คลังเก็บป้ายกำกับ: SELF-HEALING

รีวิวเคสใสกันกระแทก ไร้คราบเหลืองมาพร้อม Self-Healing เพื่อ iPhone X จาก JTLegend

Jtlegend Iphone X 8021

iPhone X มาพร้อมตัวเครื่องที่เฟรมส่วนกลางผลิตจากสแตนเลสสตีลขัดมันเงาวับสวยงามและเพิ่มความหรูหราด้วยฝาหลังแบบกระจกที่ไม่เพียงให้แต่ความสวยงามแต่ยังทำให้ iPhone X นั้นรองรับระบบชาร์จไร้สายได้ ดังนั้นเครื่องสวยแบบนี้ใครๆ ก็อยากโชว์ ถ้าอยากโชว์ความงามก็ต้องคู่กับเคสใส แล้วเคสใสแบบไหนหละที่เหมาะ?

วันนี้มีอีกแบรนด์ในชื่อ JTLegend (เจ ที รีเจนต์) มาแนะนำให้ชมกันครับ

รีวิวเคสใสกันกระแทกและรอยขีดข่วนเพื่อ iPhone X จาก JTLegend

JTLegend เป็นแบรนด์จากประเทศใต้หวันที่ผลิตออกมาสู่ท้องตลาดตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา มีเอกลักษณ์เด่นเรื่องการออกแบบและการเลือกใช้วัสดุที่ดีในการผลิตเคส โดยเฉพาะเคสใสนั้นทาง JTLegend รับรองว่าใช้งานไปนานๆ เคสจะไม่เหลือง

รีวิวนี้จะได้นำเคสจาก JTLegend มาทดสอบใช้งานด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่นได้แก่

  1. Hybrid Cushion Basic
  2. Hybrid Cushion Elite
  3. Self-Healing

โดยทั้ง 3 รุ่นนั้นส่งที่เหมือนกันคือวัสดุที่นำมาใช้ผลิตและคุณสมบัติการป้องกันการกระแทกโดยจุดที่แตกต่างกันออกไปคือการออกแบบของแต่ละรุ่นที่จะมีจุดเด่นออกมาให้ได้เห็น ไม่รอช้าเราไปชมรายละเอียดของแต่ละรุ่นกันเลยครับ

1. Hybrid Cushion Basic

Jtlegend Hybrid Cushion Basic Iphone X 8058

คุณสมบัติ

  • วัสดุหลัก Polycarbonate/ Thermoplastic Polyurethane
  • มุมเคสมีช่องว่างอากาศเพื่อรองรับการกันกระแทกที่ดี
  • รองรับแรงกระแทกได้ดีด้วยการออกแบบรับแรงกระแทกแบบ 2 ชั้น
  • ตัวเคสออกแบบได้เข้ารูปกับ iPhone X และรองรับการกันกระแทกได้ดี
  • ขอบด้านข้างเป็น TPU ยืดหยุ่น
  • เคสด้านหลังเป็น PC แบบใส
  • ด้านหลังเคสจะมีส่วนที่ยื่นออกมาทำให้เคสหลังไม่ติดกับพื้นจึงไม่ทำให้ด้านหลังเคสเป็นรอย

ตัวอย่างเคสพร้อมการติดตั้งและความเห็นหลังการใช้งาน

Jtlegend Hybrid Cushion Basic Iphone X 6 Jtlegend Hybrid Cushion Basic Iphone X 8

Jtlegend Hybrid Cushion Basic Iphone X 14

Jtlegend Hybrid Cushion Basic Iphone X 10  Jtlegend Hybrid Cushion Basic Iphone X 17

รุ่นนี้ติดตั้งง่าย ถอดง่ายสุดในบรรดาเคสที่รีวิวในรอบนี้ จับกระชับมือเมื่อแห้ง หากมีเหงื่อออกมากก็อาจจะทำให้ลื่นได้ และติดตั้งเข้ารูปกับ iPhone X ได้ดี ด้านหลังของเคสใสและมี dot ทำให้เคสไม่เกิดรอยคราบน้ำเมื่อติดตั้งกับ iPhone ขอบเคสเป็น TPU มีความยืดหยุ่นและมุมของเคสมีช่องอากาศเพื่อรองรับแรงกระแทกเมื่อเครื่องตกทำให้ลดความเสียหายให้กับตัวเครื่องได้

  • ติดตั้งแล้วด้านหลังเคสไม่เป็นฟองอากาศทำให้ iPhone X ดูเด่นสวยสดใส
  • ปุ่มกดใช้งานได้ดีกดง่าย
  • เว้นช่องว่างสำหรับพอร์ตทำให้ใช้งานได้ง่ายเช่นการเสียบสายชาร์จได้อย่างสะดวก
  • ตัวเคสไม่เหลืองเมื่อใช้งานไปนานๆ
  • ใช้งานกับกระจกกันรอยแบบเต็มจอแบบ 3D ได้ เคสไม่ดันฟิล์ม
  • ใช้งานร่วมกับฟิล์มกันรอยเต็มจอแบบไม่ 3D ก็ได้ไม่ดันฟิล์ม
  • ระดับขอบของเคสสูงกว่าหน้าจอและหากติดกระจกกันรอยเข้าไปที่ความหนา 0.33 มม. จะทำให้อยู่ในระนาบเดียวกับกระจก
  • ทดสอบการขีดข่วนพบว่าเหรียญทำให้เป็นรอยได้แต่ไม่ชัด, กุญแจทำให้เป็นรอยที่ชัดขึ้นส่วนคัดเตอร์เป็นรอยชัดเจน ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการใช้งานร่วมกับของมีคม

ราคา

  • iPhone 8, X – 890 บาท
  • iPhone 8 Plus – 950 บาท

2. Hybrid Cushion Elite

Jtlegend Hybrid Cushion Elite Iphone X 8042

คุณสมบัติ

  • วัสดุหลัก Polycarbonate/ Thermoplastic Polyurethane
  • มุมเคสมีช่องว่างอากาศเพื่อรองรับการกันกระแทกได้ดี
  • รองรับแรงกระแทกด้วยการออกแบบรับแรงกระแทกแบบ 2 ชั้น
  • ตัวเคสออกแบบได้เข้ารูปกับ iPhone X
  • ขอบด้านข้างเป็น TPU ที่แข็งกว่ารุ่น Hybrid Cushion Basic
  • เคสด้านหลังเป็น PC แบบใสทนทานต่อรอยขีดข่วนและเคลือบป้องกันแสงยูวี จึงไม่ทำให้ตัวเคสเหลือง
  • ด้านหลังเคสจะมีส่วนที่ยื่นออกมาทำให้เคสหลังไม่ติดกับพื้นจึงไม่ทำให้ด้านหลังเคสเป็นรอย
  • ผ่านมาตรฐานการทดสอบทางด้านการทหาร MIL STD 810G516.6 การันตรีเรื่องความแข็งแรงทนทานมาก
  • น้ำหนัก 22 กรัม

ตัวอย่างเคสพร้อมการติดตั้งและความเห็นหลังการใช้งาน

Jtlegend Hybrid Cushion Elite Iphone X 8043 Jtlegend Hybrid Cushion Elite Iphone X 8046 Jtlegend Hybrid Cushion Elite Iphone X 8051 Jtlegend Hybrid Cushion Elite Iphone X 8053 Jtlegend Hybrid Cushion Elite Iphone X 8055 Jtlegend Hybrid Cushion Elite Iphone X 8056

รุ่นนี้ติดตั้งง่ายถอดง่ายแต่จะยากกว่ารุ่น Hybrid Cushion Basic จับกระชับมือและติดตั้งเข้ารูปกับ iPhone X ได้ดี ด้านหลังของเคสใสล้วนและสามารถกันรอยขีดข่วนความแข็งระดับ 2H (ด้วยเครื่องมือ Mohs Hardness Pick สำหรับการวัดความแข็งของวัตถุ) ขอบเคสเป็น TPU มีความยืดหยุ่นและมุมของเคสมีช่องอากาศเพื่อรองรับการกันกระแทกเมื่อเครื่องตกทำให้ลดความเสียหายให้กับตัวเครื่องได้

  • ติดตั้งแล้วไม่ด้านหลังเคสไม่เป็นฟองอากาศทำให้ iPhone X ดูเด่นสวยสดใส
  • ปุ่มกดใช้งานได้ดีแต่จะต้องกดแรงกว่ารุ่น Hybrid Cushion Basic
  • เคสหนา แข็งแรงทนทานกว่า Hybrid Cushion Basic แล้วรายละเอียดการเก็บงานนั้นทำได้อย่างละเอียด
  • ขอบจะมีความหนามากกว่า Hybrid Cushion Basic ทำให้รองรับการกระแทกได้ดีกว่า
  • เว้นช่องว่างสำหรับพอร์ตทำให้งานได้ง่าย เช่น การเสียบสายชาร์จ
  • ใช้งานกับกระจกกันรอยแบบเต็มจอแบบ 3D ได้ เคสไม่ดันฟิล์ม
  • ทดสอบการขีดข่วนพบว่าเหรียญทำให้เป็นรอยได้แต่ไม่ชัด, กุญแจทำให้เป็นรอยมากขึ้นส่วนคัดเตอร์เป็นรอยชัดเจน ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการใช้งานร่วมกับของมีคม

ราคา

  • iPhone X – 890 บาท

3. Self-Healing

Jtlegend Self Healing Iphone X 8059

คุณสมบัติ

  • วัสดุ Polycarbonate
  • เป็นเคสใสแข็งแต่มีความยืดหยุ่น
  • เคสใสผลิตจากวัสดุนำเข้าจากประเทศเยอรมันพร้อมเทคโนโลยีที่ป้องกันไม่ให้เคสเหลือง (PU)
  • ออกแบบได้เข้ารูปกับ iPhone X และเคสมีความบางเพียง 1.2 มม.
  • ขอบเคสยกสูงกว่าหน้าจอ 1 มม. ทำให้หน้าจอเวลาคว่ำหน้าจอ iPhone X จะไม่ติดกับพื้น
  • มาพร้อมเทคโนโลยีลบรอยข่วนได้ด้วตัวเอง Self-Healing

ตัวอย่างเคสพร้อมการติดตั้งและความเห็นหลังการใช้งาน

Jtlegend Self Healing Iphone X 8060 Jtlegend Self Healing Iphone X 8075 Jtlegend Self Healing Iphone X 8073 Jtlegend Self Healing Iphone X 8072 Jtlegend Self Healing Iphone X 8071 Jtlegend Self Healing Iphone X 8070 Jtlegend Self Healing Iphone X 8069 Jtlegend Self Healing Iphone X 8064 Jtlegend Self Healing Iphone X 8061

เคสใสกันกระแทกที่มาพร้อมเทคโนโลยีการลบรอยขีดข่วนให้กับตัวมันเองได้ ระดับความแข็งแรงอยู่ที่ 2H (ด้วยเครื่องมือ Mohs Hardness Pick สำหรับการวัดความแข็งของวัตถุ) ทดสอบทำให้เคสเป็นรอยโดยการขูดด้วยเครื่องมือวัดและทิ้งไว้นาน 1 ชม. พบว่ารอยที่ขูดนั้นจางลงแม้จะลบไม่หมดก็แต่ก็น้อยลง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความลึกของรอยที่เกิดขึ้น ถ้าว่าเป็นลอยถลอก แต่ที่ประทับใจคือการใช้ผ้า(เสื้อยืด) ถูค่อนข้างที่จะแรง ก็ไม่ทำให้เคสเกิดรอยขนแมว(เคสบางยี่ห้อที่เป็น Self-healing ผมเคยทำสอบเพียงแค่เช็ดด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์ก็เป็นรอยขนแมวแล้ว) ถือว่ารุ่นนี้กันรอยได้ระดับดีสำหรับเคสใส

  • ติดตั้งแล้วไม่ด้านหลังเคสไม่เป็นฟองอากาศทำให้ iPhone X ดูเด่นสวยสดใสและเข้ารูปกับ iPhone ดีมาก
  • เคสใส่แล้วไม่หลวม ไม่ขยับ เข้าตรงตำแหน่งดีและบางดี ดูสวยงาม
  • รุ่นนี้มีมุมเว้าด้านล่าง เพราะต้องการให้ถอดและใส่ได้ง่าย คือถ้าเทียบกับยี่ห้ออื่น ๆ จะไม่มีเว้าด้านล่างเลย ปัญหาคือเวลาจะถอดจะถอดค่อนข้างยาก
  • เว้นช่องว่างสำหรับพอร์ตทำให้งานได้ง่าย เช่น การเสียบสายชาร์จ
  • ใช้งานกับกระจกกันรอยแบบเต็มจอแบบ 3D ได้ เคสไม่ดันฟิล์ม
  • ตัวเคสมีความบางเพียง 1.2 มม. และใสมาก ทำให้มองผ่านๆ เหมือนไม่ได้ใส่เคส
  • ใช้งานไปเมื่อมือมีเหงื่อจะทำให้เคสลื่นได้ดังนั้นควรระวังเรื่องนี้ด้วย

ราคา

  • iPhone 8, X – 890 บาท
  • iPhone 8 Plus – 950 บาท

หากท่านใดสนใจเคส JTLegend ทุกรุ่นที่รีวิวมา สามารถเลือกซื้อได้ที่ Studio7 ได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไปลองดูของจริงเพิ่มเติมกันได้นอกจากเคสใสแล้วก็ยังมีลายอื่นๆ ให้เลือกเช่นกัน

ขอบคุณสำหรับการติดตามครับ

from:https://www.iphonemod.net/jtlegend-iphone-x-case-review.html

Docker เปิดตัว InfraKit ระบบ Open Source สำหรับจัดการ IT Infrastructure Automation และทำ Self-Healing

ก่อนหน้านี้ Docker ได้เปิดตัว SwarmKit สำหรับบริหารจัดการ Container มาแล้ว และในวันนี้ Docker ก็ได้เปิดตัว InfraKit สำหรับบริหารจัดการ IT Infrastructure ได้ในลักษณะเดียวกัน

docker_infrakit

เพื่อให้การบริหารจัดการ Data Center และการ Deploy Application ต่างๆ เป็นไปได้ในแบบ Automation อย่างสมบูรณ์ ทาง Docker จึงได้มองว่าการทำ Orchestration นั้นต้องครอบคลุมไปถึงการจัดการ IT Infrastructure ด้วย ไม่ใช่เพียงแค่การจัดการ Container อีกต่อไป และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของโครงการ Open Source อย่าง InfraKit นั่นเอง

ปัญหาหลักๆ ที่ InfraKit จะเข้ามาแก้ไขนั้น ก็คือการกำหนดจำนวน Server ในแต่ละ Environment, การกำหนดขนาดของ Server ที่ใช้งาน, การติดตั้ง Software ต่างๆ ที่จำเป็น และการกำหนด Failover Policy สำหรับรองรับการทำ Container ของ Docker เองให้ได้ในทุกๆ IT Infrastructure ไม่ว่าจะเป็น Cloud ของผู้ให้บริการใดหรือระบบ On-premises ขององค์กรที่ใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกันก็ตาม

InfraKit จึงถูกออกแบบมาให้มีความยืดหยุ่นสูง ด้วยแนวคิดของการใช้ Plugins เพื่อให้สามารถพัฒนา Plugins สำหรับเชื่อมต่อกับ Infrastructure รูปแบบต่างๆ ได้อย่างอิสระ ในขณะที่การกำหนดค่าต่างๆ ทางด้าน Server และ Failover นั้นก็สามารถทำได้แบบ Declarative เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจและมีความเป็นกลางไม่ว่าระบบจะทำงานอยู่บน IT Infrastructure ใดก็ตาม โดยสามารถกำหนด Group, Instance และ Flavor ให้กับเหล่า Server และ Resource ต่างๆ เพื่อสร้าง Policy ขึ้นไปควบคุมและบริหารจัดการในเชิง Monitoring และ Availability ได้อย่างง่ายดาย

InfraKit นี้จะมีประโยชน์อย่างมากสำหรับการสร้าง Cluster ที่มีขนาดใหญ่บน IT Infrastructure ที่มีความหลากหลายในระยะยาว และทำให้การบริหารจัดการ Docker นั้นมีความซับซ้อนน้อยลงในระบบที่นับวันจะยิ่งมีขนาดใหญ่และหลากหลายขึ้นนั่นเอง

ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปศึกษาและทดลองใช้งาน InfraKit ได้เลยที่ https://github.com/docker/infrakit นะครับ

ที่มา: https://blog.docker.com/2016/10/introducing-infrakit-an-open-source-toolkit-for-declarative-infrastructure/

from:https://www.techtalkthai.com/docker-announces-infrakit-open-source-for-infrastructure-automation/