คลังเก็บป้ายกำกับ: แก้ปัญหา_WINDOWS

วิธีแก้ไขปุ่ม Print Screen ใช้งานไม่ได้บน Windows 11

ปุ่ม Print Screen เป็นปุ่มที่บางคนใช้งานค่อนข้างที่จะบ่อยเป็นอย่างมาก แต่บางครั้งก็มีปัญหาเกิดขึ้นกับปุ่ม Print Screen นี้ เรามาดูวิธีการแก้ไขกันว่าจะแก้ไขได้อย่างไรบ้างสำหรับผู้ใช้ Windows 11

วิธีแก้ไขปุ่ม Print Screen ใช้งานไม่ได้บน Windows 11
วิธีแก้ไขปุ่ม Print Screen ใช้งานไม่ได้บน Windows 11

ปุ่ม Print Screen (PrtScr) เป็นหนึ่งในวิธีที่เร็วที่สุดในบันทึกภาพหน้าจอบน Windows มาหลายยุคหลายสมัย อย่างไรก็ตามหากปุ่ม Print Screen ของคุณหยุดทำงานกะทันหัน คุณอาจสามารถลองแก้ไขบางอย่างได้ด้วยตัวของคุณเองก่อนที่จะทำการเปลี่ยนคีย์บอร์ด

ปุ่ม Print Screen ของคุณอาจหยุดทำงานเนื่องจากปัญหาฮาร์ดแวร์เช่น อาจมีปัญหากับแป้นพิมพ์ของคุณ ในกรณีนี้คุณจะต้องเปลี่ยนแป้นพิมพ์ใหม่เท่านั้นถึงจะได้ผลซึ่งเราแนะนำให้คุณลองเปลี่ยนดูก่อนว่าแป้นพิมพ์อันอื่นที่เอามาเปลี่ยนนั้นสามารถใช้งานปุ่่ม Print Screen (PrtScr) ได้หรือไม่

Advertisementavw

อย่างไรก็ตามไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่เพราะมีปัญหาอื่นๆ ที่อาจจะเป็นตัวก่อให้เกิดการใช้งานปุ่ม Print Screen (PrtScr) ไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นหากคุณลองทำตามบทความนี้ทั้งหมดคุณอาจจะสามารถทำการแก้ไขจากต้นเหตุที่อาจทำให้ปุ่ม Print Screen (PrtScr) หยุดทำงาน มาดูกันว่าจะมีวิธีอะไรบ้างไปติดตามกันได้เลย



ตรวจสอบปุ่ม F-Lock

F lock

แป้นคีย์ F-lock เป็นคีย์ที่เอาไว้สำหรับเปิดหรือปิดใช้งานฟังก์ชันรองของแป้น F1–F12 แป้นพิมพ์ที่มีแป้น F-lock อาจมาพร้อมกับไฟ LED เพื่อส่งสัญญาณว่า F-lock เปิดหรือปิดอยู่ หากเปิดอยู่ให้ลองกดปุ่ม F-lock เพื่อปิดดูแล้วตรวจสอบว่าปุ่ม Print Screen (PrtScr) ของคุณทำงานได้อย่างถูกต้องหรือไม่


หยุดโปรแกรมที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง

task manager

โปรแกรมที่ทำงานอยู่เบื้องหลังอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ปุ่ม Print Screen ของคุณไม่ทำงาน ให้คุณลองเปิด Task Manager ของคุณและดูว่าแอปพลิเคชันเช่น OneDrive, Snippet Tool หรือ Dropbox กำลังทำงานในพื้นหลังหรือไม่

อาการดังกล่าวนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อย แต่แอปพิลเคชันอื่นๆ ก็อาจทำให้เกิดปัญหาได้เช่นกัน หากปัญหาเริ่มต้นขึ้นหลังจากติดตั้งแอปพลิเคชันใหม่ใดๆ ลงไปในตัวเครื่อง ให้ลองหยุดการทำงานแอปพลิเคชันนั้นและดูว่าสามารถแก้ไขปัญหาได้หรือไม่

หากคุณมีแอปพลิเคชันที่น่าสงสัยตั้งแต่ 2 แอปขึ้นไปที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง ให้หยุดทีละแอปพลิเคชันเพื่อดูว่าแอปใดเป็นสาเหตุของปัญหา หากต้องการหยุดแอปพลิเคชัน ให้เรียกใช้ Task Manager โดยกด Ctrl + Shift + Esc คลิกขวาที่แอปพลิเคชัน แล้วคลิก End task


อัปเดตไดรเวอร์คีย์บอร์ดของคุณ

print screen fix manager

หากระบบของคุณติดตั้งไดรเวอร์แป้นพิมพ์ที่ไม่ถูกต้อง, เสียหายหรือล้าสมัย อาจทำให้ปุ่ม Print Screen หยุดทำงาน คุณสามารถแก้ไขได้ด้วยการอัปเดทไดรเวอร์คีย์บอร์ดใหม่โดยคุณสามารถอัปเดตไดรเวอร์แป้นพิมพ์ได้จาก Device Manager

  • คลิกขวาที่ปุ่ม Start แล้วคลิก Device Manager หรือกดแป้น Windows + R ป้อน devmgmt.msc แล้วกด Enter เพื่อเปิด Device Manager
  • ค้นหาไดรเวอร์แป้นพิมพ์ของคุณแล้วทำการคลิกขวาจากนั้นให้เลือก Update driver

ในหน้าจอถัดไป ระบบจะถามว่าต้องการให้ Windows ค้นหาและติดตั้งไดรเวอร์โดยอัตโนมัติหรือติดตั้งจากคอมพิวเตอร์ของคุณ หาก Windows ไม่พบไดรเวอร์ให้ลองดาวน์โหลดไดรเวอร์จากเว็บไซต์ของผู้ผลิต นอกจากนี้ยังมีวิธีอื่นๆ อีกหลายวิธีในการอัปเดตไดรเวอร์ Windows หากไม่ได้ผล(แต่การโหลดจากวิธีที่เราบอกไปนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด)

เมื่อคุณติดตั้งไดรเวอร์ที่อัปเดตแล้ว ให้รีสตาร์ทคอมพิวเตอร์เพื่อดูว่าปุ่ม Print Screen ของคุณใช้งานได้หรือไม่


ตรวจสอบการตั้งค่า OneDrive

print screen fix onedrive

หากคุณใช้ OneDrive บนพีซีระบบปฏิบัติการ Windows 11 ของคุณ(ซึ่งจะมีการติดตั้งมาด้วยกับตัวระบบปฏิบัติการอยู่แล้ว) ให้ตรวจสอบว่า OneDrive เป็นสาเหตุที่ทำให้ปุ่ม Print Screen ของคุณไม่ทำงานหรือไม่ เพราะนี่เป็นปัญหาทั่วไปของผู้ใช้ที่ใช้บริการที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์ของ Microsoft เพื่อสำรองไฟล์

คุณสามารถทำได้จากการตั้งค่าของ OneDrive คลิกขวาที่ไอคอน OneDrive จากด้านล่างขวาของทาสก์บาร์แล้วคลิก Settings ถัดไป จากนั้นสลับไปที่แท็บ Backup

ภายใต้ส่วน Screenshots คุณจะเห็นกล่องสำหรับกาเครื่องหมายที่มีข้อความว่า “Automatically save screenshots I capture to OneDrive.” ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้เลือกช่องนี้ออกแล้ว หากเลือกช่องนี้ออกแล้วให้ทำการตรวจสอบอีกครั้งเพื่อดูว่าจะสามารถใช้งานได้ตามปกติหรือไม่


ใช้เครื่องมือแก้ไขปัญหาฮาร์ดแวร์ Windows 11

print screen fix troubleshooter

Windows 11 มีตัวแก้ไขปัญหาฮาร์ดแวร์ในตัว ซึ่งรวมถึงตัวแก้ไขปัญหาเฉพาะสำหรับแป้นพิมพ์ของคุณ ซึ่งอาจช่วยแก้ไขปัญหา Print Screen ของคุณได้

  • กดปุ่ม Windows และค้นหา Troubleshoot Settings เพื่อเปิดหน้าต่างใหม่
  • ในบานหน้าต่างด้านขวา คลิกที่ Additional troubleshooters และเลื่อนลงไปที่ Keyboard เลือกและคลิกที่เรียกใช้ Run the troubleshooter

ทำตามคำแนะนำในตัวแก้ไขปัญหา เมื่อทำเสร็จแล้วดูว่าการดำเนินการนี้จะแก้ไขคีย์ Print Screen ของคุณหรือไม่


Clean Boot คอมพิวเตอร์ของคุณ

print screen fix selective

หากวิธีตามขั้นตอนข้างบนไม่ได้ผล ให้ลองคลีนบูตคอมพิวเตอร์ การคลีนบูตจะรีสตาร์ท Windows ตามปกติ แต่จะอนุญาตให้โหลดเฉพาะไดรเวอร์ที่จำเป็นเท่านั้น วิธีนี้จะช่วยให้คุณจำกัดสาเหตุของปัญหาให้แคบลงได้

วิธีการคลีนบูตเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ ให้กด Windows + R พิมพ์ msconfig แล้วคลิก OK จะเป็นการเปิดหน้าต่าง System Configuration

print screen fix services

ภายใต้แท็บ General คุณจะเห็นกล่องกาเครื่องหมายสองช่องใต้ Selective startup ยกเลิกการเลือกช่องที่สองที่ระบุว่า Load startup items และปล่อยให้ช่อง Load system services ทำเครื่องหมายไว้

ถัดไป เปลี่ยนไปที่แท็บ Services ที่ด้านล่างซ้าย คุณจะเห็นกล่องกาเครื่องหมายที่ระบุว่า Hide all Microsoft services ทำเครื่องหมายในช่องนั้น

สิ่งนี้จะทำให้คุณมีรายการบริการเล็กน้อยในการบูทเครื่อง จากนั้นคลิกปิดการใช้งานทั้งหมด แล้วคลิก ตกลง เมื่อคุณรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์เครื่องจะบู๊ตด้วยบริการของ Microsoft เท่านั้น ลองใช้ปุ่ม Print Screen เพื่อดูว่าใช้งานได้หรือไม่


แก้ไข Registry

regedit print screen fix

คุณสามารถแก้ไขรีจิสทรีได้โดยใช้ Registry Editor เพื่อแก้ไขปัญหา Print Screen ไม่ทำงาน อย่างไรก็ตาม การทำผิดพลาดขณะแก้ไขรีจิสทรีอาจส่งผลเสียต่อพีซีของคุณ ดังนั้นทางที่ดีควรสร้างจุดคืนค่าระบบและสำรองไฟล์ของคุณก่อนที่จะพยายามแก้ไขปัญหานี้

  • หากต้องการเปิด Registry Editor ให้กด Windows + R แล้วพิมพ์ regedit จากนั้นคลิก ตกลง หรือกด Enter
  • ไปที่ HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Explorer
  • คลิกขวาที่โฟลเดอร์ Explorer แล้วเลือก New > DWORD และเปลี่ยนชื่อ Value เป็น ScreenShotIndex ตั้งค่า Value data ของ DWORD เป็น 4 แล้วคลิก OK
  • จากนั้นไปที่ HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Explorer\User Shell Folders
  • ค้นหาสตริงชื่อ {B7BEDE81-DF94-4682-A7D8-57A52620B86F} แล้วดับเบิลคลิกเพื่อเปิด
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าตั้งค่าข้อมูลค่าเป็น %USERPROFILE%\Pictures\Screenshots

หากคุณหาไฟล์นี้ไม่พบ ให้สร้าง String Value ใหม่เหมือนกับที่เราสร้าง DWORD และใช้ค่าที่กล่าวถึงข้างต้นในช่อง Value name และ Value data

หากไม่ได้ผล ให้ลองดูว่าการเปลี่ยนฟิลด์ข้อมูลค่าสำหรับ ScreenShotIndex DWORD จาก 4 เป็น 695 ช่วยได้หรือไม่


Print Screen เป็นวิธีที่สะดวกรวดเร็วในการบันทึกภาพหน้าจอของเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีโดยเฉพาะกับ Windows 11 ที่มีฟีเจอร์ในการใช้งานได้ดีมากยิ่่งขึ้น หากมันหยุดทำงานมันจะน่าจะสร้างความหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัดกับคุณขึ้นมาทันทีหากคุณต้องการใช้งานปุ่ม Print Screen บ่อยๆ 

เราหวังว่าหนึ่งในการแก้ไขในบทความนี้จะได้ผลและแก้ไขปัญหาของคุณได้ หากไม่เป็นเช่นนั้นคุณอาจต้องลองเสียบแป้นพิมพ์อื่นเพื่อดูว่าใช้แทนได้หรือไม่(ซึ่งเราได้บอกไปแล้วว่าหากคุณมีแป้นพิมพ์สำรองให้ลองเปลี่ยนดูก่อนเพราะจริงๆ แล้วปัญหาอาจจะเกิดมาจากปุ่ม Print Screen บนคีย์บอร์ดเก่าของคุณพังไปแล้วนั่นเอง)

หากวิธีการเหล่านี้ไม่ได้ผล มีสองสามวิธีที่คุณสามารถถ่ายภาพหน้าจอบน Windows โดยไม่ต้องใช้ปุ่มพิมพ์หน้าจอในกรณีที่คุณจำเป็นแต่ทว่าคุณจะต้องทำการโหลดแอปพลิเคชันเพิ่มเติม

ที่มา : lifewire, awesomescreenshot, partitionwizard, softwarekeep, makeuseof

from:https://notebookspec.com/web/706345-7-ways-to-fix-print-screen-not-working

วิธีแก้ error -2147219196 เวลาเปิดรูปไม่ได้บน Windows

error -2147219196 เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อคุณเปิดไฟล์รูปภาพด้วยแอป Photo ของ Windows หากคุณพบปัญหานี้ล่ะก็ บทความนี้จะแนะนำวิธีแก้ไขปัญหาให้คุณได้ลองทำกัน

error -2147219196
error -2147219196

คุณอาจเห็นข้อผิดพลาดของระบบไฟล์ error -2147219196 เมื่อพยายามเปิดรูปภาพผ่าน Windows Photo App ที่ถูกติดตั้งมาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ Windows 10 เลย ในบางครั้ง error -2147219196 นี้ก็อาจเกิดขึ้นได้เมื่อคุณพยายามเปิดแอปอื่นๆ ของ Windows เช่นเครื่องคิดเลขเหมือนกัน(แต่ส่วนมากจะเจอกับแอป Photo เป็นส่วนใหญ่)

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เจอ error -2147219196 แล้วล่ะก็ มาดูกันดีกว่าว่าจริงๆ แล้วอะไรที่เป็นต้นเหตุของปัญหานี้และจะมีวิธีการใดบ้างที่คุณสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้เองก่อนที่จะตัดสินใจลง Windows ใหม่ ว่าแล้วก็ไปติดตามกันเลย

Advertisementavw

  • error -2147219196 มีสาเหตุมาจากอะไร
  • error -2147219196 เกิดขึ้นกับใครได้บ้าง
  • วิธีแก้ปัญหา error -2147219196

error -2147219196 มีสาเหตุมาจากอะไร

error 2147219196 11 1

error -2147219196 นั้นปัจจุบันปรากฏเฉพาะใน Windows 10 เท่านั้นซึ่งมาจากการที่ตัวระบบปฎิบัติการ Windows นั้นป้องกันไม่ให้คุณใช้บางแอปพลิเคชันของระบบปฎิบัติการ Windows ได้(ส่วนใหญ่คือแอปรูปภาพ) 

ตามข้อมูลที่ปรากฎออกมานั้นพบว่า error -2147219196 เป็นผลมาจากข้อผิดพลาดภายในการปรับปรุง Windows ใน Windows Update ใหม่ล่าสุดเลยทำให้เกิด error -2147219196 นี้ขึ้น นอกไปจากนั้นยังมีอีกทฤษฎีหนึ่งที่บอกเอาไว้ว่าบางครั้งแล้วปัญหา error -2147219196 นี้เกิดขึ้นมาจากสิทธิ์การเข้าถึงแอปที่เจอ error -2147219196 นั้นถูกเปลี่ยนแปลงไประหว่างที่ทำการอัปเดท Windows ผ่าน Windows Update


error -2147219196 เกิดขึ้นกับใครได้บ้าง

ในปัจจุบันนี้ “File system error (-2147219196)” ยังพบเฉพาะกับผู้ที่ใช้งานระบบปฎิบัติการ Windows 10 เท่านั้น ดังนั้นแล้วหากจะบอกว่า error -2147219196 เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ใช้ Windows 10 ก็ถือว่าได้ อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้น error -2147219196 นี้ไม่ได้พบเฉพาะกับปัญหาการเปิดไฟล์รูปภาพผ่านแอป Photo ของ Windows 10 เท่านั้นเนื่องจากมีรายงานออกมาว่ากลุ่มผู้ใช้ที่ใช้แอปของทาง Microsoft ที่ติดตั้งมาพร้อมกับ Windows 10 โดยตรงแอปอื่นๆ ก็พบปัญหาดังกล่าวนี้เช่นเดียวกัน

ดังนั้นอาจจะสรุปได้ว่า error -2147219196 นี้เป็นปัญหาที่เกิิดขึ้นกับผู้ใช้งาน Windows 10 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นใช่ว่าปัญหาดังกล่าวนี้จะไม่เกิดขึ้นกับ Windows 11 เลย ดังนั้นวิธีแก่ปัญหาเบื้องต้นที่เราจะแนะนำในหัวข้อต่อไปนั้นก็ยังสามารถประยุกต์ใช้งานกับ Windows 11 ได้ด้วยในอนาคต(หากเกิด error -2147219196 ขึ้นมา)


วิธีแก้ปัญหา error -2147219196

สำหรับวิธีการแก้ไขปัญหา error -2147219196 มีอยู่หลายวิธี ดังนั้นก่อนที่จะถอดใจแล้วติดตั้ง Windows ใหม่เราขอแนะนำวิธีการตั้งแต่ง่ายที่สุดไปจนถึงหนักที่สุดตามลำดับต่อไปนี้

1. เปิดใช้งาน Windows Store Apps Troubleshooter

เรียกใช้ตัวแก้ไขปัญหาแอพ Windows Store Windows 10 มีตัวแก้ไขปัญหาในตัวที่จะจัดการกับข้อผิดพลาดที่เกี่ยวข้องกับแอพที่เป็นของ Microsoft Store (เช่น Photos) โดยอัตโนมัติ เราขอแนะนำอย่างยิ่งให้ใช้งานก่อนที่จะดำดิ่งสู่การแก้ไขส่วนที่เหลือ

  • เปิดเมนู Start แล้วเลือก Settings
  • เลือกตัวเลือกที่มีข้อความว่า Update & Recovery
fix error 2147219196 001
  • เลือก Troubleshoot บนแถบด้านข้าง
  • เลือก Additional troubleshooters
fix error 2147219196 002
  • เลือก Windows Store Apps > Run the troubleshooter
fix error 2147219196 003

จากนั้นทำตามขั้นตอนแล้วลองใช้งานดูอีกรอบ หากยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ให้ทำตามขั้นตอนต่อไป

2. ทำการ Repair แอป Microsoft Photos

วิธีการต่อมานี้คือการสั่งการให้ Windows ทำการแก้ไขแอป Microsoft Photos โดยตรงซึ่งสามารถที่จะทำได้ดังต่อไปนี้

  • เปิด Settings แล้วเลือกไปที่ Apps
  • ทางด้านขวามือของหน้าจอใหม่ที่ปรากฎขึ้นมาให่เลือกลงไปหาแอป Microsoft Photos คลิกหนึ่งครั้งแล้วเลือก Advanced options
fix error 2147219196 004

เลือก Terminate เพื่อทำการปิดแอปอย่างสมบูรณ์ก่อนหลังจากนั้นให้เลือก Repair

fix error 2147219196 005

รอให้สิ้นสุกกระบวนการจากนั้นทดสอบอีกรอบเพื่อดูว่าปัญหาได้ถูกแก้ไขแล้วหรือไม่ หากยังไม่ได้ให้ทำขั้นตอนต่อไป

3. ทำการ Reset แอป Microsoft Photos

fix error 2147219196 006

หากการ Repair แอป Photo ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ขั้นตอนต่อมาคือให้คุณลอง Reset แอป Photo เพื่อกำหนดให้แอปมีค่าเป็นค่าเริ่มต้นทั้งหมด สำหรับขั้นตอนนั้นจะเข้าไปตามหน้าต่างแบบเดียวกับวิธี Repair แต่ก่อนที่จะกด Repair นั้นให้เปลี่ยนจาก Repair เป็น Reset แทน

4. ทำการอัปเดทแอป Photo ผ่าน Microsoft Store

หากขั้นตอนที่ 1 – 3 ยังไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาให้คุณได้ ขั้นตอนต่อไปให้คุณลองทำการอัปเดทแอปผ่านทาง Microsoft Store ซึ่งทาง Microsoft มักจะมีการปล่อยอัปเดทออกมาค่อนข้างบ่อย(แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงจะตั้งให้อัปเดทอัตโนมัติบน Settings ใน Microsoft Store แล้วมันก็ไม่เคยอัปเดทให้อัตโนมัติสักที) สำหรับวิธีการนั้นจะมีดังต่อไปนี้

  1. เปิด Microsoft Store
  2. เลือกไอคอม Library ทางแทบด้านซ้ายตรงด้านล่าง(แต่ถ้าคุณยังใช้ Microsoft Store รุ่นเก่าอยู่คุณจะต้องทำการเปิดเมนู Store หรือไอคอนที่มีรูปจุด 3 จุดอยู่) จากนั้นให้เลือกที่ Downloads and updates
fix error 2147219196 007
  • เลือก Get updates หลังจากนั้นรอให้ Microsoft Store อัปเดทแอปทั้งหมด
fix error 2147219196 008

5. ลงทะเบียนแอป Photos ใหม่

fix error 2147219196 009

หากขั้นตอนทางด้านบนตั้งแต่ 1-4 ยังไม่สามารถช่วยได้ ในตอนนี้เราต้องใช้วิธีการที่ยากมากขึ้นด้วยการเข้าไปแก้ไขแอป Photo เพื่อทำการลงทะเบียนกับระบบ Windows ใหม่ผ่านทาง Command Prompt ซึ่งสามารถที่จะทำได้ดังนี้

  • กด Start เพื่อเรียก Menu ขึ้นมาแล้วพิมพ์ CMD จากนั้นให้ทำการคลิกขวาแล้วเลือก Run as administrator
  • คัดลอกข้อความต่อไปนี้แล้วนำไปวางในหน้าต่าง CMD ที่ปรากฎขึ้นมาจากนั้นกด Enter

PowerShell -ExecutionPolicy Unrestricted -Command “& {$manifest = (Get-AppxPackage *Photos*).InstallLocation + ‘\AppxManifest.xml’ ; Add-AppxPackage -DisableDevelopmentMode -Register $manifest}”

6. ลงทะเบียนแอปพลิเคชันทุกแอปที่ติดตั้งมาพร้อม Windows ใหม่ทั้งหมด

fix error 2147219196 010

ยาที่แรงขึ้นมาหากขั้นตอนที่ 5 ยังไม่สามารถช่วยได้ก็ Windows PowerShell (Admin)คือการบังคับให้ Windows ลงทะเบียนแอปพลิเคชันที่ติดตั้งพร้อมกับ Windows ใหม่ทั้งหมดโดยสามารถที่จะทำได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้

  • กดปุ่ม Win + X พร้อมกันเพื่อเรียก  Windows PowerShell (Admin)
  • คัดลอกข้อความต่อไปนี้แล้วนำไปวางในหน้าต่าง Windows PowerShell (Admin) ที่ปรากฎขึ้นมาจากนั้นกด Enter

Get-AppXPackage | Foreach {Add-AppxPackage -DisableDevelopmentMode -Register “$($_.InstallLocation)\AppXManifest.xml”}

7. ทำการติดตั้งแอป Photo ใหม่

หากทำจนถึงขั้นตอนที่ 6 แล้วยังไม่สามารถใช้งานได้อีก ปัญหาอาจจะเกิดจากการที่ข้อผิดพลาดของคุณนั้นได้กินลึกลงไปในไฟล์แอป Photo เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นวิธีการขั้นต่อมาที่เราจะแนะนำก็คือการติดตั้งแอป Photo(หรือแอปที่มีปัญหาใหม่) ทว่าการที่จะทำแบบนี้ได้นั้นจะต้องได้ทำการสั่งงานผ่านผู้ใช้ที่เป็น SYSTEM เท่านั้น

โดยปกติแล้วผู้ใช้ SYSTEM นั้นก็คือตัวระบบปฎิบัติการ Windows เองทำให้ผู้ใช้งานทั่วไปไม่สามารถที่จะได้สิทธิ์ SYSTEM ด้วยวิธีปกติได้ เพื่อที่จะให้คุณได้สิทธิ์ SYSTEM ในการติดตั้งแอประบบใหม่นี้จะต้องใช้โปรแกรมช้วยอย่าง PsExec ซึ่งสามารถที่จะทำได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้

fix error 2147219196 011
  • เข้าไปที่เว็บไซต์ PsExec page on Windows Sysinternals แล้วทำการดาวน๋โหลดไฟล์ PsTools
  • หลังจากโหลดเสร็จเรียบร้อยแล้วจะได้ไฟล์ .ZIP ให้ทำการแตกไฟล์ออกมาโดยเลือกสถานที่แตกไฟล์ดังกล่าวไปไว้ที่ C:/PSTools
fix error 2147219196 012
  • กดปุ่ม Win + X พร้อมกันเพื่อเรียก Windows PowerShell (Admin)
  • เมื่อเปิดขึ้นมาแล้วให้คัดลอกข้อความต่อไปนี้แล้วนำไปวางที่ Windows PowerShell จากนั้นกด Enter

Get-AppxPackage *photos* | Remove-AppxPackage

fix error 2147219196 013
  • จากนั้นให้เปิด Command Prompt(CMD) ขึ้นมาแล้วคัดลอกข้อความต่อไปนี้ไปวางที่ CMD จากนั้นทำการกด Enter

C:\PSTools\PsExec.exe -sid C:\Windows\System32\cmd.exe

fix error 2147219196 014
  • เมื่อกด Enter แล้วจะขึ้นหน้าจอตามด้านล่างนี้ให้ทำการกด Agree แล้วติดตั้งไปตามขั้นตอนจนเสร็จ หลังจากที่เสร็จแล้วจะมีหน้าต่าง Command Prompt(CMD) อีกอันหนึ่งรันขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
fix error 2147219196 015
fix error 2147219196 016
  • ในหน้าต่าง Command Prompt(CMD) ที่ปรากฎขึ้นมาใหม่ให้ทำการคัดลอกข้อความต่อไปนี้ไปวางไว้แล้วกด Enter

rd /s “C:\Program Files\WindowsApps\Microsoft.Windows.Photos_2021.21090.10008.0_x64__8wekyb38bbwe

หมายเหตุ – โฟลเดอร์ที่จัดเก็บแอป Photo นั้นจะเปลี่ยนไปทุกๆ ครั้งที่มีการอัปเดท Windows ใหม่ออกมาดังนั้นหากคุณไม่ทราบแน่ชัดว่า Windows 10 ของคุณเป็นเวอร์ชันไหนกันแน่ให้คุณทำตามขั้นตอนนี้

  • ขัดลอกข้อความด้านล่างนี้แทนแล้วนำไปวางในหน้าต่าง Command Prompt(CMD) ที่ปรากฎขึ้นมาใหม่

rd /s “C:\Program Files\WindowsApps\Microsoft.Windows.Photos_

  • ให้ทำการกดแป้นคีย์บอร์ด Tab แล้วรอจนให้เห็นข้อความแสดงเวอร์ชัน Windows ที่ลงท้ายด้วย x64 ก่อน(อาจจะต้องกด Tab 2 – 3 ครั้งถึงจะเห็น x64 ปรากฎขึ้นมา) จากนั้นค่อยกด Enter
  • เมื่อเสร็จสิ้นแล้วให้กดปิดหน้าต่าง Command Prompt(CMD) ไป หลังจากนั้นให้ทำการติดตั้งแอป Photo ใหม่ผ่านทาง Microsoft Store
fix error 2147219196 017

8. เปลี่ยนสิทธิ์เจ้าของแอป Photo เป็น TrustedInstaller

หากยังไม่ได้อีกให้ทำการเปลี่ยนสิทธิ์เจ้าของแอป Photo เป็น TrustedInstaller ตามขั้นตอนต่อไปนี้

  • เปิด Windows PowerShell แล้วคัดลอกข้อความต่อไปนี้ไปวางจากนั้นกด Enter

takeown /F “%ProgramFiles%\WindowsApps” /r /d y

fix error 2147219196 018
  • เปิด File Explorer แล้วเลือก View > Hidden items ที่ Menu bar
  • ไปยังตำแหน่ง Local Disk C > Program Files > WindowsApps
fix error 2147219196 019
  • คลิกขวาที่โฟลเดอร์ Microsoft.Windows.Photos_[version number] แล้วเลือก Properties

หมายเหตุ – หมายเลขเวอร์ชันที่ตามหลังอาจจะแตกต่างกันไปตามเวอร์ชันของ Windows 10 ดังนั้นให้คลิกที่โฟลเดอร์ที่ลงท้ายด้วย x64 เท่านั้น

fix error 2147219196 020
  • เลือกไปที่แท็บ Security แล้วเลือกที่ Advanced
fix error 2147219196 021
  • เลือกที่ Change ด้านหลัง Owner
fix error 2147219196 022
  • พิมพ์ NT SERVICE\TrustedInstaller ตรงช่องว่างตามรูปด้านล่างแล้วคลิกที่ OK
fix error 2147219196 023
  • คลิก Replace owner on subcontainers and objects
fix error 2147219196 024

9. ทำการถอนการติดตั้ง Windows Update เวอร์ชันล่าสุดที่ก่อให้เกิดปัญหา

จริงๆ แล้วการที่จะมาถึงขั้นตอนนี้ได้นั้นค่อนข้างจะยากอยู่พอสมควร ทว่าหากคุณแก้ตามขั้นตอนด้านต้นทั้งหมดแล้วพบว่ายังคงไม่สามารถใช้งานได้อยู่เราก็จะแนะนำให้คุณถอนการติดตั้งอัปเดทเวอร์ชันล่าสุดของ Windows ที่คุณพึ่งลงไปดังขั้นตอนต่อไปนี้

fix error 2147219196 025
  • เข้าไปที่ Settings แล้วเลือก Update & Security หรือ Windows Update ทางแทบด้านซ้าย หลังจากนั้นให้เลือกที่  View update history ทางหน้าจอด้านขวา
fix error 2147219196 026
  • เลือก Uninstall updates
fix error 2147219196 027
  • เลือกไปที่อัปเดทล่าสุดที่พึ่งติดตั้งไปจากนั้นกด Uninstall

10. ใช้คำสั่ง SFC และ DISM

สำหรับวิธีการสุดท้ายที่เราจะแนะนำก็คือการสแกนหาไฟล์ข้อผิดพลาดของระบบและให้ระบบทำการซ่อมแซมไฟล์ดังกล่าวนั้นโดยสามารถที่จะทำได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้

  • เปิด Windows PowerShell แล้วพิมพ์คำสั่ง sfc /scannow
fix error 2147219196 028
  • หลังจากนั้นให้ใช้คำสั่ง DISM.exe /Online /Cleanup-Image /Restorehealth
fix error 2147219196 029

เมื่อเสร็จแล้วให้ทำการรีสตาร์ทเครื่องเพื่อดูว่าอาการหายไปแล้วหรือไม่


หากทำมาจนถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้วยังพบว่าปัญหาดังกล่าวไม่ได้รับการแก้ไข คุณจะเหลือ 2 ทางเลือกก็คือต้องรอ Windows Update เวอร์ชันใหม่ที่อาจจะได้รับการแก้ไขปัญหาดังกล่าวปล่อยออกมา(หรืออาจจะหาโปรแกรมดูภาพฟรีจากอินเทอร์เน็ตมาใช้งานแทน) หรือไม่งั้นก็ต้องลง Windows 10 เท่านั้น(แต่ก็อาจจะเจอปัญหาเดิมอีก)

ที่มา : partitionwizard, helpdeskgeek, appuals

from:https://notebookspec.com/web/686632-how-to-fix-file-system-error-2147219196-when-opening-windows-photo-app

วิธีแก้ error 0x8007045d บน Windows 10/11

error 0x8007045d ปัญหาใหญ่ของระบบปฎิบัติการ Windows ที่ใครๆ ก็อาจจะเจอได้ มันคืออะไร? สาเหตุมาจากไหน? และจะแก้ปัญหาได้อย่างไร มาลองติดตามกัน

error 0x8007045d
error 0x8007045d ปัญหาข้อผิดพลาดสุดโหดที่คุณควรรู้

Windows เป็นระบบปฎิบัติการที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก แน่นอนว่าเป็นเรื่องปกติที่มันจะตามมาด้วยการพับเจอปัญหามากมาย บางข้อผิดพลาดผู้ใช้ก็ยังสามารถที่จะใช้งานระบบต่อไปได้ แต่บางข้อผิดพลาดก็อาจจะถึงขึ้นทำให้ระบบล่มจนสามารถใช้งานต่อเนื่องไม่ได้

ในวันนี้เราขอยกเอาอีกปัญหาหนึ่งอย่าง error 0x8007045d ที่ใครๆ ก็สามารถที่จะเจอกับปัญหานี้ได้(หรืออาจจะเคยเจอมาก่อนแล้ว) มาดูกันว่าเจ้า error 0x8007045d มันคืออะไร มีต้นเหตุมาจากไหน? พร้อมวิธีการแก้ไขเบื้องต้นที่คุณสามารถทำได้เองกัน จะเป็นเช่นไรนั้นไปติดตามกันได้เลย

Advertisementavw


Error 0x8007045d คืออะไร?

error 0x8007045d 1

error 0x8007045d หรือข้อผิดพลาด 0x8007045d เป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ใช้ Windows ที่สามารถพบกันได้ทุกคน โดยปกติิแล้วข้อผิดพลาดนี้มักเกิดขึ้นเมื่อคุณพยายามสำรองไฟล์(หรืออาจจะทั้งโฟลเดอร์) ด้วยอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลภายนอก 

หากจะว่ากันไปแล้วข้อผิดพลาด 0x8007045d บน Windows นั้นสามารถที่จะเกิดขึ้นได้จาก 2 สาเหตุใหญ่ๆ คือ

  1. เกิดขึ้นเมื่อระบบปฏิบัติการของคุณไม่สามารถค้นหาหรืออ่านไฟล์ในคอมพิวเตอร์ของคุณได้
  2. เกิดขึ้นเมื่อระบบปฎิบัติการของคุณไม่สามารถที่จะทำการบันทึกไฟล์ลงไปในแหล่งเก็บข้อมูลที่คุณต้องการจัดเก็บได้

ต้นเหตุของปัญหา Error 0x8007045d

hard drive head damage

โดยปกติคุณจะพบข้อผิดพลาด 0x8007045d ขณะคัดลอกไฟล์เดียวหรือหลายไฟล์ผ่านแหล่งเก็บข้อมูลภายนอก ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็น USB Flash หรือแหล่งเก็บข้อมูลแบบ CD/DVD/Blu Ray ทว่าการเกิดขึ้นของข้อผิดพลาด 0x8007045d บน Windows 10 และ Windows 11 ที่พบได้มากที่สุดก็คือตามอที่ระบบปฎิบัติการกำลังทำการโหลดอัปเดต(หรือระหว่างการอัปเดท) ตัวระบบปฎิบัติการ Windows แต่อย่างไรก็ตามข้อผิดพลาดนี้ยังปรากฏขึ้นระหว่างการถ่ายโอนไฟล์ที่ผิดพลาดหรือการสำรองข้อมูลได้ด้วยอีกต่างหาก

ข้อผิดพลาดอาจปรากฏเป็นการแจ้งเตือนได้ดังต่อไปนี้

  • Windows cannot install the required files. Make sure all the files necessary for installation are available, and restart the installation. Error code: 0x8007045D
  • Error 0x8007045D: The request could not be performed because of an I/O device error.

ข้อผิดพลาด 0x8007045d ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเมื่อคอมพิวเตอร์ของคุณไม่สามารถค้นหาหรืออ่านไฟล์ของคุณได้ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณแรกที่บ่งบอกว่าแหล่งเก็บข้อมูลที่คุณทำการเก็บไฟล์นั้นอยู่อาจจะมีปัญหา หรือในบางกรณีเองนั้น ข้อผิดพลาด 0x8007045d อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ได้อีกเช่นซอฟต์แวร์ที่มีปัญหาระหว่างการติดตั้งหรือฮาร์ดแวร์อย่างแหล่งเก็บข้อมูลเกิดการเสียหาย ทั้งนี้อาการที่คุณจะพบได้ก็คือการไม่สามารถอ่านไฟล์หรือเกิดข้อผิดพลาดในการคัดลอกไฟล์เหล่านั้นในทุกๆ ครั้ง

หากจะให้พูดกันตรงๆ แล้วนั้นรหัสข้อผิดพลาด 0x8007045d มีสาเหตุหลายประการที่ทำให้ผู้ใช้เจอได้ซึ่งสามารถที่จะแยกออกมาได้ดังต่อไปนี้

  • Registry Editor เกิดความเสียหาย
  • ไฟล์ระบบปฎิบัติการหรือโปรแกรมเกิดความเสียหาย(บางไฟล์)
  • ไฟล์ที่คุณดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ตอาจจะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นระหว่างการโหลด
  • แหล่งเก็บข้อมูลภายนอกของคุณอย่าง external hard drive, USB drive, CD, DVD หรือ Blu ray มีปัญหาซึ่งอาจจะเกิดขึ้นจากช่องเชื่อมต่อส่วนใหญ่คือ USB หรือตัวแหล่งเก็บข้อมูลนั้นๆ มีปัญหา(ตัวอย่างเช่นหากเป็นแผ่น CD/DVD นั้นก็อาจจะมาจากการที่ตัวแผ่นได้รับการเก็บรักษาไม่ดีจนทำให้เกิดรอยขึ้นทางด้านหลังของแผ่น)
  • หน่วยความจำของตัวเครื่อง(หรือ RAM) ของคุณอาจจะมีปัญหา
  • พอร์ต USB ที่คุณใช้ในการเชื่อมต่อมีปัญหา

ข้อผิดพลาด 0x8007045d เป็นเรื่องปกติและไม่มีผลกระทบระยะยาวกับคอมพิวเตอร์ของคุณ ดังนั้นเมื่อเกิดข้อผิดพลาดคุณต้องลองใช้วิธีการที่มีอยู่ทั้งหมดทีละวิธีจนกว่าจะแก้ไขได้

แต่หากคุณลองทุกวิธีการแล้วยังพบปัญหาเดิมอยู่นั่นอาจจะเป็นสัญญาณว่าเซ็กเตอร์ใน Hard disk ที่คุณใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊คของคุณเกิดความเสียหาย ซึ่งการเสียหายนี้นั้นถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่มีผลเสียต่อความสมบูรณ์โดยรวมของไฟล์ทั้งหมดที่อยู่ใน Hard disk นั้นๆ ดังนั้นคุณควรสำรองไฟล์อื่นๆ ที่สำคัญทั้งหมดเอาไว้ที่อื่นแล้วรีบไปหาช่างที่คุณไว้ใจได้เพื่อเช็คอาการดูโดยด่วย


วิธีแก้ไขปัญหา Error 0x8007045d เบื้องต้นที่คุณทำได้

1. Restart Windows

Ewfvt

หากคุณพบข้อผิดพลาด 0x8007045d ให้ลองรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊คของคุณเพื่อแก้ไขดูก่อนเป็นลำดับแรก  โดยทั่วไปแล้ววิธีการนี้ใช้ได้ผลเสมอกับปัญหาส่วนใหญ่ของ Windows ดังนั้นการรีสตาร์ท Windows จึงถือว่าเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดและสิ่งแรกที่คุณควรจะลองทำเมื่อเจอปัญหาใดๆ ก็ตามบนระบบปฎิบัติการ Windows

ทั้งนี้หากทำการรีสตาร์ทแล้วยังพบข้อผิดพลาดอยู่นั่นอาจจะหมายความว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณเริ่มมีปัญหาที่ใหญ่มากกว่าการที่ระบบปฎิบัติการ Windows ที่ได้รับการเริ่มต้นการทำงานใหม่ผ่านการรีสตาร์ทไม่สามารถช่วยได้เช่นเครื่องของคุณอาจจะมีข้อผิดพลาดของอุปกรณ์ I/O ให้คุณลองวิธีการต่อไป

2. ทำการอัปเดต Windows

windows update 1

วิธีการแก้ไขปัญหาที่ง่ายที่สุดรองลงมาที่คุณควรทำเป็นอย่างที่สองเลยก็คือลองทำการอัปเดทระบบปฎิบัติการ Windows ผ่านทาง Windows Update โดยตรง เพราะการอัปเดทระบบปฎิบัติการ Windows ในแต่ละครั้งนั้นจะมีการเขียนบันทึกไฟล์ระบบใหม่ลงไปด้วย สำหรับวิธีการนั้นให้คุณทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

  1. กดปุ่ม Win + I เพื่อเปิด Windows Settings
  2. คลิกที่ Windows Update
  3. จากนั้นคลิกที่ Check for updates
  4. คลิกที่ Download & install เพื่อเสร็จสิ้นการติดตั้งระบบปฎิบัติการ Windows เวอร์ชันใหม่ที่ได้รับการอัปเดทและเพิ่มการแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ

3. ลองใช้พอร์ต USB อื่น

usb flash drive ports latptop

จริงๆ แล้ววิธีการนี้ควรเป็นวิธีการแรก แต่ที่เรานำมาเอาไว้เป็นขั้นตอนที่ 3 นั้นก็เนื่องมาจากว่าหากคุณพบว่าพอร์ต USB ของเครื่องคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊คมีปัญหานั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าอาร์ดแวร์หลักของเครื่องอย่างเมนบอร์ดอาจจะเกิดข้อผิดพลาดซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุเอามากๆ ไม่ว่าจะเป็นเมนบอร์ดเสียหายเองหรือแหล่งจ่ายไฟมีปัญหา

และที่สำคัญเลยนั้นก็คือวิธีการนี้จะใช้งานได้เฉพาะก็ต่อเมื่อคุณเกิดข้อผิดพลาด 0x8007045d กับแหหล่งเก็บข้อมูลภายนอกที่เชื่อมต่อผ่าน USB เท่านั้น วิธีการก็คือให้คุณลองทำการเสียบแหล่งเก็บข้อมูลภายนอกเข้ากับพอร์ต USB อื่นที่มีอยู่ทั้งหมดบนคอมพิวเตอร์และโน๊ตบุ๊คของคุณทีละพอร์ตๆ หากลองเปลี่ยนพอร์ต USB แล้วพบว่าพอร์ต USB ใหม่นั้นสามารถใช้งานได้โดยไม่พบข้อผิดพลาด 0x8007045d เราขอให้คุณทำการรีบสำรองข้อมูลให้หมดแล้วให้คุณนำเครื่องไปหาช่างที่เชี่ยวชาญที่คุณไว้ใจเพื่อทำการบอกปัญหาโดยด่วนเพื่อทำการตรวจสอบดูว่าปัญหาดังกล่าวนี้เกิดขึ้นจากฮาร์ดแวร์ของตัวเครื่องหรือไม่(ควรทำเป็นอย่างยิ่งหากเครื่องคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊คของคุณยังอยู่ในประกัน)

บางครั้งการใช้ USB HUB หรือตัวขยายพอร์ต USB ก็อาจจะก่อให้เกิดข้อผิดพลาด 0x8007045d นี้ขึ้นได้เช่นกันดังนั้นเพื่อไม่ประมาทคุณควรต่อแหล่งเก็บข้อมูลภายนอกกับพอร์ต USB ของคอมพิวเตอร์และโน๊ตบุ๊คของคุณโดยตรงดู

4. ดาวน์โหลดไฟล์ที่ได้รับผลกระทบอีกครั้ง

asdasdasvv easfdsfsdf

หากข้อผิดพลาด 0x8007045d ปรากฏขึ้นขณะพยายามเปิดไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาจากทั้งอินเทอร์เน็ตหรือไฟล์ที่อยู่ใน Flash Drive เองแล้วนั้นบางทีปัญหาทั้งหมดอาจจะเกิดขึ้นจากความผิดพลาดระหว่างการดาวน์โหลดหรือบันทึกไฟล์ลงแหล่งเก็บข้อมูลนั้นๆ ซึ่งทำให้ไฟล์นั้นๆ ที่มีปัญหานี้ไม่สมบูรณ์ อันเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณเจอข้อผิดพลาด 0x8007045d ได้

หากเป็นกรณีนี้ วิธีที่ดีที่สุดคือดาวน์โหลดไฟล์ของคุณจากแหล่งเก็บข้อมูลต้นฉบับใหม่ โดยหากเป็นไปได้หากไฟล์ดังกล่าวนั้นเป็นไฟล์งานคุณควรลองเปิดไฟล์ดังกล่าวจากเครื่องคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊คที่เป็นแหล่งของต้นฉบับไฟล์นั้นดูก่อนว่าสามารถเปิดใช้งานได้ปกติหรือไม่(หากเป็นไฟล์ที่โหลดจากอินเทอร์เน็ตเราขอแนะนำให้คุณทำการดาวน์โหลดไฟล์นั้นใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง)

5. เรียกใช้ Hardware and Device Windows Troubleshooter

hardware and device

Microsoft ได้จัดทำเครื่องมือมากมายที่ช่วยให้คุณทำการแก้ไขข้อผิดพลาดเบื้องต้นต่างๆ บนระบบปฎิบัติการ Windows ได้ด้วยตัวของคุณเอง โดยตัว Hardware and Device troubleshooter นั้นจะทำการวินิจฉัยคอมพิวเตอร์ของคุณทั้งในส่วนของระบบไฟล์ของตัวระบบปฎิบัติการ(เช่น Driver) รวมถึงวินิจฉัยฮาร์ดแวร์ที่ทำการเชื่อมต่อที่มีปัญหาและสามารถที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเบื้องต้นบนคอมพิวเตอร์และโน๊ตบุ๊คระบบปฎิบัติการ Windows ของคุณได้

สำหรับขึ้นตอนต่อไปนี้เราขอแนะนำให้คุณทำเมื่อคุณพบปัญหาข้อผิดพลาด 0x8007045d กับแหล่งเก็บข้อมูลภายนอก(อย่าง USB Flash, External Hard disk หรือแหล่งเก็บข้อมูลแบบ CD/DVD/Blu Ray) เนื่องจากเป็นไปได้ว่าข้อผิดพลาด 0x8007045d นั้นอาจเกิดจากฮาร์ดแวร์ของแหล่งเก็บข้อมูลภายนอกเอง วิธีการก็คือให้คุณเชื่อมต่อแหล่งเก็บข้อมูลที่พบข้อผิดพลาด 0x8007045d แล้วทำตามขั้นตอนดังนี้

  • ไปที่แถบค้นหา(ไอคอนแว่นขยาย) ที่ Start พิมพ์ ‘cmd’ แล้วเลือก Command Prompt
  • จากนั้นให้ทำการพิมพ์คำสั่งต่อไปนี้แล้วกด Enter (หรือจะคัดลอกไปวางเลยก็ได้)

msdt.exe -id DeviceDiagnostic

Windows จะทำการเด้งหน้าจอ นี่Hardware and Devices ขึ้นมาจากนั้นให้คุณทำการเลือก Next แล้วตัวซอฟต์แวร์จะเริ่มสแกน Windows ของคุณเพื่อหาปัญหา ทันทีที่พบข้อผิดพลาดเครื่องมือจะแก้ไขทันทีโดยอัตโนมัติ หลังจากเสร็จสิ้นให้ลองตรวจสอบดูว่าข้อผิดพลาด 0x8007045d ยังคงอยู่หรือไม่

6. ปิดใช้งานซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสและไฟร์วอลล์

ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสขึ้นชื่อเรื่องการแทรกแซงการอัปเดตและการติดตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณพยายามสำรองข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับระบบปฎิบัติการของซึ่งในที่สุดอาจจะก่อให้เกิดข้อผิดพลาด 0x8007045d ขึ้นมาได้อันเนื่องมาจากว่าไฟล์ดังกล่าวนั้นๆ ไม่สามารถที่จะบนทึกลงไปในแหล่งเก็บข้อมูลหลักของคุณได้

หากคุณคิดว่าข้อผิดพลาด 0x8007045d เกิดปัญหาขึ้นจากซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสหรือไฟร์วอลล์นี้ให้คุณลองปิดการทำงานของซอฟ์ตแวร์ป้องกันไวรัส(ที่คุณใช้)ดูแล้วตามด้วยการปิดไฟร์วอลล์ดังวิธีการต่อไปนี้

ขอให้คุณตรวจสอบให้มั่นใจก่อนว่าไฟล์ที่เกิดข้อผิดพลาด 0x8007045d นั้นไม่ได้ติดไวรัสก่อนที่คุณจะดำเนินการใดๆ ต่อไป

error 0x8007045d 5
  • เปิด Control Panel จากนั้นมองหาและคลิกที่ Windows Defender Firewall
error 0x8007045d 6
  • คลิกตัวเลือก Turn Windows Defender Firewall on or off เพื่อดำเนินการต่อ
error 0x8007045d 7
  • ทำเครื่องหมายที่ตัวเลือก Turn off Windows Defender Firewall ในการตั้งค่าเครือข่ายส่วนตัว และคลิก OK เพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลง

หลังจากปิดใช้งานซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสและไฟร์วอลล์แล้ว ให้ตรวจสอบว่าข้อผิดพลาด 0x8007045d Windows ได้รับการแก้ไขแล้วหรือไม่ หากข้อผิดพลาดยังคงอยู่ ให้เปิดใช้งานโปรแกรมป้องกันไวรัสและไฟร์วอลล์กลับเพื่อป้องกันคอมพิวเตอร์ของคุณจากการถูกโจมตีจากนั้นลองใช้วิธีอื่นต่อไป

7. บูตคอมพิวเตอร์เพื่อเข้าใช้งานผ่าน Safe Mode

ในกรณีที่คุณไม่สามารถปิดปิดการทำงานของซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยได้(ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม) การเข้าสู่ Safe Mode เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาทำเพื่อทำการทดสอบดูว่าข้อผิดพลาด 0x8007045d นั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะ Safe Mode นี้รันโปรแกรมและบริการต่างๆ ของระบบปฎิบัติการ Windows และซอฟต์แวร์ที่คุณติดตั้งน้อยที่สุด สำหรับวิธีการเข้าสู่ Safe Mode นั้นให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

error 0x8007045d 8
  1. เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ของคุณด้วยผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ของผู้ดูแลระบบ
  2. คลิก Start แล้วเปิด Run พิมพ์ msconfig ตามด้วยกด Enter
  3. คลิกปุ่ม Boot ในแอปเพล็ต Systems Configuration จากนั้นคลิก Safe Boot แล้วเลือกตัวเลือก Minimal จากนั้นให้คลิก OK เพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลง
  4. คลิกปุ่ม Restart เพื่อรีบูตระบบของคุณในหน้าต่างป๊อปอัป จากนั้นตรวจสอบว่าข้อผิดพลาด 0x8007045d Windows ได้รับการแก้ไขแล้วหรือไม่

8. ลองทำการ Update Driver ของแหล่งเก็บข้อมูลที่มีปัญหา

device manager 1

เอาจริงๆ แล้วนั้นข้อผิดพลาด 0x8007045d นั้นมักจะไม่ค่อยมีสาเหตุมาจากข้อผิดพลาดของไดรเวอร์แหล่งเก็บข้อมูลสักเท่าไรนัก แต่ก็มีความเป็นไปได้อยู่เช่นเดียวกันว่าไดรเวอร์ของแหล่งเก็บข้อมูลอาจจะเกิดความเสียหายขึ้นโดยที่คุณไม่รู้ตัว ดังนั้นหากมีปัญหากับไดรเวอร์ CD/DVD หรือแหล่งเก็บข้อมูลที่ใช้การเชื่อมต่อแบบ USB ให้คุณลองทำการอัปเดทไดร์เวอร์ของมั้นดูโดยทำการขึ้นตอนต่อไปนี้

  1. ไปที่แถบค้นหา(ไอคอนรูปแว่นขยาย) ของ Start menu พิมพ์ ‘device manager’ แล้วคลิกเลือกเพื่อเปิด
  2. ใน Device manager ให้ไปที่ DVD/USB Drivers จากนั้นคลิกขวาที่ไดรเวอร์นั้น
  3. เลือก Update driver เพื่อเริ่มอัปเดตไดรเวอร์ของคุณ

ตัวช่วยทำการอัปเดตจะเปิดขึ้นมา ให้คุณเลือกตัวเลือก Search automatically for drivers เมื่อเสร็จสิ้นให้ลองดูว่าข้อผิดพลาด 0x8007045d ถูกแก้ไขไปแล้วหรือยัง

9. ตรวจสอบไดรฟ์

9192e0aa 120d 91d6 131f b5f2f604819b

ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่เราไม่อยากให้คุณได้พบเจอนั่นก็คือการเสียหายของเซกเตอร์บนพื้แหล่งเก็บข้อมูลหลักของคุณซึ่งหากคุณเจอกับปัญหานี้จริงข้อผิดพลาด 0x8007045d ก็อาจจะเกิดขึ้นกับคุณได้ โชคดีที่คุณสามารถใช้การตรวจสอบไดรฟ์เพื่อทำการค้นหาเซกเตอร์เสียของแหล่งเก็บข้อมูลได้โดยให้เปิด My Computer เลือกไปที่ไดรฟ์ที่คุณต้องการจัดเก็บข้อมูล(ที่มีปัญหาข้อผิดพลาด 0x8007045d) แล้วคลิกขวาจากนั้นเลือก Properties แล้วเลือกไปที่แท็บ Tools จากนั้นตรง Error-checking ให้เลือก Check now แล้วรอดูว่าระบบแจ้งว่ามีข้อผิดพลาดกับไดวฟ์ที่จะจัดเก็บข้อมูลของคุณหรือไม่

หากคุณเจอแจ้งเตือนว่าพบปัญหาเราขอแนะนำให้รีบสำรองข้อมูลของคุณลงไดรฟ์อื่นให้หมดแล้วรีบนำเครื่องคอมพิวเตอร์และโน๊ตบุ๊คของคุณไปหาช่างผู้เชี่ยวชาญโดยด่วนเพราะนี้อาจจะเป็นสัญญาณว่าแหล่งเก็บข้อมูลหลักของคุณเกิดปัญหาขึ้นแล้ว

หากตัวขั้นตอนทางด้านบนตรวจไม่พบแต่คุณก็ยังเจอปัญหาข้อผิดพลาด 0x8007045d อยู่ตลอดเวลาเราอยากให้คุณลองใช้ฟีเจอร์ Surface Test ของ MiniTool Partition Wizard ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ฟรีที่จะช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบการเสียหายของเซกเตอร์บนแหล่งเก็บข้อมูลหลักได้อย่างง่ายดาย (นอกไปจากนั้นยังมีฟีเจอร์เด่นๆ ที่ช่วยจัดการแหล่งเก็บข้อมูลได้อีกเช่น Format Partition, Data Recovery, Check File System, Disk Benchmark และอื่นๆ) หลังจากดาวน์โหลดและติดตั้ง MiniTool Partition Wizard Free Edition ลงในคอมพิวเตอร์ของคุณ ให้เปิดใช้งานโปรแกรมแล้วทำตามขั้นตอนด้านล่างต่อไปนี้

error 0x8007045d 2
  • เลือกไดรฟ์เป้าหมาย จากนั้นคลิก Surface Test ในแผงการทำงานด้านซ้าย
error 0x8007045d 3
  • คลิกปุ่ม Start Now เพื่อเริ่มการสแกน จากนั้นรอให้กระบวนการสแกนเสร็จสิ้นอย่างใจเย็น(เพราะการทำงานนี้จะใช้เวลามากน้อยตามขนาดพื้นที่ทั้งหมดของไดรฟ์ที่คุณทำการสแกน) หากผลการสแกนเป็นสีแดง แสดงว่ามีเซกเตอร์เสียในไดรฟ์และคุณจำเป็นต้องซ่อมแซมแหล่งเก็บข้อมูลนั้นอย่างเร่งด่วนโดยการนำเครื่องคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊คไปหาผู้เชี่ยวชาญพร้อมบอกปัญหา หากไม่มีเซกเตอร์เสียในไดรฟ์คุณควรตรวจสอบที่อื่นเพื่อหาต้นตอของข้อผิดพลาด

10. ลดขนาด Hard Drive

error 0x8007045d 4

สำหรับผู้ที่พบข้อผิดพลาด 0x8007045d เมื่อคัดลอก/ถ่ายโอนข้อมูลไปยังอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลภายนอก การลดขนาดฮาร์ดไดรฟ์อาจจะมีผลทำให้ข้อผิดพลาด 0x8007045d หายไปได้

ก่อนลดขนาดฮาร์ดไดรฟ์ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีสิทธิ์ระดับผู้ดูแลระบบและควรมั่นใจว่าคุณรู้จักขั้นตอนดังกล่าวนี้ดี หากคุณไม่มั่นใจแล้วอย่าทำขั้นตอนนี้เพราะอาจก่อให้เกิดความผิดพลาดกับไฟล์ที่อยู่ในไดรฟ์ไฟล์อื่นๆ ได้

หากคุณมั่นใจว่าคุณแกร่งพอให้คุณทำตามวิธีการข้างล่างต่อไปนี้

  1. พิมพ์ control panel ในช่องค้นหา จากนั้นคลิกที่ Control Panel จากผลการค้นหาเพื่อเปิด
  2. คลิกที่ตัวเลือก System and Security ใน Control Panel เพื่อดำเนินการต่อ
  3. ในหน้า System and Security คลิก Create and format hard disk partitions เพื่อดำเนินการต่อ
  4. จากนั้น Disk Management จะเปิดขึ้น คลิกขวาที่ไดรฟ์ที่คุณต้องการลดขนาด จากนั้นเลือกตัวเลือก Shrink Volume จากรายการ จากนั้นการดำเนินการจะเสร็จสิ้นโดยอัตโนมัติ

11. ถ่ายโอนไฟล์ผ่านคลาวด์

02 secure file transfer

หากคุณไม่สามารถเข้าถึงไฟล์ผ่านแหล่งเก็บข้อมูลภายนอกได้เลยหลังจากที่ลองทุกอย่างแล้ว แหล่งเก็บข้อมูลภายนอกนั้นๆ ของคุณอาจเสียหายทางกายภาพอย่างรุ่นแรงจนไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป ทางเลือกที่ดีที่สุดหากคุณรีบแล้วล่ะก็เราขอแนะนำให้คุณส่งไฟล์ไปยังคอมพิวเตอร์ของคุณผ่าน Cloud Service เช่น Google Drive, Dropbox หรือ One Drive แทนด้วยวิธีนี้ คุณจะข้อผิดพลาดดังกล่าว(แต่ต้องมั่นใจว่าไฟล์ต้นฉบับของคุณไม่มีปัญหาเท่านั้นนะ)


สรุป

อย่างที่เราบอกไปในตอนต้นว่าข้อผิดพลาด 0x8007045d นั้นเป็นข้อผิดพลาดที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเวลาที่เกิดและต้นเหตุของปัญหานั้นอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน ดังนั้นแล้วเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้คุณควรรักษาแหล่งเก็บข้อมูลภายนอกที่คุณใช้ในการโอนถ่ายไฟล์สำหรับการทำงานต่างๆ ให้ดี การเก็บไฟล์ไว้บนระบบ Cloud ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยรักษาข้อมูลที่สำคัญให้กับคุณได้(แต่อาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหากคุณต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลปริมาณมาก)

ทั้งนี้เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับข้อผิดพลาด 0x8007045d ได้

ที่มา : lifewire, makeuseof, partitionwizard

from:https://notebookspec.com/web/685952-how-to-fix-the-0x8007045d-error-on-windows-10-or-11

Service Host Process (svchost.exe) คืออะไร มาทำความรู้จักกัน

Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe คืออะไรทำไมถึงใช้ทรัพยากรเครื่อง Windows หนักขนาดนั้น วันนี้เราจะมาไขปริศนาพร้อมบอกวิธีแก้ไขเบื้องต้นกัน

Service Host Process
Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe

เชื่อว่าหลายๆ คนที่เคยเปิด Task Manager ดูนั้นจะสังเกตเห็นบริการหนึ่งที่ทำงานอยู่ตลอดเวลาซึ่งนั่นก็คือ Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe บางครั้งมันก็ทำงานแบบนิ่งๆ ไม่ใช้ทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์ระบบปฎิบัติการ Windows เท่าไรนัก ทว่าในบางครั้งเจ้า Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe นี้ก็ใช้งานทรัพยากรของเครื่องสูงมากๆ ทั้งในส่วนของ CPU และ RAM

ในบทความนี้เราจะขอนำเสนอว่า Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe นั้นคืออะไร ทำไมมันถึงใช้ทรัพยากรของเครื่องหนักมากและคุณสามารถจัดการอะไรกับเจ้า Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe ได้หรือไม่ จะเป็นอย่างไรบ้างนั้นไปติดตามกันได้เลย

Advertisementavw


Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe คืออะไร

wsh 1 650x189 1

Service Host Process หรือ Svchost.exe เป็นชื่อกระบวนการโฮสต์ทั่วไปสำหรับบริการที่เรียกใช้จากไลบรารีไดนามิกลิงก์

ข้อความทางด้านบนนี้เป็นคำตอบของ Microsoft เกียวกับเรื่องที่มีคนถามว่า Service Host Process หรือ Svchost.exe คืออะไรแต่นั่นไม่ได้อธิบายอะไรเรื่องดังกล่าวนี้มากนัก ดังนั้นหากอยากจะพูดถึง Service Host Process หรือ Svchost.exe แล้วนั้นต้องย้อนกับไปเมื่อไม่นานมานี้ที่ทาง Microsoft ได้เริ่มทำการเปลี่ยนฟังก์ชันการทำงานของ Windows ส่วนใหญ่จากการใช้บริการ Windows ภายใน (หรือเรียกใช้งานบริการต่างๆ ที่ Windows ต้องการจากไฟล์ EXE) เป็นการใช้ไฟล์ DLL แทน

ถ้ามองในมุมมองของการเขียนโปรแกรม การแก้ไขดังกล่าวนี้ทำให้โค้ดสามารถนำมาใช้ซ้ำได้มากขึ้นและง่ายต่อการติดตามการทำงานของกระบวนการทำงานนั้นๆ ปัญหาก็คือคือคุณไม่สามารถเปิดไฟล์ DLL จาก Windows ได้โดยตรงแบบเดียวกับที่คุณเปิดไฟล์ EXE ซึ่งนักเขียนโปรแกรมจะใช้เชลล์ที่โหลดจากไฟล์ EXE เพื่อเรียกทำงานบริการ DLL เหล่านี้แทน

ดังนั้น Service Host Process (svchost.exe) จึงถือกำเนิดขึ้น เพื่อเป็นไฟล์กลางในการเรียกใช้งานบริการต่างๆ ที่อยู่ในรูปแบบของไฟล์ DLL ตามที่ Windows ต้องการ

ทำไมถึงมี Service Host หลายอันใน Task Manager

Service Host Process

หากคุณเคยดู Services(หรือบริการโดยหลังจากนี้จะใช้คำว่าบริการแทน) ใน  Control Panel คุณอาจสังเกตเห็นว่า Windows ต้องการบริการจำนวนมาก หากทุกบริการทำงานภายใต้ Service Host เดียว นั่นหมายความว่าหาก Service Host ล้มเหลวขึ้นมาแล้วล่ะก็ระบบปฎิบัติการ Windows ก็จะล้มเหลวไปด้วย ดังนั้นทาง Microsoft จึงได้ทำการแยก Service Host ออกมาเป็นหลายๆ ส่วนเพื่อให้ Service Host แต่ละอันควบคุมบริการต่างๆ ที่แตกต่างกันไปเช่น

Service Host ที่ให้บริการแตกต่างกันไปนั้นจะใช้เพื่อควบคุมการทำงานแยกกันอย่างชัดเจนตัวอย่างเช่น Service Host สำหรับควบคุม Network, Service Host สำหรับควบคุม UI หรือ Service Host สำหรับควบคุม Remote เป็นต้น

ด้วยความที่ Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe นั้นเป็นตัวเรียกในการทำงานบริการของระบบปฎิบัติการ Windows ทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่แปลกที่มันจะใช้งานทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์คุณในทุกๆ ส่วนไม่ว่าจะเป็น CPU, RAM, GPU หรือแม้กระทั่ง Network เองนั้น Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe ก็เรียกใช้ทรัพยากรดังกล่าวด้วยเช่นเดียวกัน


วิธีตรวจสอบ Service Host processes ใน Task Manager

Service Host Process 002

สำหรับวิธีการดังตรวจสอบดูว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณมี Service Host processes อะไรทำงานอยู่บ้างนั้น คุณสามารถที่จะตรวจสอบได้ใน Task Manager ตามขึ้นตอนต่อไปนี้

  • กด Ctrl + Shift + Esc เพื่อโหลด Task Manager โดยตรง
  • คลิก More details ที่ด้านล่างของหน้าต่าง
  • คลิก Name เพื่อจัดเรียงตามชื่อและหยุดไม่ให้งานที่ทำอยู่โดดข้ามไปมา จากนั้นให้เลื่อนและค้นหา Service Host processes ที่ใช้งานอยู่ (คุณอาจต้องเลื่อนไปที่ด้านล่างใต้ Windows processes) จากนั้น คลิกขวาที่บริการที่คุณต้องการตรวจสอบ และเลือกไปที่ Go to details
Service Host Process 003
  • ไฟล์ Service Host ที่คุณคลิกจะถูกเน้นในตารางใหม่ที่ Task Manager โหลดขึ้นมาซึ่งทางด้านขวาคุณจะเห็นการใช้งาน CPU และ RAM (หรือทรัพยากรอื่นๆ) ที่กระบวนการนั้นใช้อยู่
Service Host Process 004

svchost.exe ปลอดภัยหรือไม่

Service Host Process 001

Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe โดยปกติแล้วมักจะปลอดภัย ทว่าด้วยความที่มันเป็นไฟล์ระบบดังนั้นจึงทำให้แฮ็กเกอร์และอาชญากรไซเบอร์สามารถสร้างมัลแวร์ svchost เพื่อเลียนแบบ svchost.exes ของตัวระบบปฎิบัติการ Windows ขึ้นมาได้เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้ใช้งานสงสัยว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเองโดนไวรัสหรือมัลแวร์เข้าให้แล้ว

โปรแกรมสแกนไวรัส บางโปรแกรมอาจจะเข้าไปตั้งค่าสถานะการทำงานของไฟล์ svchost.exe ของระบบปฎิบัติการ Windows ได้เนื่องจากไฟล์นี้สามารถเข้าถึงข้อมูลในส่วนอื่นๆ ของคอมพิวเตอร์คุณได้เกือบทั้งหมด

โดยปกติไฟล์ svchost.exe จะถูกเก็บเอาไว้ในโฟลเดอร์ C:\Windows\system32\ หากคุณพบไฟล์(หรือแม้กระทั่งโปรแกรมสแกนไวรัส) svchost.exe นอกโฟลเดอร์นี้ ให้คิดเอาไว้ก่อนเสมอว่าอาจเป็นไวรัสหรือมัลแวร์ตัวอย่างเช่น หากพบไฟล์ svchost.exe ในโฟลเดอร์ Download นั่นหมายความว่าคุณอาจติดไวรัสชื่อ svchost เข้าให้แล้ว(เป็นสปายแวร์ที่ใช้ตรวจสอบกิจกรรมการทำงานทั้งหมดของคุณกับคอมพิวเตอร์)

อาการของไวรัส Svchost นั้นจะเห็นได้จากการที่ตัวเครื่องใช้ทรัพยากรไม่ว่าจะเป็น CPU หรือ RAM สูงมากผิดปกติ

นอกไปจากนั้นยังมี System Host process ที่ชื่อ csrss.exe (Client Server Runtime Subsystem หรือ ระบบย่อยไคลเอ็นต์เซิร์ฟเวอร์รันไทม์) เองก็ใช้งานทรัพยากรมากจนทำให้ผู้ใช้ Windows บางคนกังวล แต่ถ้ามันไม่ใช่มัลแวร์หรือไวรัสคุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลไป วิธีการตรวจสอบด้วยตัวเองที่ง่ายที่สุดคือให้ดูตำแหน่งไฟล์นั้นจัดเก็บเอาไว้ตามวิธีการเดียวกับ svchost.exe หากไฟล์อยู่ใน “Windows\System32” ก็ไม่เป็นไรแต่ถ้าอยู่ที่อื่นคุณสามารถที่จะลบมันทิ้งได้ทันที

Service Host Process 005

แม้ว่าไ Service Host process ส่วนใหญ่จะชื่อ svchost.exe แต่ไฟล์ .exe ประเภทอื่นที่เรียกว่า utcsvc.exe ก็เป็น Service Host process ประเภทหนึ่งเช่นกัน ซึ่งมันจะเกี่ยวข้องกับการใช้งาน CPU สูง บางครั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสยังตั้งค่าสถานะไฟล์เหล่านี้เป็น PUP แม้ว่าจะไม่ได้รับการพัฒนาโดย Microsoft แต่ไฟล์ utcsvc ก็ได้รับการติดตั้งไว้ล่วงหน้าใน Windows และจัดอยู่ในประเภท Diagnostic Tracking Tool ที่โดยปกติจะไม่ค่อยได้ทำการเรียกใช้งานมากเท่าไรนัก(นานๆ จะถูกเรียกขึ้นมาใช้งาน)

เนื่องจากไฟล์ utcsvc สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่ละเอียดอ่อนในคอมพิวเตอร์ของคุณได้ จึงมีโอกาสที่ไฟล์เหล่านั้นจะถูกใช้เพื่อแพร่กระจายมัลแวร์ได้ และเช่นเดียวกับภัยคุกคามบนโลกออนไลน์ทั้งหมด Windows Defender อาจจะไม่เพียงพอสำหรับการให้ความมั่นใจว่าคุณจะปลอดภัยบนโลกออนไลน์ ดังนั้นหากเป็นไปได้คุณควรที่จะติดตั้งโปรแกรมสแกนไวรัสเพิ่มเติมอย่างน้อยหนึ่งโปรแกรม(เลือกโปรแกรมที่ชอบและใช่สำหรับคุณ)


วิธีปิดการทำงาน svchost.exe

สำหรับปิดการทำงาน Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe นั้นโดยปกติแล้วเราไม่อยากแนะนำให้คุณทำเพราะมันอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวระบบปฎิบัติการ Windows ได้ ดังนั้นก่อนที่จะทำตามขั้นตอนนี้ขอให้คุณพึงระลึกไว้เสมอว่าการปิดการทำงาน Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe นั้นมีความเสี่ยง หากคุณพร้อมที่จะลองก็สามารถที่จะทำได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้่

  • กด Ctrl + Shift + Esc เพื่อเปิด Task Manager
  • คลิกที่ Name เพื่อจัดเรียงกระบวนการที่ใช้งานอยู่ตามชื่อ แล้วให้ค้นหา Service Host process ที่คุณต้องการหยุดจากนั้น คลิกขวา และเลือก End task
Service Host Process 007

อย่างที่เราได้เตือนไว้ การหยุด Service Host process ใดๆ นั้นอาจทำให้ระบบเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ ดังนั้นก่อนที่จะทำให้คุณบันทึกงานของคุณทุกอย่างก่อนที่คุณจะทำการหยุดการทำงาน svchost.exe เพื่อความปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม Windows ไม่อนุญาตให้คุณหยุดการทำงาน svchost.exe ที่กำลังใช้งานโดยโปรแกรมที่เปิดอยู่ดังนั้นหากเป็นไปได้ควรปิดโปรแกรมทุกอย่างก่อนทั้งหมด


วิธีลบไวรัส svchost.exe

อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe นั้นโดนผู้ไม่หวังดีลอกเลียนชื่อไฟล์เพื่อทำเป็นมัลแวร์และไวรัสเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นหากคุณตรวจสอบดูตามด้านบนแล้วว่าตัวไฟล์ svchost.exe ที่มีปัญหาไม่ได้อยู่ในโฟลเดอร์  “Windows\System32” ก่อนที่คุณจะทำการลบเองนั้นเราขอแนะนำให้ทำการสแกนไฟล์ดังกล่าวด้วยโปรแกรมสแกนไวรัส(หรือมัลแวร์) ที่คุณใช้งานก่อน

แต่ปัญหาบางครั้งก็คือไวรัสหรือมัลแวร์ที่ใช้ชื่อว่า svchost.exe บางตัวนั้นอาจจะบล๊อคไม่ให้คุณเข้าถึง Task Manager เพื่อทำการตรวจสอบหาไฟล์เจ้าปัญหาดังกล่าวนี้ได้ วิธีการที่ดีที่สุดคือคุณควรที่จะต้องเข้าสู่ Windows Safe Mode แล้วทำการรันโปรแกรมสแกนไวรัสจากใน Safe Mode หลังจากนั้นให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อที่จะสั่งให้ Windows ซ่อมแซมไฟล์ระบบ

Service Host Process 008
  • กดที่ปุ่มค้นหา(รูปแว่นขยาย) ที่ Task Bar แล้วพิมพ์ CMD คุณจะเจอกับ Command Prompt ให้คุณทำการคลิกขวาแล้วเลือก Run as administrator
Service Host Process 009
  • เมื่อหน้าต่าง Command Prompt ขึ้นมาแล้วให้พิมพ์ sfc /scannow แล้วกด Enter เพื่อให้ระบบสแกนและซ่อมแซมไฟล์ของตัวระบบปฎิบัติการ(แนะนำให้คุณทำขั้นตอนนี้ 3 ครั้ง)

ไม่ได้มีเพียง Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe เท่านั้นที่เป็นเป้าหมายของผู้ไม่ประสงค์ดีในการลอกเลียนแบบไฟล์ไปสร้างไวรัสและมัลแวร์ คุณยังอาจจะเจอการจู่โจมจากผู้ไม่หวังดีจากช่องทางอื่นด้วยเช่นเดียวกัน(ลองศึกษาเพิ่มได้ที่ ทำความรู้จักกับ Shell Infrastructure Host พร้อมวิธีแก้ไขการใช้ทรัพยากรเครื่องสูง)

อย่างไรก็ตามเพื่อความไม่ประมาทคุณควรป้องกันตัวเองด้วยการติดตั้งโปรแกกรมสแกนไวรัส รวมทั้งไม่ควรโหลดไฟล์ต่างๆ ที่เสี่ยงต่อการใช้งานเพื่อแฝงตัวของไวรัสและมัลแวร์จากอินเทอร์เน็ต ที่สำคัญที่สุดก็คืออย่าคลิ๊กลิ้งค์แปลกๆ จากคนที่ไม่รู้จักด้วย

ที่มา : lifewire, avast, glasswire, howtogeek

from:https://notebookspec.com/web/685712-what-is-service-host-or-svchost-exe-and-how-can-we-do-with-it

ทำความรู้จักกับ Shell Infrastructure Host พร้อมวิธีแก้ไขการใช้ทรัพยากรเครื่องสูง

Shell Infrastructure Host เป็นโปรเซสที่น่าสงสัยที่สุดบน Windows เพราะใช้ทรัพยากรของเครื่องสูงมาก มาทำความรู้จักกับมันและวิธีจัดการแก้ไขกัน

Shell Infrastructure Host
Shell Infrastructure Host

เคยเจอปัญหาไหมที่อยู่ๆ ก็รู้สึกว่า Windows ทำงานช้าลงอย่างเห็นได้ชัด โดยหากคุณเป็นคนที่คุ้นเคยกับระบบปฎิบัติการ Windows อยู่บ้างเชื่อว่าคุณจะเข้าไปดูโปรเซสที่กำลังทำงานอยู่ผ่านทาง Task Manager ซึ่งในบางครั้งคุณจะพบว่ามีโปรเซสหนึ่งทำงานอยู่ตลอดเวลาภายใต้ชื่อ Shell Infrastructure Host หรือไฟล์ sihost.exe ทำงานอยู่แถมมันก็ใช้ทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์คุณ(โดยเฉพาะหน่วยประมวลผล) หนักมาก

หลายท่านอาจจะสงสัยว่ามันคืออะไร เป็นไวรัสหรือไม่ ก่อนที่คุณจะทำอะไรลงไปกับมันนั้น เราอยากขอแนะนำให้คุณทำความรู้จักกับมันผ่านบทความนี้ พร้อมกับวิธีการแก้ไขเบื้องต้นเพื่อที่คุณจะได้สามารถแก้ไขปัญหาที่น่าหนักใจดังกล่าวนี้ได้

Advertisementavw


ทำความรู้จักกับ Shell Infrastructure Host

sihost exe in windows 10

โปรเซส Shell Infrastructure Host หรือที่อยู่ในรูปแบบไฟล์ sihost.exe บน Windows นั้นมีเอาไว้เพื่อสร้างและดูแลอินเทอร์เฟซผู้ใช้แบบกราฟิกสำหรับองค์ประกอบต่างๆ ของระบบปฎิบัติการ Windows ตัวอย่างที่เด่นชัดมากที่สุดเลยก็คือโปรเซสดังกล่าวนี้จะทำหน้าที่ในการจัดการลักษณะที่ปรากฏของพื้นหลังเดสก์ท็อป, การแจ้งเตือนแบบโผล่ขึ้นมาบนหน้าจขอและแถบงานต่างๆ ที่ใช้งานบนหน้าจอ ณ เวลานั้นๆ

Shell Infrastructure Host เป็นโปรเซสที่ทำหน้าที่ดูแล UI บนระบบปฎิบัติการ Windows

โดยทั่วไปโปรเซส Shell Infrastructure Host จะใช้ทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างหน่วยประมวลผล(CPU) และหน่วยความจำ(RAM) ไม่สูงมากเท่าไรนัก อันที่จริงแล้วโปรเซส Shell Infrastructure Host แทบจะไม่เป็นภาระต่อระบบปฎิบัติการ Windows ของคุณเลยด้วยซ้ำไป

ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็อย่าพึ่งย่ามใจไปเพราะโปรเซส Shell Infrastructure Host ก็เหมือนกันกับโปรเซสอื่นๆ ของระบบปฎิบัติการ Windows ที่ในบางครั้งปัญหาเกี่ยวกับแอปพลิเคชันบางแอปหรือการเปิดใช้ฟีเจอร์บางอย่างของ Windows อาจทำให้โปรเซส Shell Infrastructure Host ต้องใช้ทรัพยากรมาก ซึ่งนั่นเลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหา

Sihost.exe ใน Windows 11 รวมถึง Windows รุ่นก่อนหน้านี้(ย้อนไปถึง Windows 7) เป็นไฟล์ที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ ซึ่งโฟลเดอร์ที่ตัวไฟล์นี้ถูกเก็บอยู่นั้นก็คือ “C:\ Windows\System 32\” ดังนั้นหากถามในเบื้องต้นแล้วบอกได้เลยว่า Shell Infrastructure Host หรือไฟล์ Sihost.exe ที่อยู่ในโฟลเดอร์ดังกล่าวนี้ไม่ใช่ไฟล์มัลแวร์หรือไวรัสที่ผู้ไม่ประสงค์ดีแอบมาติดตั้งไว้บนเครื่องของคุณอย่างแน่นอน

Sihost.exe ที่อยู่ในโฟลเดอร์ “C:\ Windows\System 32\” เป็นไฟล์ของ Microsoft โดยตรงไม่ใช่ไวรัส

แต่ว่าอย่าพึ่งไว้ใจไปเพราะผู้ไม่ประสงค์ดีมักจะตั้งชื่อไฟล์มัลแวร์หรือไวรัสให้เหมือนกันกับไฟล์ที่เป็นระบบปฎิบัติการเครื่องอยู่ซึ่งไฟล์ Sihost.exe เองนั้นก็โดนปลอมแปลงกับเขาด้วยเช่นเดียวกันเนื่องจากมันเป็นเรื่องที่ง่ายมากที่จะทำให้ผู้ใช้ทั่วไปอย่างเราๆ ท่านๆ ไม่สนใจว่ามันเป็นมัลแวร์หรือไวรัสถึงแม้ว่ามันจะใช้ทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์สูงอยู่ตลอดเวลามาก็ตาม

Sihost.exe Process in Windows 10 1

คุณสามารถที่จะตรวจสอบการทำงานของโปรเซส Shell Infrastructure Host ได้โดยการเปิด Task Manager โดยการคลิกขวาที่ Task bar แล้วเลือก “Task Manager” จากนั้นดูที่แท็บ ” Processes” แล้วเลื่อนเลื่อนลงไปข้างล่างทีละเล็กน้อยเพื่อดูโปรเซส “Shell Infrastructure Host” หรือไฟล์ Sihost.exe 

หากคุณพบว่าโปรเซส Shell Infrastructure Host ไม่ได้ใช้ทรัพยากรของเครื่องมากจนผิดปกติ เราขอยินดีด้วยว่าเครื่องของคุณนั้นน่าจะยังไม่มีปัญหากับโปรเซส Shell Infrastructure Host ณ เวลาที่คุณเปิดดูอย่างแน่นอน

เราสามารถ Disable หรือ Terminate การทำงานของไฟล์ Sihost.exe ได้หรือไม่

คุณสามารถยุติกระบวนการ Sihost.exe ได้โดยคลิกปุ่ม “End Task” ใน Task manager ซึ่งการกระทำเช่นนี้นั้นจะยุติกระบวนการทำงานของไฟล์ Sihost.exe ลง อย่างไรก็ดีกระทำดังกล่าวไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่งหากเครื่องของคุณทำงานได้อย่างปกติและโปรเซส Shell Infrastructure Host ไม่ได้ใช้ทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณมากจนผิดสังเกต

การยุติการทำงานโปรเซส Shell Infrastructure Host นั้นอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดร้ายแรงกับระบบเนื่องจาก Sihost เป็นไฟล์ระบบดังที่เราได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น แต่ถ้าหากคุณยังอยากจะซนลองยุติการทำงานมันดูแล้วล่ะก็คุณอาจจะได้เจอกับปัญหาการใช้งานเช่นไม่สามารถเปิด Start Menu และ Cortana ได้ นอกไปจากนี้ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคุณอาจพบการหยุดทำงานของ file explorer บ่อยครั้งจนทำให้ใช้งานอะไรไม่ได้เลย

อย่าลบไฟล์ Sihost.exe ที่อยู่ในโฟลเดอร์ “C:\ Windows\System 32\” เด็ดขาดเพราะมันจะเป็นการทำให้ Windows Shell เสียหายอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งวิธีแก้ปัญหาคือคุณต้องลง Windows ใหม่เท่านั้น

จะเกิดอะไรขึ้นหาก Sihost.exe เสียหาย

ไฟล์ Sihost.exe หรือโปรเซส Shell Infrastructure Host ที่มีข้อบกพร่อง(หรือได้รับความเสียหาย) อาจทำให้ระบบของคุณทำงานช้าและแสดงข้อความแสดงข้อผิดพลาดประเภทต่างๆ เช่น

  • Shell Infrastructure Host has stopped working.
  • A problem has occurred that caused the program to terminate.
  • Access violation of the address FFFFFFFF in Shell Infrastructure Host (Sihost.exe) module and reading the address 00000000 (an Unknown hard error).

Sihost.exe ไม่ใช่ภัยคุกคามต่อระบบคอมพิวเตอร์ของคุณอย่างที่เราได้กล่าวไว้แล้วในข้างต้น แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าบางทีมันก็น่าสงสัยว่า Sihost.exe ที่ใช้งานทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์มากจนเกินไปนั้นเป็นมัลแวร์หรือไวรัสรึไม่ ขึ้นตอนต่อไปเราจะมาทำการตรวจสอบดูกันว่า Sihost.exe ที่คุณกำลังสงสัยอยู่นั้นเป็นไฟล์ระบบจริงๆ หรือเป็นมัลแวร์ที่แอบแผงเข้ามาในเครื่องของคุณ


วิธีเช็คว่า Shell Infrastructure Host เป็นไวรัสหรือไม่

Sihost.exe Process in Windows 10 2

อย่างที่บอกไปว่ามัลแวร์และไวรัสจำนวนมากสามารถแฝงตัวไปยังไฟล์ระบบได้ เพราะมันเป็นเรื่องที่ง่ายมากที่จะหลอกให้คุณไม่สงสัยว่าได้โดนมัลแวร์หรือไวรัสเข้าไปแล้ว ดังนั้นหากคุณต้องการตรวจสอบดูว่าไฟล์ Sihost.exe ยังคงเป็นไฟล์ระบบจากทาง Microsoft ที่ไม่มีอันตรายแฝงตัวหรือไม่ให้ทำตามขึ้นตอนดังต่อไปนี้

  • เปิด “Task Manager” และเลือก “Shell Infrastructure Host” คลิกขวาแล้วเลือก “Properties”
Sihost.exe Process in Windows 10 3 353x500 1
  • คลิกที่แท็บ “Details” และอ่านคำอธิบายของไฟล์ หากเป็นไฟล์ของแท้จะมีลิขสิทธิ์จาก Microsoft Corporation

อีกวิธีหนึ่งที่คุณสามารถทำการตรวจสอบว่า Sihost.exe เป็นไฟล์ที่เป็นอันตรายหรือไม่นั่นก็คือการตรวจสอบตำแหน่งในไดเร็กทอรีโดยสามารถที่จะทำตามขั้นตอนด้านล่างต่อไปนี้

Sihost.exe Process in Windows 10 4
  • เปิด Task Manager คลิกขวาที่ “Shell Infrastructure Host” และเลือกตัวเลือก “Open File Location
  • ตรวจสอบไดเร็กทอรีที่มีไฟล์อยู่ หากอยู่ในไดเร็กทอรี C:\Windows\System32 คุณก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีกต่อไป แต่ถ้าไดเร็กทอรีอื่นๆ แล้วล่ะก็ นี่เป็นสัญญาณว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณโดนไวรัสหรือมัลแวร์เข้าให้แล้ว

เตือนอีกครั้งอย่าลบอย่าลบไฟล์ Sihost.exe ที่อยู่ในโฟลเดอร์ “C:\ Windows\System 32\” เด็ดขาด

Sihost.exe Process in Windows 10 5

จัดการ “Shell Infrastructure Host” ปลอมที่เป็นมัลแวร์หรือไวรัส

ทีนี้เรามาดูกันต่อว่าเราจะจัดการกับโปรเซส “Shell Infrastructure Host” หรือไฟล์ Sihost.exe ที่เป็นไวรัสหรือมัลแวร์กันได้อย่างไร วิธีการที่ง่ายที่สุดคือจัดการสแกนพีซีของคุณด้วยซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสและมัลแวร์ชื่อดัง

ในกรณีที่คุณพบว่าโปรเซส “Shell Infrastructure Host” หรือไฟล์ Sihost.exe ยังไม่โดนมัลแวร์หรือไวรัสฝัง คุณสามารถที่จะป้องกันได้ด้วยวิธีการต่อไปนี้

  • อัปเดต Windows ของคุณเป็นเวอร์ชันล่าสุด เพราะการอัปเดตใหม่ล่าสุดจะมีการแก้ไขช่องโหว่ในตัวระบบปฎิบัติการที่เป็นเป้าหมายของของผู้ไม่ประสงค์ดีได้
  • ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่มีประสิทธิภาพและอย่าปิดไฟร์วอลล์
  • อัปเดตโปรแกรมป้องกันไวรัสของคุณให้ทันสมัยอยู่เสมอ
  • อย่าเปิดลิงค์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
  • อย่าบันทึกรหัสผ่านและข้อมูลสำคัญของคุณบนเว็บเบราว์เซอร์ โดยเฉพาะรายละเอียดบัตรเครดิตและธนาคารเนื่องจากอาจถูกดูดข้อมูลออกไปได้โดยไม่รู้ตัว
  • ติดตั้ง Windows ที่ถูกลิขสิทธิ์เสมอ การโหลดไฟล์ ISO  Windows ที่ผ่านการดัดแปลงมาเพื่อติดตั้งคุณอาจจะได้มัลแวร์หรือไวรัสเป็นของแถม

การแก้ไข Shell Infrastructure Host ใช้งานทรัพยากรเครื่องสูง

หากคุณได้อ่านมาจนถึงตรงนี้และทำการตรวจสอบแล้วว่าโปรเซส “Shell Infrastructure Host” หรือไฟล์ Sihost.exe ไม่ได้ติดมัลแวร์หรือไวรัสอย่างแน่นอน แต่โปรเซส “Shell Infrastructure Host” หรือไฟล์ Sihost.exe ก็ยังคงใช้ทรัพยากรของเครื่องมากผิดปกติ เหตุการดังกล่าวนี้อาจจะมาจากสาเหตุหลักสองประการคือหน่วยความจำรั่วจากแอปพลิเคชันหรือโปรแกรมบางโปรแกรม และการตั้งค่าส่วนบุคคลหรือ Personalization ไม่ถูกต้อง ซึ่งเราจะแนะนำวิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวตามขั้นตอนด้านล่างต่อไปนี้

ทำการตรวจสอบเบื้องต้น

  1. ปิดแอปที่เน้นกราฟิกทั้งหมดและเปิดทีละแอปหากคุณใช้งานหลายแอปพร้อมกัน(โดยเฉพาะกับผู้ใช้งานโปรแกรม Wallpaper Engine ที่ใช้งานทรัพยากรสูงมากสำหรับกราฟิกหน้าเดสก์ท็อปบางประเภท)
  2. ปิดใช้งานวิดเจ็ตและการปรับแต่งเดสก์ท็อปอื่นๆ ชั่วคราว
  3. ไปที่ Task Manager ค้นหากระบวนการ Shell Infrastructure Host คลิกขวาที่มันแล้วกด End task แล้วทำการรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้ระบบเริ่มต้นใหม่
  4. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบบปฏิบัติการ Windows ของคุณเป็นรุ่นล่าสุด
  5. ตรวจสอบว่ากระบวนการของ Shell Infrastructure Host เป็นของแท้และไม่ใช่ไวรัสที่ตั้งชื่อตามชื่อไฟล์ระบบของ Microsoft
  6. เรียกใช้การสแกน SFC และ DISM เพื่อแก้ไขไฟล์ระบบที่เสียหายซึ่งอาจทำให้ระบบของคุณทำงานหนักเกินไป(สามารถดูวิธีการใช้งานได้จาก 20 Windows Command Prompt (CMD) ที่คุณควรรู้)
  7. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไดรเวอร์กราฟิกของคุณเป็นเวอร์ชันใหม่ล่าสุดเสมอเนื่องจากในเวอร์ชันใหม่ๆ นั้นจะมีการแก้ไขปัญหาออกมาอย่างต่อเนื่อง
  8. ใช้การสแกนมัลแวร์แบบออฟไลน์ของ Microsoft Defender ตรวจสอบให้มั่นใจว่า Shell Infrastructure Host บนเครื่องของคุณนั้นไม่ได้ถูกมัลแวร์หรือไวรัสแฝงตัวอยู่

หากทำตามขั้นตอนขั้นต้นแล้วก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ คุณสามารถลดการใช้ทรัพยากรของโปรเซส Shell Infrastructure Host ได้โดยการตรวจสอบการรั่วไหลของหน่วยความจำในแต่ละแอปพลิเคชันและปรับแต่งการตั้งค่าส่วนบุคคล ซึ่งสามารถที่จะทำได้ตามวิธีการทางด้านล่างต่อไปนี้

วิธีจัดการแก้ไขปัญหาหน่วยความจำรั่วไหล

หน่วยความจำรั่วในแอปที่เน้นการใช้งานทรพยากรด้านกราฟิกเช่น แอปสำหรับดูรูปภาพที่ติดตั้งมาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ Windows, Paint 3D และอื่นๆ เป็นสาเหตุหลักอันดับแรกๆ ที่โปรเซส Shell Infrastructure Host ใช้หน่วยความจำ(RAM) มากเกินไป

หน่วยความจำรั่วคือการที่ระบบปฎิบัติการจัดสรรทรัพยากรหน่วยความจำ(RAM) ไม่ถูกต้อง ตัวอย่างง่ายๆ ที่สามารถเห็นได้ชัดเจนก็คือแอปพลิเคชันหรือโปรแกรมที่เปิดขึ้นมาใหม่ไม่สามารถเรียกใช้งานได้ถึงแม้ว่าจริงๆ แล้วหน่วยความจำของคุณจะว่างอยู่ก็ตาม

วิธีการสังเกตว่าแอปพลิเคชันหรือโปรแกรมไหนที่มีอาการหน่วยความจำรั่วก็คือให้คุณทำการดูใน Task Manager ว่าแอปหรือโปรแกรมนั้นใช้หน่วยความจำ(RAM) มากผิดปกติหรือบ่อยๆ หรือไม่ หากคุณเจอแอปหรือโปรแกรมที่คุณสงสัยแล้วว่าทำให้เกิดอาการหน่วยความจำจะรั่ว คุณสามารถที่จะแก้ไขได้ตามขั้นตอนทางด้านล่างต่อไปนี้

Image 1 Changing Advanced Options Settings of Microsoft Photos App in Windows Settings App
  • คลิกขวาที่ปุ่ม Windows Start แล้วเลือก Apps and Features
  • ค้นหาแอปที่มีปัญหาในรายการ
  • คลิกที่จุดแนวตั้งสามจุดถัดจากแอป(จุดที่อยู่ทางด้านขวา) แล้วเลือก  Advanced options
Image 2 Clicking on the Repair Button under Reset Option in the Advanced Options Settings of Microsoft Photos App in Windows Settings App
  • จากนั้น เลื่อนลงและคลิก Repair

นอกจากจะ Repair แล้วคุณยังสามารถ Reset แอปได้โดยคลิกที่ปุ่ม Reset ที่อยู่ด้านล่าง Repair อย่างไรก็ตามก่อนที่จะ Reset นั้นเราขอให้คุณลอง Repair ดูก่อนว่าแก้ปัญหาได้หรือไม่เนื่องจากการ Reset นั้นจะทำให้ข้อมูลของแอปดังกล่าวหายทั้งหมด ขั้นต่อมาหาก Reset ดูแล้วก็ยังไม่ได้ผลให้คุณทำการถอนแล้วติดตั้งแอปนั้นใหม่อีกครั้ง

Image 3 Clicking on the Reset Button under Reset Option in the Advanced Options Settings of Microsoft Photos App in Windows Settings App

หากการติดตั้งใหม่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาการรั่วไหลของหน่วยความจำ บางทีปัญหาอาจจะเกิดขึ้นจากตัวแอปนั้นๆ เองที่มีปัญหาหน่วยความจำรั่วไหล วิธีแก้นี้คุณอาจจะต้องรอผู้พัฒนาทำการอัปเดทแอปเวอร์ชันใหม่หรือลองใช้แอปรูปแบบเดียวกันดูแทน

ปรับแต่งการตั้งค่า Personalization

โปรเซส Shell Infrastructure Host จัดการองค์ประกอบกราฟิกส่วนใหญ่ในการตั้งค่าส่วนบุคคลของ Windows เช่น themes, colors, transparency effects ฯลฯ เพื่อจัดการให้โปรเซส Shell Infrastructure Host ใช้ทรัพยากรน้อยลงคุณสามารถที่จะลองทำการปิดใช้งานคุณสมบัติที่ไม่จำเป็นบางอย่างได้ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

Image 4 Tweaking the Personalization Settings by Selecting a Static Background in Windows Settings App
  • หากคุณใช้ฟีเจอร์ฺ wallpaper slideshow หรือ Windows spotlight ของ Windows คุณควรเปลี่ยนกลับมาใช้งานเป็นพื้นหลังแบบภาพนิ่งก่อน โดยคลิกขวาที่ปุ่ม Start ของ Windows แล้วเลือก Settings จากนั้นคลิก Personalization ในแถบด้านข้างซ้าย ต่อด้วยการคลิกที่ดรอปดาวน์ถัดจาก Personalize your background แล้วเลือก Picture แล้วกดตกลง
  • หากคุณเปิดใช้ฟีเจอร์ contrast theme เพื่อการเข้าถึงที่ดีขึ้น ให้กดปุ่มคีย์บอร์ด Alt ซ้าย + Shift ซ้าย + Print Screen(PrtSc) พร้อมกันเพื่อปิดใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าว
  • ต่อไปให้ไปที่ Personalization > Colors และปิดใช้งาน Transparency effects 
  • หากคุณใช้สี Accent แบบกำหนดเองให้เปลี่ยนการตั้งค่าเป็น Automatic แทน
Image 5 Turning Off Transparency Effects and Changing Accent Color to Automatic in Windows Personalization Settings
  • เปลี่ยนไปใช้ Themes เริ่มต้นของ Windows หากคุณใช้ Themes อื่นๆ ที่โหลดมาจากอินเทอร์เน็ต(ซึ่งอาจจะมีการใช้งานกราฟิกสูง)

คุณยังสามารถปิดใช้งานหรือปรับแต่งคุณสมบัติอื่นๆ ในการตั้งค่า personalization ดูได้แล้วทำการตรวจสอบว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ ช่วยลดการใช้หน่วยความจำของโปรเซส Shell Infrastructure Host หรือไม่

อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นปัญหาดังกล่าวทั้งหมดนี้อาจจะมีสาเหตุอีกอย่างหนึ่งมาจากการที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณเริ่มช้าเกินไปสำหรับระบบปฎิบัติการ Windows เวอร์ชันใหม่ ดังนั้นคุณควรดูสเปคความต้องการของ Windows เวอร์ชันที่คุณต้องการจะติดตั้งก่อนว่าเข้ากันได้กับสเปคเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณหรือไม่

ที่มา : compspice, windowsreport, makeuseof, thewindowsclub, howtogeek

from:https://notebookspec.com/web/685400-what-does-the-shell-infrastructure-host-process-do-on-windows-and-how-to-fix-its-high-resources-consumption

จอคอม 27 นิ้ว 8 รุ่น 144Hz/ 165Hz เริ่มแค่ 5,900 ภาพชัด เล่นลื่น สบายตา ราคาโดน

จอคอม 27 นิ้ว 8 รุ่น จอ 144Hz/ 165Hz เน้นเล่นเกม เริ่ม 5,900 ฟีเจอร์แน่น ภาพสวย จอใหญ่ เล่นไหลลื่น

จอคอม

จอคอม 27 นิ้ว จัดว่าเป็นจอที่เกมเมอร์หลายคนอัพเกรดขึ้นมาใช้ จากจอเดิมระดับ 22″-24″ ซึ่งปัจจุบันมีลูกเล่น และเทคโนโลยีที่น่าสนใจมากมาย เช่นเดียวกับ 8 จอคอม เริ่มแค่ 5,900 บาท ที่ตอบโจทย์การใช้งานและการเล่นเกมได้ดี ด้วยพื้นที่กว้าง และบางรุ่นก็ให้ความละเอียดสูง เห็นรายละเอียดในเกมได้ดีขึ้น สีสันสดใส ให้การเชื่อมต่อมากมาย ปรับจูนได้ เพื่อให้ครบทุกการใช้งาน การเลือกใช้นอกเหนือจากพื้นที่กว้าง ความละเอียดสูง อาจจะต้องดูเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยเสริมการเล่นเกมที่ดีขึ้น เช่น การลดความสั่นไหว หรือการกระพริบ อัตรารีเฟรชเรตสูง สนับสนุน HDR หรือช่วยให้มองเห็นฉากมืดได้ดียิ่งขึ้น รวมไปถึง Game Mode ที่ให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้ตามความเหมาะสมในการใช้งานนั่นเอง เราไปดูกันดีกว่าว่าจอคอมที่เรานำมาให้ชมกันนี้มีรุ่นใดบ้าง


จอคอม 27″ 144Hz, 165Hz


1.Viewsonic VX2718-P-MHD

จอคอม

ต้องถือว่าเป็นจอเกมมิ่งอีกรุ่นหนึ่ง ที่ทำราคาได้ดี เพราะเคาะอยู่ที่ราว 5,990 บาท แต่ให้ดีไซน์และประสิทธิภาพมาในระดับที่น่าสนใจ ด้วยความละเอียด Full-HD 1080p ใช้พาแนลแบบ VA เหมาะกับการเล่นเกม สีสันสดใส ให้การเล่นที่ลื่นไหล ด้วยอัตรารีเฟรชเรต 165Hz ขอบจอบางเฉียบ กับการปรับแต่งที่ง่ายดาย พร้อม View Mode ที่มีให้เลือกปรับแต่ง จะเล่นเกม ทำงาน แต่งภาพ รองรับฟีเจอร์ Adaptive Sync รวมถึงลำโพงมาในตัว เพียงแต่อาจจะปรับเลื่อนไม่ได้มาก มีพอร์ต HDMI 2 ช่องและ DP 1 ช่อง การรับประกัน 3 ปี

Advertisementavw

ดูรีวิว: Viewsonic VX2718-P-MHD

จุดเด่น ข้อสังเกต
รีเฟรชเรต 165Hz ค่า Brightness: 250 cd/m²

รายละเอียดเพิ่มเติม: Viewsonic


2.AOC 27G2SE/67

จอคอม

จอเกมมิ่ง ราคาสบายกระเป๋า เหมาะกับเกมเมอร์เริ่มต้น เน้นจอใหญ่ การแสดงผลไหลลื่น พาแนลเป็นแบบ VA ตอบสนองได้ไว ให้ความสว่างสดใส ด้วยค่า Brightness ที่เหมาะกับการเล่นเกม และยังให้สีที่แม่นยำ ระดับ sRGB 122% บนความละเอียด Full-HD โดยมีอัตรารีเฟรชเรตถึง 165Hz และสนับสนุนเทคโนโลยี Adaptive Sync ลดการฉีกขาดของภาพ จุดที่น่าสนใจคือ มี Game Color ที่ปรับให้เหมาะกับการเล่นเกมในแต่สไตล์ได้อีกด้วย มีพอร์ต Input ที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น VGA, HDMI และ DisplayPort ราคา 6,300 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ค่าความสว่างสูง ปรับเลื่อนจอได้เล็กน้อย
อัตรารีเฟรชเรต 165Hz

รายละเอียดเพิ่มเติม: AOC


3.Samsung ODYSSEY G30A

จอคอม

จอคอมเล่นเกมที่มาพร้อมฟีเจอร์น่าใช้ ราคาน่าโดนเพราะเปิดที่ 6,490 บาทเท่านั้น ดีไซน์ทันสมัยตามสไตล์ของค่ายนี้ ด้วยหน้าจอขนาด 27″ แต่ให้ความละเอียด Full-HD เหมาะกับเกมเมอร์สเปคกลางๆ เน้นภาพลื่นไหล โดยมีอัตรารีเฟรชเรต 144Hz และเป็นพาแนล VA ที่ตอบสนองได้ไว จอภาพลดแสงสะท้อน และมากับฟีเจอร์อย่าง AMD FreeSync Premium เพื่อให้ภาพที่ต่อเนื่องนุ่มนวล สามารถปรับเลื่อนได้อย่างครบครัน ตั้งแต่ ความสูง หันข้าง มุมก้ม-เงยและ Pivot ได้ 90 องศา โดยมีพอร์ต Input ให้เลือก HDMI และ DisplayPort อย่างละพอร์ต จุดเด่นอยู่ที่ความบางของขอบด้านข้าง 3-sided bezel-less และฟีเจอร์ลดแสงสีฟ้ามาให้

จุดเด่น ข้อสังเกต
ปรับมุมได้หลากหลาย ความละเอียด Full-HD
AMD FreeSync Premium

รายละเอียดเพิ่มเติม: Samsung


4.GIGABYTE G27F

จอคอม

เป็นจอคอมที่เหมาะกับเกมเมอร์ ชื่นชอบความไหลลื่นและคมชัด กับพาแนล IPS ให้ความละเอียดที่ 1080p FHD และมีดีไซน์ล้ำสมัย ขอบจอบางพิเศษ เหมาะกับการต่อเพิ่ม 2-3 จอ ที่ดูสบายตากับความลื่นไหล 144Hz และสนับสนุน AMD FreeSync Premium อีกด้วย จุดเด่นที่ความสว่างมากถึง 300cd/m2 สำหรับสีสันที่สดใส ให้ระดับสีที่แม่นยำ DCI-P3 95% เลยทีเดียว โดยสามารถปรับเลื่อนได้เล็กน้อย กับความสูงและมุมก้ม-เงย ความน่าสนใจคือ ปรับ OSD ได้จากซอฟต์แวร์ได้ง่ายดาย พร้อม Dashboard แสดงผลบนหน้าจอ พอร์ตมาแบบจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็น USB type-A 3.0, HDMI 2 ช่อง และ 1x DP พร้อมช่องต่อหูฟัง 3.5mm อีกด้วย ราคาประมาณ 6,900 บาทเท่านั้น

จุดเด่น ข้อสังเกต
ให้ค่า DCI-P3 95% ปรับเลื่อนได้เล็กน้อย
AMD FreeSync Premium

รายละเอียดเพิ่มเติม: GIGABYTE


5.Acer Nitro Gaming VG272LVBMIIPX

จอคอม

ถ้าจะว่ากันที่จอคอมเล่นเกมประสิทธิภาพดีในราคาที่สบายกระเป๋า เชื่อว่าจอจาก Acer รุ่นนี้ น่าจะโดนใจใครหลายคน เพราะมาพร้อมพาแนลแบบ IPS ให้ความคมชัด มุมมองกว้าง แม้จะเป็นความละเอียด Full-HD แต่ก็มีอัตรารีเฟรชเรตถึง 165Hz เลยทีเดียว พร้อมกับค่าความสว่างค่อนข้างสูง เหมาะกับการเล่นเกม ดูหนังเป็นอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับการรองรับ HDR400 และสนับสนุน AMD FreeSync อีกด้วย โดยเป็นหนึ่้งในไม่กี่รุ่นที่ใส่ลำโพงมาในตัว ให้พอร์ตอินพุตสัญญาณ HDMI 2 ช่องและ DP 1 ช่อง โดยปรับเลื่อนตัวจอได้เพียงมุมก้มเงยเท่านั้น ให้การรับประกัน 3 ปี ใครชอบการเล่นเกมบนหน้าจอแทบจะไร้ขอบ รุ่นนี้ตอบโจทย์ได้ดีในราคาประมาณ 7,300 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
อัตรารีเฟรชเรตสูง 165Hz ปรับเลื่อนได้ไม่มาก
รองรับ HDR400

รายละเอียดเพิ่มเติม: Acer


6.Dell G2722HS

จอคอม

เป็นจอคอมเกมมิ่งที่มีเอกลักษณ์น่าสนใจ กับดีไซน์ขอบจอบางเฉียบ และรูปลักษณ์ที่ล้ำสมัย มาพร้อมความละเอียด Full-HD พาแนล IPS และรีเฟรชเรต 165Hz เติมความสวยงามต่อเนื่องด้วย AMD FreeSync Premium และ G Sync รวมถึง sRGB 99% ให้ขอบเขตสีที่กว้าง ภาพสีสันสว่างสดใส เหมาะกับการเล่นเกม ดูหนัง ปรับเลื่อนความสูงได้ เช่นเดียวกับโหมดเกม ที่มีให้เลือกมากมาย กับสไตล์ที่ชื่นชอบ รวมถึงพอร์ตอินพุตสัญญาณ ทั้ง HDMI 2 ช่อง, DisplayPort 1 ช่อง และช่องต่อหูฟัง ราคา 7,500 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
อัตรารีเฟรชเรตสูง 165Hz
AMD FreeSync™Premium and NVIDIA G-Sync

รายละเอียดเพิ่มเติม: Dell

7.LG UltraGear 27GN650-B

จอคอม

จอขนาด 27″ พาแนล IPS ที่น่าสนใจในสไตล์ล้ำๆ กับความโดดเด่นด้วยการสนับสนุน nVIDIA G Sync และ AMD FreeSync Premium รวมถึงการรองรับ HDR10 เพิ่มความสดใส รวมถึง Brightness ที่สูง ให้กับการเล่นเกมและดูหนัง โดยรองรับการปรับมุมต่างๆ ได้มากมาก ไม่ว่าจะเป็น ก้มเงย ความสูงหรือ Pivot ก็ตาม ความละเอียดระดับ Full-HD และอัตรารีเฟรชเรต 144Hz ให้พอร์ตอินพุตสัญญาณทั้ง HDMI และ Display 2 พอร์ต ราคา 7,750 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
nVIDIA G Sync และ AMD FreeSync Premium
HDR10

รายละเอียดเพิ่มเติม: LG


8.MSI OPTIX G271

จอคอม

จัดว่าเป็นจอเกมมิ่งสายอีสปอร์ต ที่ให้เกมเมอร์ได้ดื่มด่ำกับความมันส์ในการเล่นได้จุใจ เพราะฟีเจอร์ให้มาแบบไม่กั๊กกับราคา 7,500 บาท ด้วยความละเอียด Full-HD ให้อัตรารีเฟเรชเรต 144Hz รองรับ AMD FreeSync ใช้พาแนลแบบ IPS ให้ภาพคมชัดสดใส ตอบสนองได้ไว รวมถึงการปรับแต่งที่มีให้เลือกมากมาย โดยเฉพาะ Game Mode ส่วนตัวจอปรับมุมก้มเงยได้เล็กน้อย และให้พอร์ตอินพุตสัญญาณมาทั้ง DisplayPort 1 และ HDMI 2 ช่อง การรับประกัน 3 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
อัตรารีเฟรชเรต 144Hz ปรับเลื่อนตัวจอได้ไม่มาก
มี Game Mode

รายละเอียดเพิ่มเติม: MSI


Conclusion

Panel Refresh rate Port Res. FreeSync/
G-Sync
Price
1.Viewsonic VX2718 VA 165Hz 2x HDMI
1xDP
FHD Adaptive Sync 5,990 บาท
2.AOC 27G2SE VA 165Hz 1x HDMI
1xDP
FHD Adaptive Sync 6,300 บาท
3.Samsung
ODYSSEY G30A
VA 144Hz 1x HDMI
1xDP
FHD AMD FreeSync
Premium
6,490 บาท
4.GIGABYTE G27F IPS 144Hz 2x HDMI
1xDP
FHD AMD FreeSync Premium 6,900 บาท
5.Acer Nitro Gaming IPS 165Hz 2x HDMI
1xDP
FHD FreeSync 7,300 บาท
6.Dell G2722HS IPS 165Hz 2x HDMI
1xDP
FHD AMD FreeSync
Premium/ G-Sync
7,500 บาท
7.LG UltraGear IPS 144Hz 1x HDMI
2xDP
FHD AMD FreeSync
Premium/ G-Sync
7,750 บาท
8.MSI OPTIX G271 IPS 144Hz 2x HDMI
1xDP
FHD FreeSync 7,500 บาท

สรุปสุดท้าย สำหรับจอคอม 27″ สำหรับเกมเมอร์ทั้งหมด 8 รุ่นนี้ น่าจะพอเป็นแนวทางให้กับหลายๆ คน ที่กำลังมองหาจอคอมตัวใหม่ อัพเกรดจากจอเดิม หรือจะซื้อเป็นจอหลัก ที่นำมาใช้ในการเล่นเกมในช่วงปีใหม่ที่จะถึงนี้ โดยถ้าคุณงบประมาณจำกัด ตัวเลือกอย่าง Viewsonic ก็น่าสนใจ ไม่ถึง 6,000 บาท แต่ได้จอใหญ่ อัตรารีเฟรชเรตสูง แต่ถ้าอยากได้จอที่มีลูกเล่นเยอะ MSI, LG, GIGABYTE หรือ Samsung ก็ให้คุณสนุกกับการปรับแต่ง และฟีเจอร์ที่เกี่ยวกับการเล่นเกมได้มากขึ้น LG กับ Samsung ก็น่าสนใจ ปรับได้พื้นฐาน ไปจนถึงการ Pivot 90 องศา ส่วนถ้าอยากได้ที่มีลำโพงมาด้วย Viewsonic และ Acer ก็น่าใช้ไม่แพ้กัน โดยทุกรุ่นที่นำมานี้ ส่วนใหญ่มีดีไซน์ที่ขอบจอบาง ต่อจอเพิ่มได้แบบเนียนสบายตา และการรับประกันอีก 3 ปี ส่วนคุณชอบแบบไหน รุ่นใด ก็อย่าลืมคอมเมนต์บอกเพื่อนๆ กันบ้างนะครับ

from:https://notebookspec.com/web/680448-8-144hz-165hz-monitor-5900

20 Windows Command Prompt (CMD) ที่คุณควรรู้

20 Windows Command Prompt เด็ดๆ สำหรับการใช้งานผ่านทาง Windows Command Prompt สำหรับแก้ไขปัญหาของ Windows เบื้องต้นที่คุณควรรู้ จะมีอะไรบ้างไปติดตามกัน

20 Windows Command Prompt
20 Windows Command Prompt

สิ่งหนึ่งที่อยู่กับระบบปฏิบัติการ Windows มาหลายยุดหลายสมัยนั้นก็คือหน้าจอการใช้งานคำสั่งลักษณธ DOS ผ่านทาง Windows Command Prompt หรือที่เราๆ ท่านๆ คุ้นเคยกันในชื่อว่า CMD ถึงแม้ว่ามันจะโบราณเพราะการใช้งานนั้นคุณจะต้องป้อนคำสั่่งเป็นชุดคำด้วยการพิมพ์ผ่านทางคีย์บอร์ด ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้วนั้นในยุคปัจจุบันเราๆ ท่านๆ ก็แทบจะไม่ได้ใช้งานกันแล้วเพราะตั้งแต่ในยุค Windows 8 เรื่อยมาทาง Microsoft ก็เริ่มสร้างแอปพลิเคชันที่ครอบคลุมการใช้งานชุดคำสั่งโบราณนั้นๆ แล้ว

อย่างไรก็ตามแต่นั้นการใช้งานชุดคำสั่งผ่านทาง Windows Command Prompt หรือ CMD ก็ยังคงมีความจำเป็นอยู่เพราะมันจะถูกเก็บเอาไว้ใช้เป็นเครื่องมือสำรองในกรณีที่ระบบปฏิบัติการ Windows มีปัญหาไม่สามารถใช้งานแอปพลิเคชันในรูปแบบหน้าต่าง Windows ได้ก็จะสามารถกลับมาใช้งานในรูปแบบชุดคำสั่งผ่านทาง Windows Command Prompt เพื่อแก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้ก่อน

Advertisementavw

ดังนั้นแล้วการรู้จักชุดคำสั่งเบื้องต้นจึงเป็นข้อมูลพื้นฐานที่ผู้ใช้งานควรรู้ เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมานั่ง Reset Windows หรือลง Windows ใหม่ทั้งๆ ที่อาจจะยังสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นด้วยชุดคำสั่งบางชุดได้อยู่ ในวันนี้ทาง Notebookspec จึงขอนำชุดคำสั่ง Windows Command Prompt จำนวน 20 ชุดที่เป็นชุดคำสั่งแก้ไขปัญหาเบื้อต้นมาให้ทุกท่านได้รู้จักกัน จะมีอะไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย



1. Assoc

assoccmd

โดยปกติแล้วนั้นไฟล์ต่างๆ บนระบบปฏิบัติการ Windows จะมีโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันจำเพาะสำหรับการเปิดใช้งานอยู่ตัวอย่างเช่นไฟล์นามสกุล .doc ที่จะมีโปรแกรม Microsoft Word สำหรับการเปิด โดยปกติแล้วนั้นในทุกๆ ครั้งที่เราทำการเปิดไฟล์นามสกุลใดก็ตาม ระบบปฏิบัติการ Windows จะเลือกโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันเบื้องต้นมาทำการเปิดไฟล์นั้นๆ ให้กับเรา แต่ถ้าตัวระบบปฏิบัติการไม่รู้ว่าจะต้องเปิดไฟล์เหล่านั้นด้วยโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันอะไร ตัวระบบปฏิบัติการ Windows เองก็จะให้เราทำการเลือกโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันสำหรับใช้ในการเปิดไฟล์นั้นในครั้งแรกและถามเราว่าจะให้ตัวระบบปฏิบัตการ Windows จดจำโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันเหล่านั้นเพื่อทำการเปิดในครั้งต่อๆ ไปหรือไม่

อย่างไรก็ตามในบางกรณีการกำหนดโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันสำหรับเปิดไฟล์นามสกุลต่างๆ ผ่านทางหน้าจอ Windows เองนั้นจะมีปัญหาอยู่บ้างหากโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันเหล่านั้นไม่ใช่โปรแกรมหรือแอปพลิเคชันหลักที่ทาง Windows รู้จักและเลือกมาแสดงเบื้องต้นให้เรา ทำให้ในการกำหนดนั้นมีความจำเป็นที่ผู้ใช้จะต้องรู้จัก Directory ที่ติดตั้งโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันเหล่านั้นเพื่อที่จะชี้ช่องทางให้กับ Windows จดจำโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันได้

ปัญหายังไม่หมดแค่เพียงเท่านั้นเพราะบางครั้งระบบปฏิบัตการ Windows จะเกิดอาการ “ลืม” โปรแกรมหรือแอปพลิเคชันเปิดไฟล์เหล่านั้นไปเสียดื้อๆ จนทำให้ผู้ใช้ต้องมาทำการตั้งค่าใหม่ อีกวิธีหนึ่งที่จะสามารถช่วยให้ระบบปฏิบัติการ Windows ถูกบังคับให้จดจำมากขึ้นก็คือการใช้คำสั่ง Assoc ตัวอย่างวิธีการใช้งานก็คือเมื่ออยู่ในหน้าจอ CMD แล้วให้พิมพ์คำสั่ง assoc .txt=word แล้วกด Enter เพียงแค่นี้ก็จะเป็นการกำหนดให้ไฟล์ที่ามีนามสกุล .txt เปิดด้วยโปรแกรม Word ได้แล้ว

สำหรับผู้ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 10 ขึ้นไปสามารถที่จะไปตั้งค่าดังหล่าวผ่านหน้าจอ Windows Settings ได้เช่นเดียวกันโดยให้เข้าไปที่ Settings (Windows + I) > Apps > Default apps > Choose default app by file type แล้วเลือกตามนามสกุลไฟล์ก็จะสามารถที่จะทำการกำหนดได้แบบง่ายๆ เช่นเดียวกัน


2. Cipher

ciphercmd

โดยปกติแล้วนั้นการลบไฟล์ที่อยู่บนแหล่งเก็บข้อมูลแบบจานหมุนหรือที่เราเรียกกันว่า Harddisk(HDD) บน Windows นั้ันจะไม่ได้เป็นการลบไฟล์ดังกล่าวทิ้งไปทั้งหมดเพราะด้วยลักษณธของการทำงานของแหล่งเก็บข้อมูลแบบจานหมุนจะยังมีการเก็บบางส่วนของไฟล์ไว้บนพื้นที่จานหมุนนั้นๆ อยู่ ซึ่งหากเราใช้งานไปนานๆ แล้วนั้นเศษไฟล์ที่เหลือเหล่านี้ก็จะกินพื้นที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ได้ใช้งานพื้นที่นั้นจริงๆ 

บนระบบปฏิบัติการ Windows เองจึงมีคำสั่ง Wipe ซึ่งจะถูกเก็บเอาไว้อยู่ในโปรแกรม Disk Management ทว่าคำสั่ง Wipe ในโปรแกรม Disk Management จะทำให้ข้อมูลที่อยู่บน Harddisk หายไปทั้งหมดทั้งไฟล์ที่เราลบไปแล้วและไฟล์ที่เรายังต้องการเก็บข้อมูลเอาไว้ ดังนั้นคำสั่ง cipher จึงมีส่วนเข้ามาช่วยในกรณีดังกล่าวเป็นอย่างมาเนื่องจากมันจะทำการลบเฉพาะเศษไฟล์คงเหลือของไฟล์ที่เราลบทิ้งไปแล้วเท่านั้น

คำสั่ง cipher จะมีข้อกำหนดในการใช้งานอยู่นั่นก็คือมันจะสามารถใช้งานได้กับเฉพาะแหล่งเก็บข้อมูลที่มีโครงสร้างไฟล์เป็นแบบ NTFS เท่านั้น วิธีการใช้งานก็คือเมื่ออยู่ที่หน้าจอ CMD ให้พิมพ์คำสั่ง cipher /w:d และกด Enter ก็จะเป็นการ Wipe เศษไฟล์ที่เราลบไปแล้วบน Drive C: โดยที่ไม่ไปยุ่ีงเกี่ยวกับไฟล์ที่เราไม่ได้ทำการลบ

นอกไปจากนั้นแล้วคำสั่ง cipher ยังสามารถที่จะใช้ในการเข้ารหัสข้อมูลใน Drive ที่เราสั่งได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น 

  • cipher /e:<filename> จะเป็นการเข้ารหัสไฟล์ที่เราระบุไวตรง <filename>
  • cipher /c:<filename> จะเป็นการเรียกดูไฟล์ที่เราเข้ารหัสไฟล์เอาไว้ <filename> (ต้องเป็นไฟล์ที่มีการเข้าหรัสไว้ก่อนแล้ว)
  • cipher /d:<filename> จะเป็นการถอดรหัสไฟล์ที่เราระบุไวตรง <filename> (ต้องเป็นไฟล์ที่มีการเข้าหรัสไว้ก่อนแล้ว)

ในการเข้ารหัสไฟล์ดังกล่าวนี้ตั้งแต่บน Windows 8 เป็นต้นไปสามารถใช้งานเครื่องมือที่มีชื่อว่า Windows encryption tool BitLocker แทนได้


3. File Compare

filecomparecmd

คำสั่งต่อมาอย่าง File Compare หรือ fc นั้นสำหรับผู้ใช้ทั่วไปอาจจะไม่ค่อยจำเป็นสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปสักเท่าไรนัก แต่สำหรับผู้ใช้ที่เป็นนักเขียนหรือสายโปรแกรมเมอร์แล้วล่ะก็คำสั่ง fc นี้ถือว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมากเพราะมันสามารถช่วยเปรียบเทียบของข้อความในไฟล์ text 2 ไฟล์ได้อย่างง่ายดาย งานนี้ใครชอบเม็มชื่อไฟล์ว่า อัปเดทxxx แล้วต้องการดูว่าไฟล์แต่ละไฟล์แตกต่างกันกี่จุดล่ะก็ถือได้ว่าเป็นงานกล้วยๆ เลยทีเดียว

วิธีการใช้งานคำสั่ง File Compare เมื่ออยู่ที่หน้าจอ CMD ให้พิมพ์

fc /l “C:\Program Files (x86)\example1.doc” “C:\Program Files (x86)\example2.doc”

“C:\Program Files (x86)\example1.doc” และ “C:\Program Files (x86)\example2.doc” ให้ทำการพิมพ์แทนด้วย path ของไฟล์นั้นๆ ตามด้วยชื่อไฟล์ที่คุณต้องการเปรียบเทียบ เมื่อพิมพ์แล้วตัวโปรแกรมจะใช้เวลาตรวจสักพักหนึ่งขึ้นอยู่กับขนาดของไฟล์ที่ทำการเปรียบเทียบ แล้วโปรแกรมก็จะแสดงผลลัพธ์ของการเปรียบเทียบออกมา

นอกไปจากนั้นแล้วคุณยังสามารถใช้งานส่วนขยายของชุดคำสั่ง fc เพื่อเพิ่มเติมข้อมูลการเปรียบเทียบได้อีกเช่น

  • /b ใช้เพื่อเปรียบเทียบแล้วให้แสดงผลในรูปแบบเฉพาะ binary output
  • /c ใช้เพื่อให้ตัวโปรแกรม fc ยกเว้นการเปรียบเทียบข้อความที่อยู่ภายในไฟล์
  • /l ใช้สำหรับเปรียบโดยคำนึงเฉพาะการเทียบด้วยข้อความแบบ ASCII เท่านั้น

4. Ipconfig

ipconfigcmd

คำสั่งต่อมากับ ipconfig จะเป็นคำสั่งเอาใจสายเน็ตเวิร์คสำหรับใช้เพื่อดูค่าของ IP Address เครื่องของเราในระบบเน็ตเวิร์คว่าเป็นค่าอะไร นอกไปจากนั้นแล้วยังสามารถที่จะทำการใช้ส่วนขยาายของชุดคำสั่ง ipconfig เพื่อประโยชน์อื่นๆ ได้อีกเช่น

  • ipconfig /release แล้วตามด้วย ipconfig /renew สำหรับสั่งใช้ Router ทำการเปลี่ยน IP Address ที่แจกให้เครื่องของเราได้ใหม่ 
  • ipconfig /flushdns เพื่อทำการรีเฟรช DNS Address ของ Router

ชุดคำสั่ง ipconfig นั้นถือว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมากเวลาที่ Windows network troubleshooter เป็นโปรแกรมบน Windows เองไม่สามารถใช้ในการแก้ไขปัญหาระบบเน็ตเวิร์คให้กับท่านได้


5. Netstat

netstatcmd

Netstat เป็นชุดคำสั่งที่เอาไว้ใช้ตรวจสอบดูว่า ณ ช่วงเวลานั้นๆ มีอุปกรณ์เครื่องใดบ้างที่เชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราอยู่แบบออนไลน์ รวมทั้งมันยังสามารถแสดงให้เราเห็นได้อีกว่าเครื่องของเรามีโทรจันแอบแผงรึเปล่า

netstat มีหลายชุดคำสั่งหลายอย่างที่จะช่วยให้เราดูข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา ณ ขณะเวลานั้นๆ ผ่านเครือข่ายได้มากขึ้น สำหรับชุดคำสั่งที่ง่ายที่สุดสำหรับการใช้งานเบื้องต้นก็คือ netstat -an ผ่านทาง CMD โดยจะปรากฏรายชื่ออุปกรณ์ที่มีการเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราผ่านเครือข่ายอยู่ ณ เวลานั้นๆ 


6. Ping

pingcmd

มาถึงคำสั่งยอดฮิตกับคำสั่ง ping ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่าหลานๆ ท่านนั้นน่าจะได้เคยใช้งานกันมาบ้างแล้วโดยเฉพาะกับคนที่ทำงานสายเน็ตเวิร์คหรือแม้กระทั่งนักเล่นเกมที่ต้องคอยตรวจสอบค่า Ping ระหว่าง Client ของตัวเองกับเครื่อง Server 

วิธีใช้งานชุดคำสั่ง ping นั้นมีอยู่หลายคำสั่งย่อย แต่โดยปกติทั่วไปนั้นมักจะใช้กันแค่คำสั่ง ping แล้วตามด้วย IP Address ของเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่อยู่ในเครือข่าย แล้วกด Enter ตัวคำสั่งจะทำการส่งแพ็คเก็ตข้อมูลทดสอบไปยัง IP Address ที่เราระบุเอาไว้นั้นๆ แล้วหลังจากนั้นก็จะคอยจับเวลาดูว่าแพ็คเก็ตนั้นใช้เวลาในการส่งไปจากเครื่องของเราแล้วส่งกลับมาจากเครื่อง Server เป็นระยะเวลาเท่าไร(แน่นอนว่ายิ่งน้อยยิ่งดี)


7. PathPing

pathpingcmd

เหนือขั้นขึ้นมาหน่อยกับคำสั่งเวอร์ชันอัปเกรดของ Ping อย่าง PathPing ซึ่งคำสั่งนี้นั้นจะมีประโยชน์เมื่อระหว่างเครื่องของคุณกับเครื่องที่ทำการทดสอบการ Ping มีเราเตอร์มากกว่า 1 ขึ้นไป ชุดคำสั่ง pathping จะช่วยให้เราสามารถรับทราบได้ว่าข้อมูลที่เราส่งนั้นจะไปถึงเครื่องที่รับข้อมูลผ่านเราเตอร์ตัวไหนบ้าง วิธี ใช้งานนั้นจะคล้ายกับชุดคำสั่ง ping นั่นก็คือการพิมพ์ด้วย pathping ตามด้วย IP Address ของเครื่องปลายทาง เพียงเท่านั้นชุดคำสั่ง pathping ก็จะทำการแสดงข้อมูลเส้นทางการเดือนทางของข้อมูลของเราไปยังเครื่องปลายทางได้แล้ว


8. Tracert

tracertcmd

ยังคงอยู่กับคำสั่งทางด้านเน็ตเวิร์คกับชุดคำสั่ง tracert ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้วชุดคำสั่งดังกล่าวนี้นั้นมีส่วนที่คล้ายคลึงกับชุดคำสั่ง pathping อยู่บ้าง วิธีการใช้งานนั้นก็จะเหมือนกันคือพิมพ์ tracert ตามด้วย IP Address ของเครื่องเป้าหมาย โดยตัวคำสั่ง tracert นั้นจะแสดงข้อมูลที่ละเอียดกว่า pathping ซึ่งนั่นก็คือมันจะมีการแสดงผลข้อมูลที่ละเอียดกว่า pathping เช่นมีการบอกจำนวนครั้งที่ข้อมูลที่เราส่งไปนั้นผ่านเราเตอร์มาทั้งหมดกี่ครั้งและแต่ละครั้งนั้นมีการใช้เวลาในการเดินทางระหว่างกันมากน้อยเท่าไร


9. Powercfg

powercfgacmd

มาถึงคำสั่งที่มีประโยชน์เป็นอย่างมากโดยเฉพาะผู้ใช้เครื่องโน๊ตบุ๊คซึ่งนั่นก็คือชุดคตำสั่ง Powercfg ที่จะคอยเอาไว้ทำการจัดการและติดตามการใช้พลังงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ สำหรับชุดคำสั่ง Powercfg นั้นจะมีคำสั่งส่วนขยายย่อยค่อนข้างมาก ในที่นี้ขอยกตัวอย่างให้ดูบางส่วนดังต่อไปนี้

  • powercfg hibernate on และ powercfg hibernate off เป็นคำสั่งที่เอาไว้ใช้สำหรับทำการเปิดปิดฟีเจอร์ hibernation ของตัวระบบปฏิบัติการ Windows
  • powercfg /a เพื่อดูว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรานั้นมีการใช้งานสถานะการประหยัดพลังงานด้านไหนถูกเปิดใช้งานอยู่บ้าง
  • powercfg /devicequery s1_supported ใช้เพื่อดูว่าอุปกรณ์อื่นๆ ที่เชื่อมต่ออยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรานั้นรองรับการเชื่อมต่อสแตนด์บายหรือไม่(และยังเป็นการตรวจสอบด้วยว่ามีการเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้อยู่รึเปล่า) หากพบว่าอุปกรณ์ไหนที่เปิดใช้งานฟีเจอร์นี้อยู่นั้นเราก็จะสามารถใช้อุปกรณ์นั้นทำการสั่งการให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราเข้าสู่โหมดสแตนด์บายได้ (วิธีการตั้งค่าให้เครื่องของเรานั้นสามารถที่จะถูกสั่งงานสแตนด์บายได้จากอุปกรณ์อื่นๆ จะสามารถเข้าไปเปิดได้ที่ Device Manager > แล้วใหทำการเปิดไปที่ tabs properties > จากนั้นเลือกไปที่ tab Power Management > เช็คถูกที่หน้าตัวเลือก Allow this device to wake the computer
powercfgenergycmd
  • Powercfg /lastwake เป็นคำสั่งที่เอาไว้ใช้สำหรับทำการเปิดดูว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณล่าสุดถูกเปิดขึ้นมาเพื่อใช้งาน(จากที่อยู่ในโหมด sleep state) จากอุปกรณ์เครื่องใดและถูกเปิดใช้งานมาแล้วกี่นาที
  • powercfg /energy เป็นชุดคำสั่งที่ใช้สำหรับสร้างรายงานการใช้พลังงานโดยละเอียดของเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ ซึ่งรายงานทั้งหมดนั้นจะถูกเก็บเอาไว้อยู่ในรูปแบบของไฟล์ html ตามที่ถูกระบุเอาไว้ในตำแหน่งสุดท้ายเมื่อสิ้นสุดการทำงานของคำสั่ง powercfg /energy รายงานดังกล่าวนี้นั้นจะช่วยให้คุณสามารถที่จะทำการตรวจสอบดูได้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณนั้นมีข้อผิดพลาดในเรื่องของการใช้พลังงานจากอุปกรณ์เชื่อมต่อใดบ้างเช่นคุณสามารถที่จะตรวจดูได้ว่าอุปกรณ์ชิ้นไหนที่ทำให้คุณไม่สามารถใช้งาน Sleep Mode ได้ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถทำการแก้ไขเรื่องพลังงานให้อุปกรณ์นั้นๆ ได้ต่อไป
  • powercfg /batteryreport เป็นชุดคำสั่งที่ให้รายละเอียดการวิเคราะห์การใช้งานแบตเตอรี่ของเครื่องโน๊ตบุ๊คของคุณ ซึ่งรายละเอียดที่จะมีการแสดงออกมาให้เห็นนั้นก็จะมีเช่น จำนวนครั้งและระยะเวลาในการชาร์จหรือการคายประจุของแบตเตอรี่ของเครื่องของคุณ, อายุการใช้งานแบตเตอรี่เฉลี่ยตลอดอายุการใช้งานและความจุแบตเตอรี่โดยประมาณ

10. Shutdown

shutdowncmd

ตั้งแต่ระบบปฏิบัติการ Windows 8 เป็นต้นมานั้นทาง Microsoft ได้เอาการเข้าถึง Advanced Start Options menu ที่เราสามารถทำการเลือกได้ว่าเราจะทำการเข้า Windows ในลักษณะแบบใด(ใน Windows 7 ลงมาตอนที่ทำการเปิดเครื่อง(หรือรีสตาร์ทเราสามารถที่จะกด F7 เพื่อที่จะเข้าถึง Advanced Start Options menu ได้) 

ดังนั้นแล้วคำสั่ง shutdown ตั้งแต่บนระบบปฏิบัติการ Windows 8 เป็นต้นมานั้นจึงมีประโยชน์เป็นอย่างมากหากผู้ใช้ต้องการเข้าถึง Advanced Start Options menu วิธีการใช้งานนั้นก็คือให้พิมพ์ shutdown /r /o แล้วเครื่องจะทำการรีสตาร์ทขึ้นมาเป็นหน้าจอ Advanced Start Options menu ซึ่งต่อจากจุดนี้เราก็จะสามารถทำการแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ต่อไปอย่างเช่นการเข้าไปในส่วนของ Safe Mode หรือจะเป็นการเข้าถึง Windows recovery utilities เป็นต้น


11. System File Checker

sfccmd

System File Checker เป็นชุดคำสั่งสำหรับทำการตรวจสอบและแก้ไขไฟล์ของตัวระบบปฏิบัติการ Windows โดยเฉพาะ วิธีการใช้งานนั้นคุณจะต้องทำการเข้า CMD ในรูปแบบ administrator(หรือเข้า CMD โดยมีสิทธิ์เป็นผู้ดูแลระบบ) จากนั้นให้พิมพ์คำสั่ง sfc /scannow ตัวคำสั่งก็จะทำการตรวจสอบไฟล์ของระบบปฏิบัติการ Windows ว่ามีข้อเสียหายหรือว่ามีไฟล์ใดหายไปหรือไม่ นอกไปจากนั้นเมื่อทำการตรวจสอบเรียบร้อยแล้วตัวชุดคำสั่งนี้เองก็จะทำการแก้ไขปัญหาเรื่องของไฟล์ระบบดังกล่าวให้ด้วย อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นด้วยความที่ชุดคำสั่งดังกล่าวนี้จะตรวจสอบไฟล์ระบบปฏิบัติการอย่างละเอียดดังนั้นแล้วเมื่อเริ่มต้นคำสั่งแล้วอาจจะใช้เวลาในการ scan มากกว่า 1 ชั่วโมงหากเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณนั้นเป็นเครื่องที่มีอายุการใช้งานมากแล้ว


12. Tasklist

tasklistcmd

เช่นเดียวกันกับการใช้งาน Task Manager บน Windows ชุดคำสั่ง tasklist เมื่อใช้งานผ่าน CMD แล้วนั้นจะเป็นการแสดงรายการโปรแกรมทั้งหมดที่กำลังทำงานอยู่บนระบบ อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นด้วยความที่ชุดคำสั่ง tasklist จะมีส่วนขยายเพิ่มเติมสำหรับการทำงานเพิ่มหลายๆ อย่างที่ Task Manager บน Windows ไม่สามารถที่จะใช้งานได้ ตัวอย่างเช่น

  • Tasklist -svc เป็นคำสั่งสำหรับแสดง services ที่เกี่ยวข้องกับในแต่ละโปรแกรมที่กำลังทำงานอยู่
  • tasklist -v เป็นคำสั่งสำหรับการแสดงผลรายละเอียดเพิ่มเติมของแต่ละงานที่เรากำหนด
  • tasklist -m เป็นคำสั่งสำหรับแสดงไฟล์ DLL ที่เกี่ยวข้องกับงานที่กำลังทำงานอยู่

นอกไปจากนั้นแล้วยังมีอีกคำสั่งหนึ่งอย่าง tasklist | find [process id] ที่ใช้สำหรับแสดงไฟล์ที่กำลังถูกใช้งานจาก ID (หมายเลขงานของโปรแกรมที่คุณสนใจ) 


13. Taskkill

taskkillcmd

เมื่อคุณใช้งานชุดคำสั่ง tasklist จะเห็นได้ว่าในทุกๆ คำสั่งนั้นมี ID ปฏิบัติการและกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับ ID ของงานนั้นๆ อยู่ หากคุณต้องการทำการหยุดการทำงาน ID นั้นๆ คุณสามารถที่จะใช้คำสั่ง taskkill -im แล้วตามด้วย ชื่อไฟล์โปรแกรมที่ต้องการหยุด(เช่น taskkill -im conhost.exe) หรือจะใช้อีกคำสั่งหนึ่งคือ taskkill -pid แล้วตามด้วยหมายเลข ID ของโปรแกรมนั้นๆ (เช่น taskkill -pid 19668)

แน่นอนว่าการใช้คำสั่ง taskkill นั้นยังคงมีความคล้ายคลึงกับการทำงานผ่านทาง Task Manager อยู่ ทว่าคำสั่ง taskkill นั้นมีความสามารถมากกว่าตรงที่สามารถที่จะทำการสั่งปิดโปรแกรมที่ไม่ตอบสนองต่อการสั่งปิดผ่านทาง Task Manager หรือยังสามารถที่จะใช้งานในการปิดโปรแกรมที่ถูกซ่อนเอาไว้อยู่(ซึ่งโปรแกรมเหล่านี้จะไม่สามารถหาเจอได้โดยตรงผ่านทาง Task Manager)


14. Chkdsk

Windows chckdsk command

โดยปกติทั่วไปนั้นระบบปฏิบัติการ Windows จะคอยทำการตรวจสอบ drive สำหรับการวินิจฉัยด้วยค่ำสั่งตรวจสอบผ่านทาง chkdsk อยู่แล้วหากมีข้อสงสัยว่ามีไดรฟ์ใดในเครื่องเกิดอาการมีเซกเตอร์เสีย, clusters ของข้อมูลเสียหายหรือมีข้อผิดพลาดทางตรรกะหรือทางกายภาพอื่นๆ หรือไม่

อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นหากคิดว่าฮาร์ดไดรฟ์ใดๆ ก็ตามบนเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณเสียหาย คุณสามารถที่จะทำการสแกนได้ด้วยตัวเองอยู่ด้วยการใช้คำสั่ง chkdsk โดยตรงผ่านทาง CMD ตัวอย่างเช่น chkdsk c: ที่จะทำการสแกนไดรฟ์ C: ของคุณโดยที่คุณไม่จำเป็นจะต้องรีสตาร์ทเครื่องใหม่แต่อย่างใด

นอกไปจากนั้นแล้วชุดคำสั่ง chkdsk ยังคงมีพารามิเตอร์ย่อยเช่น /f, /r, /x และ /b เช่นในการใช้งานนั้นก็จะพิมพ์เป็น chkdsk /f /r /x /b c: ซึ่งการใช้ชุดคำสั่งดังกล่าวนี้นั้นจะทำการสแกนแล้วทำการแก้ไขข้อผิดพลาด, ทำการกู้ข้อมูล, ทำการ dismount ไดรฟ์ และทำการเคลียร์ bad sectors ภายในการใช้งานคำสั่งเดียว ทั้งนี้การใช้ชุดคำสั่งดังกล่าวนี้นั้นจำเป็นจะต้องทำการรีบูทเครื่องเพื่อที่จะทำการออกจากระบบปฏิบัติการ Windows ก่อนแล้วเมื่อรีสตาร์ทแล้วนั้นตัวชุดคำสั่ง chkdsk /f /r /x /b c: ที่สั่งไปนั้นจะทำงานก่อนระบบปฏิบัติการ Windows รันเข้ามา


15. schtasks

Windows schtasks command

Schtasks เป็นชุดคำสั่งสำหรับเรียกเข้าทำงาน Task Scheduler ที่มีลักษณะการใช้งานคล้ายคลึงกับ Windows administrative tools ซึ่งเป็น GUI ที่ทำงานบน Windows อย่างไรก็ตาม Windows administrative tools นั้นมีข้อจำกัดอยู่นั่นก็คือไม่สามารถที่จะทำการสั่งการในรูปแบบซับซ้อนได้มากเท่าไรนักทว่าชุดคำสั่ง Schtasks นั้นสามารถที่จะทำงานที่ซับซ้อนมากกว่าได้เป็นอย่างมากเช่นเราสามารถที่จะทำการตั้งค่างานที่คล้ายกันหลายรายการโดยไม่ต้องคลิกผ่านตัวเลือกต่างๆ ที่สำคัญมากที่สุดนั้นก็คือชุดคำสั่ง Schtasks นั้นมีการใช้งานไม่ซับซ้อนมากเท่าไรนักและสามารถที่จะเข้าใจได้ง่าย

ตัวอย่างเช่นหากคุณต้องการตั้งกำหนดการให้เครื่องคอมพิวเตอร์รีบูทตัวเองตอน 23.00 น. ในทุกๆ วันศุกร์ คุณสามารถที่จะใช้คำสั่งดังกล่าวดังต่อไปนี้ได้

schtasks /create /sc weekly /d FRI /tn “auto reboot computer weekly” /st 23:00 /tr “shutdown -r -f -t 10”

หากคุณต้องการที่จะทำการตั้งค่าให้โปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่งเปิดตัวเองขึ้นมาหลังจากที่มีการรีบูทเครื่องตามกำหนดการที่คุณได้ทำการตั้งเอาไว้ คุณสามารถที่จะใช้ชุดคำสั่งดังต่อไปนี้ได้

schtasks /create /sc onstart /tn “launch Chrome on startup” /tr “C:\Program Files (x86)\Google\Chrome\Application\Chrome.exe”


16. Format

Windows Command Prompt Format

สำหรับคำสั่ง Format นั้นเชื่อว่าทุกท่านคงคุ้นเคยกับการใช้งานผ่าน GUI บน Windows File Explorer ทว่าคุณสามารถที่จะใช้คำสั่ง format ผ่านทาง CMD ได้เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามในการใช้งานคำสั่ง Format นั้นคุณจะต้องเข้า CMD ในโหมด Administrator และในการใช้คำสั่ง Format ทุกครั้งคุณจะต้องมั่นใจว่าไดรฟ์ใดที่คุณต้องการจะทำการ Format แล้วตามพารามิเตอร์สำหรับการกำหนดค่าการ Format ตัวอย่างเช่น

format D: /Q /FS:exFAT /A:2048 /V:label

ชุดคำสั่งทางด้านบนนี้นั้นจะมีความหมายว่าให้ format ไดรฟ์ D: ให้อยู่ในรูปแบบของ exFAT file system โดยที่กำหนดให้ขนาดของ allocation unit อยู่ที่ 2048 bytes และทำการเปลี่ยนชื่อของไดรฟ์เป็น “label” นอกไปจากนั้นแล้วยังมีพารามิเตอร์ที่น่าสนใจสำหรับการใช้งานกับขุดคำสั่ง Format อยู่อีกเช่น

  • /X สำหรับใช้ในการสั่งให้ปิดไดรฟ์ข้อมูล
  • /R สำหรับทำการ format ไดรฟ์ที่เป็น NTFS File System
  • /? สำหรับใช้เพื่อเรียกดูพารามิเตอร์สำหรับการทำงานร่วมกับชุดคำสั่ง Format ทั้งหมด

17. prompt

Windows Command Prompt Prompt Command

ในส่วนของคำสั่ง prompt นั้นจะเอาไว้ใช้ในการปรับแต่ง หน้าจอ CMD ให้มาพร้อมกับคำแนะนำต่างๆ รวมถึงแสดงข้อมูลบางอย่างบนหน้าจอตัวอย่างเช่น

prompt Your wish is my command:

prompt $t on $d at $p using $v:

จากตัวอย่างคำสั่งทางด้านบนนี้นั้นจะเป็นการกำหนดให้บนหน้าจอ CMD แสดงผลเวลา, วันที่, ไดรฟ์และ path, แสดงเวอร์ชันของระบบปฏิบัติการ Windows ฯลฯ

ในการยกเลิกการแสดงผลข้อมูลต่างๆ นั้นให้คุณทำการพิมพ์คำสั่ง “prompt” เฉยๆ อีกครั้งก็จะเป็นการรีเซ็ทค่าที่เราตั้งสำหรับการแสดงผลทั้งหมด


18. cls

มาถึงคำสั่งที่ 18 กันแล้วกับคำสั่ง cls ซึ่งเป็นคำสั่งสำหรับการเคลียร์หน้าจอของ CMD ทั้งหมด


19. Systeminfo

systeminfocmd

คำสั่งก่อนปิดจ๊อบกับคำสั่ง systeminfo ซึ่งเป็นคำสั่งที่เอาไว้ใช้สำหรับแสดงผลรายละเอียดข้อมูลของเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นวันที่คุณทำการติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows, เวลาล่าสุดที่คุณทำการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมา หรือแม้กระทั่งเวอร์ชันของ BIOS เป็นต้น

systeminfo /s [host_name] /u [domain][user_name] /p [user_password]

นอกไปจากนั้นแล้วคุณยังสามารถใช้คำสั่ง systeminfo ในการเปิดดูข้อมูลของเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกันกับคุณได้ด้วยโดยใช้คำสั่งดังทางด้านบน


20. Driverquery

driverquerycmd

ปิดท้ายกันด้วยคำสั่งสำหรับผู้ที่ต้องการดูว่า Driver ที่ถูกติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณนั้นมีอะไรบ้าง โดยตัวชุดคำสั่ง Driverquery นั้นยังสามารถที่จะแสดงวันและเวลาที่ Driver นั้นถูกปล่อยออกมาได้อีกด้วย ดังนั้นแล้วคำสั่ง Driverquery นี้นั้นจึงเป็นคำสั่งที่จะช่วยให้คุณสามารถทราบได้ว่า Driver ที่ติดตั้งในเครื่องของคุณนั้นมีระยะเวลานานมากน้อยแล้วแค่ไหนและควรต้องทำการอัปเดทแล้วหรือยัง

นอกไปจากนั้นแล้วด้วยการใช้คำสั่ง driverquery -v นั้นยังสามารถที่จะใช้ในการรับข้อมูลเพิ่มเติมของ Driver ที่ติดตั้งนั้นได้อีกไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งที่ติดตั้งของ Driver นั้นๆ 

หมายเหตุ – บนระบบปฏิบัติการ Windows 8 และ Windows Server 2012 จะมีการใช้งานคนละแบบกับบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 และ Windows 11

ที่มา : makeuseof

from:https://notebookspec.com/web/668287-20-windows-command-prompt-cmd-you-should-know

11 วิธีแก้ปัญหาโน๊ตบุ๊คค้าง ฉบับอัพเดท 2021

ไม่มีใครอยากให้โน๊ตบุ๊คค้างตอนทำงานแน่ ๆ แต่จะแก้ยังไงดี?

pc freeze cover

โน๊ตบุ๊คค้าง คอมไม่ทำงานเพราะโปรแกรมเจ้ากรรมที่เรียกขึ้นมาใช้งานทำพิษ ยิ่งเกิดตอนที่กำลังทำงานสำคัญจนใกล้เสร็จแล้วโปรแกรมพาลค้างไปทั้งเครื่องจนทำงานไม่ได้ล่ะก็ ไม่ว่าใครก็ไม่โอเคทั้งนั้น นอกจากงานจะช้าแล้วถ้ายังไม่ได้เซฟงานเอาไว้ด้วยก็น่าจะพลอยหัวร้อนจนหมดอารมณ์ทำงานไปตาม ๆ กันอย่างแน่นอน โดยวิธีการแก้โน๊ตบุ๊คค้างในบทความนี้ จะมีทั้งวิธีตอนที่เกิดปัญหาแล้วและวิธีการเช็คหลังเกิดปัญหาขึ้นแล้วเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยและทำเองได้ง่าย ๆ และบางคนอาจจะเคยทำอยู่แล้วด้วย

asian woman feeling rage while using laptop 36928 28

11 วิธีแก้ปัญหาโน๊ตบุ๊คค้าง คอมไม่ทำงานได้ด้วยตัวเอง

วิธีการแก้โน๊ตบุ๊คค้างแล้วพลอยทำงานไม่ได้ในบทความนี้ ผู้เขียนได้รวบรวมวิธีการทั้งแบบที่โปรแกรมหนึ่งค้างจนทำงานไม่ได้และแบบที่โปรแกรมเดียวพาคอมค้างทั้งเครื่องมาให้เลือกทำตามความเหมาะสมและอาการด้วย โดยมีวิธีการดังนี้

  1. นั่งใจเย็นปล่อยมันค้างไป
  2. Restart เครื่องไปเลยถ้าไม่อยากรอ
  3. เช็คความร้อนของเครื่องสักหน่อย
  4. เปิด Task Manager มาปิดโปรแกรมที่ค้าง
  5. เช็คว่า RAM มีพอให้ใช้งานหรือเปล่า
  6. ลบแล้วติดตั้งไดรเวอร์ใหม่อีกครั้ง (หรืออัพเดทก็ได้)
  7. สแกนไวรัสสักหน่อยช่วยได้
  8. ถ้าเป็นโน๊ตบุ๊ค พับหน้าจอแล้วเปิดใหม่อีกที
  9. Reset เครื่องกลับไปเหมือนให้เหมือนซื้อมาใหม่
  10. Realiability Monitor เช็คปัญหากันก่อนว่าอะไรเสีย
  11. ถ้าอาการหนักเรียกช่างดีกว่านะ
1. นั่งใจเย็นปล่อยมันค้างไป

โน๊ตบุ๊คค้าง

เหมาะกับอาการไหน : โปรแกรมค้าง, เครื่องค้าง

วิธีนี้อาจจะดูเหมือนไม่ได้แก้ปัญหาเครื่องค้างเลย แต่จริง ๆ แล้วการปล่อยให้คอมหรือโปรแกรมนั้น ๆ ค้างจนกว่ามันจะหายค้างก็เป็นวิธีแก้ปัญหาทางหนึ่งเหมือนกัน นั่นเพราะเครื่องกำลังเอาทรัพยากรฮาร์ดแวร์ทั้งหมดในเครื่องมาประมวลงานที่เราสั่งเอาไว้ให้เสร็จ ดังนั้นตอนคลิกหรือสั่งเครื่องให้ทำอะไรเพิ่ม เราก็จะเจอคำว่า “Not responding” มากวนใจ แต่ถ้าปล่อยมันเอาไว้สักพักเครื่องก็จะกลับมาใช้งานได้เอง ซึ่งช่วงนี้จะไปเติมกาแฟมาสักแก้วหรือหยิบขนมมากินรอคอมพิวเตอร์จัดการตัวเองเสร็จไปพลาง ๆ ดีกว่า

2. Restart เครื่องไปเลยถ้าไม่อยากรอ

main qimg 405feff4f807a6a9f3e9b64c4970d914

เหมาะกับอาการไหน : โปรแกรมค้าง, เครื่องค้าง

จากข้อที่แล้ว ถ้าปล่อยเครื่องให้มันประมวลผลไปสักพักแล้วยังไม่มีอะไรดีขึ้น เครื่องก็ยังค้างอยู่เหมือนเดิมล่ะก็ วิธี Restart เครื่องก็ช่วยแก้ปัญหานี้ได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะกด Alt+F4 หรือกดปุ่ม Power ค้างเอาไว้จนเครื่องดับก็ได้เหมือนกัน จากนั้นค่อยเปิดเครื่องกลับมาใช้งานต่อได้เลย

ส่วนของไฟล์งานนั้น บางโปรแกรมจะมีฟีเจอร์ Auto save ที่บันทึกงานที่ทำเอาไว้โดยอัตโนมัติ ซึ่งถ้าโปรแกรมสั่งเซฟงานนั้นเอาไว้ทัน ก็เปิดงานออกมาทำต่อได้เลย หรือถ้าเป็นเบราเซอร์ก็จะมีคำสั่ง Restore ให้เปิดหน้าเว็บไซต์นั้น ๆ กลับมาใช้งานต่อได้ทันทีเช่นกัน

3. เช็คความร้อนของเครื่องสักหน่อย

coretemp

เหมาะกับอาการไหน : เครื่องค้าง

เรื่องความร้อนของซีพียูนั้น เรียกว่าเป็นปัญหาที่ไม่ได้แสดงขึ้นมาด้านหน้าเครื่องให้เราเห็น และถ้ามันมีปัญหาเมื่อไหร่ นอกจากเครื่องจะช้าลงก็มีโอกาสดับวูบไปต่อหน้าได้ด้วย ซึ่งผู้เขียนแนะนำว่าถ้าพีซีหรือโน๊ตบุ๊คค้างขึ้นมาเป็นระยะ ๆ ทำงานช้าลงแล้วหาสาเหตุไม่เจอ แนะนำให้โหลดโปรแกรมเช็คความร้อนในเครื่องอย่างเช่น Core Temp สำหรับดูความร้อนต่อคอร์ของซีพียูหรือเอา HWMonitor มาใช้เช็คทั้งเครื่องเลยก็ได้ และถ้าความร้อนในเครื่องมากเกินไปก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้คอมของเราค้างได้นั่นเอง

สำหรับอุณหภูมิที่ดีสุด ไม่ร้อนหรือเย็นจนเกินไปสำหรับซีพียูไม่ว่าจะตอนทำงานหรือเล่นเกมควรน้อยกว่า 80 องศาเซลเซียส เมื่อเช็คด้วยโปรแกรมเช็คความร้อนก็ควรอยู่ระดับ 75-80 องศา ถ้าเมื่ออุณหภูมิร้อนกว่า 80 องศา ซีพียูจะค่อย ๆ ลดประสิทธิภาพการทำงานลงไปเรื่อย ๆ จนเครื่องแฮงค์ ทางที่ดีสุดก็ควรเปลี่ยนซิลิโคนของซีพียูทุก 6 เดือน หรือ 1 ปี จะดีที่สุด

4. เปิด Task Manager มาปิดโปรแกรมที่ค้าง

f89152c8 86ff 40a8 99aa 49b881f029c6

เหมาะกับอาการไหน : โปรแกรมค้าง

ถ้าโปรแกรมค้าง เชื่อว่าหลาย ๆ คนก็จะเปิด Task Manager ขึ้นมาผ่านทาง Ctrl+Alt+Delete หรือ Ctrl+Shift+Esc เพื่อเช็คว่าโปรแกรมไหนมีคำว่า “Not responding” ตามท้ายขึ้นมาบ้าง แต่อีกอาการที่เป็นตัวปัญหาไม่แพ้กัน คือโปรแกรมนั้น “Suspended” แล้วเปิดมาใช้งานไม่ได้อยู่บ่อย ๆ ซึ่งน่าปวดหัวไม่แพ้กัน

spotify suspend

สำหรับวิธีการแก้ คือให้เปิด Task Manager ขึ้นมาเหมือนเดิม แต่เลื่อนลงมาด้านล่างกดตรงคำว่า More details จากนั้นเลื่อนหาโปรแกรมที่มีคำว่า Suspended ตามหลังอยู่แล้วกด End task ทิ้งให้หมด ไม่ใช่แค่ปิดแค่ตัวที่มี Suspended ตามหลังตัวเดียวแต่ให้ปิดไปให้หมดเลย เช่นในภาพที่ Spotify ติด Suspeded อยู่ตัวหนึ่งก็ให้ปิดทั้ง 6 อันทิ้งไปแล้วเปิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

5. เช็คว่า RAM มีพอให้ใช้งานหรือเปล่า

task manager ram

เหมาะกับอาการไหน : โปรแกรมค้าง, เครื่องค้าง

จากที่ผู้เขียนเคยแนะนำไปใน “ไขข้อข้องใจ Ram เท่าไหร่ดี 8GB หรือ 16GB ถึงพอใช้ในปัจจุบัน?” แล้ว จะเห็นว่าความจุของ RAM นั้นมีผลต่อการใช้คอมทำงานเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะใช้ทำงานกราฟฟิคหรือจะเอามาเล่นเกมก็มีผลทั้งนั้น ซึ่งปัจจุบันนี้ขั้นต่ำควรอยู่ที่ 8GB ขึ้นไปถึงจะดีที่สุด ส่วนเครื่องของใครยังอยู่ที่ระดับ 4GB ก็แนะนำให้เพิ่มแรมขึ้นมา 8GB จะดีที่สุด เนื่องจากเบราเซอร์และโปรแกรมต่าง ๆ ในปัจจุบันก็กินแรมมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน

ส่วนการเช็คว่าแรมของเครื่องเรามีกี่ GB ใน About your PC แล้ว ยังเช็คใน Task Manager ได้ โดยดูในแท็บ Performance ว่าตอนใช้คอมทำงานอยู่ โปรแกรมทั้งเครื่องกินแรมไปกี่ GB โดยถ้ายังไม่เกิน 50% หรือ 70% ของแรมทั้งหมดในเครื่องก็ไม่มีปัญหาเท่าไหร่ แต่ถ้าเกินแล้วก็แนะนำให้เพิ่มแรมไปเลย เพราะถ้าแรมไม่พอบางครั้งคอมพิวเตอร์ก็จะค้างได้

6. ลบแล้วติดตั้งไดรเวอร์ใหม่อีกครั้ง (หรืออัพเดทก็ได้)

driver update

เหมาะกับอาการไหน : เครื่องค้าง

อาการโน๊ตบุ๊คค้างแล้วใช้งานไม่ได้ ก็อาจจะมีเรื่องไดรเวอร์ที่ติดตั้งไม่สมบูรณ์แล้วทำให้เครื่องค้างหรือทำงานช้าลงก็ได้เช่นกัน ซึ่งถ้าใครจำกันได้ เมื่อก่อนไดรเวอร์การ์ดจอเองก็เคยก่อปัญหาทำให้เครื่องคอมค้างอยู่เป็นระยะ ๆ แต่ปัจจุบันนี้ทั้ง AMD และ NVIDIA เองก็ทำโปรแกรมสำหรับอัพเดทไดรเวอร์การ์ดจอของตัวเองเพื่อแก้ปัญหานี้ไปได้เยอะแล้ว

ส่วนปัญหาเรื่องเครื่องค้างจากไดรเวอร์มีปัญหาติดตั้งไม่สมบูรณ์ หรือโปรแกรมทำงานแล้วมีปัญหา เรียกว่าเป็นปัญหาที่ต้องคอยสังเกตเอาตามอาการว่าใช้โปรแกรมหรือฟังก์ชั่นส่วนไหนแล้วค้างบ้างก็ค่อยแก้ไปตามอาการ

repair driver

ซึ่งถ้าเป็นไดรเวอร์เฉพาะของอุปกรณ์เสริมชิ้นนั้น ๆ เช่นเมาส์ปากกาหรือกล้อง Webcam แล้วเกิดปัญหาคอมค้างหรืออุปกรณ์ชิ้นนั้น ๆ ใช้งานไม่ได้ แนะนำให้กดติดตั้งไดรเวอร์นั้นใหม่อีกครั้ง แล้วเลือกตัวเลือก Repair เพื่อให้ตัว Installer ไล่เช็คว่าไฟล์ส่วนไหนไม่สมบูรณ์หรือหายไป ถ้าให้ดีที่สุดแนะนำให้หาโหลดไดรเวอร์เวอร์ชั่นใหม่จากผู้พัฒนามาติดตั้งเลยจะดีที่สุด

7. สแกนไวรัสสักหน่อยช่วยได้

scan2

เหมาะกับอาการไหน : โปรแกรมค้าง, เครื่องค้าง

อาการโน๊ตบุ๊คหรือคอมค้างทำงานไม่ได้อาจจะมีมัลแวร์เป็นต้นเหตุได้เช่นกัน ซึ่งวิธีการจัดการเคลียร์เครื่องรวมทั้งจัดการไวรัสที่อาจจะเป็นต้นตอของปัญหาไปพร้อม ๆ กัน ผู้เขียนก็ได้แนะนำเอาไว้ในบทความ “7 วิธีล้างเครื่องโน๊ตบุ๊ค สะอาดเหมือนซื้อมาใหม่ ฉบับปี 2021” แล้ว สามารถไปอ่านรายละเอียดได้เลย แต่โดยเบื้องต้นนั้น แนะนำให้เริ่มต้นจากการสแกนไวรัสด้วย Windows Defender ก่อนเป็นอย่างแรก โดยกดที่ปุ่ม Windows บนคีย์บอร์ดจากนั้นพิมพ์คำว่า Virus & Threat protection เข้าไป แล้วเลือก Scan options แล้วสั่ง Full scan ไปเลย

8. ถ้าเป็นโน๊ตบุ๊ค พับหน้าจอแล้วเปิดใหม่อีกที

niek doup oR4iUH0cxjs unsplash

เหมาะกับอาการไหน : เครื่องค้าง

ถ้าเครื่องค้างแต่ก็ไม่อยากรีเซ็ตเครื่องเพราะกลัวว่างานจะหาย แต่จะทำวิธีไหนโน๊ตบุ๊คก็ยังค้างอยู่เหมือนเดิม วิธีพับหน้าจอโน๊ตบุ๊คให้เครื่องกลับเข้าสู่โหมด Sleep ที่หลาย ๆ คนนึกไม่ถึงก็เป็นวิธีที่แนะนำให้ลองทำดู แล้วค่อยเปิดเครื่องมาล็อคอินใหม่ก็อาจจะช่วยแก้ปัญหาโน๊ตบุ๊คค้างได้เช่นกัน นั่นเพราะพีซีที่อยู่ในอาการแฮงค์แล้วโดนสั่งเข้าโหมด Sleep กะทันหันก็เป็นการสั่งหยุดการทำงานต่าง ๆ ทิ้งไปก่อน แล้วพอเราเปิดเครื่องกลับมาจากโหมด Sleep ก็อาจจะทำให้โปรแกรมหรือไดรเวอร์ที่มีปัญหาจนค้างกลับมาทำงานได้อีกครั้งก็เป็นไปได้

9. Reset เครื่องกลับไปเหมือนให้เหมือนซื้อมาใหม่

reset this pc 2

เหมาะกับอาการไหน : เครื่องค้าง

ถ้าเครื่องค้างจนใช้งานไม่ได้หรือทำงานช้าจนเกินรับไหวแล้ว การเลือก Reset this PC ให้ Windows 10 ล้างเครื่องแก้ปัญหาทั้งหมดแล้วเริ่มต้นใหม่เหมือนเพิ่งซื้อเครื่องมา ก็น่าจะช่วยแก้ปัญหาคอมค้างได้เยอะ ปล่อยให้ Windows 10 ติดตั้งไดรเวอร์แล้วผู้ใช้อย่างเราค่อยไล่ลงซอฟท์แวร์ที่ต้องใช้งานใหม่อีกครั้งทีละตัวเลยจะดีที่สุด

reset this pc 3

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนก็ยังขอแนะนำให้ใช้วิธีนี้แก้ปัญหาคอมค้างเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่สุด เพราะจะเสียเวลามานั่งติดตั้งและตั้งค่าโปรแกรมที่ต้องใช้งานกันใหม่ซึ่งกินเวลามากพอควร แต่ถ้าไม่อยากให้ไฟล์หายแนะนำให้รีเซ็ตเครื่องแบบ Keep my files ที่ล้างการตั้งค่ากับโปรแกรมต่าง ๆ แต่ไฟล์ส่วนตัวของเราจะไม่โดนล้างออกไป 

10. Realiability Monitor เช็คปัญหากันก่อนว่าอะไรเสีย

reliability monitor

เหมาะกับอาการไหน : โปรแกรมค้าง

Realiability Monitor นั้นเรียกว่าเป็นฟีเจอร์คอยดูปัญหาที่เกิดขึ้นในเครื่องแต่หลาย ๆ คนมักไม่รู้ว่ามีให้ใช้งาน โดยฟีเจอร์นี้จะใช้บันทึกรายละเอียดว่าเกิด Event อะไร มีปัญหา Error ไหนเกิดขึ้นมาจนตัวเครื่องไม่สามารถใช้งานได้ดีตามเดิมบ้าง โดยวิธีการเปิดคือกดปุ่ม Windows แล้วพิมพ์คำว่า Realiability Monitor แล้วกด Enter

Screenshot 2021 06 11 190254

สำหรับวิธีการดูปัญหาโน๊ตบุ๊คค้างในวันก่อน ๆ ที่ผ่านมาเกิดจากอะไรบ้าง ให้เราคลิกตรงช่องตารางแนวตั้งด้านบนเลือกวันที่ต้องการเช็คปัญหาได้เลย โดยเครื่องหมายกากบาทสีแดงจะเอาไว้แทน Critical events หรือปัญหาที่เกิดขึ้นตอนใช้งาน จากตัวอย่างจะเห็นว่ามีโปรแกรม Acer Display Widget และ Epic Games Launcher ที่เกิดปัญหาจนโปรแกรมค้าง ซึ่งเราสามารถลบแล้วลงไดรเวอร์ใหม่หรือ Repair โปรแกรมนั้นผ่านทางตัว Installer ก็ได้เช่นกัน

11. ถ้าอาการหนักเรียกช่างดีกว่านะ

laptop repair

เหมาะกับอาการไหน : โปรแกรมค้าง, เครื่องค้าง

ถ้าคอมค้างจนใช้ทำงานไม่ได้แล้วไล่แก้ตามวิธีการด้านบนมาทั้งหมดแล้ว ก็อาจจะเกิดปัญหาจากฮาร์ดแวร์บางส่วนเกิดช็อตเสียหายโดยที่เราไม่รู้ก็เป็นไปได้ ดังนั้นวิธีที่ดีสุดคือส่งให้ช่างผู้เชี่ยวชาญและมีอุปกรณ์เป็นคนซ่อมเครื่องไปเลยจะดีที่สุด และถ้าอยู่ในประกันช่วง 1-2 ปีแรกแล้วยิ่งไม่ต้องกังวลเข้าไปใหญ่ ก็สามารถโทรนัดช่างเข้ามาให้บริการ หรือนำส่งเข้าศูนย์บริการของแต่ละแบรนด์ได้เลย

อย่างไรก็ตาม ก่อนจะส่งเครื่องให้ช่างของแต่ละแบรนด์เป็นผู้ซ่อมจัดการเครื่องของเรา แนะนำให้สำรองข้อมูลงานทั้งหมดของเราเอาไว้ด้วย เวลามีปัญหาแล้วต้องรีเซ็ตเครื่องหรือต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบันทึกข้อมูลในเครื่องจะได้ไม่มีปัญหาต่อการทำงานของเราด้วย

waddas magalhaes x1vnVF00Mrk unsplash

จะเห็นว่าวิธีการแก้ปัญหาโน๊ตบุ๊คค้างนั้นมีตั้งแต่วิธีพื้นฐานง่าย ๆ ไปจนวิธีการรีเซ็ตเครื่อง ล้างไพ่เริ่มใหม่ไปเลย ซึ่งทั้ง 11 วิธีนี้ ไม่จำเป็นต้องทำทุกขั้นตอนก็ได้แต่ผู้เขียนแนะนำให้เลือกวิธีให้เหมาะกับปัญหาที่เกิดขึ้นจะดีกว่า เช่นถ้ามีเวลาแล้วไม่ได้เร่งรีบอะไรมาก ถ้าเกิดค้างจะปล่อยเอาไว้สักครู่แล้วค่อยทำงานต่อ หรือถ้าจะลองวิธีที่ไม่น่าจะเคยลองกันมาก่อนอย่างการพับหน้าจอก็ได้เช่นกัน

แต่ถ้างานเสร็จแล้วพอมีเวลาอยู่บ้าง ก็แนะนำให้จัดการปัญหาคอมค้างด้วยวิธีต่าง ๆ เช่นการ Reset เครื่องหรือจะไล่แก้ตามอาการที่แจ้งเอาไว้ใน Realiability Monitor หรือไล่ลบและติดตั้งไดรเวอร์ใหม่ทั้งหมดไปเลยก็ได้ตามความสะดวกของแต่ละคน แต่ถ้าเกิดปัญหาขึ้นเมื่อไหร่ ผู้เขียนก็ไม่อยากให้นิ่งนอนใจแล้วใช้งานโน๊ตบุ๊คไปวัน ๆ แล้วรอพังซื้อใหม่อย่างเดียว เพราะถ้าดูแลดี ๆ เราก็สามารถใช้เครื่องทำงานหาเงินได้อีกหลายปีทีเดียว


บทความที่เกี่ยวข้อง

windows 10 cover

laptop not work cover

languagee cover

from:https://notebookspec.com/web/599306-11-way-when-pc-freeze

Windows Tips – Blue Screen of Death รู้ทันความหมายต่างๆของ “จอฟ้ามรณะ” พร้อมวิธีแก้ไข

Blue Screen of Death หรือ “จอฟ้ามรณะ” เชื่อว่าเกือบทุกคนต้องเคยพบเจอแน่นอนกับการเจอหน้าจอสีฟ้านี้ขึ้นมา นั่นหมายความว่าเป็นลางร้ายที่คอมพิวเตอร์ของเพื่อนๆ อาจจะเริ่มเกิดปัญหาขึ้นมาแล้ว แต่อย่าเพิ่งตกใจไป บางทีจอฟ้าอาจไม่ได้หมายความว่าคอมพิวเตอร์ของเพื่อนๆ เสียหาย ทางทีมงานรวมความหมายของรหัสจอฟ้าและวิธีแก้ไขไว้ให้เพื่อนๆแล้ว
โดยสามารถดูความหมายได้ตามนี้เลย

STOP CODE คือ รหัสที่แสดงถึงความผิดพลาดของระบบ
1.stop code: 0X000000BE Attempted Write To Readonly Memory
สาเหตุและแนวทางแก้ไข: เกิดจากลง driver หรือ โปรแกรม หรือ service ที่ผิดพลาด เช่น ไฟล์บางไฟล์เสีย ไดร์เวอร์คนละรุ่นกัน วิธีแก้ไขให้ ถอนการติดตั้งโปรแกรมตัวเก่าก่อนที่จะเกิดปัญหานี้ ถ้าเป็นไดร์เวอร์ก็ให้ทำการ roll back ไดร์เวอร์ตัวเก่ามาใช้ หรือ หาไดร์เวอร์ที่ล่าสุดมาลง (กรณีที่มีใหม่กว่า) ถ้าเป็นพวก service ต่างๆที่เราเปิดก่อนเกิดปัญหาก็ให้ทำการปิด หรือ disable

2.stop code: 0X000000C2 Bad Pool Caller
สาเหตุและแนวทางแก้ไข: ตัวนี้จะเหมือนกับข้อแรก แต่เน้นที่พวก hardware คือเกิดจากอัพเกรดเครื่องพวก Hardware ต่าง เช่น ram ,harddisk การ์ดจอ ต่างๆ ไม่ compatible กัน ทางแก้ไขก็ให้เอาอุปกรณ์ที่อัพเกรดออก ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ให้ลงไดร์เวอร์ หรือ อัฟเดท firmware ของอุปกรณ์นั้นใหม่

3.stop code: 0X0000002E Data Bus Error
สาเหตุและแนวทางแก้ไข: เกิดจากการส่งข้อมูลที่เรียกว่า BUS ของฮาร์แวร์เสียหาย ได้แก่ ระบบแรม ,Cache L2 ของซีพียู , Memory, ฮาร์ดดิสก์ทำงานหนักถึงขั้น Error และเมนบอร์ดเสีย

4.stop code: 0X000000D1 Driver IRQL Not Less Or Equal
สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการไดร์เวอร์กับ IRQ(Interrupt Request ) ไม่ตรงกัน การแก้ไขก็เหมือนกับข้อแรก

5.stop code: 0X0000009F Driver Power State Failure
สาเหตุและแนวทางแก้ไข: เกิดจาก ระบบการจัดการด้านพลังงานกับไดรเวอร์ หรือ service ขัดแย้งกัน เมื่อคุณให้คอมทำงานแบบ “Hibernate” ทางแก้ไข ถ้าวินโดวส์แจ้ง error ไดร์เวอร์หรือ service ตัวไหนก็ให้ uninstall ตัวนั้น

6.stop code: 0X000000CE Driver Unloaded Without Cancelling Pending Operations
สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการไดร์เวอร์ปิดตัวเองทั้งๆ ทีวินโดวส์ยังไม่ได้สั่ง ให้ทำการอัพเดทไดร์เวอร์ตัวที่มีปัญหาหรือลองถอนการติดตั้งแล้วติดตั้งใหม่อีกครั้ง

7.stop code: 0X000000F2 Hardware Interrupt Storm
สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการที่เกิดจากอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เช่น USB หรือ SCSI controller จัดตำแหน่งกับ IRQ ผิดพลาด สาเหตุจากไดร์เวอร์หรือ Firmware การแก้ไขเหมือนกับข้อ 1

8.stop code: 0X0000007B Inaccessible Boot Device
สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการนี้จะมักเจอตอนบูตวินโดวส์ จะมีข้อความบอกว่าไม่สามารถอ่านข้อมูลของไฟล์ระบบหรือ Boot partitions ได้ ให้ตรวจฮาร์ดดิสก์ว่าปกติหรือไม่ สายแพหรือสายไฟที่เข้าฮาร์ดดิสก์หลุดหรือไม่ ถ้าปกติดีก็ให้ตรวจไฟล์ Boot.ini อาจจะเสีย หรือไม่ก็มีการทำงานแบบ Multi OS ให้ตรวจดูว่าที่ไฟล์นี้อาจเขียน Config ของ OS ขัดแย้งกัน

9.stop code: 0X0000007A Kernel Data Inpage Error
สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการนี้เกิดมีปัญหากับระบบ virtual memory คือวินโดวส์ไม่สามารถอ่านหรือเขียนข้อมูลที่ swapfile ได้ สาเหตุอาจเกิดจากฮาร์ดดิสก์เกิด bad sector, เครื่องติดไวรัส, ระบบ SCSI ผิดพลาด, RAM เสีย หรือ เมนบอร์ดเสีย

10.stop code: 0X00000077 Kernel Stack Inpage Error
สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการและสาเหตุเหมือนกับข้อ 9 สามารถแก้ตามข้อ 9 ได้เลย

11.stop code: 0X0000001E Kmode Exception Not Handled
สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการนี้เกิดการทำงานที่ผิดพลาดของไดร์เวอร์ หรือ service กับ หน่วยความจำ และ IRQ ถ้ามีรายชื่อของไฟล์หรือ service แสดงออกมากับ error นี้ให้ทำการ uninstall โปรแกรมหรือทำการ Roll back ไดร์เวอร์ตัวนั้น ถ้ามีการแจ้งว่า error ที่ไฟล์ win32k สาเหตุเกิดจาก การ control software ของบริษัทอื่นๆ (Third-party) ที่ไม่ใช้ของวินโดวส์ ซึ่งมักจะเกิดกับพวก Networking และ Wireless เป็นส่วนใหญ่

12.stop code: 0X00000079 Mismatched Hal
สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการนี้เกิดการทำงานผิดพลาดของ Hardware Abstraction Layer (HAL)  วิธีแก้คือ reinstall วินโดวส์ใหม่
สาเหตุอีกประการการคือไฟล์ที่ชื่อ NToskrnl.exe หรือ Hal.dll หมดอายุหรือถูกแก้ไข ให้เอา Backup ไฟล์ หรือเอา original ไฟล์ที่คิดว่าไม่เสียหรือเวอร์ชั่นล่าสุดก๊อปปี้ทับไฟล์ที่เสีย

13.stop code: 0X0000003F No More System PTEs
สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการนี้เกิดจากระบบ Page Table Entries (PTEs) ทำงานโดย Virtual Memory Manager (VMM) ผิดพลาด ทำให้วินโดวส์ทำงานโดยไม่มี PTEs ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับวินโดวส์ อาการนี้มักจะเกิดกับการที่คุณทำงานแบบ multi monitors

โดยเรานั้นสามารถทำการปรับแต่ง PTEs ได้ใหม่โดยทำตามดังนี้

1. กดปุ่ม Windows ค้าง + R แล้วพิมพ์คำสั่ง Regedit
2. ไปตามคีย์นี้ HKEY_LOCAL_MACHINESYSTEMCurrentControlSetControlSession ManagerMemory Management
3. ให้ดูที่หน้าต่างขวามือ ดับคลิกที่ PagedPoolSize ให้ใส่ค่าเป็น 0 ที่ Value data และคลิก OK
4. ดับเบิลคลิกที่ SystemPages ถ้าคุณใช้ระบบจอแบบ Multi Monitor ให้ใส่ค่า 110000 แล้วคลิก OK รีสตาร์ทเครื่อง

14.stop code: 0X00000024 NTFS File System
สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการนี้สาเหตุเกิดจากการรายงานผิดพลาดของ Ntfs.sys คือไดร์เวอร์ของ NTFS อ่านและเขียนข้อมูลผิดพลาด สาเหตูนี้รวมถึง การทำงานผิดพลาดของ controller ของ IDE หรือ SCSI เนื่องจากการทำงานของโปรแกรมสแกนไวรัส หรือ พื้นที่ของฮาร์ดดิสก์เสีย คุณๆสามารถทราบรายละเอียดของerror นี้ได้โดยให้เปิดดูที่ Event Viewer วิธีเปิดก็ให้ไปที่ start > run แล้วพิมพ์คำสั่ง eventvwr.msc เพื่อเปิดดู Log file ของการ error โดยให้ดูการ error ของ SCSI หรือ FASTFAT ในหมวด System หรือ Autochk ในหมวด Application

15.stop code: 0X00000050 Page Fault In Nonpaged Area
สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการนี้สาเหตุการจากการผิดพลาดของการเขียนข้อมูลในแรม การแก้ไขก็ให้ทำความสะอาดขาแรมหรือลองสลับแรมดูหรือไ ม่ก็หาโปรแกรมที่ test แรมมาตรวจว่าแรมเสียหรือไม่

16.stop code: 0Xc0000221 Status Image Checksum Mismatch
สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการนี้สาเหตุมาจาก swapfile เสียหายรวมถึงไดร์เวอร์ด้วย การแก้ไขก็เหมือนข้อ 15

17. stop code: 0X0000007F unexpected Kernel Mode Trap
สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกับนัก Overclock (ผมก็คนหนึ่ง) เป็นอาการ RAM ส่งข้อมูลให้ CPU ไม่สัมพันธ์กันคือ CPU วิ่งเร็วเกินไป หรือร้อนเกินไปสาเหตุเกิดจากการ Overclock วิธีแก้ก็คือลด clock ลงมาให้เป็นปกติ หรือ หาทางระบายความร้อนจาก CPU ให้มากที่สุด

18. stop code: 0X000000ED Unmountable Boot Volume
สาเหตุและแนวทางแก้ไข: สาเหตุและแนวทางแก้ไขอาการที่วินโดวส์หาฮาร์ดดิสก์ไม่เจอ (ไม่ใช่ตัวบูตระบบ) ในกรณีที่คุณมีฮาร์ดดิสก์หลายตัว หนึงในนั้นคุณอาจใช้สายแพของฮาร์ดดิสก์ผิด เช่น ฮาร์ดดิสก์เป็นแบบ 33MB/secound ซึ่งต้องใช้สายแพ 40 pin แต่คุณเอาแบบ 80 pin ไปต่อแทน

เป็นยังไงบ้างครับ หวังว่าคงเป็นความรู้ให้กับเพื่อนๆที่กำลังประสบปัญหาจอฟ้ากันอยู่ จะเห็นได้ว่า จอฟ้า ไม่ได้หมายถึง Hardware มีปัญหาเพียงอย่างเดียว แต่ทางที่ดีหากพบว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานอยู่เกิดจอฟ้าขึ้นให้ใจเย็นๆแล้วจำเลขรหัส Error ไว้จากนั้นลองนำมาตรวจสอบดูว่าเป็นปัญหาที่ Hardware หรือ Software กันก่อน

สำหรับใครที่สงสัยตรงไหนสามารถคอมเม้นต์ไว้ที่ด้านล่างได้เลยนะครับ

from:https://notebookspec.com/blue-screen-of-death/445984/