คลังเก็บป้ายกำกับ: TECH_2019

Tech 2019 – สงครามด้านการค้าของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้อาจทำให้ราคาหน่วยความจำสูงขึ้นมากกว่าเดิม

ในขณะที่สงครามทางด้านการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนกำลังเริ่มจะเข้าสู่สภาพสงบเพื่อรอดูสถานการณ์ของกันและกันนั้น ทว่าในเอเชียบ้านเราเองนั้นก็มีสงครามทางด้านการค้าเกิดขึ้นเช่นเดียวกันครับ โดยสงครามดังกล่าวนี้นั้นเป็นสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้โดยมีสาเหตุมาจากการที่ศาลของทางเกาหลีใต้นั้นได้ทำการตัดสินให้ญี่ปุ่นต้องจ่ายค่าทำขวัญให้กับผู้รอดชีวิตจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งโดนทางญี่ปุ่นนั้นจับไปเป็นแรงงานทาสโดยผู้ที่ยังรอดชีวิตอยู่นั้นทางญี่ปุ่นจะต้องจ่ายค่าทำขวัญให้แก่พวกเขาคนละ $89,000 หรือประมาณ 2,740,710 บาทต่อรายครับ

งานนี้นั้นทางญี่ปุ่นโดยนายกรัฐมนตรี Shinzo Abe นั้นได้ออกมาบอกเองเลยครับว่าการตัดสินดังกล่าวนั้นค่อนข้างที่จะไม่เป็นธรรมกับชาวญี่ปุ่นสักเท่าไรเนื่องจากว่าสงครามนั้นก็จบมาตั้งแต่ในปี 1965 แล้วและหลังจากนั้นทางญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด งานนี้นั้นทางญี่ปุ่นเองจึงได้ตอบโต้กลับไปยังทางเกาหลีใต้ด้วยสงครามการค้าโดยจะมีการปรับราคาในส่วนของสารเคมีที่สำคัญบางอย่างที่ใช้สำหรับการผลิตหน่วยประมวลผลและหน่วยความจำให้มากขึ้นกว่าเดิมซึ่งผลดังกล่าวนี้นั้นก็จะไปกระทบกับเกาหลีใต้เต็มๆ เพราะเกาหลีใต้นั้นเป็นประเทศที่มียอดการนำเข้าสารเคมีต่างๆ เหล่านั้นจากญี่ปุ่นมากที่สุดครับ

หากทุกท่านได้ลองสังเกตดูนั้นจะเห็นได้ครับว่าในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานั้นหน่วยความจำต่างๆ ก็มีราคาสูงมากขึ้นถึงราวๆ 15% เลยทีเดียวครับ สาเหตุนั้นก็เนื่องมาจากผู้ผลิตหน่วยความจำอย่างเช่น NAND รายใหญ่ที่สุดนั้นต่างก็เป็นบริษัทสัญชาติเกาหลีใต้ทั้งคู่ไม่ว่าจะเป็น Samsung หรือ SK Hynix ครับ งานนี้นั้นเราจะไม่ได้เห็นว่าเฉพาะหน่วยความจำที่มีราคาขึ้นอย่างเดียวนะครับเพราะทั้งแหล่งเก็บข้อมูลรวมไปถึงกราฟิกการ์ดต่างๆ นั้นก็จะมีราคาสูงมากขึ้นตามไปด้วย สำหรับตอนนี้ท่านที่กำลังจะตัดสินใจซื้ออุปกรณ์เพื่อทำการอัพเกรดเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่นั้นต้องระวังเอาไว้ให้ดีครับเพราะจากผลของสงครามดังกล่าวนี้นั้นจะกระทบกับคนทั้งโลกเลยก็ว่าได้ครับ

ที่มา : wccftech

from:https://notebookspec.com/memory-prices-could-soar-if-japansouth-korea-trade-war-continues/488874/

Tech 2019 – ระบบจดจำใบหน้าจะเติบโตขึ้น 2 เท่าภายใน 5 ปี คาดว่านำไปใช้ในทุกภาคส่วน

ระบบจดจำใบหน้าคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในฐานะอุตสาหกรรมภายในทศวรรษหน้า ซึ่งคาดว่าตลาดจะมีมูลค่าถึง 3.2พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 98 ล้านบาท) ถึงอย่างนั้นก็คาดว่าจะเติบโตขึ้นอีกเป็น 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ(ประมาณ 215 ล้านบาท) ภายในปี 2024

ระบบจดจำใบหน้าในขณะนี้คาดว่าจะมีมูลค่าถึง 3.2พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 98 ล้านบาท) อย่างไรก็ตามคาดว่ามูลค่าอาจเติบโตขึ้นเป็น 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ(ประมาณ215ล้านบาท) ภายในปี 2024 ซึ่งคำนวนเป็นอัตราเติบโตที่ 16.6% ใน 5ปี จากการวิจัยล่าสุดบ่งชี้ว่าเหตุการณ์จะเป็นไปตามคาด เนื่องด้วยความสำคัญในด้านความปลอดภัยทั้งทางพลเรือนและทางทหาร

ระบบนี้ได้รับความนิยมบนสมาร์ทโฟน โดยสิ่งที่โดดเด่นที่สุดของเทคโนโลยียืนยันตัวตนคือ automated security, การอ่านลายนิ้วมือ และการจัดการ checkpoint  สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของระบบใหม่เช่น เมืองอัจฉริยะ, การบังคับใช้กฎหมาย และการเฝ้าระวังทางทหาร

นอกจากนี้การจดจำใบหน้าแบบ 3D นั้นต้องการมีส่วนแบ่งมากขึ้นภายใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งถูกมองว่าในด้านความถูกต้อง ความละเอียด และประสิทธิภาพในที่แสงน้อยนั้นเหนือกว่าแบบ 2D ซึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนั้นจะกลายเป็นพื้นที่ที่โดดเด่นที่สุดในตลาด แต่ถึงอย่างไรจากรายงานเกี่ยวกับระบบจดจำใบหน้านั้นจะไม่หยุดที่แค่กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน

ที่มา : notebookcheck

from:https://notebookspec.com/the-facial-recognition-market-is-set-to-roughly-double-in-the-next-5-years/487753/

EV Car – สหภาพยุโรปเตรียมบังคับให้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสร้างเสียงจำลองที่ดังพอให้คนรอบข้างรู้ตัว

หลายๆ ท่านนั้นอาจจะให้ความสนใจต่อรถยนต์ไฟฟ้าเนื่องด้วยข้อดีข้อหนึ่งของมันซึ่งนั่นก็คือการที่ตัวเครื่องยนต์ของรถนั้นเมื่อทำงานแล้วจะเกิดเสียงรบกวนที่เบาเอามากๆ ครับ ทว่าดูเหมือนว่าทางสหภาพยุโรปเองอาจจะไม่เห็นดีเห็นงามกับเรื่องดังกล่าวสักเท่าไรนักเพราะการที่รถยนต์ทำงานโดยมีเสียงน้อยมากๆ นั้นจะเกิดปัญหาที่ว่ารถยนต์, ผู้ใช้จักรยานรวมไปถึงผู้ที่เดินบนท้องถนนไม่สามารถที่จะได้ยินว่ามีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอยู่ใกล้ๆ จนอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ครับ

เพื่อที่จะทำให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถที่จะเป็นไปตามข้อตกลงใหม่ของทางสหภาพยุโรปนั้นตัวรถยนต์ไฟฟ้าที่มีจำนวน 4 ล้อเองจะต้องมาพร้อมกับระบบที่เรียกว่า acoustic vehicle alert system (AVAS) เพื่อสร้างเสียงในการทำงานของตัวเครื่องให้ดังมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งระบบดังกล่าวนี้นั้นจะสร้างเสียงรบกวนเวลารถยนต์ไฟฟ้ากำลังทำงานให้ใกล้เคียงกับรถยนต์ที่ใช้พลังงานรูปแบบอื่นๆ มากที่สุดเท่าที่จะทำได้(หรืออย่างน้อยก็ต้องเท่ากับรถยนต์ธรรมดาทั่วไป) โดยเสียงนั้นจะต้องสามารถเกิดขึ้นได้ถึงแม้ว่าตัวรถจะใช้ความเร็วต่ำกว่าที่ 19 km/hr เป็นต้นครับ(เป็นความเร็วมาตรฐานที่เกิดขึ้นขณะทำการจอกรถหรือถอยหลังเป็นต้นครับ)

ทั้งนี้ทาง BBC ได้มีการเผยตัวอย่างเสียงตามที่สหภาพยุโรปต้องการเอาไว้ใน Twitter ครับ อย่างไรก็ดีครับเรื่องดังกล่าวนี้นั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งดีๆ ที่เราได้เห็นผู้ควบคุมกฎหมายใส่ใจกับผู้ใช้ท้องถนนทั่วไปครับ สำหรับกฎดังกล่าวนี้นั้นได้มีการกำหนดไว้ครับว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่จะออกจำหน่ายตั้งแต่ในปี 2021 เป็นต้นไปมีความจำเป็นที่จะต้องมาพร้อมกับระบบ AVAS ดังกล่าวนี้ครับ

ที่มา : neowin

from:https://notebookspec.com/eu-to-enforce-new-regulations-making-it-necessary-for-electric-vehicles-to-emit-noise/487150/

Tech 2019 – พนักงาน Amazon พัฒนา AI ที่จะช่วยให้น้องแมวเลิกคาบซากสัตว์เข้าไปในบ้าน

คงต้องเริ่มยอมรับกันจริงๆ ครับว่าในปัจจุบันนั้น AI เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตประจำวันของเราๆ ท่านๆ กันมากขึ้น ล่าสุดนั้นได้มีการเผย AI ที่พัฒนาโดยคุณ Ben Hamm ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้จัดการผลิตภัณฑ์ของ Amazon ซึ่งถือได้ว่าเป็น AI ที่น่าสนใจเอามากๆ สำหรับผู้ที่เลี้ยงน้องแมวโดยปล่อยให้เข้าออกในบ้านได้อย่างอิสระ

AI ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นมาจากเหตุการณ์ที่ทางคุณ Ben เริ่มที่จะเบื่อกับนิสัยการคาบซากสัตว์เข้ามาในบ้านของเขาครับ ดังนั้นคุณ Ben เองจึงได้พัฒนา AI ดังกล่าวขึ้นแล้วติดตั้งไว้กับประตูเข้าออกสำหรับน้องแมวเพื่อที่จะฝึกให้น้องแมวเลิกพฤติกรรมดังกล่าวครับ

ตัว AI นั้นจะถูกผนวกเข้ากับกล้องที่สามารถติดตั้งชุดคำสั่ง AI ได้(อย่าง DeepLens ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของทาง Amazon เอง) โดยตัว AI นั้นจะเริ่มทำการจับภาพเพื่อที่จะทำการเรียนรู้ว่าภาพที่บันทึกได้ภาพไหนเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการโดยในที่นี้ก็คือภาพที่เจ้าเหมียวนั้นเดินเข้ามาที่ประตูเข้าบ้านพร้อมกับซากสัตว์ครับ ลักษณะของกดารเรียนรู้นั้นจะเป็นไปตามภาพดังต่อไปนี้ครับ

เมื่อตัว AI นั้นสามารถที่จะทำการจับภาพน้องเหมียวคาบเอาซากสัตว์มาด้วยนั้น ตัว AI จะทำการสั่งให้ประตูเปิดปิดสำหรับเข้าบ้านของเจ้าเหมียวล๊อคเป็นระยะเวลา 15 นาทีครับ ออกไปจากนั้นแล้วตัว AI จะยังส่งข้อความไปหาคุณ Ben ด้วยครับว่า ณ ขณะนั้นเจ้าเหมียวของคุณ Ben กำลังคาบซากสัตว์มา ตามที่คุณ Ben ได้กล่าวไว้นั้นวิธีการดังกล่าวนี้สามารถที่จะลดจำนวนการคาบซากสัตว์เข้าบ้านของเจ้าเหมียวได้เป็นอย่างดีครับ

นอกไปจากนั้นแล้วคุณ Ben ยังได้กล่าวอีกด้วยครับว่า AI ดังกล่าวนั้นสามารถที่จะพัฒนาขึ้นไปให้ฉลาดกว่าเดิมได้อีกอย่างเช่นทำการป้องกันไม่ให้เจ้าเหมียวไปทำการไล่ฆ่านกซึ่งเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งของเจ้าเหมียว โดยตัวคุณ Ben เองนั้นจะได้ส่ง AI ดังกล่าวนี้ไปให้กับ National Audubon Society เพื่อที่จะขยายการใช้งานให้มากขึ้นต่อไปโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เรียกว่างานนี้ทั้งฉลาดและก็ใจบุญอีกด้วยครับ

ที่มา : theverge

from:https://notebookspec.com/an-amazon-employee-made-an-ai-powered-cat-flap-to-stop-his-cat-from-bringing-home-dead-animals/487129/

Tech 2019 – BMW เผย … ชาวยุโรปยังคงไม่มีความต้องการรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าในตอนนี้

ถึงแม้ว่าช่วงนี้นั้นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าจะเป็นที่ต้องการมากขึ้นของขาวอเมริกัน ทว่ากับผู้คนที่อยู่ในโซนยุโรปแล้วนั้นกลับไม่ได้มีทิศทางไปในแบบเดียวกันครับ โดยล่าสุดนั้นคุณ Klaus Frölich ผู้อำนวยการฝ่ายการพัฒนาของทาง BMW ได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ครับว่าประชาชนชาวยุโรปนั้นยังคงมีความต้องการรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันมากกว่าไฟฟ้า โดยกว่าที่ชาวยุโรปจะเริ่มให้ความสนใจกับรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้านั้นก็คงจะปาเข้าไปอีก 30 ปีนู่นเลยครับ

Vision M Next concept car รถยนต์ต้นแบบระบบ hybrid ระหว่างพลังงานไฟฟ้าและน้ำมัน

ตามข้อมูลนั้นได้ระบุเอาไว้ครับว่าทาง BMW นั้นจะผลิตรถตามความต้องการของชาวยุโรปมากกว่าโดยที่พวกเขาเองนั้นก็จะไม่พยายามยัดเยียดเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าไปบนตัวรถหากผู้ใช้ยังคงไม่ค้องการ ตามกำหนดการนั้นทาง BMW มีแผนการที่จะเปิดตัวรถยนต์แบบ battery-electric vehicles (BEVs) ในช่วงปี 2025 ทว่าในรถหลายๆ รุ่นนั้นก็จะยังคงเป็นแบบ hybrid ที่ยังคงสามารถที่จะใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงได้อยู่ครับ

ถึงแม้ว่าสำนักงานสิ่งแวดล้อมยุโรปจะได้มีการรายงานเอาไว้ว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานั้นมีอัตราการปล่อยก๊าซ CO2 เพิ่มมากขึ้นจากรถยนต์ทว่าทาง BMW นั้นก็ยังคงไม่เห็นว่าจะมีผู้ใช้ชาวยุโรปร้องหารถยนต์พลังงานไฟฟ้าแต่อย่างใดครับ ทว่าทาง BMW เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องดังกล่าวนี้ดังนั้นตามที่ได้บอกไว้ในตอนต้นครับว่าทาง BMW เองจะเริ่มค่อยๆ ขยับเข้าสู่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าตั้งแต่ในปี 2025 ซึ่งรถยนต์ดังกล่าวนั้นก็จะยังคงเป็นระบบ hybrid ที่ผู้ใช้ยังคงสามารถเลือกใช้พลังงานจากน้ำมันได้อยู่ครับ

ตามที่ทาง BMW เห็นนั้นพบว่าโซนที่ต้องการรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้ามากๆ นั้นจะเป็นโซนในประเทศจีนและอเมริกาเหนือมากกว่าโซนอื่นๆ ของโลกครับ ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้นแล้วแต่ตามสถิติที่ทาง BMW เก็บไว้นั้นก็ยังคงพบว่ารถยนต์พลังงานน้ำมันของพวกเขานั้นก็ยังคงมียอดจำหน่ายสูงขึ้นถึง 1.6% ในโซนดังกล่าวดังนั้นแล้วทาง BMW เองก็ไม่อยากที่จะเร่งรัดเท่าไรนักในการยัดเยียดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้กับผู้บริโภคครับ

ที่มา : forbes

from:https://notebookspec.com/bmw-says-european-customers-arent-demanding-evs/486752/

Tech 2019 – DisplayPort 2.0 รองรับการแสดงผลที่ระดับ 16K@60Hz หรือ 8K@120Hz แบบ 2 หน้าจอ

เทคโนโลยีนี่ถือได้ว่ามาเร็วจริงๆ ครับ ล่าสุดนั้นทาง VESA ได้ประกาศมาตรฐาน DisplayPort เวอร์ชัน 2.0 รุ่นใหม่ล่าสุดที่ความสามารถนั้นสูงมากขึ้นแบบเทพ โดยตัวพอร์ตเวอร์ชัน 2.0 นั้นจะรองรับความละเอียดหน้าจอสูงสุดที่ระดับ 16K หรือ 15360 x 8460 pixels ที่ 60 Hz รวมทั้งยังรองรับความละเอียดหน้าจอระดับ 8K ที่ 120 Hz แบบ 2 หน้าจอ หรือจะเป็นความละเอียด 4K ที่ 144 Hz แบบ 2 หน้าจอก็ได้อีกด้วยครับ

หากดูตามแบนด์วิดธ์ที่มาตรฐานใหม่อย่าง DisplayPort 2.0 รองรับนั้นจะเรียกได้ว่าเพิ่มขึ้นจาก DisplayPort 1.3/1.4 เพราะแบนด์วิดธ์ที่เวอร์ชัน 2.0 รองรับนั้นจะสูงมากถึง 80 Gbps เลยทีเดียว(จาก 32.4 Gbps ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าตัว)

งานนี้นั้นเรียกได้ว่าประกาศมาครั้งนึงก็รองรับอนาคตกันอีกยาวไกลแบบสบายๆ ครับ ที่เหลือนั้นก็คงจะต้องรอดูว่าเราๆ ท่านๆ จะได้ใช้งานจริงกันเมื่อไรเพราะในปัจจุบันนั้นหน้าจอที่มาพร้อมกับความละเอียดที่ระดับ 4K นั้นยังเรียกได้ว่าค่อนข้างที่จะแพงอยู่พอควรแถมจำนวนผู้ใช้งานจริงนั้นก็น้อยเอามากๆ นอกไปจากนั้นถึงแม้กราฟิกการ์ดเพื่อการเล่นเกมรุ่นใหม่ๆ เองถึงจะรองรับความละเอียดภาพที่ระดับ 4K เหมือนกันแต่ในการเล่นเกมจริงนั้นก็ยังไม่สามารถขับ FPS ออกมาได้มากเท่าไรครับ

ที่มา : tweaktown

from:https://notebookspec.com/displayport-2-0-supports-16k-at-60hz-dual-8k-at-120hz/486592/

Tech 2019 – สงครามการซื้อขายระหว่างสหรัฐฯกับจีนทำให้บริษัทเกาหลีต้องย้ายฐานการผลิตออกจากจีน

ถึงแม้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนจะยังไม่จบ ทว่าในตอนนี้นั้นเราก็เริ่มนับศพทหารได้แล้วครับ ล่าสุดนั้นผลกระทบได้ขยายไปในวงกว้างมากกว่าที่เราคิดเอาไว้จนล่าสุดนั้นบริษัทสัญชาติเกาหลีผู้ผลิตหน้าจอในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Samsung Electronics, Hyundai Motor, Kia Motors และ LG Electronics ก็เริ่มทยอยย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนไปเป็นประเทศอื่นกันมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะเป็นการป้องกันไม่ให้ทางบริษัทต้องเสียหายมากหากทางสหรัฐอเมริกาเริ่มมีการกำหนดข้อกำหนดในกฎหมายมากขึ้นกว่านี้ครับ

ถึงแม้ว่าการตัดสินใจเรื่องดังกล่าวนั้นอาจจะไม่ค่อยเป็นการส่งผลที่ดีมากนักกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของผู้ให้เงินทุน(ซึ่งผู้ให้ข้อมูลในที่นี้คือสถาบันทางการเงินของญี่ปุ่นที่มีหุ้นในบริษัทสัญชาติเกาหลีใต้) รวมไปถึงบริษัทผู้ผลิตเองที่ต้องย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีน ทว่าเพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อนนั้นทางผู้ให้เงินทุนรวมไปถึงทางบริษัทผู้ผลิตเองต่างก็ตัดสินใจร่วมกันแล้วครับว่าควรจะต้องทำการย้ายฐานการผลิตที่ส่วนใหญ่เคยอยู่ในประเทศจีนนั้นออกจากประเทศจีนก่อน ก่อนที่ผลกระทบของสงครามดังกล่าวนั้นจะลามมาถึงตัว

บริษัทแรกที่เป็นผู้ตัดสินใจนั้นก็คือ Samsung ครับเนื่องจากว่าเอาเข้าจริงๆ แล้วนั้นทาง Samsung เองเจอผลกระทบตั้งแต่ในช่วงที่ผ่านมาแล้วอย่างในการขายผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนของทาง Samsung ในประเทศจีนเองนั้นในปี 2018 ที่ผ่านมาก็สามารถแย่งส่วนแบ่งในตลาดจีนได้แค่เพียง 1% เท่านั้น โดยหลังจากนี้นั้นทาง Samsung ก็จะยกเลิกกระบวนการผลิตสมาร์ทโฟนภายในประเทศจีนออกทั้งหมดเช่นเดียวกันครับ

แน่นอนครับว่าหลังจากนั้นบริษัทอื่นก็ทยอยตามรอย Samsung ถอยออกจากประเทศจีนกันเรื่อยๆ ตามรายชื่อที่ได้บอกไปไว้ในข้างต้น เรียกได้ว่าสงครามรอบแรกนี้นั้นทางสหรัฐอาจจะเอาชนะไปก็ได้ทว่าก็คงต้องรอดูกันต่อไปครับเพราะเรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นปัญหาระดับประเทศที่ทางรัฐบาบจีนเองก็คงไม่อยู่เฉยๆ ให้สหรัฐอเมริกาได้ใจอย่างนี้ต่อไปแน่ๆ สิ่งหนึ่งที่จะเป็นผลกระทบกับเราๆ ท่านๆ ก็คือผลิตภัณฑ์ไหนที่ฐานการผลิตหลุดออกจากประเทศจีนแล้วนั้นราคาของมันน่าจะขึ้นมาในระดับหนึ่งเพราะแรงงานในประเทศจีนนั้นถือว่าค่าจ้างถูกมากเมื่อเทียบกับโซนอื่นๆ ของโลกครับ

ที่มา : asia.nikkei.com

from:https://notebookspec.com/south-korean-companies-shift-production-out-of-china/485867/

Tech 2019 – Broadcom โวย Huawei โดนแบนส่งผลกระทบกับบริษัทโดยตรง คาดปีนี้รายได้หดกว่า $2 Billion

ดูเหมือนว่าการแบน Huawei ของสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้นั้นจะยังคงส่งผลกระทบกันอีกยาวครับ แถมหนำซ้ำแล้วผู้ที่โดนผลกระทบใหญ่ๆ นั้นก็เป็นบริษัทสัญชาติอเมริกันเองด้วย ล่าสุดนั้นในงานรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่สองของทาง Broadcom นั้นก็ดูท่าไม่ค่อยจะดีเท่าไรครับเพราะทางบริษัทได้นั้นได้บอกกับทางผู้ลงทุนว่าบริษัทอาจจะทำยอดรายได้ตกลงมากถึง $2 Billion หรือประมาณ 62,720,000,000 บาทเลยทีเดียวครับ

สำหรับบริษัท Broadcom นั้นมีชื่อเสียงทางด้านการผลิตชิปสำหรับการติดต่อสื่อสารครับไม่ว่าจะเป็นชิปที่ใช้งานกับโมเด็ม, DSPs, ARM CPUs, network switches รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้งานทางด้านเครือข่ายที่ทั้งหมดนั้นถือว่าเป็นรายได้กับบริษัทเป็นอย่างมากมาโดยตลอด ซึ่งทาง Broadcom เองนั้นก็มี Huawei เป็นคู่ค้ารายสำคัญซึ่งจากข้อมูลที่ทาง Broadcom รายงานออกมาเองนั้นจะพบว่ารายได้ของบริษัทอย่างน้อย 4% มาจากทาง Huawei เพราะทาง Huawei นั้นมีการนำเอาผลิตภัณฑ์ของทาง Broadcom ไปใช้งานในการผลิตอุปกรณ์สำหรับการเชื่อมต่อไร้สายอย่างเช่น WiFi, Bluetooth และ GPS เป็นอย่างมากครับ

ทาง Broadcom เองนั้นได้รายงานออกมาครับว่าในการประเมิณการขาดทุนในครั้งนี้นั้นจะถูกแยกออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกนั้นก็คือส่วนที่ทาง Broadcom ทำการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้กับทาง Huawei โดยตรงคิดเป็นมูลค่ารายได้ที่ราวๆ $900 million หรือประมาณ 28,215,000,000 บาท ส่วนที่สองนั้นจะเป็นการขาดรายได้จากการที่ต้องยุติการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้กับบริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทาง Huawei ซึ่งโดยรวมทั้งหมดแล้วนั้นรายได้ของ Broadcom ก็จะหายไปอยู่ที่ราวๆ $2 Billion ครับ

งานนี้นั้นเรียกว่าการแบน Huawei ทำเอาหลายๆ บริษัทสัญชาติอเมริกาเองต่างก็ออกมาแสดงความไม่พอใจ(แบบเงียบๆ) กันมากมายครับไม่ว่าจะเป็น Intel, AMD, NVIDIA, Qualcomm และบริษัทอื่นๆ อีกมากมายที่ได้ก้าวเท้าออกมารายงานผลการประกอบการในปีนี้นั้นจะลดเป็นประวัติการณ์ คงต้องรอดูทางรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาแล้วล่ะครับว่าจะแก้ปัญหานี้กันอย่างไร

ที่มา : wccftech

from:https://notebookspec.com/broadcom-thinks-the-huawei-ban-will-cost-it-2-billion-this-year/485003/

Tech 2019 – Uber Air ต้นแบบ Taxi ทางอากาศ ที่ทั้งสบายและปลอดภัย หนีรถติดไปด้วยในตัว

เช่นเดียวกันกับตอนที่ทาง Uber ได้ทำการเปิดตัวที่นั่งต้นแบบสำหรับบริการขนส่งของทาง Uber ผ่านทางรถยนต์ออกมาครับ โดยล่าสุดนั้นทาง Uber ได้มีการเปิดตัวห้องโดยสารต้นแบบสำหรับเฮลิคอปเตอร์ซึ่งจะมาในชื่อของบริการว่า Uber Air ซึ่งคงต้องยอมรับกันจริงๆ ครับว่าดีไซน์ต้นแบบดังกล่าวนี้นั้นถือได้ว่าน่าสนใจเอามากๆ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องของการตกแต่งที่ดูเรียบง่ายแต่มีระดับ ทว่ามันดูแล้วยังกว้างขวางสื่อให้เห็นถึงความสะดวกสบายรวดเร็วเมื่อใช้งานอีกด้วยครับ

สำหรับในห้องโดยสารนั้นจะสามารถรองรับผู้เดินทางได้สูงสุดที่จำนวน 4 คนโดยที่นั่งจะถูกแบ่งออกเป็น 2 แถว แถวละ 2 ที่นั่ง สำหรับผู้นั่งที่แถวด้านหน้านั้นจะสามารถเก็บของได้ทางขั้นวางของที่อยู่ทางด้านหน้าผู้โดยสาร ส่วนผู้ที่นั่งแถวหลังนั้นจะสามารถเก็บของได้ทางช่องเก็บของทางด้านหลังของที่นั่ง ตัวเครื่องต้นแบบนั้นมาพร้อมกับการตกแต่งไฟด้วยการใช้สีโทนฟ้า ทำให้มองแล้วดูเก๋ไปอีกแบบ สำหรับที่นั่งผู้โดยสารนั้นจะไม่ได้สะดวกสบายมากถึงขั้นที่นั่งบนเครื่องบินเนื่องจากทาง Uber นั้นตั้งใจเอาไว้ว่าบริการ Uber Air จะทำการรับส่งในระยะที่ไม่ไกลมากเท่าไรครับ

การออกแบบครั้งนี้นั้นทาง Uber ได้ทำการร่วมกันออกแบบกับทางบริษัท Safran Cabin ซึ่งสิ่งที่ทาง Uber ต้องการสำหรับการออกแบบนั้นก็คือเรียบง่ายแต่ต้องมาพร้อมกับการตกแต่งที่ทันสมัย โดยทั้งหมดทั้งมวลนั้นจะต้องผ่านการรองรับมาตรฐานสำหรับ eVTOL [electric vertical take-off and landing] ซึ่งทาง Uber เองนั้นก็พร้อมที่จะทำการเปลี่ยนแปลงดีไซน์ในส่วนต่างๆ เพื่อให้สามารถรับการรองรับมาตรฐานดังกล่าวนี้ได้ครับ

ทั้งนี้ตามกำหนดการของทาง Uber นั้นคาดเอาไว้ว่าจะสามารถนำเอาเครื่องขึ้นบินทดสอบได้ภายในปี 2020 ที่จะถึงนี้ หลังจากนั้นแล้วก็จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการออกมาในปี 2023 หากไม่มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้นทางไทยเราเองก็คงไม่ได้ใช้บริการแบบนี้ในประเทศเราอย่างแน่นอนครับ คงได้แต่อิจฉาชาวอเมริกันกันไปก่อน

ที่มา : theverge

from:https://notebookspec.com/ubers-air-taxis-will-resemble-really-nice-helicopters-on-the-inside/484954/

Samsung – ประกาศเริ่มพัฒนา 6G ในเกาหลีใต้แล้ว และโฟกัสงานวิจัยไปที่ A.I. หุ่นยนต์ไปพร้อมๆกัน

ในปัจจุบันมาตราฐาน 5G นั้นยังไม่สมบูรณ์พร้อม แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดยังซัมซุงในการพัฒนาเครื่อข่ายรุ่นต่อไปได้ และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการพัฒนา 6G ทางซัมซุงจึงได้ขยายทีมวิจัย 5G เดิม เพื่อสร้างศูนย์วิจัยการสื่อสารขั้นสูงแห่งใหม่ทางตอนใต้ของกรุงโซล

มาตราฐาน 5G นั้นในปัจจุบันได้รับการยอมรับมากขึ้นแล้ว ถึงแม้จะยังมีแค่ที่ สหรัฐ, สหราชอาณาจักร, จีน และเกาหลีใต้ ที่มีเครือข่ายให้บริการ โดยในปัจจุบันอุปกรณ์มือถือเริ่มมีการปล่อยเครื่องที่รองรับ 5G ออกมาบ้างแล้ว ซึ่งคาดว่า 5G นั้นจะให้ความเร็วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไฟเบอร์แบบความเร็วคงที่ 1 Gbps  มาตราฐานนี้จะเป็นผลดีต่อ PC และ โน๊ตบุ๊ค อย่างไรก็ตาม ข่าวล่าสุดของ BBC ได้ออกอากาศผ่านสัญญาณ 5G เป็นสิ่งพิสูจน์ว่าความเร็วนั้นยังไม่เพียงพอและอาจจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2ปี ในการติดตั้งเครือข่ายให้มีเสถียรภาพมากขึ้น

Samsung เป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายแรกที่เปิดตัวมอืถือที่รองรับระบบ 5G อย่าง Galaxy S10 5G ซึ่งมาพร้อมกับโมเด็ม 5G ที่แยกต่างหาก  แต่ทาง Samsung สัญญาว่าในปีหน้าจะรวมโมเด็ม 5G เข้ากับชิพเซ็ตของตัวเอง ในขณะเดียวกันดูเหมือนว่าทางซัมซุงก็มีความคืบหน้า หลังจากที่ทางบริษัทได้ประกาศทุ่มเททรัพยากรในการวิจัย 5G เป็นผลสำเร็จ

เพื่อเพิ่มผลสำเร็จในการวิจัยให้สูงสุด ทาง Samsung ได้ใช้หลักการ R&D ในการพัฒนาศูนย์วิจัยการสื่อสารขั้นสูงในเกาหลีใต้ ศูนย์วิจัยนี้จะยังคงพัฒนามาตราฐาน 5G ต่อไปพร้อมๆกับวางแบบแผนมาตราฐาน 6G ไปด้วย ในขณะเดียวกันก็จะโฟกัสงานวิจัยไปที่ A.I. และหุ่นยนต์ไปพร้อมๆกัน

ที่มา : notebookcheck

from:https://notebookspec.com/samsung-already-researching-a-future-6g-standard/483562/