คลังเก็บป้ายกำกับ: VMWARE_VCLOUD_AIR

VMware ออก vSphere 6.5, VSAN 6.5 และอื่นๆ พร้อมประกาศรองรับ Docker เต็มตัวแล้ว

ในงาน VMworld Europe ทาง VMware ได้ออกมาประกาศเปิดตัว VMware vSphere 6.5, VMware Virtual SAN 6.5, VMware vRealize Automation 7.2, VMware vCloud Air รุ่นใหม่ พร้อมทั้งยังได้ประกาศรองรับการทำงานร่วมกับ Docker ในระดับ Production ได้แล้วอย่างเต็มตัว

LOGO1

การประกาศรองรับการใช้งาน Docker อย่างเต็มตัวในครั้งนี้ก็เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับ Dell EMC ที่เริ่มมีการปรับตัวเข้าหหาเทคโนโลยีอื่น ที่ตอบรับความต้องการของตลาด ในมุมของ VMware นั้น Docker ไม่ใช่คู่แข่งที่ต้องแข่งขันด้วย แต่เป็นเทคโนโลยีที่ควรให้การสนับสนุนและตอบโจทย์การใช้งานของกลุ่มลูกค้าองค์กรร่วมกัน

สำหรับฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามามีดังนี้

 

VMware vSphere 6.5

  • vCenter Server Appliance ช่วยให้ทำการ Patch, Upgrade, Backup, Recovery, High Availability ได้ง่ายกว่าเก่า, รองรับการบริหารจัดการได้มากกว่าเดิม 2 เท่า
  • ปรับปรุง REST API สำหรับใช้ในการทำ Automation ให้ดีขึ้น
  • HTML5-base vSphere Client ใช้งานง่ายขึ้น
  • รองรับการทำ Encryption ที่ระดับ Virtual Machine ได้ ปกป้องทั้งข้อมูล Data at Rest และ VM ที่กำลังทำ vMotion อยู่
  • รองรับการทำ Secure Boot
  • เพิ่ม VMware vSphere Integrated Containers เพื่อเชื่อมต่อกับ Docker และใช้งาน Container ภายใน vSphere ได้เลย
  • เปิดตัว vSphere Virtual Volumes 2.0 ที่รองรับการทำ Array Replication ได้ และทำ Real Application Clusters สำหรับ Oracle Database ได้

 

VMware Virtual SAN 6.5

  • รองรับการทำตัวเป็น iSCSI Target สำหรับให้ Server ภายนอกเชื่อมต่อเข้ามาได้แล้ว
  • มี Persistent Data Layer สำหรับทำงานร่วมกับ Container ผ่านทาง vSphere Integrated Containers
  • มีฟีเจอร์ Two-node Direct Connect ทำให้เชื่อม VSAN ใน ROBO Site ได้โดยไม่ต้องผ่าน Switch หรือ Router อีกต่อไป
  • มี REST API และ PowerCLI ใหม่สำหรับทำ Automation เพิ่มเติม
  • รองรับ Disk ที่ทำ 512-byte Emulated (512e) ได้แล้ว
  • มี Certification Program สำหรับการเชื่อมต่อกับระบบ File Service และ Data Protection จากผู้ผลิตรายอื่นเพิ่มเข้ามา

 

VMware vRealize Automation 7.2

  • รองรับการจัดการ Microsoft Azure ได้แบบ Out-of-the-Box ทำให้ปัจจุบันรองรับการจัดการทั้ง VMware vCloud Air, AWS, Microsoft Azure
  • เพิ่มระบบ Admiral หน้า Portal สำหรับติดตั้งและจัดการ Container ร่วมกับ Docker ได้ผ่านทาง Service Catalog
  • VMware vRealize Log Insight 4.0 เพิ่มการแจ้งเตือนแบบใหม่ และปรับปรุง UI ให้ใช้งานได้ดีขึ้น
  • VMware vRealize Operations 6.4 ปรับปรุงการแจ้งเตือน, มีหน้าปรับแต่ง Dashboard ใหม่
  • รองรับการทำงานร่วมกับ VMware vSphere 6.5

 

VMware vCloud Air

  • เปิดตัว vCloud Air Disaster Recovery แบบ Beta
  • เพิ่มความปลอดภัย
  • รองรับ SD-WAN
  • เปิดตัว VMware Cloud Foundation Service แบบ Beta โดยรองรับการใช้ vSphere, VSAN, NSX จากบริการโดยตรงของ VMware

 

ผู้ที่สนใจโซลูชั่น Open Source Software ต่างๆ รวมถึง Linux/Unix/OpenStack, Data Center Infrastructure, VMware vSphere/VSAN/NSX/vCloud, Microsoft Windows Server และระบบ CMS สำเร็จรูปที่มีประสิทธิภาพสูงและปลอดภัยระดับองค์กรพร้อมบริการครบวงจร ทั้ง WordPress และ Magento หรือกำลังมองหาทีมงาน Outsource Linux/VMware/Windows Systems Engineer สามารถติดต่อทีมงาน UnixDev ได้ทันทีที่โทร 081-651-9393 หรืออีเมลล์ info@unixdev.co.th

 

เกี่ยวกับ UnixDev

unixdev-logo-web

UnixDev คือทีมงานผู้เชี่ยวชาญทางด้าน System Engineering ที่ครอบคลุมทั้ง Linux, Unix, Microsoft Windows และ VMware แบบ Full Stack ซึ่งสามารถให้บริการในการตรวจสอบแก้ไขปัญหาและปรับปรุงประสิทธิภาพและความปลอดภัยสำหรับระบบ Hypervisor, Operating System, Application, Web Application ไปจนถึง Database แบบครบวงจร https://www.unixdev.co.th

 

ที่มา: http://www.theregister.co.uk/2016/10/18/vsan_vsphere_vrealize_vmware_docker/

from:https://www.techtalkthai.com/vmware-announces-vsphere-6-5-vsan-6-5-and-many-others-with-fully-docker-support/

5 ตัวอย่างของการใช้ Internet of Things จริงในธุรกิจระดับโลก

จากที่ Gartner เคยทำนายเอาไว้ว่าปี 2016 นี้จะเป็นปีของ Internet of Things (IoT) สำหรับการนำมาใช้งานในเชิงธุรกิจ ทาง VMware เองก็ต้องการร่วมผลักดันประเด็นนี้จึงได้รวบรวม 5 ตัวอย่างของการใช้ IoT จริงๆ ในธุรกิจมาให้เราได้ดูกัน ซึ่งทีมงาน TechTalkThai ก็ขอนำมาสรุปเอาไว้ดังนี้ครับ

Credit: ShutterStock.com
Credit: ShutterStock.com

 

1. British Telecommunications (BT) กับการใช้ Sensor ตรวจวัดตำแหน่งของสาย Cable ที่มีปัญหา

BT ได้ใช้เทคโนโลยี Location Intelligence จาก Pitney Bowes เพื่อติดตามตำแหน่งต่างๆ ที่เกิดปัญหาภายในระบบเครือข่ายและสาย Cable ในพื้นที่ให้บริการตามอาคารต่างๆ ของลูกค้า ทำให้การให้บริการด้านการสื่อสารเป็นไปได้อย่างราบรื่นขึ้นทั้งในแง่ของการติดตั้งและการแก้ไขปัญหา

 

2. Siemens เปลี่ยนฟาร์มผลิตไฟฟ้าพลังงานลมให้กลายเป็นระบบอัจฉริยะ

Siemens เป็นหนึ่งในผู้นำทางทางด้านเทคโนโลยีพลังงานลมของโลก และได้นำเทคโนโลยี RTI Messaging Software ร่วมกับ Sensor ต่างๆ เพื่อติดตามการทำงานของกังหันผลิตไฟฟ้านับหลายร้อยตัว และทำ Predictive Maintenance ล่วงหน้า พร้อมทั้งการปรับแต่งค่าการทำงานของกังหันให้เหมาะกับสภาพลมในแต่ละช่วงเวลา

 

3. UPS ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดตามเส้นทางการเดินรถ

UPS ทำการติดตั้ง GPS Tracking และระบบ Sensor ตรวจวัดการทำงานของรถยนต์ตั้งแต่ปี 2008 เพื่อค้นหารูปแบบของเส้นทางการเดินรถที่สั้นที่สุดและประหยัดค่าใช้จ่ายที่สุด โดยระบบ On-Road Integrated Optimization and Navigation (ORION) ของ UPS ก็ได้นำข้อมูลทั้งหมดนี้มาวิเคราะห์และช่วยให้ UPS ประหยัดน้ำมันไปได้แล้ว 1.5 ล้านแกลลอนจากการเดินรถด้วยกัน 10,000 เส้นทาง และเตรียมจะขยายการวิเคราะห์ข้อมูลนี้เพิ่มไปถึง 55,000 เส้นทางภายในปี 2017

 

4. Ochsner ใช้อุปกรณ์ IoT ทางการแพทย์ผสานเข้ากับระบบข้อมูลผู้ป่วย

Ochsner Health System ได้ทำการผสานระบบ Electronic Health Record (EHR) ที่มีชื่อว่า Epic เข้ากับอุปกรณ์ Wearable และ IoT เพื่อช่วยให้ได้รับข้อมูลและสื่อสารกับผู้ป่วยได้มากขึ้น และปรับปรุงผลการรักษาให้ดีขึ้นได้จากการนำข้อมูลสุขภาพแบบ Real-time จากอุปกรณ์ IoT ที่ติดตามตัวผู้ป่วยเพื่อวัดค่าต่างๆ มาส่งต่อให้ระบบ Epic เพื่อให้แพทย์สามารถติดตามข้อมูลทางสุขภาพได้โดยตลอด และสามารถวินิจัยอาการได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

 

5. AT&T กับเทคโนโลยีการติดตามตู้ Container ด้วย IoT

สำหรับธุรกิจต่างๆ ที่มีบริการขนตู้ Container นั้น ทาง AT&T ได้มีโซลูชั่น IoT และระบบเครือข่ายสำหรับติดตามตู้ Container และรถขนตู้ Container ได้แบบ Real-time เพื่อลดการฉ้อโกงลง, ติดตาม Inventory ได้แม่นยำ และบริหารจัดการการขนส่งได้ดีขึ้นไปพร้อมๆ กัน

 

VMware กับการรุกเข้าตลาด IoT

ทางด้าน VMware เองก็ได้โฆษณาโซลูชั่นของตัวเองใน Blog ด้วย ซึ่งก็ถือว่าน่าสนใจมากเพราะผลิตภัณฑ์ฝั่ง EUC และ Data Analytics ของ VMware เองจะได้เข้ามามีบทบาทในตลาด IoT เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น AirWatch, vRealize Opearations หรือ vRealize Log Insight ที่สามารถใช้ควบคุม IoT Device, ติดตามการทำงาน และจัดเก็บพร้อมประมวลผลข้อมูลที่ได้รับจาก IoT Device พร้อมๆ กัน ในขณะที่ VMware vCloud, vCloud Air, Federation Enterprise Hybrid Cloud เองนั้นก็จะมามีบทบาทในฐานะ Data Center สำหรับ IoT นั่นเอง

ก็ถือเป็นแนวทางที่ดีสำหรับการนำ IoT มาใช้ในธุรกิจครับ ใครคิดจะทำอะไรสาย IoT ก็ลองรับไปพิจารณาเป็นแนวทางดูได้

ที่มา: http://blogs.vmware.com/euc/2016/03/5-examples-of-iot-in-business.html

from:https://www.techtalkthai.com/5-internet-of-things-in-businesses-examples/

VMware เปิดตัว VMware Fusion 8 สำหรับ Mac OS X รองรับ Windows 10 พร้อมเพิ่มมากกว่า 50 ฟีเจอร์ เน้นตอบโจทย์ Developer เป็นหลัก

VMware เปิดตัว VMware Fusion 8 และ VMware Fusion 8 Pro โดยมีความสามารถที่เพิ่มขึ้นดังต่อไปนี้

vmware_fusion_8

VMware Fusion 8

  • รองรับ Windows 10, Cortana และ Edge Browser
  • ติดตั้งบน Mac OS X El Capitan ได้
  • รองรับ DirectX 10 และ OpenGL 3.3 ทำให้ประมวลผลกราฟฟิคได้เร็วขึ้นถึง 65%
  • รองรับ iMac 5K และจอ Retina 4K

VMware Fusion 8 Pro

  • Integrate กับ VMware vCloud Air ได้ ทำให้สามารถสำรองข้อมูล VM ขึ้นไปยัง Cloud ของ VMware หรือ Push Development Code จาก VMware Fusion 8 Pro ขึ้นไปยัง VMware vCloud Air ได้ทันที
  • แถมฟรี VMware vCloud Air สำหรับใช้งานได้ 600 USD เป็นเวลา 6 เดือน
  • Integrate กับ VMware vSphere, VMware ESXi, VMware Workstation ให้สามารถย้าย VM ไปมาระหว่างกันได้
  • รองรับ 3rd Party อย่าง Chef, Vagrant, Docker เพื่อทำ Automation สำหรับ Virtual Machine และ Container ได้
  • รองรับการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายในรูปแบบที่ซับซ้อนขึ้น เช่น IPv6 NAT

นอกจากนี้ผู้ใช้งาน Mac OS X ยังสามารถอัพเกรดขึ้นไปใช้งาน VMware Horizon FLEX เพื่อทำการบริหารจัดการ VMware Fusion ทั้งหมดที่ใช้งานตามสิทธิ์ที่กำหนดได้

ทั้งนี้ราคาของ VMware Fusion 8 จะอยู่ที่ 79.99 USD ในขณะที่ VMware Fusion 8 Pro จะราคา 199.99 USD โดยสำหรับผู้ที่ใช้งานอยู่เดิมก็สามารถอัพเกรดได้ตามเงื่อนไขที่ VMware กำหนด และผู้ที่เพิ่งซื้อรุ่นก่อนหน้านี้ภายในวันที่ 29 กรกฎาคม สามารถอัพเกรดได้ฟรี

ส่วนผู้ที่ใช้งาน Parallel Desktop อยู่ สามารถซื้อ VMware Fusion และลดราคาได้ถึง 40%

ที่มา: http://ir.vmware.com/releasedetail.cfm?ReleaseID=928721

from:https://www.techtalkthai.com/vmware-announced-vmware-fusion-8-for-mac-os-x-supporting-windows-10/

ผลการทดสอบชี้ VMware vCloud Air ประสิทธิภาพดีกว่า Amazon AWS และ Windows Azure

vmware_logo

VMware ได้ทำการทดสอบ Performance เปรียบเทียบประสิทธิภาพของ Virtual Machine บนระบบ Cloud 3 ค่าย ได้แก่ VMware vCloud Air, Amazon AWS และ Microsoft Azure โดยเปรียบเทียบทั้ง VM ที่ใช้ 2vCPU และ 4vCPU ในสเป็คที่ใกล้เคียงกัน ดังนี้

vmware_vcloud_air_screen-shot-2015-08-20-at-1_22_05-PM

โดยการทดสอบ Linux VM ด้วย CPU SPEC benchmark ได้ผลลัพธ์ดังนี้

vmware_vcloud_air_specfp-results-1024x647

vmware_vcloud_air_specint-results-1024x648

ทั้งนี้ในการเปรียบเทียบทางด้านราคา จะเห็นได้ว่า VMware vCloud Air มีราคาสูงกว่าอีกสองค่ายเล็กน้อย แต่ก็สามารถปรับแต่งเพื่อลด Spec ส่วนที่ไม่ได้ใช้งาน เช่น SSD ลงเหลือเท่าที่จำเป็นต้องใช้ เพื่อลดค่าใช้จ่ายลงได้

vmware_vcloud_air_screen-Shot-2015-08-20-at-1_21_56-PM

แต่เมื่อเปรียบเทียบว่าต้องการะบบที่มีประสิทธิภาพเท่าเทียมกัน Cloud ของคู่แข่งรายอื่นๆ จะต้องใช้จำนวน VM ที่เยอะกว่าเพื่อให้มีประสิทธิภาพเท่ากัน และทำให้โดยรวมแล้วค่าใช้จ่ายสูสีกันอยู่ดี

vmware_price-comp-corrected-1024x405

สำหรับจุดเด่นอื่นๆ ที่ VMware นำเสนอเพิ่มเติมมีดังนี้

  • เลือก Sizing ของ VM เองได้
  • คิดค่าใช้จ่ายเป็นระดับนาที
  • มี High Availability และ Live Migration มาให้เลย
  • รองรับ Workload ทุกรูปแบบที่เคยใช้กับระบบ On-premises

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม และลงทะเบียนใช้งานพร้อมเครดิตฟรีๆ 300USD ได้ทันทีที่ http://vcloud.vmware.com/

แต่ทั้งนี้รายงานฉบับนี้เป็นผลการทดสอบจากทางฝั่ง VMware ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกใช้ก็ควรหาข้อมูลเปรียบเทียบ หรือทดสอบจาก Credit ฟรีที่ผู้ผลิตแต่ละรายให้มาทำการทดสอบ

ที่มา: https://blogs.vmware.com/vcloud/2015/08/vmware-vcloud-air-outperforms-amazon-web-services-and-microsoft-azure.html

from:https://www.techtalkthai.com/vmware-vcloud-air-test-result-is-faster-than-other-cloud/

Gartner เผยผลวิเคราะห์ Magic Quadrant for Cloud Infrastructure as a Service, Worldwide มี Leader 2 รายด้วยกัน

การใช้ Clound Infrastructure as a Service (IaaS) เริ่มเป็นที่นิยมแพร่หลายตามองค์กรต่างๆ ในประเทศไทยมากขึ้น ทางทีมงาน TechTalkThai จึงขอนำเสนอผลวิเคราะห์ Gartner นี้คร่าวๆ ให้ผู้อ่านได้เห็นเป็นไอเดียกันนะครับ

นิยามของตลาด Cloud Infrastructure as a Service

Vendor ที่ถูกจัดอันดับใน Magic Quadrant นี้จะมีเฉพาะผู้ให้บริการ Infrastructure as a Service หรือ IaaS เท่านั้น ซึ่งไม่รวมบริการ Cloud Storage, PaaS, SaaS, Cloud Service Brokerage (CSB) หรือผู้ให้บริการ Cloud อื่นๆ ดังนั้นใน Cloud IaaS นี้จะนับรวมเฉพาะ Vendor ที่สามารถให้บริการระบบ IaaS ที่มีความเป็นมาตรฐาน และบริหารจัดการได้แบบอัตโนมัติ เพื่อผนวกรวมหน่วยประมวลผล, ระบบจัดเก็บข้อมูล และระบบเครือข่ายเข้าด้วยกันให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานหรือองค์กรได้ อีกทั้งระบบจะต้องเพิ่มขยายระบบได้ด้วยความเร็วแบบกึ่ง Real-Time และ คิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งาน รวมถึงยังต้องมีระบบ Self-service เพื่อให้ผู้ใช้งานทำการบริหารจัดการเองได้ทั้งผ่าน Web UI และ API ทั้งนี้ Resource ต่างๆ ที่ต้องใช้ในระบบ Cloud IaaS นี้จะถูกติดตั้งอยู่ใน Data Center ของ Service Provider หรือติดตั้งแบบ On-Premises ใน Data Center ขององค์กรก็ได้

ในรายงานของ Gartner ฉบับนี้มีรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับการนิยาม Cloud IaaS เอาไว้อีกมาก อีกทั้งมีการจำแนกประเภท และคำแนะนำต่างๆ ที่เป็นประโยชน์อีกมากมาย แนะนำให้ผู้อ่านไปโหลดอ่านตัวเต็มกันนะครับถ้ากำลังจะลงทุนเช่า Cloud IaaS มาใช้งาน

Leader 2 ราย: Amazon AWS และ Microsoft Azure

Amazon AWS เป็น Cloud ที่มีพื้นฐานมาจาก Xen และเป็นผู้นำในตลาดของ Cloud IaaS อีกด้วย จะเรียกได้ว่า Amazon AWS เป็นผู้บุกเบิกตลาด Cloud เป็นรายแรกก็ไม่น่าจะผิดนัก โดย Resource รวมทั้งหมดใน Amazon AWS นี้มีมากกว่า Resource ของ Vendor ที่เหลือทั้งหมดใน Gartner Magic Quadrant รวมกันอยู่กว่า 10 เท่าเลยทีเดียว

Amazon AWS นี้มีจุดแข็งเรื่องของความครอบคลุมของโซลูชั่นที่แทบจะตอบโจทย์ได้ทุกรูปแบบด้วย Cloud รวมถึงยังรองรับ Application ที่มีความ Sensitive สูงอย่าง SAP ได้อีกด้วย แต่ในขณะเดียวกันทาง Gartner ก็ให้ข้อสังเกตว่าการใช้โซลูชั่นของ Amazon นี้มีความซับซ้อนสูง เพราะรูปแบบการคิดราคาตามการใช้งานจริง ทำให้บางครั้งองค์กรก็ประเมินยากเช่นกันว่าค่าใช้จ่ายของระบบจะเป็นเท่าไหร่กันแน่ และต้องเลือกใช้ Tier ในการ Support ให้เหมาะสมตามความต้องการ รวมถึงการเลือกใช้บาง Component ใน Amazon AWS นี้ก็ต้องประเมินดีๆ เพราะบางบริการของ AWS ก็ไม่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเท่าที่ควร

Microsoft Azure เองเพิ่งเปิดตัวบริการ IaaS มาเมื่อต้นปี 2013 โดยมีพื้นฐานมาจาก Hyper-V เป็นหลัก และลงทุนอย่างต่อเนื่องจนมีบริการที่สามารถตอบโจทย์ได้หลากหลายรูปแบบเช่นกัน ด้วยการเป็นเบอร์ 2 ของตลาด Cloud IaaS นี้ทำให้ Microsoft มี Resource ในระบบ IaaS มากกว่า 2 เท่าของ Vendor รายอื่นๆ นอกจาก Amazon AWS ใน Magic Quadrant รวมกัน

Microsoft Azure นี้มีจุดแข็งทางด้านภาพรวมของระบบ Cloud ที่เป็นผืนเดียวกันหมดทั้งสำหรับ IaaS, PaaS และ On-Premises Infrastructure รวมถึงยังมีฐานลูกค้าเก่าที่ใช้งาน Microsoft Infrastructure เป็นหลักอยู่มากมาย ทำให้ภาพการทำ Hybrid Cloud สำหรับองค์กรมีความชัดเจน แต่ในขณะเดียวกัน Microsoft Azure เองก็ยังต้องพัฒนาต่อไปในแง่มุมต่างๆ มากมาย เนื่องจากยังคงมีข่าวที่ Azure หยุดทำงานอยู่บ้าง และ Partner ใน Market Place เองก็ยังขาดความเชี่ยวชาญ รวมถึงยังมีโซลูชั่นจาก 3rd Party อย่างจำกัดอยู่ในเวลานี้

โดยความเห็นส่วนตัวจากทีมงาน TechTalkThai ตลาด Cloud IaaS เองก็เริ่มเข้ามารุกๆ ตลาด Enterprise ในเมืองไทยบ้างแล้ว และผู้ผลิตเองก็มีหลากหลาย รวมถึงในไทยเองก็มีผู้ให้บริการ Cloud แบบ Local อยู่ด้วยเช่นกัน ดังนั้นองค์กรต่างๆ จึงควรเริ่มศึกษาเอาไว้เป็นทางเลือกในการลงทุนบ้าง และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องใช้จริงๆ จะได้สามารถประเมินจุดดีจุดด้อยของแต่ละเจ้าได้ จากเมื่อก่อนที่เคยประเมินเชิงเทคนิคเป็นส่วนๆ ของระบบย่อยไป ตอนนี้ต้องหันมามาองภาพรวมของการให้บริการเบ็ดเสร็จแบบนี้แทน ซึ่งก็ต้องอาศัยมุมมองในการประเมินที่แตกต่างออกไปเลยทีเดียว

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถกรอกฟอร์มเพื่อ Download รายงานฉบับเต็มและดู Magic Quadrant ได้ทันทีที่ https://aws.amazon.com/resources/gartner-2015-mq-learn-more-apac/ ซึ่งในรายงานนี้จะมีข้อมูลที่น่าสนใจของ Google, VMware และ IBM SoftLayer อยู่ด้วย

from:https://www.techtalkthai.com/gartners-magic-quadrant-for-cloud-infrastructure-as-a-service-iaas-worldwide/

VMware เปิดตัว Unified Platform สำหรับ Hybrid Cloud เป็นรายแรกของโลก

vmware_logo

VMware ผู้นำด้านเทคโนโลยี Virtualization และ Cloud สำหรับองค์กร ได้ประกาศเปิดตัวระบบ Unified Platform สำหรับ Hybrid Cloud เป็นรายแรกของโลก ทำให้การทำ Virtualization สำหรับ Compute, Network และ Storage สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ในระบบ Hybrid Cloud เพื่อรองรับการสร้าง Environment บน Private Cloud และ Public Cloud ให้เหมือนกันและทำงานประสานกันได้เพื่อใช้งาน Application ที่มีสถาปัตยกรรมแบบ Cloud และแบบทั่วไปได้อย่างทนทานและปลอดภัย สำหรับตอบรับความต้องการของการใช้ Software และ Data ที่จะเติบโตและซับซ้อนขึ้นในอนาคตอันใกล้

vmware_one_cloud

ทั้งนี้ในระบบ Unified Platform ที่ VMware นำเสนอนี้ จะมีส่วนประกอบดังนี้

  • VMware vSphere 6 สำหรับทำหน้าที่ในส่วนของระบบ Hypervisor ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าแต่ก่อน และมีฟีเจอร์ใหม่ๆ เพื่อเสริมความทนทานและการใช้งานให้ดียิ่งขึ้น
  • VMware Integrated OpenStack ซึ่งเปิด API ให้สามารถพัฒนาซอฟต์แวร์มาใช้ร่วมกับ OpenStack เพื่อทำการควบคุม VMware ได้ในเชิงลึกยิ่งขึ้น รวมถึงยังมีการปล่อย Package ของ OpenStack ที่ผ่านการทดสอบการทำงานร่วมกับ VMware เรียบร้อยแล้วให้ได้ใช้งานอีกด้วย
  • VMware Virtual SAN 6 และ vSphere Virtual Volumes สำหรับการสร้างระบบ Hyper-Converged Infrastructure และการบริหารจัดการ SAN Storage สำหรับใช้งานในระบบ Virtualization โดยเฉพาะได้
  • VMware vCloud Air Hybrid Networking Services powered by VMware NSX เป็นหัวใจสำคัญของระบบ Unified Platform สำหรับ Hybrid Cloud โดย vCloud Air Hybrid Networking Services นี้จะเป็นตัวเชื่อมระหว่าง vCloud Air ที่เป็น Public Cloud ให้สามารถทำงานร่วมกับ vSphere ใน Private Cloud ให้กลายเป็น Hybrid Cloud ได้ ซึ่ง VMware NSX ที่เป็นแกนกลางของบริการนี้จะรองรับการ Virtualize ในส่วนของ Network และ Security ที่ระดับ L2-L7 ได้

ทั้งนี้ทาง VMware ได้ให้ข่าวว่าบริการ VMware vCloud Air Hybrid Networking Services นี้จะเปิดให้ใช้งานได้ภายในครึ่งปีแรกของปี 2015

ที่มา: http://www.vmware.com/company/news/releases/vmw-newsfeed/VMware-Unveils-Industrys-First-Unified-Platform-for-the-Hybrid-Cloud/1920295

from:http://www.techtalkthai.com/vmware-announced-unified-platform-for-hybrid-cloud/