คลังเก็บป้ายกำกับ: SI

G-Able ชูจุดเด่น System Integration Plus Plus: SI++ มุ่งเน้นการบริการ

กลุ่มบริษัทจีเอเบิล ผู้นำในการให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัลโซลูชันอย่างครบวงจรประกาศทิศทางและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจปี 2564 ก้าวข้ามทุกข้อจำกัด สู่อนาคตที่เติบโตและยั่งยืน ชูจุดเด่น System Integration Plus Plus: SI++ มุ่งเน้นการให้บริการวางรากฐานทางเทคโนโลยี และใช้ประโยชน์เพื่อต่อยอดทางธุรกิจ พร้อมผนึกกำลังกับบริษัท ไฟร์ วัน วัน จำกัด (Fire One One) นำเสนอบริการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นแบบครบวงจร (One Stop Service) และเปิดตัวผลิตภัณฑ์แฟล็กชิพตัวใหม่ Blendata และ InsightEra ภายใต้การนำทัพของ “ดร.ชัยยุทธ ชุณหะชา” กรรมการผู้จัดการ

คุณนาถ ลิ่วเจริญ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทจีเอเบิล กล่าวว่า “จากสถานการณ์ปัจจุบันซึ่งมีผลกระทบทั้งจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว องค์กรธุรกิจทั้งในไทยและทั่วโลกต่างเผชิญกับความท้าทายในการทำให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ จากผลสำรวจ CEO ทั่วโลกโดยบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำอย่างการ์ทเนอร์ เพื่อจัดอันดับ Top Business Priorities ในปี พ.ศ. 2564 – 2565 พบว่า องค์กรต่างๆ ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนธุรกิจโดยมีเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งจะช่วยตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่มีความแตกต่างกันในหลากหลายมิติได้ดียิ่งขึ้น ได้แก่ 1. การสร้างรายได้และการเติบโตแบบก้าวกระโดดของธุรกิจรูปแบบใหม่ โดยมุ่งเน้นการสร้างตลาดใหม่และการตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล 2. การทำธุรกิจดิจิทัลด้วยการทำงานแบบ ‘digitalization’ ซึ่งนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้ในองค์กร ลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด และ 3. การทรานส์ฟอร์มองค์กร ด้วยการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง กลยุทธ์ รูปแบบการดำเนินธุรกิจ (business model) ไปจนถึงพัฒนาบุคลากร เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้บริโภค ทั้งนี้กลุ่มบริษัทจีเอเบิล มีความพร้อมที่จะช่วยปฏิรูปองค์กรธุรกิจต่างๆ ในทุกอุตสาหกรรมของประเทศไทย โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจของลูกค้าให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายภายใต้การนำของ ดร.ชัยยุทธ”

คุณนาถ ลิ่วเจริญ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทจีเอเบิล

ดร.ชัยยุทธ ชุณหะชา กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทจีเอเบิล กล่าวว่า “จีเอเบิลเป็นบริษัทไอทีชั้นนำที่สร้างเสาหลักทางเทคโนโลยีให้กับลูกค้าด้วยประสบการณ์มากกว่า 32 ปี ในการบูรณาการระบบโครงสร้างพื้นฐานไปจนถึงดิจิทัลโซลูชันที่ทันสมัย และนำเสนอโซลูชันที่สามารถตอบสนองความต้องการขององค์กรธุรกิจ เพื่อยกระดับความสามารถทางการแข่งขันให้กับธุรกิจในทุกภาคส่วนอุตสาหกรรม โดยจีเอเบิลมีจุดแข็งที่ทำให้มีความแตกต่างและได้เปรียบคู่แข่งในตลาดหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการโดยบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ โดยมีนักพัฒนาระบบและซอฟแวร์ (developer in-house) มากกว่า 1,000 คน รวมถึงการมีประสบการณ์และความเข้าใจในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เช่น ธุรกิจการเงิน ธุรกิจโทรคมนาคม ธุรกิจประกัน ภาคอุตสาหกรรมพลังงาน ตลอดจนสถาบันการศึกษาต่างๆ นอกจากนี้จีเอเบิลยังเป็นพันธมิตรกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก และมีศักยภาพในการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ด้านฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล”

ดร.ชัยยุทธ ชุณหะชา กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทจีเอเบิล

ในปี 2564 นี้ กลุ่มบริษัทจีเอเบิล มุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมก้าวไปข้างหน้า ก้าวผ่านข้อจำกัดต่างๆ ด้วยกลยุทธ์ที่สร้างจุดเด่น และความแตกต่างในการให้บริการผ่านกลยุทธ์ ทั้ง 3 ด้าน

1) กลยุทธ์การพัฒนาตัวเองสู่ System Integration Plus Plus (SI++) คือ กลยุทธ์การพัฒนาตัวเองจาก System Integration หรือ SI ให้เป็น SI++ นอกจากเป็นผู้ให้บริการสร้างรากฐานทางเทคโนโลยีให้กับธุรกิจแล้ว จะมุ่งเน้นที่การช่วยลูกค้าต่อยอดทางธุรกิจโดยการแนะนำการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีรากฐานต่างๆ เหล่านั้น เพื่อให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลสูงสุด และปลอดภัยมากที่สุด ด้วยจุดแข็งของจีเอเบิลที่รู้ลึกด้านเทคโนโลยี เข้าใจลูกค้า ตอบโจทย์เทคโนโลยีมาแรงทั้ง 4 กลุ่มโซลูชัน ที่จะมีผลต่อทุกภาคส่วนอุตสาหกรรม ได้แก่

• G Cloud Solution กลุ่มโซลูชันที่ให้บริการคลาวด์เทคโนโลยีแพลตฟอร์มอย่างครบวงจร รองรับตลาดคลาวด์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

• G Security Solution กลุ่มโซลูชันที่ช่วยป้องกันระบบและข้อมูลขององค์กรจากการโจมตีทางไซเบอร์ ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในยุคปัจจุบัน

• G Big Data Solution กลุ่มโซลูชันที่มุ่งเน้นการจัดการบิ๊กดาต้าและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ

• G RPA Solution กลุ่มโซลูชันการทำงานแบบอัตโนมัติ (Robotic Process Automation) ที่ตอบโจทย์การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดต้นทุนให้กับการดำเนินธุรกิจ

2) กลยุทธ์การสร้างทางเลือกใหม่สำหรับดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในรูปแบบTransformation As a Service (TAAS) คือ กลยุทธ์การสร้างทางเลือกใหม่ให้กับทุกธุรกิจด้วยโซลูชันที่ช่วยด้านการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นแบบครบวงจร (One Stop Service) โดยจีเอเบิลได้ร่วมมือมือกับ บริษัท ไฟร์ วัน วัน จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการทำบิสซิเนสทรานส์ฟอร์เมชั่นชั้นนำระดับประเทศ ร่วมพัฒนาคุณค่าและโมเดลธุรกิจใหม่ ด้วยการผสมผสานระหว่างความสามารถทางด้านดิจิทัลของจีเอเบิล และความคิดสร้างสรรค์ทางธุรกิจของไฟร์ วัน วัน เพื่อนำเสนอโซลูชันที่ครอบคลุมในทุกมิติให้แก่ลูกค้า ตั้งแต่เป็นที่ปรึกษาด้านการวางกลยุทธ์ไปจนถึงการต่อยอดทางธุรกิจ ซึ่งกลยุทธ์ธุรกิจ TAAS นี้จะเป็นตัวช่วยในการสร้างรายได้จากกลุ่มธุรกิจใหม่ (new S-curve) ให้กับจีเอเบิลต่อไปในอนาคต

3) กลยุทธ์สร้างความแตกต่างและการเติบโตด้วย Own IP Platform คือ กลยุทธ์การพัฒนา IP Platform ที่เป็นลิขสิทธิ์ของจีเอเบิล เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด ด้วยประสบการณ์กว่า 32 ปี ทำให้บริษัทฯ เข้าใจถึงปัญหาของลูกค้าและความต้องการของตลาดเป็นอย่างดี จึงได้พัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ที่ชื่อว่า Blendata (เบลนเดต้า) และ InsightEra (อินไซท์เอรา) โดย Blendata เป็นผลิตภัณฑ์แฟล็กชิพยุคบิ๊กดาต้า ซึ่งแพลตฟอร์มนี้จะช่วยองค์กรจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงทางธุรกิจ ด้วยต้นทุนที่จับต้องได้ ส่วน InsightEra นั้นเป็นแพลตฟอร์มทางด้านการตลาดดิจิทัล ที่มาตอบโจทย์ธุรกิจในเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าในเชิงลึก รวมถึงความต้องการของลูกค้า เพื่อความได้เปรียบในการแข่งขัน ทั้งนี้จีเอเบิลเตรียมที่จะเปิดตัว Blendata ผลิตภัณฑ์แฟล็กชิพตัวใหม่ของกลุ่มบริษัทในเดือนมิถุนายนนี้

“จีเอเบิลมีความพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน เพื่อการให้บริการลูกค้าอย่างครบวงจรในหลากหลายมิติ ด้วยกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งทั้ง 3 ด้าน จะเป็นตัวขับเคลื่อนจีเอเบิล ให้เติบโตแบบก้าวกระโดด และสามารถสร้างประมาณการรายได้ในอีก 5 ปีข้างหน้าได้ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจีเอเบิลได้ทรานส์ฟอร์มองค์กร เพื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โดยเทคโนโลยีถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างกลยุทธ์ และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเองที่เข้าใจความต้องการของลูกค้าเข้าใจในอุตสาหกรรมธุรกิจ รวมถึงการสร้างคุณค่าให้กับองค์กรธุรกิจ เพื่อผลักดันรายได้และผลกำไรที่เหนือกว่า” ดร.ชัยยุทธ กล่าวทิ้งท้าย

from:https://www.enterpriseitpro.net/gable-system-integration-plus-plus/

[Guest Post] AMD แนะนำโปรเซสเซอร์ AMD Ryzen 4000 Series มาพร้อมกราฟิกการ์ด AMD Radeon เพื่อส่งมอบประสิทธิภาพที่ก้าวล้ำให้กับการใช้งานเชิงพาณิชย์และผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไป

ออกแบบมาเพื่อ OEM และ SI กลุ่มใหม่ๆ ประกอบด้วยคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กสำหรับองค์กร คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (Tower Desktop) และเกมมิ่งคอมพิวเตอร์ที่ล้ำสมัย พร้อมวางจำหน่ายในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ –

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – 22 กรกฎาคม 2563AMD (NASDAQ: AMD) เปิดตัวผลิตภัณฑ์โปรเซสเซอร์ x86 กระบวนการผลิต 7nm ตัวแรกของโลกและล้ำหน้าที่สุด มาพร้อมกราฟิกการ์ดที่อยู่ภายใน สำหรับตลาดกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปและการใช้งานเชิงพาณิชย์ โปรเซสเซอร์รุ่น AMD Ryzen™ 4000 Series with Radeon Graphics และโปรเซสเซอร์ AMD Athlon™ 3000 Series with Radeon Graphics ด้วยเทคโนโลยีคอร์ประมวลผลที่ทันสมัยที่สุด ผสานเข้ากับประสิทธิภาพของกราฟิกการ์ดที่ยอดเยี่ยมภายในโปรเซสเซอร์ใหม่นี้ 

โปรเซสเซอร์ใหม่ AMD Ryzen™ 4000 G-Series นำเสนอประสิทธิภาพอีกระดับทั้งในด้านการทำงาน และการประหยัดพลังงานสำหรับ กลุ่มผู้ใช้ทั่วไป เกมเมอร์ สตรีมเมอร์ และครีเอเตอร์ โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen 4000 Series มาพร้อมเทคโนโลยีระดับมืออาชีพ ที่สร้างขึ้นเพื่อคอมพิวเตอร์ธุรกิจในยุคใหม่ นำเสนอโซลูชันระดับองค์กร เทคโนโลยีขั้นสูง และฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยม สร้างขึ้นบนเทคโนโลยีกระบวนการผลิตขนาด 7nm ระดับชั้นนำ และสถาปัตยกรรมหลัก “Zen 2” นำเสนอประสบการณ์การใช้งานและเทคโนโลยี การประหยัดพลังงานที่ยอดเยี่ยมให้กับผู้ใช้ ในแพลตฟอร์มซ็อกเก็ต AMD AM4 ที่ล้ำสมัย

ซาอิด มาสคาลานี่ รองประธานอาวุโส และผู้จัดการทั่วไปฝ่ายไคลเอนท์คอมพิวติ้ง บริษัท AMD กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นผลักดันประสิทธิภาพการประมวลผลและกราฟิกการ์ดมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานอันน่าทึ่งให้กับลูกค้าทุกคน ตั้งแต่กลุ่มผู้ใช้ทั่วไป เกมเมอร์ สตรีมเมอร์ ไปจนถึงผู้ใช้งานในระดับองค์กร การที่เราได้ร่วมงานกับพันธมิตรมาอย่างยาวนาน วันนี้เรารู้สึกตื่นเต้นกับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen 4000 Series โปรเซสเซอร์ที่ดีที่สุดที่มาพร้อมกับกราฟิกการ์ดภายใน ส่งมอบประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม ทั้งในด้านการทำงาน และการเล่นเกม”

โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen 4000 G-Series with AMD Radeon Graphics

ด้วยประสิทธิภาพการตอบสนองและการแสดงผลที่สมบูรณ์แบบของกราฟิกการ์ด AMD Radeon ภายในโปรเซสเซอร์ ทำให้ผู้ใช้สามารถเพลิดเพลินไปกับประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม ทั้งด้านการ เล่นเกม และการสร้างคอนเทนต์ ซึ่งขับเคลื่อนประสิทธิภาพการประมวลผลด้วยโปรเซสเซอร์ AMD Ryzen 4000 G-Series โดยที่ไม่ต้องใช้กราฟิกการ์ดแยก นอกจากนี้ยังมีโปรเซสเซอร์ใหม่ AMD Athlon 3000 G-Series ที่ให้ประสิทธิภาพการตอบสนอง และฟีเจอร์ที่ทันสมัยสำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ระดับเริ่มต้น โดยใช้สถาปัตยกรรมหลัก “Zen” และกราฟิกการ์ดภายใน ทำให้เป็นโปรเซสเซอร์ AMD ตระกูล Ryzen ที่มีประสิทธิภาพสูง

โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen 4700G นำเสนอประสิทภาพ 

  • ประสิทธิภาพการทำงานรูปแบบมัลติเธรดเพิ่มขึ้น 5 เท่า เมื่อนำไปเทียบกับรุ่นก่อนหน้า
  • ประสิทธิภาพการทำงานรูปแบบซิงเกิลเธรดเพิ่มขึ้น 5% เมื่อนำไปเทียบกับโปรเซสเซอร์ Intel Core i7-9700
  • ประสิทธิภาพการทำงานรูปแบบมัลติเธรดเพิ่มขึ้น 31% เมื่อนำไปเทียบกับโปรเซสเซอร์ Intel Core i7-9700
  • ประสิทธิภาพการประมวลผลด้านกราฟิกเพิ่มขึ้น 202% เมื่อนำไปเทียบกับโปรเซสเซอร์ Intel Core i7-9700

     

 

โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen 4000 Series พร้อมด้วยเทคโนโลยีระดับมืออาชีพ

โปรเซสเซอร์ใหม่ AMD Ryzen PRO 4000 Series และ AMD Athlon PRO 3000 Series สร้างขึ้นมาสำหรับการทำงานด้านธุรกิจที่ทันสมัย และนำเสนอมาตรฐานใหม่ให้กับ คอมพิวเตอร์สำหรับธุรกิจในยุคใหม่ ด้วยประสิทธิภาพการประมวลผลขั้นสูง และฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่ทันสมัย ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ก้าวทันความต้องการของผู้ใช้ในปัจจุบันที่ต้องการความรวดเร็ว และการทำงานธุรกิจจากระยะไกล พร้อมฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น AMD Memory Guard และ AMD Secure Processor มาพร้อมฟีเจอร์ด้านการจัดการที่ลื่นไหล องค์กรธุรกิจต่างๆ สามารถไว้วางใจได้ว่าระบบที่ขับเคลื่อนประสิทธิภาพด้วยโปรเซสเซอร์ AMD นั้น จะง่ายต่อการจัดการในระดับองค์กร และส่งมอบฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่เชื่อถือได้

โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen PRO 4000 Series นำเสนอประสิทธิภาพ:

  • ประสิทธิภาพด้านการประมวลผลที่รวดเร็วกว่าคู่แข่งถึง 31%
  • ประสิทธิภาพต่อวัตต์ที่สูงกว่าคู่แข่งถึง 43% 

คำกล่าวสนับสนุน

มค์ แนช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี และหัวหน้าฝ่ายประสบการณ์ลูกค้า และกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ บริษัท HP Inc. กล่าวว่า “ลูกค้าของเราต้องการการผสมผสานที่ดีที่สุดระหว่างประสิทธิภาพการทำงานและความคุ้มค่า เรานำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์ โปรเซสเซอร์ AMD ที่ครอบคลุมทั้งประสิทธิภาพการประมวลผลที่ยอดเยี่ยม และกราฟิกการ์ดที่ดีที่สุดสำหรับคอมพิวเตอร์ทั่วไป และเกมมิ่งคอมพิวเตอร์ ไปจนถึงฟังก์ชั่นการใช้งานที่ยืดหยุ่น และความปลอดภัยระดับองค์กร ในคอมพิวเตอร์เชิงพาณิชย์ เพื่อประสิทธิภาพการทำงานในทุกที่ทุกเวลา”

ดีลิป บาเทีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายประสบการณ์ลูกค้า บริษัท Lenovo กล่าวว่า “ที่ Lenovo เรารับฟังปัญหาของลูกค้าเสมอมา เพื่อหาโอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนาประสบการณ์ การใช้งานคอมพิวเตอร์ให้กับลูกค้าของเรา ผลิตภัณฑ์รุ่น IdeaCentre™ และ ThinkCentre™ ให้บริการลูกค้าทั่วไปและเชิงพาณิชย์ในวงกว้างด้วยเหตุผลที่ว่าผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทุกคนต้องการประสิทธิภาพการทำงานที่ลื่นไหลมากขึ้น พื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่มากขึ้น และประสิทธิภาพ ด้านกราฟิกที่เชื่อถือได้ ไม่ว่าจะทำงานจากที่บ้าน หรือที่ออฟฟิศ และยังต้องการดีไซน์ที่สวยงาม ด้วยการนำความเร็วของโปรเซสเซอร์ AMD Ryzen ที่ได้รับการยกระดับไปอีกขั้น ออกแบบให้มีความกะทัดรัดและเป็นเอกลักษณ์ในหลายๆ ปัจจัย ทำให้เราสามารถนำเสนอทางเลือกที่มากขึ้นสำหรับการมอบประสบการณ์การทำงาน โดยไม่ส่งผลกระทบต่อรูปแบบการใช้งาน ผลิตภัณฑ์ Lenovo รุ่น IdeaCentre 5 ได้รับการอัพเกรดมาพร้อมกับรูปลักษณ์การออกแบบที่เรียบง่าย ขับเคลื่อนประสิทธิภาพ การประมวลผลด้วยโปรเซสเซอร์ AMD Ryzen 4700G พร้อมด้วยกราฟิกการ์ด AMD Radeon Graphics ภายใน เพื่อมอบความเร็วในการประมวลผลตามที่คุณต้องการ สำหรับความบันเทิงใน ระดับพรีเมียมและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ในขณะที่อุณหภูมิของเครื่องระหว่างทำงาน ยังเย็นและเงียบ ผลิตภัณฑ์ที่ขับเคลื่อนประสิทธิภาพการประมวลผลด้วยโปรเซสเซอร์ AMD Ryzen PRO 4000 Series ประกอบไปด้วยผลิตภัณฑ์กลุ่มคอมพิวเตอร์ธุรกิจรุ่น Lenovo ThinkCentre M75t, M75s และ M75q ซึ่งจะมีการอัปเดตในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงนี้ ส่งมอบความยืดหยุ่นการทำงานในปัจจัยที่แตกต่างกันพร้อมฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่ทันสมัย และโซลูชันด้านการจัดการสำหรับการใช้งานที่สะดวกมากยิ่งขึ้น และการจัดการด้านไอที”

 การวางจำหน่าย

โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen 4000 G-Series คาดว่าจะวางจำหน่ายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 ผ่านช่องทางพันธมิตร OEM รวมถึง Lenovo และ HP โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen PRO 4000 Series คาดว่าจะวางจำหน่ายในวันที่ 21 กรกฎาคมนี้ ผ่านทางผู้จัดการด้านระบบ (SI) และคาดว่าจะเริ่มวางจำหน่ายผ่านช่องทาง OEM ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่จะถึงนี้ โดยผลิตภัณฑ์โปรเซสเซอร์รุ่น AMD Ryzen G-Series, Athlon 3000 G-Series, Ryzen PRO 4000 Series และ Athlon PRO 3000 Series จะมีวางจำหน่ายเฉพาะช่องทาง SI และ OEM

 

เกี่ยวกับ AMD

เป็นเวลากว่า 50 ปีที่ AMD ขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพสูงทั้งในส่วนของการประมวลผลกราฟิก และเทคโนโลยีเวอร์ชวลไลเซชั่นต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญสำหรับวงการเกม เป็นแพลตฟอร์มระดับมืออาชีพ และเป็นศูนย์กลางข้อมูล ผู้บริโภคหลายร้อยล้านคน องค์กรธุรกิจชั้นนำที่จัดอยู่ในกลุ่ม Fortune 500 และหน่วยงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ทั่วโลก ต่างใช้เทคโนโลยีของ AMD เพื่อการพัฒนาศักยภาพด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การใช้ชีวิต การทำงาน และความบันเทิง พนักงานของ AMD ทุกคนทั่วโลกล้วนมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่จะก้าวข้ามขอบเขตของข้อจำกัดทั้งหลาย ท่านสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ AMD (NASDAQ: AMD) และกระบวนการสร้างสรรค์ต่าง ๆ ที่เราทำในปัจจุบันและที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ที่เว็บไซต์ website, blog, Facebook และ Twitter 

 

from:https://www.techtalkthai.com/amd-ryzen-4000-series/

เปิดกลยุทธ์ใหม่ ISSP ปี 2018: ต่อยอดบริการ Cloud ด้วยบริการ Solution Integrator โดยทีมงานมืออาชีพ

หลังจากที่บริษัท Internet Solution and Service Provider หรือ ISSP นั้น ได้ก้าวรุกเข้าสู่ตลาดของผู้ให้บริการ Cloud ในไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจนเติบโตอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ทีมงาน ISSP พร้อมจะก้าวสู่การเติบโตในอีกระดับด้วยการผลักดันบริการทางด้าน Systems Integrator หรือ SI ด้วยประสบการณ์จากการให้บริการและการดูแลระบบ IT แบบ 24×7 สำหรับ 4 กลุ่มโซลูชันทางด้าน IT เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจให้ครอบคลุมทั้งในส่วนของ Cloud, On-premises และ Hybrid ได้ครบวงจร

 

จากผู้เชี่ยวชาญระบบ Cloud และ Internet ก้าวสู่การให้บริการ Systems Integrator ระดับองค์กรด้วยความมั่นใจ

 

 

ในอดีตเมื่อได้ยินชื่อของ ISSP เรามักจะเห็นภาพของผู้ให้บริการ Cloud Internet และ Colocation สำหรับภาคธุรกิจกันเป็นหลัก เพราะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ หลังจากที่ ISSP ได้เริ่มเปิดให้บริการ Cloud และทำการตลาดอย่างหนักจนบริการ Cloud เติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยบริการที่ครอบคลุมทั้ง IaaS, PaaS และ SaaS รวมถึงยังมีบริการ Internet สำหรับองค์กร ให้สามารถเชื่อมต่อ Cloud ได้อย่างมั่นใจในประสิทธิภาพและความปลอดภัย ดังเช่นตัวอย่างต่อไปนี้

  • บริการ cloud ระบบ IaaS ด้วยเทคโนโลยีเบื้องหลังจาก VMware
  • บริการ eazy cloud ระบบ IaaS ด้วยเทคโนโลยีเบื้องหลังจาก Parallels
  • บริการ Microsoft Azure และ Office 365 สำหรับองค์กรที่ต้องการทีมบริการช่วยเหลือการใช้งานในไทย
  • บริการ Cloud Data Protection และ Disaster Recovery ด้วยเทคโนโลยีจาก Arcserve, Dell EMC และ Veeam
  • บริการ mail ระบบ Cloud Email สำหรับธุรกิจและองค์กร
  • บริการ SAP Business One Cloud สำหรับองค์กรที่ต้องการระบบ ERP และ CRM พร้อมทีมงานคอยดูแลรักษาตลอด 24×7 และจัดเก็บข้อมูลในประเทศไทยฃ
  • บริการ Unified Communications as a Service ครอบคลุมระบบ Cloud PBX, Hybrid PBX และ Conference พร้อมใช้งานได้ทันที
  • บริการ co ระบบ E-Marketplace สำหรับขาย Software และ Application Service พร้อมระบบชำระเงินออนไลน์ที่ปลอดภัย
  • บริการ Payment Integration สำหรับการชำระเงินออนไลน์เชื่อมต่อกับบริการต่างๆ ของธุรกิจองค์กร ครอบคลุมทั้งระบบ Wallet และ Payment Gateway

ในการเติบโตของบริการ Cloud นี้เองก็ทำให้ทีมงานของ ISSP ได้สั่งสมประสบการณ์การดูแลรักษาระบบ IT Infrastructure สำหรับบริการ Cloud ด้วยผลิตภัณฑ์ชั้นนำระดับองค์กรและ Open Source Software หลากหลาย รวมถึงยังได้สร้างกระบวนการในการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน เพื่อสนับสนุนให้องค์กรต่างๆ สามารถใช้งานระบบ IT เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจไปได้อย่างต่อเนื่อง ประสบการณ์และองค์ความรู้เหล่านี้เองที่ทำให้ ISSP มั่นใจว่าจะสามารถเปิดให้บริการ Systems Integrator หรือ SI ให้กับเหล่าธุรกิจองค์กร นำความรู้ความสามารถของทีมงานไปใช้ตอบโจทย์ความต้องการในระบบ IT และพลิกแพลงเทคโนโลยีได้อย่างคล่องตัว

 

ISSP เปิดให้บริการ Professional Services: ให้บริการ Systems Integrator ด้วยประสบการณ์ระดับ Cloud Provider

 

 

ในปี 2018 นี้ ISSP ได้ตั้งใจเปิดตลาด Professional Services ในฐานะของ Systems Integrator (SI) ที่มีทีมวิศวกรซึ่งผ่านประสบการณ์การติดตั้ง ใช้งาน และการดูแลรักษาระบบ IT Infrastructure ที่ต้องให้บริการตลอด 24×7 ในฐานะของ Cloud Provider มาแล้วด้วยเทคโนโลยีที่หลากหลาย ผสานเข้ากับประสบการณ์ด้านการให้บริการระบบ IT และ Internet สำหรับธุรกิจที่สั่งสมมายาวนานกว่า 20 ปีในอุตสาหกรรม IT ไทย โดยกลุ่มบริการหลักๆ ทางด้าน SI จะมีดังต่อไปนี้

  1. Turnkey Solution บริการการออกแบบ, วางแผน, ทดสอบ, ติดตั้ง, ดูแลรักษา รวมถึงบริหารจัดการโครงการด้านการลงทุนระบบ IT ในระดับองค์กรให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีแบบครบวงจร
  2. Managed Services บริการด้านการบริหารจัดการดูแลรักษาระบบแบบ 24×7 เสมือนทีมงาน ISSP เป็นทีมงานขององค์กรลูกค้า เพื่อให้ระบบ IT สามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องไม่ติดขัด และไม่ต้องเผชิญกับปัญหาด้านการจ้างพนักงานฝ่าย IT เพื่อทำงานในเชิงรับอีกต่อไป
  3. Performance Improvement สำหรับเหล่าองค์กรที่มีปัญหาด้านประสิทธิภาพการทำงานของระบบหรือ Application ที่มีอยู่ ทางทีมงาน ISSP ก็พร้อมเข้าไปช่วยตรวจสอบปัญหาและปรับแต่งการทำงานของระบบให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ให้ระบบ IT ของคุณทำงานได้อย่างคุ้มค่าสูงสุดทั้งในเชิงของ Hardware และ Software
  4. Problem Solving บริการดูแลรักษาและแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระบบ IT Infrastructure ขององค์กร ครอบคลุมทั้งแบบสัญญารายปี หรือเรียกใช้บริการเป็นรายครั้งไป

บริการในฝั่ง SI นี้จะครอบคลุมผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและคุ้นชื่อกันเป็นอย่างดี ดังนั้นหากมองเผินๆ แล้ว ISSP เองก็อยู่ในฐานะของ SI รายหนึ่ง แต่มีจุดเด่นเพิ่มเติมคือการที่มีบริการ Cloud ของตนเองอย่างหลากหลาย และทีมงานที่พร้อมให้บริการทั้งระบบ Cloud และการให้บริการในระดับ SI ได้อย่างครบวงจร ครอบคลุมทั้งส่วนของ Server, Storage, Network และ Security นั่นเอง

ทั้งนี้ ISSP ก็ได้จับมือร่วมกับแบรนด์ต่างๆ เป็นจำนวนมากและมีทีมงานวิศวกรคอยให้คำปรึกษา, ช่วยเหลือ, ติดตั้ง และดูแลรักษาระบบต่างๆ อย่างครบวงจร เพื่อให้เหล่าองค์กรมีผู้ให้บริการที่สามารถตอบได้ทุกโจทย์คำถามในรายเดียว และพร้อมจะเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุดต่อความต้องการที่แตกต่างกันไปของแต่ละองค์กร โดยไม่ยึดติดกับแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งเท่านั้น

 

 

ผสานระบบ On-premises เข้ากับบริการ Cloud รองรับสถาปัตยกรรม Hybrid สำหรับองค์กร

ด้วยการเปิดให้บริการ Professional Services ในครั้งนี้ ทำให้ในภาพรวมแล้ว ISSP กลายเป็นหนึ่งใน Systems Integrator ที่สามารถช่วยให้องค์กรก้าวไปสู่ภาพของการทำ Hybrid Cloud ได้อย่างสมบูรณ์รายหนึ่ง โดยการช่วยองค์กรในการสร้าง Private Cloud ด้วยองค์ความรู้และเทคโนโลยีต่างๆ ที่ ISSP เชี่ยวชาญอย่าง Microsoft หรือ VMware ผสานเข้ากับบริการ Cloud ของทาง ISSP เองนั้น พร้อมเชื่อมต่อด้วยบริการ Internet สำหรับธุรกิจองค์กร และการดูแลรักษาตลอด 24×7 ด้วย Managed Service

Hybrid Cloud นี้จะมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับองค์กรที่ต้องการทั้งความทนทานและความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยนระบบ IT เพื่อให้รองรับต่อการเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วหรือการทดสอบเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือพัฒนาระบบใหม่ๆ ขึ้นมาตอบโจทย์ทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และแน่นอนว่าการที่มีผู้ให้บริการ Cloud ซึ่งมี Data Center อยู่ในประเทศไทยทั้งหมดอย่าง ISSP นั้น ก็ถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้หน่วยงานราชการเองสามารถเริ่มต้นใช้บริการ Cloud และก้าวสู่การทำ Hybrid Cloud ได้อย่างแท้จริง

เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของเหล่าธุรกิจองค์กรที่ต้องการใช้งาน Hybrid Cloud อย่างมั่นใจ ทาง ISSP เองจึงได้จับมือกับ VMware เพื่อเปิดให้บริการ Hybrid Cloud ร่วมกันอย่างเป็นทางการในประเทศไทย โดยทาง ISSP นั้นจะเปิดให้บริการ Cloud ด้วยเทคโนโลยีจาก VMware ตามมาตรฐานและข้อกำหนดต่างๆ ที่ VMware กำหนดเอาไว้ เพื่อให้เหล่าลูกค้าองค์กรที่ใช้งานเทคโนโลยีจาก VMware อยู่แล้ว สามารถเลือกใช้ ISSP เป็นผู้ให้บริการ Cloud ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบต่างๆ ของ VMware ที่ใช้งานอยู่เดิมภายใน Data Center ขององค์กรได้ทันที ทำให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ, การเพิ่มขยาย และการย้ายระบบต่างๆ ระหว่างกัน พร้อมทั้งยังมีทีมวิศวกรจาก ISSP คอยช่วยดูแลตลอด 24×7 เป็นภาพที่สมบูรณ์ของการใช้งานระบบ Hybrid Cloud

 

สำหรับผู้ที่สนใจในบริการของ ISSP สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โดยตรงได้ทันทีที่โทร 02-033-0999 หรืออีเมล์ Webmkt@isp-thailand.com

สนใจติดต่อ ISSP โดยตรงได้ทันทีที่ https://www.issp.co.th/

from:https://www.techtalkthai.com/issp-offers-solution-intergration-services/

Microsoft Azure เปิดบริการ Managed Applications ให้ Vendor นำเสนอ Managed Services ได้ผ่าน Cloud

ถือเป็นวิวัฒนาการอีกก้าวของตลาดบริการ Public Cloud เมื่อ Microsoft Azure ได้ออกมาประกาศเปิดตัวบริการ Managed Applications ที่ต่อยอดขึ้นมาจากการนำเทคโนโลยีของเหล่าผู้ผลิตรายต่างๆ ให้สั่งซื้อและติดตั้งได้ง่ายๆ บน Microsoft Azure ด้วยการเปิดให้เหล่าผู้ผลิตเหล่านั้นมาทำการให้บริการเสริมแบบ Managed Services ต่อยอดได้ทันที

Credit: Microsoft

 

แนวทางนี้จะกลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เหล่าผู้ผลิตเทคโนโลยีจะสามารถนำเสนอ Managed Services แก่เหล่าลูกค้าทั่วโลกได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น ในขณะที่เหล่าลูกค้าผู้ใช้งานเองก็สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและบริการที่มีความซับซ้อนสูงได้ง่ายขึ้น พร้อมมีบริการคุณภาพสูงด้วย โดยนอกจากเหล่า Managed Service Provider (MSP) ที่จะได้ประโยชน์แล้ว ทางเหล่า Independent Software Vendor (ISV) และ System Integrator (SI) เองก็สามารถนำเสนอบริการใหม่ๆ แก่ลูกค้าได้ด้วยเช่นกัน

Microsoft อ้างว่าการเปิดตัวบริการ Microsoft Azure Managed Applications นี้ถือเป็นครั้งแรกของวงการที่มีการนำเสนอบริการแบบนี้บน Public Cloud และจะทำให้ Microsoft Azure ยิ่งมีความแตกต่างโดดเด่นเหนือกว่าคู่แข่งขึ้นไปอีก

 

ที่มา: https://azure.microsoft.com/en-us/blog/managed-applications-are-now-generally-available-in-the-azure-marketplace/

from:https://www.techtalkthai.com/microsoft-azure-launches-managed-applications-to-widen-managed-services-market/