คลังเก็บป้ายกำกับ: WI-FI_ROUTER

รวมสุดยอด Wi-Fi routers ช่วงต้นปี 2023

Wi-Fi routers ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในฮาร์ดแวร์ที่มีความสำคัญไม่น้อยเพราะต้องทำการกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้ทั่วถึงมั่นคง ในบทความนี้เราเลยอยากแนะนำให้คุณได้รู้จักสุดยอดเร้าเตอร์ประจำปี 2023 กัน

รวมสุดยอด Wi-Fi routers ช่วงต้นปี 2023
รวมสุดยอด Wi-Fi routers ช่วงต้นปี 2023

ไม่ว่าคุณจะมีอุปกรณ์ที่ต้องการการออนไลน์เพียงไม่กี่เครื่องหรือมีบ้านที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมาร์ทโฮม ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรนั้นปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสัญญาณ Wi-Fi ได้กลายเป็นศูนย์กลางของชีวิตที่เชื่อมต่อถึงกันและกันของเรา(นอกเหนือไปจากอินเทอร์เน็ตจากเครือข่าย)

การแข่งขันและความจำเป็นผลักดันให้ ISP(หรือผู้ให้บริการอินเอทร์เน็ต) เพิ่มความเร็วอินเทอร์เน็ตรวมถึงเทคโนโลยีที่ช่วยให้ลูกค้าเชื่อมต่อได้รวดเร็วมากขึ้น ถึงกระนั้นเกตเวย์ของ ISP ก็เป็นโซลูชันขนาดเดียวที่เหมาะกับทุกความต้องการสำหรับ WI-Fi เมื่อบ้านทุกหลังมีความต้องการที่แตกต่างกัน ไม่ว่าคุณกำลังมองหาความเร็วที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในบ้านแถบชานเมือง หรือกำลังมองหาเครือข่ายของคุณให้เกิดประโยชน์สูงสุดในอาคารอพาร์ตเมนต์ที่มีผู้คนหนาแน่น การอัปเกรดเครือข่ายในบ้านของคุณด้วยเราเตอร์ที่เหมาะสมนั้นคือสิ่งที่คุณควรต้องพิจารณาเป็นอันดับแรกและในวันนี้ ทาง NBS ได้รวบรวม 6 เร้าเตอร์สุดเจ๋งมาให้คุณได้ลองใช้เป็นตัวเลือกกันแล้ว จะมีรุ่นไหนบ้างนั้นไปติดตามกันได้เลย

Advertisementavw


ASUS RT-AX1800S

ASUS RT AX1800S 001

ASUS RT-AX1800S เป็นเราเตอร์ Wi-Fi 6 แบบดูอัลแบนด์ราคาไม่แพงที่มีความเร็วสูงสุด 1201Mbps ที่ 5GHz และ 574Mbps ที่ 2.4GHz คุณสามารถจัดการการตั้งค่าของคุณในแอพ ASUS Router หรือในเว็บเบราว์เซอร์ที่สามารถเข้าถึงคุณสมบัติขั้นสูงได้ ASUS ยังรวมส่วนขยาย AIMesh เพื่อให้คุณสามารถสร้างเครือข่ายแบบเมชกับเราเตอร์ส่วนใหญ่ของ ASUS ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา(รวมถึงรุ่น ROG และ ZenWiFi)

ด้วย Wi-Fi 6 ทำให้ AX1800 มีราคาต่ำมากที่สุดเท่าที่คุณต้องการในแง่ของความเร็วไร้สายหรือ Wi-Fi ASUS RT-AX1800S เป็นเราเตอร์พื้นฐานโดยการออกแบบที่มีเสาอากาศสี่เสายื่นออกมาจากด้านหลัง ทำให้ได้ความเร็วสูงสุด 1201Mbps ที่ 5GHz และ 574Mbps ที่ 2.4GHz เนื่องจากไคลเอ็นต์ Wi-Fi 6 ส่วนใหญ่จะใช้งานความเร็วสูงสุดที่ 1201Mbps เราเตอร์ AX1800 นี้จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับบ้านขนาดเล็กที่มีหนึ่งหรือสองคน(หรือใช้งานในคอนโดที่มีขนาดห้องไม่กว้างมากเท่าไรนัก)

สิ่งที่ทำให้ ASUS RT-AX1800S แตกต่างจากเราเตอร์ Wi-Fi 6 ราคาถูกอื่นๆ คือซอฟต์แวร์ โดยเฉพาะ AIMesh คุณสมบัตินี้ช่วยให้คุณใช้เราเตอร์ ASUS หลายตัวเพื่อสร้างเครือข่ายตาข่ายแบบกำหนดเอง ตัวอย่างเช่น คุณสามารถขยายโครงข่ายของคุณด้วยเราเตอร์ ASUS ZenWiFi ราคาถูก หรือแม้แต่เราเตอร์เกม ROG หากคุณต้องการอัปเกรดเป็นเราเตอร์ ASUS ที่เร็วขึ้นในภายหลัง คุณสามารถใช้ RT-AX1800S เพื่อเป็นส่วนช่วยขยายสัญญาณได้

ฟีเจอร์สุดท้ายที่น่าสนใจก็คือ AiProtection Classic ซึ่งเป็นแพ็คเกจความปลอดภัยฟรีที่มาพร้อมกับคุณสมบัติเช่นการบล็อกไซต์ที่เป็นอันตรายและการตรวจจับและบล็อกอุปกรณ์ที่ติดไวรัส นอกจากนี้ยังมีการควบคุมโดยผู้ปกครองด้วยการตั้งเวลา, การกรอง URL และค่าที่ตั้งล่วงหน้า(Kid-Safe) แต่น่าเสียดายนิดหน่อยที่ตัวซอฟต์แวร์ไม่มีตัวกรองเนื้อหาและแดชบอร์ดกิจกรรมทางอินเทอร์เน็ตของเร้าเตอร์เหมือนกับเร้าเตอร์ ASUS ระดับพรีเมียม แต่สำหรับเร้าเตอร์ราคา 1,xxx บาทแล้วนั้นถือว่า ASUS RT-AX1800S เป็นเร้าเตอร์ที่คุ้มค่าเป็นอย่างมากเลยทีเดียวกับราคาที่คุณต้องจ่ายไป


ASUS ROG Rapture GT-AX6000

ASUS ROG Rapture GT AX6000 001

หากคุณเป็นนักเล่นเกมออนไลน์ที่ต้องแข่งกันในระดับเสี้ยววินาทีแล้วล่ะก็เชื่อเหลือเกินว่าคุณมักจะบ่นเกี่ยวกับเวลา ping ในอดีต ค่า Ping เป็นการวัดเวลาแฝงระหว่างพีซีหรือคอนโซลของคุณกับเซิร์ฟเวอร์ที่เชื่อมต่ออยู่ ping สูงอาจทำให้ดูเหมือนว่าภาพของคุณไม่เป็นไปตามกการบังคับแบบทันทีทันใด หรือเอาง่ายๆ เลยก็คือคุณได้มีการออกคำสั่งไปแล้วแต่ตัวละครในเกมก็ยังคงไม่แสดงท่าทางตามคำสั่งนั้นของคุณแบบทันที คุณไม่สามารถทำอะไรได้มากนักเกี่ยวกับเรื่องของอาการ ping จาก ISP ของคุณไปยังเซิร์ฟเวอร์ แต่การมีเราเตอร์ที่เหมาะสมจะทำให้เวลา ping ของเกมของคุณต่ำและสม่ำเสมอเมื่อคุณต้องแชร์การเชื่อมต่อกับสมาชิกในครอบครัว ROG Rapture GT-AX6000 เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม มันมาพร้อมซอฟต์แวร์เพื่อจัดลำดับความสำคัญของการเชื่อมต่อเกมและฮาร์ดแวร์ที่รวดเร็วที่สามารถรองรับการเชื่อมต่อที่มีความต้องการสูง

เราเตอร์นี้ดูไม่พิเศษเกินไปเมื่อมองแวบแรก ด้วยการเชื่อมต่อ AX6000 ที่ความเร็วลดลงเหลือ 4804Mbps ที่ 5GHZ และ 1148Mbps ที่ 2.4GHz เร้าเตอร์นี้ยังเหมาะสำหรับการเชื่อมต่อแบบมีสายด้วยพอร์ต LAN กิกะบิต 4 พอร์ตและพอร์ต LAN 2.5Gbps 1 พอร์ต นอกจากนี้ยังมีพอร์ต WAN 2.5Gbps อีกพอร์ตสำหรับการเชื่อมต่อขาเข้า ดังนั้นหากคุณอัปเกรดเป็นไฟเบอร์แบบมัลติกิกหรืออินเทอร์เน็ต 5G คุณสามารถใช้ความเร็วนั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากคุณสามารถใช้สายเคเบิลอีเธอร์เน็ตกับเครื่องเกมของคุณได้ คุณควรจะใช้ แต่ถ้าต้องใช้แบบไร้สาย Rapture GT-AX6000 ก็มีเทคโนโลยีทั้งหมดที่จำเป็นต่อการเคลื่อนย้ายข้อมูลของคุณ

ในด้านซอฟต์แวร์ คุณสามารถตั้งค่าเราเตอร์นี้ได้เหมือนกับเราเตอร์ ASUS อื่นๆ โดยใช้แอพหรือเว็บ UI รวม AIProtection Pro ดังนั้นคุณจะได้รับชุดการป้องกันการบุกรุกและตัวกรองเนื้อหาการควบคุมโดยผู้ปกครอง นอกจากนี้ตัวเร้าเตอร์ยังรองรับ AIMesh ดังนั้นคุณจึงสามารถทำให้สัญญาณ Wi-Fi ครอบคลุมทั้งบ้านโดยไม่ต้องละทิ้งคุณสมบัติการเล่นเกมให้เร็วของคุณ สุดท้าย ASUS มีซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า VPN Fusion ซึ่งช่วยให้คุณกำหนดเส้นทางการรับส่งข้อมูลส่วนใหญ่ของคุณผ่าน VPN ในขณะที่ผ่านการเชื่อมต่อเกมของคุณโดยตรงโดยไม่มีเวลาแฝงเพิ่ม


Synology WRX560

StorageReview Synology WRX560 1

Synology WRX560 เป็นเราเตอร์ AX3000 Wi-Fi 6 ที่ค่อนข้างทั่วไปในด้านฮาร์ดแวร์พร้อมลูกเล่นซอฟต์แวร์ที่ดีเพื่อปรับปรุงประโยชน์ใช้สอย เริ่มจากฮาร์ดแวร์ที่มีการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 แบบดูอัลแบนด์ที่มีความเร็วสูงสุด 600Mbps ที่ 2.4GHz และสูงสุด 2400Mbps ที่ 5GHz ย่านความถี่ 5GHz รองรับ 160MHz รวมถึงรองรับสเปกตรัม DFS และ UNII-4 ต้องบอกว่าการรองรับ UNII-4 หรือ 5.9GHz เป็นคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมมากสำหรับระบบเมช เนื่องจากการใช้คลื่นความถี่บน 5GHz ที่กว้างขึ้นทำให้สมบูรณ์แบบสำหรับการกระจายสัญญาณความเร็วสูงที่ทะลุทะลวงอย่างแท้จริง แต่ข้อเสียของเร้าเตอร์ตัวนี้ก็มีอยู่นั่นก็คือการสนับสนุนไคลเอ็นต์ที่จำกัดทำให้หากมีอุปกรณ์เชื่อมต่อจำนวนมากแล้วนั้นก็จะยิ่งแย่งความเร็วกัน

ที่ด้านหลังเร้าเตอร์มีพอร์ตอีเทอร์เน็ตกิกะบิตหนึ่งพอร์ตสำหรับ WAN พอร์ตอีเทอร์เน็ตกิกะบิตสามพอร์ตสำหรับ LAN และอีเทอร์เน็ต 2.5Gbps สำหรับ WAN หรือ LAN พอร์ตอีเธอร์เน็ตที่รวดเร็วนี้สามารถใช้สำหรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบหลายกิกหรือเพื่อเชื่อมต่อกับ NAS ที่รวดเร็ว เช่น พอร์ตที่สร้างโดย Synology ด้านข้างมีพอร์ต USB 3.2 ที่สามารถใช้สำหรับจัดเก็บข้อมูลเครือข่าย โดยรวมแล้ว เราเตอร์มีขนาดค่อนข้างกะทัดรัดด้วยความกว้างเพียง 9 นิ้ว และมีการออกแบบแบบตั้งขึ้นพร้อมเสาอากาศภายในทั้งหมดที่ดีไซน์ดูสวยงามเข้ากับการวางในทุกจุดของพื้นที่ในบ้าน

เมื่อพูดถึงซอฟต์แวร์ เราเตอร์นี้สามารถใช้กับแอปของ Synology หรือควบคุมในเว็บเบราว์เซอร์บนพีซีได้ คุณสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าพื้นฐานของเราเตอร์ ตลอดจนตรวจสอบเครือข่ายและผู้ใช้ คุณยังสามารถใช้การควบคุมโดยผู้ปกครองตามโปรไฟล์เพื่อติดตามเวลาหน้าจอ, ดูประวัติการใช้งานและกรองเนื้อหาเว็บ นอกจากนี้ยังรองรับโหมดไคลเอ็นต์ VPN เพื่อให้คุณสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ของคุณกับอินเทอร์เน็ตโดยใช้ VPN ได้หากต้องการ ทั้งหมดนี้รวมไว้โดยไม่มีการสมัครสมาชิกเพิ่มเติม ดังนั้นหากคุณวางแผนที่จะใช้คุณสมบัติเหล่านี้ราคาตั้งต้นที่สูงของ Synology จะมีเหตุผลมากขึ้นที่จะทำให้คุณเสียเงินจากกระเป๋าเพื่อซื้อมันไป


TP-Link Archer AXE300

TP Link Archer AXE300 001

หากคุณกำลังมองหาเร้าเตอร์ความเร็ว Wi-Fi ที่ดีที่สุดโดยไม่ต้องรอ Wi-Fi 7 เราเตอร์ Quad-band AXE16000 Wi-Fi 6E คือตัวเลือกที่เหมาะสม ความเร็วของ TP-Link Archer AXE16000 ลดลงเหลือ 1148Mbps ที่ 2.4GHz, 4804Mbps ที่ 5GHz ต่ำ, 4804Mbps ที่ 5GHz สูง และ 4804Mbps ที่ 6GHz ด้วยพอร์ตอีเธอร์เน็ต 10Gbps เราเตอร์นี้พร้อมสำหรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ที่เร็วที่สุดที่คุณสามารถหาได้จากที่ ISP จะมีการให้บริการสำหรับผู้ใช้ภายในบ้านทั่วไป ด้วยความจุทั้งหมดนี้ยังทำให้เร้าเตอร์ตัวนี้มีพื้นที่ว่างเหลือเฟือ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะใช้งานการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่หรือเซสชันการเล่นเกม เร้าเตอร์ตัวนี้ก็จัดการทราฟฟิกได้อย่างง่ายดาย

ความเร็วเหล่านี้ดูไร้สาระเล็กน้อย แต่ด้วยความแออัดของย่านความถี่ 5GHz ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เร้าเตอร์นี้จึงคงความจุของเร้าเตอร์ไตรแบนด์รุ่น AX11000 รุ่นเก่าไว้ ในขณะที่เพิ่มย่านความถี่ 6GHz สำหรับอุปกรณ์ล่าสุดที่รองรับ แม้จะมีฮาร์ดแวร์ที่ยอดเยี่ยม แต่ Archer ก็มีราคาถูกกว่ารุ่นคู่แข่งจาก ASUS ROG ถึง 3,xxx บาท แม้ว่าคุณสมบัติของซอฟต์แวร์จะไม่แข็งแกร่งเท่าก็ตาม

เราเตอร์นี้โดดเด่นมากเมื่อพูดถึงการเชื่อมต่อผ่านสายด้วยตัวเลือก 10Gbps สองตัว พอร์ตอีเทอร์เน็ต 2.5Gbps และพอร์ตกิกะบิตสี่พอร์ตกับพอร์ต 10Gbps พอร์ตหนึ่งคืออีเทอร์เน็ตและอีกพอร์ตเป็นอีเธอร์เน็ตหรือ SFP+ ที่คุณสามารถใช้ได้หากคุณมีสวิตช์แบบมีสายระดับไฮเอนด์ในบ้านของคุณอยู่แล้ว การขยายตาข่ายสามารถทำได้ด้วย OneMesh โดยใช้ตัวขยาย TP-Link ที่ใช้งานร่วมกันได้(ซึ่งมีให้เลือกไม่มากเท่าไรนัก)

คุณสามารถตั้งค่าเร้าเตอร์นี้โดยใช้แอป TP-Link Tether ได้ในเวลาไม่กี่นาที พร้อมการตั้งค่าขั้นสูงเพิ่มเติมที่มีใน UI ของเว็บ TP-Link มีชุดรักษาความปลอดภัย HomeShield พร้อมการสแกนหาภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น, การควบคุมโดยผู้ปกครองที่บล็อกเนื้อหาและตัวเลือกคุณภาพการบริการสำหรับการจัดลำดับความสำคัญของอุปกรณ์ หากคุณต้องการการควบคุมความปลอดภัยเชิงลึกมากขึ้น HomeShield Pro มีให้บริการแบบสมัครสมาชิกที่ต้องเสียรายเดือน


TP-Link Archer AXE75

TP Link Archer AXE75 hero

Wi-Fi 6E ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงเหมือนกับที่มีการโฆษณากันเป็นจำนวนมากในปัจจุบัน อุปกรณ์ Wi-Fi 6E ส่วนใหญ่จะเชื่อมต่อด้วยความเร็วสูงสุดที่ 2402Mbps แต่ TP-Link Archer AXE75 กำหนดเป้าหมายความเร็วเหล่านั้นด้วยการเชื่อมต่อ AXE5400 ที่แยกออกเป็น 2402Mbps ที่ 5GHz, 2402Mbps ที่ 6GHz และ 574Mbps ที่ 2.4GHz ดังนั้นคุณจึงมีความเร็วมากมายในจุดที่คุณต้องการมากที่สุด ไม่เหมือนกับระบบเมช AXE5400 บางระบบ เช่น eero Pro 6E, TP-Link Deco XE75 และ Nest Wifi Pro ความเร็วทั้งหมดนี้มีให้สำหรับลูกค้า ดังนั้นคุณจึงสามารถรับความเร็วเต็มที่ของย่านความถี่ 6GHZ บนอุปกรณ์ทั้งหมดของคุณ

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ควรทราบก็คือเราเตอร์นี้มาพร้อมกับกิกะบิตอีเทอร์เน็ตสำหรับ WAN และ LAN เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าเหมาะสำหรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสูงสุดแค่ 1Gbps เท่านั้น ดังที่ได้กล่าวไปแล้วการมีความเร็วไร้สายพิเศษช่วยให้อุปกรณ์ของคุณบรรลุความเร็วนั้นจริงๆ เมื่อมีความแออัดของระบบไร้สายในพื้นที่ของคุณ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่อยู่ในอาคารที่มีคนอยู่มากๆ อย่างเช่นคอนโดเป็นต้น

เช่นเดียวกับ Archer AXE16000 ด้านบน เราเตอร์นี้มาพร้อมกับซอฟต์แวร์ HomeShield ของ TP-Link ซึ่งสามารถสแกนเครือข่ายของคุณเพื่อหาภัยคุกคาม ใช้ Quality of Service เพื่อจัดลำดับความสำคัญของการรับส่งข้อมูลที่สำคัญและการควบคุมโดยผู้ปกครองที่ใช้งานได้ฟรี คุณจะได้รับตัวกรองเนื้อหาพื้นฐานและการตั้งเวลาสำหรับโปรไฟล์ นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกขั้นสูงเพิ่มเติมสำหรับการสมัครสมาชิกรายเดือน(และปี)

เราเตอร์นี้ยังรองรับการขยาย OneMesh ดังนั้นคุณจึงสามารถปรับปรุงความครอบคลุมของคุณด้วยตัวขยาย Wi-Fi TP-Link ที่เข้ากันได้ OneMesh ไม่เหมือนกับ AIMesh จาก ASUS ตรงที่ไม่ทำงานกับเร้าเตอร์ TP-Link หลายตัวหรือกับเร้าเตอร์ Deco ซึ่งทำให้การขยายวง Mesh นั้นค่อนข้างมีข้อจำกัดพอสมควร


Netgear Nighthawk M6

NG Nighthawk M6 AT and T 779x536 G2 tcm148 137011

ฮอตสปอต 5G ของ Netgear อยู่ในกลุ่มของตัวเองจริงๆ ด้วยการออกแบบที่ยอดเยี่ยมและความสามารถในการขยายที่ง่ายดาย ฮอตสปอต Nighthawk M6 รองรับย่านความถี่ 5G และ LTE ที่หลากหลาย รวมถึงย่านความถี่กลางล่าสุดบน AT&T และ T-Mobile (ในสหรัฐอเมริกา) รองรับการรวมผู้ให้บริการสูงสุด 6 เท่า LTE + 5GNR ช่วยให้คุณใช้ประโยชน์สูงสุดจากการเชื่อมต่อที่มีอยู่ โมเดลนี้ปลดล็อกแล้วดังนั้นคุณจึงสามารถที่จะนำเอามันไปใช้งานที่ไหนก็ได้ในโลก

นอกจากนี้ยังเข้ากันได้กับเสาอากาศ TS-9 ดังนั้นคุณจึงสามารถรับสัญญาณที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ใน RV นอกจากนี้ยังเป็นโซลูชันที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องทำงานห่างไกลจากการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบคงที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณจำได้ว่าอินเทอร์เน็ตบ้าน 5G จากผู้ให้บริการอย่าง T-Mobile ควรใช้ในสถานที่เดียวเท่านั้น

Nighthawk M6 มีการเชื่อมต่อไร้สายที่เหนือกว่าที่ Wi-Fi 6 AX3600 ที่มี 2900Mbps ที่ 5GHz และ 700Mbps ที่ 2.4GHz ซึ่งเหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อพร้อมกันสูงสุด 32 เครื่อง มีพอร์ตกิกะบิตอีเทอร์เน็ตอยู่ด้านล่าง คุณจึงสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้โดยตรง พอร์ตอีเทอร์เน็ตนี้ยังรองรับการเชื่อมต่อกับเราเตอร์อื่นๆ ดังนั้นหากคุณต้องการใช้อินเทอร์เน็ต 5G ที่บ้าน คุณเพียงแค่เสียบปลั๊กเข้าไปก็พอ


ที่มา : popsci, pcmag, cnet, xda-developers

from:https://notebookspec.com/web/702806-best-wi-fi-routers-in-2023

CES 2019 – ASUS Lyra Voice ไวไฟเราเตอร์ 3 in 1 เป็นได้ทั้งลำโพงและคุมคำสั่งเสียงด้วย Alexa Amazon

Asus ได้เปิดตัว Wi-Fi Router ใหม่ที่รวมอุปกรณ์เกี่ยวกับเสียงเข้าไว้ในเครื่องเดียวจนเป็น Asus Lyra Voice ที่เป็นทั้ง Wi-Fi router , ลำโพงอัจฉริยะและควบคุมสั่งการเสียงด้วยระบบ Alexa จาก Amazon เพิ่มความล้ำสมัยตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคปัจจุบัน

Asus ได้เปิดตัวสินค้าเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ด้วย Asus Lyra Voice มีมิติขนาดตัวที่ 270 x 75 x 75 mm (กว้าง x ลึก x สูง) น้ำหนัก 975 กรัม ใช้เร้าเตอร์ AiMesh ทำงานบน IEEE 802.11a/b/g/n/ac ตอบรับสำหรับผู้ใช้ที่มีบ้านขนาดใหญ่ส่งสัญญาณได้อย่างทั่วถึง

สิ่งที่พิเศษกว่านั้นก็คือมีลำโพงแบบ Built-in ข้างใน เป็นลำโพง Bluetooth อัดด้วยเทคโนโลยี DTS surround-sound มอบประสบการณ์เสียงก้องกังวาลแก่ผู้ฟัง พร้อมทั้งเพลิดเพลินไปด้วยการควบคุมใช้งานคำสั่งเสียงด้วยระบบ Alexa ของ Amazon ให้ผู้ใช้ออกคำสั่งเปิดลำโพงหรือการทำงานของเราเตอร์ได้

Lyra Voice เปิดราคาอยู่ที่ $219.99 หรือ 7,050 บาทโดยประมาณ สามารถรองรับเสียงภาษาได้หลายประเทศได้แก่ เยอรมัน , อังกฤษ  , สเปน , ฝรั่งเศส , อิตาลี และ ญี่ปุ่น

ที่มา: Notebookcheck

from:https://notebookspec.com/asus-lyra-voice-wifi-router-smart-speaker-and-alexa-amazon/468523/

Review – TP-Link Archer C5400X Gaming Router ประสิทธิภาพสูง ที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ราคา 13,900 บาท

วันนี้เรามีสุดยอด Router จากทาง TP-Link มารีวิวให้ชมกันในรุ่น TP-Link Archer C5400X สุดยอด Gaming Router ประสิทธิภาพสูงทujตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกมออนไลน์ การดูวิดีโอออนไลน์ หรือการใช้ท่องเว็บไซต์ ในยุคสมัยที่อินเทอร์เน็ตมีบทบาทในชีวิตของใครหลายคน หนึ่งในอุปกรณ์ที่หลายคนรู้จัก และมีความสำคัญอย่างมากในการใช้งานอินเทอร์เน็ตก็คือ Wi-Fi Router

ซึ่งในปัจจุบันนอกจากที่จะใช้เป็นตัวเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแล้ว ยังทำหน้าที่กระจายสัญญาณ Wi-Fi อีกด้วย ซึ่ง Router รุ่นที่เราได้มารีวิวในครั้งนี้จัดเป็นรุ่นที่ท็อปที่สุดจากทาง TP-Link เลยก็ว่าได้ ฉนั้นเรื่องของประสิทธิภาพ และฟังก์ชันการใช้งานจัดมาให้แบบ ครบๆ แน่นๆ แน่นอน ส่วนจะดีเหมือนอย่างที่ผมพูดไว้ไหมไปติดตามกัน

Specification / ข้อมูลเชิงเทคนิค

Hardware
  • Ethernet Ports: 8 Gigabit LAN Ports, 1 Gigabit WAN Port
  • USB Ports: 2 USB 3.0 Ports
  • หน่วยความจำภายใน 16 GB
  • ปุ่มกดบนตัวเครื่อง: ปุ่มปิด-เปิด Wi-Fi, ปุ่มปิด-เปิดLED , ปุ่มปิด-เปิดตัวเครื่อง, ปุ่ม Reset , ปุ่ม WPS
  • เสาอากาศจำนวน 8 เสาแบบภายนอก
  • External Power Supply: 12V/5A
  • ขนาด 240.5 X 240.5 X 55.3 มิลิเมตร
  • CPU 1.8GHz 64-bit quad-core ,3 co-processor และ RAM 1 GB
Wireless
  • Wireless Standards: 802.11 a/b/g/n/ac
  • คลื่นความถี่ที่รองรับ : 2.4GHz, 5GHz-1 and 5GHz-2 Tri Band Wi-Fi
  • Wi-Fi AC 5400
  • Wireless Security: 64/128-bit WEP, WPA/WPA2, WPA-PSK/WPA2-PSK
  • Airtime Fairness
Software Others
  • Quality of Service: Device and Application Prioritisation
  • WAN Type: Dynamic IP/Static IP/PPPoE/PPTP(Dual Access)/L2TP(DualAccess)/BigPond
  • Management: Access Control, Local Management, Remote Management
  • DHCP: Server, DHCP Client List, Address Reservation
  • Port Forwarding: Virtual Server, Port Triggering, UPnP, DMZ
  • Dynamic DNS: DynDns, NO-IP, TP-Link
  • Access Control: Parental Controls, Local Management Control, Host List, White List, Black List
  • Firewall Security: DoS, SPI Firewall, IP and MAC Address Binding
  • Protocols: IPv4, IPv6
  • USB Sharing: Supports Samba(Storage)/FTP Server/Media Server/Printer Server
  • Guest Network
  • ราคา 13,900 บาท
  • ประกัน Lifetime Limited
ภายในกล่องประกอบไปด้วย ตัว Router ,Power Adapter ,สาย LAN ,คู่มือ Quick Installation Guide

Design / งานออกแบบ

ดีไซน์ในภาพรวมของ TP-Link Archer C5400X จะมีความแตกต่างกับ Router รุ่นอื่นๆ จากทาง TP-Link อยู่พอสมควร ทั้งความดุดัน ความใหญ่ของอุปกรณ์ หรือเสาสัญญาณ และอื่นๆ ที่รู้สึกได้ว่า ดุดันสมเป็นตัวท็อป

เราจะมาเริ่มกันที่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดกันอย่างเสาอากาศที่มีมาให้มากถึง 8 เสา ขนาดใหญ่กำลังส่งสูง ที่มาในสีดำตัดสีแดง เสริมความเป็น Gaming และเสาอากาศเป็นแบบใหม่ ปรับองศาไม่ได้ จัดว่าเป็นการออกแบบดีไซน์ที่แปลกดี ผมคิดว่าปกติเราก็ไม่ได้ไปยุ่งกับมันบ่อยอยู่แล้ว คงไม่จำเป็นที่เราจะต้องไปปรับองศามันก็ได้ จึงทำเป็นแบบ Fix ไว้น่าจะดีกว่า

สำหรับตัว Body ภายนอกจะใช้วัสดุเป็นพลาสติกทั้งหมดส่วนสีจะเป็นสีดำล้วน และตรงกลางจะมีไฟแสดงสถานะการทำงาน LED Multi Color แบบดวงเดียวเป็นโลโก้ TP-Link ยอมรับเลยว่าในตอนที่ได้มาผมก็สงสัยว่าด้านไหนมันด้านหน้ากันแน่ เนื่องจากออกแบบมาได้มีรูปทรงที่มีความสมมาตรทั้ง 4 ด้าน และเป็นรูปทรงสีเหลี่ยมที่มีการตัดขอบ เล่นมุม มีส่วนเว้า ส่วนโค้ง  และยังมีการทำช่องลมระบายอากาศทั้งด้านบน และด้านล่าง ช่วยในการระบายความร้อนด้วย

ที่ด้านหน้าจะมาพร้อมกับปุ่ม WPS , ปุ่มเปิด-ปิด Wi-Fi และปุ่มเปิด-ปิด LED ด้านขวาจะมาพร้อมกับช่อง USB 3.0 จำนวน 2 พอร์ต รองรับการทำ Media Server ,Print Server หรือใช้ต่อพัดลม USB ก็ได้ ส่วนด้านหลังจะมาพร้อมกับพอร์ต LAN จำนวน 9 พอร์ต (LAN 8 ,WAN1) ปุ่ม Reset ,ปุ่ม Power และช่องต่อไฟเลี้ยง

ส่วนตัวอยากได้ไฟแสดงสถานะการทำงานที่มากกว่านี้ เนื่องจากจะทำให้เรารู้ว่ามีการรับส่งข้อมูลอยู่หรือเปล่า Router ทำงานปกติหรือไม่ เวลาอินเทอร์เน็ตใช้งานไม่ได้จะได้รู้ทัน  คือติดนิสัยผู้ดูแลระบบมา

สำหรับดีไซน์ภายนอกเรียกได้ว่าก็ออกแบบมาได้ดี ดุดัน บึกบึน รู้สึกถึงความเป็น Gaming และความเป็นตัวท็อป ส่วนข้อสังเกตมีบ้างในเรื่องของความหนาของตัวเครื่อง และน้ำหนักที่มากพอสมควร คือยอมรับว่าวางไว้ที่โต๊ะตัวสูงๆ ก็มีแอบกลัวหล่นอยู่เหมือนกัน ดังนั้นตอนติดตั้งระวังกันด้วยนะครับ

Feature / จุดเเด่น

TP-Link Archer C5400X มาพร้อมกับฟีเจอร์ และจุดเด่นมากมาย แน่นอนว่าเป็นตัวท็อปของค่ายก็ต้องจัดเต็มและโดดเด่นกว่ารุ่นอื่นอยู่แล้ว

CPU แบบ 4 Core ความเร็ว 1.8 GHz 64 Bit พร้อมกับชิพควบคุมการส่งสัญญาณแยก 3 ตัว เรียกได้ว่าแรงระดับ CPU ในสมาร์ทโฟนเลย แต่ถูกนำมาใช้ใน Router ทำให้สามารถรองรับการใช้งานพร้อมกันได้จำนวนมาก

Link Aggregation หรือการรวมลิงก์ รวมพลัง ทำให้ไปได้เร็วขึ้น โดยฟีเจอร์นี้ถูกทำมาให้ใช้กับ NAS ที่ต้องการความเร็วสูง เพราะปกติความเร็วสูงสุดที่พอร์ต LAN ของ TP-Link Archer C5400X จะอยู่ที่ 1 Gbps การทำ Link Aggregationจะช่วยเพิ่มความเร็วเป็น 2 Gbps ทำให้ได้ความเร็วที่เพิ่มมากขึ้น การใช้งาน NAS พร้อมกันหลายเครื่องก็จะทำได้ลื่นไหลมากยิ่งขึ้น *แต่ตัว NAS ก็ต้องรองรับด้วยนะ

RangeBoost เป็นการเพิ่มกำลังส่งของ Router ทำให้ได้ระยะสัญญาณ Wi-Fi ที่ไกลกว่า Router ตัวอื่น หรือแรงกว่า Router ตัวอื่น

MU-MIMO รองรับการสือสารพร้อมกันหลายๆ อุปกรณ์ จากปกติที่สื่อสารที่ละอุปกรณ์

Airtime Fairness ฟีเจอร์ที่จะทำให้อุปกรณ์ที่มีระยะเวลาสื่อสารกับ Router นาน จะถูกจัดลำดับให้ส่งข้อมูลทีหลังเครื่องที่มีความเร็วที่ดีกว่า *ส่วนใหญ่จะเป็นอุปกรณืรุ่นเก่าที่ใช้เวลานาน

Beamforming เทคโนโลยีการกระจายสัญญาณ Wi-Fi ให้มีประสิทธิภาพ

Wi-Fi AC 5400 รองรับอินเทอร์เน็ตความเร็ว 1 Gbps ได้อย่างสบายๆ เหลือๆ

Tri Band หรือ Router สามารถปล่อยคลื่นออกมาได้ถึง 3 ชุด (2.4 GHz * 1 / 5 GHz *2) ทำให้มีคลื่นเพียงพอในการใช้งานพร้อมกันแบบจัดหนักจัดเต็ม เช่น คุณพ่อจะดูวิดีโอ 4K ที่ Smart TV คุณนองจะเล่น PUBG Moblie ก็สามารถใช้งานได้พร้อมกัน โดยที่มีผลกระทบต่อกันน้อย

QoS ระบบจัดลำดับความสำคัญในการส่งข้อมูล เช่น จะเล่นเกมก็ปรับให้ Packet ของเกมมีความสำคัญมากที่สุด ทำให้ Ping น้อย ถึงแม้ว่าจะมีคนดู YouTube 1080P อยู่ก็ตาม

Built in Antivirus จากทาง Trend Micro หรือเรียกว่าเป็น Firewall รุ่นอัพเกรดก็ได้ โดยตัว Antivirus สามารถป้องกันการโจมตีจากภายนอกได้ และป้องกัน Malware จากอุปกรณ์ภายในได้เช่นกัน เช่นพวก Ransomeware ของแบบนี้มีไว้ดีกว่าไม่มี

Access Control จะมีหน้าที่คล้ายๆ Firewall คือ เป็นการอุนญาตให้ใครใช้ได้ หรือ ใช้ไม่ได้ เช่น ถ้ามีอุปกรณ์แปลกๆ เข้ามาในระบบ เราก็ทำการ Ban ทิ้งได้

Parental Controls เป็นระบบควบคุมการใช้งานของบุตร หลาน ที่จะสามารถกำหนดเวลาใช้งาน และ บล็อกข้อมูลที่ไม่ต้องการได้

Dual USB 3.0 Ports  รองรับการทำ Print Server ,Media Server และ File Sharing พร้อมหน่วยความจำภายใน 16 GB

VPN รองรับการทำ VPN Client และ VPN Server ในส่วนนี้จะเป็นการใช้งาน VPN ที่ปกติเราจะต้องใช้คอมพิวเตอร์ของเราในการเชื่อมต่อ VPN ซึ่งก็จะใช้งานได้แค่เครื่องของเราคนเดียวเท่านั้น แต่คราวนี้เราสามารถตั้งค่า VPN ได้ที่ Router เลย ทำให้ทุกเครื่องของเราใช้ VPN ได้ด้วยเลยทีนี้

TP-Link Cloud Service รองรับการใช้งาน Cloud Controller หรือเราจะอยู่ที่ไหนก็ได้บนโลกก็สามารถควบคุม TP-Link Archer C5400X ได้

รองรับการสั่งานด้วยเสียงผ่าน Amazon Alexa เราสามารถสั่งเปิด-ปิด Wi-Fi หรือคำสั่งอื่นๆ ผ่าน Amazon Alexa ที่เชื่อมต่อกับ Router ได้เลย

เรียกได้ว่าฟีเจอร์ที่ให้มานั้นเรียกได้ว่าจัดเต็ม ครบครัน สมเป็นรุ่นท็อป และด้วยประสิทธิภาพของ Hardware ระดับสูง ทำให้มันสามารถทำงานร่วมกับ Software ได้อย่างดีแน่นอน คือในค่ายเดียวกันก็คงจะไม่มีรุ่นไหนที่ดูจัดเต็มไปกว่านี้ละ

How to Setup / ขั้นตอนการติดตั้ง

ในส่วนนี้จะเป็นการแนะนำวิธีการติดตั้งอุปกรณ์แบบเบื้องต้นให้พร้อมใช้งาน รวมไปถึงการตั้งค่าบางส่วนที่น่าสนใจด้วย

  1. ขั้นตอนการติดตั้ง เมื่อเราเปิดกล่องออกมาแล้วให้นำอุปกรณ์ทั้งหมดออกมาก่อน
  2. เชื่อมต่อเสาสัญญาณเข้ากับตัว Router
  3. เชื่อมต่อ Power Adapter เปิดเครื่อง
  4. นำสาย LAN ของเดิมที่แถมมากับผู้ให้บริการมาเชื่อมต่อเข้ากับ Router ที่ผู้ให้บริการ และนำมาเสียบที่ช่อง WAN ของ Archer C5400X
  5. สามารถตั้งค่าผ่านสาย LAN หรือผ่านแอปพลิเคชันก็ได้
  6. สำหรับคอมพิวเตอร์ นำสาย LAN ที่อยู่ในกล่องมาเชื่อมต่อเข้าที่คอมพิวเตอร์ของเรา
  7. สำหรับแอปพลิเคชันให้ดาว์นโหลดได้ที่ iOS Android
  8. จากนั้รเข้าไปที่ tplinkwifi.net
  9. จากนั้นระบบจะให้ทำตามขั้นตอนการตั้งค่าไปเรื่อยๆ ในหน้า Quick Setup เช่น ตั้งรหัสผ่าน Wi-Fi ตั้งรหัสผ่าน Login
  10. อัพเดท Firmware
  11. เมื่อเสร็จขั้นตอนทั้งหมด ก็พร้อมให้งานทันที

สำหรับการติดตั้งผ่านแอปพลิเคชันในช่วงแรกจะต้องเปิด Bluetooth ในการติดตั้งด้วย ส่วนหน้าจอในการติดตั้งจะคล้ายๆ กับที่ทำบน PC แต่จะดูง่ายกว่าเพราะมีภาษาไทยมาให้ด้วย

 

การตั้งค่าต่อไปเป็นการเปิดใช้งานฟีเจอร์ Smart Connect ที่จะเป็นการทำให้ Wi-Fi หลายๆ ชื่อรวมเป็นชื่อเดียว และ Router จะเป็นผู้จัดการว่าเราเหมาะที่จะใช้แบบไหน ไม่ต้องมี Wi-Fi 2.4 ,Wi-Fi 5G_1 ,Wi-Fi 5G_2 ให้วุ่นวาย ผมคิดว่าควรที่จะเปิดฟีเจอร์นี้ไว้ เพราะง่าย ดี ไม่ต้องคิดมาก

  1. Login เข้าสู่ระบบ tplinkwifi.net ผ่าน PC เท่านั้น
  2. เลือกที่แท็บ Advanced
  3. หัวข้อ Wireless
  4. เลือกที่  Wireless Setting
  5. ที่หัวข้อ Smart Connect กดเปิด
  6. ที่หัวข้อ Airtime Fairness ก็ให้ทำเครื่องหมายถูกด้วย
  7. กดปุ่ม Save

ความหมายของไฟ LED สีต่างๆ 

  • สีขาว : ระบบทำงานปกติ
  • สีแดง : ขาดการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต
  • สีส้มกระพริบ : ระบบกำลังเริ่มต้นการทำงาน
  • สีส้ม : ระบบทำงานปกติ แต่ปิด Wi-Fi
  • สีขาวกระพริบ : ห้ามปิดเครื่อง กำลังอัพเดท Firmware , กำลังเชื่อมต่อ WPS , Router กำลังอยู่ในขั้นตอนรีเซ็ต

หมายเหตุ ตอนที่ทำการรีวิวฟีเจอร์ TP-link Cloud เกิดปัญหาการใช้งานในเรื่องการ Login ทำให้จากเปกติที่เรา Login เข้า Router ผ่านรหัสผ่านที่เราเป็นคนกำหนด แต่ถ้าหากเราผูก Router เข้ากับบัญชี TP-Link Cloud ระบบจะเปลี่ยนการ Login เป็น TP-Link ID แทน ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ เมื่อเรา Login ด้วยบัญชี TP-Link ระบบจะไม่มีการตอบสนองใดๆ กลับมาเลย ทำให้ Login เข้าไปหน้าตั้งค่า Router ไม่ได้

วิธีแก้ไขคือ ให้ยกเลิกการผูกบัญชี TP-Link Cloud ไปก่อน ผ่านแอปพลิเคชันในมือถือ ในหัวข้อเครื่องมือ TP-Link ID ก็จะสามารถกลับมา Login ผ่านหน้าเว็บได้ตามปกติ ส่วนถ้าต้องการใช้งานฟีเจอร์นี้ก็ให้กลับมาผูกบัญชี TP-Link Cloud เหมือนเดิม ในส่วนของการใช้งานส่วนนี้คงต้องรอการอัพเดท Patch แก้ต่อไปในอนาคตนะครับ

Software 

TP-Link Archer C5400X มาพร้อมกับ UI Interface แบบใหม่จากทาง TP-Link ที่ดูสวยงาม เรียบง่าย และมินิมอล ทำให้ดูใช้ง่ายกว่า UI Interface รูปแบบเดิมๆ ที่เราคุ้นเคยกันใน Router ปกติ และในส่วนของแอปพลิเคชันที่ใช้งานง่าย และได้คัดฟีเจอร์ที่น่าจะใช้บ่อยมาอยู่ในหน้าแรกๆ คือขนาดผมที่คุ้นเคยกับอะไรที่ยากๆ มากก็ยังไม่รู้สึกขัดใจเลย

โดยเราจะเริ่มกันที่การตั้งค่าผ่าน PC กันก่อน ขั้นตอนแรกให้เข้าไปที่ tplinkwifi.net

Basic สำหรับแท็บนี้มีไว้สำหรับการใช้งานที่ไม่มีความซับซ้อนมาก โดยที่หน้าแรก Network Map จะเป็นหน้าที่แสดงการเชื่อมต่อของอุปกรณ์คร่าวๆ ในรูปแบบของภาพกราฟฟิกที่เข้าใจง่าย

Internet จะเป็นหน้าที่แสดงรายละเอียดการเชื่อมต่อกับ Router ผู้ให้บริการ

Wireless จะเป็นหน้าสำหรับการตั้งค่า เปิด-ปิด Wi-Fi การเปลี่ยนชื่อ Wi-Fi หรือการตั้งรหัสผ่าน Wi-Fi

USB Sharing เป็นหน้าสำหรับตั้งค่าการใช้งาน File Sharing และ Print Server

Home care เป็นหน้าสำหรับการตั้งค่า Parental Controls ,QoS , Anti Virus ในส่วนของรายละเอียดจะขอยกไปพูดในหัวข้อของ Advanced

Guest Network จะเป็นหน้าสำหรับการตั้งค่า เปิด-ปิด Wi-Fi เปลี่ยนชื่อ SSID และรฟัสผ่าน สำหรับ Guest Network

TP-Link Cloud จะเป็นหน้าสำหรับการตั้งค่าบัญชี TP-Link ID

Advanced จะเป็นหน้าตั้งค่าที่ดูมีความซับซ้อนขึ้นมาอีกสเต็ปหนึ่ง แต่ก็จะคล้ายๆ กับหน้า Basic ไม่ได้ยากจนเกินไป แค่มีหัวข้อการตั้งค่าเพิ่มขึ้น

Status จะเป็นหน้าที่สรุปสถานะการทำงานทุกอย่างของอุปกรณ์ มีความคล้ายกับหน้า Network Map แต่จะเป็นตัวหนังสือแทน

Network จะเป็นหน้าที่ใช้ตั้งค่าเกี่ยวกับ การรับอินเทอร์เน็ตเข้า ,IP Address ในวง LAN ,DHCP , DNS และการทำ Routing

Operation Mode จะเป็นการตั้งค่าลักษณะการทำงานของ Router แต่ตั้งไว้เป็น Router น่าจะดีที่สุด เพราะสามารถใช้งานฟีเจอร์ได้ครบๆ

Wireless ในส่วนนี้จะเป็นการตั้งค่าระบบไร้สายทั้งหมด รวมไปถึง WPS และการตั้งเวลา เปิด-ปิด Wi-Fi ซึ่งถ้าใครตั้งค่าไม่ถูกก็สามารถทำตามได้ในภาพเลยนะครับ แค่เปลี่ยนชื่อ SSID กับรหัสผ่านก็พอ

Guest Network จะมีหน้าตาคลายๆ กับที่ได้อธิบายไปแล้ว

USB Sharing เป็นหน้าสำหรับตั้งค่าการใช้งาน File Sharing ,Print Server และจะมีหัวข้อ Time Machine เพิ่มเข้ามาด้วย

Parental Controls จะเป็นหน้าตั้งค่าการควบคุม การใช้งานของบุตร หลาน เช่นเวลาการใช้งาน หรือ การป้องกันเนื้อหาบางประเภท ในการตั้งค่าใช้งานจะเป็นการสร้าง Profile ขึ้นมา และนำอุปกรณ์ที่ต้องการไปใส่ ส่วนการตั้งค่าเนื้อหาที่ต้องการกรองออก ก็ทำได้ง่าย มีหัวข้อเป็น Preset เตรียมไว้แล้ว ไม่ต้องมานั่งกรอกทีละเว็บไซต์

QoS จะเป็นการตั้งค่าการจัดลำดับความสำคัญของการใช้งาน โดยจะแบ่งเป็นประเภทของการใช้งาน หรือ จะกำหนดเป็นเครื่องก็ทำได้ ส่วนของผมขอเป็นแบบกำหนดเองละกัน ใครจะนำไปใช้ก็ได้นะครับ

Security ในส่วนนี้จะเป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่มีเพิ่มขึ้นมาจาก Router ปกติทั้ง Antivirus ,Firewall ,Access Control และ IP & MAC Binding

  • ในส่วนของ Antivirus จากทาง Trend Micro จะมีหัวข้อที่สามารถป้องกันได้ดังนี้ การป้องกันเว็บไซต์อันตราย ,ป้องกันการโจมตีจากภายนอก และภายใน เช่นพวก DDOS หรือ Ransomware ผมคิดว่าถ้าไม่คิดอะไรมากก็เปิดไว้ให้หมดนี่ละครับ
  • Access Control จะมีไว้ใช้บล็อคอุปกรณ์แปลกปลอมที่แอบเข้ามาใช้อินเทอร์เน็ตของเรา
  • IP & MAC Binding  หากใครที่เรียนด้าน Network มาคงจะพอคุ้นกับโปรโตคอล ARP กันบ้างใช่ไหมละครับ ซึ่งมันก็มีจุดอ่อนอยู่ แต่ยังไงเราก็ต้องใช้มันอยู่ดี ฟีเจอร์นี้จะเป็นการป้องกันการโจมตีแบบ ARP Spoofing

NAT Forwarding จะเป็นหน้าสำหรับการทำ NAT รูปแบบต่างๆ เช่น VPN ,Port Forwarding ,DMZ ,UPnP และรองรับ IPv6 ด้วย

VPN Server จะเป็นหน้าสำหรับตั้งค่า VPN ทั้งใช้เป็นหน้าที่เป็น Client และ Server

System Tools จะเป็นหน้าตั้งค่าทั่วไป เช่น การตั้งเวลา ,การ Backup & Restore ,การตั้งค่ารหัสผ่าน และที่ผมชอบคือ หัวข้อ Diagnostics ที่ใช้ Router เราทำการ Ping หรือ Traceroute ได้เลยโดยไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ คนที่เรียน Network มาน่าจะชอบเลย เพราะมันเอาไว้ตรวจสอบหลายๆ อย่างได้

Mobile Application นอกจากการตั้งค่าผ่าน PC แล้ว TP-Link Archer C5400X ยังรองรับการตั้งค่าผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนด้วย โดยในแอปพลิเคชันจะเป็นการคัดเฉพาะคำสั่งที่คิดว่าใช้งานบ่อย หรือมีความสำคัญมาให้ใช้งาน ซึ่งก็อาจจะไม่ครบทั้งหมด แต่แค่นี้ก็เยอะแล้ว

หน้าแรก จะเป็นหน้าที่แสดงอุปกรณ์ที่ใช้งาน ความเร็วอินเทอร์เน็ต และรหัสผ่าน Wi-Fi  ในรูปแบบของภาพกราฟฟิกที่เข้าใจง่าย และมีความคล้ายกับหน้า Network Map บน PC

เครื่องลูกข่าย จะเป็นหน้าที่แสดงรายชื่อของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออยู่ และสามารถตั้งค่าความสำคัญของอุปกรณ์เหมือนในหัวข้อ QoS ได้ด้วย

การดูแลภายใน เป็นหน้าสำหรับการตั้งค่า Parental Controls ,QoS , Anti Virus เหมือนกับใน PC

เครื่องมือ จะเป็นหน้าสำหรับหัวข้อการตั้งค่าอื่นๆ เช่น การติดตั้งแบบเร่งด่วน เหมือนในตอนแรก ,ไวเลส สำหรับตั้งค่าชื่อ Wi-Fi และรหัสผ่าน ,Guest Network และที่ผมคิดว่าเป็นทีเด็ดเลยก็คือ แบ่งปัน Wi-Fi ที่เป็นแบบ QR Code ใช้ง่าย

ในส่วนของภาพรวมของ Software คิดว่าไม่มีอะไรที่ขัดใจ ใช้งานง่าย หลากหลาย ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้าน Network มากก็ทำได้ หรือ ถ้าจะตั้งค่าขั้นสูงก็ทำได้เช่นกัน แต่สิ่งที่ผมว่ามันขาดไปคือความเป็น Gaming ไหนๆ ก็ชูโรงด้านความเป็น Gaming แล้ว น่าจะให้ธีม ที่ดูดุดันมากกว่านี้

ฟีเจอร์ที่ทำให้ผมรู้สึกถึงความเป็น Gaming คือ QoS เพียงอย่างเดียว ส่วนฟีเจอร์อื่นๆ ยังไม่ค่อยมีความชัดเจนใน Gaming สักเท่าไหร่

Performance Test / การทดสอบประสิทธิภาพ

ในหัวข้อนี้จะเป็นการทดสอบประสิทธิภาพจาการใช้งานจริงของ TP-Link Archer C5400X โดยจะแบ่งเป็นการทดสอบเล่นเกม ,การทดสอบเล่นเกมพร้อมกับการดู Streaming และการทดสอบระยะของสัญญาณ Wi-Fi

สิ่งที่ TP-Link Archer C5400X มีความได้เปรียบกว่า Router ทั่วไป คือ มาพร้อมกับ Wi-Fi AC5400 และ Port LAN Gigabit รองรับอินเทอร์เน็ตความเร็วระดับ 1Gbps ได้สบายๆ ก็ Bandwidth รวมมันตั้ง 5.4 Gbps CPU+RAM ที่เยอะกว่าทำให้รองรับการใช้งานของอุปกรณ์ได้พร้อมกันมากกว่า

ทดสอบเล่นเกม พบว่าค่า Ping เกม DOTA 2 อยู่ที่ไม่เกิน 30 ms และค่า Ping เกม Overwatch อยู่ที่ 40 – 50 ms เรียกได้ว่าแทบไม่ต่างกับการใช้ Router ที่แถมมากับผู้ให้บริการ

แต่สิ่งที่สังเกตได้อย่างหนึ่งเลย คือ อัตตราการขึ้น-ลงของค่า Ping พบว่ามีอาการลดลงเยอะมาก เปรียบเทียบกับ Router ที่แถมมากับผู้ให้บริการ เวลาเล่นเกม ถ้ามีใครดู Youtube จะมีอาการกระตุก Ping พุ่ง อย่างรู้สึกได้ทันที ซึ่งอาจจะไปกระตุกตอนจังหวะสำคัญ ทำให้หัวร้อนได้เลยทีเดียว แต่หลังจากใช้ TP-Link Archer C5400X พบว่าก็ยังมีอาการบ้าง แต่ลดลงเยอะ เหลือไม่เกิน 60 ms ซึ่งก็ถือว่ายังพอเล่นได้

การทดสอบถัดไปจะเป็นการทดสอบ QoS โดยจะใช้โน๊ตบุ๊ค และสมาร์ทโฟนดูถ่ายทดสด Streaming พร้อมกัน 4 เครื่อง ความละเอียด 1080p และให้เครื่องหลักเล่น Dota 2 ไปด้วย สำหรับอินเทอร์เน็ตที่มีใช้ความเร็ว 30/5 Mbps ได้ผลการทดสอบดังนี้

ใช้งาน QoS แบบ Standard พบว่าค่า Ping อยู่ที่ 30-150 ms ขึ้นไป ซึ่งถือว่าเยอะมาก และมีการแกว่งขึ้นลงอยู่ตลอด เล่นเกมแล้วรู้สึกกระตุกอย่างเห็นได้ชัด

ใช้งาน QoS แบบ Gaming แล้วพบว่า Ping อยู่ที่ประมาณไม่เกิน 30 ms และอาการขึ้นลงค่า Ping ลดลงจนแทบจะหายไปเลย เล่นเกมได้ลื่นมาก ในขณะที่เครื่องอื่นๆ ก็ยังดูถ่ายทอดสดได้อย่างปกติ

ส่วนคุณภาพของสัญญาณ Wi-Fi จากที่ทำการทดสสอบมาพบว่าก็เล่นเกมอย่าง ROV หรือ PUBG Mobile ได้อย่างลื่นไหล ค่า Ping เป็นสีเขียวตลอด แม้ว่าจะนั่งเล่นอยู่ที่ห้องอื่นในบ้านก็ตาม

สำหรับระยะของสัญญาณ Wi-Fi ถือว่ามีกำลังส่งที่แรงกว่า Router รุ่นอื่นๆ เท่าที่เคยทดสอบมา โดยในการทดสอบได้ทำการใช้แอพ Wi-Fi Analyzer เดินสำรวจบริเวณต่างๆในบ้าน เช่น ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องนอน 2 (Router อยู่ห้องนอน 1) พบว่าในพื้นที่เดียวกันจะมีสัญญาณที่แรงกว่า และทะลุทะลวงผ่านกำแพงได้ดีกว่า

จากในภาพ จะเห็นว่ามี Access Point ตัวอื่นใกล้ๆ ด้วย ซึ่งจะเห็นว่าในบางพื้นที่นั้น คลื่น 5 GHz ชุดแรกโดนรบกวนเต็มๆ แต่ TP-Link Archer C5400X มีคลื่นอยู่ 2 ชุดซึ่งอีกชุดไม่โดนรบกวน จึงไม่เป็นปัญหาในการใช้งาน

ส่วนที่เป็นข้อสังเกตคงจะเป็นเรื่องของความร้อนที่รู้สึกได้ ตอนเวลาใช้งานหนักๆ คือร้อนกว่า Router ที่แถมมากับผู้ให้บริการ และร้อนกว่า Router รุ่นอื่นๆ ที่เคยทดสอบมา ในส่วนนี้แก้ไขได้ด้วยการนำพัดลม USB ขนาดเล็กมาใช้งานร่วมกัน ผ่านช่อง USB พอใช้แล้วช่วยลดความร้อนไปได้เยอะมากๆ

ในส่วนของการทดสอบประสิทธิภาพผมคิดว่าไม่มีปัญหา ทำได้ดี ทั้งในส่วนของการใช้งานทั่วไป หรือ การเล่นเกม ที่ตอบสนองทุกคนภายในบ้านได้อย่างทั่วถึง และหมดปัญหาไปได้เยอะเวลาเล่นเกมแล้วหัวร้อนจากการที่คนข้างๆ ดู YouTube 1080p

สรุป  

TP-Link Archer C5400X  เป็น Router ที่มีประสิทธิภาพสูงมากอีกรุ่นเลยก็ว่าได้ ด้วยสเปคระดับเทพ(มาก) ดีไซน์ที่ดุดัน แข็งแรง Interface การเชื่อมต่อที่หลากหลายทั้ง Wi-Fi AC5400 ,Gigabit LAN 8 Port ,Bluetooth เหลือเฟือเพียงพอสำหรับใช้งานระดับ 30 เครื่องขึ้นไปได้แน่นอน เสาอากาศกำลังส่งสูงขนาดใหญ่ที่จัดมาให้มากถึง 8 เสา ซึ่งถือว่าเยอะมาก รองรับการใช้งานได้พร้อมกันหลายเครื่อง เรียกว่าแค่ดีไซน์ก็กินขาดแล้วในความเป็นตัวท็อป

ส่วนที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือฟีเจอร์ที่จัดมาให้เยอะ ครบครัน ใช้ง่าย ตั้งแต่ระดับผู้ใช้งานทั่วไป จนถึงระดับผู้ดูแลระบบเลย ตัวซอฟต์แวร์ที่มีหน้าตาดูดี มินิมอล เป็นมิตรกับผู้ใช้ และมีแอปพลิเคชันสำหรับการตั้งค่าโดยเฉพาะด้วย ใช้งานสะดวก เหมาะสมกับเป็น Router ยุค 2018 และสิ่งที่ชอบที่สุดในส่วนของซอฟต์แวร์ คือ QoS ที่ใช้งานได้ดี ทำงานได้จริง ช่วยให้การเล่นเกมทำได้ดีขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีคนอื่นใช้งานอินเทอร์เน็ตด้วยก็ตาม

ในเรื่องของประสิทธิภาพเรียกว่าหายห่วง ทั้ง Tri-Band Wi-Fi  ,Gigabit Wi-Fi ,Gigabit LAN ทำให้รองรับอินเทอร์เน็ตความเร็วระดับ  1 Gbps ได้อย่างสบายๆ รวมไปถึงฟีเจอร์ที่มีความใส่ใจเรื่องความปลอดภัยกับผู้ใช้อย่าง Antivirus ทำให้เราปลอดภัยมากขึ้นอีกระดับนึง เพราะปกติในสมาร์ทโฟนเราก็ไม่ค่อยจะลง Antivirus กันอยู่แล้ว ส่วน PC ลงไว้ก็ดีนะครับ

สิ่งที่ยังรู้สึกว่ายังขาดไปใน TP-Link Archer C5400X คงจะเป็นในเรื่องของความเป็น Gaming ของซอฟต์แวร์ และ ฟีเจอร์เพื่อคอเกมมีมาให้น้อยไปหน่อย ส่วนดีไซน์คงไม่ต้องพูดถึง ดุดัน Gaming อยู่แล้ว

หากใครกำลังมองหา Router ประสิทธิภาพสูงที่ซื้อมาใช้งานแล้วจบ ใช้งานง่าย รองรับอนาคตได้ยาวๆ และรองรับความเร็วอินเทอร์เน็ตได้สูงถึง 1 Gbps TP-Link Archer C5400X ก็น่าสนใจไม่น้อย สำหรับใครที่อัพเกรดอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงมากๆ แล้วก็ควรที่จะหาอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพเพียงพอกับการใช้งาน และความเร็วอินเทอร์เน็ตมาใช้งานด้วย จะทำให้เราใช้งานได้อย่างเต็มที่นะครับ

ข้อดี

  • ดีไซน์ดุดัน
  • สเปค และฟีเจอร์ ที่ให้มาในระดับสูงสุดของค่าย
  • Wi-Fi AC 5400 รองรับอินเทอร์เน็ตระดับ 1 Gbps ได้สบายๆ
  • MU-MIMO รองรับการสื่อสารพร้อมันหลายอุปกรณ์
  • ระยะสัญญาณ Wi-Fi ไกล
  • Port LAN แบบ Gigabit 10/100/1000
  • มีระบบ UI Interface ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้
  • มีแอปพลิเคชันเฉพาะสำหรับตั้งค่า
  • มี Antivirus ในตัว
  • QoS ที่ใช้งานได้จริง
  • ระยะเวลาการรับประเกัน Lifetime

ข้อสังเกต

  • ราคาสูง
  • ความร้อนที่รู้สึกได้
  • ความเป็น Gaming ที่อาจจะน้อยไปหน่อย
  • ไฟแสดงสถานะการทำงานมีแค่ดวงเดียว
  • บัค Software จิปาถะ

ราคาประมาณ : 13,900 บาท

from:https://notebookspec.com/review-tp-link-archer-c5400x-gaming-router/457063/

Razer – เปิดตัว SILA Gaming Router ที่มาพร้อมกับ Mesh Wi-Fi และ QoS สำหรับคอเกม

ในช่วงที่ผ่านมาเราคงจะเคยเห็น Gaming Router กันไปบ้างแล้ว โดยผู้ผลิตส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ Network อยู่แล้ว และหันมาทำด้าน Gaming บ้าง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่กระแสของ Gaming ไปถึงอุปกรณ์อย่าง router แล้ว แต่ในวันนี้หนึ่งในแบรนด์ผู้ทำให้ผลิต Gaming Gear อย่าง Razer หันมาทำอุปกรณ์ Network บ้างจะเป็นอย่างไร

ได้มีการพบข้อมูลผลิตภัฑณ์ใหม่จากทาง Razer บนเว็บไซต์ของทาง Razer เอง โดยมีชื่อว่า SILA Gaming Router ที่มีดีไซน์ที่เป็นสไตล์ Razer เอง โดยจะมีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมเหมือนกับเครื่องเล่น Home theater หรือ PS4 ไม่มีเสาอากาศภายนอก และด้านหลังมาพร้อมกับพอร์ต LAN 4 ช่อง และ USB จำนวน 2 ช่อง

Wi-Fi 5 GHz ที่เคลมว่าแรงใช้งานได้เล่นเกมดีไม่มีสะดุดแน่นอน ส่วนฟีเจอร์ที่น่าสนใจคงจะเป็นเรื่องของ Mesh Wi-Fi และ QoS โดยที่ปกติแล้ว Mesh Wi-Fi จะไม่ค่อยอยู่ใน Gaming Router ส่วน QoS ที่ทาง Razer เรียกว่า FASTRACK ก็มีมาให้ใช้งานด้วย เพื่อให้เล่นเกมได้ลื่นขึ้น Ping ต่ำ เนื่องจากทำให้ Packet เกมได้ไปก่อน เรียกได้ว่าถ้าขาดฟีเจอร์นี้ไปคงไม่ใช่ Gaming Router

 

นอกจากนี้ยังรองรับการสั่งงานผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนด้วย สรุป Razer SILA ในภาพรวมก็จะคล้ายๆ กับ Gaming Router รุ่นอื่นๆ ในตลาด ส่วนราคาอยู่ที่ประมาณ 8,000 บาท วางจำหน่ายแล้วทั่วโลก ส่วนประเทศไทยยังไม่มีข้อมูลการนำเข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ คงต้องรอกันอีกสักพักนึง

ที่มา theverge razer 

from:https://notebookspec.com/razer-sila-gaming-router-wifi-mesh-networking-pricing-release-date/457595/

Buyer’s Guide – แนะนำวิธีการใช้อินเทอร์เน็ต 4G ต่อคอม ต่อโน้ตบุ๊คเล่นเน็ต ให้เหมือนใช้เน็ตบ้าน แต่ราคาเบา

ในยุคที่อินเทอร์เน็ตแบบ 4G LTE มีพื้นที่คลอบคลุมทั่วประเทศมากกว่าอินเทอร์เน็ตแบบสาย (เน็ตบ้าน) เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านสภาพภูมิประเทศ รวมไปถึงข้อจำกัดด้านการจัดการพื้นที่ส่วนกลาง ทำให้อินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย 4G สามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่า และถ้าถามว่าอินเทอร์เน็ตแบบไหนมีความสเถียรมากกว่ากัน

ก็ต้องตอบว่าอินเทอร์เน็ตบ้านจะสเถียรกว่า แต่ก็มีต้นทุนในเรื่องของสายสัญญาณ และ ข้อจำกัดต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้บางบ้าน ไม่สามารถใช้งานได้ วันนี้เราจะมานำเสนอวิธีที่ทำให้เราเล่นอินเทอร์เน็ตได้แบบไม่ต้องง้อเน็ตบ้านส่วนจะเป็นอย่างไรไปดูกัน

ถ้าเราใช้อินเทอร์เน็ตบ้านไม่ได้เราก็ต้องย้ายมาใช้อินเทอร์เน็ตแบบ 4G อย่างที่ทุกคนทราบกันว่าราคาอินเทอร์เน็ตแบบ 4G มีราคาที่ถูกลงมากกว่าแต่ก่อน ทำให้เราเห็นโปรโมชันเน็ตไม่อั้น ความเร็วต่างๆ ออกมาเพียบ จึงเป็นหนึ่งในทางออก ที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้ แต่ก่อนจะไปดูต้องพูดถึงเหตุผลว่าเราติดอินเทอร์เน็ตบ้านทำไม 1.มีราคาที่ถูกกว่า 2.สามารถใช้งานโดยไม่ต้องกังวลเรื่อง Data 3.มีความสถียรที่ดีกว่า 4.มี Latency ที่ดีกว่า และอีกมากมาย แต่บางพื้นที่ก็ใช้งานไม่ได้

ซึ่งถ้าหากไม่มีทางเลือกจริงๆ อินเทอร์เน็ตแบบ 4G ไม่อั้น ความเร็วคงที่ก็น่าสนใจไม่ใช่น้อย เพราะ 1.เราสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องกังวลว่า Data จะหมดหรือไม่ ทำให้เราดูหนังออนไลน์ โหลดบิต โดยไม่ต้องกังวลว่าซิมจะถูกตัด 2.ราคาไม่ได้แพงอย่างที่คิด 3.ความเร็วในระดับพอใช้ ซึ่งเหมาะมากสำหรับครที่อยู่หอพัก หรือคอนโด ที่มี Wi-Fi ของตึกไม่ดี รวมไปถึงพื้นที่ที่อินเทอร์เน็ตแบบสายเข้าไม่ถึง

โดยในวันนี้เรามีโปรโมชันจากทางสองค่าย โดยได้เลือกจากที่มีราคาคุ้มค่า และไม่มีข้อจำกัดการใช้งาน รวมไปถึงมีพื้นที่คลอบคลุมมาก และคุณภาพสัญญาณที่ดี แต่อย่างหลังนี้ก็แล้วแต่พื้นที่ มาฝากกันด้วย

โปรโมชันแนะนำ

1.True ซิมเทพ เน็ตไม่อั้น ความเร็ว 4Mbps ไม่จำกัด 4G Unlimited นาน 12 เดือน ราคา 1200-1500 บาท

2. AIS ซิมเน็ต มาราธอน 2,500 บาท (เน็ตไม่อั้นเร็ว 4 Mbps นาน 12 เดือน)

วิธีการนำไปใช้งาน

เมื่อเรามีแหล่งที่มาของอินเทอร์เน็ตแล้ว ต่อไปเราก็ต้องหาอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้กับมัน โดยอุปกรณ์ที่ผมจะนำเสนอในวันนี้มีตั่งแต่ใช้งานง่าย ไปจนถึงใช้งานยาก แล้วแต่เพื่อนๆ จะเลือกได้เลย

1.สมาร์ทโฟนเพียวๆ มีข้อดีคือง่าย ส่วนข้อสังเกต คือตัวสมาร์ทโฟนจะทำงานตลอด ทำให้มีความร้อนสะสม อาจทำให้อุปกรณ์มีอายุสั้นลงได้ และถ้าใช้กระจายสัญญาณ Wi-Fi ตัวสมาร์ทโฟนมีเพียงเสาอากาศขนาดเล็กเท่านั้น ทำให้กำลังส่ง รวมไปถึงประสิทธิภาพเป็นรองวิธีอื่นอยู่มาก

2.Air card เป็นวิธีที่คลาสสิกที่สุดเลยก็ว่าได้หากต้องการใช้อินเทอร์เน็ตแบบไม่ใช้ Wi-Fi กับอุปกรณ์โน๊ตบุ๊ค สำหรับวิธีนี้มีข้อดี คือง่าย แต่ใช้ได้เพียงเครื่องเดียว ทำให้อาจจะไม่สะดวกเมื่อต้องการใช้งานหลายเครื่อง และถ้าไปเลือกซื้อก็ควรเลือกที่เป็น 4G Air card

3.Pocket Wi-Fi เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจเนื่องจากมีราคาไม่แพง และมีประสิทธิภาพที่ใช้ได้ ตัวอุปกรณ์ถูกออกแบบมาให้ทำงานด้านนี้โดยเฉพาะ แต่ก็มีข้อสังเกตอยู่บ้าง เช่น เรื่องจำนวนเครื่องที่รองรับ และ แบตเตอรี่ที่ต้องชาร์จ รวมไปถึงบางรุ่นไม่รองรับการปล่อยคลื่นความถี่ Wi-Fi 5 GHz ซึ่งถ้าต้องการความสามารถทั้งหมดแบบครบๆ อุปกรณ์จะมีราคาที่สูง

4.4G Router เป็นอีกทางเลือกที่คล้ายกับ Pocket Wi-Fi ซึ่งในราคาเท่ากันจะได้ประสิทธิภาพเพิ่มมากกว่า แต่ก็แลกกับการที่ไม่มีแบตเตอรี่ และพกพาออกไปข้างนอกไม่ได้ ส่วนราคามีตั้งแต่ 1000 – 2000 บาท ไปจนถึงหลักหมื่น ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ถ้าไม่ได้ใช้เป็น 4G Router ก็สามารถนำไปใช้เป็น Access Point ในภายหลังได้ด้วย

5. Aircaard + Router วิธีนี้จะมีความคล้ายกับการใช้ 4G Router แต่จะเป็นวิธีการที่เก่ากว่า และต้องใช้ความรู้ด้าน Network ด้วย ซึ่งมีข้อดีคือ สามารถนำอุปกรณ์หลายๆ อย่างมีประยุกต์ใช้งานร่วมกันได้ เช่นการนำของเก่ามาใช้ร่วมกันได้ หรือการ Custom Spec ได้ตามใจต้องการ

6.โน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ที่รองรับการใส่ซิม วิธีการนี้เป็นวิธีการแบบใหม่ สำหรับโน๊ตบุ๊คสายพกพา หรือสายทำงานเฉพาะทาง ทำให้ตัวเครื่องสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้โดยไม่ต้องพึ่ง Wi-Fi รวมไปถึงกระจายสัญญาณให้กับเครื่องอื่นได้ด้วย เมื่อใช้งานร่วมกับฟีเจอร์ Hotspot ใน Windows 10

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับวิธีการใช้อินเทอร์เน็ต โดยวิธีการที่นำมานำเสนอในวันนี้ เป็นวิธีการแก้ปัญหาสำหรับใครที่ต้องการจะมีอินเทอร์เน็ตใช้ ในพื้นที่ที่อินเทอร์เน็ตบ้านเข้าไม่ถึง ซึ่งในตอนนี้ราคาของอินเทอร์เน็ตแบบ 4G ก็มีราคาถูกลงมากแล้ว และเมื่อนำมาประเมิณค่ายใช้จ่ายเป็นราคาต่อเดือนก็พบว่าไม่ได้แพงอย่างที่คิด แต่อาจจะไปแพงที่ค่าอุปกรณ์ในส่วนนี้ก็แล้วแต่เพื่อนๆ จะจัดสรรกันนะครับ ส่วนครั้งหน้าจะมีเทคนิคอะไรเกี่ยวกับการใช้งานอินเทอร์เน็ตมาฝากกันอีกก็รอติดตามกันได้เลย

ภาพ true AIS dtac huawei Netgear

from:https://notebookspec.com/tips-how-to-use-4g-likely-fiber-optic/445519/

Buyer’s Guide – แนะนำวิธีการเลือกซื้อ Wireless Router ยังไงให้คุ้มค่า พร้อมวิธีดูสเปคขั้นพื้นฐาน ประจำปี 2018

หลายคนเวลาที่กำลังจะเลือกซื้อ Router สักตัว เมื่อไปถึงร้านแล้วไม่รู้จะเลือกตัวไหนดี และคงมีคำถามมากมายเช่น รุ่นนี้ดียังไง ตัวอักษรที่อยู่บนกล่องมากมายหมายความว่าอะไร ฟีเจอร์มันทำอะไรได้ และที่สำคัญเลยคือ “ควรซื้อสเปคประมาณไหน ราคาเท่าไหร่” วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจกัน โดยที่จะเน้นให้เข้าใจง่าย และพูดถึงรายละเอียดที่ควรรู้เท่านั้น

ต้องข้อขอเกริ่นก่อนว่าเดียวนี้ทุกบ้านก็มี Wi-Fi เป็นของตัวเองกันหมดแล้ว และตอนที่ติดตั้งอินเทอร์เน็ตในตอนแรกทางผู้ให้บริการก็มักจะแถม Router มาให้ด้วย และมันก็สามารถกระจายสัญญาณ Wi-Fi ได้ด้วย เมื่อเวลาผ่านไปอุปกรณ์ในบ้านเราเพิ่มมากขึ้น (อย่างน้อยก็คนละสองชิ้นละ) แต่ Router ที่ผู้ให้บริการแถมมา ไม่ได้มีประสิทธิภาพที่ดีขนาดนั้น ทำแค่พอทำงานได้ (เขาถึงแถมให้ฟรีไง) รองรับการใช้งานพร้อมกันได้ประมาณ 20 เครื่อง คือถ้าเกินจะเริ่มออกอาการ เริ่มอืด เริ่ม error เพราะมันทำงานไม่ไหวแล้ว

และที่สำคัญที่สุดเลยคือ Router ที่แถมมามักจะกระจายสัญญาณ Wi-Fi ได้แค่คลื่นความถี่ 2.4 GHz ทำให้เกิดปัญหาบนคลื่นความถี่ 2.4 GHz ในเรื่องของคลื่นรบกวน เพราะทุกบ้านมี Router Wi-Fi ที่แถมมากับผู้ให้บริการ ดังนั้นทุกบ้านจึงปล่อยสัญญาณ Wi-Fi คลื่นความถี่ 2.4 GHz ทำให้สัญญาณรบกวนซึ่งกันและกันเอง (ดูได้จากภาพ) ดังนั้นเราควรที่จะนำ Wireless Router ที่รองรับคลื่นความถี่ 5 GHz มาใช้งาน เมื่อดูจากภาพจะพบว่ามีจำนวน Wireless Router ที่กระจายสัญญาณ 5GHz น้อยกว่ามาก และมีความกว้างของ Channel มากกว่า ทำให้ลดปัญหาในเรื่องสัญญาณรบกวน จึงเป็นที่มาของการซื้อ Wireless Router อีกตัวมาเสริม และคำถามต่อมาคือเลือกซื้อยังไงดี วันนี้เราก็มีวิธีการเลือกซื้อ Wireless Router แบบง่ายๆ มาฝากกันด้วย

คลื่นความถี่ที่รองรับ 2.4 GHz หรือ 5 GHz

คลื่นความถี่ที่ใช้ใน Wi-Fi จะมีทั้งหมด 2 คลื่นความถี่ด้วยกัน ประกอบไปด้วยคลื่น 2.4 GHz และคลื่น 5 GHz ส่วนข้อแตกต่างระหว่าง คลื่น 2.4 GHz และคลื่น 5 GHz จะเป็นเรื่องของความเร็ว และความกว้างของช่องสัญญาณ นอกจากนี้ยังมีในเรื่องของสัญญาณรบกวนอีกด้วย โดยเราจะทำการเปรียบเทียบระกว่าง 2 คลื่นความถี่ให้เห็นกันไปเลยว่าคลื่นไหนมีข้อดี ข้อเสียอย่างไร

  • คลื่นความถี่ 2.4 GHz จะเป็นคลื่นความถี่ที่ใช้กันมานานแล้ว โดยมีข้อดีที่ส่งได้ระยะทางไกล ตามหลักของคลื่นวิทยุ แต่มีความเร็ว ที่น้อยกว่าคลื่นความถี่ 5 GHz อยู่มาก เนื่องจากความกว้างของช่องสัญญาณที่น้อยกว่า ทำให้ถูกสัญญาณรบกวน รบกวนได้มากกว่า
  • คลื่นความถี่ 5 GHz เป็นคลื่นความถี่แบบใหม่ โดยมีข้อดีที่มีความกว้างของช่องสัญญาณที่มากกว่า ทำให้ได้ความเร็วที่มากกว่าและถูกรบกวนได้น้อยกว่า แต่ระยะทางของคลื่นจะสั้นกว่าคลื่นความถี่ 2.4 GHz

คลื่นรบกวนคืออะไร? คิดง่ายๆ สัญญาณรบกวนคือ สัญญาณ Wi-Fi จาก Wireless Router หรือ Access Point ตัวอื่นที่กระจายสัญญาณอยู่ใน Channel ที่ใกล้กับ Channel ที่เราใช้ หากพูดง่ายๆ มันคือความกว้างของช่องสัญญาณ เปรียบเสมือนขนาดห้องที่ให้คนเข้าไปอยู่ โดยที่คลื่นความถี่ 2.4 มีขนาดห้องที่เล็กกว่าคลื่นความถี่ 5 GHz มาก (ดูได้จากรูป)

เมื่อเอาคนเข้าไปอยู่เป็นกลุ่ม และให้แค่ละกลุ่มคุยกัน ถ้าสักกลุ่ม สองกลุ่ม แยกกันไปคละมุมห้อง มันคงไม่รบกวนกันมาก แต่ปัญหาคือ ปัจจุบัน Router ที่แถมมาเมื่อเราติดอินเทอร์เน็ต ก็ใช้คลื่นความถี่ 2.4 GHz และทุกบ้านก็มีแบบเดียวกัน จึงเปรียบเสมือนว่ามีคนอยู่ในห้องหลายกลุ่มมากๆ และทุกคนคุยแข่งกัน แล้วมันจะรู้เรื่องไหมละนี่

วิธีการแก้ไขคือ ให้ทุกคนคุยกันเงียบๆ (ลดกำลังส่ง) หรือจัดระเบียบให้ทุกคน (ตั้งค่า Channel) ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงมันทำได้ยากมากๆ วิธีที่ง่ายกว่าคือ ไปใช้คลื่นความถี่ 5 GHz แทน

Wi-Fi เป็นมาตรฐานอะไร 

สิ่งหนึ่งที่ต้องรู้เวลาที่จะเลือกซื้อ Wireless Router คือ Wi-Fi เป็นมาตรฐานอะไร ที่ต้องรู้เพราะ มันจะเป็นตัวกำหนดความสามารถของอุปกรณ์ในภาคไร้สาย หลายคนอาจจะเคยเห็นบนกล่องเช่น IEEE 802.11a, IEEE 802.11b, IEEE 802.11g, IEEE 802.11n, IEEE 802.11ac แล้วไม่รู้ว่ามันคืออะไร นี่ละคือ มาตรฐานที่รองรับ วิธีดูง่ายๆ จะสังเกตว่าด้านหน้าจะเหมือนกันทั้งหมด ต่างกันที่ตัวอักษรไม่กี่ตัวตรงท้าย ถ้าตัดมาจะเหลือเพียง b, g ,n ,ac ตัวอักษรเหล่านี้ละคือ ที่มาของคำว่า Wi-Fi N Wi-Fi AC ที่เราเคยได้ยินกัน

ในที่นี้จะขอพูดถึง n กับ ac เราจะเริ่มที่มาตรฐาน n เป็นมาตรฐานที่เก่าแล้ว แต่ยังมีคนใช้กันอยู่ เนื่องจากอุปกรร์บางรุ่นไม่รองรับคลื่นความถี่ 5 GHz โดย Wi-Fi n จะสามารถใช้ได้ทั้งคลื่นความถี่แบบ 2.4 GHz และ 5 GHz โดยมีความเร็วสูงสุดที่ 300 Mbps ปัจจุบันเริ่มมีการเปลี่ยนผ่านไปยังมาตรฐานต่อไปที่เรากำลังจะพูดถึงกันคือ ac หรือ Wi-Fi ac เป็นมาตรฐานที่นิยมใช้ในปัจจุบันเพราะใช้คลื่นความถี่ 5 GHz และมีความเร็วที่สูงกว่า Wi-Fi n มาก โดยมีความเร็วสูงสุดที่ 867 Mbps

ดังนั้นถ้าลงทุนทั้งที ก็คงไม่อยากใช้แค่ไม่เท่าไหร่ก็ตกรุ่น ก็ควรที่จะเลือกซื้อ Wi-Fi AC ไปเลยใช้ได้ยาวๆ และเรื่องสุดท้าย มาตรฐานที่เห็นเหล่านี้ มาตรฐานตัวที่ใหม่กว่าจะรองรับมาตรฐานเก่าได้ เช่น โน๊ตบุ๊ครองรับ Wi-Fi n สามารถใช้งาน กับ Router Wi-Fi AC ได้ แต่ความเร็วจะอยู่ที่มาตรฐานตัวที่เก่ากว่า เหือมนที่ข้างกล่องเขียนไว้เยอะแยะ คือถ้าเขาไม่ทำมาให้รองรับอุปกรณ์ก่อนหน้าเขาคงไม่ทำมา

Bandwidth รวมสูงสุดที่รองรับ N300, AC750, AC1200, AC2300 คืออะไร

Bandwidth หรือความกว้างของช่องสัญญาณ ยิ่งมี Bandwidth มากก็จะทำให้เราสามารถรับ-ส่งข้อมูลได้พร้อมกันมากขึ้น ในเรื่องของทางเทคนิดเอาเป็นว่าเราไม่ต้องเข้าใจมากก็ได้ สรุปคือ ความเร็วที่อุปกรณ์ทำได้ เปรียบเทียบกับ CPU ก็จะเป็น Core i3, i5, i7 หรือตัวเลขยิ่งเยอะก็จะยิ่งแรง

แล้วที่มาของ N300 AC750 AC 1200 มาจากไหน เช่น N300 ก็คือความเร็วสูงสุดของ Wi-Fi N เพียงตัวเดียวที่ 300 Mbps และ AC 1200 จะมีที่มาจาก Wi-Fi N 300 + Wi-Fi AC 867 จึงรวมเป็น 1167 เขาจึงตีกลมๆ เป็น 1200 และใน Router รุ่นสูงๆ อย่าง AC2300 มีที่มาจาก Wi-Fi N 300 + Wi-Fi N 300 + Wi-Fi AC 867 + Wi-Fi AC 867 รวมแล้วประมาณ 2300 เป็นการใช้เทคนิดการส่งสัญญาณออกมาในคลื่นความถี่เดียวกันแต่หลายๆ ย่านพร้อมกัน

Port Ethernet (LAN)

ในการเลือกซื้ออุปกรณ์ Network นั้นจะมีสิ่งที่เรียกว่าสเปคของ Port LAN อยู่ โดยทั่วไปตอนนี้มีอยู่สองแบบคือ Port Fast Ethernet (10/100) รองรับความเร็วอินเทอร์เน็ตสูงสุดที่ 100 Mbps และ Port Gigabit (10/100/1000) รองรับความเร็วอินเทอร์เน็ตสูงสุดที่ 1000 Mbps

หัวข้อนี้จะมีผลมากกับคนใช้อินเทอร์เน็ตเกิน 100 Mbps เพราะถ้าใช้ Port ที่รองรับแค่ 100 Mbps ก็จะได้ความเร็วที่ไม่เกิน 100 Mbps ทำให้เราใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และเช่นกันถ้าบ้านใครใช้อุปกรณ์พวก NAS การมี Port Gigabit จะช่วยให้การโอนถ่ายข้อมูลทำได้เร็วขึ้นมากๆ

แล้วถามว่าซื้อแบบไหนดี แน่นอนว่าต้อง Port Gigabit รองรับอนาคตไปเลย

เสาอากาศ

ในหัวข้อนี้จะขอพูดถึงจำนวนเสาอากาศ ที่ให้มาส่งผลอย่างไรกับการใช้งาน จำนวนเสาอากาศยิ่งเยอะ จะยิ่งส่งผลต่อความเข้มของสัญญาณ และความสามารถในการรับ-ส่งข้อมูล เอาเป็นว่าจำนวนเสายิ่งเยอะยิ่งดี และควรเลือกที่เป็นเสาอากาศแบบ High Gain ด้วยเพื่อให้สัญญาณกระจายได้กว้างขึ้นอีกสักนิด

ฟีเจอร์ ความสามารถพิเศษ 

นอกจากสเปคที่เป็นตัวเลขแล้วยังมีฟีเจอร์ที่จะมาทำงานคู่กันด้วย แน่นอนว่าฟีเจอร์ต่างๆ ถูกพัฒนามาให้การใช้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในหัวข้อนี้จะเป็นการพาไปดูฟีเจอร์ที่เรามักจะได้เจอใน Router ส่วนใหญ่กัน

MU-MIMO (Multi-user multiple-input and multiple-output)

MU-MIMO เป็นความสามารถที่ทำให้ Wireless Router หรือ Access Point สามารถสื่อสารกับอุปกรณ์ได้พร้อมกันหลายๆ อุปกรณ์ ในความจริงแล้ว Wi-Fi ที่เราทุกคนใช้กันอยู่นี้ เป็นการสื่อสารระแบบ 1 ต่อ 1 หว่าง Wireless Router กับอุปกรณ์ทีละเครื่องเท่านั้น โดยทำการสื่อสารแบบนี้วนไปเรื่อยๆ คนครบทุกเครื่อง ทำให้เกิดปัญหาเมื่อมีใครสักคนดู Youtube ความละเอียดสูงๆ ทำให้ใช้เวลาในการรับ-ส่งข้อมูลนาน ส่งผลให้คนอื่นๆ ต้องรอ ถ้าเล่นเกมก็ Ping ขึ้น หัวร้อนเลย

จึงเป็นที่มาของ MU-MIMO ที่เข้ามาแก้ปัญหานี้ ทำให้ Wireless Router สามารถสื่อสารกับอุปกรณ์ได้พร้อมๆ กันหลายๆ อุปกรณ์ได้ ลดปัญหาเมื่อมีใครดู Youtube หรือโหลดบิต คนอื่นๆ จะยังคงสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ปกติอยู่ และเรื่องสุดท้าย MU-MIMO ถูกเรียกในอีกชื่อคือ Wi-Fi AC Wave 2

Killer Wireless 

สำหรับฟีเจอร์นี้ ก็แล้วแต่เลยว่าอยากได้ไหม ไม่มีผลต่อการใช้งานทั่วไป แต่ถ้าใช้เล่นเกมแล้วละก็มีประโยชน์สุดๆ เพราะมันจะให้เกมมีสิทธิในการรับ-ส่งข้อมูลก่อน ทำให้ Ping น้อย ไม่กระตุก ยิ่งใช้คู่กับโน๊ตบุ๊คที่มีชิป Killer ด้วยละก็ เรียกได้ว่าเข้าขั้นโกงเลยทีเดียว เพราะมัจะให้สิทธิพิเศษเครื่องที่มีชิป Killer อยู่เหนือเครื่องอื่นๆ ในระบบ

Parental control

ระบบควบคุมการใช้งานของบุตรหลาน ซึ่งก็ไม่มีผลกับการใช้งานทั่วไปอีก แต่ถ้าคุณอยากจะกำหนดเวลาเล่นอินเทอร์เน็ตของลูกคุณละก็ ฟีเจอร์นี้จะมีประโยชน์มาก เช่น ตัดเน็ตเวลานี้ถึงเวลานี้ เวลานี้ถึงเวลานี้บล็อก Facebook YouTube อะไรทำนองนี้

Guest Network

ระบบที่จะทำการแยกวง Wi-Fi ออกจากระบบหลัก ใว้สำหรับให้แขกที่มาบ้าน ใช้อินเทอร์เน็ตโดยเฉพาะ ระบบนี้มีประโยชน์อย่างไร เช่น บ้านของคุณมีอุปกรณ์พวก NAS หรือได้มีการทำการแชร์ไฟล์เอาไว้ แล้วแขกของคุณเอาโน๊ตบุ๊คที่มี Ransomware มาเชื่อมต่อ ตัว Guest Network จะช่วยป้องกันด่านหน้าให้ เพราะเชื่อมต่ออยู่วงละวง Ransomware จึงหา NAS หรืออุปกรณ์ที่ทำการแชร์ไฟล์ไม่เจอ เป็นต้น

หน้าตา Design

อันนี้แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน สำหรับผมถ้าราคาเท่ากัน ความสามารถเหมือนกัน ผมถึงจะสนใจหัวข้อนี้ เพราะเราซื้อของมาไม่ได้ใช้หน้าตา คือหน้าตาดีก็ไม่ได้ทำให้เน็ตเร็วขึ้น อะไรทำนองนั้น

ความต้องการอื่นๆ

สำหรับหัวข้อนี้เป็นหัวข้อที่ผมคิดว่าความต้องการของแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน จึงทำให้ต้องเลือกซื้ออุปกรณ์ที่ต่างกัน โดยผมได้ทำการยกตัวอย่างฟีเจอร์บางอย่าง ที่ผมคิดว่าเป็นตัวแปรสำคัญในการเลือกซื้อมากด้วย ส่วนบางอย่างถ้ามันเฉพาะทางมากๆ ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกัน

  • Port USB เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มักจะมีติดมาให้ และถ้าจำเป็นต้องใช้งานก็ควรที่จะพิจารณาในส่วนนี้ด้วย ส่วน Port USB สามารถนำไปใช้งานอะไรได้บ้าง เช่น สำหรับใช้งานกับ Flash Drive แชร์ไฟล์ หรือเอาไว้ต่อพัดลมระบายความร้อน เป็นต้น
  • การรองรับซิมการ์ดสำหรับใช้งาน 4G Backup สำหรับใครที่ต้องการให้อินเทอร์เน็ตมีเสถียรภาพสูง ไม่ล่ม ฟีเจอร์นี้ก็ควรพิจารณาไว้
  • การรองรับการตั้งค่าผ่านแอปพลิเคชัน หากใครที่ต้องการความง่ายในการติดตั้ง การมีแอปพลิเคชันสำคัญมาก เพราะทำให้ตั้งค่าระบบได้ง่ายกว่าการ ตั้งค่าระบบผ่านสายแลนมาก และแอปพลิเคชันสมัยใหม่ก็ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายด้วย

บริการหลังการขาย

ในยุคสมัยที่การทำการตลาดของอุปกรณ์ Network มีความเข้มข้นขึ้นมาก ทำให้นอกจากสินค้าที่นำมาขายแล้ว ยังต้องมีบริการหลังการขายด้วย เช่น ประกันหลายปี ติดตั้งฟรี บริการสอบถามทางโทรศัพท์ และอีกมากมาย  ในหัวข้อนี้ ผมคิดว่าก็แล้วแต่ว่าชอบการบริการของเจ้าไหนมากกว่ากัน ไม่มีผลต่อประสิทธิภาพของอุปกรณ์แต่อย่างใด

สิ่งที่ไม่ต้องดูก็ได้ มันยากเกินที่เราจะเข้าใจ

หลายคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าไม่ได้มีความรู้ด้าน Network มาก่อน อาจจะเริ่มมึน หัวข้อนี้จะเป็นการตัดข้อมูลบางอย่าง ที่ไม่ต้องรู้ก็ได้ เพราะถ้าดูสเปคอื่นๆ ได้แล้ว ในส่วนนี้ก็ไม่ต้องไปสนใจมาก สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปสิ่งที่ไม่ต้องดูก็ได้คือ CPU และ RAM ที่ให้มา แต่สำหรับผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ มักที่จะดูในส่วนนี้เป็นส่วนแรกๆ เลย

เนื่องจากอุปกรณ์ทุกรุ่น ถูกออกแบบมาให้มันทำงานได้ตามมาตรฐานหน้ากล่องแล้วระดับหนึ่ง และที่สำคัญคือ จำนวนเงินที่จ่ายไป ของที่ได้ก็จะได้ตามราคาเช่นกัน คงไม่มีใครที่ซื้อ Wireless Router AC1200 แล้วได้สเปค ห่วยๆ มาหรอกครับ เพราะการที่จะทำอุปกรณ์ให้ได้ประสิทธิตามมาตรฐาน AC1200 ก็ไม่ง่าย และมีต้นทุนอยู่ระดับหนึ่ง

ส่วนใครที่อยากรู้ว่า CPU กัย RAM มีเยอะแล้วส่งผลกับการใช้งานอย่างไร CPU เร็วจะส่งผลโดยตรงกับ Throughput ของอุปกรณ์ เพราะทำงานเสร็จเร็ว จึงทำงานได้มาก และ RAM ที่เยอะจะส่งผลเมื่อเราทำการตั้งค่าไว้เยอะๆ และมีผู้ใช้งานมาก RAM เหมือนเป็นกระดาษจดการตั้งค่าสำหรับผู้ใช้งานคนนี้ ทำให้เมื่อ RAM เยอะจึงมีพื้นที่ในการจดการตั้งค่าได้เยอะ

แล้วซื้อเท่าไหร่ดี ถึงจะคุ้มที่สุด

สำหรับมาตรฐาน Wireless Router ที่ควรจะซื้อในปี 2018 มีดังนี้

  • รองรับคลื่นความถี่ทั้ง 2.4 GHz และ 5 GHz
  • เป็น Wi-Fi AC1200 ขึ้นไป *ข้อนี้สำคัญมาก
  • Port LAN ที่เป็น Gigabit 10/100/1000 *ข้อนี้สำคัญ
  • รองรับ MU-MIMO

ส่วนราคาของ Wireless Router ที่มีสเปคแบบนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2000 บาท ขึ้นไป จนถึง 3000 บาท เรียกได้ว่าราคาไม่ได้เกินเอื้อมเลย ซื้อมาทีก็ใช้หลายปี และรับรองเลยว่าคุณภาพ Wi-Fi ในบ้านของคุณจะดีขึ้นมาก เมื่อเปรียบเทียบกับ Router เดิมที่แถมมากับผู้ให้บริการ และสำหรับรุ่นที่ไม่ควรซื้อเลยคือ รุ่นที่รองรับคลื่นความถี่ 2.4 GHz เพียงคลื่นเดียว มาตรฐานเป็น Wi-Fi N แน่นอนว่า Wireless Router รุ่นเหล่านี้มีราคาที่ถูกจริง แต่เมื่อมองในการลงทุนระยะยาวแล้ว ไม่คุ้มอย่างแรง

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับวิธีการเลือกซื้อ Wireless Router อย่างง่าย ที่ผมทำการสรุปเรื่องที่ควรจะต้องรู้ เมื่อต้องการจะซื้อ Wireless Router สักตัวนึง และที่สำคัญเลยคือ เป็นแนวทางที่จะทำให้ Wi-Fi ที่บ้านดีขึ้นแน่นอน ทีนี้จะได้ไม่ต้องหัวร้อน เมื่อมีใครสักคนในบ้านดู YouTube ในขณะที่เรากำลังเล่น ROV หรือโดดร่มอยู่ ก่อนจะจากกันไปผมหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ไม่มากก็น้อยนะครับ

from:https://notebookspec.com/how-to-wi-fi-router-ez/442974/

Review – Linksys VELOP Mesh Wi-Fi ขั้นเทพ บ้าน 3 ชั้นต่อเน็ตไม่หลุด ติดตั้งง่ายด้วยมือถือ ฟีเจอร์ครบครัน

เชื่อว่าหลายคนที่มีบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ หรือทาวน์โฮม 3 ชั้น อาจจะพบเจอกับปัญหา Wi-Fi ไม่พอเล่น หรือไม่คลอบคลุมทั้งบ้าน เช่น ติดอินเทอร์เน็ตไว้ชั้น 1 สัญญาณแรง เน็ตวิ่งเต็ม พอขึ้นไปชั้นสอง สัญญาณดรอปลง และถ้าขึ้นไปชั้น 3 เรียกได้ว่าแทบจะใช้ไม่ได้เลยทีเดียว วันนี้ทาง Linksys มีทางออกแบบง่ายๆ มานำเสนอ ซึ่งก็ง่ายจริงๆ ถ้าเทียบกับรูปแบบที่ผ่านๆ มา สนนราคา 3 Node อยู่ที่ 17,990 บาท ส่วนรุ่น 2 Node ราคาจะอยู่ที่ 12,990 บาท และรุ่น Node เดียว จะอยู่ที่ 7,990 บาท พร้อมติดตั้งฟรีโดยทีมงาน Linksys ว่าแล้วไปดูกันเลยดีกว่า

เทคโนโลยีที่จะนำเสนอในวันนี้คือ Mesh (เมช) Wi-Fi หรือการเชื่อมต่อแบบใยแมงมุมที่ทุกเครื่องเชื่อมต่อหาถึงกันทั้งหมด (ดูได้จากภาพ) ทำให้เมื่อเครื่องใดเครื่องใดเครื่องหนึ่งหลุดออกไปจากระบบ ระบบจะไม่ล่ม เพราะมันจะไปใช้เส้นทางอื่นแทนเส้นทางที่ขาดไป ก่อนหน้านี้เราใช้วิธีการขยายสัญญาณอินเทอร์เน็ตแบบไร้สายด้วย Repeater หรือ Range Extender ซึ่งคุณภาพอินเทอร์เน็ตที่ได้มันไม่ดีเลย แต่ก่อนที่เราจะพูดถึงสินค้าผมอยากให้ทุกคนเข้าใจเรื่องของ Mesh Wi-Fi กันก่อน

หนึ่งในคำถามที่น่าสนใจคือ ทำไมก่อนหน้านี้ Mesh Wi-Fi ไม่ได้รับความนิยมทั้งที่เกิดขึ้นมานานแล้ว เพราะข้อเสียของระบบ Mesh คือ มีค่าใช้จ่ายสูงมาก และ ข้อจำกัดในเรื่องของ Bandwidth (ความกว้างของช่องสัญญาณ) ที่จะลดลงใน Hops ถัดไปครึ่งนึง เพราะต้องแบ่ง Bandwidth ครึ่งนึงเป็นข้างรับ และอีกข้างหนึ่งเป็นข้างส่ง จึงเกิดปัญหาคอขวด และเมื่อขยายออกไปไกลๆ แล้ว มันแทบจะไม่เหลืออะไรให้เราใช้เลย ในที่นี้ผมขออธิบายตามทฤษฎีก่อน เพราะยังไงการใช้งานจริงมันก็ไม่ได้ตามทฤษฎีอยู่แล้ว

เช่น Hops 1. Router -> Hops 2. Repeater -> Hops 3. Repeater -> เครื่องของเรา (3ต่อ) พบว่าถ้าใช้งานตามนี้ Bandwidth จะลดลงมากๆ ใน Wi-Fi  N บนคลื่นความถี่ 2.4 GHz ดังนี้ 300 Mbps -> 150 Mbps -> 75 Mbps -> 36 Mbps และยิ่งในยุคที่เน็ตบ้าน 100 Mbps เดือนนึงเหลือไม่ถึง 1000 บาทต่อเดือน ถ้านำมาใช้กับระบบนี้แค่ไม่กี่ต่อความเร็วก็ไม่ถึง 100 Mbps แล้ว นี่ยังไม่นับอุปสรรคอย่างอื่นอีก เช่น คลื่นรบกวน กำแพงบ้านที่หนามากๆ และอีกมากมาย

Hops คืออะไร ให้คิดง่ายๆ ว่ามันคือ Router Repeater Range Extender หรืออะไรทำนองนั้น  หรือมันคือเส้นทางที่จากเครื่องของเราไปยังปลายทาง เช่นเราต้องการเข้าเว็บไซต์สักเว็บไซต์นึง Router จะค้นหาเส้นทางจากบ้านของเรา ไปยังเซิร์ฟเวอร์ปลายทาง เช่น จาก Router ที่บ้านเรา -> ชุมสายในหมู่บ้าน -> ชุมสายของเขต -> เซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการ จะได้ทั้งหมด 4 Hops เป็นต้น

แต่ Mesh แบบสมัยใหม่ได้ทำการแก้ปัญหา หรือทำให้ปัญหาลดลงแล้ว เนื่องจากการนำเทคโนโลยี Wi-Fi AC คลื่นความถี่ 5 GHz มาประยุกต์ใช้งาน โดยที่ Wi-Fi AC คลื่นความถี่ 5 GHz มี Bandwidth ที่กว้างกว่า Wi-Fi  N คลื่นความถี่ 2.4 GHz มาก ทำให้เมื่อเราใช้งาน  Repeater บน Wi-Fi AC คลื่นความถี่ 5 GHz ฺจะพบว่า Bandwidth ที่ลดลงในแต่ละ Hops จะลดลงไปจริง แต่ก็ไม่ได้ลดลงไปต่ำกว่าความเร็วอินเทอร์เน็ตที่เราสมัครกับผู้ให้บริการ ในที่นี้ขอตั้งไว้ที่ไม่เกิน 200 Mbps

Wi-Fi AC คลื่นความถี่ 5 GHz มี Bandwidth กว้างถึง 867 Mbps ถ้าหารสองจะเหลือ 430 Mbps  (867 Mbps -> 430 Mbps -> 215 Mbps -> 100 Mbps) กว่าความเร็วจะลดลงต่ำกว่า 100 Mbps ก็ขยายไปได้ไกลกว่า Wi-Fi N คลื่นความถี่ 2.4 GHz มาก จึงเป็นที่มาของ Mesh Wi-Fi สมัยใหม่ที่พัฒนาออกมาแล้วได้ผลลัพธ์ที่ดี

สิ่งหนึ่งที่ผมว่าหลายคนตั้งคำถาม “ก็ซื้อ Repeater ที่ใช้ Wi-Fi AC ไปเลยสิ จะยากอะไร” ผมบอกเลยว่าการจะหา Repeater ที่มีคุณภาพดีๆ ราคามันก็ไม่ได้ถูกเลย และการตั้งค่าไม่ได้ง่ายแบบนี้แน่นอน

การเข้ามาของ Mesh เป็นการพยายามแก้ไขปัญหาการกระจัดกระจายของ Access Point ที่ไม่ได้อยู่ในการควบคุมที่ศูนย์กลาง โดยการทำให้ทุกอย่างรวมอยู่ที่ศูนย์กลางที่เดียว เหมือนกับว่าเป็นการรวมกลุ่มก้อน Wi-Fi หลายๆ ก้อน ให้เป็นก้อนใหญ่เดียว (ดูได้จากภาพ)

แน่นอนว่าทาง Linksys ได้พัฒนาสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีนี้ด้วย โดยที่เราจะรีวิวกันในวันนี้คือ Linksys VELOP นอกจากที่เป็น Mesh Wi-Fi แล้ว ยังมีอีกหนึ่งในจุดเด่นก็คือ ทาง Linksys ได้การันตีว่าความเร็วจะไม่ลดลงใน Hops ถัดไป เนื่องจากมีการใช้คลื่นความถี่ 5 GHz สองย่านความถี่ ทำให้สามารถแบ่งย่านความถี่นึงไปใช้รับ-ส่งข้อมูลกับตัว VELOP ด้วยกัน และอีกคลื่นความถี่ใช้สำหรับสื่อสารกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่เชื่อมต่อ เช่น สมาร์ทโฟน โน๊ตบุ๊ค ส่วนสเปคของอุปกรณ์มีดังนี้

Specification Linksys VELOP

  • Wi-Fi AC 2200 mu-mimo (ต่อ 1 Node)
  • Wi-Fi Tri-Band (คลื่นความถี่ 2.4 GHz, คลื่นความถี่ 5 GHz ย่านที่ 1, คลื่นความถี่ 5 GHz ย่านที่ 2)
  • IEEE 802.11 b/g/n – 2.4 GHz – 256 QAM
  • IEEE 802.11 n/ac – 5 GHz – 256 QAM
  • เทคโนโลยี Beamforming
  • Seamless roaming technology หรือที่รู้จักกันในชื่อ Fast Handover
  • CPU 716 MHz Quad Core
  • Ram 512 MB
  • Rom 4 GB
  • เสาอากาศ 6 เสา
  • LAN Gigabit 10/100/1000
  • Bluetooth 4.0
  • รองรับการเข้ารหัสแบบ WPA2
  • รองรับการตั้งค่าผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน

ราคาและรุ่นที่จัดจำหน่าย (ประกัน 3 ปี)

  • แพ็ค 1 Node (ตัวกระจายสัญญาณ) ราคา 7,990 บาท
  • แพ็ค 2 Node (ตัวกระจายสัญญาณ) ราคา 12,990 บาท (ราคาต่อ Node หาร 2 ตก Node ละประมาณ 6,500 บาท)
  • แพ็ค 3 Node (ตัวกระจายสัญญาณ) ราคา 17,990 บาท (ราคาต่อ Node หาร 3 ตก Node ละประมาณ 6,000 บาท)

หรือจะคิดง่ายๆ แบบผมก็ได้ โดยแบ่งเป็นค่าอุปกรณ์ตัวละ 5,000 บาท และค่า Software 3,000 บาท เพราะส่วนต่างในแต่ละรุ่นจะต่างกันที่ 5,000 บาท ส่วนค่า Software ยิ่งมี Node เยอะก็จะยิ่งหารต่อ Node ถูกลง ยิ่งคุ้ม

ภายในกล่องตัวที่รีวิวประกอบไปด้วย VELOP จำนวน 3 ตัว พร้อมอุปกรณ์จ่ายไฟ 3 ตัว สาย LAN และคู่มือ เอาจริงๆ ตอนแรกที่ผมเปิดกล่องก็แอบตกใจอยู่บ้าง ที่คู่มือมีเพียงแค่ แผ่นพับบางเฉียบ ไม่กี่หน้า แต่พออ่านดูเขาบอกให้ไปอ่านในแอปพลิเคชันเลยจะสะดวกกว่า ก็ตามนั้นเลยครับ ยุคสมัยเปลี่ยนไปทำให้การพิมพ์คู่มือเล่มหนาๆ พอเราเห็นก็ไม่อ่านกัน เขาเลยทำให้มันอ่านง่ายๆ และไปอยู่ในที่ที่เราอยากอ่านแทน

Feature

เมื่อดูจากสเปคของ Linksys VELOP แล้วจะพบว่ามีสเปคอยู่ในระดับสูง ในหัวข้อนี้จะพูดถึงความสามารถที่ Linksys VELOP ทำได้ และเป็นจุดเด่นของระบบ VELOP

  • CPU ประสิทธิภาพสูง RAM ที่เยอะ ในส่วนนี้ยิ่งเยอะยิ่งดี ยิ่งเยอะจะทำให้เวลาที่มีผู้ใช้งานมากๆ หรือเวลาที่เราตั้งค่าระบบไว้มากๆ Router จะทำงานเสร็จเร็ว ทำให้ Throughput หรือความเร็วมากขึ้น
  • Tri-Band Wi-Fi มาพร้อมกับคลื่นความถี่ 2.4 GHz, คลื่นความถี่ 5 GHz ย่านที่ 1, คลื่นความถี่ 5 GHz ย่านที่ 2 ทำให้รองรับการส่งข้อมูลปริมาณมากได้ดี นอกจากนี้ Linksys VELOP จะทำการเลือกคลื่นความถี่ที่เหมาะสมให้แบบอัตโนมัติ หรือก็คือมีแค่ชื่อ Wi-Fi (SSID) เดียวไม่ต้องมาเลือกว่าจะเชื่อมต่อแบบไหน Router จะคิดให้เลย

  • MU-MIMO (multiple user multiple-input and multiple-output) ทำให้การสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ที่มาเชื่อมต่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยปกติแล้ว Access Point จะรับ-ส่งข้อมูลกับอุปกรณ์ เช่น สมาร์ทโฟน โน๊ตบุ๊ค ที่ละเครื่องเท่านั้น คือมันเร็วมากจนเราไม่รู้สึก แต่จะรู้สึกทันที่เมื่อมีใครโหลดบิต เพราะจะคนที่โหลดบิตจะจองการเชื่อมต่อไว้เพียงคนเดียว ส่วนคนอื่นๆ ก็รอกันต่อไป จึงเป็นที่มาของอาการเน็ตอืด Ping เยอะ แต่เทคโนโลยี MU-MIMO จะทำให้ Access Point สื่อสารกับอุปกรณ์ ได้ทีละหลายๆ เครื่องพร้อมกัน และแก้ปัญหาการจองการสื่อสารไว้เพียงคนเดียว
  • Beamformming เทคโนโลยีที่จะช่วยให้การส่งสัญญาณทำได้ดีมากขึ้น โดยปกติแล้ว Access Point จะกระจายสัญญาณออกมารอบๆ ตัวของมันแบบไม่มีทิศทางเฉพาะ แต่ Beamformming จะเหมือนกับว่าจะทำการบีบสัญญาณ และส่งไปในทิศที่มีอุปกรณ์ ไม่กระจายแบบมั่วๆ ทำให้รับ-ส่งข้อมูลได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

  • Seamless Roaming เทคโนโลยีที่จะทำให้เมื่อเราย้ายบริเวณที่ใช้งาน เช่น เดินจากชั้น 1 ไปชั้น 3 การเชื่อมต่อจะเนียนไม่มีหลุด จริงๆ คือหลุดไปแป๊บเดียว และกลับมาต่อใหม่ ซึ่งใช้จริงแทบไม่รู้สึกเลยว่าสัญญาณหลุด วิธีการแบบนี้จะคล้ายๆ กับเทคโนโลยีก่อนหน้านี้อย่าง Fast Handover ที่จะทำการตรวจสอบคุณภาพสัญญาณการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อยู่เสมอๆ หากพบว่าอุปกรณ์สัญญาณอ่อนเกินกว่าที่ได้ทำการตั้งค่าไว้ จะทำการเตะอุปกรณ์นั้นออกจากการเชื่อมต่อ และให้อุปกรณ์ไปเชื่อมต่อใหม่กับ Access Point ตัวอื่นที่มีสัญญาณดีกว่า ซึ่งวิธีการแบบนี้ค่อนข้า่งยุ่งยากสำหรับการตั้งค่าในแบบก่อนๆ เพราะต้องตั้งค่าให้สัญญาณมีระยะเหลื่อมล้ำกัน และต้องตั้งให้อยู่ Channel เดียวกันด้วย นอกจากนี้ยังต้องมี Wireless Controller ดีๆ อีก ทำให้มันดูยุ่งยากไปสำหรับผู้ใช้งานธรรมดา แต่ใน Linksys VELOP ระบบจะถูกตั้งค่าอัตโนมัติเรียบร้อย
  • Mesh Wi-Fi เหมือนกับที่ผมได้กล่าวไปแล้วในตอนต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยี Mesh ที่อุปกรณ์จะทำการเชื่อมต่อกันหมด คือเมื่อ Node ใด Node หนึ่งหลุดจากระบบ Node อื่นๆจะทำการค้นหาเส้นทางใหม่ และจะเลือกเส้นทางในการส่งข้อมูลที่ดีที่สุด นอกจากนี้ยังมีการส่งต่อการตั้งค่าอีกด้วย หมายความว่าเมื่อเราปรับเปลี่ยนการตั้งค่าระบบที่ Node ใด Node หนึ่ง Node อื่นๆ จะเปลี่ยนการตั้งค่าตาม

  • Cloud Controller ระบบรองรับการเข้าถึงการตั้งค่าได้จากที่ไหนก็ได้บนโลกนี้ เช่น อยู่นอกบ้านก็สามารถตั้งค่าระบบได้ ที่ทำได้เพราะมันมีการ Sync การตั้งค่าระบบขึ้นไปบน Cloud ของทาง Linksys จริงๆ แล้วระบบระดับเทพขนาดนี้ก็ต้องมี Wireless Controller คอยควบคุมอุปกรณ์แต่ละ Node อยู่แล้ว แต่นี่เล่นให้ระบบ Cloud มาเลย สุดจริงๆ
  • Guest Network สำหรับแยกวง Wi-Fi ออกจากวงหลักของระบบ เพื่อความปลอดภัย เช่นจาก ไวรัส Ransomware จากผู้มาเยือน หรือไม่ต้องการให้แขกของเราเห็นเครือข่ายภายใน เป็นต้น
  • Parental Control สำหรับใช้งานควบคุมการใช้งานของบุตรหลาน เช่น การตั้งเวลาให้ใช้งาน และการกำหนดว่าให้เข้าเว็บไซต์ไหนได้บ้าง เป็นต้น
  • QOS หรือการจัดลำดับความสำคัญของอุปกรณ์ ใช้เพื่อกำหนดให้อุปกรณ์บางตัวมีสิทธิพิเศษเหนืออุปกรณ์อื่นๆ ในระบบ

เมื่อดูจากฟีเจอร์ที่ให้มาจะพบว่า Linksys VELOP เป็น Router ระดับสูงเลยก็ว่าได้ ด้วยฟีเจอร์อย่าง เช่น Tri-Band Wi-Fi MU-MIMO เป็นฟีเจอร์ที่อยู่ใน Router ระดับสูงทั้งนั้น

Design

Design ภายนอกของ Linksys VELOP เป็นแท่งสี่เหลี่ยมสีขาว ขนาดไม่ใหญ่มาก หน้าตาดูดีเรียบหรู สำหรับวัสดุที่ใช้จะเป็นพลาสติกทั้งหมด โดยที่จะมีสองด้านที่เป็นแบบทึบ และอีกสองด้านที่เป็นแบบเจาะรู้ระบายอากาศ ด้านบนประกอบไปด้วยช่องระบายอากาศและไฟแสดงสถานะ ด้านล่างจะมาพร้อมกับยางรองกันลื่นด้วย

เมื่อพลิกดูด้านในจะพบกับพอร์ตการเชื่อมต่อ และปุ่มควบคุมต่างๆ ประกอบไปด้วย Port LAN Ethernet แบบ 10/100/1000 จำนวน 2 พอร์ต รองรับความเร็วสูงสุด 1 Gbps ปุ่ม Reset ช่องต่อไฟเลี้ยง สวิทช์เปิด-ปิดอุปกรณ์ นอกจากนี้ได้มีการออกแบบให้บริเวณมุมของอุปกรณ์สามารถเก็บสายไฟได้ด้วย

ความหมายของไฟแสดงสถานะต่างๆ

  • ไฟสีฟ้ากระพริบ อุปกรณ์กำลังเริ่มทำงาน
  • ไฟสีฟ้า อุปกรณ์ทำงานปกติ
  • ไฟสีม่วงกระพริบ อุปกรณ์เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน และพร้อมสำหรับการตั้งค่า
  • ไฟสีม่วง อุปกรณ์พร้อมสำหรับการตั้งค่า
  • ไฟสีแดงกระพริบ อุปกรณ์หลุดการเชื่อมต่อจาก Node หลัก
  • ไฟสีแดง อุปกรณ์หลุดการเชื่อมต่อจากอินเทอร์เน็ต
  • ไฟสีเหลือง อุปกรณ์อยู่ไกลเกินระยะเชื่อมต่อที่เหมาะสมจากระบบ

อุปกรณ์จ่ายไฟจะถูกออกมาให้มีดีไซน์ที่เรียบหรู โดยมีทรงเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส และเมื่อนำไปเสียบกับปลั๊กผนังก็พบว่ามันเข้ากันได้ดี สวย เนียน และดูแพง

วิธีการติดตั้ง และวิธีการตั้งค่าระบบ

Linksys VELOP ถูกออกแบบมาให้สามารถตั้งค่าได้ง่าย เรียกได้ว่าสำหรับคนที่ไม่ต้องเก่งด้านคอมพิวเตอร์หรือ อินเทอร์เน็ตมาก ก็สามรถตั้งค่าด้วยตัวเองได้ง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน

เมื่อเปิดกล่องจะพบว่ามี Node VELOP อยู่ 3 ตัว เราสามารถเลือกใช้ Node ไหนก็ได้ทำงานเป็นตัวหลัก และ Node ตัวอื่นๆ จะทำหน้าที่เป็น Access Point เองแบบอัตโนมัติ หลังจากที่เชื่อมต่ออุปกรณ์จ่ายไฟแล้ว ให้เปิดแอปพลิเคชันของทาง Linksys และทำการตั้งค่าได้เลย โดยใน Node แรกมีรายละเอียดดังนี้

  1. เปิด Bluetooth ที่สามร์ทโฟน
  2. จากนั้นให้เข้าไปดาว์นโหลดแอปพลิเคชันของทาง Linksys ดังนี้ iOS, Android
  3. เปิดแอปพลิเคชัน และทำตามขั้นตอนที่ขึ้นในหน้าจอ ซึ่งง่ายมาก

ในการตั้งค่า เราเพียงกดปุ่ม Next ไปเรื่อยๆ ตามที่ขึ้นบนหน้าจอ เอาเป็นว่าเข้าใจง่าย และไม่มีอะไรซับซ้อน ตัวระบบจะทำการตั้งค่าให้เองแบบอัตโนมัติ ในส่วนนี้อาจจะต้องใช้เวลานิดนึง 

สำหรับขั้นตอนถัดไปให้หาที่ตั้ง Node ที่สอง และ Node ที่สามตามลำดับ ซึ่งจะเอาไปตั้งตรงไหนก็ได้ตัวแอปพลิเคชันจะเป็นตัวบอกเราเองว่าเราตั้งในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้วหรือยัง

จากนั้นเปิดแอปพลิเคชันกดปุ่มเพิ่ม Node VELOP และทำตามขั้นตอนได้เลย การตั้งค่าจะส่งจาก Node แรกไปยัง Node ถัดไปให้แบบอัตโนมัติ

ข้อแนะนำ เมื่อมีการย้ายสถานที่ติดตั้งอุปกรณ์ที่ผ่านการตั้งค่าแล้ว ควรที่จะจำว่าตัวไหนเป็นตัวหลักไว้ด้วย เพราะผมเคยเก็บอุปกรณ์แล้วจะนำมาต่อใช้งานอีกครั้ง พบว่าหา Node หลักไม่เจอ ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ ต้องตั้งค่าใหม่

Software

Linksys VELOP สามารถเข้าสู่ส่วนตั้งค่าได้ 2 วิธี คือ บนแอปพลิเคชัน และผ่านหน้าเว็บ

Moblie Application iOS / Android

ในการตั้งค่าผ่านแอปพลิเคชันเรียกได้ว่าสามารถตั้งค่าส่วนหลักๆ ของ Router ได้ทั้งหมดเลยก็ว่าได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • แดชบอร์ด เป็นหน้าที่แสดงภาพรวมของระบบให้ดูเข้าใจง่าย
  • อุปกรณ์ เป็นหน้าที่แสดงอุปกรณ์ที่กำลังเชื่อมต่อกับ VELOP
  • การตั้งค่า Wi-Fi เป็นหน้าที่แสดงการตั้งค่า Wi-Fi เช่น การตั้งชื่อ Wi-Fi
  • การตั้งค่า Guest  Network เป็นหน้าที่เอาไว้ตั้งค่า Guest  Network สำหรับแยกวง Wi-Fi สำหรับแขกที่มาบ้านแล้วเขาอยากใช้งานอินเทอร์เน็ต แต่เราไม่อยากให้เขาเห็นระบบภายใน

  • การทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต เป็นหน้าที่เหมือนกับยกแอปพลิเคชัน Speedtest มาไว้เลย
  • การควบคุมของผู้ปกครอง เป็นหน้าสำหรับการตั้งค่าควบคุมการใช้งานอินเทอร์เน็ตของบุตรหลาน เช่น ตั้งเวลาใช้งาน
  • การจัดลำดับความสำคัญของอุปกรณ์ เป็นหน้าสำหรับตั้งสิทธิพิเศษในการใช้งานอินเทอร์เน็ตให้กับอุปกรณ์ต่างๆ เช่นถ้าตั้งให้คอมพิวเตอร์เครื่องนี้ได้รับสิทธิพิเศษ ไม่ว่าเครื่องอื่นจะโหลดบิตกันหนักหน่วงแค่ไหน เครื่องนี้จะไม่ได้รับผลกระทบ
  • การแจ้งเตือน เป็นหน้าสำหรับแจ้งเตือนเวลา Node ขาดการเชื่อมต่อ

  • การดูแลระบบ VELOP เป็นหน้าที่แสดงรายละเอียดของ Node ต่างๆ ในระบบ เช่น IP Address ที่ Node นั้นได้รับ
  • การตั้งค่าขั้นสูง จะประกอบไปด้วยการตั้งค่าการรับอินเทอร์เน็ตขาเข้า การตั้งค่าพอร์ต การตั้งค่า MAC Authentication และการตั้งค่า DHCP Server เอาเป็นว่ามันเข้าใจยาก
  • บัญชีผู้ใช้งาน เป็นหน้าที่เอาไว้ตั้งค่าบัญชี Linksys ที่ทำการเชื่อมต่อกับระบบ Cloud และบัญชีผู้ใช้ประจำเครื่อง
  • การตั้งค่าอุปกรณ์ใหม่ เป็นหน้าที่จะเอาไว้เพิ่ม Node VELOP ใหม่เข้าไปในระบบ

Direct Web Service

ในส่วนของการเข้าถึงตั้งค่าด้วยวิธีนี้ เราจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ด้านอินเทอร์เน็ตสักหน่อย ส่วนวิธีการใช้งานก็จะเหมือนกับการ Router ทัวไป ดังนี้

  1. เราจะต้องหา IP Address ของ Router ตัวหลักให้เจอเสียก่อน โดยสามารถหาได้จากการใช้คำสั่ง ipconfig ใน Command Line ของ Windows ได้
  2. เมื่อได้ IP Address ของ Router ตัวหลักแล้ว ให้เราเปิด Browser เช่น Chrome  จากนั้นกรอกเลข IP Address ลงในช่อง Address
  3. เมื่อเข้าไปถึงจะพบว่าระบบจะให้เราตั้งรหัสผ่านสำหรับการเข้าสู่ระบบครั้งต่อไปก่อน
  4. เมื่อเข้าสู่ระบบได้แล้ว จะพบว่าหน้าตา UI จะคล้ายๆ กับบนแอปพลิเคชัน

เมื่อทดลองใช้งานไปสักพักพบว่าตัวแอปพลิเคชันใช้ง่าย และทำความเข้าใจได้ง่าย การตั้งค่าทำได้ลึก และตั้งค่าได้เยอะ ครบถ้วน ตามที่การงานทั่วไปควรที่จะทำได้แล้ว

Performance Test

สำหรับการทดสอบ เราได้ทำการติดตั้ง Linksys VELOP เอาไว้บริเวณจุดต่างๆ ของออฟฟิศ โดยที่ออฟฟิศเป็นทาวน์โฮม 3 ชั้น จึงทำการติดตั้งชั้นละตัว ส่วนอินเทอร์เน็ตที่เข้าจะเข้าที่ชั้น 3 จึงกำหนดให้ที่ชั้น 3 เป็น Node หลัก ส่วนหัวข้อการทดสอบจะแบ่งเป็น การทดสอบระบบไฟฟ้า การทดสอบประสิทธิภาพ และการทดสอบใช้งานจริง

การทดสอบระบบไฟฟ้า

การทดสอบในส่วนแรกจะเป็นการทดสอบระบบไฟฟ้าด้วยวิธีการง่ายๆ คือการถอดปลั๊กออก และเสียบปลั๊กใหม่ เพื่อทดสอบว่าเมื่อมี Node ใด Node หนึ่งดับไปแล้วส่งผลกระทบต่อระบบในภาพรวมอย่างไรบ้าง

  • ทดสอบปิดระบบและเปิดใหม่ พบว่าระบบสามารถกลับมาทำงานเหมือนเดิมได้อย่างอัตโนมัติ แต่ตต้องรอมันหน่อย
  • ทดสอบปิดและเปิดใหม่ที่ Node 1 พบว่า Node อื่นใช้งานอินเทอร์เน็ตไม่ได้ทันที
  • ทดสอบปิดและเปิดใหม่ที่ Node 2 พบว่า Node 1 ยังคงใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ปกติ มีผลกระทบที่ Node 3 ไม่สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้
  • ทดสอบปิดและเปิดใหม่ที่ Node 3 พบว่าไม่มีผลกระทบกับ Node อื่นๆ

Latency

การทดสอบ Latency หรือค่า Ping ที่หลายคนรู้จักกัน ในการทดสอบหากค่า Ping ที่วัดได้นั้นยิ่งมีน้อยจะส่งผลต่อประสิทธิภาพการตอบสนองการเข้าใช้งานเว็บไซต์ที่ดี วิธีการทดสอบจะใช้โน๊ตบุ๊คเชื่อมต่อกับ VELOP ด้วย Wi-Fi และย้ายตำแหน่งไปยังจุดต่างๆ ของออฟฟิศทั้ง 3 ชั้น และทำการใช้โปรแกรม Comand Line ใช้คำสั่ง Ping เพื่อ Ping ไปยัง Gateway ของระบบ และ Google Public DNS (8.8.8.8) โดยได้ผลการทดสอบเป็นค่าเฉลี่ยดังนี้

จากผลการทดสอบพบว่าค่า Ping ที่ได้ในแต่ละชั้นมีความต่างกันน้อยมากๆ  หากมองว่าระบบทั้งหมดเชื่อมต่อกันด้วย Wi-Fi ค่า Ping ที่ได้น่าประทับใจมาก อย่างไรก็ตามผลการทดสอบนี้มีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกมาก เช่นสภาพแวดล้อม วัสดุที่ใช้ก่อสร้างอาคาร อาจทำให้ผลการทดสอบเปลี่ยนแปลงได้

Internet Speed

ในหัวข้อการทดสอบนี้เป็นการหาค่าความเร็วอินเทอร์เน็ตที่ได้จากการใช้งานจริง ซึ่งแพ็คเกจอินเทอร์เน็ตที่ใช้งานจะเป็นความเร็ว 80/30 Mbps โดยได้ทำการทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตจากเว็บไซต์ http://www.speedtest.net และแน่นอนว่าเหมือนกับการทดสอบ Ping ที่จะทำการย้ายไปยังจุดต่างๆ โดยได้ผลการทดสอบดังนี้

จากผลการทดสอบ พบว่าชั้น 3 ได้ความเร็วเต็มๆ แต่พอลงมาชั้น 2 พบว่าความเร็วลดลงครึ่งนึง และเมื่อลงไปชั้น 1 ความเร็วจะลดลงอีกเล็กน้อย เอาจริงๆ ผมเองก็แปลกใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าความเร็วที่ได้จะลดลงขนาดนี้ แต่อย่างไรก็ตามผลการทดสอบนี้มีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกมาก เช่นสภาพแวดล้อม วัสดุที่ใช้ก่อสร้างอาคาร ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคของสัญญาณ Wi-Fi ได้

การทดสอบใช้งานจริง

ก่อนอื่นเลยผมขอทดสอบการเล่นเกม Dota 2 ก่อนเลย บททดสอบนี้จัดว่าเป็นบททดสอบที่วัดประสิทธิภาพของสัญญาณอินเทอร์เน็ตว่ามีความนิ่งพอที่จะเล่นเกมที่ต้องการ การตอบสนองที่ดีมากได้หรือไม่

ผลการทดสอบพบว่า ทำได้ดีมาก ไม่ว่าจะเล่นเกมทีชั้นไหนของบ้าน Ping ยังนิ่ง มีแปรผันขึ้นลงไม่เกิน 5 ms และค่า Ping สูงสุด พบว่าไม่เกิน 50 ms ทำให้เล่นเกมได้ลื่นไม่มีกระตุกหัวร้อน แม้ว่าจะอยู่ส่วนไหนของบ้านก็ตาม ในตอนแรกผมคิดว่ามันจะ Ping เยอะกว่านี้ เนื่องจากการเชื่อมต่อระหว่าง Node เป็น Wi-Fi จึงถูกรบกวนจากสัญญาณรบกวนได้ง่าย

ส่วนบททดสอบถัดไปจะเป็นการทดสอบดู Live Steam ความละเอียด 1080p แล้วเดินจากชั้น 3 ไป ชั้น 1 พบว่าลื่นไม่มีสะดุด ไม่มีอาการหมุน ขาดตอนในการรับชม เรียกได้ว่าผ่านบทบทสอบนี้ได้สบายเลย

และสุดท้ายเมื่อเปิดดูขีดวัดระดับสัญญาณในหน้าตั้งค่าของสมาร์ทโฟนแล้วพบว่าเต็ม 3 ขีดตลอด หมายความว่าสัญญาณเต็มทั่วบ้าน ไม่ทีจุดไหนสัญญาณอ่อน เหมือนที่ได้เคลมไว้

สรุปรีวิว Linksys VELOP Mesh Wi-Fi

Linksys VEELOP เหมาะกับผู้ที่ต้องการขยายวง Wi-Fi ให้มีพื้นที่ครอบคุมเพิ่มมากขึ้นด้วยวิธีการที่ง่าย และมีสัญญาณที่ได้มีคุณภาพ หรือบ้านที่ไม่สะดวกเดินสายแลนไปยังส่วนต่างๆ ของบ้าน ฟีเจอร์ระดับสูงที่ให้มาเพียงพอ หรืออาจจะเกินพอสำหรับใช้งานในบ้านด้วยซ้ำ ดีไซน์ที่ดูดี ไม่กินพื้นที่ในการวาง แอปพลิเคชันที่ใช้ง่าย ขนาดที่ว่าถ้าเล่น Line ได้ก็ต้องใช้แอพนี้ได้เช่นกัน ประสิทธิภาพที่เชื่อมั่นได้ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของบ้านสัญญาณจะเต็มตลอด

และสุดท้ายนี้สำหรับใครที่กำลังมองว่าอุปกรณ์มีราคาสูง ผมบอกเลยฟีเจอร์ และความง่ายระดับนี้ ราคานี้สมเหตุสมผลแล้ว ถ้าประหยัดค่าอุปกรณ์ไปใช้รุ่นที่ถูกกว่า คุณก็จะมีค่าใช้จ่ายในส่วนของความรู้ความสามารถในการตั้งค่าให้มันใช้งานได้แบบนี้ สุดท้ายแล้วอาจจะวุ่นวาย ไม่จบงานสักทีก็ได้ หรือใครจะเดินสาย LAN แล้วติดตั้ง Access Point ก็ทำได้เช่นกัน แต่สุดท้ายแล้วคุณก็ต้องมาตั้งค่าเองอยู่ดี ซึ่งแน่นอนยากกว่านี้ ดังนั้น Linksys VELOP พยายยามทำให้ทุกอย่างดูง่ายเพียงแค่ไม่กี่ขั้นตอน สำหรับใครที่สนใจตอนนี้ได้วางจำหน่ายในร้านค้าชั้นนำแล้ว

ส่วนในเรื่องของราคา และควรเลือกรุ่นไหนดี ผมคิดว่าควรจะซื้อ 2 Node ขึ้นไป เพราะในเรื่องของความคุ้มค่าด้วยส่วนหนึ่ง และที่สำคัญเลยคือ ถ้าไม่ใช้ความสามารถ Mesh Wi-Fi ก็ควรที่จะดูเป็นรุ่นอื่นมากกว่า

มาที่คำถามถัดไป บ้านขนาดไหนควรใช้กี่ Node? สำหรับบ้านที่ไม่ใหญ่มาก เช่น บ้านเดี่ยวขนาดกลาง บ้านทาวน์โฮม 2 ชั้น หรือเล็กกว่า คิดว่า 2 Node ก็พอ แต่สำหรับบ้านที่มีขนาดใหญ่ หรือบ้านที่มี 3 ชั้น ควรที่จะซื้อแบบ 3 Node ไปเลยจะได้ “ซื้อแล้วจบ” ไม่ต้องกังวลว่าสัญญาณจะครอบคลุมทั่วบ้านไหม

ข้อดี

  • อุปกรณ์มีประสิทธิภาพสูง รองรับการใช้งานในอนาคตได้อีกหลายปี
  • Ping ต่ำ เนียนเหมือนใช้สาย ถึงแม้ว่าแต่ละ Node จะสื่อสารกันด้วยสัญญาณ Wi-Fi แต่เมื่อทดสอบการใช้งานในพื้นที่ต่างกันในบ้านพบว่าค่า Ping ที่ได้ไม่แตกต่างกันมาก
  • เชื่อมต่อไม่มีสะดุด การสลับการใช้งาน Access Point ต่างๆ ทำได้เร็ว และเนียน จนแทบไม่รู้สึกเลยว่ามีการสลับ
  • พื้นที่ครอบคุลมกว้างมาก รับมือบ้านขนาดใหญ่ได้
  • เทคโนโลยีระดับสูง เช่น Tri-Band Wi-Fi, MU-MIMO, Cloud Controller
  • ติดตั้งง่าย

ข้อสังเกต

  • มีราคาสูง
  • มีข้อจำด้านประสิทธิภาพในบางพื้นที่

ขอขอบคุณภาพจาก wikimedia

from:https://notebookspec.com/review-linksys-velop/441474/

Linksys – เร้าเตอร์ดีไซน์สวยใช้งานง่ายซีรีย์ Velop รุ่นราคาถูกมาแล้ว หลังจากที่ขาย Velop รุ่นปกติไปซักพักในไทย

สำหรับท่านที่รอเร้าเตอร์ดีๆ ฟีเจอร์เยอะจากทาง Linksys อยู่นั้นตอนนี้น่าจะได้เวลาที่ดีแล้วครับเพราะเมื่อไม่นานมานี้นั้นทาง Linksys ได้ทำการเปิดตัวเร้าเตอร์ในซีรีย์ Velop รุ่นราคาถูกออกมาอย่างเป็นทางการและพร้อมกันนั้นก็ได้ทำการเปิดรับ pre-order ในต่างประเทศไปแล้วเรียบร้อย โดยทาง Linksys บอกเอาไว้ว่าจะเริ่มส่ง Velop รุ่นราคาถูกนี้ได้ตั้งแต่ในวันที่ 15 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป ส่วนในเมืองไทยเรานั้นในช่วงกลางๆ เดือนมิถุนายนน่าจะได้เห็นกันครับ

สำหรับข้อแตกต่างของ Velop รุ่นราคาถูกกับรุ่นราคาแพงนั้นก็จะถือการรองรับฟีเจอร์การส่งสัญญาณเครือข่ายเพียงแค่ 2 เครือข่ายเท่านั้น(dual-band) ซึ่งในรุ่นราคาแพงนั้นจะรองรับการส่งสัญญาณเครือข่ายได้ 3 เครือข่าย (tri-band) นอกเหนือไปจากนั้นแล้วใรุ่นราคาถูกก็จะรองรับการส่งสัญญาณเครือข่าย WiFi ตามมาตรฐาน 802.11ac Wave 2 เท่านั้น ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ Velop รุ่นราคาถูกมีราคาถูกกว่ารุ่นราคาแพงนั้นเองครับ

ทั้งนี้ทาง Linksys จะวางจำหน่าย Velop รุ่นราคาถูกออกเป็น 3 package ตามจำนวนตัวเครื่องโดยหากคุณซื้อเพียง 1 ตัวราคาจะอยู่ที่ $129 หรือประมาณ 4,150 บาท, ซื้อ 2 ตัวพร้อมกันจะมีราคาอยู่ที่ $199 หรือประมาณ 6,390 บาท และในรุ่นราคา 3 ตัวจะมีราคาอยู่ที่ $299 หรือประมาณ 9,600 บาท โดยทาง Linksys ได้ให้คำแนะนำเอาไว้ในการเลือกซื้อว่าให้เลือกซื้อตามขนาดพื้นที่ที่คุณจะนำเอา Velop mesh รุ่นราคาถูก ไปทำการติดตั้งครับ

ส่วน Linksys Velop รุ่นปกติที่จำหน่ายในไทยแล้ว จะมีราคาอยู่ที่ 7,990 บาท กับรุ่น 1 ตัว และ 12,990 บาท รุ่น 2 ตัว สุดท้ายกับราคา 17,990 บาทที่เป็นรุ่น 3 ตัว พร้อมประกัน 3 ปี และติดตั้งฟรี ซึ่งถือว่ามีราคาสูงกว่าประมาณนึง แต่กับการรองรับ 3 เครือข่าย (tri-band) นั้นก็มีผลต่อการใช้งานที่หยืดหยุ่นต่างกันพอสมควร ซึ่งความง่ายในการติดตั้ง ใช้งานยังมีความสะดวกเหมือนกันอยู่

ที่มา : theverge

from:https://notebookspec.com/linksys-is-now-selling-a-cheaper-version-of-its-velop-mesh-router/439747/

[Linksys] เปิดตัวเราเตอร์ระบบ TRI-BAND MU-MIMO อีก 2 รุ่นใหม่ ประสิทธิภาพสูงระบบ 802.11ac Tri-Band MU-MIMO

ลิงค์ซิส เปิดตัวเราเตอร์ระบบ TRI-BAND MU-MIMO อีก 2 รุ่นใหม่เสริมทัพผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

นำเสนอเราเตอร์ประสิทธิภาพสูงระบบ 802.11ac Tri-Band MU-MIMO

ยกระดับประสบการณ์โลกออนไลน์สำหรับผู้ใช้งานในบ้านพักอาศัยและโฮมออฟฟิศขนาดเล็กของเมืองไทย 

กรุงเทพฯ 7 กันยายน 2560 – ลิงค์ซิส บริษัทผู้ผลิตเราเตอร์รายแรกที่มียอดจำหน่ายมากกว่า 100 ล้านเครื่องทั่วโลกและเป็นผู้นำด้านโซลูชั่นเครือข่ายการเชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตทั้งสำหรับบ้านพักอาศัยและองค์กร นำเสนอเราเตอร์ระบบ 802.11ac TRI-BAND MU-MIMO ใหม่ล่าสุด 2 รุ่น เพื่อเสริมทัพกลุ่มผลิตภัณฑ์ Max Stream™ ของลิงค์ซิสในตลาดเมืองไทย ได้แก่ รุ่น EA9300 เราเตอร์ระบบ AC4000 Tri-Band MU-MIMO ซึ่งจะมอบประสบการณ์การเชื่อมต่อออนไลน์ความเร็วสูง ทั้งการดาวน์โหลด การถ่ายการทอดสตรีมมิ่ง การเล่นเกม และการท่องอินเตอร์เน็ต และ รุ่น EA8300 เราเตอร์ระบบ AC2200 Tri-Band MU-MIMO ซึ่งทำให้ลิงค์ซิสเป็นแบรนด์เดียวในตลาดเมืองไทยที่มีโซลูชั่นการกระจายสัญญาณ Wi-Fi ด้วยระบบ MU-MIMO สำหรับบ้านพักอาศัยรายใหญ่ที่สุด ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ MU-MIMO ประสิทธิภาพสูงมากกว่า 5 รุ่นสู่ผู้บริโภคทั่วไปในประเทศไทย

เราเตอร์ Tri-Band (แบบ 3 ย่านความถี่) ใช้ระบบ MU-MIMO (Multi-User, Multiple-Input, Multiple-Output) ซึ่งเป็นเทคโนโลยี Wi-Fi 802.11ac Wave 2 รุ่นใหม่ ช่วยยกระดับการทำงานและประสิทธิภาพของเครือข่าย Wi-Fi โดยสร้างช่องความถี่สำหรับการใช้งานเฉพาะตัวแบบ MU-MIMO เสมือนอุปกรณ์แต่ละเครื่องภายในบ้านมีเราเตอร์แยกใช้งานเฉพาะเป็นของตัวเอง

 

ระบบ MU-MIMO มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว

ข้อมูลจากเอกสารวิชาการ The Importance Of MU-MIMO In The Wi-Fi Ecosystem ของสถาบัน ABI Research ระบุว่า ภายในปี ค.ศ. 2019 ชิปเซตความถี่ 5GHz แบบไร้สายมากกว่า 84% จะเปลี่ยนไปใช้ระบบ MU-MIMO ดังนั้น เพื่อให้สามารถทำงานกับอุปกรณ์ไฮเทคที่กำลังวางจำหน่ายในตลอด ทั้งโทรทัศน์ความละเอียดระดับ 4K แล็ปท็อป สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และเครื่องเล่นเกมรูปแบบต่าง ๆ ที่มีความเร็วและประสิทธิภาพสูงขึ้น ผู้บริโภคจึงต้องมั่นใจได้ว่า มีเราเตอร์ Wi-Fi รุ่นใหม่ล่าสุดที่รองรับการทำงานที่สมัยใหม่ของอุปกรณ์ไฮเทคภายในบ้านได้อย่างสมบูรณ์แบบ

“เรารู้สึกตื่นเต้นอย่างมากที่ได้นำเสนอเราเตอร์ระบบ TRI-BAND MU-MIMO รุ่นใหม่ล่าสุดถึง 2 รุ่น เพื่อเสริมกลุ่มผลิตภัณฑ์ Max Stream™ ของลิงค์ซิสในตลาดเมืองไทย ซึ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการเดินหน้าสู่ระบบ 802.11ac อย่างเต็มตัว” นายกวิน อิสระชัยพิสิฐ ผู้จัดการฝ่ายขาย ลิงค์ซิส  ประจำประเทศไทย เบลคิน อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ กล่าว “ด้วยการทำงานแบบเข้มข้นบนช่องความถี่ในปัจจุบัน ทั้งจากการถ่ายทอดเนื้อหาความละเอียดระดับ 4K และการดาวน์โหลดภาพยนตร์ ยิ่งทำให้เครือข่าย Wi-Fi ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงทวีความสำคัญมากกว่าในอดีต ระบบ TRI-BAND และ MU-MIMO ทำให้อุปกรณ์หลายเครื่องสามารถเชื่อมต่อกับเราเตอร์ และ/หรือ เครื่องขยายสัญญาณได้พร้อมกัน ดังนั้น ผลลัพธ์ที่ได้คือ เครือข่าย Wi-Fi ที่รวดเร็วและเชื่อถือได้มากขึ้น”

คุณสมบัติของ Linksys Max-Stream™ AC2200 Tri-Band MU-MIMO ROUTER (EA8300)

เมื่อใช้เทคโนโลยีสัญญาณในระบบ Next Gen AC Wi-Fi ทั้ง Multi-User MIMO (MU-MIMO) และ Tri-Band พร้อมกัน ระบบทั้งหมดจะทำงานประสานกันเพื่อสร้างเครือข่าย Wi-Fi อันทรงประสิทธิภาพและให้ความเร็วสัญญาณเท่ากันในทุกอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตพร้อมกัน ทั้งโทรทัศน์ เกม ปริ้นเตอร์ไร้สาย แล็บท็อป รวมถึงอุปกรณ์อื่น ๆ ด้วยความเร็วสัญญาณสูงถึง 2.2 Gbps‡ โดยเราเตอร์รุ่น Max-Stream AC2200 ของลิงค์ซิสมอบทางเลือกการใช้งานที่ง่ายดายเพื่อยกระดับสัญญาณของโฮมออฟฟิศ และยังสามารถใช้งานร่วมกับแอฟพลิเคชั่นของลิงค์ซิสได้อย่างลื่นไหล ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมเราเตอร์รุ่น EA8300 ผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้จากทุกที่ทุกเวลา โดยเราเตอร์ Max-Stream EA8300 ยังมีฟังก์ชั่นอันล้ำสมัยมากมาย ดังนี้

  • มอบสัญญาณ 3 ย่านความถี่ด้วยระบบ Tri-Band AC2200 – ความเร็วสูงถึง2Gbps (867 Mbps 5GHz + 867 Mbps 5 GHz + 400 Mbps 2.4 GHz)
  • เทคโนโลยี MU-MIMO (Wireless-AC Wave 2) สำหรับดูเนื้อหาความละเอียดระดับ 4K ได้หลายอุปกรณ์พร้อมกัน
  • หน่วยประมวลผลหลักใช้แบบ Quad-Core 716Mhz Processor (ประสิทธิภาพเทียบเท่า 4GHz Dual-Core Processor) 32-bit และสามารถทำงานร่วมกับระบบ ARMv7, 5.5K DMIPS
  • หน่วยความจำ RAM: 256MB DDR3
  • หน่วยความจำ Flash memory: 256MB
  • เสาส่งสัญญาณประสิทธิภาพสูง 4 เสาและตัวขยายสัญญาณอันทรงพลัง ทำให้ครอบคลุมพื้นที่และระยะทางการส่งสัญญาณที่กว้างขวางมากที่สุด
  • เทคโนโลยี Advance Beamforming ของลิงค์ซิส เพิ่มความแรงของสัญญาณ Wi-Fi ให้การเชื่อมต่อที่เสถียรมากขึ้นกับทุกอุปกรณ์
  • ความราบรื่นของสัญญาณทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วขึ้น โดยอุปกรณ์ความเร็วต่ำจะไม่ถ่วงความเร็วของเครือข่ายสัญญาณ Wi-Fi
  • ระบบ Linksys Smart Connect จะเลือกย่านความถี่แบบ 5GHz ให้โดยอัตโนมัติ เพื่อให้ได้สัญญาณไร้สายที่ความเร็วสูงสุด
  • การข้ามเครือข่าย (Roaming) ที่ราบรื่น ด้วยการใช้ชื่อเครือข่ายเดียวเมื่อเชื่อมต่อกับเครื่องขยายสัญญาณ MAX-STREAM ทำให้การข้ามเครือข่ายสัญญาณจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องมีความราบรื่นมากกว่า
  • สามารถบริหารจัดการและควบคุมการใช้เครือข่าย Wi-Fi ได้อย่างง่ายดายทุกที่ทุกเวลาผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ด้วยแอปพลิเคชั่นของลิงค์ซิส
  • ติดตั้งอย่างง่ายดายได้ด้วยตัวเอง

มีจำหน่ายแล้ววันนี้ในราคาปลีก รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ชุดละ 6,990 บาท

คุณสมบัติของ Linksys Max-Stream™ AC4000 Tri-Band MU-MIMO Router (EA9300)

เราเตอร์ลิงค์ซิสรุ่น EA9300 ติดตั้งด้วยเทคโนโลยี 802.11ac Wi-Fi รุ่นใหม่ล่าสุด, รวมถึง MU-MIMO, Tri- Band และเสาส่งสัญญาณภายนอกประสิทธิภาพสูง 6 เสา ซึ่งทำงานประสานกันเพื่อสร้างเครือข่าย Wi-Fi ที่ทรงพลังด้วยความเร็วสัญญาณสูงถึง 4 Gbps‡ เมื่อใช้เราเตอร์รุ่น EA9300 ผู้ใช้ทั่วทั้งบ้านสามารถเชื่อมต่อ Wi-Fi เพื่อเล่นเกมระดับ 4K ฟังเพลงโปรด ส่งอีเมล ซื้อขายสินค้าออนไลน์ ดูการถ่ายทอดเนื้อหาความละเอียดระดับ 4K และกิจกรรมอื่น ๆ ได้ทั้งหมดพร้อมกัน และด้วยความเป็นเราเตอร์ประสิทธิภาพสูงสุดของตลาดในปัจจุบัน ทำให้เราเตอร์รุ่น Linksys Max-Stream AC4000 มอบการทำงานในระดับองค์กรธุรกิจ ซึ่งช่วยยกระดับสัญญาณในบ้านพักอาศัยหรือโฮมออฟฟิศขนาดเล็ก และยังสามารถใช้งานร่วมกับแอฟพลิเคชั่นของลิงค์ซิสได้อย่างลื่นไหล ผ่านทางสมาร์ทโฟนเพื่อการควบคุมเครือข่ายของเราเตอร์ EA9300 ทางไกลได้จากทุกที่ทุกเวลา โดยเราเตอร์ EA9300 ยังมีฟังก์ชั่นชั้นเลิศอีกมากมาย ดังนี้

  • มอบสัญญาณ 3 ย่านความถี่ระบบ Tri-Band AC4000 – ความเร็วสูงถึง  4Gbps (1625 + 1625 + 750 Mbps) สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้มากยิ่งขึ้น
  • มอบ 3 ย่านความถี่แบบ Tri-Band (แบบ 4GHz และ 5GHz อีก 2 ย่านความถี่)
  • MU-MIMO (Wireless-AC Wave 2) สำหรับดูการถ่ายทอดเนื้อหาความละเอียดระดับ 4K ได้หลายอุปกรณ์พร้อมกัน
  • หน่วยประมวลผลหลักใช้แบบ 8GHz Quad-Core Processor เพื่อการประมวลผลข้อมูลความเร็วสูง
  • หน่วยความจำ RAM: 512MB DDR3
  • หน่วยความจำ Flash memory: 256MB
  • เสาส่งสัญญาณประสิทธิภาพสูง 6 เสาตัวขยายสัญญาณอันทรงพลัง มอบการครอบคลุมพื้นที่และระยะทางการส่งสัญญาณที่กว้างขวางมากที่สุด
  • เทคโนโลยี Advance Beamforming ของลิงค์ซิส เพิ่มความแรงของสัญญาณ Wi-Fi ให้การเชื่อมต่อที่เสถียรมากขึ้นกับทุกอุปกรณ์
  • ความราบรื่นของสัญญาณทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วขึ้น โดยที่อุปกรณ์ความเร็วต่ำจะไม่ถ่วงความเร็วของเครือข่ายสัญญาณ Wi-Fi
  • การข้ามเครือข่าย (Roaming) ด้วยการใช้ชื่อเครือข่ายเดียว ทำให้การข้ามเครือข่ายสัญญาณจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องมีความราบรื่นมากกว่า
  • สามารถบริหารจัดการและควบคุมการใช้เครือข่าย Wi-Fi ได้อย่างง่ายดายทุกที่ทุกเวลาผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ด้วยแอปพลิเคชั่นของลิงค์ซิส

กำหนดวางจำหน่ายในเดือนตุลาคม 2560

การวางจำหน่าย

 

เราเตอร์รุ่น Linksys AC2200 Tri-Band MU-MIMO Router (EA8300) วางจำหน่ายแล้ววันนี้ ในราคา  6,990 บาท และรุ่น Linksys AC4000 Tri-Band MU-MIMO Router (EA9300)  กำหนดวางจำหน่ายในประเทศไทยเดือนตุลาคม 2560 โดยจะประกาศราคาอย่างเป็นทางการเมื่อวางจำหน่าย

 

 

 

เกี่ยวกับ ลิงค์ซิส

ลิงค์ซิส คือผู้บุกเบิกในเทคโนโลยีการเชื่อมต่อไร้สาย (Wireless Connectivity) นับตั้งแต่ที่บริษัทฯ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2531 ด้วยกลยุทธ์ด้านวิศวกรรม การสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เหนือชั้น เทคโนโลยีการออกแบบระดับสุดยอด และการให้บริการลูกค้าที่เหนือระดับ ลิงค์ซิสรองรับวิถีชีวิตแบบ Connected Lifestyle ซึ่งเชื่อมโยงผู้ใช้ทั้งที่บ้าน สำนักงาน รวมถึงในขณะเดินทาง และด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีรางวัลเป็นเครื่องรับประกันคุณภาพจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการควบคุมระบบเครือข่ายภายในบ้าน ความบันเทิง ความปลอดภัย และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยอาศัยฟีเจอร์และแอปพลิเคชั่นที่สร้างสรรค์ รวมถึงระบบเครือข่ายพันธมิตรที่ครบวงจร กรุณาดูข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ www.linksys.com และติดตามข่าวสารได้ที่ Facebook และ Twitter หรือดูวิดีโอของเราบน YouTube

 

อัตราความเร็วการรับส่งข้อมูลมาตรฐาน 1733 Mbps (สำหรับย่านความถี่ 5 GHz) และ 800 Mbps (สำหรับย่านความถี่ 2.4 GHz) ถือเป็นอัตราข้อมูลเชิงกายภาพ อัตราจริงทั้งหมดจะมีตัวเลขต่ำกว่านี้และอาจขึ้นอยู่กับการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ไร้สายและปัจจัยภายนอกอื่น ๆ

 

ข้อมูลต่าง ๆ ของประสิทธิภาพการทำงานระบบ IEEE Standard 802.11  อาจแตกต่างกันไปและเครือข่ายไร้สายอาจมีการทำงานต่ำลง เช่น การรองรับการใช้งานเครือข่ายไร้สาย อัตราการรับส่งขอมูล ระยะและการครอบคลุมการใช้งาน ประสิทธิภาพการทำงานจะขึ้นอยู่กับปัจจัย สภาพแวดล้อมการทำงาน และตัวแปรอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงระยะหางจากจุดเชื่อมต่อ ปริมาณการรับส่งข้อมูลในเครือข่าย โครงสร้างและส่วนประกอบของอาคาร ระบบปฏิบัติการที่ใช้ การใช้ผลิตภัณฑ์ไร้สายจากผู้ผลิตหลายราย สัญญาณรบกวน และสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่อาจสงผลกระทบต่อการทำงาน  การใช้งานของลูกค้าที่ซื้อบริการอินเทอร์เน็ตบัญชีผู้ให้บริการบรอดแบนด์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเชื่อมต่อของเราเตอร์ของคุณและคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อและอุปกรณ์อื่น ๆ ไปยังอินเทอร์เน็ต โดยเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด บางอุปกรณ์อาจจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับตัวแปลงสัญญาณไร้สายหรือสายสัญญาณอีเทอร์เน็ตเพื่อเชื่อต่อกับเราเตอร์

อัตราส่วนความเร็วการถ่ายโอนข้อมูลมาตรฐาน – 3 ย่านความถี่ด้วยระบบ Tri-Band AC2200 ความเร็วสูงถึง 2.2Gbps (867 Mbps 5GHz + 867 Mbps 5 GHz + 400 Mbps 2.4 GHz) และ 3 ย่านความถี่ด้วยระบบ  Tri-Band AC4000 ความเร็วสูงถึง  4Gbps (1625 + 1625 + 750 Mbps) ถือเป็นอัตราข้อมูลเชิงกายภาพ อัตราจริงทั้งหมดจะมีตัวเลขต่ำกว่านี้และอาจขึ้นอยู่กับการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ไร้สายและปัจจัยภายนอกอื่น ๆ

สงวนสิทธิ์ของ ©2017 Belkin International, Inc. และบริษัทในเครือ 

ชื่อและโลโก้ผลิตภัณฑ์ Linksys, Max Stream และชื่อผลิตภัณฑ์อื่น ๆ  ถือเป็นเครื่องหมายการค้าของ Belkin International สำหรับเครื่องหมายการค้าของบุคคลที่สามที่ถูกอ้างอิงถือเป็นทรัพย์สินของผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น

from:https://notebookspec.com/linksys-ea8300-ea9300-press-release-thailand/415843/

TP-Link ฉลองครบรอบ 20 ปี ชูความเป็นผู้นำในโลกของอุปกรณ์เน็ตเวิร์ค “TP-Link A 20 -Year Journey”

TP-Link ผู้ให้บริการผลิตภัณฑ์เครือข่าย Wi-Fi อันดับหนึ่งของโลก ฉลองครบรอบ 20 ปี “TP-Link A 20-Year Journey” ในประเทศไทย ชูความเป็นผู้นำในโลกของไวเลสแลนในแนวคิดอินเทอร์เน็ตในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้สามารถทำงานได้ผ่านมือถือสมาร์ทโฟนหรือที่เรียกว่า เทคโนโลยี Internet of Things: IoT ได้ในทุกแพลตฟอร์มด้วยผลการดำเนินงานปีที่ผ่านมานับได้ว่า TP-Link เป็นอันดับหนึ่งในอุปกรณ์ Wi-Fi โดยมียอดขายสินค้า 149 ล้านชิ้นทั่วโลก 

tplink3

งานฉลองครบรอบ 20 ปี “TP-Link A 20-Year Journey” เป็นการขอบคุณพันธมิตรธุรกิจทั้งหมดของTP-Link ทั้งตัวแทนจำหน่ายในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดซึ่งล้วนมีส่วนสนับสนุนการดำเนินงานของ TP-Link ในประเทศไทยให้ประสบความสำเร็จ และพร้อมใจกันเข้าร่วมงานฉลองครบรอบ 20 ปี อย่างคับคั่ง โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น ณ โรงแรมเรดิสัน บลู พลาซ่า กรุงเทพฯ

%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%8b%e0%b8%b5%e0%b9%84%e0%b8%a5-1

นายเม ซีไล General Manager บริษัท ทีพี-ลิงค์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการผลิตภัณฑ์เครือข่าย Wi-Fi อันดับหนึ่งของโลก กล่าวว่า การจัดงานฉลอง “TP-Link A 20-Year Journey” เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการขยายการเติบโตของแบรนด์ TP-link ในประเทศไทย  ตามแผนกลยุทธ์ของบริษัทในทิศทางแนวโน้มของเทคโนโลยี IoT ได้แก่ อุปกรณ์เราเตอร์ Wi-Fi ซึ่งปัจจุบัน TP-link ครองส่วนแบ่งตลาด 45.94 %ของตลาดโลก จากการพัฒนานวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเครือข่ายธรรมดานับว่ามีประวัติผลงานการค้นคว้าวิจัยที่น่าเรียนรู้ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมากับการพัฒนาตัวเองจนเป็นมากกว่าบริษัทด้านเครือข่าย และยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่องในการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าโดยเฉพาะตลาดประเทศไทย

tplink5

TP-Link ได้เข้ามาตั้งสาขาในประเทศไทยครบหนึ่งปี มีผลงานการดำเนินงานทางการตลาดที่ชัดเจน ทั้งเรื่องของการ Rebranding ที่ได้มีการปรับเปลี่ยนโลโก้และรูปแบบของแบรนด์สินค้าเพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ใหม่ขององค์กรพร้อมคำกำกับโลโก้ใหม่ว่า “Reliability Smart” เพื่อตอกย้ำถึงการมุ่งสู่กลุ่มสินค้าอัจฉริยะ โดยโลโก้ใหม่มีลูกศรขั้นศูนย์กลางเพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลางซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าสมัยใหม่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ตัวฟอนต์อักษรที่เรียบง่ายของ TP-Link ก็เป็นเอกลักษณ์ที่ดูเรียบง่ายและเข้าถึงได้มากขึ้น

tplink6

รวมทั้งผลการดำเนินงานในรอบปี 2559 TP-Link มีการเพิ่มตัวแทนจำหน่ายและช่องทางศูนย์บริการในประเทศไทยได้แก่ ซินเน็ค และเอสเทรค ซึ่งครอบคลุมศูนย์บริการกว่า 16 แห่งทั่วประเทศ และยังขายผ่านตัวแทนจำหน่ายชั้นนำอย่าง Advice, Com7, JIB, Power Buy, Big C, Office Mate และร้านค้าทั่วไปภายในห้าง IT ทั่วประเทศ  หรือลูกค้าสามารถติดต่อได้ที่ บริษัท ทีพี-ลิงค์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-440-0029

tplink7

นายออสก้า เหม่ย  Director  บริษัท ทีพี-ลิงค์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า นวัตกรรมของ TP-Link ที่ออกสู่ตลาดซึ่งให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาที่สามารถเข้าถึงได้ทุกแพลตฟอร์ม ออกแบบให้ผู้ใช้งานเข้าถึงง่าย ได้รับความสะดวกในแบบไลฟ์สไตล์มีชีวิตชีวา ซึ่งรวมไปถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ใหม่ให้สอดคล้องกับตลาดSOHO(Small Office /Home Office) และตลาดกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก – ถึงขนาดกลาง ที่มีทิศทางการขยายตัวสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของTP-Link และมีความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจในโลกของ IoT

from:http://mobileocta.com/tp-link-a-20-year-journey/