คลังเก็บป้ายกำกับ: ไวรัส

แนะนำ 10 โปรแกรมสแกนไวรัสฟรี ใช้ง่าย ไม่หนักเครื่อง

10 โปรแกรมสแกนไวรัสฟรี ที่ควรมีติดเครื่องไว้

หลายคนคงเคยได้ยินข่าวการที่หน่วยงานหรือบริษัทถูกโจมตีด้วยไวรัสคอมพิวเตอร์ Ransomware, Trojan ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก หลายที่ถูกล็อคระบบ ล็อคไฟล์และมีการเรียกค่าไถ่จากผู้พัฒนาไวรัส ซึ่งปัญหาเหล่านี้ล้วนเกิดการป้องกันที่ไม่แน่นหนา ซึ่งวิธีเริ่มต้นการป้องกันที่ง่ายที่สุดนั่นก็คือการวางแผนหา โปรแกรมสแกนไวรัสฟรี สักตัวมาใช้งาน ซึ่งก็มีให้เลือกมากมายในท้องตลาด ทั้งแบบฟรีและแบบเสียเงิน โดยที่ความสามารถในการป้องกันไวรัสก็จะแตกต่างกันไป วันนี้มาดูว่า โปรแกรมสแกนไวรัส 10 ตัวที่อัดแน่นไปด้วยคุณภาพ พร้อมที่จะป้องกันคอมพิวเตอร์ของคุณในปี 2022 มีตัวไหนบ้าง มาดูกัน

โปรแกรมสแกนไวรัสฟรี

Bitdefender Antivirus

สุดยอดโปรแกรมสแกนไวรัสและซอฟท์แวร์ด้านความปลอดภัยอื่นๆ ที่ได้รับรางวัลมากมายจากสื่อชื่อดังจากต่างประเทศทั้ง Techradar, AV-Comparatives, PC MAG ทำให้มั่นใจได้เลยว่าคอมพิวเตอร์สุดที่รักของคุณจะปลอดภัยจากไวรัสแน่นอน

จุดเด่น 

  • ใช้งานง่าย
  • มีเวอร์ชั่นฟรีให้ทดลองใช้
  • มีหน้าเว็บภาษาไทยให้เราได้ศึกษาก่อนตัดสินใจ
  • มีหลากหลายรุ่นให้เลือก

ตัวอย่างโปรแกรมที่ขาย

  • Bitdefender Antivirus Plus แบบ 1 ปี 1,699 บาท 
  • Bitdefender Internet Security แบบ 1 ปี 2,299 บาท
  • Bitdefender Total Security แบบ 1 ปี  2,599

OS ที่รองรับ : Windows, macOS, Android, iOS

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.bitdefender.com/ https://www.bitdefender.co.th/ 

 

Norton AntiVirus

หนึ่งในโปรแกรมสแกนไวรัสสีเหลืองที่หลายคนคุ้นชื่อ ใช้งานได้หลาย OS รวมถึงราคาก็ไม่แพง เวอร์ชั่นฟรีก็ใช้งานได้อย่างไม่กินทรัพยากรเครื่อง ทำให้กลายเป็นในโปรแกรมสแกนไวรัสที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก

จุดเด่น 

  • ใช้งานง่าย
  • ไม่กินทรัพยากรมาก
  • โปรโมชันลดราคาบ่อย ราคาลดเยอะ
  • ซื้อครั้งเดียวใช้งานได้สูงสุด 10 เครื่อง

ตัวอย่างโปรแกรมที่ขาย

  • Norton Antivirus Plus แบบรายปี $59.99 
  • Norton 360 Standard แบบรายปี $84.89
  • Norton 360 Deluxe แบบรายปี $104.89
  • Norton 360 Premium แบบรายปี $124.89

OS ที่รองรับ : Windows, macOS, Android, iOS

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : https://us.norton.com/ 

 

Kaspersky

อีกหนึ่งโปรแกรมสแกนไวรัสยอดนิยมที่หลายคนให้การยอมรับเป็นอย่างดี ด้วยราคาที่ไม่สูงมาก และมีหน้าเว็บภาษาไทยให้อ่าน รวมถึงร้านคอมพิวเตอร์หลายร้านวางขายโปรแกรมตัวนี้ ทำให้ Kaspersky กลายเป็นหนึ่งในโปรแกรมสแกนไวรัสยอดนิยมของคนไทยด้วย 

จุดเด่น 

  • มีวางจำหน่ายตามร้านคอมพิวเตอร์ทั่วไป 
  • มีหลายแพ็คเกจราคาให้เลือกตั้งแต่รายเดือน รายปี ต่ออายุอัตโนมัติ
  • มีบริการหลังการขายเป็นภาษาไทย

ตัวอย่างโปรแกรมที่ขาย

  • Kaspersky Anti-Virus  1PC 1 ปี 594 บาท
  • Kaspersky Internet Security  1PC 1 ปี 744 บาท
  • Kaspersky Total Security 1PC 1 ปี 763 บาท

OS ที่รองรับ : Windows, macOS, Android

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.kaspersky.co.th/ 

 

Trend Micro Antivirus

อีกหนึ่งโปรแกรมสแกนไวรัสที่มาแรง ได้รางวัลการันตีจาก AV-Test.org และมีหน้าเว็บภาษาไทยเพื่อประกอบการตัดสินใจอีกด้วย นอกจากคอมพิวเตอร์แล้วก็ยังมีเวอร์ชันสำหรับ iOS โดยเฉพาะด้วยเพื่อความปลอดภัยที่ตรงจุด

จุดเด่น 

  • มีหลากหลายผลิตภัณฑ์ให้เลือกตาม device ของเรา
  • มีหน้าเว็บภาษาไทย
  • ราคาไม่แพง

ตัวอย่างโปรแกรมที่ขาย

  • Trend Micro Maximum Security 3 Devices 1 ปี ราคา 1,740 บาท
  • Trend Micro Internet Security 2 Devices (Windows) 1 ปี ราคา 912 บาท
  • Trend Micro Antivirus For Mac 1 Device 1 ปี ราคา 780 บาท

OS ที่รองรับ: Windows, macOS, Android, iOS

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.trendmicro.com/th_th/forHome.html 

 

Avast

โปรแกรมสแกนไวรัสที่ได้รับความนิยมสูงอีกหนึ่งตัวที่ฟีเจอร์ค่อนข้างเยอะตั้งแต่เวอร์ชันฟรี และถ้าอยากได้การปกป้องที่ครบถ้วนการซื้อเวอร์ชัน Premium ก็เป็นราคาที่ไม่แพงมาก และถ้าซื้อถูกจังหวะก็อาจจะได้ส่วนลดอีกด้วย

จุดเด่น 

  • ฟีเจอร์ค่อนข้างเยอะตั้งแต่ตัวฟรี
  • มีหน้าเว็บภาษาไทย
  • ราคาไม่แพง มีส่วนลดในบางช่วงเวลา
  • รับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน

ตัวอย่างโปรแกรมที่ขาย

  • Avast Premium Security  10 Devices 1 ปี ราคา 1,590 บาท
  • Avast Ultimate 10 Devices 1 ปี ราคา 2,190 บาท

OS ที่รองรับ : Windows, macOS, Android,iOS

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.avast.com/ 

 

Microsoft Defender

สำหรับคนที่ใช้ Windows คงไม่มีใครไม่รู้จักโปรแกรมสแกนไวรัสตัวนี้เพราะมันติดมากับเครื่องตั้งแต่แรก ไม่ต้องไปหามาติดตั้งเอง แถมการปกป้องจากไวรัสก็ถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว ทำให้หลายคนชื่นชอบและใช้เจ้าตัว Microsoft Defender เป็นตัวหลักของเครื่องไปเลย

จุดเด่น 

  • ฟรี
  • มากับการติดตั้ง Windows อยู่แล้ว
  • ป้องกันภัยคุกคามได้ดีพอๆ กับยี่ห้ออื่นๆ ที่เป็นรุ่นฟรี

OS ที่รองรับ : Windows เท่านั้น

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.microsoft.com/th-th/windows/comprehensive-security 

 

Avira antivirus

เป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจอีกหนึ่งโปรแกรมสำหรับ Avira หรือที่เราเรียกกันติดปากว่าร่มแดง โดยที่หลายคนไม่รู้ว่ามีเวอร์ชั่น Pro ด้วย แถมราคาก็ไม่แพง มีรางวัลการันตีจากสื่อชื่อดังมากมายอีกด้วย

จุดเด่น 

  • ตัวฟรีใช้งานค่อนข้างดี
  • รองรับหลาย Devices 
  • ราคาตัว Pro ไม่แพง

ตัวอย่างโปรแกรมที่ขาย

  • Avira Antivirus Pro 1 Device 1 ปี $31.99
  • Avira Prime: Antivirus, VPN, and more 5 Devices 1 ปี $41.99

OS ที่รองรับ : Windows, macOS, Android,iOS

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.avira.com/ 

 

McAfee antivirus

อีกหนึ่งโปรแกรมสแกนไวรัสที่หลายคนคุ้นเคย ปกป้องคอมพิวเตอร์คุณด้วยฟีเจอร์มากมายและเลือกจำนวน Devices ได้มากถึง 10 Devices ตั้งแต่เวอร์ชั่นเริ่มต้น และไม่จำกัดเครื่องที่ใช้งานในเวอร์ชั่น Ultimate

จุดเด่น 

  • ราคาเริ่มต้นไม่แพง
  • ใช้งานได้มากสุด 10 เครื่องจากการซื้อเพียงครั้งเดียว
  • โปรโมชันค่อนข้างดี

ตัวอย่างโปรแกรมที่ขาย

  • McAfee AntiVirus Plus 10 Devices 1 ปี  $29.99 
  • McAfee Ultimate Unlimited Devices 1 ปี  $74.99 

OS ที่รองรับ : Windows, macOS, Android,iOS

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.mcafee.com/ 

 

Webroot SecureAnywhere AntiVirus

โปรแกรมสแกนไวรัสที่ชื่ออาจะไมีคุ้นหูแต่ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก และได้รับคะแนนรีวิวจาก PC MAG สูงถึง 4.5 เต็ม 5 คะแนน ด้วยความเร็วสูงในการสแกนหาและกำจัดไวรัส ทำให้กลายเป็นหนึ่งในโปรแกรมที่น่าจับตามองเลยทีเดียว

จุดเด่น 

  • ได้คะแนนรีวิวจากสื่อต่างประเทศค่อนข้างดี
  • สแกนและกำจัดไวรัสได้อย่างรวดเร็ว ค่าเฉลี่ยการค้นหาสูงกว่าหลายโปรแกรม

ตัวอย่างโปรแกรมที่ขาย

  • Webroot AntiVirus 1 Device 1 ปี $29.99
  • Webroot WiFi Security + AntiVirus 3 Devices 1 ปี $84.98

OS ที่รองรับ : Windows, macOS

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.webroot.com/ 

 

Sophos Home

ปิดท้ายด้วยโปรแกรมสแกนไวรัสตัวนี้ ที่แม้จะไม่ได้เป็นที่นิยมมากในไทยแต่ก็ทำคะแนนการทดสอบจากสื่อต่างประเทศไว้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว 

จุดเด่น 

  • คะแนนจากการรีวิวค่อนข้างสูง
  • แม้จะเป็นเวอร์ชันฟรีแต่ก็ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ใช้งานได้สูงสุด 10 Devices

ตัวอย่างโปรแกรมที่ขาย

  • Webroot AntiVirus 10 Devices 1 ปี 1666.18 บาท

OS ที่รองรับ : Windows, macOS

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : https://home.sophos.com/en-us 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post แนะนำ 10 โปรแกรมสแกนไวรัสฟรี ใช้ง่าย ไม่หนักเครื่อง first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/top-10-free-antivirus-program/

Xi Jinping เชื่อล็อคดาวน์กำจัดโควิดได้ ขอความร่วมมือช่วยผลักดันเศรษฐกิจโต

โควิดกำลังระบาดในจีนอีกครั้ง แน่นอนว่า Xi Jinping ยังคงใช้นโยบายเดิมด้วยการล็อคดาวน์เมืองที่มีการระบาด รัฐให้ความช่วยเหลือล่าช้า จนมีคนจีนออกมาเรียกร้อง ประท้วงเพราะขาดแคลนอาหารจำนวนมาก เพราะจีนเข้มงวดทุกอย่างจนประชาชนใช้ชีวิตลำบาก ไม่มีขนส่งมวลชน รถขับรับส่งอาหารขาดแคลน อาหารก็ถึงมือประชาชนช้า จนล่าสุดการล็อคดาวน์ของจีนกำลังส่งผลต่อซัพพลายเชนโลกที่เริ่มกลับมาชะงักงันอีกแล้ว

China-lockdown-covid

ล่าสุด Xi Jinping ออกมายืนยันว่า การล็อคดาวน์จีนคือการพยายามต่อสู้กับโรคระบาดอยู่ ประเทศจีนต้องการขยายความร่วมมือเพื่อให้ประเทศฟื้นตัวจากโควิดได้ สีกล่าวในพิธีเปิด Boao Forum for Asia ผ่านวิดีโอลิงก์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน เขาก็ไม่ได้พูดถึงการล็อคดาวน์เซี่ยงไฮ้ ที่กำลังมีการกเถียงกันในวงกว้างเกี่ยวกับต้นทุนที่ต้องแบกรับจากกลยุทธ์ Covid Zero สียืนยันว่า เป้าหมายของนโยบายนี้คือการทำให้มีการสูญเสียชีวิตน้อยที่สุด

“เราจำเป็นต้องทำงานร่วมกันเพื่อที่จะปกป้องชีวิตและสุขภาพของประชาชน” นี่คือสิ่งที่สีกล่าวในงานประจำปีที่จัดขึ้นบริเวณทางตอนใต้สุดของจังหวัดไหหนาน “ความปลอดภัยและสุขภาพต้องมาก่อน เพื่อที่จะพัฒนามนุษย์และทำให้เจริญก้าวหน้าได้ การต้านโรคระบาดโควิด-19 คือชัยชนะของมวลมนุษยชาติ ที่เราจำเป็นต้องพยายามอย่างหนัก”

จีนกำลังหาทางทำให้เศรษฐกิจเติบโต จีนพยายามใช้มาตรการล็อคดาวน์เพื่อกำจัดโควิดนับตั้งแต่มันโรคระบาด ข้อมูลเดือนมีนาคมพบว่ายอดขายค้าปลีกหดตัวมากที่สุดและอัตราการว่างงานก็พุ่งขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2020 ซึ่งเกิดขึ้นก่อนใช้มาตรการควบคุมไวรัสแบบเข้มข้นเสียอีก

Xi Jinping

ด้านนักเศรษฐศาสตร์จากนาคาร UBS Group AG ถึง Nomura Holdings Inc. ก็หั่นคาดการณ์การเติบโตของจีนต่ำกว่าที่รัฐบาลจีนตั้งเป้าไว้ที่ 5.5% เนื่องจากความเสี่ยงทางสังคมและการกดดันทางการเมืองที่สี จิ้นผิงต้องเผชิญที่เขากำลังเตรียมตัวเป็นผู้นำจีนอีกเป็นทศวรรษที่สอง สี จิ้นผิงระบุว่า รากของเศรษฐกิจจีนคือความยืดหยุ่น ศักยภาพที่มหาศาล มีโอกาสมากมายที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง และยังมีความยั่งยืนด้วย

จีนเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประเทศที่เป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ที่สุด ทั้งสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรปที่จีนปฏิเสธจะประณามรัสเซียกรณีบุกยูเครน สี จิ้นผิงให้การสนับสนุนเหตุผลที่รัสเซียบุกยูเครน สีกำลังเผชิญทั้งปัญหาภายในประเทศจากการใช้มาตรการเข้มข้นในการกำจัดโควิด ภาวะการตกงานว่างงานจำนวนมากของแรงงานในจีน ขณะเดียวกันก็เผชิญมุมมองจากประเทศเพื่อนบ้านที่กังวลจากท่าทีจีนที่เห็นด้วยกับรัสเซีย เผชิญกับแรงกดดันจากตะวันตกที่สนับสนุนรัสเซีย ไปจนถึงการดิสรัปของโควิดที่ทำให้ซัพพลายเชนโลกอย่างจีนกำลังมีปัญหาด้วย

ที่มา – Bloomberg

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post Xi Jinping เชื่อล็อคดาวน์กำจัดโควิดได้ ขอความร่วมมือช่วยผลักดันเศรษฐกิจโต first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/xi-jinping-confirm-china-lockdown-to-fight-covid/

Omicron ทำเศรษฐกิจโลกไม่แน่นอน ไทยอาจ GDP โตถึง 3.5% ต้องรอดูไวรัสและวัคซีน

รัศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุ แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและไทยกลับมาไม่แน่นอนอีกครั้งหลังเกิดการระบาดของไวรัสสายพันธุ์ Omicron (โอมิครอน/ โอไมครอน) ปัจจุบัน ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดเกี่ยวกับการแพร่เชื้อและประสิทธิภาพวัคซีนที่ใช้อยู่ ขณะที่หลายประเทศเริ่มคุมเข้มการเดินทาง อาจทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2565 โดยเฉพาะไตรมาสแรกได้รับผลกระทบ

KBank

ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุ ภายใต้มาตรการการเดินทางและสุขอนามัยต่างๆ ที่คุมเข้มมากข้นในหลายประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าโลกมีความกังวลความรุนแรงของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ แม้ยังไม่มีผลการศึกษาแน่ชัด การประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากการแพร่ระบาดของไวรัสจะขึ้นกับอัตราการแพร่เชื้อ ประสิทธิภาพวัคซีนและความรุนแรงของโรค

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยแบ่งเป็น 2 กรณี ภายใต้สมมติฐานที่การแพร่ระบาดของสายพันธุ์ Omicron จะบรรเทาลงช่วงปลายไตรมาสที่ 1 ปี 2565 รัฐบาลไทยคาดว่าจะไม่มีการกู้เงินนอกงบประมาณเพิ่มเติม โดยให้ใช้วงเงิน 2.6 แสนล้านบาทที่คงเหลือจาก พ.ร.ก. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท

KBank

ณัฐพรระบุว่า สำหรับไวรัส Omicron ที่เพิ่งพบชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในไทยในช่วงปลายปี 2564 นี้ คิดว่าจะยังไม่ได้รับผลกระทบจาก Omicron มากนัก อีกทั้ง Delta เป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดในไทย และการติดเชื้อลดลงอย่างมาก สำหรับ Omicron ที่เรารู้กันตอนนี้คือแพร่กระจายได้เร็ว 2.5 เท่าและมีการกลายพันธุ์หลายจุด มีข้อสันนิษฐานว่าอาจหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ดี แต่ความรุนแรงของอาการเมื่อติดไวรัส Omicron นั้นยังไม่รู้แน่ชัดว่าจะสร้างอาการรุนแรงหรือน้อยกว่าสายพันธุ์เดลตา รวมทั้งวัคซีนที่ฉีดกันทั่วโลกยังมีประสิทธิผลหรือไม่

KBank

สิ่งที่ทั่วโลกให้ความสนใจกับ Omicron เพราะมีการกลายพันธุ์ถึง 30 กว่าจุด ทำให้วันรุ่งขึ้น WHO ประกาศให้ Omicron เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวลตามหลัง Delta หลายประเทศก็ระงับการเดินทางจาก 7-8 ประเทศจากแอฟริกา ซึ่งก็มี 3 ประเทศที่ออกมาตรการเข้มข้นคือ ญี่ปุ่น อิสราเอล โมรอคโคที่ห้ามไม่ให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศ แม้จะมีการฉีดวัคซีนป้องกันค่อนข้างสูง อัตราการฉีดของอิสราเอลเกิน 100% ไปนานแล้ว ญี่ปุ่นอยู่ที่ 80% โมรอคโคอยู่ที่กว่า 60% สำหรับไทยมีอัตราการฉีดวัคซีนอยู่ที่ 60% ต้องดูต่อไปว่า ผลการศึกษาจาก Omicron จะเป็นอย่างไร

KBank

อย่างไรก็ดี หลักฐานและข้อมูลจากผู้ที่ได้รับเชื้อ Omicron มีอาการค่อนข้างน้อยและยังไม่เจอผู้เสียชีวิต แต่ก็ยังสรุปไม่ได้ว่า Omicron จะไม่สร้างผลกระทบอะไรทั้งในแง่เศรษฐกิจและสาธารณสุข จากภาพด้านบนระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อจากแอฟริกาใต้พุ่งสูงขึ้นเร็วอย่างมากหลังพบผู้ติดเชื้อ ขณะที่ในยุโรปยังพบผู้ติดเชื้อหลักสิบและหลักร้อยและในอังกฤษ-เยอรมนีก็เริ่มมีการระบาดกลับมาอีกระลอกหนึ่งแล้ว สรุปได้เบื้องต้นว่า Omicron แพร่กระจายเร็วและยังมีอาการน้อยอยู่ แต่ก็ยังสรุปไม่ได้ทั้งหมด ต้องพิจารณาข้อมูลในลำดับถัดไป

KBank.

มาตรการในการตอบสนองของภาครัฐ การแพร่ระบาดในไทยระลอกแรก เป็นสิ่งที่ทั่วโลกไม่เคยเจอ มาตรการตอบสนองจึงเป็นการล็อคดาวน์ ซึ่งระลอกนี้มีผู้ติดเชื้อราว 100 คน มีการติดเชื้อแบบกระจุกตัว ไม่กี่จังหวัด และยังมีการปิดประเทศไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าประเทศ ใช้การกักตัว 14 วัน ทำให้ไตรมาสนั้นเศรษฐกิจหดตัวค่อนข้างมาก มีการกู้เงิน 1 ล้านล้านบาท และปรับลดอัตราดอกเบี้ยสองครั้งจาก 1.0% เป็น 0.5%

จากนั้นในระลอกเดือนเมษายนที่เริ่มมีเดลตาเข้ามา การแพร่ระบาดเป็นหลักหมื่น กระจายทั่วประเทศ มีการล็อคดาวน์บางพื้นที่และมีการทยอยเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวแบบ Phuket Sandbox และมีการทยอยฉีดวัคซีน

KBank-omicronด้วยเหตุนี้ KBank จึงแบ่งออกเป็น 2 ฉากทักศน์ กรณีที่ดีคือ Omicron มีความรุนแรงน้อยกว่าเดลตา และวัคซีนมีประสิทธิผลที่ลดอาการของโรคได้ มีแนวทางควบคุมการแพร่ระบาดที่คล้ายคลึงกับที่ผ่านมา คือไม่มีการ lockdown ในประเทศและน่าจะมีระยะเวลาระบาดไปจนถึงปลายไตรมาสแรกของปีหน้า ปี 2565

กรณีที่แย่คือ ถ้า Omicron มี ผลการศึกษาออกมาเยอะและพบว่า ความรุนแรงของโรคเทียบเท่ากับเดลตาและทำให้ประสิทธิผลของวัคซีนที่ฉีดกันทั่วโลกตอนนี้ลดลงอย่างมาก อาจต้องมีการตอบสนองควบคุมโรคระบาดทั่วโลก อาจมีการกักตัว 14 วันหรือน้อยกว่า มาตรการล็อคดาวน์ในประเทศอาจจะต้องมีความจำเป็น แต่คงไม่ล็อคดาวน์ทั้งประเทศและอาจมีการควบคุมในบางกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และมองว่าจะไม่มีการกู้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินเพิ่ม อาจใช้เงินที่เหลือดูแลเศรษฐกิจไป แต่ถ้ามันแย่มาก รัฐเห็นความจำเป็นว่าต้องกู้เพิ่มเติมก็คาดว่าจะทำได้เพื่อเอาเงินมาเยียวยา

KBank ศูนย์วิจัย

ปีหน้าถึงแม้จะไม่มีเรื่อง Omicron เข้ามา เศรษฐกิจไทยปีหน้าจะเจอเรื่องเงินเฟ้ออยู่แล้ว ปีหน้า เงินเฟ้อน่าจะเจอกันทั่วโลก ไทยอาจจะเจอเรื่องเงินเฟ้อ หลักๆ คือราคาน้ำมันด้วย ของสหรัฐฯ มีคนจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เงินเฟ้ออาจไม่ใช่ชั่วคราวแล้ว ถ้ากรณีที่ดีคือ Omicron ไม่ได้รุนแรงมาก เศรษฐกิจโลกจะยังขยายตัว ราคาน้ำมันจะเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 77 usd ต่อบาร์เรลล์ ตามฐานการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก แต่ถ้า Omicron รุนแรง จะทำให้ราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 72 usd ต่อบาร์เรลล์ กิจกรรมทางเศรษฐกิจอาจจะลดลง อันนี้ตั้งสมมติฐานว่าราคาน้ำมันเป็นไปตามพื้นฐานของเศรษฐกิจโลก ถ้า Omicron รุนแรง น้ำมันราคาแพง เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเปราะบางอยู่แล้วจะเป็นความเสี่ยงสำหรับเศรษฐกิจไทยในปีหน้า

KBank Omicron

GDP ไตรมาส 3 ออกมาดีกว่าที่คาดและมีการปรับเพิ่มตัวเลขนักท่องเที่ยวด้วย ดังนั้นปีนี้เศรษฐกิจไทยน่าจะปิดได้ที่ 1% สำหรับปีหน้า ถ้า Omicron ไม่รุนแรง เศรษฐกิจไทยจะโตที่ 3.7 (ซึ่งรวมเงินเฟ้อและนักท่องเที่ยวแล้ว) กรณีที่แย่ GDP ไทยจะแย่ลงที่ 2.8% ถ้า Omicron รุนแรง เศรษฐกิจไทยโตเกือบ 3% KBank คิดว่าเดลตาน่าจะแย่กว่า จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือวัคซีนยังพอมีประสิทธิผลบ้างแต่อาจจะลดลง ภาพรวมการแพร่ระบาดปีนี้อาจจะแย่กว่าปีหน้า GDP น่าจะโตที่ 2.8% และมีผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวที่ 2 ล้านคน เงินเฟ้อจะอยู่ที่ 2.1% กรณีที่แย่ เงินเฟ้อจะอยู่ที่ 1.6%

KBank

เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการขาย ระบุว่า หลายประเทศระมัดระวังในการตรวจสอบคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศ ไทยก็เช่นกัน ในมุมมองที่ทางการยังไม่ได้เปลี่ยนแผนเรื่องการจัดงานช่วงปลายปี หรือไม่ยกระดับเพิ่มเติมจากปัจจุบัน ช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีที่มีเทศกาลปีใหม่ นักท่องเที่ยวจะยังเดินทางเข้าไทยในช่วงธันวาคมอาจทำได้อย่างน้อยเท่ากับพฤศจิกายนหรือประมาณ 1 แสนคน ถ้านับรวม 11 เดือนแรกคือ 2 แสนคน ถ้าปิดปี 2564 นักท่องเที่ยวมาไทยน่าจะรวมอยู่ที่ 3.5 แสนคน เป็นมุมมองที่บวกมากขึ้น

KBank Research

ภาพที่มองในปี 2565 ประเด็นสำคัญคือไวรัส Omicron ที่มีความไม่แน่นอนอยู่ ในกรณีดี ถ้าสายพันธุ์ Omicron ไม่รุนแรง การเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศเดินหน้าต่อได้ไม่สะดุด หลายภาคส่วนจะกระตุ้นให้ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาไทย มีโอกาสที่นักท่องเที่ยวมาไทยแตะ 4 ล้านคน ถ้า Omicron รุนแรง ทำให้การท่องเที่ยวสะดุด อาจทำให้ครึ่งปีแรกนักท่องเที่ยวมาไทยอาจจะต้องชะงักและเร่งตัวช่วงปีหลัง คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยลดระดับที่ 2 ล้านคน ไม่ว่าจะแย่หรือดี 2-4 ล้านคนก็ถือว่าตัวเลขดีกว่าปี 2564 คือทำได้ 3.5 แสนคนเท่านั้น แต่ก็ถือว่าห่างไกลกว่าช่วงก่อนโควิดที่ทำได้กว่า 40 ล้านคน

ธุรกิจท่องเที่ยวยังเปราะบางสูง ต้องติดตามประเด็น Omicron ต่อไป รวมทั้งพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวหลังจากนี้ จะมีความซับซ้อนมากขึ้น และยังมีการแข่งขันกับประเทศอื่นที่พยายามจะดึงดูดนักท่องเที่ยวไปประเทศเขา ยังถือเป็นธุรกิจที่น่าเป็นห่วงและเปราะบางสูง ค่าใช้จ่ายต่อทริปของนักท่องเที่ยว 1 ล้านคน ทำให้เราสูญรายได้ราว 8 หมื่นล้านบาท ดังนั้นปี 2565 ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวต้องได้รับการดูแลและยังเปราะบางสูงต่อไป

KBank Monetary

ธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ ระบุว่า ในภาคการเงินนั้น เรื่องผลกระทบ ความรุนแรงของโรค ประสิทธิผลของวัคซีนเป็นสิ่งที่ธนาคารกลางแต่ละประเทศต้องติดตาม อย่างจีนมีเศรษฐกิจชะลอตัวเพราะได้รับผลกระทบจากภาคอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น จึงมีทิศทางผ่อนคลายทางการเงิน ถ้าเงินเฟ้อมา (ตามภาพแผนที่ด้านบน ถ้าออกสีส้ม ถ้าความรุนแรงของเงินเฟ้อมาก สีส้มจะยิ่งมาก) ดังนั้น ประเทศเหล่านั้นต้องจัดการปัญหาเฉพาะหน้านี้ก่อน

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจปี 2564 ที่มีการฉีดวัคซีนเร็ว มีการจ้างงานดีขึ้น การว่างงานลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เช่นในสหรัฐอเมริกา หลายประเทศมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว และมีแนวโน้มขึ้นต่อเนื่องในปี 2565 คือรัสเซีย เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ หลายประเทศกำลังเดินหน้าเข้าสู่จังหวะการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า

กรณีดีที่ผลกระทบจาก Omicron ธนาคารกลางสหรัฐหรือ เฟด จะทยอยลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงินตามแผน ตลาดประเมินโอกาสขึ้นดอกเบี้ยของเฟดปี 2565 ถึง 2-3 ครั้ง ผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ สูงกว่าไทยช่วงปลายปี และจะเพิ่มแรงกดดันต่อค่าเงินบาทให้มีโอกาสอ่อนค่าในครึ่งปีแรก กรณีแย่ การระบาดของ Omicron จะกระทบรายได้จากการท่องเที่ยวและดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย ทำให้เงินบาทในช่วงครึ่งปีแรกขาดปัจจัยหนุนและอ่อนค่ากว่ากรณีแรก

เงินบาท Kbank

ปีหน้าจะเป็นอีกปีหนึ่งที่เงินบาทมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างกว้าง ปี 2562 อยู่ที่ 2.6 บาท ปี 2563 กว้างขึ้นอยู่ที่ 3.42 บาท และต้นปี 2564 กว้างขึ้นอีกอยู่ที่ 4.15 บาท เพราะสถานการณ์มีปัจจัยบวกและปัจจัยลบกับเงินบาท ผลจาก Omicron เข้ามาแล้ว เรามองว่า ภายในครึ่งปีแรกของปีหน้า Fed จะถอยออกจาก QE อาจจะขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนมิถุนายน ถ้า Fed ขึ้นดอกเบี้ยจริง

เงินบาท KBank

ในกรณีที่ดี เศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวต่อเนื่อง เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงที่ Fed กังวล การปรับอัตราดอกเบี้ยจะไปได้ 2-3 ครั้ง ทำให้เกิดเงินทุนไหลออก เงินบาทจะผันผวนในกรอบที่อ่อนค่า ครึ่งแรกของปี เงินบาทจะอ่อนค่าอยู่ที่ 33.25-34.25 บาท มีความเป็นไปได้ว่า แรงกดดันต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของแบงก์ชาติจะเพิ่มขึ้น

แต่ถ้ากรณีที่แย่ Omicron กระทบการท่องเที่ยวและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สิ่งที่จะตามมา รายรับจากที่เรามองว่า การท่องเที่ยวจะนำเงินให้ไทย และมีการเกินดุลบัญชีสะพัดที่ดี ดังนั้น เงินบาทอาจจะอ่อนค่ากว่ากรณีดีด้วยซ้ำ ไปอยู่ที่ 34.25 บาทได้ ซึ่งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของแบงก์ชาติจะเป็นไปได้ยาก

แต่ไม่ว่ากรณีไหน ธุรกิจควรรับมือกับภาวะที่เงินบาทจะแกว่งตัวในกรอบกว้าง แม้อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะยังไม่ปรับขึ้นในปี 2565 แต่แนวโน้มต้นทุนการกู้ยืมในตลาดตราสารหนี้ยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นต่อและนักลงทุนรายย่อยไทยคงจะยังแสวงหาช่องทางการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ส่วนธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไทยในปี 2565 เป็นอีกปีที่ขับเคลื่อนด้วยความระมัดระวังเพราะสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง สินเชื่อขยายตัวในกรอบคาดการณ์ 4.0-5.5% ชะลอลงจากปี 2564 สินเชื่อขยายตัวในกรอบคาดการณ์ 4.0-5.5% ชะลอลงจากปี 2564 ส่วน NPL ยังเป็นขาขึ้นเข้าหาระดับ 3.30% ต่อสินเชื่อรวม ณ สิ้นปี2565 เทียบกับราว 3.20% ณ สิ้นปี 2564

ที่มา – KBank 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post Omicron ทำเศรษฐกิจโลกไม่แน่นอน ไทยอาจ GDP โตถึง 3.5% ต้องรอดูไวรัสและวัคซีน first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/economic-uncertainty-cause-of-omicron-variant-comes/

Omicron มาอีกแล้ว! ไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่จากแอฟริกาใต้ แพร่เชื้อเร็ว ติดซ้ำได้ อาจป่วยหนัก

WHO ประกาศไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์จากโควิดเดิม คือสายพันธุ์ Omicron ที่มีรหัสว่า B.1.1.529 ทางองค์การอนามัยโลกรายงานเกี่ยวกับสายพันธุ์นี้ครั้งแรกจากแอฟริกาใต้เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2021 เป็นสายพันธุ์ที่แพร่เชื้อเร็วกว่าสายพันธุ์อื่นๆ มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อซ้ำได้ เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวล

omicron

แอฟริกาใต้มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันทางองค์การอนามัยโลก ก็พบไวรัสสายพันธุ์นี้ โดยชื่อทางการคือ Omicron ถือเป็นสายพันธุ์ที่ 5 ที่องค์การอนามัยโลก ตั้งชื่อสายพันธุ์ ก่อนหน้านี้สายพันธุ์ที่น่ากังวลคือ Alpha (อัลฟา), Beta (เบตา), Gamma (แกมมา) และ Delta (เดลตา) ส่วนสายพันธุ์ที่ต้องให้ความสนใจ ต้องจับตาคือสายพันธุ์ lambda (แลมบ์ดา) และ mu (มิว)

Variants of Concern VOCs

ทางทีมผู้เชี่ยวชาญกำลังมอนิเตอร์สายพันธุ์ใหม่ที่น่ากังวลนี้อย่างใกล้ชิด เพราะมันอาจแพร่เชื้อได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น เป็นสาเหตุที่ทำให้ป่วยหนักได้หรือวัคซีนอาจจะมีประสิทธิภาพในการต้านไวรัสสายพันธุ์นี้ได้น้อย ทางโฆษกองค์การอนามัยโลกระบุว่า ประเทศต่างๆ ต้องเฝ้าระวังมาตรการในการเดินทางและสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการเว้นระยะห่างจากสังคม สวมใส่หน้ากาก หลีกเลี่ยงการรวมตัว อยู่ในห้องที่มีระบบระบายอากาศได้ดีและรักษาสุขอนามัยเสมอและรับวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ แพร่เชื้อ

ด้านนักวิทยาศาสตร์จากแอฟริกาใต้ตรวจพบสายพันธุ์ใหม่ราว 100 คน เมืองที่พบมากที่สุดคือเมืองเล็กๆ ที่อยู่ในแอฟริกาใต้ชื่อเมือง Gauteng ประชากรชาวแอฟริกาใต้ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ไปแล้ว 24% จำนวนการฉีดต่อวันอยู่ในระดับต่ำ น้อยกว่า 1.3 แสนคน ต่ำกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ที่ 300,000 คนต่อวัน แอฟริกาใต้ถือเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโควิดหนักสุดในทวีปแอฟริกา มีคนติดเชื้อรวมเกือบ 3 ล้านคน เสียชีวิตจากโควิดมากกว่า 89,000 คน

สายพันธุ์ omicron ถูกพบจากนักเดินทางที่มาจากแอฟริกาใต้ เบลเยียม บอสตวานา ฮ่องกง และอิสราเอล

Variants of Interest (VOIs)

ที่มา – WHO, Nikkei, CBC

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post Omicron มาอีกแล้ว! ไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่จากแอฟริกาใต้ แพร่เชื้อเร็ว ติดซ้ำได้ อาจป่วยหนัก first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/who-named-covid-19-new-variant-of-concern-omicron-b-1-1-529/

7 วิธีแก้ปัญหาโน๊ตบุ๊คดับเองก่อนส่งช่าง ฉบับอัพเดทปี 2021

โน๊ตบุ๊คดับเองอย่าเพิ่งตกใจ ดูอาการให้ดีแล้วมาทำตามวิธีนี้กัน

shutdown cover

ยุคนี้หลาย ๆ คนเลือกใช้โน๊ตบุ๊คเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องหลักกันแล้ว แต่ถ้าอยู่ ๆ โน๊ตบุ๊คดับเองจนไม่สามารถทำงานได้ก็จะเสียจังหวะจนหงุดหงิดหมดอารมณ์กันไป แทนที่งานจะเสร็จเร็วและพร้อมส่งให้หัวหน้าหรือลูกค้าตรวจได้ก็ต้องมาติดขัดเพราะคอมเจ้ากรรมดันมีประเด็นกับเราก็คงจะหัวเสียกันไม่น้อย

ดังนั้นวิธีที่สุด คือรู้วิธีการหาและแก้ปัญหาโดยเบื้องต้นด้วยตัวเองเพื่อรับมือเบื้องต้นกันก่อน แล้วถ้าปัญหาเกินมือก็ค่อยเรียกช่างหรืออะไรก็ว่ากันไปตามที่สะดวก หรือถ้าแก้ปัญหาได้อยู่หมัดก็จะได้ใช้งานต่อได้เลยไม่ต้องเสียเวลาเคลมเครื่องด้วย

โน๊ตบุ๊คดับเอง

7 วิธีแก้ปัญหาโน๊ตบุ๊คดับเองด้วยตัวเองก่อนตัดใจส่งช่าง

สำหรับคนที่มีปัญหาเครื่องดับเองจนเสียจังหวะ ทำงานไม่สะดวกแล้วไม่แน่ใจว่าต้นเหตุมาจากอะไรบ้างล่ะก็ วิธีการแก้ปัญหาที่ผู้เขียนรวบรวมมาให้จะมีทั้งหมด 8 วิธีด้วยกัน ทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง ซึ่งวิธีจัดการปัญหาทั้งหมดนั้นจะมีดังนี้

  1. ดับเองเมื่อไหร่สันนิษฐานว่าไวรัสไว้ก่อน
  2. อยู่ที่ร้อนเกินไปเครื่องก็ดับเองได้
  3. แบตเตอรี่หรืออแดปเตอร์เสื่อมสภาพ
  4. สาเหตุอาจจะมาจากแรมที่ซื้อมาอัพเกรดก็ได้
  5. คนที่โอเวอร์คล็อกซีพียูหรือการ์ดจอก็เสี่ยงเครื่องดับนะ
  6. คนใช้พีซีอย่าลืมเปลี่ยนซิลิโคนซีพียูด้วย
  7. ไม่ได้อัพเดทไดรเวอร์ให้เป็นเวอร์ชั่นใหม่ เครื่องเลยดับ
1. ดับเองเมื่อไหร่สันนิษฐานว่าไวรัสไว้ก่อน

michael geiger JJPqavJBy k unsplash

ต้นเหตุแรกที่ทำให้คอมดับเองนั้น ให้สันนิษฐานต้นเหตุแรกกันก่อนได้เลยว่าไวรัสเจ้าปัญหาอาจจะเข้าเครื่องเราแล้วก็ได้ ไม่ว่าจะเพราะไปเปิดเว็บไซต์ที่ไม่รู้จักหรือเอาแฟลชไดรฟ์ของเพื่อนร่วมงานมาต่อกับเครื่องของเราแล้วไวรัสเข้าเครื่องแบบไม่รู้ตัวจนอยู่ ๆ คอมของเราดับเองก็มีโอกาสเป็นไปได้ ดังนั้นถ้าคอมมีปัญหาดับเองเมื่อไหร่ก็มาเริ่มจากจุดนี้ก่อนได้เลย

virus marking
virus 2

โดยผู้ใช้โน๊ตบุ๊ค Windows 10 ทำงานแล้วต้องการสแกนไวรัสแล้วไม่มีโปรแกรม Antivirus ติดตั้งไว้ในเครื่องก็ใช้ Windows Defender สแกนล้างไวรัสทิ้งก็ได้เหมือนกัน ซึ่งวิธีการเปิดก็ให้กดปุ่ม Windows บนคีย์บอร์ดแล้วพิมพ์คำว่า Virus & threat protection จากนั้นกด Enter เพื่อเปิดหน้าสแกนไวรัสด้วยระบบของ Windows ขึ้นมา

ส่วนการตั้งค่าสแกนตัวเครื่อง ให้เลือก Scan options จากนั้นเลือกช่อง Full scan เพื่อสแกนตัวเครื่องอย่างละเอียด ซึ่งตอนนี้ถึงจะสแกนเครื่องอยู่แต่ถ้าใครต้องการใช้คอมพิวเตอร์ทำงานก็ใช้งานได้ตามปกติ ไม่ต้องรอให้ Windows สแกนไวรัสจนเสร็จก่อนค่อยใช้งานต่อก็ได้

2. อยู่ที่ร้อนเกินไปเครื่องก็ดับเองได้

นอกจากเรื่องไวรัสแล้ว เราก็ต้องมาดูเรื่องที่วางเครื่องด้วยว่าตอนใช้โน๊ตบุ๊คทำงานแล้วเราวางโน๊ตบุ๊คเอาไว้ตรงไหน ระบายอากาศได้ดีหรือเปล่าหรือว่าสภาพอากาศตอนใช้งานร้อนเกินไปจนเครื่องไม่สามารถระบายอากาศได้ดีหรือเปล่า ซึ่งผู้เขียนแนะนำให้วางโน๊ตบุ๊คเอาไว้บนโต๊ะทำงานพื้นเรียบตามปกติ หรือถ้าให้ดีแนะนำให้หาที่วางโน๊ตบุ๊คมาตั้งเครื่องเพื่อให้ช่องระบายอากาศด้านหลังเครื่องเปิดโล่งแล้วดึงอากาศเข้าไประบายความร้อนได้อย่างต่อเนื่องที่สุด

HWMonitor2

เพราะอุณหภูมิจับต้องไม่ได้และมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ดังนั้นถ้าสันนิษฐานว่าการที่อยู่ ๆ โน๊ตบุ๊คดับไปเองมาจากอุณหภูมิในเครื่องสูงเกินไป ขอแนะนำให้โหลด HWMonitor มาเปิดเพื่อเช็คว่าตอนใช้งานตามปกติ เครื่องของเรามีอุณหภูมิกี่องศาและอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่กี่องศา ซึ่งถ้าใครไม่แน่ใจว่าอุณหภูมิปกติของโน๊ตบุ๊คควรอยู่กี่องศานั้น ให้จำแนกตามประเภทของโน๊ตบุ๊คดังนี้

  • โน๊ตบุ๊คทั่วไป – อุณหภูมิในเครื่องควรอยู่ราว 50-95 องศาเซลเซียส
  • เกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค – อุณหภูมิในเครื่องควรอยู่ราว 75-80 องศาเซลเซียส

ดังนั้นถ้า HWMonitor ขึ้นว่าอุณหภูมิในเครื่องร้อนผิดปกติแล้วเครื่องดับถึงจะใช้แค่โปรแกรมทั่วไปอย่าง Microsoft Office หรือเปิดเบราเซอร์ไม่กี่แท็บ ให้สันนิษฐานได้เลยว่าชิ้นส่วนภายในเครื่อง เช่นพัดลมโบลวเวอร์ที่เอาไว้ระบายความร้อนหรือฮีตซิ้งค์อาจจะมีปัญหาแล้วก็ได้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างที่ว่าก็แนะนำว่าถ้ามีประกัน Onsite service อยู่ก็เรียกช่างมาให้บริการหรือจะยกเครื่องไปศูนย์เลยจะดีที่สุด

3. แบตเตอรี่หรืออแดปเตอร์เสื่อมสภาพ

71looti3y3L. AC SL1500

ปัญหาเรื่องอแดปเตอร์เสื่อมสภาพจนอาจจะเป็นกรณีที่เกิดขึ้นได้ยากแต่ก็มีโอกาสเป็นไปได้เหมือนกันหากเราใช้โน๊ตบุ๊คเครื่องนั้นมาสักระยะแล้ว ซึ่งอาการอแดปเตอร์เสื่อมอาจจะมาจากสินค้าที่หลุด QC ที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก โดยวิธีการเช็คว่าอแดปเตอร์โน๊ตบุ๊คเสื่อมสภาพจะมีวิธีดูที่ผู้เขียนแนะนำให้ลองทำตามดูคือ

  1. ลองต่อปลั๊กชาร์จแบตเตอรี่ดูตามปกติ ซึ่งถ้าชาร์จได้บ้างหรือไม่ได้เลยก็สันนิษฐานเลยว่าตอนนี้อแดปเตอร์เสื่อมและอาจจะเป็นต้นเหตุที่โน๊ตบุ๊คของเราดับเองก็ได้
  2. เมื่อเปิดเครื่องเล่นตามปกติแล้วต่อปลั๊กใช้ตามปกติเครื่องก็ดับ แต่พอใช้แบตเตอรี่ในเครื่องก็ใช้งานได้ตามปกติ ก็สันนิษฐานว่าเป็นอาการอแดปเตอร์เสื่อมได้เหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม วิธีการเช็คทั้งสองวิธีที่เลือกมาแนะนำนั้นเป็นเพียงการเช็คโดยคร่าว ๆ เท่านั้น ซึ่งให้ชัวร์ที่สุดคือให้เอาโวลต์มิเตอร์ลองแตะขั้วบวกและลบแล้ววัดดูว่าอแดปเตอร์จ่ายกระแสไฟได้ตามหน้าสติกเกอร์ที่ติดเอาไว้กับตัวอแดปเตอร์หรือเปล่า ซึ่งถ้าวัดแล้วค่าโวลต์ไม่เท่ากับสติกเกอร์เมื่อไหร่ก็ควรนำไปเคลมหรือซื้ออันใหม่มาเปลี่ยนเลย ด้านของการเช็คแบตเตอรี่ในเครื่องว่าสภาพยังดีและเก็บประจุได้ดีหรือเปล่า ผู้เขียนได้แนะนำวิธีการเช็คไว้ในบทความ “เปลี่ยนแบตโน๊ตบุ๊คเมื่อไหร่ดี แบต 1-2 ปี ควรเปลี่ยนหรือยัง? ดูได้ทั้ง Windows และ MacOS” ได้เลย

4. สาเหตุอาจจะมาจากแรมที่ซื้อมาอัพเกรดก็ได้

Transcend Ram Notebook DDR4 8GB 2666Mhz CL19 SO DIMM JM2666HSB 8G 1 square medium

อีกสาเหตุที่โน๊ตบุ๊คดับเอง อาจจะมาจากแรมในเครื่องที่พอใช้งานมาสักระยะหนึ่งแล้วก็อาจจะมีออกไซด์สนิมหรือปัญหาอื่น ๆ ที่ไม่รู้เกิดขึ้นกับแรมของเราก็ได้ ซึ่งถ้าไล่เช็คจุดต้นเหตุส่วนต่าง ๆ จนหมดแล้วยังไม่ได้เช็คแรม แนะนำให้เปิดฝาเครื่องทดลองแก้ที่แรมด้วย

สำหรับวิธีการที่ผู้เขียนใช้เช็คแรมในโน๊ตบุ๊คและเดสก์ท็อปส่วนตัว จะต้องขันน็อตเปิดฝาเครื่องออกมาด้วย ดังนั้นแนะนำให้หาภาชนะมาใส่น็อตใต้เครื่องแยกเอาไว้ก่อน พอเช็คเสร็จค่อยขันกลับเข้าไป โดยวิธีการมีดังนี้

  1. ถ้าเครื่องมีแรมออนบอร์ด ให้ถอดแรมในช่องแรมออกแล้วปิดฝาเปิดเครื่องดูว่าสามารถรันได้ตามปกติหรือไม่ ถ้าใช้ได้ตามปกติแนะนำให้ Shut down ก่อนแล้วเอายางลบถูแรมจนสะอาดและใช้สเปรย์ Contact Cleaner พ่นตรงช่องใส่แรมแล้วรอให้น้ำยาแห้งก่อนค่อยใส่แรมกลับเข้าไป จากนั้นทดลองใช้งานตามปกติดูว่าโน๊ตบุ๊คยังดับเหมือนเดิมหรือเปล่า
  2. ถ้ามีแรม 2 ตัว ไม่มีออนบอร์ด – ให้ดับเครื่องเอาแรมมาทำความสะอาดให้เรียบร้อย ค่อยใส่กลับไปทีละตัวแล้วลองเปิดเครื่องใช้งานดู ว่าสามารถใช้งานได้ตามปกติไม่มีอาการเครื่องดับระหว่างใช้งานหรือเปล่า ซึ่งถ้าใช้งานได้ทั้งสองอันก็ตัดปัญหาว่าแรมเป็นต้นเหตุที่ทำให้โน๊ตบุ๊คดับได้เลย และก่อนจะประกอบแรมกลับเข้าที่แนะนำให้เอาสเปรย์ Contact Cleaner พ่นเข้าที่ช่องแรมทั้งสองช่องเพื่อทำความสะอาดคราบและสิ่งสกปรกให้เรียบร้อย

0511048 specialist contact cleaner 200 ml

ส่วนสเปรย์ Contact Cleaner จะเป็นสเปรย์สำหรับพ่นทำความสะอาดอุปกรณ์อีเล็กทรอนิกส์ในส่วนที่เป็นพอร์ตเชื่อมต่อ, หัวปลั๊กและอุปกรณ์ที่มีความละเอียดอ่อน ซึ่งเป็นน้ำยาสูตรพิเศษไม่ทำลายพื้นผิวพลาสติกและแห้งเองอย่างรวดเร็ว ใช้พ่นช่องแรมกับ M.2 NVMe SSD เพื่อทำความสะอาดได้เลย วิธีใช้คือเขย่ากระป๋องจนน้ำยาเข้ากันดีแล้วพ่นในช่องเสียบแรมแล้วลากจนสุดแนว ไม่ควรพ่นแบบกดค้างเอาไว้เพราะจะสกปรกเลอะเทอะและสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ

ส่วนตัวผู้เขียนแนะนำว่าถ้าใครมีโน๊ตบุ๊คกับพีซีอยู่ที่บ้านล่ะก็ แนะนำให้หาซื้อสเปรย์ Contact Cleaner ติดไว้สักกระป๋องเอาไว้พ่นทำความสะอาดช่องแรมและ SSD บนเมนบอร์ดได้เลย และราคาของสเปรย์นี้ก็ไม่แพงมากเพียงหลักไม่เกินร้อยหรือหนึ่งร้อยบาทต้น ๆ เท่านั้น แต่ใช้งานได้นานหลายปีแน่นอน

5. คนที่โอเวอร์คล็อกซีพียูหรือการ์ดจอก็เสี่ยงเครื่องดับนะ

5 ways overclocking improves gaming experience hero1536109343737

อันที่จริงโน๊ตบุ๊คนั้นมีเครื่องที่โอเวอร์คล็อกซีพียูได้เหมือนเครื่องเดสก์ท็อปแบบนับรุ่นได้เลยทีเดียว แต่จริง ๆ แล้วหลายคนอาจจะไม่รู้ว่าซีพียูของโน๊ตบุ๊คเองก็สามารถอันเดอร์โวลต์ (Undervolt) เพื่อลดความร้อนของซีพียูลงและทำให้เครื่องทำงานได้ดีขึ้นเช่นกัน แต่ถ้าทำไม่ดีหรือปรับตั้งค่าผิด ๆ ก็อาจจะทำให้โน๊ตบุ๊คดับเองได้ด้วย ดังนั้นถ้าใครเคยลองลดคล็อกซีพียูหรือโอเวอร์คล็อกซีพียูในคอมตัวเองแล้วเจอปัญหาเครื่องดับล่ะก็ แนะนำให้ลองปรับค่าโวลต์ของซีพียูกลับมาเป็นค่าปกติแล้วใช้งานดูก่อนอาจจะแก้ปัญหานี้ได้

6. คนใช้พีซีอย่าลืมเปลี่ยนซิลิโคนซีพียูด้วย

201906271192472238

เรื่องของความร้อนนั้นเรียกว่าเป็นใจความของอุปกรณ์ไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง ซึ่งผู้ใช้พีซีประกอบเองก็จะรู้กันว่าถ้าใช้เครื่องมาสักระยะก็ควรเปลี่ยนซิลิโคนของซีพียูสักครั้งเพื่อลดปัญหาความร้อนสูงเกินจนทำให้คอมดับ ซึ่งผู้เขียนเองก็มีประสบการณ์ตรงกับการที่ซิลิโคนเสื่อมสภาพแล้วคอมดับเช่นกัน โดยอาการคือคอมจะช้าลงและค้างจากนั้นก็จะดับโดยอัตโนมัติ ซึ่งจุดสังเกตคือเมื่อเปิดโปรแกรมที่กินทรัพยากรเครื่องมาก ๆ แล้วเครื่องจะหน่วงและดูด้วย HWMonitor แล้ว ซีพียูจะร้อนผิดปกตินั่นเอง

ThermalGrizzly Applikator

ส่วนตัวผู้เขียนแนะนำให้เปลี่ยนซิลิโคนทุก 6 เดือนหรือ 1 ปี เพื่อถนอมซีพียูให้เสื่อมสภาพช้าลง และแนะนำให้ลงทุนซื้อซิลิโคนคุณภาพจากแบรนด์ชั้นนำเช่น Corsair, Cooler Master, Thermalright รวมไปถึงแบรนด์ที่ผู้เขียนแนะนำเป็นส่วนตัวอย่าง Thermal Grizzly มาใช้เพื่อลดความร้อนให้ซีพียูทำงานได้ดีและเสถียรที่สุด ซึ่งบางคนอาจจะคิดว่าแค่ซิลิโคนก็เอาแบรนด์ไหนก็ได้ ป้ายลงไปก็ระบายความร้อนได้เหมือนกัน แต่ถ้าเราใส่ใจเลือกแบรนด์คุณภาพมาใช้ ก็จะทำให้ซีพียูเสื่อมสภาพช้าและรีดประสิทธิภาพออกมาได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน

7. ไม่ได้อัพเดทไดรเวอร์ให้เป็นเวอร์ชั่นใหม่ เครื่องเลยดับ

driver

เรื่องไดรเวอร์ที่หลาย ๆ คนมองข้ามก็อาจจะเป็นต้นเหตุของอาการโน๊ตบุ๊คดับเองได้เหมือนกัน เพราะไดรเวอร์บางตัวอาจจะมีโค้ดที่มีปัญหาซึ่งเป็นต้นเหตุของบั๊กที่ทำให้เครื่องดับได้ ดังนั้นถ้าคอมของใครทำงานไปแล้วอยู่ ๆ ก็ดับเอง ก็แนะนำให้ลองอัพเดทไดรเวอร์เป็นเวอร์ชั่นใหม่ที่ทางผู้ผลิตปล่อยให้ดาวน์โหลดดู ก็จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้

ส่วนคนที่ไม่แน่ใจว่าต้องไปอัพเดทที่ไหน แนะนำให้โหลดโปรแกรมช่วยอัพเดทไดรเวอร์อย่างเช่น DriverPack Solution มาช่วยอัพเดทก็ได้ แต่พออัพเดทเสร็จแนะนำให้ลบซอฟท์แวร์ที่ตัว DriverPack แอบติดตั้งมาให้อย่าง Mozilla Firefox ภาษารัสเซีย, Opera Browser และ Avast Antivirus ทิ้งด้วย ส่วนคนใช้โน๊ตบุ๊คแบรนด์ชั้นนำก็จะมีโปรซอฟท์แวร์ที่รวมการอัพเดทไดรเวอร์โดยตรงเช่น Lenovo Vantage, ASUS Armoury Crate, Dell SupportAssist อยู่ ก็เปิดขึ้นมาแล้วกดอัพเดทจากหน้าโปรแกรมนั้นเลยก็ได้ และแนะนำให้เข้ามาอัพเดททุกเดือนว่ามีไดรเวอร์เวอร์ชั่นใหม่ให้ดาวน์โหลดหรือยังด้วยจะดีที่สุด

nikolai chernichenko 4DLzZXyC8 k unsplash

สุดท้ายนี้ ทั้ง 7 วิธีที่เอามาแนะนำในบทความนี้จะเป็นวิธีการแก้ปัญหาแบบเบื้องต้นด้วยตัวเองก่อนที่จะต้องส่งต่อให้ช่างหรือเอาเข้าศูนย์บริการ โดยถ้าเป็นส่วนของไดรเวอร์หรือการทำความสะอาดเบื้องต้นที่ทำได้ด้วยตัวเองก็ขอแนะนำให้ลองเริ่มซ่อมและแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อนที่จะต้องไปถึงมือช่างให้เสียเครื่องไปแล้วทำงานไม่ได้และยังเสียเวลารอด้วยหากต้องใช้เวลาซ่อมหลายวันด้วย

แต่สุดท้ายแล้วถ้าลองแก้ตามวิธีการที่ผู้เขียนนำเสนอไปทั้งหมดแล้ว ยังมีปัญหาเครื่องดับเองอยู่เหมือนเดิมก็อาจจะมาจากส่วนของฮาร์ดแวร์ที่เราไม่รู้จักก็ได้ ถ้าถึงขั้นนั้นก็แนะนำให้ยกเครื่องเข้าศูนย์ไปให้ช่างที่ชำนาญการจัดการเช็คและซ่อมเครื่องตามขั้นตอนไปจะดีที่สุด


บทความที่เกี่ยวข้อง

kb cover

laptop battery cover

pc freeze cover

from:https://notebookspec.com/web/608403-7-ways-solve-laptop-suddenly-shut-down

เปิดแผนฉีดวัคซีนผสมสูตร วัคซีนเข็มกระตุ้นและแผนจัดสรรวัคซีน 13 ล้านโดส (ถ้าหาได้)

ผลการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคาร 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา ครม. มีมติรับทราบสรุปผลการประชุมประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อโควิด-19 (ศบค.) โดยมีการนำเสนอแนวทางการฉีดวัคซีนแบบผสมสูตร กรณีติดเชื้อโควิด-19 ไว้ โดยเมื่อ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา และมีมติเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 จำนวน 2 เข็ม ดังนี้

วัคซีนผสมสูตร

  • กรณีรับวัคซีน Sinovac เข็มที่ 1 และวัคซีน AstraZeneca เข็มที่ 2 ให้ฉีดห่างกัน 3-4 สัปดาห์
  • กรณีรับวัคซีน AstraZeneca จำนวน 2 เข็ม ให้ฉีดห่างกัน 10-12 สัปดาห์ (2 เดือนครึ่งถึง 3 เดือน)

กรณีฉีดวัคซีนในผู้สูงอายุให้พิจารณารับวัคซีน AstraZeneca 2 เข็ม และฉีดวัคซีน Sinovac 2 เข็มจะฉีดเฉพาะกรณีไป

แนวทางการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (Booster Dose)

ให้ฉีดวัคซีนตป้องกันโควิด-19 แก่บุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับวัคซีน Sinovac ครบ 2 เข็ม สามารถฉีดวัคซีน AstraZeneca หรือ Pfizer เป็นเข็มกระตุ้น 1 เข็มหลังจากได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 4 สัปดาห์ (1 เดือน) (สูตรก็คือ Sv-Sv-Az หรือ Sv-Sv-Pf) เมื่อมีวัคซีนเพียงพอและกลุ่มเสี่ยงได้รับวัคซีนแล้ว จะพิจารณาฉีดเข็มกระตุ้นให้ประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปในระยะถัดไป

หมอยงหรือ ศ นพ. ยง ภู่วรรณโพสต์ข้อความผ่าน Facebook ถึงกรณีการฉีดวัคซีนผสมสูตร ใจความสำคัญคือ “ถ้าให้วัคซีนสลับกัน โดยให้วัคซีนเชื้อตาย แล้วตามด้วยไวรัสเวกเตอร์ที่ 3-4 สัปดาห์ ภูมิต้านทานจะสูงที่ 700 หน่วย ในขณะที่ให้วัคซีน mRNA 2 ครั้งห่างกัน 3 สัปดาห์ ภูมิต้านทานจะขึ้นมาสูงถึงพัน 1700 หน่วย แต่การให้วัคซีนเชื้อตาย 2 เข็ม ตามด้วยวัคซีน virus Vector อย่างที่ขณะนี้บุคลากรทางการแพทย์ด้านหน้าทำอยู่ พบว่าภูมิต้านทานเฉลี่ยสูงขึ้นมา เฉลี่ยเป็น 10,000 หน่วย”

สิ่งที่หมอยงบอกคือ ฉีดวัคซีนเชื้อตาย 2 โดสตามด้วยวัคซีนที่เป็นไวรัสเวกเตอร์โดยมีระยะเวลาห่างกัน 3-4 สัปดาห์ ภูมิต้านทานสูงกว่าวัคซีน mRNA 2 โดส 

แนวทางการจัดหาวัคซีน ปี 2565

จัดหาวัคซีนในกรอบ 120 ล้านโดส โดยพิจารณาดำเนินการกับผู้ผลิตวัคซีนที่มีการพัฒนาวัคซีนรุ่นที่สองที่สามารถจะครอบคลุมไวรัสที่มีการกลายพันธุ์ โดยให้มีเป้าหมายการส่งมอบภายในไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 รวมทั้งรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต การสนับสนุนการวิจัยพัฒนาวัควีนต้นแบบเพื่อรองงรับการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส การกำหนดแนวทางการขึ้นทะเบียนวัคซีนที่พัฒนาในประเทศ กสนับสนุนการศึกษาภูมิคุ้มกันระยะยาวของผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ตลอดจนติดตามเฝ้าระวังไวรัสกลายพันธุ์ในปี 2565 และติดตามความหน้าการวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพิ่มเติม

แนวทางการจัดสรรวัคซีน

มีแผนการกระจายวัคซีนป้องกันโควิด-19 ระหว่างวันที่ 19 กรกฎาคม-31 สิงหาคม 2564 พิจารณาให้กับผู้ที่ได้จองฉีดวัคซีนล่วงหน้า (ผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรัง) แบ่งเป็น 3 กลุ่มจังหวัด

  • จังหวัดที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 (พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดและจังหวัดควบคุมสูงสุดบางจังหวัด) 11 จังหวัดคือ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาสและชลบุรี
  • จังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด หรือมีความเร่งด่วนในการเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ภายหลังการระบาดและแผนเปิดการท่องเที่ยวระยะถัดไป 18 จังหวัด คือเชียงราย เชียงใหม่ ตาก หนองคาย สระแก้ว บุรีรัมย์ พระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา ระยอง จันทบุรี ตราด เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ระนอง สุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า) ตรัง พังงา และกระบี่
  • จังหวัดอื่นๆ 48 จังหวัด

เกณฑ์การจัดสรรวัคซีนป้องกันโควิด-19 (15 กรกฎาคม – 31 สิงหาคม 2564)

  1. จำนวนประชากรที่นำมาคำนวณมาจากฐานข้อมูลประชากรจากทะเบียนบ้านและประชากรแฝง
  2. เป้าหมายฉีดให้ได้อย่างน้อย 70% ของจำนวนประชากรดังกล่าวทั้งผู้มีสัญชาติไทยและไม่มีสัญชาติไทย
  3. เป้าหมายให้บริการวัคซีน 13 ล้านโดสระหว่าง 15 กรกฎาคม – 31 สิงหาคม จำนวนวัคซีนที่จัดสรรจริงอาจปรับเปลี่ยนตามปริมาณวัคซีนที่ไทยจัดหาได้ กรณี* จัดหาวัคซีนได้ไม่ถึง 13 ล้านโดสจะลดลงตามสัดส่วนวัคซีนที่ได้
  4. ประเภทการจัดสรรเป็นไปตามมติศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19

ที่มา – รัฐบาลไทย, สถาบันวัคซีนแห่งชาติ

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post เปิดแผนฉีดวัคซีนผสมสูตร วัคซีนเข็มกระตุ้นและแผนจัดสรรวัคซีน 13 ล้านโดส (ถ้าหาได้) first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/thailand-mix-vaccine-covid-19-and-booster-doses-in-2021/

ตามคาด WHO ยืนยัน ไม่สามารถบังคับจีน มอบข้อมูลต้นตอโควิด-19 ระบาดได้

เป็นไปตามที่โลกต่างก็คาดการณ์กันถ้วนหน้า องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ออกมาประกาศว่าไม่สามารถที่จะบังคับให้จีนเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งที่มาของโควิด-19 ระบาดให้มากกว่านี้ได้ในขณะเดียวกันก็จะเพิ่มข้อเสนอเรื่องการศึกษาถึงความจำเป็นเพื่อให้เกิดความเข้าใจว่าไวรัสเกิดขึ้นได้อย่างไร

WHO China Covid-19 outbreak

Mike Ryan ผู้อำนวยการหน่วยงานโครงการฉุกเฉิน ระบุว่า WHO ไม่สามารถบังคับให้จีนเปิดกว้างมากกว่านี้ได้ WHO ไม่สามารถใช้อำนาจเพื่อบังคับใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ เราคาดหวังว่าจะได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่ รวมทั้งสนับสนุนรัฐสมาชิกในความพยายามด้านต่างๆ ได้ จากทฤษฎีที่ว่าไวรัสแพร่จากสัตว์ที่คาดว่าจะเป็นค้างคาวมาสู่มนุษย์หรือทฤษฎีที่ว่าไวรัสมาจากห้องแล็บจีนในอู่ฮั่น 

WHO ยืนยันว่าได้ส่งทีมเจ้าหน้าที่ไปเยือนจีนเพื่อตามล่าหาความจริงเกี่ยวกับแหล่งที่มาของโควิด-19 ระบาดแล้ว พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทั้งหมดซึ่งก็เป็นที่ถกเถียงกันมากถึงความโปร่งใสของจีน ซึ่งถ้าย้อนไปสมัยที่ Donald Trump เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาก็ยืนยันเรื่องนี้มาตลอดว่าไวรัสน่าจะหลุดมาจากจีน ด้าน Mike Pompeo ก็ยืนยันเช่นกันว่ามีหลักฐานสำคัญที่ทำให้เชื่อได้ว่า ไวรัสหลุดออกมาจากห้องแล็บ 

เมื่อมาถึงสมัยของ Joe Biden ก็ยังยืนยันอีกเช่นกันว่า จะหาข้อมูลเพิ่มให้ได้ว่าจริงๆ แล้ว โควิด-19 ระบาดมาจากสัตว์หรือมาจากห้องแล็บกันแน่ เพราะข้อมูลที่มีอยู่ในมือตอนนี้ไม่สามารถชี้ขาดได้ว่าจริงๆ แล้ว ไวรัสมาจากสัตว์หรือห้องแล็บจีน

ที่มา – Reuters, US News

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ตามคาด WHO ยืนยัน ไม่สามารถบังคับจีน มอบข้อมูลต้นตอโควิด-19 ระบาดได้ first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/who-said-cannot-force-china-to-disclose-covid-19-origin/

มีรายงานว่าอุปกรณ์หัวเว่ยกว่า 500,000 เครื่องโดนมัลแวร์ Joker เล่นงาน

ผู้ใช้หัวเว่ย มากกว่า 5 แสนรายได้ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นจากสโตร์ทางการของบริษัท ที่ติดเชื้อมัลแวร์ Joker จนถูกเอาไปสมัครบริการพรีเมียมต่างๆ โดยไม่รู้ตัว โดยมีนักวิจัยพบแอพถึง 10 รายการที่ดูไม่มีพิษภัยใน AppGallery แต่มีโค้ดอันตรายซ่อนอยู่

โค้ดดังกล่าวใช้สำหรับเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุมสั่งการของผู้ไม่หวังดีเพื่อโหลดเอาการตั้งค่าและโปรแกรมอันตรายอื่นๆ เข้ามาบนอุปกรณ์ ทั้งนี้จากรายงานของผู้ผลิตแอนติไวรัส Doctor Web ระบุว่าแอพอันตรายเหล่านี้มีเป้าหมายในการแทรกโฆษณาเป็นหลัก

แต่ปัญหาคือมีการโหลดโปรแกรมที่เอาไว้สมัครสมาชิกพรีเมียมรายเดือนให้ผู้ใช้ด้วย ในการหลบเลี่ยงการตรวจจับนั้น แอพเหล่านี้จะร้องขอการเข้าถึงการแจ้งเตือน ทำให้สามารถแอบส่องโค้ดยืนยันที่ส่งมาทาง SMS ของบริการต่างๆ ได้

มัลแวร์นี้สามารถแอบสมัครบริการได้สูงสุดถึง 5 บริการในปัจจุบัน และมีความเป็นไปได้ที่อาจเพิ่มขีดจำกัดนี้ในอนาคต แอพอันตรายในกลุ่มนี้มีทั้งแอพเวอร์ช่วลคีย์บอร์ด แอพกล้อง แอพแชทออนไลน์ แอพรวมสติกเกอร์ ไปจนถึงเกมส์

ที่มา : Bleepingcomputer

from:https://www.enterpriseitpro.net/joker-malware-infects-over-500-000-huawei/

ไม่โครซอฟท์เตือนการระบาดของอีเมล์ที่ชื่อ “Coronavirus Report”

เมื่อไม่นานมานี้มีผู้โจมตีใช้ไฟล์เอกสาร Excel 4.0 ที่เป็นอันตรายในการแพร่กระจาย Remote Access Tool (RAT) ที่ออกแบบมาสำหรับโจมตีโดยเฉพาะผ่านตัว NetSupport Manager ในขบวนการหลอกลวงฟิชชิ่งแบบเจาะจงเป้าหมาย

โดย NetSupport Manager ถือเป็นทูลตามปกติที่ใช้สำหรับแก้ปัญหาและให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคจากระยะไกล แต่ครั้งนี้อาชญากรไซเบอร์ได้ใช้เรื่องของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่ามาเป็นเหยื่อล่อ พร้อมทั้งแฝงตัวอยู่ในเอกสารเอ็กเซล เพื่อที่จะหลอกให้เหยื่อกดเปิด RAT ให้ทำงาน

ซึ่งทีมนักวิจัยด้านความปลอดภัยของไมโครซอฟท์ได้ออกมาแจ้งเตือนถึงขบวนการนี้ว่าตรวจพบตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีการใช้ไฟล์แนบที่ออกแบบมาให้แตกต่างกันหลายร้อยแบบด้วย

โดยพบแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของการโจมตีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ไฟล์เอ็กเซลที่นำมาใช้ก็มีการผูกสูตรให้ซับซ้อนจนจับแทบไม่ได้ แต่ทุกรูปแบบต่างก็มีมาโครที่เขียนโยงไปยังลิ้งค์ URL เดียวกันเพื่อดาวน์โหลดข้อมูลอันตราย

ที่มา : threatpost

from:https://www.enterpriseitpro.net/microsoft-warns-coronavirus-report-emails/

วิธีโจมตีใหม่ “Bluetooth BIAS” ทำให้แฮ็กเกอร์เข้าถึงอุปกรณ์ได้นับพันล้านเครื่อง

พบการโจมตีแบบใหม่ที่เรียกชื่อว่า Bluetooth BIAS ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถปลอมเป็นอุปกรณ์ที่แพร์ไว้เรียบร้อยแล้ว และยืนยันตัวตนได้สำเร็จโดยไม่ต้องใช้คีย์หรือรหัสผ่านสำหรับจับคู่อุปกรณ์ (Pairing)

โดยมีนักวิจัยจาก École Polytechnique Fédérale de Lausanne (EPFL) ได้ตีพิมพ์รายงานชื่อ BIAS: Bluetooth Impersonation AttackS ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับช่องโหว่บนมาตรฐานบลูทูธที่เปิดให้ผู้โจมตีเข้าควบคุมอุปกรณ์ พร้อมทั้งสร้างการเชื่อมต่ออย่างถูกต้องได้

ซึ่งทุกอุปกรณ์ที่ใช้มาตรฐาน บลูทูธปัจจุบันล้วนตกอยู่ในความเสี่ยง โดยนักวิจัยได้ตรวจสอบการโจมตีนี้กับอุปกรณ์จากยี่ห้อดังอย่าง Cypress, Qualcomm, Apple, Intel, Samsung, และ CSRก็ต่างพบว่ามีช่องโหว่ด้วยกันทั้งสิ้น การจะโจมตีด้วยวิธีนี้ให้สำเร็จนั้น อุปกรณ์จำเป็นต้องอยู่ในระยะการเชื่อมต่อของอุปกรณ์บลูทูธที่ตกเป้นเป้า ที่เคยเชื่อมต่อแบบ BR/EDR กับอุปกรณ์อื่นด้วยที่อยู่บลูทูธที่ผู้โจมตีทราบ

ที่มา : GBHackers

from:https://www.enterpriseitpro.net/bluetooth-bias-attack/