทั้งหมด 11.11 

alibaa
Dove แบรนด์ลูกของ Mar Wringley ทำงานกับ Tmall Innovation Center (TMIC) อย่างใกล้ชิดในกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post เจาะลึกมหกรรม 11.11 ประสบการณ์ช้อปปิ้งเก๋ไก๋ ล้ำสมัยด้วยนวัตกรรม ให้คุณได้ช้อปสนุก พร้อมร่วมสร้างสังคมยั่งยืน ด้วยการบริโภคสีเขียว ที่ ‘เขียว’ กว่าเดิม first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/alibaba-11-11-tmall-taobao-2022/

ค้ด Lazada 11.11 สำหรับบัตรเครดิต ลด 1,111 บาท

เตรียมบัตรฯ ให้พร้อม รวมโปรบัตรฯ สุดปัง!! แจกส่วนลด on-top มากมาย  เมื่อชำระเงินผ่านบัตรฯ ที่ร่วมรายการ Lazada 11.11 Biggest One-Day Sale นี้ รับส่วนลดเพิ่มสูงสุดกว่า 1,111 บาท* จากพาร์ทเนอร์ที่ร่วมรายการ  ปล่อยโค้ดตอนเที่ยงคืน และ 10 โมงเช้า

โค้ดส่วนลดมีจำนวนจำกัดและเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

ดูรายละเอียดได้ที่ >> https://pages.lazada.co.th/wow/gcp/lazada/megascenario/th/D11/partnership

from:https://www.9tana.com/node/lazada-1111/

Shopee 11.11 Big Sale ลดใหญ่ 5 สุดยอดสมาร์ทโฟนสเปคแรง ถ่ายรูปปัง

ช้อปปี้’ ‘Shopee 11.11 Big Sale ลดใหญ่ ใส่ไม่ยั้ง’ ตั้งแต่วันนี้ – วันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 เหล่าสาวกไอทีที่ชอบถ่ายรูปต้องโดนใจไม่น้อยกับ 5 สมาร์ทโฟนในราคาแสนคุ้มค่า หลักพันถึงหมื่นต้น จากแบรนด์ชั้นนำบน Shopee Mall ไม่ว่าจะเป็น Samsung, Realme, OPPO, Vivo, Huawei และอื่นๆ อีกมากมาย ที่ไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างสรรค์คอนเทนต์ให้ปังผ่านคุณภาพกล้องและวิดีโอสุดล้ำ แต่ยังเสริมด้วยสเปคแรงของสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์เสริมที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการในทุกฟังก์ชั่น ด้วยจุดเด่นของสเปคและฟังก์ชั่นสุดล้ำระดับมืออาชีพที่ทุกคนต้องมี พร้อมรูปลักษณ์ดีไซน์โฉบเฉี่ยว ตอบโจทย์คนมีสไตล์กับราคาที่คุ้มค่าที่สุดบน Shopee Mall วอร์มมือให้พร้อม แล้วไปช้อปกันในมหกรรมช้อปปิ้งสุดยิ่งใหญ่ประจำปี

Vivo X70

ขึ้นชื่อเรื่องความเทพของกล้องหลังที่ Vivo X70 ได้ออกแบบร่วมกับ ZEISS ตอบโจทย์ทั้งการถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอกับกล้องหลังทั้งหมด 3 ตัว ประกอบด้วย กล้องหลักเซนเซอร์ IMX766V ความละเอียด 40MP, กล้อง Ultrawide ความละเอียด 12MP, กล้อง Telephoto ความละเอียด 12MP ซูม Optical 2x และกล้องเซลฟี่ด้านหน้า ส่วนสเปคอื่นๆ ก็จัดเต็มไม่แพ้กันอย่างจอแสดงผล AMOLED 24-bit (16 ล้านสี) รองรับการแสดงผล HDR 10+  ความละเอียด 1080 x 2376 พิกเซล นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีกันสั่น VIS แบบ 5 แกน ที่ช่วยให้การถ่ายวิดีโอมีความนิ่ง ลื่นไหล และคมชัดยิ่งขึ้น เสริมสเปคขั้นเทพด้วยระบบหมุนภาพอัตโนมัติ (Accelerometer) ระบบเซนเซอร์หมุนภาพ (Gyroscope) และระบบปรับมุมมองการแสดงผลอัตโนมัติ (Orientation) ขอแนะนำว่าพก Vivo X70 ไว้ข้างกาย จะถ่ายรูปหรือวิดีโอแบบไหนก็เอาอยู่ ในราคาพิเศษเพียง 21,999 บาท พร้อมลดอีกต่อกับโค้ดส่วนลดเพิ่มสูงสุด 50% ไม่เพียงเท่านี้ Vivo X7o Pro ยังมอบดีลสุดคุ้มในราคา 27,999 บาท เฉพาะวันที่ 4 พฤศจิกายนนี้เท่านั้น

Samsung Galaxy M22

จะแคปเจอร์โมเมนต์แบบไหนก็สวยถูกใจเรียกยอดไลค์ได้ไม่ยากกับ Samsung Galaxy M22 สมาร์ทโฟนหน้าจอ Super AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ HD+ และรีเฟรชเรทสูง 90Hz เพิ่มความลื่นไหลให้กับการไถหน้าจอไปมา และช่วยยกระดับการแสดงผลผ่านหน้าจอให้ดียิ่งขึ้น สีสันสว่างสดใสกว่า มาพร้อมกับดีไซน์ทันสมัย Infinity-U ที่มีรอยบากรูปทรงหยดน้ำสำหรับกล้องเซลฟี่ความละเอียดสูงถึง 13MP พร้อมอัพเกรดความสามารถด้านการถ่ายภาพและวิดีโอด้วยกล้องหลังอีก 4 ตัว ประกอบด้วย กล้องหลัก ความละเอียด 48MP, กล้อง Ultrawide ความละเอียด 8MP, กล้อง Macro ความละเอียด 2MP และกล้องจับความลึก ความละเอียด 2MP ที่สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดแบบ Full HD 30fps อัพเกรดความสมาร์ทด้วยพลังแบตเตอรี่  5000 mAh รองรับ Fast Charge 25W มาพร้อมชิป MediaTek Helio G80, RAM 6GB กับความจุ 128 GB จำหน่ายแบบเอ็กซ์คลูซีฟบนช้อปปี้ที่เดียวเท่านั้น กับราคาแฟลชเซลพิเศษคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เพียง 6,299 บาท จากราคาปกติ 6,990 บาท และโค้ดรับคืนอีก 10% coins พร้อมของสมนาคุณจัดเต็ม รวมมูลค่าสูงสุด 7,990 บาท

OPPO Reno6 Pro 5G

ตามมาด้วยสมาร์ทโฟนคู่หูตัวจริงของสายทำคอนเทนต์ OPPO Reno6 Pro 5G ให้บันทึกทุกช่วงเวลาในชีวิตด้วยรูปภาพและวิดีโอพอร์ตเทรตได้อย่างสวยงามลงตัวทุกมุมมองกับ AI 4 กล้องหลัง 50MP และเซ็นเซอร์ Sony IMX766 มาพร้อมดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ช่วยให้จับได้อย่างถนัดมือ เปล่งประกายสะกดทุกสายตากับสีใหม่สุดพิเศษ ‘Arctic Blue’ ขับเคลื่อนด้วยชิป Qualcomm® Snapdragon™ 870 มอบประสบการณ์การเล่นเกมระดับมือโปร และแบตเตอรี่ 4500 mAh พร้อมด้วย RAM 12GB ที่สามารถขยายเพิ่มขึ้นได้ด้วยเทคโนโลยี RAM Expansion จาก OPPO เพื่อการใช้งานที่ลื่นไหลตลอดเวลา รีบหามาครอบครองได้แล้ววันนี้ใน Official Store ของ OPPO บนช้อปปี้ ในราคาเพียง 20,990 บาท จากราคาปกติ 22,990 บาท 

Realme C21 Y

ที่สุดของสมาร์ทโฟนราคาสุดคุ้ม ที่มาพร้อมมาตรฐานความน่าเชื่อถือระดับสูงสุดจากการรับรอง TÜV Rheinland และมีฟังก์ชันครบครันกับ realme C21 Y ประเดิมด้วยกล้องจัดเต็ม 3 เลนส์ (13 MP AI Triple Camera) แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000 mAh โดดเด่นด้วยหน้าจอความละเอียด HD+ กว้าง 6.5 นิ้ว ที่ช่วยลดแสงสีฟ้าจากหน้าจอ และระบบสแกนลายนิ้วมือจากฝาด้านหลังเครื่อง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ทุกคนมองหา สมาร์ทได้ในราคาที่ดีที่สุด เตรียมตัวช้อปกับ Flash Sale เวลา 00.00 และ 18.00 ในราคา 3,988 บาท วันที่ 11 พฤศจิกายนวันเดียวเท่านั้น

Huawei Nova 9

พึ่งเปิดตัวไปสดๆ ร้อนๆ กับ Huawei Nova 9 หน้าจอ OLED ขนาด 6.57 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2340 x 1080) รองรับรีเฟรชเรทสูง 120Hz และการแสดงผล HDR10 ดีไซน์ขอบโค้ง 3D Curved เพิ่มความพรีเมี่ยม  เรื่องกล้องจัดเต็มด้วยกล้องหลัง 4 ตัว ประกอบด้วยกล้องหลักเซนเซอร์ RYYB ความละเอียด 50MP, กล้อง Ultrawide ความละเอียด 8MP, กล้อง Macro ความละเอียด 2MP, กล้องจับความลึก ความละเอียด 2MP และโหมดการถ่ายวีดีโอเอาใจคนรักการทำคอนเทนต์ ส่วนกล้องเซลฟี่ก็ไม่แพ้กัน ด้วยความละเอียดสูงถึง 32MP แถมยังมีระบบกันสั่น AIS รับรองว่าจะได้ภาพสวยคมชัดแบบมืออาชีพอย่างแน่นอน หมดห่วงเรื่องแบตเพราะรองรับ 66W HUAWEI SuperChrage สามารถชาร์จจาก 0 – 100% ได้ในเวลาเพียง 38 นาทีเท่านั้น 

ความคุ้มค่าไม่หมดเพียงเท่านี้ นักช้อปยังได้เพลิดเพลินไปกับดีลพิเศษ อย่างโค้ดลดสูงสุด 1,111 บาท, โปรโมชั่นส่วนลดสูงสุด 90%, โค้ดส่งฟรีขั้นต่ำ 0 บาท และพิเศษสำหรับนักช้อปที่ชำระเงินผ่าน ShopeePay เตรียมพบกับดีลส่วนลดบิลพิเศษสูงสุด 1,111 บาทสำหรับผู้ใช้งานใหม่ สำหรับผู้ใช้ปัจจุบันจะได้รับเงิน Shopee Coins Cash Back 40% เมื่อเติมเงินมือถือผ่าน ShopeePay ตั้งแต่วันนี้ – 11 พฤศจิกายนนี้ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://shopee.co.th/m/11-11 

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันช้อปปี้ได้ฟรีจาก App Store, Google Play Store และ App Gallery

ข่าว: Shopee 11.11 Big Sale ลดใหญ่ 5 สุดยอดสมาร์ทโฟนสเปคแรง ถ่ายรูปปัง มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.
from:https://www.appdisqus.com/shopee-11-11-big-sale-big-discount-5-best-smartphones-powerful-specs-great-photos/

ย้อนรอย “กูลิโกะ” ทำการตลาดอย่างไรถึงเป็นแบรนด์ขนมที่มียอดขายติด 10 อันดับแรกของโลก

ทำไมในระยะเวลาเพียง 50 ปีหลังก่อตั้งแบรนด์ “กูลิโกะ” ถึงสามารถขายสินค้าออกไปได้มากถึง 1 หมื่นล้านชิ้น ?

Brand Inside ขอพาทุกท่านย้อนเวลากลับไปแกะรอย “การตลาด” ของบริษัทกูลิโกะซึ่งมีประวัติยาวนานหลักร้อยปี

แนวคิดการตลาดแสนชาญฉลาดของกูลิโกะ: บริษัทคุณมีอยู่เพื่ออะไร

Naoshi Morikawa ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของกูลิโกะเคยกล่าวไว้ว่า “หากมีคนมาถามว่า บริษัทของคุณมีอยู่เพื่ออะไร แล้วคุณตอบไม่ได้ นั่นถือเป็นสิ่งที่อันตรายมาก”

คำตอบสำหรับบริษัทกูลิโกะ คือมีอยู่เพื่อ “แบ่งปันความสุขให้ผู้คน”  

ย้อนกลับไปในช่วงที่แบรนด์กูลิโกะถือกำเนิดขึ้น แบรนด์อื่นๆ มักจะนิยมใช้แพกเกจจิ้ง “สีเหลือง” ตามผลิตภัณฑ์ขนมที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น คือลูกอมคาเราเมล “โมรินะกะ” แต่กูลิโกะ “เริ่มต้นแบรนด์อย่างแตกต่าง” โดยใช้แพกเกจจิ้ง “สีแดง” ซึ่งทำให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์ได้มาจนถึงยุคปัจจุบัน

ช่วงแรก Riichi Ezaki ผู้ก่อตั้งบริษัทกูลิโกะ ได้นำขนมของแบรนด์กูลิโกะไปวางขายในห้างมิตสึโคชิ ซึ่งเป็นห้างหรูย่านกินซ่า เพราะเขาเชื่อว่า “ถ้าสามารถวางขายสินค้าในห้างที่น่าเชื่อถือ ลูกค้าก็จะรู้สึกเชื่อมั่นในแบรนด์มากขึ้น

นอกจากนี้ ทางบริษัทยังได้ติดตั้งเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติของกูลิโกะไว้ที่ห้างสรรพสินค้าในเมืองต่างๆ โดยเครื่องนี้สามารถฉายภาพยนตร์ได้ หากลูกค้าซื้อขนมครบ 6 กล่องก็จะสามารถชมภาพยนตร์ได้จบเรื่อง ซึ่งวิธีการนี้ได้ผลดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีลูกค้ามาต่อแถวรอซื้อขนมและรอชมภาพยนตร์อย่างต่อเนื่อง

 

ก้าวแรกของการ “บุกตลาดต่างประเทศ”

กูลิโกะบุกตลาดสหรัฐอเมริกาในปี 2001 อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกยังไม่ได้รับผลตอบรับดีนัก ทางบริษัทจึงใช้กลยุทธ์ “แจกสินค้าให้คนทดลองชิมฟรีกว่า 1 ล้านชิ้น” ตามร้านค้าทั่วไป ทำให้ขนมของแบรนด์กูลิโกะเริ่มติดตลาดสหรัฐอเมริกามากขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ

กลยุทธ์ของ “ป้ายไฟนีออนกูลิโกะแมน”

หลายๆ คนน่าจะคุ้นเคยกับ “ป้ายไฟนีออนกูลิโกะแมน” ซึ่งติดตั้งอยู่ที่แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของเมืองโอซาก้า Riichi Ezaki ตัดสินใจติดตั้งป้ายที่นี่ เพราะเขามองว่าเป็นแหล่งที่มีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติสัญจรไปมาเป็นจำนวนมาก และกาเปิดไฟนีออนในเวลากลางคืนจะดึงดูดความสนใจของผู้คนได้มาก  

ความมหัศจรรย์ของวันที่ 11.11

ป๊อกกี้เดย์” เริ่มต้นครั้งแรกในปี 1999 โดยทางกูลิโกะได้ร่วมมือกับบริษัทท่องเที่ยวต่างๆ ในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวของประเทศญี่ปุ่น เพื่อโปรโมทให้คนพกขนมป๊อกกี้ไปทานด้วยระหว่างท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ 

Naoshi Morikawa กล่าวไว้ว่า เขาอยากทำให้วันที่ 11.11 มีความสำคัญเทียบเท่ากับวันสำคัญของโลก อย่างวันฮาโลวีนหรือวันวาเลนไทน์เลยทีเดียว เขาอธิบายให้เห็นภาพมากขึ้นว่า อยากให้ผู้คนรู้สึกสนุกและรอคอยที่จะเข้าร่วมเทศกาลนี้ 

ล่าสุด ทางกูลิโกะก็ได้จัดแคมเปญให้คนลงคลิปเต้นใน TikTok เพื่อเฉลิมฉลองวันที่ 11.11 ซึ่งก็ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี เพราะประหยัดต้นทุนและคนทั่วไปก็สามารถร่วมสร้างคอนเทนต์ให้กับแบรนด์ได้

“รับฟังความคิดเห็นของลูกค้า” อย่างสม่ำเสมอ

Naoshi Morikawa เชื่อว่า “ข้อมูลตัวเลข” เป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่ “การพูดคุยกับลูกค้าโดยตรง” เป็นสิ่งสำคัญที่สุด กูลิโกะจึงใช้คำว่า C-commerce หรือ Conversational-commerce แทน E-commerce 

ตัวอย่าง ขนม “Ice Fruitซึ่งแต่เดิมเป็นไอศกรีมรูปทรงกลมบรรจุในกล่อง ถือกำเนิดขึ้นในปี 1986 และมีประวัติการพัฒนาผลิตภัณฑ์มาอย่างยาวนาน ในช่วงแรกที่เปิดตัวสินค้ามีลูกค้าจำนวนหนึ่งตำหนิเรื่องบรรจุภัณฑ์ที่ทำให้ทานยาก ทางบริษัทจึงต้องเปลี่ยนแพกเกจจิ้งจากแบบ “กล่อง” มาเป็นแบบ ”ซองต่อมา จากเดิมที่ในหนึ่งซองมีไอศกรีม 4 รสชาติ ทางบริษัทก็ได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นซองละ 1 รสชาติตามความต้องการของลูกค้า เพราะมีลูกค้าบ่นมาว่าในซองมีรสชาติที่ไม่ชอบจึงตัดสินใจไม่ซื้อทาน

นอกจากนี้ ทางบริษัทยังได้แก้ไขปัญหาลูกค้าไม่มาซื้อซ้ำ โดยชูจุดเด่นของไอศกรีมซึ่งผลิตจาก “วัตถุดิบตามฤดูกาล” เพราะจากผลการวิจัยทางบริษัทพบว่าเมื่อพูดถึง “Ice Fruit” ลูกค้าจะนึกถึงคำว่า “ฤดูกาล” (season) เป็นลำดับแรกๆ 

จัด ”กิจกรรม” ให้คนทั่วไปมีส่วนร่วม

กูลิโกะมักจะจัดกิจกรรมให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วม เช่น การแข่งขันเต้นซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Pocky Dance โดยในแต่ละปีจะมีชื่องานแตกต่างกันออกไป อย่าง “Pocky Extra Fine” ที่จัดในปี 2006 และ “Pocky’s Share Hapi” ที่จัดในปี 2015 ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือมีผู้ส่งวิดิโอเข้าประกวดรวมกันมากถึง 5.8 ล้านครั้ง 

ขยายกลุ่มเป้าหมายไปที่ “ผู้ชายวัยทำงาน”

ส่วนใหญ่ลูกค้าของกูลิโกะจะเป็นวัยรุ่นและผู้หญิงวัยทำงาน แต่มีช่วงหนึ่งที่กูลิโกะอยากจับกลุ่มลูกค้าใหม่ คือ “ผู้ชายวัยทำงานอายุ 30-40 ปี” ทางบริษัทจึงใช้กลยุทธ์ “บุกออฟฟิศ” ด้วยวิธีการง่ายๆ คือนำลิ้นชักขนาดเล็กที่ใส่ขนมของแบรนด์กูลิโกะไปตั้งไว้ที่มุมหนึ่งของห้องทำงาน เพื่อให้พนักงานได้ทานขนมของกูลิโกะบ่อยขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ผู้ชายที่ทานขนมของกูลิโกะที่บริษัทมีแนวโน้มจะไปซื้อขนมของแบรนด์นี้ที่ร้านสะดวกซื้อหรือห้างสรรพสินค้ามากขึ้น กลยุทธ์นี้ทำให้กูลิโกะมียอดขายเพิ่มมากขึ้นถึง 5.3 พันล้านเยน

กระตุ้นยอดขายโดยการออก “สินค้าพิเศษ”

สินค้าชุด “Baton Doll มีราคาสูง วางขายเฉพาะที่ห้างสรรพสินค้าและสนามบินในเมืองโอซาก้า เกียวโต โกเบ และฟุกุโอกะเท่านั้น จุดประสงค์ของการออกสินค้าชุดนี้ คือเพื่อดึงดูดความสนใจของคนที่ปกติไม่ได้ซื้อขนมของกูลิโกะทาน และเพื่อดึงดูดให้คนวัยผู้ใหญ่ที่หลงลืมการทานขนมกูลิโกะไปแล้วกลับมาทานอีกครั้ง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ คือแคมเปญชุดนี้ช่วยสร้างยอดขายให้กับกูลิโกะถึง 500 ล้านเยน

ใช้ Collaboration Marketing ให้เกิดประโยชน์

1. “Kirin afternoon tea” x “Glico Pocky”

แคมเปญนี้วางกลุ่มเป้าหมายไปที่ผู้หญิงวัยทำงานช่วงอายุ 20-30 ปี โดยใช้ “ความสุข” เป็นไอเดียหลักในการออกแบบสินค้าร่วมกัน ผลตอบรับก็ดีตามที่ทางแบรนด์คาดหวังไว้ เพราะการออกแบบสินค้าที่น่ารักและโดนเด่นเป็นเอกลักษณ์

2. “Kumamon” x “Glico Pocky”

“คุมะมง” คือคาแรคเตอร์ชื่อดังประจำจังหวัด “คุมะโมะโตะ” ประเทศญี่ปุ่น การออกแบบสินค้าร่วมกันครั้งนี้ทำให้ป๊อกกี้มียอดขายมากถึง 1.5 ล้านกล่อง และยอดซื้อต่อคนก็สูงถึง 10 กล่องขึ้นเลยทีเดียว 

สรุป

จะเห็นได้ว่า “กูลิโกะ” ใช้กลยุทธ์ทางการตลาดมากมาย ลองผิดลองถูกมาหลายครั้งกว่าจะมียอดขายสูงได้อย่างทุกวันนี้ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้แบรนด์กูลิโกะประสบความสำเร็จคือ

  • การรับฟังความคิดเห็นของลูกค้า และมุ่งมั่น “นำฟีดแบคที่ได้มาพัฒนาผลิตภัณฑ์อยู่เสมอ” 

อีกสิ่งที่เห็นได้ชัด คือกูลิโกะมักจะจัดกิจกรรมให้ลูกค้ามีส่วนร่วม เช่น จัดประกวดเต้นใน TikTok, จัดเทศกาล 11.11 นอกจากนี้ ทางบริษัทก็มักจะทำให้แบรนด์กูลิโกะมีชีวิตชีวาผ่านการออกแบบสินค้าพิเศษร่วมกับแบรนด์ต่างๆ เช่น เครื่องดื่ม Kirin X ป๊อกกี้ เป็นต้น

ทั้งนี้ ก่อนจะใช้กลยุทธ์ทางการตลาดอะไรก็ตาม คำถามที่เราควรตอบตัวเองให้ได้คือ ธุรกิจของเรามีอยู่เพื่ออะไร เพื่อที่เราจะได้สามารถออกแบบแผนการตลาดต่างๆ ให้เป็นไปในทิศทางนั้นตามลำดับต่อไป 

ที่มา : kotodori.jp, marketingnative.jp, note.com, note.sp-world.jp, comemo.nikkei, career.joi.media

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/glico-marketing-japan/

สินค้าไทยที่ขายดีที่สุดในงาน 11.11 ของ Alibaba คือ รังนก อาหารเสริม ฟูกนอน และหมอนยางพารา

Alibaba 11.11

ในงานมหกรรม 11.11 ที่ผ่านมา ปีนี้ Alibaba ได้จัดงานติดต่อกันนานถึง 11 วัน โดยสามารถทำรายได้รวมทั้งหมดกว่า 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งได้เห็นแนวโน้มของตลาดจีนที่เริ่มฟื้นตัว อย่างเช่น สินค้าแบรนด์หรูที่ทุ่มกับเทศกาล 11.11 ในจีนอย่างเต็มกำลัง และได้รับผลตอบรับที่ดี หลังจากที่อาการแย่ในช่วงโควิดเนื่องจากผู้คนเดินทางไปท่องเที่ยวและจับจ่ายใช้สอยไม่สะดวก

ล่าสุด มีการเปิดเผยข้อมูลของแบรนด์และสินค้าไทยที่ขายดีที่สุดบนแพลตฟอร์ม Tmall Global ของ Alibaba โดยพบว่า สินค้าประเภทอาหารเสริม สินค้าเครื่องนอนที่ทำมาจากยางพารา และผลิตภัณฑ์เพื่อความงามอยู่ใน 10 อันดับสินค้าขายดีที่นักช้อปชาวจีนซื้อจากประเทศไทยผ่านแพลตฟอร์ม Tmall Global

ความนิยมของสินค้าเครื่องนอนยางพารา อาทิ หมอนและฟูกนอนยางพาราจากประเทศไทยสะท้อนให้เห็นจากยอดขายจากแบรนด์ JACE ซึ่งร่วมขายสินค้าในมหกรรมช้อปปิ้งระดับโลก 11.11 เป็นครั้งแรก จุดเด่นของแบรนด์ คือการผลิตสินค้าตามมาตรฐานของอุตสาหกรรมด้วยการใช้ยางพาราธรรมชาติถึง 95 เปอร์เซ็นต์และการใช้แพลตฟอร์มเถาเป่า ไลฟ์ ช่องทางที่เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคจำนวนมากล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จในงาน 11.11

โดยสินค้าไทยที่ขายดีที่สุดบนแพลตฟอร์ม Tmall Global มีดังนี้

  1. ผลิตภัณฑ์รังนกและอาหารเสริม
  2. ฟูกนอน
  3. หมอน
  4. ครีมกันแดด
  5. เครื่องสำอาง
  6. เครื่องนอน
  7. น้ำมันหอมระเหย
  8. ครีมบำรุงผิว
  9. เครื่องสำอางสำหรับตา
  10. ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า

 

ส่วนแบรนด์ไทยที่ขายดีที่สุดบนแพลตฟอร์ม Tmall Global มีดังนี้

  1. JACE
  2. ดอกบัวคู่
  3. มิสทิน
  4. Ninest
  5. Nittaya
  6. Paratex
  7. THRoyal
  8. Tatex
  9. Scentio
  10. ปัญญ์ปุริ

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้แบรนด์ต่างประเทศหลายแบรนด์มีการเปิดตัวสินค้ามากที่สุดในงานของ Alibaba อย่างเป็นประวัติการณ์ โดยมีแบรนด์ต่างประเทศถึง 2,600 แบรนด์ร่วมเปิดร้านค้าบน Tmall Global เป็นครั้งแรกและมีร้านค้า 31,766 ร้านค้าร่วมงาน เพิ่มขึ้นจาก 22,000  ร้านค้าเมื่อเทียบกับปีก่อน

ที่มา – ฝ่ายประชาสัมพันธ์ Alibaba ประเทศไทย

 

 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/the-best-thai-brand-alibaba-2020/

ผู้ชนะในวันช้อปปิ้ง 11.11 คือ “แบรนด์หรู” ในเมื่อขายตะวันตกไม่ได้ ก็ยกมาขายคนจีนเสียเลย

SHANGHAI, CHINA – DECEMBER 18: (CHINA OUT) Local celebrities attend the opening ceremony of Cartier’s new flagship store on December 18, 2004 in Shanghai, China. Luxury brands like Armani, Louis Vuitton, Christian Dior, Gucci, Cartier, are blossoming in China, with Chinese people’s increasing enthusiasm for famous brands. (Photo by China Photos/Getty Images)

ทางรอดแบรนด์หรูในยุคโควิดคือ “จีน” เพราะตลาดฟื้นตัวไว

ในงานเทศกาลช้อปปิ้ง 11.11 ปีนี้ เหล่าบรรดาแบรนด์หรูระดับโลกต่างเข้าร่วมกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะแบรนด์ที่ไม่เคยมีท่าทีว่าจะเข้าร่วมอย่าง Balenciaga, Prada, Chloe หรือแม้กระทั่งแบรนด์เครื่องเพชรเครื่องประดับหรูหรา

Andy Halliwell นักวิเคราะห์อาวุโสสายการตลาดและที่ปรึกษาด้านดิจิทัลของ Publicis Sapient อธิบายปรากฏการณ์นี้ว่า เป็นเพราะแบรนด์หรูเหล่านี้ไม่สามารถทำตลาดในฝั่งตะวันตกได้ เนื่องจากสถานการณ์โควิดยังไม่ดี สุดท้ายจึงต้องลงมาเล่นในตลาดจีน เพราะจีนฟื้นตัวจากโควิดได้ไว

ก่อนหน้านี้ ปัญหาใหญ่ที่หนักใจเหล่าบรรดาแบรนด์หรูที่ทำให้ไม่อยากเข้าร่วมงานเทศกาลช้อปปิ้ง 11.11 เป็นเพราะ “ไม่อยากลดราคา” เนื่องจากกลัวว่าจะกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ แต่ในปีนี้แบรนด์หรูหลายแบรนด์ต่างได้เห็นแล้วว่า สินค้าหรูหราเมื่อเข้าร่วมเทศกาลช้อปปิ้งสุดยิ่งใหญ่ ไม่จำเป็นต้องลดราคาสินค้าแบบบ้าคลั่ง ก็ขายได้

ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์ Dior ที่ในปีนี้ขายสินค้าได้มหาศาลโดยไม่ได้ลดราคาอะไรมากมาย มีแค่จัดโปรโมชั่นเล็กน้อยเท่านั้น นี่คือหมุดหมายใหม่ของแบรนด์หรูที่หลังจากนี้ พวกเขาจะรู้แล้วว่า การร่วมงานลักษณะนี้ไม่ต้องลดราคามากก็ยังขายได้ แต่สิ่งที่ได้มากกว่ายอดขายคือการรับรู้ของผู้บริโภคต่อแบรนด์ที่กว้างขวางมากขึ้น เพราะใครจะเชื่อว่าแบรนด์เครื่องประดับสุดหรูอย่าง Cartier จาฝรั่งเศสจะขาย “สร้อยคอ” มูลค่ากว่า 28.3 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 856 ล้านบาท) โดยมีผู้ชมกว่า 800,000 คนร่วมชมสดๆ ผ่านทางไลฟ์สตรีมมิ่ง

ส่วนอีกหนึ่งประเด็นที่ Shirley Li ศาตราจารย์จากคณะธุรกิจของมหาวิทยาลัย Hong Kong Baptist วิเคราะห์เป็นเพราะความรู้สึกกลัวตาย (Fear of death) ซึ่งในสถานการณ์ครั้งนี้เป็นผลมาจากวิกฤตโควิด โดยศาสตราจารย์ท่านนี้ระบุว่า มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันตรงกันว่าเมื่อมนุษย์เผชิญหน้ากับความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่ความตาย มนุษย์จะเลือกที่ทำตามใจหรือสัญชาตญาณ นอกจากนั้นก็มักเลือกที่จะพุ่งเป้าไปยังสิ่งที่ชอบหรือรัก อย่างในกรณีนี้ มันคือการเลิกกังวลถึงสถานการณ์ที่น่ากลัว แล้วหันกลับมา “ใช้ชีวิตเพื่อปัจจุบัน” ซึ่งก็หมายถึงการซื้อของที่ชอบ ที่อยากได้ ซื้อสินค้าจำนวนมากเพื่อทำให้ผ่อนคลายความรู้สึกด้านลบนั่นเอง

ที่มา – BBC

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/luxury-brands-win-11-11/

Shopee เผยสถิติเทศกาลช็อปปิ้ง 11.11 ยอดขาย 200 ล้านชิ้น สกินแคร์-เครื่องใช้ในบ้านขายดี

เพิ่งจะสิ้นสุดกันไปสำหรับเทศกาลช็อปปิ้งในวันคนโสด 11.11 วันที่ 11 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งล่าสุด Shopee ได้ประกาศว่ามีสินค้ากว่า 200 ล้านชิ้น ในช่วงแคมเปญ Shopee 11.11 Big Sale

สำหรับสถิติของ Shopee ใน 7 ประเทศ ในช่วงแคมเปญ Shopee 11.11 Big Sale มีสินค้าถูกขายไปกว่า 200 ล้านชิ้น ร้านค้าที่เข้าร่วมแคมเปญมีคำสั่งซื้อที่มากกว่าปกติ 10 เท่า มีการเล่นเกมบน Shopee มากกว่า 2,500 ล้านครั้ง และเข้าชม Shopee Live 20 ล้านชั่วโมง

ส่วนสถิติของ Shopee ในประเทศไทย ในช่วง Shopee 11.11 Big Sale พบว่า

    • คนไทยมีต้องการสินค้าประเภทความงาม และของใช้ส่วนตัวเพิ่มขึ้น โดยสกินแคร์ มียอดขาย 470,000 ชิ้น
    • หมวดสินค้าขายดีคือ เครื่องใช้ภายในบ้าน โดยเฉพาะสินค้าตกแต่ง และใช้สอยภายในบ้าน ตัวอย่างเช่นไฟโซล่าเซลล์ ขายได้มากกว่า 12,000 ชิ้น
    • พฤติกรรมการซื้อสินค้าของคนในหัวเมือง มีการซื้อสินค้าเพิ่มสูงขึ้น โดยในกรุงเทพมหานคร มีสินค้า 500,000 ชิ้น ถูกจำหน่ายไปในช่วงแรกของวันที่ 11 พฤศจิกายน

ที่มา – ข่าวประชาสัมพันธ์

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/shopee-11-11-2020/

สรุปยอดขายรวมเทศกาล 11.11 ของ Alibaba อยู่ที่ 2.2 ล้านล้านบาท สูงกว่าปีก่อนหน้าเท่าตัว

ยอดขาย Alibaba 11.11 ปี 2020

สรุปตัวเลขยอดขายรวมทุกช่องทาง (GMV) ในวันที่เทศกาล 11.11 ของ Alibaba อยู่ที่ 4.982 แสนล้านหยวน หรือคิดเป็นเงินไทย 2.27 ล้านล้านบาท โดยสูงกว่ายอดขายรวมของปี 2019 ถึง 1 เท่าตัว โดยปีก่อนมียอดขายรวมอยู่ที่ 1.16 ล้านบาทเท่านั้น

แต่ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ยอดขายพุ่งทะยาน เป็นเพราะ Alibaba จัดงานติดต่อกัน 11 วัน นับตั้งแต่วันที่ 1 จนถึงวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ไม่ได้จัดเพียงวันเดียวเหมือนปีก่อนๆ 

ส่วนไฮไลท์อื่นๆ ของงานเทศกาลช้อปปิ้ง 11.11 ในปีนี้ ได้แก่

  • มีแบรนด์มากกว่า 470 แบรนด์ที่ทำยอดขายจากทุกช่องทางได้เกิน 100 ล้านหยวน
  • สถิติจำนวนคำสั่งซื้อสูงสุดต่อวินาทีอยู่ที่ 583,000 คำสั่งซื้อต่อ 1 วินาที แสดงให้เห็นถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของ Alibaba
  • เครือข่ายขนส่งสินค้า Cainiao ทำการขนส่งพัสดุมากกว่า 2,320 ล้านชิ้น ตามคำสั่งซื้อทั้งหมดในช่วง 11 วันของการจัดงาน
  • ไลฟ์สตรีมมิ่งกลายเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ขาดไม่ได้ มีการถ่ายทอดสดเพื่อนำเสนอสินค้าบน Taobao Live มากกว่า 30 ช่อง ซึ่งแต่ละช่องล้วนทำยอดขายรวมได้เกิน 100 ล้านหยวน
  • มีแบรนด์ที่เข้าร่วมงานในปีนี้ทั้งหมด 250,000 แบรนด์ ในจำนวนนี้เป็นแบรนด์จากต่างประเทศ 31,000 แบรนด์ และในจำนวนแบรนด์ต่างประเทศเหล่านี้มี 2,600 แบรนด์ที่เข้าร่วมงาน 11.11 เป็นครั้งแรก
  • มีแบรนด์ใหม่ 357 แบรนด์ กลายเป็นแบรนด์ที่ทำยอดขายได้สูงสุดในหมวดหมู่ของตนเอง และมีแบรนด์ใหม่มากกว่า 1,800 แบรนด์ที่ทำยอดขายจากทุกช่องทางในงาน 11.11 ได้สูงกว่าในปีที่ผ่านมา และมีแบรนด์ใหม่ 94 แบรนด์ที่ทำยอดขายเติบโตมากกว่า 1,000%
  • มีร้านค้าจำนวน 1.2 ล้านร้าน และโรงงาน 300,000 แห่งที่เน้นการผลิตสินค้าระหว่างประเทศ จากนิคมอุตสาหกรรม 2,000 แห่งทั่วประเทศจีนเข้าร่วมงาน 11.11 ในปีนี้
  • หุ่นยนต์ AI ตอบคำถามลูกค้าได้มากกว่า 2,100 ล้านครั้งตลอดการจัดงาน 11 วัน
  • สินค้านำเข้าที่มียอดขายจากทุกช่องทางสูงสุดคือสินค้าจากสหรัฐอเมริกา ส่วนสินค้าจากประเทศอื่นๆ ที่มียอดขายเป็นอันดับต้นๆ ได้แก่ ออสเตรเลีย แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น เกาหลี นิวซีแลนด์ และสหราชอาณาจักร

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/gmv-alibaba-11-11-2020/

Alibaba เผยยอดขายเทศกาล 11.11 ทะลุ 1.7 ล้านล้านบาท


มหกรรมช้อปปิ้งวันคนโสดหรือ 11.11 ของอาลีบาบา (Alibaba) ซึ่งจัดต่อเนื่องมาแล้ว 11 วันได้สร้างสถิติใหม่ทำยอดขายรวมทุกหมวดหมู่ (GMV) ได้มากถึง 372.3 พันล้านหยวนหรือราว 1.7 ล้านล้านบาทในเวลา 00.30 น. ของวันที่ 11 พฤศจิกายน 2563

โดยทาง อาลีบาบา เปิดตัวมหกรรมชอปปิ้งระดับโลก 11.11 ปี 2563 ในช่วงที่ 2 เมื่อเวลาเที่ยงคืน ของวันที่ 11 พฤศจิกายน โดยมหกรรม 11.11 ในปีนี้ได้ขยายเวลาจัดงานเป็น 11 วัน และจัดขึ้นในสภาพเศรษฐกิจและธุรกิจค้าปลีกของจีนที่กำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จึงช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้แก่ผู้ขาย และกระตุ้นการบริโภคให้เพิ่มขึ้น

สำหรับสถิติคำสั่งซื้อสูงสุดต่อวินาทีอยู่ที่ 583,000 รายการต่อ 1 วินาที ซึ่งสะท้อนถึงความยืดหยุ่นและแข็งแกร่งของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของอาลีบาบา ในการรองรับปริมาณคำสั่งซื้อมหาศาลได้เป็นอย่างดี

“เศรษฐกิจของจีนฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งและพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคชาวจีนได้กลับมาสู่ระดับก่อนการแพร่ระบาดแล้ว” Xiaofeng Wang นักวิเคราะห์ชาวจีนกล่าว

สำหรับอาลีบาบา มหกรรม 11.11 ถือเป็นงานสำคัญที่จะช่วยยกระดับและเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่โครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีของบริษัท รวมทั้งเป็นสนามจริงในการนำความสามารถใหม่ๆ มาทดลองใช้ในแต่ละปีทั้งแบรนด์ ร้านค้า ผู้บริโภค และพันธมิตรในระบบนิเวศของเศรษฐกิจดิจิทัลของอาลีบาบา ได้มารวมกันในงานนี้เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายที่สูงขึ้น โดยไฮไลต์ของงานในปีนี้ ได้แก่

ทั้งนี้ ยอดขายรวมทุกหมวดหมู่ (GMV) ของมหกรรมชอปปิ้งระดับโลก 11.11 เป็นมูลค่ารวมทั้งหมดของคำสั่งซื้อที่ชำระเงินผ่านอาลีเพย์ ในการซื้อสินค้าจากมาร์เก็ตเพลสของอาลีบาบาในจีน, เคาล่า (Kaola), ลาซาด้า, อาลีเอ็กซ์เพรส, New Retail และแพลตฟอร์มบริการสำหรับผู้บริโภค โดยนับยอดขายตั้งแต่วันที่ 1-11 พฤศจิกายน 2563

 

 

 

 

from:https://www.thumbsup.in.th/alibaba-11-11-2020?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=alibaba-11-11-2020

ของมันต้องมี หรือคิดไปเอง กลยุทธ์การตลาดเทศกาล 11.11 ที่คุณอาจมองข้าม

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมากระแสช้อปปิ้งออนไลน์ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าได้ผ่านมือถือทั้งง่ายและสะดวก กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะเทศกาลเลขคู่ตั้งแต่ 1.1 ไปจนถึง 12.12 ที่ธุรกิจและแบรนด์ต่างจัดโปรโมชั่นกระหน่ำลดราคากันอย่างไม่ตกขบวน

ผู้บริโภคอย่างเราๆ ก็คงไม่อยากพลาดโอกาสสำคัญ ยิ่งมาเจอกับคำโฆษณาอย่าง ‘ลดสูงสุด 90%’, ‘วันนี้วันเดียวเท่านั้น’, ‘FLASH SALE!’ ยิ่งกระตุ้นความอยากได้อยากมี ถ้าพลาดไปก็ต้องจ่ายราคาแพงกว่านี้ ว่าแล้วก็ต้องหยิบของใส่ตระกร้าสินค้าเพิ่ม รู้ตัวอีกทีเงินก็ตัดบัตรไปเสียแล้ว

แต่ถ้ามาคิดดูให้ดีๆ แบรนด์ส่วนใหญ่ก็จัดโปรลดราคาบ่อยอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น New Year Sale, Summer Sale, Mid Year Sale, Winter Sale บางแบรนด์ลดสัปดาห์เว้นสัปดาห์เสียด้วยซ้ำ เลยเกิดคำถามว่าการตัดสินใจซื้อสินค้า แบรนด์เป็นคนกำหนดหรือเราเป็นคนกำหนด

ซื้อทั้งๆ ที่ไม่ได้ต้องการ

ถ้าเราวางแผนจะซื้อหรือมีของที่อยากได้อยู่แล้วก็ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ของในราคาพิเศษ แต่ถ้าไม่ใช่คุณอาจเกิดพฤติกรรมแบบ “FOMO” หรือ Fear Of Missing Out กลัวว่าตัวเองจะตกกระแส หรือพลาดอะไรบางอย่างไป การลดราคาครั้งนี้ก็เช่นกัน ทำให้ใครหลายคนเผลอตัวไปซื้อทั้งๆ ที่ไม่ได้ต้องการ

พฤติกรรมแบบ “FOMO” ลดได้ด้วยการถามตัวเองว่าต้องการซื้อจริงหรือคิดไปเอง เทศกาลลดราคาเป็นเพียงกลยุทธ์การตลาดอย่างหนึ่ง การกำหนดเกณฑ์การช้อปขั้นต่ำเพื่อให้ส่งฟรี การขีดฆ่าราคาเดิมแล้วใส่ราคาใหม่ที่ลดลงด้วยสีแดง การกำหนดระยะเวลาที่ต้องซื้อตอนนี้เท่านั้นถึงจะได้ราคานี้ ทำให้หลายคนคิดว่ายอมจ่ายเงินตอนนี้ หรือเพิ่มเงินอีกไม่กี่บาทก็ได้ของที่คิดว่าคุ้มค่าคุ้มราคา

แต่หากลองหันไปมองรองเท้า กระเป๋า เสื้อผ้ามากมายที่เคยซื้อมาก่อนหน้านี้ ของที่บางอย่างเคยอยากได้สุดๆ ในอดีตอาจกลายเป็นของรกบ้าน ถูกดองอยู่ตามมุมต่างๆ เกะกะจนไม่รู้จะเก็บไว้ตรงไหน คิดย้อนไปก็ได้แต่ตั้งคำถามว่าซื้อมาทำไมนะ

สรุปได้ว่า หากเรากำลังซื้อของที่เราไม่ได้ต้องการหรือจำเป็นต้องมี ก็อาจมองได้ว่าเสียเงินไปเปล่าๆ แม้ว่าจะดีลจะลดราคาพิเศษแค่ไหนก็ตาม ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อควรชั่วใจคิดให้ดีก่อนว่าของชิ้นนี้สำคัญจริงไหม จำเป็นต้องซื้อตอนนี้เลยรึเปล่า รวมถึงอีกหลายๆ คำถามซึ่งขึ้นอยู่กับสถานะการเงินของของแต่ละคน

from:https://www.thumbsup.in.th/11-11-never-shop-sales?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=11-11-never-shop-sales