คลังเก็บป้ายกำกับ: องค์การอนามัยโลก

คำแนะนำจาก Bill Gates: โลกต้องการทีมและทุนกว่า 3 หมื่นล้านบาทต่อปีป้องกันโรคระบาด

ต้องบอกว่า คำเตือนจาก Bill Gates โดยเฉพาะเรื่องโรคระบาดนั้นค่อนข้างแม่นยำ โลกไม่อาจเมินเฉยได้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เขาศึกษาเรื่องโรคระบาดและเคยเตือนไว้แล้วว่าโลกยังไม่พร้อมที่จะเผชิญกับโรคระบาดตั้งแต่ปี 2015 แล้ว โลกเตรียมตัวเรื่องนี้น้อยไป หากจะมีอะไรสังหารผู้คนได้ถึง 10 ล้านคนภายใน 10 ปีข้างหน้าก็น่าจะเป็นไวรัสมากกว่าสงคราม และในที่สุด โควิดก็เริ่มระบาดจริงๆ ในช่วงปลายปี 2019 ตัวเลขล่าสุดของผู้ติดเชื้อโควิดทั่วโลกอยู่ที่ 534.88 ล้านคน เสียชีวิตโดยรวมอยู่ที่ 6.3 ล้านคน

Bill Gates

ล่าสุด Bill Gates กล่าวในงาน Time 100 Summit ว่า โควิด-19 ให้โอกาสมวลมนุษยชาติเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับโรคระบาดในอนาคต เขาประเมินว่าการเตรียมพร้อมดังกล่าวมีต้นทุนราว 1 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 3.4 หมื่นล้านบาทต่อปี เขาบอกว่า โลกจะต้องสร้างทีมผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดและการติดเชื้อประมาณ 3,000 คนเพื่อจะช่วยเหลือทุกประเทศในการพัฒนาการรับมือกับโรคระบาด ทีมที่ว่านี้ก็คือทีม Global Epidemic Response and Mobilization (GERM) หรือทีมที่จะต้องระดมสรรพกำลังเพื่อรับมือโรคระบาดในระดับโลก ซึ่งองค์การอนามัยโลกจะต้องเป็นผู้จัดการเรื่องนี้

หนึ่งในความรับผิดชอบหลักของทีม GERM ก็คือจะต้องเจาะลึกเรื่องโรคระบาดและคอยทดสอบแต่ละประเทศว่ามีการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับโรคระบาดไปถึงไหนแล้ว เกตส์บอกว่าโรคระบาดที่จะเกิดขึ้นครั้งถัดไปอาจจะทำให้อัตราคนเสียชีวิตสูงกว่านี้มากและนั่นอาจจะเป็นจุดจบของสังคมได้

โอกาสที่โรคระบาดจะเกิดขึ้นคืออีก 20 ปีข้างหน้า อาจจะมาทั้งจากธรรมชาติหรือไม่ก็จงใจทำให้มันเกิดขึ้น เขาบอกว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้มากกว่า 50% แนวคิดเรื่องทีม GERM คือสิ่งที่เกตส์สนับสนุนและนำมาถกเถียงผ่านหนังสือเล่มใหม่ของเขา หนังสือเรื่อง “How to Prevent the Next Pandemic” ที่ตีพิมพ์ไปตั้งแต่เดือนเมษายน

รู้จักทีม GERM ก่อนจะมีโรคระบาดครั้งถัดไป

เกตส์บอกว่า คุณไม่สามารถทำอะไรได้มากมายนัก หากคุณไม่สามารถรับมือกับสิ่งนั้นได้อย่างรวดเร็ว โรคระบาดคือปัญหาของโลก หากมีสักหนึ่งประเทศที่ไม่ได้ฝึกเพื่อรับมือในการตรวจพบโรคหรือควบคุมการระบาดของโรคได้ เมื่อนั้นปัญหาก็จะเกิดขึ้นกับประเทศอื่นๆ ทั้งหมด ทีม GERM อาจจะต้องรับผิดชอบอย่างจริงจังกับบางประเทศที่มีศักยภาพจำกัดในการรับมือกับโรคระบาด

เกตส์พูดถึงทีม GERM ผ่านบทความของเขาที่เผยแพร่ใน GatesNotes เมื่อ 30 เมษายนที่ผ่านมาว่า เขานึกถึงภาพยนตร์เรื่อง Outbreak จะมีฉากที่ปรากฏภาพนักโรคระบาดวิทยาของรัฐบาล 3 ทีมมาที่หมู่บ้านอันห่างไกลด้วยเฮลิคอปเตอร์ เนื่องจากคนในหมู่บ้านส่วนใหญ่เสียชีวิตจากอาการที่เหมือนกับโรค Ebola ทั้งหมดสวมชุดปฏิบัติการบนดวงจันทร์ (เหมือนชุด PPE ในปัจจุบัน) พวกเขาเปรียบเสมือนฮีโร่ที่กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อควบคุมภัยคุกคามก่อนที่มันจะระบาดออกมาทำร้ายคนอื่น เขาพูดถึงฉากที่ว่านี้เป็นเหมือนฉากที่ได้รับแรงบันดาลใจและตบท้ายด้วยว่ามันคือนิยายฉบับฮอลลีวูด

ในความเป็นจริงก็คือทีมปฏิบัติการที่ว่านี้ ไม่มีอยู่ในชีวิตจริงและเขาก็ได้แต่หวังว่ามันจะเกิดความเปลี่ยนแปลงโดยเร็ว เพราะมันเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราสามารถทำได้เพื่อป้องกันโรคระบาดครั้งถัดไป เขาบอกปัจจุบันนี้ก็มีองค์กรที่ทำงานอย่างหนักเพื่อรับมือกับโรคระบาดครั้งใหญ่ แต่กำลังของพวกเขาเหล่านี้ขึ้นอยู่กับทีมอาสาสมัคร ที่รู้จักกันดีที่สุดก็คือ GOARN หรือ Global Outbreak Alert and Response Network หรือเครือข่ายรับมือและเตือนภัยโรคระบาดโลก ที่ทำงานฮีโร่นี้แต่ไม่ได้มีพนักงานประจำ ไม่มีเงินทุน

เขาบอกว่าโลกจำเป็นต้องมีองค์กรผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ถาวร เป็นผู้ที่ได้รับค่าตอบแทนเต็มที่และมีการเตรียมพร้อมที่จะร่วมงานเพื่อรับมือกับโรคระบาดที่เป็นภัยอันตรายที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา จากนั้นเกตส์ก็พูดถึงหนังสือของเขาและระบุว่า เขาเรียกทีมนี้ว่า GERM (ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น)

ใครจะไปคิดว่าโลกเรา ไม่มีทีมผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลเรื่องโรคระบาดจริงจัง?

ในคลิปที่พูดถึงเรื่องทีม GERM นี้ เกตส์บอกเลยว่าเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากที่โลกไม่มีองค์กรระดับโลกที่จะมาทำงานอุทิศตนหรือทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการป้องกันโรคระบาด มีแต่ความพยายามแบบชั่วคราวหรือความพยายามแบบพาร์ทไทม์ที่ WHO จัดการประเด็นเกี่ยวกับสุขภาพมากมาย แต่ไม่มีทีมที่จะมาทำเรื่องนี้อย่างเต็มกำลัง เขาบอกว่าเราจำเป็นที่จะต้องมีสร้างทีมนี้เพื่อทำงานเต็มรูปแบบ ทีมนี้จะต้องมอนิเตอร์เชิงรุกเกี่ยวกับภัยคุกคามด้านสุขภาพที่จะเกิดขึ้นทั่วโลก

นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลจะต้องเห็นคลัสเตอร์โรคที่น่าสงสัย นักโรคระบาดวิทยาจะต้องมอนิเตอร์รายงานจากรัฐบาลแห่งชาติเพื่อที่จะสามารถระบุได้ว่ามันสามารถกลายเป็นโรคระบาดได้หรือไม่ จากนั้นก็ต้องรวมข้อมูลเข้าไว้ด้วยกันเพื่อที่จะประเมินสถานการณ์ ต่อมาผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จะต้องทำงานร่วมกันกับรัฐบาลและบริษัท เราจะต้องทำงานร่วมกันมากขึ้นในการวินิจฉัยโรค รักษาโรคและจัดหาวัคซีนป้องกันโรคที่จะสามารถขยายอัตราการผลิตให้ได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ

จากนั้นก็ต้องทำให้แน่ใจว่าแต่ละประเทศจะมีนโยบายในการจัดการตามแนวทางที่ถูกต้อง ทีมจะต้องมีการจัดการจำลองการจัดการโรคระบาดเป็นปกติ ทีม GERM จำเป็นต้องทดสอบระบบรับมือโรคระบาดของโลกและหาจุดอ่อนให้เจอ เราทำเช่นนี้ทั้งในสงคราม ในการจัดการไฟไหม้ ในการจัดการแผ่นดินไหว ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เราต้องทำกับโรคระบาดด้วย เกตส์คิดว่าเราจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสร้างทีม GERM เพื่อที่จะเตรียมพร้อมรับมือกับโรคระบาดให้ได้

นอกจากนี้เกตส์ยังพูดถึงบางมาตรการที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขทั่วโลกได้สนับสนุนให้เกิดขึ้นนับตั้งแต่โรคระบาดเริ่มเกิดขึ้น ซึ่งมีทั้งการยกระดับเทคโนโลยีเกี่ยวกับโรคระบาด ทั้งวัคซีนและวิทยาการเกี่ยวกับการรักษาโรค การสร้างระบบสาธารณสุขและการมอนิเตอร์โรคระบาดทั่วโลกได้ดีขึ้น

เกตส์ประเมินว่าทั้งโลกน่าจะมีต้นทุนในการดูแลเพื่อป้องกันโรคระบาดราว 1 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 3.4 หมื่นล้านบาทซึ่งก็ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่เล็กน้อยถ้าเทียบกับความสูญเสียจากโควิดระบาดที่เกิดขึ้นทั่วโลก เราสูญเสียกว่า 14 ล้านล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 485 ล้านล้านบาทกับการระบาดของโควิดครั้งนี้ ซึ่งถ้าโควิดครั้งนี้ทำคนเสียชีวิต 20 ล้านคนทั่วโลก เฉพาะในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 1 ล้านคน อัตราการตายจะอยู่ที่ 0.2%

Bill Gates - Melinda
Bill Gates – Melinda

มีคนติดเชื้อโควิดมากกว่า 530.8 ล้านคนและมีผู้เสียชีวิตจากไวรัสรวม 6.3 ล้านคน ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ประเมินไว้ว่า ยอดรวมผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดตั้งแต่ 1 มกราคม 2020 ถึง 31 ธันวาคม 2021 จะมีผู้เสียชีวิตจากโควิดระบาดโดยรวมอยู่ที่ 14.9 ล้าานคน ยอดรวมผู้เสียชีวิตมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า

เกตส์ยังวิพากษ์การรับมือโรคระบาดของสหรัฐอเมริกาภายใต้รัฐบาลทรัมป์ว่า มีความล้มเหลวในการรับมือกับโรคระบาดในช่วงแรกเริ่ม โรคระบาดไม่ได้ถูกตรวจสอบในช่วงเริ่มต้น หลังจากนั้นมันก็ยากจะที่จะควบคุมเพราะยอดการติดเชื้อมันพุ่งแบบ exponential growth หรือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดที่ยากจะควบคุม

ที่มา – Insider, JHU.EDU, GatesNotes

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post คำแนะนำจาก Bill Gates: โลกต้องการทีมและทุนกว่า 3 หมื่นล้านบาทต่อปีป้องกันโรคระบาด first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/bill-gates-guide-how-to-prevent-next-pandemic/

Omicron มาอีกแล้ว! ไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่จากแอฟริกาใต้ แพร่เชื้อเร็ว ติดซ้ำได้ อาจป่วยหนัก

WHO ประกาศไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์จากโควิดเดิม คือสายพันธุ์ Omicron ที่มีรหัสว่า B.1.1.529 ทางองค์การอนามัยโลกรายงานเกี่ยวกับสายพันธุ์นี้ครั้งแรกจากแอฟริกาใต้เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2021 เป็นสายพันธุ์ที่แพร่เชื้อเร็วกว่าสายพันธุ์อื่นๆ มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อซ้ำได้ เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวล

omicron

แอฟริกาใต้มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันทางองค์การอนามัยโลก ก็พบไวรัสสายพันธุ์นี้ โดยชื่อทางการคือ Omicron ถือเป็นสายพันธุ์ที่ 5 ที่องค์การอนามัยโลก ตั้งชื่อสายพันธุ์ ก่อนหน้านี้สายพันธุ์ที่น่ากังวลคือ Alpha (อัลฟา), Beta (เบตา), Gamma (แกมมา) และ Delta (เดลตา) ส่วนสายพันธุ์ที่ต้องให้ความสนใจ ต้องจับตาคือสายพันธุ์ lambda (แลมบ์ดา) และ mu (มิว)

Variants of Concern VOCs

ทางทีมผู้เชี่ยวชาญกำลังมอนิเตอร์สายพันธุ์ใหม่ที่น่ากังวลนี้อย่างใกล้ชิด เพราะมันอาจแพร่เชื้อได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น เป็นสาเหตุที่ทำให้ป่วยหนักได้หรือวัคซีนอาจจะมีประสิทธิภาพในการต้านไวรัสสายพันธุ์นี้ได้น้อย ทางโฆษกองค์การอนามัยโลกระบุว่า ประเทศต่างๆ ต้องเฝ้าระวังมาตรการในการเดินทางและสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการเว้นระยะห่างจากสังคม สวมใส่หน้ากาก หลีกเลี่ยงการรวมตัว อยู่ในห้องที่มีระบบระบายอากาศได้ดีและรักษาสุขอนามัยเสมอและรับวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ แพร่เชื้อ

ด้านนักวิทยาศาสตร์จากแอฟริกาใต้ตรวจพบสายพันธุ์ใหม่ราว 100 คน เมืองที่พบมากที่สุดคือเมืองเล็กๆ ที่อยู่ในแอฟริกาใต้ชื่อเมือง Gauteng ประชากรชาวแอฟริกาใต้ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ไปแล้ว 24% จำนวนการฉีดต่อวันอยู่ในระดับต่ำ น้อยกว่า 1.3 แสนคน ต่ำกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ที่ 300,000 คนต่อวัน แอฟริกาใต้ถือเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโควิดหนักสุดในทวีปแอฟริกา มีคนติดเชื้อรวมเกือบ 3 ล้านคน เสียชีวิตจากโควิดมากกว่า 89,000 คน

สายพันธุ์ omicron ถูกพบจากนักเดินทางที่มาจากแอฟริกาใต้ เบลเยียม บอสตวานา ฮ่องกง และอิสราเอล

Variants of Interest (VOIs)

ที่มา – WHO, Nikkei, CBC

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post Omicron มาอีกแล้ว! ไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่จากแอฟริกาใต้ แพร่เชื้อเร็ว ติดซ้ำได้ อาจป่วยหนัก first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/who-named-covid-19-new-variant-of-concern-omicron-b-1-1-529/

จีนปฏิเสธคำขอองค์การอนามัยโลก ไม่ให้สืบสาวที่มาโควิดระบาดรอบสอง

หลังจากที่ WHO หรือองค์การอนามัยโลกเคยลงพื้นที่ตรวจที่มาของการระบาดของโควิด-19 ในอู่ฮั่น จีนมาแล้วในช่วงมกราคม ปี 2021 ที่ผ่านมา (โควิดระบาดตั้งแต่ปลายปี 2019 ในอู่ฮั่น จีน หลังโควิดระบาดไปแล้วปีเศษ WHO เพิ่งจะได้ลงพื้นที่) ล่าสุด WHO ขอลงพื้นที่จีนอีกรอบ โดยระบุว่าเป็นไปตามแผนสำรวจที่มาของโควิดระบาดระยะสอง

แน่นอนว่าครั้งนี้ จีนไม่ยินยอมให้ลงพื้นที่เช่นเดิม ก่อนหน้านี้กว่าจะลงพื้นที่ได้ WHO ต้องยื่นเรื่องหลายต่อหลายครั้ง มีอุปสรรคอย่างมากกว่าจะได้ลงพื้นที่ ครั้งนี้ก็เช่นเดิม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 ที่ผ่านมาทางการจีนออกมาปฏิเสธ WHO หลังยื่นแผนการศึกษาเพื่อสอบสวนแหล่งที่มาของโควิดระบาดเฟส 2 ซึ่งทฤษฎีที่ว่าไวรัสหลุดออกมาจากห้องแล็บอู่ฮั่นนั้น จีนระบุว่านี่เป็นความอคติทางการเมือง จีนยืนกรานว่าได้ให้ความร่วมมือกับ WHO อย่างเต็มที่แล้ว หลังจากที่มีกระแสข่าวแล็บอู่ฮั่นเมื่อต้นปีที่ผ่านมาและยังมีรายงานร่วมกันที่เปิดเผยเมื่อเดือนมีนาคม ซึ่งก็ยังไม่พบว่าไวรัสมาจากสัตว์ชนิดใดและแพร่พันธุ์สู่คนได้อย่างไร

ถึงที่สุดแล้วเมื่อ WHO ยื่นเรื่องตรวจสอบแหล่งที่มาโควิดระบาดเฟสสอง จีนก็ไม่ยอมรับเรื่องและยังมองว่าเรื่องนี้ถูกครอบงำด้วยการเมืองและไม่เคารพต่อข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ เรื่องนี้ Zeng Yixin รองหัวหน้าคณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติจีน ระบุว่า เราหวังว่า WHO จะพิจารณาคำแนะนำจากนักวิทยาศาสตร์จีนอย่างใส่ใจ เกี่ยวกับประเด็นที่มาของโควิด-19 ที่ต้องเป็นคำถามที่อิสระจากการแทรกแซงทางการเมือง

รายงานร่วมของทั้งสองฝ่ายผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกตั้งข้อสงสัยว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่ไวรัสจะถูกปล่อยออกจากสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น ซึ่งก็เป็นสถานที่พัฒนาวัคซีนด้านไวรัสด้วย ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดี Biden ก็ออกมาเปิดเผยว่าจะตรวจสอบแหล่งที่มาของโควิด-19 ที่สหรัฐฯ เองก็มองว่ามีความเป็นไปได้ทั้งสองทาง คือไวรัสอาจแพร่จากสัตว์สู่คน หรือไม่ก็อาจจะออกมาจากห้องแล็บโดยไม่ตั้งใจ สาเหตุที่ Biden มองเช่นนี้เพราะข้อมูลและหลักฐานที่ได้ ไม่มากพอที่จะทำให้ฟันธงได้ว่าไวรัสมาจากทางใดทางหนึ่ง

สี จิ้นผิง Xi Jinping ประธานาธิบดีจีน
(Photo by Greg Bowker – Pool/Getty Images)

ด้านทำเนียบขาวก็ออกมาแสดงความผิดหวังอย่างสุดซึ้งถึงการตัดสินใจปฏิเสธของจีนที่ไม่ให้ WHO เข้าไปตรวจสอบแหล่งที่มาของโควิดระบาดเฟส 2 ตามแผนที่ WHO กำหนดไว้ ซึ่ง WHO ก็ต้องการตรวจทั้งที่มาที่ว่าไวรัสระบาดจากห้องแล็บหรืออาจเป็นตลาดสดในเมืองอู่ฮั่น สุดท้ายแล้วก็ทำได้เพียงขอความโปร่งใสจากทางการจีนให้สามารถตรวจสอบได้

ที่มา – Nikkei Asia (1), (2)

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post จีนปฏิเสธคำขอองค์การอนามัยโลก ไม่ให้สืบสาวที่มาโควิดระบาดรอบสอง first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/china-refuse-who-second-phase-plan-origin-investigation-covid-19/

ยังไม่มีใครรู้ผลกระทบระยะยาว: WHO เตือน อย่าจับคู่วัคซีนต่างยี่ห้อมาใช้ผสมกัน

Dr. Somya Swaminathan หัวหน้านักวิทยาศาสตร์องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกโรงเตือนเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ใครที่กำลังคิดจะจับคู่การใช้วัคซีนต่างยี่ห้อผสมนกัน ถือเป็นแนวโน้มที่อันตรายเพราะมีข้อมูลรับรองเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดกับสุขภาพน้อยมาก

ข้อมูลน้อย ไม่มีอะไรยืนยันผลกระทบทางสุขภาพระยะยาวหลังใช้วัคซีนผสมยี่ห้อกัน

Soumya Swammimathan กล่าวผ่านการสรุปออนไลน์วานนี้ เธอบอกว่าถือเป็นแนวโน้มที่อันตราย เพราะข้อมูลรองรับในการใช้วัคซีนต่างยี่ห้อผสมกันนั้น มีข้อมูลรองรับน้อย และมันก็อาจจะเกิดสถานการณ์ปั่นป่วนในประเทศที่คิดจะให้พลเมืองในประเทศใช้สูตรนี้ มันจะนำไปสู่การคิดต่อว่าจะใช้เมื่อไร และใครจะใช้โดสสอง โดสสาม โดสสี่เรื่อยไป

การจับคู่วัคซีนต้านโควิด-19 ต่างยี่ห้อมาใช้ผสมกันนั้นเพื่อหวังจะกระตุ้นภูมิต้านทานให้เพิ่มมากขึ้น เรื่องนี้ แคนาดาก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่กังวลประสิทธิภาพวัคซีนเช่นกัน โดยคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านภูมิคุ้มกันแห่งชาติแคนาดา (National Advisory Committee on Immunization: NACI) ได้ให้คำแนะนำไว้ตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมาว่า ประชาชนที่รับวัคซีน AstraZeneca เป็นโดสแรก ควรจะรับวัคซีน mRNA เช่น Pfizer หรือ Moderna เป็นโดสที่ 2 หรือใครที่ได้รับวัคซีนโดสแรกเป็น mRNA ควรจะได้วัคซีนชนิดเดียวกันเป็นโดสที่ 2

แต่วัคซีน mRNA สามารถใช้สลับกันได้ หากว่าผลิตภัณฑ์ตัวเดียวกันไม่มีให้พร้อมใช้งานในโดสที่ 2 เรื่องนี้ Theresa Tam หัวหน้าด้านสาธารณสุขแคนาดาระบุว่าว คำแนะนำนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วยกัน ทั้งความปลอดภัยและเรื่องการจัดหาวัคซีนด้วย เรื่องการใช้วัคซีนต่างยี่ห้อผสมกันนี้ ส่วนใหญ่จะมีแนวโน้มไปทางการใช้วีคซีน AstraZeneca เป็นโดสแรกและให้ใช้วัคซีน mRNA เป็นโดสสอง ผลการศึกษาของ University of Oxford ที่เปิดเผยเมื่อ 12 พฤษภาคม ระบุว่าการใช้วัคซีน mRNA อย่าง Pfizer คู่กับ AstraZeneca นี้อาจจะทำให้เกิดอาการข้างเคียงแบบอ่อนๆ แต่อาการเหล่านี้จะคงอยู่ในระยะสั้น ไม่อยู่ยาวนานและไม่ถึงขั้นป่วยจนต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล

ขณะที่ผลการศึกษาจากสเปนที่เผยแพร่เมื่อ 18 พฤษภาคมระบุว่า คนที่รับวัคซีน AstraZeneca เป็นโดสแรกและได้วัคซีน Pfizer เป็นโดสที่สองนั้นกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น 7 เท่า ถือว่ามากกว่าการใช้วัคซีน AstraZeneca ซ้ำเป็นโดสที่สอง ซึ่งแคนาดาไม่ใช่ประเทศเดียวที่ยอมรับหลักการนี้ สิ่งที่หลายประเทศกังวลสำหรับการใช้ AstraZeneca คือความเสี่ยงที่ทำให้เกิดลิ่มเลือด หลายประเทศในยุโรปก็ยอมรับข้อเสนอนี้ ซึ่งก็มีทั้งเดนมาร์ก ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรนี นอร์เวย์ สเปน และสวีเดน ที่เสนอให้ใช้วัคซีน mRNA เป็นโดสที่สองหลังใช้วัคซีน AstraZeneca เป็นโดสแรก

ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ ยังไม่มีใครรับรองว่าระยะยาวแล้ว การใช้วัคซีนแบบผสมยี่ห้อกันนี้จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อสุขภาพร่างกายของคน เรื่องนี้ Alberto Martin ศาสตราจารย์ด้านระบบภูมิคุ้มกันวิทยาจาก University of Toronto ระบุว่า อาจจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ในระยะยาว

ไทย ประเทศแรกที่คิดใช้วัคซีนผสมยี่ห้อจีนกับตะวันตก

สำหรับประเทศไทย ถือเป็นแห่งแรกที่คิดใช้วัคซีนผสมยี่ห้อกันระหว่างวัคซีนจีนกับวัคซีนตะวันตก อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีสาธารสุข ระบุว่า ให้ใช้วัคซีน AstraZeneca เป็นโดสที่สองหลังจากฉีดวัคซีน Sinovac ไปแล้วโดสแรก ให้ฉีด AstraZeneca ห่างกันประมาณ 3-4 สัปดาห์ การฉีดวัคซีนเช่นนี้จะช่วยกระตุ้นภูมิต้านทานให้ป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลตาได้

การผสมวัคซีนจีนกับตะวันตกหรือการใช้วัคซีน Sinovac ผสมกับ AstraZeneca นี้ยังไม่มีผลการศึกษาเผยแพร่ออกมา แต่ก็มีหลายประเทศที่กำลังหาทางผสมวัคซีนต่างยี่ห้อใช้อยู่เช่นกัน บ้างก็คิดว่าน่าจะใช้ booster dose เป็นเข็มที่ 3 การประกาศเตรียมใช้วัคซีนผสมกันของไทยเกิดขึ้นหลังมีบุคลากรทางการแพทย์หลายร้อยรายติดเชื้อโควิดหลังฉีด Sinovac ครบโดสแล้ว ไทยกำลังวางแผนใช้ booster shots ด้วยการนำเข้าวัคซีน mRNA เข้ามา มีการศึกษาเบื้องต้นพบว่าบุคลากรทางการแพยท์ในไทยราว 700 คนที่ฉีดวัคซีน Sinovac เข้าไป มีภูมิคุ้มกันราว 60%-70% สำหรับ 60 วันแรกหลังฉีดโดสสอง แต่หลังจากนั้นภูมิคุ้มกันจะลดลงครึ่งหนึ่งทุกๆ 40 วัน

ผศ. ดร.นพ. สิระ นันทพิศาล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทางคลินิก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวกับสำนักข่าว Reuters ว่า จากงานวิจัยของเรา ถ้าบุคลากรทางการแพทย์ได้รับวัคซีน Sinovac ปริมาณ 2 โดส พวกเขาควรจะได้รับ booster shot เป็นเข็มที่ 3 ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะใช้วัคซีน AstraZeneca หรือ Pfizer (ที่กำลังจะมา) จากนั้นก็คอยเฝ้าดูระดับภูมิคุ้มกันต่อ

เรื่องใช้วัคซีนต่างยี่ห้อผสมกันนี้ ผู้แทนจาก AstraZeneca ปฏิเสธจะให้ความเห็นกับการตัดสินใจของไทยดังกล่าว การตัดสินใจใช้วัคซีนขึ้นอยู่กับประเทศนั้นๆ ส่วน Sinovac ก็ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นใดๆ เช่นกัน หลังจากที่หลายประเทศที่พึ่งพาวัคซีนจากจีนอย่างมาก ทั้งในอินโดนีเซียและบราซิลต่างก็กังวลว่าจไม่สามารถป้องกันสายพันธุ์เดลตาที่พบครั้งแรกในอินเดียได้ ด้านจีนเองก็ไม่มีข้อมูลทางเทคนิคที่มีการทดลองขนาดใหญ่ ไม่มีข้อมูลการใช้วัคซีนจากการใช้งานจริงว่าวัคซีนจีนมีประสิทธิภาพต้านไวัรัสสายพันธุ์เดลตาได้ มีแต่ผู้เชี่ยวชาญจีนที่เร่งให้ฉีดวัคซีนแก่ประชาชนให้เร็วที่สุด

ยังขาดข้อมูลวัคซีนจีนต้านไวรัสสายพันธุ์เดลตาที่จะต้องได้รับการ peer reviews จากผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศอีกที ทั้งนี้ Zhong Nanshan นักระบาดวิทยาที่เป็นผู้ช่วยรับมือโควิด-19 ระบาดในจีนระบุว่า นักวิจัยพบว่า วัคซีนจีนมีประสิทธิภาพลดความเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการหนักจากไวรัสสายพันธุ์เดลตาได้ วิเคราะห์จากการติดเชื้อในกวางโจว แต่ก็มีกลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดเล็ก

ในเดือนที่ผ่านมา Liu Peicheng โฆษกจาก Sinovac กล่าวกับรอยเตอร์สว่า ผลจากตัวอย่างเลือดที่ฉีดวัคซีนแล้วพบว่า ช่วยลดผลกระทบจากไวรัสสายพันธุ์เดลตาได้ถึงสามเท่า โดยต้องใช้ booster shot ตามหลังการฉีดวัคซีนไปแล้วสองโดส โฆษกไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก ส่วน Feng Zijian อดีตผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคระบาดในจีนระบุว่า เรื่องวัคซีนจีนทั้งสองยี่ห้อนี้มีประสิทธิภาพน้อยเมื่อต้องใช้ต้านไวรัสสายพันธุ์เดลตา ถ้าเทียบกับไวรัสสายพันธุ์อื่น แน่นอน Feng ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรเพิ่มอีก

สิ่งที่จีนทำหลังจากเจอสายพันธุ์เดลตาระบาดที่เมืองกวางตุ้งซึ่งมีประชากรราว 126 ล้านคน คือการพยายามฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างเร็วที่สุดนับตั้งแต่เกิดการระบาด กวางตุ้งถือเป็นฮับการส่งออกขนาดใหญ่ของจีน แต่ก็กลายเป็นแหล่งคลัสเตอร์ไวรัสสายพันธุ์เดลตาที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่มีการติดเชื้อนี้ในประเทศช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาในกวางตุ้งเมืองหลวงของกวางโจวราว 146 คน และยังมีการติดเชื้อในฮับเทคโนโลยีอย่างเซินเจิ้นอีกหลายรายด้วยกัน สิ่งที่จีนทำคือปิดพรมแดนกวางโจว เซินเจิ้น ตงกวนให้เร็วที่สุด เร่งตรวจเชื้อครั้งใหญ่และทำตามกระบวนการเดิมที่เคยจัดการโควิดได้ รวมทั้งต้องมีบัตรผ่านข้ามพรมแดนจังหวัดเพื่อยืนยันว่ามีผลตรวจเป็นลบ

จีนเร่งฉีดวัคซีนโดยเร็วภายใน 19 พฤษภาคมจีนฉีดวัคซีนไปแล้ว 39.15 ล้านโดส จากนั้น 20 มิถุนายนก็ฉีดวัคซีนเพิ่มเป็น 101.12 ล้านโดส

ผลการศึกษาจากวัคซีนชาติตะวันตกเป็นยังไง?

ผลการศึกษาจาก Public Health England (PHE) ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาพบว่า หลังจากฉีดวัคซีนโดสที่สองแล้ว 2 สัปดาห์ วัคซีน Pfizer-BioNTech มีประสิทธิภาพป้องกันไวรัสสายพันธ์เดลตาได้ราว 88% เมื่อเทียบกับไวรัสสายพันธุ์อัลฟาที่พบครั้งแรกในอังกฤษถือว่ามีประสิทธิภาพสูงราว 93%

ขณะที่ถ้าฉีดวัคซีน AstraZeneca ครบสองโดส จะมีประสิทธิภาพต้านโรคโควิดที่ทำให้มีอาการจากไวรัสสายพันธุ์เดลตาได้ 60% ถ้าเทียบกับสายพันธุ์อัลฟาจะมีประสิทธิภาพต้านโควิด-19 ได้ราว 66% ทั้งนี้ ยังไม่มีข้อมูลที่มากพอสำหรับวัคซีน Johnson & Johnson ที่ฉีดเพียง 1 โดสสำหรับการต้านโควิด-19 ส่วนเรื่องการใช้ booster shots สำหรับวัคซีน mRNA นั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านการติดเชื้อโรคระบาดยังพิจารณาเรื่องนี้กันอยู่

สรุป

การใช้วัคซีนต่างยี่ห้อผสมกันนั้น ในยุโรปหรือบางประเทศที่เจริญแล้วส่วนใหญ่เน้นใช้วัคซีนเทคโนโลยี mRNA ตามหลังการฉีดวัคซีน AstraZeneca ที่มีความเสี่ยงจะเกิดลิ่มเลี่ยงเป็นโดสที่สอง กล่าวคือ ใครก็ตามที่ฉีด AstraZeneca เป็นโดสแรก ก็ให้ฉีดวัคซีน mRNA เป็นโดสที่สอง มีประเทศที่ทำอยู่หลายแห่งอาทิ แคนาดา เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรนี นอร์เวย์ สเปน และสวีเดน

ส่วนแนวคิดกระตุ้นภูมิหลังใช้วัคซีนจีนไปแล้ว กังวลประสิทธิภาพวัคซีนว่าจะไม่สามารถป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลตาที่เป็นสายพันธุ์หลักกำลังระบาดทั่วโลกตอนนี้ได้ จึงนำไปสู่แนวคิดที่จะใช้วัคซีนจีนผสมกับวัคซีนตะวันตกนั้น ตอนนี้มีการรายงานว่าไทยคิดได้เป็นแห่งแรกของโล และยังขาดข้อมูลรับรองอีกมากว่าการฉีดวัคซีนเช่นนั้นจะปลอดภัยหรือไม่ต่อสุขภาพในระยะยาว ด้านองค์การอนามัยโลกก็ไม่ยืนยันเรื่องการใช้วัคซีนต่างยี่ห้อผสมกันเพราะมีผลการศึกษาที่จะรับรองเรื่องดังกล่าวค่อนข้างน้อย ส่วนจีนก็เร่งฉีดวัคซีนต้านโควิดเท่านั้น ยังไม่มีข้อมูลหรือรายละเอียดใดยืนยันทั้งในแง่ของการทดลองในทางคลินิกที่ต้องใช้คนจำนวนมากและทั้งในแง่ของการใช้งานจริง มีก็แต่โฆษกจาก Sinovac ที่รับรองผลโดยไม่มีข้อมูลมายืนยัน

ที่มา – Reuters (1), (2), (3), Global News

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ยังไม่มีใครรู้ผลกระทบระยะยาว: WHO เตือน อย่าจับคู่วัคซีนต่างยี่ห้อมาใช้ผสมกัน first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/who-advise-do-not-mixing-and-matching-covid-19-vaccines-from-different-manufacturers/

ตามคาด WHO ยืนยัน ไม่สามารถบังคับจีน มอบข้อมูลต้นตอโควิด-19 ระบาดได้

เป็นไปตามที่โลกต่างก็คาดการณ์กันถ้วนหน้า องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ออกมาประกาศว่าไม่สามารถที่จะบังคับให้จีนเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งที่มาของโควิด-19 ระบาดให้มากกว่านี้ได้ในขณะเดียวกันก็จะเพิ่มข้อเสนอเรื่องการศึกษาถึงความจำเป็นเพื่อให้เกิดความเข้าใจว่าไวรัสเกิดขึ้นได้อย่างไร

WHO China Covid-19 outbreak

Mike Ryan ผู้อำนวยการหน่วยงานโครงการฉุกเฉิน ระบุว่า WHO ไม่สามารถบังคับให้จีนเปิดกว้างมากกว่านี้ได้ WHO ไม่สามารถใช้อำนาจเพื่อบังคับใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ เราคาดหวังว่าจะได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่ รวมทั้งสนับสนุนรัฐสมาชิกในความพยายามด้านต่างๆ ได้ จากทฤษฎีที่ว่าไวรัสแพร่จากสัตว์ที่คาดว่าจะเป็นค้างคาวมาสู่มนุษย์หรือทฤษฎีที่ว่าไวรัสมาจากห้องแล็บจีนในอู่ฮั่น 

WHO ยืนยันว่าได้ส่งทีมเจ้าหน้าที่ไปเยือนจีนเพื่อตามล่าหาความจริงเกี่ยวกับแหล่งที่มาของโควิด-19 ระบาดแล้ว พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทั้งหมดซึ่งก็เป็นที่ถกเถียงกันมากถึงความโปร่งใสของจีน ซึ่งถ้าย้อนไปสมัยที่ Donald Trump เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาก็ยืนยันเรื่องนี้มาตลอดว่าไวรัสน่าจะหลุดมาจากจีน ด้าน Mike Pompeo ก็ยืนยันเช่นกันว่ามีหลักฐานสำคัญที่ทำให้เชื่อได้ว่า ไวรัสหลุดออกมาจากห้องแล็บ 

เมื่อมาถึงสมัยของ Joe Biden ก็ยังยืนยันอีกเช่นกันว่า จะหาข้อมูลเพิ่มให้ได้ว่าจริงๆ แล้ว โควิด-19 ระบาดมาจากสัตว์หรือมาจากห้องแล็บกันแน่ เพราะข้อมูลที่มีอยู่ในมือตอนนี้ไม่สามารถชี้ขาดได้ว่าจริงๆ แล้ว ไวรัสมาจากสัตว์หรือห้องแล็บจีน

ที่มา – Reuters, US News

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ตามคาด WHO ยืนยัน ไม่สามารถบังคับจีน มอบข้อมูลต้นตอโควิด-19 ระบาดได้ first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/who-said-cannot-force-china-to-disclose-covid-19-origin/

ไวรัส COVID-19 มาจากไหน? Biden สั่งตรวจสอบแหล่งต้นตอโควิด-19 ระบาดใหม่

รัฐบาลสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของ Biden กำลังสั่งให้มีการสืบสวนสอบสวนถึงแหล่งที่มาของโควิด-19 ว่าจริงๆ แล้วระบาดมาจากที่ใด หลังจากที่สัปดาห์ก่อนหน้านี้มีข้อมูลเปิดเผยว่าเป็นไปตามทฤษฎีโรคระบาดหลุดออกมาจากห้องแล็บในอู่ฮั่น จีน เรื่องนี้จึงเริ่มกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง

ฺBiden investigate Covid-19

มีนักวิจัย 3 คนจากห้องแล็บในอู่ฮั่นจีนป่วยก่อนยืนยันผู้ป่วยเคสแรก?

ก่อนหน้านี้ Wall Street Journal (WSJ) เผยข่าว exclusive ระบุว่า มีนักวิจัย 3 คนจากสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น (Wuhan Institute of Virology: WIY) ป่วยในเดือนพฤศจิกายน 2019 พวกเขาหาทางรักษาตัวในโรงพยาบาลซึ่งก็เป็นข้อมูลจากการรายงานของสหรัฐอเมริกาที่ไม่เปิดเผยก่อนหน้านี้ และทำให้เรื่องนี้มีน้ำหนักมากขึ้นทำให้มีการเรียกร้อง ให้มีการสอบสวนว่าไวรัสหลุดมาจากห้องแล็บจริงหรือไม่ WSJ ระบุว่า รายละเอียดของรายงานเผยออกมาช่วงวันสุดท้ายของยุครัฐบาลทรัมป์ เผยให้เห็นว่านักวิจัยจากห้องแล็บป่วยช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปี 2019 นั้นมีทั้งอาการป่วยแบบเดียวกับโควิด-19 และอาการการป่วยตามฤดูกาล

ข้อมูลจากการรายงานของ WSJ นั้น สะท้อนให้เห็นทั้งสองฝั่น ดังนี้ ฝั่งจีนยืนยันเรื่อยมาว่าโควิด-19 ไม่ได้หลุดออกมาจากห้องแล็บแน่นอน ส่วนข่าวที่ว่ามีคนป่วยจากห้องแล็บนั้นก็เป็นอาการทั่วไป คนป่วยไข้ก็ย่อมต้องการไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นธรรมดา นอกจากนั้นยังบอกอีกว่า ไวรัสอาจจะไม่ได้มีแหล่งต้นตอระบาดมาจากจีนก็ได้ อาจจะมาจากห้องแล็บที่เป็นของทหารจากสหรัฐอเมริกาก็ได้ ดังนั้น WHO ควรไปตรวจสอบประเทศอื่นด้วยว่าโควิดระบาดมาจากประเทศอื่นหรือไม่

ขณะที่ข้อมูลทางฝั่งสหรัฐอเมริกาเองก็ยืนยันว่า โควิดระบาดมาจากจีนแน่นอน ส่วนเรื่องโควิดระบาดมาจากห้องแล็บของทหารในสหรัฐอเมริกาตามที่จีนกล่าวอ้างนั้นไม่มีเหตุผลใดที่น่าเชื่อถือได้เลย อีกทั้งในจีนมีคนป่วยตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2019 ก่อนที่จีนจะยืนยันว่ามีคนป่วยเคสแรกในจีนเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2019 อีก ส่วนเรื่องที่ว่าไวรัสแพร่จากค้างคาวหรือสัตว์อื่นสู่คนที่ไม่ใช่ไวรัสหลุดออกมาจากห้องแล็บนั้น สถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่นก็ไม่ได้แชร์ข้อมูลดิบหรือข้อมูลที่ทำการบันทึกไว้ หรือข้อมูลจากห้องแล็บใดๆ ให้

อย่างไรก็ดี รัฐบาล Biden ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นกับการรายงานของหน่วยข่าวกรอง แต่ทฤษฎีทั้งหมดเกี่ยวกับแหล่งที่มาของไวรัสก็ดูน่าเชื่อในทางเทคนิค สิ่งที่ควรจะต้องทำต่อไปคือการตรวจสอบทั้งจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายจากนานาประเทศ

ไวรัสโควิด-19 ถูกค้นพบในจีนนานแล้วตั้งแต่ปี 2012?

หลังจากที่ Wall Street Journal เผยแพร่รายงานว่ามีนักวิจัย 3 รายป่วยอยู่ก่อนหน้าหรือในเดือนพฤศจิกายน 2019 ก่อนที่จะมีการยืนยันเคสผู้ป่วยรายแรกในจีนเดือนธันวาคม 2019 ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ช่วงปลายปี 2019 เราจะเห็นข่าวการพบคนป่วยแปลกประหลาดไม่ทราบสาเหตุในจีนและยังไม่เปิดเผยข้อมูลใดๆ จนสื่อต่างประเทศทั่วโลกต่างตั้งคำถามต่อความผิดปกตินี้ รายงานของ WSJ ทำให้จีนสั่นสะเทือนไม่มากก็น้อย ยังมีรายงานชิ้นถัดมาที่มีการขุดลึกถึงที่มาว่าทำไม จึงมีแนวคิดที่ว่าไวรัสโควิดนั้นน่าจะหลุดออกมาจากห้องแล็บในจีนได้

WSJ ระบุว่า หมู่บ้านแห่งหนึ่งแถวชานเมือง ตั้งอยู่ในหุบเขาทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน มีเจ้าหน้าที่ใช้กล้องคอยสอดส่องดูแลเหมืองทองแดงอยู่ตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน ปี 2012 มีคนงานเหมือง 6 คนป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุหลังจากที่พวกเขาเข้าไปในเหมืองเพื่อจะจัดการมูลค้างคาว จากนั้นมีคนเสียชีวิต 3 คน นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันไวรัสวิทยาแห่งอู่ฮั่นถูกเรียกให้มาสืบสวนโรคหลังจากเก็บตัวอย่างค้างคาวจากเหมืองนี้ไป ก็มีการระบุว่าเป็นโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ตอนนี้ อาการป่วยของคนงานเหมืองยังไม่มีคำตอบ แต่ถ้าเป็นไปตามทฤษฎีสมคบคิดคือ ไวรัส SARS-CoV-2 น่าจะเป็นสาเหตุของโรคระบาดโควิด-19 และอาจจะหลุดออกมาจากห้องแล็บในอู่ฮั่น จนเป็นเหตุให้พบคนป่วยรายแรกในเดือนธันวาคม ปี 2019

เรื่องนี้ Andy Slavitt ที่ปรึกษาด้านโควิด-19 ของประธานาธิบดี Biden ออกมาเปิดเผยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า การสืบสวนโรคระบาดโควิด-19 โดยองค์การอนามัยโลกก่อนหน้านี้เป็นการรายงานที่มีข้อมูลอธิบายได้ไม่เพียงพอว่า ตามจริงแล้วโรคระบาดเริ่มต้นจากจุดใดเป็นที่แรก เขาบอกว่า เราต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ จะต้องมีกระบวนการที่โปร่งใสจากจีน เราจำเป็นต้องให้ WHO เข้ามาช่วยด้วย

ขณะที่จีนเองก็ปฏิเสธมาโดยตลอดเมื่อสหรัฐฯ เรียกร้องที่จะให้มีการตรวจสอบแหล่งที่มาของโควิด-19 ที่คาดว่าจะเป็นไวรัสโควิดที่หลุดออกมาจากสถาบันโรคระบาดในอู่ฮั่น เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่สื่อต่างๆ มองว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิดที่สร้างโดยหน่วยข่าวกรองสหรัฐอเมริกา lavitt ระบุว่า หลังจากที่รายงานของ Wall Street Journal อ้างว่า เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีนักวิทยาศาสตร์ 3 คนจากห้องแล็บในอู่ฮั่นมีอาการป่วยเหมือนโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาเพียง 1 เดือนก่อนที่จะมีรายงานอย่างเป็นทางการครั้งแรกว่ามีคนติดเชื้อ

Xi Jinping China สี จิ้นผิง จีน
ภาพจาก Shutterstock

ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานร่วมกับทีม WHO รายงานไว้เมื่อเดือนมีนาคมว่า ไวรัสนั้นไม่น่าจะหลุดออกมาจากห้องแล็บ แต่ดูแล้วมันจะแพร่ระบาดจากสัตว์สู่คนมากกว่า เรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์บางรายก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าโรคนี้น่าจะหลุดออกมาจากจีน ขณะที่ WHO ก็มีข้อมูลที่รายงานได้น้อยเกินไป ด้านผู้อำนวยการ WHO ระบุว่านักวิทยาศาสตร์จาก WHO นั้นเข้าถึงข้อมูลดิบจากจีนได้น้อยมากและจีนก็ปฏิเสธมาตลอดถึงประเด็นที่ถูกตั้งสมมติฐานว่าไวรัสหลุดออกมาจากห้องแล็บจีน

เหมืองต้องห้าม เหมืองที่นักข่าวพยายามหาทางเข้า แต่เข้าเท่าไรก็ไปไม่ถึง..

เหมืองทองแดงที่พบคนงานเหมืองเข้าไปจัดการทำความสะอาดมูลค้างคาวป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ 6 คน เสียชีวิต 3 คนตั้งแต่ปี 2012 นั้น พื้นที่นี้ถูกเจ้าหน้าที่ตั้งด่านกีดขวางการเข้าไปตรวจสอบเหมือง เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้สื่อข่าวต่างประเทศหลายคนพยายามเข้าไปตรวจสอบพื้นที่แห่งนี้ แต่ก็ไม่สามารถเข้าถึงได้

ผู้สื่อข่าวบางคนที่สามารถขี่จักรยานจนไปถึงเหมืองแล้วก็ถูกจับกุมตัวในเวลาต่อมา พร้อมกับการซักถามจากเจ้าหน้าที่ตำรวจราว 5 ชั่วโมง พวกเขาจะถูกลบภาพเหมืองในโทรศัพท์มือถือทั้งสิ้น ชาวบ้านละแวกนั้นบอกกับผู้สื่อข่าวว่า เจ้าหน้าที่เตือนไม่ให้พูดคุยเรื่องเหมืองกับคนภายนอก ยิ่งนานวันเข้า จำนวนนักระบาดวิทยา นักชีววิทยา นักวิทยาศาสตร์ที่เรียกร้องให้สำรวจสมมติฐานเรื่องโควิดหลุดออกจากห้องแล็บยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น

ขณะที่ Anthony Fauci ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดเชื้อและภูมิแพ้แห่งชาติ กล่าวว่า ถึงอย่างไรเขาก็ยังเชื่อว่าโรคนี้น่าจะแพร่จากคนสู่สัตว์มากกว่า (ไม่น่าจะหลุดออกมาจากห้องแล็บตามที่ว่ากัน) แต่เราก็ยังไม่รู้ว่าคำตอบที่ 100% คืออะไร มันจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ควรจะตรวจสอบ

Biden ไม่ฟันธงว่าไวรัสมาจากไหน ขอตรวจสอบที่มาอย่างโปร่งใส

ทางฝั่งจีนเอง นำโดย Hu Xijin บรรณาธิการ Global Times สื่อที่ควบคุมโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนระบุว่า ทฤษฎีที่ว่าโควิด-19 นั้นหลุดออกมาจากห้องแล็บนั้นเป็นการสร้างทฤษฎีสมคบคิดโดยหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ขณะที่ Zhao Lijian โฆษกกระทรววต่างประเทศจีนก็ปฏิเสธข้อคิดเห็นนี้ โดยระบุว่า ไม่มีใครในสถาบันไวรัสวิทยาจากอู่ฮั่นติดเชื้อก่อนเดือนธันวาคม ปี 2019 จากนั้นก็โจมตีสหรัฐฯ กลับว่า วัตถุประสงค์ที่แท้จริงที่สหรัฐฯ ต้องการจะเล่นงาน คือเรื่องทฤษฎีโรคหลุดออกมาจากห้องแล็บ ตามจริงแล้วสหรัฐฯ ไม่ได้ต้องการสืบสวนหาที่มาของไวรัสแต่ต้องการเบี่ยงเบนความสนใจใช่หรือไม่

ส่วนนักวิจัยจากห้องแล็บในอู่ฮั่นก็ปล่อยงานวิจัยที่ระบุว่า พบร่องรอยของไวรัสจากค้างคาวบริเวณทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน คาดว่าน่าจะเป็นที่มาของไวรัส Sars-Cov-2 ซึ่งงานศึกษานี้พบว่ายังไม่มีการ peer review (หมายความว่างานชิ้นนั้นยังไม่ได้ผ่านการพิจารณาตรวจสอบ หรือผ่านการอ่านชิ้นงานจากผู้เชี่ยวชาญและตัดสินว่า งานชิ้นนั้นได้รับการยอมรับหรือปฏิเสธ หรือให้กลับไปปรับปรุงแก้ไข)

ขณะที่แถลงการณ์ของ Joe Biden เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา พูดถึงเรื่องการตรวจสอบแหล่งที่มาซึ่งเป็นต้นตอของการระบาดโควิด-19 นี้ Biden ระบุว่า นับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2020 เขาได้ให้หน่วยงาน CDC (ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ) เข้าไปในจีนเพื่อที่จะศึกษาเรื่องไวรัสเพื่อที่เราจะได้รับมืออย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็ล้มเหลว จากนั้นในเดือนมีนาคม เขาก็ให้ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติทำรายงานและวิเคราะห์ถึงแหล่งที่มาของโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อแพร่เชื้อจากสัตว์สู่คนหรือจากห้องแล็บ Biden เพิ่งได้รับรายงานเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมนี้เอง เขาบอกว่าเขาก็ยังให้ติดตามดูต่อไปและให้รายงานกลับมาอีกครั้งภายใน 90 วัน

ผลของการรายงานนั้นพบว่า ข้อมูลยังไม่เพียงพอที่จะประเมินได้ว่าไวรัสมาจากที่ใดกันแน่ ในที่สุดแล้วสหรัฐอเมริกายืนยันว่าจะทำงานร่วมกับมิตรประเทศที่มีอยู่ทั่วโลกเพื่อกดดันจีนให้เข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ด้วย ให้สามารถตรวจสอบได้อย่างโปร่งใสและสามารถเข้าถึงข้อมูลทุกระดับที่เกี่ยวข้องได้

คลิปด้านล่างนี้จีนพยายามจะสวนกลับสหรัฐฯ ว่าสหรัฐฯ กำลังทำให้โควิดระบาดกลายเป็นเรื่องการเมือง แน่นอนว่าจีน พยายามพูดซ้ำๆ ตามเดิมว่าได้ให้ความร่วมมือกับ WHO แล้วว่าให้ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้ว พยายามที่จะแสดงความโปร่งใสให้ตรวจสอบแล้ว

สรุป

คำกล่าวที่ว่า ไวรัสหลุดมาจากห้องแล็บนี้ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่พูดกันมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลทรัมป์ จนกระทั่งโดนัลด์ ทรัมป์ลงจากตำแหน่ง โลกก็ยังไม่พบความชัดเจนว่าแท้จริงแล้วไวรัสมาจากไหน หลังจากที่พูดกันมาตั้งแต่เริ่มพบผู้ป่วยรายแรกจากตลาดสด อู่ฮั่น จีน แต่จีนกลับปฏิเสธว่า บางทีไวรัสอาจไม่ได้ระบาดมาจากจีนเป็นที่แรกแต่อาจเกิดจากห้องแล็บของทหารสหรัฐอเมริกา

ด้านสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาล Biden ไม่ได้ฟันธงว่าที่จริงแล้วไวรัสมาจากที่ใด แต่ขอความชัดเจนให้สามารถตรวจสอบจีนได้อย่างโปร่งใส โดยขอให้องค์การอนามัยโลกเป็นแกนหลักของเรื่องนี้ในการนำความจริงมาเปิดเผยให้โลกรู้ ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศที่ควรมาช่วยกันตรวจสอบ

สิ่งที่สหรัฐฯ ทำ ไม่ใช่แค่เพียงพยายามหาคำตอบให้ตัวเองทั้งในสถานะที่มีคนติดเชื้อมากที่สุดในโลกถึง 33.2 ล้านคน เสียชีวิตไปแล้ว 5.93 แสนคน แต่สหรัฐฯ กำลังมีบทบาทนำในการหาคำตอบให้คนทั้งโลกว่าเหตุใดโควิดระบาดได้หนักขนาดนี้ ที่มาของมันจริงๆ แล้วมาจากที่ใด ปัจจุบันทั่วโลกมีคนติดเชื้อโควิด-19 รวม 169,545,285 คน เสียชีวิต 3,524,519 คน และฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 แล้ว 1,808,302,164 โดส ไม่ใช่แค่ติดเชื้อโควิด แต่ยังมีการสูญเสียชีวิตของทั้งคนในครอบครัวและคนรอบข้างเพราะโควิดระบาด จีนในฐานะที่พบผู้ป่วยที่น่าจะเป็นคนแรกของโลกเหตุใดจึงไม่พิสูจน์ตัวเองให้โลกเห็น ถ้าบริสุทธิ์จริง ก็ควรจะปล่อยให้ตรวจได้อย่างโปร่งใสใช่หรือไม่?

อย่าลืมว่ากว่าองค์การอนามัยโลกจะเข้าไปตรวจสอบแหล่งที่มาของโควิดระบาดได้ ต้องใช้เวลาปีกว่าจึงได้ลงพื้นที่ นี่ยังไม่นับรวมปัญหาขาดแคลนวัคซีนและเข้าถึงวัคซีนไม่ได้ในหลายประเทศที่ยากไร้ ทั้งยากไร้อำนาจเงินในการต่อรองกับบริษัทผลิตยา ยากไร้อำนาจต่อรองทั้งในระดับตัวผู้นำเพื่อการเจรจาเอง ตลอดจนการไร้ความสามารถในการบริหารประเทศขณะที่ประเทศประสบวิกฤต เราจึงได้เห็นความเสื่อมโทรม ความไร้ศักยภาพของหลายรัฐบาลทั่วโลกที่ทำงานไร้ประสิทธิภาพจนนำพาชีวิตประชาชนอยู่ในสภาวะดิ่งเหวได้ตลอดเวลาและยังตกต่ำได้อีกเรื่อยๆ และไม่มีทางล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้วสถานการณ์โควิดระบาดนี้จะสิ้นสุดลงแท้จริงเมื่อไร

ที่มา – Financial Times, The White House, Wall Street Journal (1), (2)

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ไวรัส COVID-19 มาจากไหน? Biden สั่งตรวจสอบแหล่งต้นตอโควิด-19 ระบาดใหม่ first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/biden-investigation-origin-of-covid-19/

งานหนักไม่เคยฆ่าคน ไม่จริง ผลการศึกษาจาก WHO เผย มีคนตายจากการทำงานหนักปีละเกือบ 8 แสน

องค์การอนามัยโลก (WHO) เผยผลการศึกษา งานหนักไม่เคยฆ่าใคร ไม่จริง เพราะในปี 2016 มีคนตายจากการทำงานหนักเกือบ 8 แสนคน ยิ่ง Work From Home ยิ่งเป็นปัญหา เพราะคนส่วนใหญ่ทำงานมากขึ้นกว่าเดิม

เคยมีคำกล่าวที่ว่า “งานหนักไม่เคยฆ่าคน” สื่อถึงการทำงานหนัก และทุ่มเทให้กับการทำงาน แล้วผลตอบแทนที่ได้จะดีเอง แต่อย่างไรก็ตามถ้าใครคิดว่างานหนักไม่เคยฆ่าใคร ก็คงต้องคิดใหม่เสียแล้ว เพราะองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เปิดเผยผลการศึกษาว่า ในแต่ละปีมีคนที่เสียชีวิตจากการทำงานหนักจำนวนมาก

งานหนักไม่เคยฆ่าคน ไม่จริง ทุกปีมีคนตายจากการทำงานหนักหลายแสน

องค์การอนามัยโลก เปิดเผยผลการศึกษา พบว่า ในปี 2016 มีผู้เสียชีวิตจากการทำงานหนักมากถึง 745,000 คน เพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับปี 2000 โดยจำนวนผู้ที่เสียชีวิตจากการทำงานหนักนี้ แบ่งออกเป็น

    • เสียชีวิตจากเส้นเลือดในสมองแตก 398,000 คน
    • เสียชีวิตจากโรคหัวใจ 347,000 คน

คนทำงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กระทบหนักสุด

โดยผู้ที่เสียชีวิตจากการทำงานหนัก เป็นผู้ที่ทำงานมากกว่าสัปดาห์ละ 55 ชั่วโมง ยิ่งทำงานมาก ยิ่งเสี่ยงมาก นอกจากนี้องค์การอนามัยโลกยังระบุด้วยว่า ผู้ที่เสียชีวิตจากการทำงานหนักส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย (72%) และเป็นคนทำงานที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหลัก

อย่างไรก็ตามไม่ได้แปลว่าคนที่ทำงานหนัก จะมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตทันที หรือเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในเวลาไม่นาน เพราะองค์การอนามัยโลกพบว่า คนที่เสียชีวิตจากการทำงานหนักในช่วงอายุ 60-79 ปี เป็นคนที่เคยทำงานหนักมากกว่า 55 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ตั้งแต่ช่วงอายุ 45-74 ปี

ส่วนในกรณีที่ไม่ได้เสียชีวิต แต่การทำงานหนักก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพเช่นเดียวกัน เพราะการทำงานหนักเกิน 55 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ 17% และเพิ่มความเสี่ยงที่จะเส้นเลือดในสมองแตก 35%

ยิ่ง Work From Home ยิ่งทำงานหนักมากขึ้น

แม้ว่าทุกคนจะรู้ว่าการทำงานหนักส่งผลเสียต่อสุขภาพ มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แต่กลายเป็นว่าโลกนี้ก็ยังมีผู้ที่บูชาการทำงานหนักต่อไป จากสถิติขององค์การอนามัยโลกพบว่าประชากรโลกกว่า 9% เป็นคนที่ต้องเผชิญกับการทำงานหนัก

ยิ่งมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จนคนทำงานทั่วโลกต้องเปลี่ยนรูปแบบการทำงานเป็นการทำงานที่บ้าน (Work From Home) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชั่วโมงการทำงานจะน้อยลงกว่าเดิม จากการที่บริษัทบางแห่ง ปิดสำนักงาน ปรับลดพนักงาน เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ภาระหนักจึงตกอยู่ที่พนักงานที่ยังต้องทำงานอยู่

แม้ในมุมของนายจ้าง จะมองว่าการเปลี่ยนรูปแบบการทำงานมาทำงานที่บ้าน ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มมากขึ้นจากการที่พนักงานมีภาระรับผิดชอบเพิ่มขึ้นในขณะที่ทำงานที่บ้าน

ที่มา – WHO

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post งานหนักไม่เคยฆ่าคน ไม่จริง ผลการศึกษาจาก WHO เผย มีคนตายจากการทำงานหนักปีละเกือบ 8 แสน first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/work-hard-kill-people-almost-800000-per-years/

WHO เตือน ประเทศร่ำรวยควรเลิกฉีดวัคซีนให้เด็ก-วัยรุ่น เร่งบริจาควัคซีนให้ Covax

Tedros Adhanom Ghebreyesus ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก ระบุว่าประเทศที่ร่ำรวยควรหยุดฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ในเด็กได้แล้ว และควรบริจาควัคซีนนั้นเข้าโครงการ Covax เสียที

Tedros ผู้อำนวยการ WHO เผย ประเทศที่ร่ำรวยตอนนี้กำลังฉีดวัคซีนให้เด็กวัยรุ่น ขณะที่ประเทศที่ยากจนเพิ่งจะเริ่มฉีดวัคซีนให้บุคลากรที่ทำงานด้านสาธารณสุขและส่วนใหญ่เป็นกลุ่มบุคคลที่ทรงคุณค่าเพราะต้องรับมืออย่างหนักกับโรคระบาดนี้ แทนที่จะฉีดวัคซีนให้กลุ่มคนหนุ่มสาว ควรบริจาควัคซีนเข้าโครงการ COVAX ที่เป็นโครงการวัคซีนโลก เพื่อแบ่งปันวัคซีนให้ประเทศอื่นมีเกราะป้องกันโรคระบาดได้บ้าง

ประเทศที่ร่ำรวยทั้งหลายที่เป็นแหล่งจัดหาวัคซีนด้วย กำลังฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงต่ำ Tedros บอกว่าเขาเข้าใจที่ทำไมประเทศเหล่านี้ต้องการฉีดวัคซีนให้เด็กๆ และคนหนุ่มสาว แต่ตอนนี้เขาเรียกร้องให้หันมาบริจาควัคซีนให้โครงการ Covax ดีกว่าเพราะประเทสที่มีรายได้ปานกลางและรายได้น้อยไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนได้ คนทำงานด้านสาธารณสุขไม่ได้มีภูมิคุ้มกันเพียงพอ โรงพยาบาลต้องการรักษาชีวิตคนอย่างเร่งด่วน

ปัจจุบันมีการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ไปแล้ว 1.4 พันล้านโดสในพื้นที่อย่างน้อย 210 แห่งทั่วโลก ราว 44% เป็นการฉีดวัคซีนในประเทศที่มีรายได้สูงหรือประมาณ 16% ของประชากรโลก ขณะที่ประเทศรายได้น้อย 29 ประเทศ มีการฉีดวัคซีนเพียง 0.3% เท่านั้น หรือประมาณ 9% ของประชากรโลก การเข้าถึงวัคซีนที่ไม่เท่าเทียมกันเช่นนี้ อาจจะทำให้ปีนี้มีคนเสียชีวิตมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีวัคซีนแล้วก็ตาม ดังนั้น จงรักษาชีวิตและมีชีวิตอยู่โดยใช้มาตรการด้านสาธารณสุข (ใส่หน้ากาก ทำความสะอาดเสมอ เว้นระยะห่างจากสังคม) ควบคู่ไปกับการฉีดวัคซีนด้วย ไม่ใช่เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง นี่ก็พอจะเป็นทางรอดได้

ปัจจุบันโควิด-19 ติดเชื้อรวม 161,412,311 ล้านคน เสียชีวิตรวม 3,349,460 คน รักษาหาย 102,576,626 คนนับตั้งแต่โควิดระบาดในจีนเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2019 ที่ผ่านมา

ที่มา – SCMP

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post WHO เตือน ประเทศร่ำรวยควรเลิกฉีดวัคซีนให้เด็ก-วัยรุ่น เร่งบริจาควัคซีนให้ Covax first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/rich-countries-should-donate-covid-19-vaccine-for-covax/

บทสรุปจากทีม WHO หลังลงพื้นที่อู่ฮั่น: ไวรัสไม่ได้มาจากห้องแล็บ, ค้างคาวคือพาหะหลัก

หลังจากที่โควิด-19 ระบาดทั่วโลกแล้ว 1 ปี ทีมเจ้าหน้าที่จากองค์การอนามัยโลก (WHO) ก็ได้ลงพื้นที่อู่ฮั่น จีน ที่มาของโรคระบาดโควิดที่ปัจจุบันคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 2.3 ล้านคน 

สี จิ้นผิง Xi Jinping ประธานาธิบดีจีน
(Photo by Greg Bowker – Pool/Getty Images)

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่เป็นไปอย่างเชื่องช้า กอปรกับมิติทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งการระงับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาภายใต้การปกครองยุคทรัมป์ ตลอดจนอิทธิพลของจีนภายใต้สี จิ้นผิงที่ทำให้บรรยากาศโรคระบาดดูคลุมเครือ ล่าสุดทีม WHO ก็ได้ออกจากจีนแล้วเรียบร้อยและนี่คือสิ่งที่ WHO สรุปผล 

เรื่องแรก ค้างคาว

ภารกิจที่ทีม WHO ลงพื้นที่อู่ฮั่นพบว่า ทฤษฏีที่ว่าค้างคาวคือตัวแพร่โรคระบาดหลักๆ แพร่ไปยังสัตว์ชนิดอื่นก่อนจะแพร่สู่คนอีกทีนั้น แนวคิดนี้ยังคงเดิม แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ด้านอื่นๆ เพิ่ม อาทิ ค้างคาวสามารถแพร่เชื้อต่อคนได้โดยตรง แต่การแพร่เชื้อจากค้างคาวไปยังสัตว์อื่นสู่คนก็ยังมีความเป็นไปได้หลัก คำถามที่ยังคงอยู่ก็คือ สัตว์ชนิดใด? สถานที่ใดที่ทำให้เกิดการแพร่เชื้อ?

Horseshoe bat ค้างคาวเกือกม้า
ค้างคาวเกือกม้า ภาพจาก Wikimedia

เรื่องที่สอง ตลาด

ตลาดอาหารทะเลหัวหนานถือเป็นจุดเริ่มต้นของโรคระบาด ก็ยังมีคำถามค้างคาที่ว่าสถานที่แห่งนี้ยังเป็นที่แรกที่มีคนมาติดเชื้อเป็นที่แรกหรือไม่ สำหรับเคสแรกๆ อาจจะไม่ใช่และยังเป็นที่สงสัยอยู่ว่า สถานที่แรกที่มีการติดเชื้อ แพร่เชื้อนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ตลาดนี้ส่วนใหญ่เป็นอาหารทะเลที่แช่แข็งแล้ว แต่ก็ยังมีการขายสัตว์ป่าด้วย ซึ่งก็มีทั้งกระต่าย หนูอ้น (bamboo rats) หมาหริ่ง (ferret badger) สัตว์ฟันแทะที่ยังต้องสงสัยอยู่ว่า เป็นแหล่งแพร่ไวรัสด้วยหรือไม่ 

ทั้งนี้ หนึ่งในทีมสมาชิก WHO ระบุว่า สัตว์เหล่านี้บางส่วนได้ถูกติดตามไปยังฟาร์มหรือผู้ค้าสัตว์ซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่มีค้างคาวที่เป็นพาหะของไวรัส ขณะที่เจ้าหน้าที่จีนระบุว่าการติดเชื้อเกิดขึ้นทุกที่ทั่วอู่ฮั่น ในช่วงเวลาเดียวกันที่มีกลุ่มผู้ติดเชื้อในตลาด ดังนั้นไวรัสสามารถแพร่จากสัตว์สู่คนจากที่ใดก็ได้

เรื่องที่สาม ห้องแล็บ

บทสรุปจากผู้เชี่ยวชาญชาวจีนและนานาประเทศที่เคยมองว่าไวรัสหลุดออกมาจากสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น จีนนั้น ทีม WHO ระบุว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่มีหลักฐานที่ระบุว่ามีไวรัสออกจากห้องแล็บจริง หรือทฤษฎีที่ว่าไวรัสจะหลุดออกจากห้องแล็บที่อื่นในโลก ก็ไม่มีหลักฐานที่ระบุว่าเป็นเช่นนั้นจริง 

เรื่องที่สี่ The Cold Chain 

มีความคิดที่ระบุว่าเป็นไปได้ว่าไวรัสอาจจะแพร่สู่คนผ่านอาหารแช่แข็ง เรื่องนี้เคยมีเจ้าหน้าที่จีนระบุว่าพบเชื้อไวรัสจากอาหารแช่แข็งที่นำเข้ามา จึงเป็นไปได้ว่าไวรัสอาจจะนำเข้าจากจีนสู่ต่างประเทศ?

เรื่องนี้ เจ้าหน้าที่ WHO ระบุว่า ยังไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนี้ เรื่องการแพร่ไวรัสจาก Cold Chain หรือการจัดระบบโซ่ความเย็น กล่าวคือการขนส่งอาหารผ่านการแช่แข็ง ผ่านการควบคุมอุณหภูมินี้ ทีม WHO ระบุว่าเป็นไปไม่ได้ ไวรัสอาจมาจากที่ใดที่หนึ่งแต่ไม่สามารถมาจากวิธีผ่านการควบคุมอุณหภูมิผ่านห่วงโซ่ความเย็นเช่นนี้ 

Coronavirus Covid-19
Microscopic illustration of the spreading 2019 corona virus that was discovered in Wuhan, China.

เรื่องที่ห้า ข้อมูล 

ภารกิจที่ทีม WHO ลงพื้นที่อู่ฮั่นนี้ถูกตั้งคำถามอย่างมากถึงเสรีภาพในการสำรวจพื้นที่ของทีม WHO ขณะลงพื้นที่และการพูดคุยกับผู้คนที่ทีมต้องการ ด้านทีม WHO ระบุว่า พอใจสำหรับการจัดการทั้งหมด

ที่มา – CNA 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post บทสรุปจากทีม WHO หลังลงพื้นที่อู่ฮั่น: ไวรัสไม่ได้มาจากห้องแล็บ, ค้างคาวคือพาหะหลัก  first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/who-team-leaves-wuhan-china-after-inspection-origin-of-covid-19/

ครบกำหนด 14 วัน หมดเวลากักกันโรค ทีม WHO พร้อมลงอู่ฮั่นตรวจสอบที่มาโควิด-19

หลังจากที่ยื้อๆ ยุดๆ กันร่วมปี สำหรับการพยายามลงพื้นที่ตรวจสอบอู่ฮั่น จีน ล่าสุด ครบวาระ 14 วันแล้วที่ทีม WHO ไม่ต้องกักกันโรคอีกต่อไป เตรียมลงพื้นที่ตรวจสอบที่มาโควิด-19

Chinese People COVID-19 Check point
ภาพจาก Shutterstock

ทีม WHO เตรียมตรวจสอบตลาดอาหารทะเลที่มีการยืนยันจากสถาบันไวรัสวิทยาแห่งอู่ฮั่น เป็นสถานที่แรกที่เริ่มมีการระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ นักวิจัยยังเตรียมแผนสัมภาษณ์บุคลากรทางการแพทย์ที่พยายามสืบหาที่มาว่าไวรัสเริ่มระบาดมาจากที่ไหนก่อนจะแพร่เชื้อสู่คนได้

1 ปีผ่านไปแล้ว โควิดเริ่มแพร่ระบาด เจ้าหน้าที่ WHO บางรายก็เกิดความข้องใจว่าการตรวจสอบดังกล่าวจะช่วยทำให้ระบุที่มาของไวรัสระบาดได้จริงหรือ ตอนนี้จึงเป็นการมุ่งเข้าไปที่จีนมากกว่าจีนจะยอมรับ ข้อเรียกร้องจากทีม WHO ในการจัดเตรียมข้อมูลให้ได้มากน้อยแค่ไหน 

ทั้งนี้ Zhao Lijian โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนก็ได้แสดงความคิดเห็นว่าทีมงานควรจะมุ่งเป้าตรวจสอบเพื่อระบุว่าไวรัสมีที่มาจากไหนได้ตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ นี่คือภารกิจที่สำคัญที่สุดที่ควรจะเป็นไปเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต เพื่อปกป้องชีวิตมนุษย์ให้ปลอดภัยมากขึ้น เขาย้ำว่า ที่มาของไวรัสยังอยู่ในขั้นตอนตรวจสอบ เป็นไปได้ว่า ไวรัสอาจมีที่มาจากหลายแห่ง เขาเน้นว่าการพยายามตีความบนสมมติฐานทางการเมืองหรือมีการคาดการณ์ในแง่ลบเป็นสิ่งไม่เหมาะสม

China COVID-19 Face Masks
ภาพจาก Shutterstock

ที่มา – NHK

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ครบกำหนด 14 วัน หมดเวลากักกันโรค ทีม WHO พร้อมลงอู่ฮั่นตรวจสอบที่มาโควิด-19 first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/who-team-ready-to-inspect-in-wuhan-china/