ในหน้าจอถัดไป ระบบจะถามว่าต้องการให้ Windows ค้นหาและติดตั้งไดรเวอร์โดยอัตโนมัติหรือติดตั้งจากคอมพิวเตอร์ของคุณ หาก Windows ไม่พบไดรเวอร์ให้ลองดาวน์โหลดไดรเวอร์จากเว็บไซต์ของผู้ผลิต นอกจากนี้ยังมีวิธีอื่นๆ อีกหลายวิธีในการอัปเดตไดรเวอร์ Windows หากไม่ได้ผล(แต่การโหลดจากวิธีที่เราบอกไปนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด)
ภายใต้ส่วน Screenshots คุณจะเห็นกล่องสำหรับกาเครื่องหมายที่มีข้อความว่า “Automatically save screenshots I capture to OneDrive.” ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้เลือกช่องนี้ออกแล้ว หากเลือกช่องนี้ออกแล้วให้ทำการตรวจสอบอีกครั้งเพื่อดูว่าจะสามารถใช้งานได้ตามปกติหรือไม่
ใช้เครื่องมือแก้ไขปัญหาฮาร์ดแวร์ Windows 11
Windows 11 มีตัวแก้ไขปัญหาฮาร์ดแวร์ในตัว ซึ่งรวมถึงตัวแก้ไขปัญหาเฉพาะสำหรับแป้นพิมพ์ของคุณ ซึ่งอาจช่วยแก้ไขปัญหา Print Screen ของคุณได้
กดปุ่ม Windows และค้นหา Troubleshoot Settings เพื่อเปิดหน้าต่างใหม่
ในบานหน้าต่างด้านขวา คลิกที่ Additional troubleshooters และเลื่อนลงไปที่ Keyboard เลือกและคลิกที่เรียกใช้ Run the troubleshooter
หากวิธีการเหล่านี้ไม่ได้ผล มีสองสามวิธีที่คุณสามารถถ่ายภาพหน้าจอบน Windows โดยไม่ต้องใช้ปุ่มพิมพ์หน้าจอในกรณีที่คุณจำเป็นแต่ทว่าคุณจะต้องทำการโหลดแอปพลิเคชันเพิ่มเติม
error -2147219196 เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อคุณเปิดไฟล์รูปภาพด้วยแอป Photo ของ Windows หากคุณพบปัญหานี้ล่ะก็ บทความนี้จะแนะนำวิธีแก้ไขปัญหาให้คุณได้ลองทำกัน
error -2147219196
คุณอาจเห็นข้อผิดพลาดของระบบไฟล์ error -2147219196 เมื่อพยายามเปิดรูปภาพผ่าน Windows Photo App ที่ถูกติดตั้งมาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ Windows 10 เลย ในบางครั้ง error -2147219196 นี้ก็อาจเกิดขึ้นได้เมื่อคุณพยายามเปิดแอปอื่นๆ ของ Windows เช่นเครื่องคิดเลขเหมือนกัน(แต่ส่วนมากจะเจอกับแอป Photo เป็นส่วนใหญ่)
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เจอ error -2147219196 แล้วล่ะก็ มาดูกันดีกว่าว่าจริงๆ แล้วอะไรที่เป็นต้นเหตุของปัญหานี้และจะมีวิธีการใดบ้างที่คุณสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้เองก่อนที่จะตัดสินใจลง Windows ใหม่ ว่าแล้วก็ไปติดตามกันเลย
Advertisement
error -2147219196 มีสาเหตุมาจากอะไร
error -2147219196 เกิดขึ้นกับใครได้บ้าง
วิธีแก้ปัญหา error -2147219196
error -2147219196 มีสาเหตุมาจากอะไร
error -2147219196 นั้นปัจจุบันปรากฏเฉพาะใน Windows 10 เท่านั้นซึ่งมาจากการที่ตัวระบบปฎิบัติการ Windows นั้นป้องกันไม่ให้คุณใช้บางแอปพลิเคชันของระบบปฎิบัติการ Windows ได้(ส่วนใหญ่คือแอปรูปภาพ)
ตามข้อมูลที่ปรากฎออกมานั้นพบว่า error -2147219196 เป็นผลมาจากข้อผิดพลาดภายในการปรับปรุง Windows ใน Windows Update ใหม่ล่าสุดเลยทำให้เกิด error -2147219196 นี้ขึ้น นอกไปจากนั้นยังมีอีกทฤษฎีหนึ่งที่บอกเอาไว้ว่าบางครั้งแล้วปัญหา error -2147219196 นี้เกิดขึ้นมาจากสิทธิ์การเข้าถึงแอปที่เจอ error -2147219196 นั้นถูกเปลี่ยนแปลงไประหว่างที่ทำการอัปเดท Windows ผ่าน Windows Update
error -2147219196 เกิดขึ้นกับใครได้บ้าง
ในปัจจุบันนี้ “File system error (-2147219196)” ยังพบเฉพาะกับผู้ที่ใช้งานระบบปฎิบัติการ Windows 10 เท่านั้น ดังนั้นแล้วหากจะบอกว่า error -2147219196 เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ใช้ Windows 10 ก็ถือว่าได้ อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้น error -2147219196 นี้ไม่ได้พบเฉพาะกับปัญหาการเปิดไฟล์รูปภาพผ่านแอป Photo ของ Windows 10 เท่านั้นเนื่องจากมีรายงานออกมาว่ากลุ่มผู้ใช้ที่ใช้แอปของทาง Microsoft ที่ติดตั้งมาพร้อมกับ Windows 10 โดยตรงแอปอื่นๆ ก็พบปัญหาดังกล่าวนี้เช่นเดียวกัน
ดังนั้นอาจจะสรุปได้ว่า error -2147219196 นี้เป็นปัญหาที่เกิิดขึ้นกับผู้ใช้งาน Windows 10 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นใช่ว่าปัญหาดังกล่าวนี้จะไม่เกิดขึ้นกับ Windows 11 เลย ดังนั้นวิธีแก่ปัญหาเบื้องต้นที่เราจะแนะนำในหัวข้อต่อไปนั้นก็ยังสามารถประยุกต์ใช้งานกับ Windows 11 ได้ด้วยในอนาคต(หากเกิด error -2147219196 ขึ้นมา)
วิธีแก้ปัญหา error -2147219196
สำหรับวิธีการแก้ไขปัญหา error -2147219196 มีอยู่หลายวิธี ดังนั้นก่อนที่จะถอดใจแล้วติดตั้ง Windows ใหม่เราขอแนะนำวิธีการตั้งแต่ง่ายที่สุดไปจนถึงหนักที่สุดตามลำดับต่อไปนี้
1. เปิดใช้งาน Windows Store Apps Troubleshooter
เรียกใช้ตัวแก้ไขปัญหาแอพ Windows Store Windows 10 มีตัวแก้ไขปัญหาในตัวที่จะจัดการกับข้อผิดพลาดที่เกี่ยวข้องกับแอพที่เป็นของ Microsoft Store (เช่น Photos) โดยอัตโนมัติ เราขอแนะนำอย่างยิ่งให้ใช้งานก่อนที่จะดำดิ่งสู่การแก้ไขส่วนที่เหลือ
หากขั้นตอนที่ 1 – 3 ยังไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาให้คุณได้ ขั้นตอนต่อไปให้คุณลองทำการอัปเดทแอปผ่านทาง Microsoft Store ซึ่งทาง Microsoft มักจะมีการปล่อยอัปเดทออกมาค่อนข้างบ่อย(แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงจะตั้งให้อัปเดทอัตโนมัติบน Settings ใน Microsoft Store แล้วมันก็ไม่เคยอัปเดทให้อัตโนมัติสักที) สำหรับวิธีการนั้นจะมีดังต่อไปนี้
เปิด Microsoft Store
เลือกไอคอม Library ทางแทบด้านซ้ายตรงด้านล่าง(แต่ถ้าคุณยังใช้ Microsoft Store รุ่นเก่าอยู่คุณจะต้องทำการเปิดเมนู Store หรือไอคอนที่มีรูปจุด 3 จุดอยู่) จากนั้นให้เลือกที่ Downloads and updates
เลือก Get updatesหลังจากนั้นรอให้ Microsoft Store อัปเดทแอปทั้งหมด
6. ลงทะเบียนแอปพลิเคชันทุกแอปที่ติดตั้งมาพร้อม Windows ใหม่ทั้งหมด
ยาที่แรงขึ้นมาหากขั้นตอนที่ 5 ยังไม่สามารถช่วยได้ก็ Windows PowerShell (Admin)คือการบังคับให้ Windows ลงทะเบียนแอปพลิเคชันที่ติดตั้งพร้อมกับ Windows ใหม่ทั้งหมดโดยสามารถที่จะทำได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้
กดปุ่ม Win + X พร้อมกันเพื่อเรียก Windows PowerShell (Admin)
คัดลอกข้อความต่อไปนี้แล้วนำไปวางในหน้าต่าง Windows PowerShell (Admin) ที่ปรากฎขึ้นมาจากนั้นกด Enter
โดยปกติแล้วผู้ใช้ SYSTEM นั้นก็คือตัวระบบปฎิบัติการ Windows เองทำให้ผู้ใช้งานทั่วไปไม่สามารถที่จะได้สิทธิ์ SYSTEM ด้วยวิธีปกติได้ เพื่อที่จะให้คุณได้สิทธิ์ SYSTEM ในการติดตั้งแอประบบใหม่นี้จะต้องใช้โปรแกรมช้วยอย่าง PsExec ซึ่งสามารถที่จะทำได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้
9. ทำการถอนการติดตั้ง Windows Update เวอร์ชันล่าสุดที่ก่อให้เกิดปัญหา
จริงๆ แล้วการที่จะมาถึงขั้นตอนนี้ได้นั้นค่อนข้างจะยากอยู่พอสมควร ทว่าหากคุณแก้ตามขั้นตอนด้านต้นทั้งหมดแล้วพบว่ายังคงไม่สามารถใช้งานได้อยู่เราก็จะแนะนำให้คุณถอนการติดตั้งอัปเดทเวอร์ชันล่าสุดของ Windows ที่คุณพึ่งลงไปดังขั้นตอนต่อไปนี้
เข้าไปที่ Settings แล้วเลือก Update & Security หรือ Windows Update ทางแทบด้านซ้าย หลังจากนั้นให้เลือกที่ View update history ทางหน้าจอด้านขวา
Windows เป็นระบบปฎิบัติการที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก แน่นอนว่าเป็นเรื่องปกติที่มันจะตามมาด้วยการพับเจอปัญหามากมาย บางข้อผิดพลาดผู้ใช้ก็ยังสามารถที่จะใช้งานระบบต่อไปได้ แต่บางข้อผิดพลาดก็อาจจะถึงขึ้นทำให้ระบบล่มจนสามารถใช้งานต่อเนื่องไม่ได้
โดยปกติคุณจะพบข้อผิดพลาด 0x8007045d ขณะคัดลอกไฟล์เดียวหรือหลายไฟล์ผ่านแหล่งเก็บข้อมูลภายนอก ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็น USB Flash หรือแหล่งเก็บข้อมูลแบบ CD/DVD/Blu Ray ทว่าการเกิดขึ้นของข้อผิดพลาด 0x8007045d บน Windows 10 และ Windows 11 ที่พบได้มากที่สุดก็คือตามอที่ระบบปฎิบัติการกำลังทำการโหลดอัปเดต(หรือระหว่างการอัปเดท) ตัวระบบปฎิบัติการ Windows แต่อย่างไรก็ตามข้อผิดพลาดนี้ยังปรากฏขึ้นระหว่างการถ่ายโอนไฟล์ที่ผิดพลาดหรือการสำรองข้อมูลได้ด้วยอีกต่างหาก
ข้อผิดพลาดอาจปรากฏเป็นการแจ้งเตือนได้ดังต่อไปนี้
Windows cannot install the required files. Make sure all the files necessary for installation are available, and restart the installation. Error code: 0x8007045D
Error 0x8007045D: The request could not be performed because of an I/O device error.
แหล่งเก็บข้อมูลภายนอกของคุณอย่าง external hard drive, USB drive, CD, DVD หรือ Blu ray มีปัญหาซึ่งอาจจะเกิดขึ้นจากช่องเชื่อมต่อส่วนใหญ่คือ USB หรือตัวแหล่งเก็บข้อมูลนั้นๆ มีปัญหา(ตัวอย่างเช่นหากเป็นแผ่น CD/DVD นั้นก็อาจจะมาจากการที่ตัวแผ่นได้รับการเก็บรักษาไม่ดีจนทำให้เกิดรอยขึ้นทางด้านหลังของแผ่น)
แต่หากคุณลองทุกวิธีการแล้วยังพบปัญหาเดิมอยู่นั่นอาจจะเป็นสัญญาณว่าเซ็กเตอร์ใน Hard disk ที่คุณใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊คของคุณเกิดความเสียหาย ซึ่งการเสียหายนี้นั้นถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่มีผลเสียต่อความสมบูรณ์โดยรวมของไฟล์ทั้งหมดที่อยู่ใน Hard disk นั้นๆ ดังนั้นคุณควรสำรองไฟล์อื่นๆ ที่สำคัญทั้งหมดเอาไว้ที่อื่นแล้วรีบไปหาช่างที่คุณไว้ใจได้เพื่อเช็คอาการดูโดยด่วย
หากคุณพบข้อผิดพลาด 0x8007045d ให้ลองรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊คของคุณเพื่อแก้ไขดูก่อนเป็นลำดับแรก โดยทั่วไปแล้ววิธีการนี้ใช้ได้ผลเสมอกับปัญหาส่วนใหญ่ของ Windows ดังนั้นการรีสตาร์ท Windows จึงถือว่าเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดและสิ่งแรกที่คุณควรจะลองทำเมื่อเจอปัญหาใดๆ ก็ตามบนระบบปฎิบัติการ Windows
ทั้งนี้หากทำการรีสตาร์ทแล้วยังพบข้อผิดพลาดอยู่นั่นอาจจะหมายความว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณเริ่มมีปัญหาที่ใหญ่มากกว่าการที่ระบบปฎิบัติการ Windows ที่ได้รับการเริ่มต้นการทำงานใหม่ผ่านการรีสตาร์ทไม่สามารถช่วยได้เช่นเครื่องของคุณอาจจะมีข้อผิดพลาดของอุปกรณ์ I/O ให้คุณลองวิธีการต่อไป
2. ทำการอัปเดต Windows
วิธีการแก้ไขปัญหาที่ง่ายที่สุดรองลงมาที่คุณควรทำเป็นอย่างที่สองเลยก็คือลองทำการอัปเดทระบบปฎิบัติการ Windows ผ่านทาง Windows Update โดยตรง เพราะการอัปเดทระบบปฎิบัติการ Windows ในแต่ละครั้งนั้นจะมีการเขียนบันทึกไฟล์ระบบใหม่ลงไปด้วย สำหรับวิธีการนั้นให้คุณทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
กดปุ่ม Win + I เพื่อเปิด Windows Settings
คลิกที่ Windows Update
จากนั้นคลิกที่ Check for updates
คลิกที่ Download & install เพื่อเสร็จสิ้นการติดตั้งระบบปฎิบัติการ Windows เวอร์ชันใหม่ที่ได้รับการอัปเดทและเพิ่มการแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ
3. ลองใช้พอร์ต USB อื่น
จริงๆ แล้ววิธีการนี้ควรเป็นวิธีการแรก แต่ที่เรานำมาเอาไว้เป็นขั้นตอนที่ 3 นั้นก็เนื่องมาจากว่าหากคุณพบว่าพอร์ต USB ของเครื่องคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊คมีปัญหานั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าอาร์ดแวร์หลักของเครื่องอย่างเมนบอร์ดอาจจะเกิดข้อผิดพลาดซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุเอามากๆ ไม่ว่าจะเป็นเมนบอร์ดเสียหายเองหรือแหล่งจ่ายไฟมีปัญหา
และที่สำคัญเลยนั้นก็คือวิธีการนี้จะใช้งานได้เฉพาะก็ต่อเมื่อคุณเกิดข้อผิดพลาด 0x8007045d กับแหหล่งเก็บข้อมูลภายนอกที่เชื่อมต่อผ่าน USB เท่านั้น วิธีการก็คือให้คุณลองทำการเสียบแหล่งเก็บข้อมูลภายนอกเข้ากับพอร์ต USB อื่นที่มีอยู่ทั้งหมดบนคอมพิวเตอร์และโน๊ตบุ๊คของคุณทีละพอร์ตๆ หากลองเปลี่ยนพอร์ต USB แล้วพบว่าพอร์ต USB ใหม่นั้นสามารถใช้งานได้โดยไม่พบข้อผิดพลาด 0x8007045d เราขอให้คุณทำการรีบสำรองข้อมูลให้หมดแล้วให้คุณนำเครื่องไปหาช่างที่เชี่ยวชาญที่คุณไว้ใจเพื่อทำการบอกปัญหาโดยด่วนเพื่อทำการตรวจสอบดูว่าปัญหาดังกล่าวนี้เกิดขึ้นจากฮาร์ดแวร์ของตัวเครื่องหรือไม่(ควรทำเป็นอย่างยิ่งหากเครื่องคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊คของคุณยังอยู่ในประกัน)
บางครั้งการใช้ USB HUB หรือตัวขยายพอร์ต USB ก็อาจจะก่อให้เกิดข้อผิดพลาด 0x8007045d นี้ขึ้นได้เช่นกันดังนั้นเพื่อไม่ประมาทคุณควรต่อแหล่งเก็บข้อมูลภายนอกกับพอร์ต USB ของคอมพิวเตอร์และโน๊ตบุ๊คของคุณโดยตรงดู
5. เรียกใช้ Hardware and Device Windows Troubleshooter
Microsoft ได้จัดทำเครื่องมือมากมายที่ช่วยให้คุณทำการแก้ไขข้อผิดพลาดเบื้องต้นต่างๆ บนระบบปฎิบัติการ Windows ได้ด้วยตัวของคุณเอง โดยตัว Hardware and Device troubleshooter นั้นจะทำการวินิจฉัยคอมพิวเตอร์ของคุณทั้งในส่วนของระบบไฟล์ของตัวระบบปฎิบัติการ(เช่น Driver) รวมถึงวินิจฉัยฮาร์ดแวร์ที่ทำการเชื่อมต่อที่มีปัญหาและสามารถที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเบื้องต้นบนคอมพิวเตอร์และโน๊ตบุ๊คระบบปฎิบัติการ Windows ของคุณได้
สำหรับขึ้นตอนต่อไปนี้เราขอแนะนำให้คุณทำเมื่อคุณพบปัญหาข้อผิดพลาด 0x8007045d กับแหล่งเก็บข้อมูลภายนอก(อย่าง USB Flash, External Hard disk หรือแหล่งเก็บข้อมูลแบบ CD/DVD/Blu Ray) เนื่องจากเป็นไปได้ว่าข้อผิดพลาด 0x8007045d นั้นอาจเกิดจากฮาร์ดแวร์ของแหล่งเก็บข้อมูลภายนอกเอง วิธีการก็คือให้คุณเชื่อมต่อแหล่งเก็บข้อมูลที่พบข้อผิดพลาด 0x8007045d แล้วทำตามขั้นตอนดังนี้
จากนั้นให้ทำการพิมพ์คำสั่งต่อไปนี้แล้วกด Enter (หรือจะคัดลอกไปวางเลยก็ได้)
msdt.exe-idDeviceDiagnostic
Windows จะทำการเด้งหน้าจอ นี่Hardware and Devices ขึ้นมาจากนั้นให้คุณทำการเลือก Next แล้วตัวซอฟต์แวร์จะเริ่มสแกน Windows ของคุณเพื่อหาปัญหา ทันทีที่พบข้อผิดพลาดเครื่องมือจะแก้ไขทันทีโดยอัตโนมัติ หลังจากเสร็จสิ้นให้ลองตรวจสอบดูว่าข้อผิดพลาด 0x8007045d ยังคงอยู่หรือไม่
พิมพ์ control panel ในช่องค้นหา จากนั้นคลิกที่ Control Panel จากผลการค้นหาเพื่อเปิด
คลิกที่ตัวเลือก System and Security ใน Control Panel เพื่อดำเนินการต่อ
ในหน้า System and Security คลิก Create and format hard disk partitions เพื่อดำเนินการต่อ
จากนั้น Disk Management จะเปิดขึ้น คลิกขวาที่ไดรฟ์ที่คุณต้องการลดขนาด จากนั้นเลือกตัวเลือก Shrink Volume จากรายการ จากนั้นการดำเนินการจะเสร็จสิ้นโดยอัตโนมัติ
11. ถ่ายโอนไฟล์ผ่านคลาวด์
หากคุณไม่สามารถเข้าถึงไฟล์ผ่านแหล่งเก็บข้อมูลภายนอกได้เลยหลังจากที่ลองทุกอย่างแล้ว แหล่งเก็บข้อมูลภายนอกนั้นๆ ของคุณอาจเสียหายทางกายภาพอย่างรุ่นแรงจนไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป ทางเลือกที่ดีที่สุดหากคุณรีบแล้วล่ะก็เราขอแนะนำให้คุณส่งไฟล์ไปยังคอมพิวเตอร์ของคุณผ่าน Cloud Service เช่น Google Drive, Dropbox หรือ One Drive แทนด้วยวิธีนี้ คุณจะข้อผิดพลาดดังกล่าว(แต่ต้องมั่นใจว่าไฟล์ต้นฉบับของคุณไม่มีปัญหาเท่านั้นนะ)
Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe คืออะไรทำไมถึงใช้ทรัพยากรเครื่อง Windows หนักขนาดนั้น วันนี้เราจะมาไขปริศนาพร้อมบอกวิธีแก้ไขเบื้องต้นกัน
Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe
เชื่อว่าหลายๆ คนที่เคยเปิด Task Manager ดูนั้นจะสังเกตเห็นบริการหนึ่งที่ทำงานอยู่ตลอดเวลาซึ่งนั่นก็คือ Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe บางครั้งมันก็ทำงานแบบนิ่งๆ ไม่ใช้ทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์ระบบปฎิบัติการ Windows เท่าไรนัก ทว่าในบางครั้งเจ้า Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe นี้ก็ใช้งานทรัพยากรของเครื่องสูงมากๆ ทั้งในส่วนของ CPU และ RAM
ในบทความนี้เราจะขอนำเสนอว่า Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe นั้นคืออะไร ทำไมมันถึงใช้ทรัพยากรของเครื่องหนักมากและคุณสามารถจัดการอะไรกับเจ้า Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe ได้หรือไม่ จะเป็นอย่างไรบ้างนั้นไปติดตามกันได้เลย
Service Host Process หรือ Svchost.exe เป็นชื่อกระบวนการโฮสต์ทั่วไปสำหรับบริการที่เรียกใช้จากไลบรารีไดนามิกลิงก์
ข้อความทางด้านบนนี้เป็นคำตอบของ Microsoft เกียวกับเรื่องที่มีคนถามว่า Service Host Process หรือ Svchost.exe คืออะไรแต่นั่นไม่ได้อธิบายอะไรเรื่องดังกล่าวนี้มากนัก ดังนั้นหากอยากจะพูดถึง Service Host Process หรือ Svchost.exe แล้วนั้นต้องย้อนกับไปเมื่อไม่นานมานี้ที่ทาง Microsoft ได้เริ่มทำการเปลี่ยนฟังก์ชันการทำงานของ Windows ส่วนใหญ่จากการใช้บริการ Windows ภายใน (หรือเรียกใช้งานบริการต่างๆ ที่ Windows ต้องการจากไฟล์ EXE) เป็นการใช้ไฟล์ DLL แทน
ดังนั้น Service Host Process (svchost.exe) จึงถือกำเนิดขึ้น เพื่อเป็นไฟล์กลางในการเรียกใช้งานบริการต่างๆ ที่อยู่ในรูปแบบของไฟล์ DLL ตามที่ Windows ต้องการ
ทำไมถึงมี Service Host หลายอันใน Task Manager
หากคุณเคยดู Services(หรือบริการโดยหลังจากนี้จะใช้คำว่าบริการแทน) ใน Control Panel คุณอาจสังเกตเห็นว่า Windows ต้องการบริการจำนวนมาก หากทุกบริการทำงานภายใต้ Service Host เดียว นั่นหมายความว่าหาก Service Host ล้มเหลวขึ้นมาแล้วล่ะก็ระบบปฎิบัติการ Windows ก็จะล้มเหลวไปด้วย ดังนั้นทาง Microsoft จึงได้ทำการแยก Service Host ออกมาเป็นหลายๆ ส่วนเพื่อให้ Service Host แต่ละอันควบคุมบริการต่างๆ ที่แตกต่างกันไปเช่น
Service Host ที่ให้บริการแตกต่างกันไปนั้นจะใช้เพื่อควบคุมการทำงานแยกกันอย่างชัดเจนตัวอย่างเช่น Service Host สำหรับควบคุม Network, Service Host สำหรับควบคุม UI หรือ Service Host สำหรับควบคุม Remote เป็นต้น
ด้วยความที่ Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe นั้นเป็นตัวเรียกในการทำงานบริการของระบบปฎิบัติการ Windows ทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่แปลกที่มันจะใช้งานทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์คุณในทุกๆ ส่วนไม่ว่าจะเป็น CPU, RAM, GPU หรือแม้กระทั่ง Network เองนั้น Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe ก็เรียกใช้ทรัพยากรดังกล่าวด้วยเช่นเดียวกัน
วิธีตรวจสอบ Service Host processes ใน Task Manager
สำหรับวิธีการดังตรวจสอบดูว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณมี Service Host processes อะไรทำงานอยู่บ้างนั้น คุณสามารถที่จะตรวจสอบได้ใน Task Manager ตามขึ้นตอนต่อไปนี้
คลิก Name เพื่อจัดเรียงตามชื่อและหยุดไม่ให้งานที่ทำอยู่โดดข้ามไปมา จากนั้นให้เลื่อนและค้นหา Service Host processes ที่ใช้งานอยู่ (คุณอาจต้องเลื่อนไปที่ด้านล่างใต้ Windows processes) จากนั้น คลิกขวาที่บริการที่คุณต้องการตรวจสอบ และเลือกไปที่ Go to details
ไฟล์ Service Host ที่คุณคลิกจะถูกเน้นในตารางใหม่ที่ Task Manager โหลดขึ้นมาซึ่งทางด้านขวาคุณจะเห็นการใช้งาน CPU และ RAM (หรือทรัพยากรอื่นๆ) ที่กระบวนการนั้นใช้อยู่
svchost.exe ปลอดภัยหรือไม่
Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe โดยปกติแล้วมักจะปลอดภัย ทว่าด้วยความที่มันเป็นไฟล์ระบบดังนั้นจึงทำให้แฮ็กเกอร์และอาชญากรไซเบอร์สามารถสร้างมัลแวร์ svchost เพื่อเลียนแบบ svchost.exes ของตัวระบบปฎิบัติการ Windows ขึ้นมาได้เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้ใช้งานสงสัยว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเองโดนไวรัสหรือมัลแวร์เข้าให้แล้ว
โปรแกรมสแกนไวรัส บางโปรแกรมอาจจะเข้าไปตั้งค่าสถานะการทำงานของไฟล์ svchost.exe ของระบบปฎิบัติการ Windows ได้เนื่องจากไฟล์นี้สามารถเข้าถึงข้อมูลในส่วนอื่นๆ ของคอมพิวเตอร์คุณได้เกือบทั้งหมด
อาการของไวรัส Svchost นั้นจะเห็นได้จากการที่ตัวเครื่องใช้ทรัพยากรไม่ว่าจะเป็น CPU หรือ RAM สูงมากผิดปกติ
นอกไปจากนั้นยังมี System Host process ที่ชื่อ csrss.exe (Client Server Runtime Subsystem หรือ ระบบย่อยไคลเอ็นต์เซิร์ฟเวอร์รันไทม์) เองก็ใช้งานทรัพยากรมากจนทำให้ผู้ใช้ Windows บางคนกังวล แต่ถ้ามันไม่ใช่มัลแวร์หรือไวรัสคุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลไป วิธีการตรวจสอบด้วยตัวเองที่ง่ายที่สุดคือให้ดูตำแหน่งไฟล์นั้นจัดเก็บเอาไว้ตามวิธีการเดียวกับ svchost.exe หากไฟล์อยู่ใน “Windows\System32” ก็ไม่เป็นไรแต่ถ้าอยู่ที่อื่นคุณสามารถที่จะลบมันทิ้งได้ทันที
แม้ว่าไ Service Host process ส่วนใหญ่จะชื่อ svchost.exe แต่ไฟล์ .exe ประเภทอื่นที่เรียกว่า utcsvc.exe ก็เป็น Service Host process ประเภทหนึ่งเช่นกัน ซึ่งมันจะเกี่ยวข้องกับการใช้งาน CPU สูง บางครั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสยังตั้งค่าสถานะไฟล์เหล่านี้เป็น PUP แม้ว่าจะไม่ได้รับการพัฒนาโดย Microsoft แต่ไฟล์ utcsvc ก็ได้รับการติดตั้งไว้ล่วงหน้าใน Windows และจัดอยู่ในประเภท Diagnostic Tracking Tool ที่โดยปกติจะไม่ค่อยได้ทำการเรียกใช้งานมากเท่าไรนัก(นานๆ จะถูกเรียกขึ้นมาใช้งาน)
เนื่องจากไฟล์ utcsvc สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่ละเอียดอ่อนในคอมพิวเตอร์ของคุณได้ จึงมีโอกาสที่ไฟล์เหล่านั้นจะถูกใช้เพื่อแพร่กระจายมัลแวร์ได้ และเช่นเดียวกับภัยคุกคามบนโลกออนไลน์ทั้งหมด Windows Defender อาจจะไม่เพียงพอสำหรับการให้ความมั่นใจว่าคุณจะปลอดภัยบนโลกออนไลน์ ดังนั้นหากเป็นไปได้คุณควรที่จะติดตั้งโปรแกรมสแกนไวรัสเพิ่มเติมอย่างน้อยหนึ่งโปรแกรม(เลือกโปรแกรมที่ชอบและใช่สำหรับคุณ)
วิธีปิดการทำงาน svchost.exe
สำหรับปิดการทำงาน Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe นั้นโดยปกติแล้วเราไม่อยากแนะนำให้คุณทำเพราะมันอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวระบบปฎิบัติการ Windows ได้ ดังนั้นก่อนที่จะทำตามขั้นตอนนี้ขอให้คุณพึงระลึกไว้เสมอว่าการปิดการทำงาน Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe นั้นมีความเสี่ยง หากคุณพร้อมที่จะลองก็สามารถที่จะทำได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้่
กด Ctrl + Shift + Esc เพื่อเปิด Task Manager
คลิกที่ Name เพื่อจัดเรียงกระบวนการที่ใช้งานอยู่ตามชื่อ แล้วให้ค้นหา Service Host process ที่คุณต้องการหยุดจากนั้น คลิกขวา และเลือก End task
อย่างที่เราได้เตือนไว้ การหยุด Service Host process ใดๆ นั้นอาจทำให้ระบบเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ ดังนั้นก่อนที่จะทำให้คุณบันทึกงานของคุณทุกอย่างก่อนที่คุณจะทำการหยุดการทำงาน svchost.exe เพื่อความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม Windows ไม่อนุญาตให้คุณหยุดการทำงาน svchost.exe ที่กำลังใช้งานโดยโปรแกรมที่เปิดอยู่ดังนั้นหากเป็นไปได้ควรปิดโปรแกรมทุกอย่างก่อนทั้งหมด
วิธีลบไวรัส svchost.exe
อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe นั้นโดนผู้ไม่หวังดีลอกเลียนชื่อไฟล์เพื่อทำเป็นมัลแวร์และไวรัสเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นหากคุณตรวจสอบดูตามด้านบนแล้วว่าตัวไฟล์ svchost.exe ที่มีปัญหาไม่ได้อยู่ในโฟลเดอร์ “Windows\System32” ก่อนที่คุณจะทำการลบเองนั้นเราขอแนะนำให้ทำการสแกนไฟล์ดังกล่าวด้วยโปรแกรมสแกนไวรัส(หรือมัลแวร์) ที่คุณใช้งานก่อน
แต่ปัญหาบางครั้งก็คือไวรัสหรือมัลแวร์ที่ใช้ชื่อว่า svchost.exe บางตัวนั้นอาจจะบล๊อคไม่ให้คุณเข้าถึง Task Manager เพื่อทำการตรวจสอบหาไฟล์เจ้าปัญหาดังกล่าวนี้ได้ วิธีการที่ดีที่สุดคือคุณควรที่จะต้องเข้าสู่ Windows Safe Mode แล้วทำการรันโปรแกรมสแกนไวรัสจากใน Safe Mode หลังจากนั้นให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อที่จะสั่งให้ Windows ซ่อมแซมไฟล์ระบบ
กดที่ปุ่มค้นหา(รูปแว่นขยาย) ที่ Task Bar แล้วพิมพ์ CMD คุณจะเจอกับ Command Prompt ให้คุณทำการคลิกขวาแล้วเลือก Run as administrator
อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นปัญหาดังกล่าวทั้งหมดนี้อาจจะมีสาเหตุอีกอย่างหนึ่งมาจากการที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณเริ่มช้าเกินไปสำหรับระบบปฎิบัติการ Windows เวอร์ชันใหม่ ดังนั้นคุณควรดูสเปคความต้องการของ Windows เวอร์ชันที่คุณต้องการจะติดตั้งก่อนว่าเข้ากันได้กับสเปคเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณหรือไม่
20 Windows Command Prompt เด็ดๆ สำหรับการใช้งานผ่านทาง Windows Command Prompt สำหรับแก้ไขปัญหาของ Windows เบื้องต้นที่คุณควรรู้ จะมีอะไรบ้างไปติดตามกัน
20 Windows Command Prompt
สิ่งหนึ่งที่อยู่กับระบบปฏิบัติการ Windows มาหลายยุดหลายสมัยนั้นก็คือหน้าจอการใช้งานคำสั่งลักษณธ DOS ผ่านทาง Windows Command Prompt หรือที่เราๆ ท่านๆ คุ้นเคยกันในชื่อว่า CMD ถึงแม้ว่ามันจะโบราณเพราะการใช้งานนั้นคุณจะต้องป้อนคำสั่่งเป็นชุดคำด้วยการพิมพ์ผ่านทางคีย์บอร์ด ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้วนั้นในยุคปัจจุบันเราๆ ท่านๆ ก็แทบจะไม่ได้ใช้งานกันแล้วเพราะตั้งแต่ในยุค Windows 8 เรื่อยมาทาง Microsoft ก็เริ่มสร้างแอปพลิเคชันที่ครอบคลุมการใช้งานชุดคำสั่งโบราณนั้นๆ แล้ว
อย่างไรก็ตามแต่นั้นการใช้งานชุดคำสั่งผ่านทาง Windows Command Prompt หรือ CMD ก็ยังคงมีความจำเป็นอยู่เพราะมันจะถูกเก็บเอาไว้ใช้เป็นเครื่องมือสำรองในกรณีที่ระบบปฏิบัติการ Windows มีปัญหาไม่สามารถใช้งานแอปพลิเคชันในรูปแบบหน้าต่าง Windows ได้ก็จะสามารถกลับมาใช้งานในรูปแบบชุดคำสั่งผ่านทาง Windows Command Prompt เพื่อแก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้ก่อน
Advertisement
ดังนั้นแล้วการรู้จักชุดคำสั่งเบื้องต้นจึงเป็นข้อมูลพื้นฐานที่ผู้ใช้งานควรรู้ เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมานั่ง Reset Windows หรือลง Windows ใหม่ทั้งๆ ที่อาจจะยังสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นด้วยชุดคำสั่งบางชุดได้อยู่ ในวันนี้ทาง Notebookspec จึงขอนำชุดคำสั่ง Windows Command Prompt จำนวน 20 ชุดที่เป็นชุดคำสั่งแก้ไขปัญหาเบื้อต้นมาให้ทุกท่านได้รู้จักกัน จะมีอะไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย
โดยปกติแล้วนั้นไฟล์ต่างๆ บนระบบปฏิบัติการ Windows จะมีโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันจำเพาะสำหรับการเปิดใช้งานอยู่ตัวอย่างเช่นไฟล์นามสกุล .doc ที่จะมีโปรแกรม Microsoft Word สำหรับการเปิด โดยปกติแล้วนั้นในทุกๆ ครั้งที่เราทำการเปิดไฟล์นามสกุลใดก็ตาม ระบบปฏิบัติการ Windows จะเลือกโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันเบื้องต้นมาทำการเปิดไฟล์นั้นๆ ให้กับเรา แต่ถ้าตัวระบบปฏิบัติการไม่รู้ว่าจะต้องเปิดไฟล์เหล่านั้นด้วยโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันอะไร ตัวระบบปฏิบัติการ Windows เองก็จะให้เราทำการเลือกโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันสำหรับใช้ในการเปิดไฟล์นั้นในครั้งแรกและถามเราว่าจะให้ตัวระบบปฏิบัตการ Windows จดจำโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันเหล่านั้นเพื่อทำการเปิดในครั้งต่อๆ ไปหรือไม่
อย่างไรก็ตามในบางกรณีการกำหนดโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันสำหรับเปิดไฟล์นามสกุลต่างๆ ผ่านทางหน้าจอ Windows เองนั้นจะมีปัญหาอยู่บ้างหากโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันเหล่านั้นไม่ใช่โปรแกรมหรือแอปพลิเคชันหลักที่ทาง Windows รู้จักและเลือกมาแสดงเบื้องต้นให้เรา ทำให้ในการกำหนดนั้นมีความจำเป็นที่ผู้ใช้จะต้องรู้จัก Directory ที่ติดตั้งโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันเหล่านั้นเพื่อที่จะชี้ช่องทางให้กับ Windows จดจำโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันได้
ปัญหายังไม่หมดแค่เพียงเท่านั้นเพราะบางครั้งระบบปฏิบัตการ Windows จะเกิดอาการ “ลืม” โปรแกรมหรือแอปพลิเคชันเปิดไฟล์เหล่านั้นไปเสียดื้อๆ จนทำให้ผู้ใช้ต้องมาทำการตั้งค่าใหม่ อีกวิธีหนึ่งที่จะสามารถช่วยให้ระบบปฏิบัติการ Windows ถูกบังคับให้จดจำมากขึ้นก็คือการใช้คำสั่ง Assoc ตัวอย่างวิธีการใช้งานก็คือเมื่ออยู่ในหน้าจอ CMD แล้วให้พิมพ์คำสั่ง assoc .txt=word แล้วกด Enter เพียงแค่นี้ก็จะเป็นการกำหนดให้ไฟล์ที่ามีนามสกุล .txt เปิดด้วยโปรแกรม Word ได้แล้ว
สำหรับผู้ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 10 ขึ้นไปสามารถที่จะไปตั้งค่าดังหล่าวผ่านหน้าจอ Windows Settings ได้เช่นเดียวกันโดยให้เข้าไปที่ Settings (Windows + I) > Apps > Default apps > Choose default app by file type แล้วเลือกตามนามสกุลไฟล์ก็จะสามารถที่จะทำการกำหนดได้แบบง่ายๆ เช่นเดียวกัน
2. Cipher
โดยปกติแล้วนั้นการลบไฟล์ที่อยู่บนแหล่งเก็บข้อมูลแบบจานหมุนหรือที่เราเรียกกันว่า Harddisk(HDD) บน Windows นั้ันจะไม่ได้เป็นการลบไฟล์ดังกล่าวทิ้งไปทั้งหมดเพราะด้วยลักษณธของการทำงานของแหล่งเก็บข้อมูลแบบจานหมุนจะยังมีการเก็บบางส่วนของไฟล์ไว้บนพื้นที่จานหมุนนั้นๆ อยู่ ซึ่งหากเราใช้งานไปนานๆ แล้วนั้นเศษไฟล์ที่เหลือเหล่านี้ก็จะกินพื้นที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ได้ใช้งานพื้นที่นั้นจริงๆ
บนระบบปฏิบัติการ Windows เองจึงมีคำสั่ง Wipe ซึ่งจะถูกเก็บเอาไว้อยู่ในโปรแกรม Disk Management ทว่าคำสั่ง Wipe ในโปรแกรม Disk Management จะทำให้ข้อมูลที่อยู่บน Harddisk หายไปทั้งหมดทั้งไฟล์ที่เราลบไปแล้วและไฟล์ที่เรายังต้องการเก็บข้อมูลเอาไว้ ดังนั้นคำสั่ง cipher จึงมีส่วนเข้ามาช่วยในกรณีดังกล่าวเป็นอย่างมาเนื่องจากมันจะทำการลบเฉพาะเศษไฟล์คงเหลือของไฟล์ที่เราลบทิ้งไปแล้วเท่านั้น
ipconfig /flushdns เพื่อทำการรีเฟรช DNS Address ของ Router
ชุดคำสั่ง ipconfig นั้นถือว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมากเวลาที่ Windows network troubleshooter เป็นโปรแกรมบน Windows เองไม่สามารถใช้ในการแก้ไขปัญหาระบบเน็ตเวิร์คให้กับท่านได้
มาถึงคำสั่งยอดฮิตกับคำสั่ง ping ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่าหลานๆ ท่านนั้นน่าจะได้เคยใช้งานกันมาบ้างแล้วโดยเฉพาะกับคนที่ทำงานสายเน็ตเวิร์คหรือแม้กระทั่งนักเล่นเกมที่ต้องคอยตรวจสอบค่า Ping ระหว่าง Client ของตัวเองกับเครื่อง Server
วิธีใช้งานชุดคำสั่ง ping นั้นมีอยู่หลายคำสั่งย่อย แต่โดยปกติทั่วไปนั้นมักจะใช้กันแค่คำสั่ง ping แล้วตามด้วย IP Address ของเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่อยู่ในเครือข่าย แล้วกด Enter ตัวคำสั่งจะทำการส่งแพ็คเก็ตข้อมูลทดสอบไปยัง IP Address ที่เราระบุเอาไว้นั้นๆ แล้วหลังจากนั้นก็จะคอยจับเวลาดูว่าแพ็คเก็ตนั้นใช้เวลาในการส่งไปจากเครื่องของเราแล้วส่งกลับมาจากเครื่อง Server เป็นระยะเวลาเท่าไร(แน่นอนว่ายิ่งน้อยยิ่งดี)
ตั้งแต่ระบบปฏิบัติการ Windows 8 เป็นต้นมานั้นทาง Microsoft ได้เอาการเข้าถึง Advanced Start Options menu ที่เราสามารถทำการเลือกได้ว่าเราจะทำการเข้า Windows ในลักษณะแบบใด(ใน Windows 7 ลงมาตอนที่ทำการเปิดเครื่อง(หรือรีสตาร์ทเราสามารถที่จะกด F7 เพื่อที่จะเข้าถึง Advanced Start Options menu ได้)
ดังนั้นแล้วคำสั่ง shutdown ตั้งแต่บนระบบปฏิบัติการ Windows 8 เป็นต้นมานั้นจึงมีประโยชน์เป็นอย่างมากหากผู้ใช้ต้องการเข้าถึง Advanced Start Options menu วิธีการใช้งานนั้นก็คือให้พิมพ์ shutdown /r /oแล้วเครื่องจะทำการรีสตาร์ทขึ้นมาเป็นหน้าจอ Advanced Start Options menu ซึ่งต่อจากจุดนี้เราก็จะสามารถทำการแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ต่อไปอย่างเช่นการเข้าไปในส่วนของ Safe Mode หรือจะเป็นการเข้าถึง Windows recovery utilities เป็นต้น
11. System File Checker
System File Checker เป็นชุดคำสั่งสำหรับทำการตรวจสอบและแก้ไขไฟล์ของตัวระบบปฏิบัติการ Windows โดยเฉพาะ วิธีการใช้งานนั้นคุณจะต้องทำการเข้า CMD ในรูปแบบ administrator(หรือเข้า CMD โดยมีสิทธิ์เป็นผู้ดูแลระบบ) จากนั้นให้พิมพ์คำสั่ง sfc /scannow ตัวคำสั่งก็จะทำการตรวจสอบไฟล์ของระบบปฏิบัติการ Windows ว่ามีข้อเสียหายหรือว่ามีไฟล์ใดหายไปหรือไม่ นอกไปจากนั้นเมื่อทำการตรวจสอบเรียบร้อยแล้วตัวชุดคำสั่งนี้เองก็จะทำการแก้ไขปัญหาเรื่องของไฟล์ระบบดังกล่าวให้ด้วย อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นด้วยความที่ชุดคำสั่งดังกล่าวนี้จะตรวจสอบไฟล์ระบบปฏิบัติการอย่างละเอียดดังนั้นแล้วเมื่อเริ่มต้นคำสั่งแล้วอาจจะใช้เวลาในการ scan มากกว่า 1 ชั่วโมงหากเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณนั้นเป็นเครื่องที่มีอายุการใช้งานมากแล้ว
12. Tasklist
เช่นเดียวกันกับการใช้งาน Task Manager บน Windows ชุดคำสั่ง tasklist เมื่อใช้งานผ่าน CMD แล้วนั้นจะเป็นการแสดงรายการโปรแกรมทั้งหมดที่กำลังทำงานอยู่บนระบบ อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นด้วยความที่ชุดคำสั่ง tasklist จะมีส่วนขยายเพิ่มเติมสำหรับการทำงานเพิ่มหลายๆ อย่างที่ Task Manager บน Windows ไม่สามารถที่จะใช้งานได้ ตัวอย่างเช่น
สำหรับคำสั่ง Format นั้นเชื่อว่าทุกท่านคงคุ้นเคยกับการใช้งานผ่าน GUI บน Windows File Explorer ทว่าคุณสามารถที่จะใช้คำสั่ง format ผ่านทาง CMD ได้เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามในการใช้งานคำสั่ง Format นั้นคุณจะต้องเข้า CMD ในโหมด Administrator และในการใช้คำสั่ง Format ทุกครั้งคุณจะต้องมั่นใจว่าไดรฟ์ใดที่คุณต้องการจะทำการ Format แล้วตามพารามิเตอร์สำหรับการกำหนดค่าการ Format ตัวอย่างเช่น
format D: /Q /FS:exFAT /A:2048 /V:label
ชุดคำสั่งทางด้านบนนี้นั้นจะมีความหมายว่าให้ format ไดรฟ์ D: ให้อยู่ในรูปแบบของ exFAT file system โดยที่กำหนดให้ขนาดของ allocation unit อยู่ที่ 2048 bytes และทำการเปลี่ยนชื่อของไดรฟ์เป็น “label” นอกไปจากนั้นแล้วยังมีพารามิเตอร์ที่น่าสนใจสำหรับการใช้งานกับขุดคำสั่ง Format อยู่อีกเช่น
/X สำหรับใช้ในการสั่งให้ปิดไดรฟ์ข้อมูล
/R สำหรับทำการ format ไดรฟ์ที่เป็น NTFS File System
/? สำหรับใช้เพื่อเรียกดูพารามิเตอร์สำหรับการทำงานร่วมกับชุดคำสั่ง Format ทั้งหมด
ถ้าเครื่องค้างจนใช้งานไม่ได้หรือทำงานช้าจนเกินรับไหวแล้ว การเลือก Reset this PC ให้ Windows 10 ล้างเครื่องแก้ปัญหาทั้งหมดแล้วเริ่มต้นใหม่เหมือนเพิ่งซื้อเครื่องมา ก็น่าจะช่วยแก้ปัญหาคอมค้างได้เยอะ ปล่อยให้ Windows 10 ติดตั้งไดรเวอร์แล้วผู้ใช้อย่างเราค่อยไล่ลงซอฟท์แวร์ที่ต้องใช้งานใหม่อีกครั้งทีละตัวเลยจะดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนก็ยังขอแนะนำให้ใช้วิธีนี้แก้ปัญหาคอมค้างเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่สุด เพราะจะเสียเวลามานั่งติดตั้งและตั้งค่าโปรแกรมที่ต้องใช้งานกันใหม่ซึ่งกินเวลามากพอควร แต่ถ้าไม่อยากให้ไฟล์หายแนะนำให้รีเซ็ตเครื่องแบบ Keep my files ที่ล้างการตั้งค่ากับโปรแกรมต่าง ๆ แต่ไฟล์ส่วนตัวของเราจะไม่โดนล้างออกไป
Blue Screen of Death หรือ “จอฟ้ามรณะ” เชื่อว่าเกือบทุกคนต้องเคยพบเจอแน่นอนกับการเจอหน้าจอสีฟ้านี้ขึ้นมา นั่นหมายความว่าเป็นลางร้ายที่คอมพิวเตอร์ของเพื่อนๆ อาจจะเริ่มเกิดปัญหาขึ้นมาแล้ว แต่อย่าเพิ่งตกใจไป บางทีจอฟ้าอาจไม่ได้หมายความว่าคอมพิวเตอร์ของเพื่อนๆ เสียหาย ทางทีมงานรวมความหมายของรหัสจอฟ้าและวิธีแก้ไขไว้ให้เพื่อนๆแล้ว
โดยสามารถดูความหมายได้ตามนี้เลย
STOP CODE คือ รหัสที่แสดงถึงความผิดพลาดของระบบ 1.stop code: 0X000000BE Attempted Write To Readonly Memory สาเหตุและแนวทางแก้ไข: เกิดจากลง driver หรือ โปรแกรม หรือ service ที่ผิดพลาด เช่น ไฟล์บางไฟล์เสีย ไดร์เวอร์คนละรุ่นกัน วิธีแก้ไขให้ ถอนการติดตั้งโปรแกรมตัวเก่าก่อนที่จะเกิดปัญหานี้ ถ้าเป็นไดร์เวอร์ก็ให้ทำการ roll back ไดร์เวอร์ตัวเก่ามาใช้ หรือ หาไดร์เวอร์ที่ล่าสุดมาลง (กรณีที่มีใหม่กว่า) ถ้าเป็นพวก service ต่างๆที่เราเปิดก่อนเกิดปัญหาก็ให้ทำการปิด หรือ disable
1. กดปุ่ม Windows ค้าง + R แล้วพิมพ์คำสั่ง Regedit
2. ไปตามคีย์นี้ HKEY_LOCAL_MACHINESYSTEMCurrentControlSetControlSession ManagerMemory Management
3. ให้ดูที่หน้าต่างขวามือ ดับคลิกที่ PagedPoolSize ให้ใส่ค่าเป็น 0 ที่ Value data และคลิก OK
4. ดับเบิลคลิกที่ SystemPages ถ้าคุณใช้ระบบจอแบบ Multi Monitor ให้ใส่ค่า 110000 แล้วคลิก OK รีสตาร์ทเครื่อง
15.stop code: 0X00000050 Page Fault In Nonpaged Area สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการนี้สาเหตุการจากการผิดพลาดของการเขียนข้อมูลในแรม การแก้ไขก็ให้ทำความสะอาดขาแรมหรือลองสลับแรมดูหรือไ ม่ก็หาโปรแกรมที่ test แรมมาตรวจว่าแรมเสียหรือไม่