คลังเก็บป้ายกำกับ: SCREEN

จอโปรเจคเตอร์ XGIMI MIRA ขนาด 100 นิ้ว! คู่แข่งใหม่ของจอทีวี

XGIMI MIRA

XGIMI MIRA TV เป็นจอโปรเจคเตอร์ขนาด 100 นิ้ว เป็นผสมผสานเทคโนโลยีแหล่งกำเนิดแสง LED และเลเซอร์เข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มความสว่างของหน้าจอ มีอัตราส่วนการฉายภาพอยู่ที่ 0.21:1 กล่าวคือหากวางโปรเจ็กเตอร์ห่างจากผนัง 24 ซม. (~9.4 นิ้ว) เพื่อให้ได้ภาพขนาด 100 นิ้วนั่นเอง

จากข้อมูลที่ให้มา XGIMI MIRA มีระดับความสว่างใกล้เคียงกับทีวีระดับเริ่มต้นให้ความสว่างอยู่ที่ 286 นิต แต่ทางแบรนด์เคลมว่าโปรเจคเตอร์สามารถให้ความสว่างได้ถึง 900 CCB lumens ซึ่งหน่วย CCB เป็นมาตรฐาน XGIMI เทียบเท่ากับ ANSI lumens (American National Standards Institute Lumens) ที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ

Advertisementavw
XGIMI MIRA

นอกจากนี้จอแสดงผลยังรองรับรูปแบบ HDR10 และ HLG และยังมีพื้นผิวป้องกันแสงสะท้อนเพื่อให้ดูทีวีช่วงกลางวันได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีอาร์ตเฟรม (Art Frame) คล้ายๆ กับจอ Samsung The Frame โดยมีการแสดงงานศิลปะเมื่อไม่ได้ใช้งาน และยังมีเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว เอาไว้เปิดปิดตัวเองเมื่อผุ้ใช้งานไม่ได้อยู่ในห้อง

XGIMI MIRA

ส่วนระบบเสียงก็มาพร้อมกับระบบเสียงบิ้วต์อิน 2.1 channel ที่ออกแบบร่วมกับ Harman Kardon แบรนด์ลำโพงชื่อดัง โดยมีลำโพง 8W สองตัวและซับวูฟเฟอร์ 15W แยกต่างหาก รองรับเทคโนโลยี Dolby Audio และ DTS:HD สามารถเชื่อมต่อแกดเจ็ตหรืออุปกรณ์อื่นๆ ผ่านพอร์ตเสียง HDMI 2.1 eARC, USB 2.0 และ 3.5 มม. นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่ช่วยควบคุมเสียงผ่านบลูทูธและการสะท้อนหน้าจอแบบไร้สาย (Wireless screen mirror) อีกด้วย

ราคาพรีออเดอร์ตอนนี้อยู่ที่ 6,999 หยวน หรือประมาณ 34,xxx บาท ไม่รวมภาษี สั่งซื้อได้ที่เว็บไซต์ JD.com

ที่มา:  Gizmochina, NotebookCheck, JD.com

from:https://notebookspec.com/web/701748-new-xgimi-mira-100-in

Samsung ประกาศพัฒนาระบบสแกนนิ้วแบบใหม่ ปลอดภัยกว่าเดิม 2.5 พันล้านเท่า คาดได้ใช้ปี 2025

Samsung เป็นบริษัทที่พัฒนาหน้าจอมาอย่างยาวนาน และก็ได้คอยพัฒนาเทคโนโลยีจอแสดงผลใหม่ ๆ ออกมาให้ชาวโลกเราได้เห็นกันอยู่เสมอ ซึ่งล่าสุดเค้าก็ได้คิดค้นวิธีแสกนนิ้วมือแบบใหม่ ที่จะขยายพื้นที่แสกนให้เต็มหน้าจอ เพื่อทำให้เราใช้หลายนิ้วมือในการแสกนได้ ซึ่งเค้าระบุว่าวิธีนี้จะเพิ่มความปลอดภัยในการปลดล็อกเครื่องมากถึง 2.5 พันล้านเท่าเลยทีเดียว

เมื่อไม่กี่เดือนก่อน Samsung Display ได้ประกาศเทคโนโลยีจอ OLED 2.0 ที่เค้าเรียกมันว่าเป็นระบบสแกนนิ้วได้รอบด้าน (All-in-One) ในพวกจอแสดงภาพยุคใหม่ ซึ่งจะมีจุดเด่นเป็นการที่ให้เราสแกนนิ้วพร้อมกันได้หลายนิ้ว

ซึ่งการแสกนนิ้วมือพร้อมกัน 3 นิ้วเพื่อปลดล็อก ทำให้มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นถึง  2.5×10^9 หรือ 2,500,000,000 เท่า และเพื่อให้อุปกรณ์รองรับการแสกนนิ้วมือแบบนี้ เค้าก็จะพัฒนาจระบบแสกนนิ้วมือได้ทั่วทั้งหน้าจอ ดังนั้นผู้ใช้งานก็ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องคอยมาจิ้มนิ้วลงถูกจุดหรือไม่ เพราะจะจับยังไงก็ปลดล็อกได้ครับ

OLED 2.0 ของ Samsung ได้ใช้จริงปี 2025

และแม้ว่า Samsung จะได้ไม่ระบุว่าเทคโนโลยีล้ำ ๆ แบบนี้จะได้ใช้งานกันเมื่อไร แต่บริษัท ISORG ที่ทำธุรกิจระบบสแกนนิ้วมือ คู่แข่งของซัมซุง ก็ได้ออกมาเผยแล้วว่าเทคโนโลยีแสกนหลายนิ้วมือ  OPD (Organic Photo Diode) ของตัวเองนั้นได้พัฒนาเสร็จสิ้นแล้ว พร้อมออกวางใช้งานกันในปี 2023 ส่วนของ Samsung ก็คงจะได้ใช้กันช้ากว่าหน่อย คือปี 2025 

ISORG ยังได้คาดการณ์ไว้ด้วยว่าระบบ OLED 2.0 ของ Samsung พอเปิดตัวมา ก็จะนับเป็นมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ที่ต้องใช้กันทั่วโลกครับ

 

ที่มา : sammobile, oled-info, Samsung Display

from:https://droidsans.com/samsung-oled-2-0-fingerprint-scanner-to-launch-2025/

รีวิว SAMSUNG ODYSSEY G9 ที่สุดของจอเกมมิ่งในวันนี้

ทีมงาน NBS ขอแนะนำรีวิว SAMSUNG ODYSSEY G9  สุดยอดจอภาพสำหรับการเล่นเกมที่สเปคบอกเลยว่าจัดเต็มที่สุดในตลาดตอนนี้ พร้อมออปชั่นต่างๆที่จัดเต็ม แบบจอโค้งที่กว้างถึง 49 นิ้ว กับความสวยงามที่ยากเกินจะละสายตาจากมันไปได้ทำงานเล่นเกมได้ในหนึ่งเดียว

SAMSUNG ODYSSEY G9 ถือเป็นจอภาพเกมมิ่งรุ่นล่าสุดจาก Samsung ด้วยสเปคซึ่งดีที่สุดที่ Samsung เคยทำมาไม่ว่าจะเป็น จอโค้งแบบ 1000R ด้วยอัตราส่วน 32:9 ที่ขนาด 49 นิ้ว ที่ความละเอียดถึง DQHD 5120 x 1440 ความโค้งระดับเดียวกับสายตา ทำให้มองจากซ้ายายไปขวาได้โดยไม่ต้องเอียงคอมอง ไม่ว่าจะเล่นเกม หรือใช้งานทั่วไปก็ลงตัว พร้อมฟังค์ชั่น PBP ที่สามารถแบ่งหน้าตอได้เหมือนต่อหลายจอภาพ เล่นเกม พร้อมดูหุ้นไปได้พร้อมๆกัน

ในส่วนของพาแนลเป็น VA แบบ QLED ที่ให้ความคมชัดด้านสีสันที่มากกว่า รองรับ HDR1000 และ HDR10+ ที่ช่วยให้มีดดำก็ดำสนิท เวลาสว่างก็สว่างคมชัดแม้ในมุมที่โทนสีมืด รองรับ Nvidia G-Sync ,Response Time 1 ms และ Refresh Rate สูงสุดถึง 240Hz

นอกจากนั้น SAMSUNG ODYSSEY G9 ยังออกแบบได้ไม่เหมือนใครด้วย Infinity Core ไฟ RGB ที่อยู่ด้านหลังจอเป็นวงกลมเหมือนเตาปฏิกรณ์อาร์คของ Ironman ที่สามารถเปลี่ยนสีได้ตามต้องการ สวยงามไม่เหมือนใคร พอร์ตเชื่อมต่อครบครันออปชั่นครบยิ่งกว่าครบ แต่จะเด็ดจริงไหม เดี๋ยวไปชมกันว่ตัวจริงจะเป็นไง

  • Display
    • Screen Size (Class) 49
    • Flat / Curved Curved
    • Active Display Size (HxV) (mm) 1191.936(H)*335.232(V)
    • Screen Curvature 1000R
    • Aspect Ratio 32:9
    • Panel Type VA
    • Brightness (Typical) 420cd/m2
    • Peak Brightness (Typical) 1000cd/m2 cd/㎡
    • Brightness (Min) 300cd/m2
    • Contrast Ratio Static 2500:1(Typ)
    • Dynamic Contrast Ratio Mega DCR
    • HDR(High Dynamic Range) Yes
    • Resolution 5,120 x 1,440
    • Response Time 1(GTG)
    • Viewing Angle (H/V) 178°(H)/178°(V)
    • Color Support Max 1.07B
    • Color Gamut (NTSC 1976) 88%(Typ.)
    • Color Gamut (DCI Coverage) 0.95
    • sRGB Coverage 125%(Typ.)
    • Adobe RGB Coverage 92%(Typ.)
    • Refresh Rate Max 240Hz
  • General Feature
    • Eye Saver Mode Yes
    • Flicker Free Yes
    • Picture-In-Picture Yes
    • Picture-By-Picture Yes
    • Quantum Dot Color Yes
    • Image Size Yes
    • Windows Certification Windows 10
    • FreeSync Premium Pro Yes
    • G-Sync Yes
    • Off Timer Plus Yes
    • Smartphone Wireless Charging N/A
    • Screen Size Optimizer Yes
    • Black Equalizer Yes
    • Low Input Lag Mode Yes
    • Refresh Rate Optimizor Yes
    • Super Arena Gaming UX Yes
  • Interface
    • Display Port 2 EA
    • Display Port Version 1.4
    • HDMI 1 EA
    • HDMI Version 2.0
    • Headphone Yes
    • USB Ports 2
    • USB Hub Version 3
  • Audio
    • Speaker No
  • Operation Conditions
    • Temperature 10~40 ℃
    • Humidity 10~80,non-condensing
  • Calibration
    • Factory Tunning YES
    • Color Mode High-Brightness/Custom/FPS/RTS/RPG/sRGB/AOS/Cinema/Dynamic contrast
  • Design
    • Color BLACK
    • Stand Type HAS
    • HAS(Height Adjustable Stand) 120.0 ± 5.0 mm
    • Tilt -3.0° (±2.0°) ~ +13.0° (±2.0°)
    • Swivel -15.0° (±2.0°) ~ +15.0° (±2.0°)
    • Wall Mount 100 x 100
  • Power
    • Power Supply AC 100~240V
    • Power Consumption (DPMS) Less than 2 W
    • Power Consumption (Off Mode) Less than 1 W
    • Type Internal Power
  • Dimension
    • Set Dimension with Stand (WxHxD) 1147.6 x 537.2 x 416.4 mm
    • Set Dimension without Stand (WxHxD) 1147.6 x 363.5 x 291.0 mm
    • Package Dimension (WxHxD) 1265.0 x 366.0 x 481.0 mm
  • Weight
    • Set Weight with Stand 16.7 kg
    • Set Weight without Stand 14.1 kg
    • Package Weight 22.6 kg
  • Accessory
    • Power Cable Length 1.5 m
    • DP Cable
    • USB 3.0 Cable

.

.

ด้วยความใหญ่ทำให้เริ่มลำบากตั้งกะตอนประกอบเลย ใครซื้อจอนี้ผมแนะนำให้ลากเพื่อนไปช่วยแบกช่วยประกอบด้วยสัก 10 คน จะดีมาก

แรกพบสบตา SAMSUNG ODYSSEY G9 ต้องบอกว่าใหญ่มาก โดยเฉพาะความยาวโคตรยาวววววว สมกับขนาดจอ 49 นิ้ว แบบ 32:9 ซึ่งเป็นสเกลเดียวกับโรงภาพยนตร์เลยทีเดียว ขอบจอภาพบางมากๆ ถ้าใช้ 2 หรือ 3 จอต่อกันก็แทบไม่รู้สึก โดยจะมีขอบจอด้านล่างที่หนาขึ้นมาหน่อย จอเป็นพาแนล VA แบบจอด้าน ทำให้ไม่สะท้อนแสงมากนัก การใช้งานจริงผมแนะนำถอยหลังออกไปสัก 1-2 เมตร จะช่วยให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น และไม่ปวดตาจนเกินไป

ขอบจอด้านล่างจะมีปุ่มแบบจอยสติ๊กอยู่ด้านขวาสำหรับเปิดจอ รวมไปถึงการตั้งค่าจอต่างๆ ตอนแรกก็จะงงหน่อย แต่พอใช้ไปก็ชิน นอกจากนั้นก็จะเป็นช่องรับายความร้อน SAMSUNG ODYSSEY G9 ไม่มีลำดพงในตัวนะครับ

ความหนาของขอบจอ ขอบนะไม่ค่อยหนา แต่จะไปนูนออกทางด้านหลังมากกว่า

ขาตั้งของ SAMSUNG ODYSSEY G9 ไม่ใหญ่มาก เน้นยาว เพื่อรับน้ำหนักจอทั้ง 2 ด้านได้พอดีไม่ว่าจะก้มหรือเงย เป็นโลหัขนาดใหญ่แข็งแรงดีทีเดียว

ลองเทียบขนาดของ SAMSUNG ODYSSEY G9 กับโน๊ตบุ๊คขนาด 15.6 นิ้ว บอกเลยว่าเหมือนพ่อกับลูกขนาดต่างกันเยอะมาก

หน้าจอ SAMSUNG ODYSSEY G9 สามารถยกสูงต่ำได้ค่อนข้างเยอะ หมุนซ้ายขวา รวมถึงก้ม และเงยได้เล็กน้อย

แกนขาตั้งจะมีพลาสติกสีขาวครอบเพื่อซ่อนขาตั้งและเก็บสายไฟได้ พร้อมฝาปิดพอร์ตที่สามารถแกะออกมาเพื่อติดตั้งสายเชื่อมต่อต่างๆ

ด้านซ้ายจะมีช่อต่อสาย AC พร้อมฉลากระบุข้อมูลสเปค

ด้านขวาจะเป็นพอร์ตเชื่อมต่อที่จัดว่าครบครันเลยทั้ง

  • Audio Out 3.5 mm
  • HDMI 2.0 2 Port
  • Display Port 1.4
  • USB HUB Type B
  • USB 3.0 Type A 2 Port

อีกหนึ่งฟังค์ชั่นคือที่แขวนหูฟังที่ขาตั้งด้านหลัง

ด้านหลังของ SAMSUNG ODYSSEY G9 ถือเป็นเอกลักษณ์ที่ใครเห็นก็ต้องชอบ ด้วยโทนสีขาว แบบพลาสติกเงา พร้อมลายเส้นสไตล์อวกาศ โดยมีไฟ Infinity Core อยู่ตรงกลาง ช่วยเพิ่มควาฒโดดเด่นสวยงามไม่เหมือนใคร

ด้านซ้ายจะมีโลโก้ ODYSSEY พร้อมแถบเส้นสีเงินอยู่ด้านล่าง

ขอบด้านบนจะเป็นช่องระบายความร้อน ดูกลมลืนไม่ขัดกับโทนการออกแบบด้านหลังเท่าไร

การเก็บสายจะถูกรวบมาออกทางช่องเดียว เพื่อซ่อนไปกับขาตั้ง ตอนแรกทีมงานก็โง่อยู่ตั้งนานว่าเก็บสายยังไง แต่การเก็บแบบนี้ก็ดีตริงที่ดูสายเป็นระเบียบไม่เกะกะ แต่เวลาแกะเปิดปิดฝาตรงนี้ยากมาก

ภาพรวมด้านหลังต้องยอมรับว่า Infinity Core นี่มันโดดเด่นจริง

เจาะในส่วนของ Infinity Core จะเป็นไฟที่สามารถปรับได้มากถึง 52 สี จะปรับแบบติดค้างสีเดียวก็ได้ หรือให้หมุนเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ โดยจะถูกครอบด้วยอลิลิคใส พร้อมภายในเล่นลายเส้นวงกลมที่ทำให้นึกถึง เตาปฏิกรณ์อาร์คของ Ironman สวยงามดีทีเดียว แต่ก็ไม่สว่างมากจนเกินไปยามค่ำคืน ไม่ชอบก็สามารถปิดได้

ไฟสีต่างๆของ Infinity Core ที่สามารถปรับแต่งได้ตามต้องการ ถือเป็นจุดเด่นของ SAMSUNG ODYSSEY G9 ตัวนี้เลยก็ว่าได้

SAMSUNG ODYSSEY G9 มีเมนูที่สามารถปรับแต่งได้เยอะดีทีเดียว รวมถึงโชว์การแสดงผลการใช้งานโหมดต่างๆที่เมนูหลักเลย

เมนูแรกหลังจากกดปุ่มเข้ามาคือเลือกให้ปิด/เปิด พอร์ตเชื่อมต่อ ไปจนถึงเมนู PIP

เมนูแรกจะเป็นการปรับเมนูในส่วนของการเล่นเกม หรือจะเพิ่ม Point ในเกมแบบ FPS ก้ได้ รวมถึงการปรับความละเอียดหน้าจอได้ด้วย

เมนูปรับแต่ง Contrast รวมไปถึงความสว่างต่างๆ

ปรับโหมดการแสดงผลของหน้าจอ

การปรับแต่งโทนสีหน้าจอ

โหมด PIP ที่สามารถปรับได้ราว 6 รูปแบบ ช่วยให้สามารถแบ่งจอภาพสำหรับเล่นเกม หรือใช้งานแสดงผลอื่นเพิ่มเข้ามาได้ เป็นข้อดีของจอภาพขนาดยาว เล่นเกมไป ดูหุ้นไปด้วยโดยไม่ต้องต่อ 2-3 จอให้วุ่นวาย

มีเมนูหลายภาษา ยกเว้นภาษไทย

สุดท้ายจะเป็นการปรับแต่งอื่นของจอ SAMSUNG ODYSSEY G9 ที่สามารถปรับแต่งได้พอสมควรเลยทีเดียว

SAMSUNG ODYSSEY G9 ให้โทนสีสวย แต่ไม่สดตามสไตล์พาแนลแบบ VA แม้จะเป็น QLED แล้วก็ตาม เน้นเรื่องของความเที่ยงตรงสมจริงของสีมากกว่า ซึ่งอย่างดำก็ดำสนิทจริง หรืออย่างสว่างโทนสีในมุมมืดก็เห็นรายละเอียดที่ชัดเจนกว่าพาแนลแบบ VA ทั่วไป อาจจะไม่สดเท่า IPS แต่ก็เน้นการใช้งานที่สบายตา เล่นเกมต่อเนื่องได้โดยไม่เมื่อยล้าสายตา หรือจะทำงานก็สะดวกดี แบ่งจอภาพได้ ความโค้งอยู่ในระดับสายตา ไม่ต้องหันคอตาม

การเล่นเกม

การเล่นเกมสามารถตอบสนองได้อย่างดีด้วยเทคโนโลยีที่อัดแน่นทั้ง 240 Hz รองรับ NVIDIA G-Sync แต่ต้องใช้สายที่ให้มาจึงจะรองรับด้วยนะครับ และตัวเครื่องต้องมีสเปคที่แรงสักหน่อย ส่วนตัวลองเล่นกับเกม NFS หรือพวก Open World จะให้มุมมองภาพที่กว้างมาก เห็นสัตรูก่อนใคร ภาพไม่สดเกินไป และให้รายละเอียดในมุมมืดได้ดีทีเดียว

การใช้งานทั่วไป

ส่วนตัวชอบด้านการใช้งานทั่วไปมากกว่า เพราะสีไม่สดมาก จอด้านและยาว ทำให้สามารถแบ่งจอได้หลายหน้าต่าง sRGB ก็จัดว่าเทียงตรงถึง 125% ต่อจาก 2 เครื่องก็ได้ สตรีมจอนึง อีกจอนึงเล่นเกม หรือแบ่งจอดูหุ้นก็เฉียบ

ออปชั่นอื่นๆ พอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ

ไฟ Infinity Core สวยดีมาก ไม่สว่างเกินไป สวยงาม ปรับเปลี่ยนสีได้ตามต้องการ ดีไซน์โดยรวมชอบดูอวกาศดี แต่ก็เป็นรอยต่างๆได้ง่าย พอร์ตเชื่อมต่อครบครันตามมาตรฐาน แต่ไม่มีลำโพงในตัวมาให้นะครับ และที่สำคัญคือ ฝาปิดพอรืตด้านหลังแกะออกมายากมาก ถ้าใส่ผิดช่องที่ยาวเลย

SAMSUNG ODYSSEY G9 เป็นจอมอนิเตอร์เกมมิ่ง ที่คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือจอภาพเพื่อการเล่นเกมที่ดีที่สุดตัวหนึ่งของตลาดในวันนี้ ทั้งขนาดจอภาพที่ใหญ่ถึง 49 นิ้ว รองรับ G-Sync ,240Hz แบบ QLED รองรับทั้ง HDR1000 และ HDR10+ พร้อมความสวยงามเกินห้ามใจด้วยไฟ Infinity Core ไม่ว่าท่านจะซื้อมาเพื่อเล่นเกม หรือใช้งานอื่นๆก็ลงตัวหมดหากงบประมาณ 45,990 บาท ไม่ใช่ปัญหา จอตัวนี้คือจบสุดตัวหนึ่งละ

แต่หลายท่านก้อาจจะมองว่าด้วยราคาค่าตัวขนาดนี้ไปซื้อจอภาพรุ่นอื่นหลายตัวต่อกันไม่ดีกว่าเหรอ ไม่ว่าจะดูหุ่น หรือเล่นเกม รวมไปถึงการใช้งานอื่นๆ ราคาอาจจะถูกกว่า เลือกสเปคได้มากกว่า แต่สิ่งที่ต้องแลกมาคือขอบจอภาพที่แม้จะบาง แต่ก้ยังคงมีขอบจอภาพให้ขัดใจ นอกจากนั้นก็คือตัวเครื่องพีซีที่ต้องแบกการแสดงผลหลายจอภาพพร้อมกัน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ายิ่งหลายจอพีซีก็ยิ่งต้องทำงานหนักมากกว่าจอภาพจอเดียวแน่นอน

SAMSUNG ODYSSEY G9 จึงเหมาะกับท่านที่ต้องการจอภาพไซท์ใหญ่ สเปคที่ดีที่สุดในตลาด ทั้งเพื่อการเล่นเกม ชมภาพยนตร์ รวมไปถึงการใช้งานแบบ multi display โดยที่ไม่ต้องการต่อจอแยกให้วุ่นวาย และที่สำคัญไม่เกี่ยงเรื่องราคา

จุดเด่น

  • จอไซท์ใหญ่ ultra wide
  • ออปชั่นเพียง G-Sync ,240Hz
  • Infinity Core สวยงามโดดเด่น
  • รองรับ HDR1000 และ HDR10+
  • รองรับ PIP และ PBP
  • จอโค้ง 1000R แบบ 32:9 ดูหนังเล่นเกมพอดีกับสายตา

ข้อสังเกต

  • วัสดุหลังจอมันเงาเป็นรอยง่าย
  • ราคาสูง
  • ฝาหลังปิดพอร์ตแกะยากมาก
  • จอกว้างมาก จำเป็นต้องใช้ื้นที่โตีะใหญ่ประมาณหนึ่ง

from:https://notebookspec.com/review-samsung-odyssey-g9/534932/

รีวิว Lenovo ThinkVision M14t จอพกพา ทัชได้ จิ้มได้ ราคาโดน

ย้อนกลับไปหลายเดือนก่อนทีมงานเคยรีวิว ThinkVision M14 จอพกพา บางเบา ออปชั่นครบต่อได้หลายอุปกรณ์ แต่ก็มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถทัชได้ วันนี้ทาง Lenovo จึงเปิดตัวรุ่นต่อยอด ที่ยังพกพาบางเบาเหมือนเดิม แต่รองรับการสัมผัสและปากกาในตัวกับราคาสุดคุ้มค่าเหมือนเดิมในรีวิว Lenovo ThinkVision M14t

Lenovo ThinkVision M14t เป็นรุ่นต่อยอดของ ThinkVision M14 เดิมที่ทีมงานเคยรีวิวไปก่อนหน้านี้ เพิ่มออปชั่นรองรับการสัมผัสที่จอภาพพร้อมกัน 10 จุด และยังมาพร้อมปากกาสำหรับวาดเขียนได้เหมือน Tablet เลยทีเดียว จะใช้เป็นจอแสดงผลที่ 2 หรือจะใช้เป็นกระดานวาดเขียนแบบ Wacom ก็ได้ นอกจากนั้นก็ยังยกความสะดวกจากรุ่น M14 มาครบ ไม่ว่าจะเป็นขนาดจอภาพ 14 นิ้ว แบบ IPS Full HD กับน้ำหนักเพียง 698 กรัม (ขระที่ M14 หนัก 570 กรัม) ความบางเพียง 4.6 มม. เชื่อมต่อด้วย USB 3.2 Gen1 (USB Type-C) 2 พอร์ต และรองรับการจ่ายไฟแบบ PD2.0 ใช้งานได้ทั้งโน๊ตบุ๊คและสมาร์ทโฟน

จอภาพ
14″ FHD (1920 x 1080) IPS 16:9 Aspect Ratio
ความสว่าง
300 cd/㎡
อัตราส่วนไดนามิกคอนทราส
3M:1
ระบบสัมผัส
Yes (10-point touch display)
ขอบเขตสี
National Television Standards Committee (NTSC) 72%
การตอบสนอง
6ms (Extreme Mode), 8ms (Normal Mode)
พอร์ต
2 x USB 3.2 Gen1 (by USB Type-C)
สายเคเบิล
USB Type-C to Type-C cable
น้ำหนัก
698 g* (display component only)
ความหนา
4.6 mm* (display head only)
Stand tilt
-5° / 90°
Pivot
-90° / 90°
ความปลอดภัย
Kensington Lock Slot
Eye-care tech
-TÜV Rheinland Low Blue Light
ปากกา/ดิจิไทเซอร์
Yes (with 4096 pressure levels)
USB Type-C ส่งผ่านพลังงาน (W)
Up to 65 W

.

กล่อง Lenovo ThinkVision M14t มาพร้อมสเปค รายละเอียดต่างๆที่ระบุมาอย่างครบครัน โชว์จอภาะแบบสัมผัสพร้อมรองรับปากกา

สิ่งที่มีมาให้ในกล่อง

  • 1 x จอภาพพร้อมขาตั้ง
  • 1 x ซองใส่ ThinkVision M14t
  • 1 x Active Pen พร้อมด้วยแบตเตอรี่*
  • 1 x ดองเกิลรูปตัว L
  • 1 x USB Type-C to Type-C Cable (1 เมตร)
  • 1 x คู่มือ
  • 1 x คลิปคู่

ปากกา Active Pen พร้อมปุ่มกดแทนคลิ๊กเมาส์ซ้ายและขวา

หน้าจอ Lenovo ThinkVision M14t จะต่างจาก M14 รุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัดเลยคือเป็นจอภาพแบบกระจกแผ่นเดียว ขณะที่ M14 จะเป็นจอด้าน จึงค่อนข้างสะท้อนแสงพอสมควร จอภาพเกือบไร้ขอบ เท่าๆกับจอของโน๊ตบุ๊ค 14 นิ้วทั่วไป แต่อาจจะแคบกว่าด้วยเพราะไม่มี Webcam พร้อมสกรีน ThinkVision

วัสดุด้านหลังจอจะเป็นพลาสติดผิวด้าน สีดำเทา ผิวเรียบ แต่เป็นรอยนิ้วมือได้ง่ายพอสมควร พร้อมฐานที่ทำหน้าที่เป็นขาตั้งสำหรับวางจอและพอณืตเชื่อมต่อต่างๆ

จอภาพ ThinkVision M14t บางมากจริงๆครับ บางกว่าโน้ตบุ๊คบางรุ่นเสียอีก

ด้านหลังจอ Lenovo ThinkVision M14t จะเห็นวัสดุชัดเจน เป็นพลาสติกผิวเรียบ เหมือนตัวเครื่อง ThinkPad ค่อนข้างแข็งแรง แต่ก็เป็นรอยนิ้วมือได้ง่าย โดยด้านหลังนอกจากตัวจอแล้ว ยังมีตัวฐานที่เป็นขาตั้ง พร้อมตัวควบคุม และพอร์ตเชื่อมต่อด้วย

ตำแหน่งขาตั้งนอกจากสกรีนสเปคต่างๆแล้วยังมีขาตั้ง 2 แบบคือแบบเล็กสำหรับแนวตั้งฉาก หรือยกจอแนวนอนขึ้นมาเล็กน้อย ยังมีขาตั้งใหญ่ที่สามารถปรับมุมมองได้มากกว่า

ขาตั้งเล้กนอกจากใช้ในพื้นที่จำกัดได้แล้ว ยังช่วยเพิ่มมุมการวางจอภาพที่หลากหลายมากขึ้น

ขอบฐานด้านซ้ายจะมีปุ่มลดแสงสีฟ้า เพิ่มลดความสว่าง และ USB-C

ขอบฐานด้านขวามีปุ่มเปิดปิด ที่ติดตั้งสายล๊อค และ USB-C อีกหนึ่งพอร์ต

จุดเด่นของ Lenovo ThinkVision M14t คือเป็นจอภาพพกพาแบบสัมผัส ที่รองรับนิ้วสัมผัสได้มากถึง 10 จุด และยังรองรับปากกาที่แถมมาด้วยอีกด้วย เหมาะกับท่านที่ต้องการวาดเขียน จดบันทึก ใช้แทน Tablet Wacom ได้เลย

กระเป๋าที่แถมมาเป็นแบบถุงเคสผ้าที่นิ่ม สีดำเทา ข้างในสีแดง เรียบๆสวยงาม และนิ่มกันกระแทกได้กำลังดี พร้อมที่เสียบปากกาอยู่ข้างๆ

ต่อปุ๊ปติดปั๊ป สามารถใช้งานจอสัมผัสได้ทันทีไม่ต้องลงไดร์ฟเวอร์อะไร เชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB-C ได้เลย ซึ่งสามารถใช้กับโน้ตบุ๊คเกือบทุกรุ่นที่มีพอร์ต USB-C ในตลาดตอนนี้ก็ว่าได้

การเชื่อมต่อทีมงานทดสอบร่วมกับ ThinkPad T480s แค่เสียบสาย USB เท่านั้น พร้อมพร้อมใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องต่อไฟเพิ่มแต่อย่างใด ความหนาของขอบจอ จัดว่าบางมาก บางกว่ารุ่นที่ทีมงานใช้เสียอีก

ออกตัวก่อนว่ารุ่นนี้จะเน้นเชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB 3.2 Gen1 (USB Type-C) ไม่ได้ต่อแบบ Display Port แบบรุ่นก่อน เพราะว่าต้องเชื่อมต่อสั่งงานเรื่องสัมผัสจอด้วย ทำให้เป็นสายที่ใช้งานสะดวกกว่า และก็ใช้สายทั่วไปที่รองรับได้ สามารถต่อ Adapter ชาร์ต พร้อมต่อสายไปที่โน้ตบุ๊คได้เลย รองรับ PD Charger ถึง 65W

เรื่องของคุณภาพของจอเช่นเดียวกับจอภาพของ ThinkPad เลย ด้วยพาแนลแบบ IPS ให้สีสันสดใสคมชัด แต่ก็ไม่จัดจ้านจนเกินไป ด้วยจอภาพแบบด้าน เหมาะสำหรับทำงานเอกสาร หรือใช้งานต่อเนื่องยาวนานได้โดยไม่เมื่อยล้าสายตา มองด้านข้างสีก็ไม่เพียน แต่ด้วยการที่เป็นจอกระจกทำให้สะท้อนแสงเอาเรื่องเลย

คุณภาพของการเชื่อมต่อแม้จะเป็นพอร์ต USB-C แต่เท่าที่ทีมงานเชื่อมต่อกับ ThinkPad T480s ที่เป็น Thunderbolt 3 ก็สามารถแสดงผลได้อย่างสมูธไม่กระตุกหรือติดขัด ไม่ว่าจะเป็นวีดีโอ หรือเล่นเกมก็ไม่มีปัญหา แต่ไม่รองรับความละเอียดสูงมากนัก แต่ถ้าต่อกับ USB 3.0 ลงไปภาพอาจจะไม่ได้แสดงผลต่อเนื่องดีเท่ากับ M14 เดิม เพราะการเชื่อมต่อเป็นเพียงพอร์ต USB ไม่ได้เป็นแบบ Display Port

ส่วนการพกพานั้นต้องบอกว่าพกพาได้สะดวกมาก กระเป๋าโน๊ตบุ๊คใบเดียวก็สามารถพกพาได้ ขนาด 14 นิ้ว เท่ากับโน๊ตบุ๊คทั่วไปไม่ใหญ่ หยิบใช้งานได้สะดวก สามารถวางตั้งอ่านหนังสือได้ หรือจะวางเป็นแนวนอนเพื่อวาดเขียนได้แบบปากกา Wacom เลย และทดสอบการเขียนด้วยปากกา แม่นยำและมีน้ำหนักดี แต่อาจจะไม่ได้ละเอียดมากเหมือนพวก Wacom แต่ก็สามารถใช้เขียนเอกสาร วาดรูปได้ประมาณหนึ่ง

การเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน สามารถโคลนหน้าจอมาได้เลย และยังสามารถสัมผัสผ่านจอจอของ Lenovo ThinkVision M14t ได้เลย แต่การใช้ปากกาเทียบกับ Note 10 Plus แล้ว จะไม่ตรงกัน และใช้แทนกันไม่ได้นะครับ เน้นใช้งานสัมผัสหน้าจอแทนมากกว่า แต่ต้องต่อ Adapter กับจอด้วยนะครับ ไม่งั้นจะไม่สามารถใช้งานจอ Lenovo ThinkVision M14t ได้ น่าจะเพราะไฟไม่พอ

Lenovo ThinkVision M14t เทียบกับ M14 ขนาดแทบไม่ต่างกัน แต่จะต่างกันอย่างเห็นได้ชัดที่หน้าจอซึ่ง M14t ที่เป็นแบบกระจกสะท้อนแสงกว่า M14 ที่เป็นจอด้านพอสมควร อันเนื่องมาจากจอภาพแบบสัมผัส รวมไปถึงวัสดุด้านหลังที่ M14t แบบซอฟทัชที่เป็นรอยนิ้วมือง่ายกว่า M14 เดิม

ความหน้าตามสเปคต่างกันนิดหน่อย แต่เอาจริงๆแทบไม่ต่างกันเลย

ในส่วนของภาพทั้ง M14t และ M14 แทบไม่ต่างกัน ด้วยจอภาพแบบ IPS คมชัมชัดไม่แพ้กัน แต่ M14t เป็นจอกระจกทำให้ดูสว่างกว่า และสะท้องแสงกว่าด้วย

Lenovo ThinkVision M14t เป็นการอัพเกรทขึ้นมาจาก M14 เดิมไม่มากไม่น้อย โดยยังคงจุดเด่นในด้านความบางเบา พกพาสะดวกที่สุดในตลาดจอภาพพกพา ด้วยขนาดที่บาง น้ำหนักที่เบาแทบไม่ต่างจากรุ่นเดิม ใช้งานง่ายแค่ต่อสาย USB-C เส้นเดียวก็พร้อมใช้ ไม่ว่าจะทำงานในร้านกาแฟ พรีเซนท์งานลูกค้า ด้วยขนาด 14 นิ้ว Full HD แบบ IPS ที่ให้สีสันสดใส เพียงพอสำหรับการใช้งาน

และยังได้อัพเกรทเพิ่มให้รองรับการสัมผัสที่จอภาพ หรือจะใช้ปากกาวาดเขียนก็สะดวกด้วยปากกาที่แถมมาให้แล้ว ใช้เป็นพวกกระดาน Wacom ได้เลย แม้อาจจะไม่ได้ละเอียดถึงขั้นนั้น แต่ก้เพียงพอสำหรับการวาดเขียนและสัมผัสสั่งงานผ่านหน้าจอ ใช้งานได้ทั้งโน้ตบุ๊คพีซี และสมาร์ทโฟน ช่วยให้การพรีเซนท์งานดูดี จดงาน วาดเขียนรูปได้เลยทันที

Lenovo ThinkVision M14t มาในราคา 12,900 บาท แพงกว่ารุ่น M14 เกือบเท่าตัว แต่ก็ได้จอภาพแบบสัมผัสพร้อมปากกา ใช้งานได้หลากหลายกว่า โดยไม่ถูกจำกัดแค่เมาส์คีย์บอร์ดอีกต่อไป

จุดเด่น

  • บางเบา พกพาสะดวก
  • พอร์ต USB-C เส้นเดียวพร้อมใช้
  • เพิ่มออปชั่นจอสัมผัสพร้อมแถมปากกามาเลย
  • ใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์อื่นได้

ข้อสังเกต

  • จอกระจกสะท้อนแสงพอสมควร
  • ราคาเพิ่มกว่ารุ่นเดิมเกือบเท่าตัว

from:https://notebookspec.com/review-lenovo-thinkvision-m14t/538074/

มาใหม่ – จอ Redmi Display 1A พาแนล IPS บางกว่าในราคาสุดเร้าใจ

หลังจากวางจำหน่ายจอรุ่นพี่ที่ได้กระแสตอบรับเป็นอย่างดีอย่าง Xiaomi Mi Monitor วันนี้ก็ได้ถึงเวลาวางจำหน่ายรุ่นน้องที่เรียกได้ว่าฟีเจอร์คุ้ม ในราคาเบาๆไม่ต่างจากรุ่นพี่ พร้อมของแถมที่ JD CENTRAL จัดให้พิเศษอย่าง Redmi Monitor Display 1A

Redmi Monitor Display 1A พูดง่ายๆก็คือแบรนด์ลูกของ Xiaomi นี่ละครับ ที่ได้เปิดตัวจอใหม่ในราคาเท่ากับรุ่นพี่อย่าง Xiaomi Mi Monitor ที่ทีมงานเคยรีวิวไปก่อนหน้านี้ เรื่องของสเปคแทบไม่ต่างกัน เหมือนทุกกระเบียบนิ้วก็ว่าได้ รวมไปถึงราคาที่เท่ากันคือ 3,290 บาท โดยมาพร้อมการรับประกัน 3 ปีเลย แต่มีบางรุ่นที่ต่างกันได้แก่

  • Redmi Monitor Display 1A จะมีจอภาพที่บางกว่า
  • มีพอร์ต VGA เพิ่มมา
  • มีเทคโนโลยีลดเเสงสีฟ้าช่วยปกป้องดวงตาจากเเสงหน้าจอ

โดยล๊อตแรกจะเป็นการสั่งจองก่อน 100 บาท และจ่ายที่เหลือพร้อมส่งวันที่ 24-27 มิ.ย.เป็นต้นไป

โดยมีโปรโมชั่นของแถมพิเศษเฉพาะช่วงสั่งจอง

  • Mouse Pad
  • mi amplifier pro

สนใจไปตำกันได้ที่

รายละเอียด Redmi Monitor 1A ขนาด 23.8 นิ้ว 

  • หน้าจอ IPS ไร้ขอบ 
  • View angle 178 องศา
  • ความละเอียดภาพ 1920 x 1080
  • อัตราการตอบสนอง 6ms
  • Contrast ratio 1000:1 (TYP)
  • ความสว่าง 250 nit/m2
  • ตัวเครื่องมีน้ำหนักเบาเเละมีความบางเพียง 7.3mm
  • พอร์ตเชื่อมต่อ HDMI + VGA
  • มีเทคโนโลยีลดเเสงสีฟ้าช่วยปกป้องดวงตาจากเเสงหน้าจอ

หรือถ้าไม่ถูกใจ Xiaomi Mi Monitor ก็ยังมี่ขายอยู่นะครับ พร้อมประกัน 3 ปี เหมือนกัน พร้อมส่งเลยไม่ต้องรอในราคา 3,290 บาท พร้อมผ่อน 0% สูงสุด 4 เดือน ได้ด้วย

ไปตำกันได้ที่

 

from:https://notebookspec.com/price-monitor-redmi-display-1a-ips/525625/

Pre Sale สั่งจอง เพิ่มของแถม – Xiaomi Curved Monitor Gaming จอโค้ง 34 นิ้ว ,144Hz ออปชั่นแน่น ราคาโดน

ล่าสุดจอ Xiaomi Curved Monitor Gaming ขายดีจนต้องสั่งพรีออเดอรื หรือสั่งจองกันแล้ว กับจอเกมมิ่งสุดเทพราคาคุ้ม แต่ไม่ได้สั่งจองเปล่านะครับ ยังมีของแถมพิเศาเพิ่มให้ด้วย

Xiaomi Curved Monitor Gaming เป็นจอเกมมิ่งจากผู้ผลิตเจ้าโลกอย่าง Xiaomi ที่ผลิคทุกอย่างในโลกจริงๆ กับจอที่ออกแบบมาเพื่อการเล่นเกมจัดเต็มขนาด 34 นิ้ว แบบ 21:9 จอโค้ง 1500R ความละเอียดระดับ 2K Ultra Wide WQHD (3440 x 1440) ตราการรีเฟรชสูงถึง 144 Hz รองรับ AMD Free-Sync ด้วย

โดยการสั่งซื้อแบบ Pre Sale ในราคาเดิม ราคา 11,999 บาท แต่ได้ของแถมเพิ่มเป็น ปลั๊กแปลง ,Mouse Pad และ Mi Wifi Amplifier Pro รวมมูลค่าราพันกว่าบาท โดยต้องวางเงินมัดจำก่อน 500 บาท จ่ายเงินที่เหลือและเริ่มส่งวันที่ 24-27 มิ.ย.

ได้ของแถมเพิ่มขึ้น แต่ก็เสียโอกาสเช่นต้องรอของเกือบเดือน และไม่มีผ่อน 0% แล้วด้วย ไม่รู้ว่าหมดรอบจองนี้จะกลับมาผ่านได้ไหม

สั่งจองได้ที่

คุณสมบัติ:

  • มุมมองแบบพาโนรามากว้าง 21: 9 รูปแบบของอินเทอร์เฟซเกมในรูปแบบ 21: 9 กว้างกว่าค่าเฉลี่ยของมุมมองของโปรแกรมเล่นหน้าจอ 16: 9 30% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกม RTS และ FPS สนามแห่งการมองเห็นนั้นกว้างมาก
  • ภาพคมชัดเป็นพิเศษพร้อมรายละเอียดที่ชัดเจน 3440 × 1440 ความละเอียดชัดเจนพิเศษทุกมุมของฉากสามารถสมจริงและละเอียดอ่อนได้และโลกของเกมนั้นงดงามและงดงาม
  • ความสว่างสูงความคมชัดสูงและคุณภาพของภาพที่คมชัด ความสว่างของจอแสดงผลสูงถึง 300 nits โดยมีอัตราส่วนความคมชัดสูงที่ 3,000: 1 หน้าจอเกมเป็นสีขาวสว่างไปจนถึงสีดำเข้มชัดเจนและสวยงามสดใสและสดใส
  • ความโค้งขนาดใหญ่ 1500R ล้อมรอบสนามการมองเห็นให้คุณดื่มด่ำกับประสบการณ์ การออกแบบโค้งที่ใหญ่มากของ 1500R เส้นสายตาล้อมรอบด้วยหน้าจอแสดงมุมมองแบบพาโนรามาของการแช่โดยรวม หน้าจอโค้งมีมุมเอียงที่เล็กลงและดวงตามีระยะห่างเกือบเท่ากันลดการบิดเบือนของภาพช่วยคืนค่าขอบเขตอันแท้จริงของแต่ละมุมได้อย่างเต็มที่
  • อัตราการรีเฟรชสูง 144Hz ตอบสนองอย่างรวดเร็วทุกการกระทำนั้นเร็วขึ้น อัตราการรีเฟรชสูง 144Hz, เวลาตอบสนอง 4ms, ลดความเมื่อยล้าของภาพเกมและ smear ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกมยิงปืนที่ต้องการการตอบสนองอย่างรวดเร็วมีแนวโน้มที่จะล็อคเป้าหมายและโจมตีศัตรูด้วยความแม่นยำ
  • AMD Free-Sync ภาพราบรื่นไม่ติดไม่ฉีกขาด เทคโนโลยี AMD Free-Sync สามารถจับคู่หน้าจอแสดงผลที่อัตราการป้อนข้อมูลเฟรมสูงอย่างต่อเนื่องลดปัญหาเช่นการติดหรือฉีกระหว่างการเล่นเกมการปรับปรุงความคล่องแคล่วในการมองเห็นและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผู้เล่น
  • ขนาดผลิตภัณฑ์ 81.04 ซม. * 52.06 ซม. * 24.25 ซม. /// ขนาดบรรจุ: 99 ซม. * 47 ซม. * 20 ซม.
  • น้ำหนัก: 10.5 กิโลกรัม

from:https://notebookspec.com/pre-sale-xiaomi-curved-monitor-gaming/524043/

ทำงานอยู่บ้าน ก็ทำความสะอาดจอภาพเองได้ง่ายๆ

ต้อนรับการการทำงานอยู่บ้านจากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัส หรือมีเวลาว่างๆจากการพักผ่อน การทำความสะอาดจอภาพโน้ตบุ๊คที่เราใช้งานถือเป็นอีกสิ่งที่ควรจะทำ เพราะทุกวันนี้เราจ้องจอกันนานเป็นชั่วโมงยิ่งใช้งานนานๆ ยิ่งมีฝุ่นมีคราบติด การทำความสะอาดจอภาพจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

โดยเฉพาะบ้านเมืองเรากับปัญหาฝุ่นเกาะตามที่ต่างๆเป็นปัญหามาช้านานแล้ว ซึ่งมักจะมีฝุ่นเข้าไปติดที่จอภาพเป็นประจำเพราะจอภาพเวลาเราเปิดใช้งานก็จะมีไฟฟ้าสถิตเหมือนเป็นตัวดูฝุ่นผงเข้ามาติดที่จอภาพ หรือบางท่านเวลาใช้งานก็พูดจนน้ำลายแห้งติดจอ คราบต่างๆที่มักมาติดเป็นประจำ ติดมากๆนอกจากอายชาวบ้านแล้ว ก็ยังทำให้จอภาพไม่สว่างเท่าที่ควร แต่ครั้นจะเช็คทำความสะอาดเหมือนเช็คกระจกก็คงจะไม่ได้เพราะจอภาพนั้นมีความบอบบางพอสมควร วันนี้ผมเลยมีเทคนิดเล็กๆน้่อยๆมาแนะนำในการทำความสะอาดจอคอมของท่านครับ

อุปกรณ์แนะนำสำหรับการทำความสะอาดจอภาพ

  • ผ้านุ่มๆที่ไม่มีขน เช่นผ้าชามัวร์ ที่ออกแบบมาทำหรับการทำความสะอาดอุปกรณ์ไอที เพราะนอกจากไม่ทิ้งขนแล้ว ยังไม่ทำให้เกิดรอยด้วย ราคา 70-150 บาท
  • สเปร์ยหรือครีมทำความสะอาดซึ่งควรเป็นของที่ระบุบว่าสามารถใช้กับอุปกรณ์ IT โดยเฉพาะเนื่องจากแห้งเร็วและไม่ส่งผลต่อการใช้งานอุปกรณ์ IT ด้วย
  • แปรงปัดฝุ่น ไว้สำหรับปัดฝุ่นที่ติดตามขอบจอภาพ เพราะมักมีฝุ่นที่เข้าไปติดตามขอบหรือรอยต่อระหว่างตัวเครื่องกับจอภาพ
  • หรือใครที่ซื้อโน้ตบุ๊กใหม่ ตามร้านก็มักจะแถมชุดทำความสะอาด หรือสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์เสริมทั่วไปครับมีครบชุดเลย

image

ขั้นตอนการทำความสะอาดจอภาพ

  • ปิดคอม ถอดปลั๊ก ทิ้งไว้สักพักเพื่อให้ไฟฟ้าสถิตที่จอภาพหมดไปก่อน ไม่งั้นเช็คไปตอนเปิดเครื่อง เดี๋ยวก็มาติดใหม่อีก
  • ใช้แปรงปัดฝุ่นตามขอบจอภาพออกมาก่อน โดยค่อยๆสอดปลายแปลงเข้าไปเบาๆแล้วปัดฝุ่นออกมา เสร็จแล้วคว่ำจอภาพลงเพื่อให้ฝุ่นตกลงมา
  • ใช้ผ้าเปล่าๆเช็คทำความสะอาดก่อนรอบนึงเพื่อให้ฝุ่นที่ติดหนาๆออกไปก่อน ไม่แน่อาจจะไม่ต้องใช้น้ำยาก็ได้ ค่อยๆเช็ค ไม่ต้องใช้แรงมากนัก
  • นำสเปรย์ หรือครีมทำความสะอาดมาฉีดที่ตัวผ้าบางๆ อย่าฉีดที่จอภาพโดยตรง จากนั้นค่อยไล่เช็ดจอภาพตั้งแต่ขอบ ไล่เข้ามาที่กลางจอ
  • ถ้ามีคราบติดแน่นให้ใช้สเปรย์หรือครีมทำความสะอาดฉีดที่ผ้าโดยเน้นแค่จุดเด่นให้ชุ่มๆแล้วค่อยๆเช็คโดยออกแรงเพิ่มอีกนิดน่าจอออกโดยไม่ยากเย็น
  • เสร็จแล้วใช้ผ้าด้านที่สะอาดแห้ง ไม่มีน้ำยาทำความสะอาดเช็ดเบาๆอีกสักที แล้วทิ้งไว้สักพักค่อยปิดจอภาพลงมา แค่นี้จอภาพก็จะใสเหมือนใหม่แล้ว

ข้อควรระวัง

  • ไม่ควรฉีดของเหลวเข้าไปที่จอภาพตรงๆ โดยเฉพาะน้ำเปล่าเช็ค เพราะนอกจากจะเป็นคราบเวลาแห้งแล้ว ของเหลวอาจจะไหลเข้าตามขอบของจอภาพทำให้จอช๊อตได้
  • ไม่ควรใช้แรงเช็ดจอภาพที่มากจนเกินไป แม้จะเป็นคราบติดแน่น ก็ควรใช้แรงแค่ระดับหนึ่ง โดยอาจจะหาน้ำยาหรือครีมทำความสะอาดเข้ามาช่วย
  • เวลาฝุ่นเข้าไปติดตามขอบจอใช้แปรงเขี่ยเบาๆ อย่าออกแรงมากเพราะอาจจะทำให้จอภาพเป็นรอย หรือขอบจอภาพเกิดการอ้าได้
  • ตัวน้ำยาทำความสะอาดควรเป็นแบบที่ระบบว่าใช้สำหรับอุปกรณ์ IT เท่านั้น

หวังว่าคงเป็นเทคนิคเล็กๆน้อยๆที่ช่วยให้ทุกท่านทำความสะอาดจอภาพได้สะดวกมากขึ้น ไม่ต้องมาทนมองจอฝุ่นเยอะๆอีกต่อไปแล้ว

from:https://notebookspec.com/can-easily-clean-the-screen-by-yourself/513497/

Notebook Scoop – วิธีการเลือกหน้าจอสำหรับโน๊ตบุ๊คในการใช้งานทางด้านกราฟิกโดยเฉพาะ

เราเคยได้กล่าวถึงวิธีการในการเลือกหน้าจอสำหรับโน๊ตบุ๊คเพื่อการเล่นเกมไปแล้วครั้งหนึ่งครับ ทว่าในการเลือกหน้าจอเพื่อที่จะมาใช้งานทางด้านการออกแบบกราฟิกต่างๆ โดยเฉพาะนั้นถือได้ว่ามีข้อกำหนดที่มากกว่าการเลือกหน้าจอสำหรับการเล่นเกมเยอะมากเลยทีเดียวครับ ดังนั้นแล้วในครั้งนี้เราจะนำเอาวิธีการเลือกหน้าจอสำหรับการใช้งานทางด้านการออกแบบกราฟิกสำหรับโน๊ตบุ๊คมาให้ทุกๆ ท่านได้ทราบกันครับว่าควรจะเป็นเช่นไรครับ

สำหรับการเลือกหน้าจอสำหรับการทำงานทางด้านกราฟิกโดยเฉพาะนั้นหากจะว่าไปแล้วก็จะไม่ค่อยมีอะไรที่แตกต่างไปจากการเลือกหน้าจอสำหรับโน๊ตบุ๊คเพื่อการเล่นเกมมากสักเท่าไรครับ ทว่าสิ่งที่เป็นปัจจัยสูงสุดที่ผู้ใช้จะเลือกเลยนั้นก็คือในส่วนของความถูกต้องของสีและช่วงกว้างของสีที่ตัวหน้าจอนั้นรองรับจะต้องดีกว่าหน้าจอสำหรับการเล่นเกมอย่างมากเลยทีเดียวครับ หน้าจอที่ดีนั้นจะต้องสามารถแสดงผลสีสันออกมาให้เหมือนกับความจริงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ ดังนั้นแล้วสำหรับการเลือกหน้าจอเพื่อใช้ในการทำงานทางด้านกราฟิกโดยเฉพาะนั้นจะมีปัจจัยที่ต้องใช้งานดังต่อไปนี้ครับ

ความหนาแน่นของจุดพิกเซล

หลายๆ ท่านอาจจะสงสัยครับว่าความหนาแน่นของจุดพิกเซลบนหน้าจอนั้นสำคัญอย่างไร ก่อนอื่นนั้นคงต้องบอกก่อนเลยครับว่าความหนาอแน่นของจุดพิกเซลหรือที่เรารู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า pixels per inch (PPI) นั้นหมายถึงค่าตัวเลขที่จะบ่งบอกว่าในจำนวนในพื้นที่ 1 นิ้วบนหน้าจอนั้นจะมีจุดพิกเซลอยู่มากน้อยแค่ไหน ซึ่งจำนวนความหนาแน่นของจุดพิกเซลนั้นจะมีผลกระทบโดยตรงจากความละเอียดของหน้าจอนั้นๆ ครับ ตัวอย่างเช่นหน้าจอขนาด 15.6 นิ้วที่ความละเอียดแบบ FullHD นั้นโดยทั่วไปแล้วจะมีความหนาแน่นของจุดพิกเซลอยู่ที่ 141 PPI และถ้าหากหน้าจอมีความละเอียดอยู่ที่ระดับ 4K นั้นจะมีความหนาแน่นของจุดพิกเซลอยู่ที่ 282.4 PPI ครับ

การที่หน้าจอมาพร้อมกับความหนาแน่นของจุดพิกเซลมากๆ นั้นจะทำให้รายละเอียดต่างๆ บนหน้าจอนั้นชัดเจนมากขึ้นครับไม่ว่าจะเป็นภาพ, ตัวอักษร หรือจะเป็นพวกเส้นต่างๆ ก็จะมีความคมชัดมากขึ้นกว่าเดิมเป็นอย่างมาก แน่นอนครับว่าเมื่อมีความชัดเจนมากขึ้นดังนั้นแล้วเวลาที่ผู้ใช้ทำงานทางด้านกราฟิกนั้นก็จะเห็นรายละเอียดต่างๆ ได้อย่างชัดเจนมากขึ้นนั่นเองครับ

การรองรับช่วงกว้างของสี

สำหรับช่วงกว้างของสีนั้นคือการที่หน้าจอพาเนลนั้นๆ จะรองรับกับการแสดงสีของมาตรฐานสีต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ โดยทั่วไปอย่างที่เคยบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วนั้นหน้าจอที่รองรับช่วงกว้างของสีมากจะยิ่งทำให้ตัวหน้าจอนั้นๆ สามารถที่จะแสดงผลของสีได้เหมือนจริงมากกว่าหน้าจอที่รองรับช่วงกว้างของสีต่ำๆ โดยจะเห็นได้ชัดเจนจากการนำเอาหน้าจอ 2 หน้าจอที่มีช่วงกว้างของสีต่างกันมาเทียบกันก็จะยิ่งเห็นความแตกต่างได้ชัดเจนมากขึ้นครับ

สำหรับมาตรฐานช่วงกว้างของสีที่ถูกใช้งานหลักๆ ในปัจจุบันนั้นจะประกอบไปด้วย sRGB, NTSC และ AdobeRGB ครับ โดยภาพทางด้านบนนี้นั้นจะแสดงให้เห็นของมาตรฐานของช่วงกว้างของสีตามมาตรฐานต่างๆ ที่รองรับอยู่ โดยทั่วไปแล้วนั้นสำหรับผู้ใช้งานเพื่อการออกแบบทางด้านกราฟิกนั้นจะสนใจการรองรับช่วงกว้างของสีมาตรฐาน AdobeRGB มากกว่ามาตรฐานแบบอื่นๆ ครับเพราะว่าช่วงกว้างของสีตามมาตรฐาน  AdobeRGB นั้นจะมีความสดใสของสีมากกว่ามาตรฐานแบบอื่นๆ ทำให้ในการทำงานนั้นสามารถที่จะเห็นภาพได้เหมือนกับของจริงมากขึ้นนั่นเองครับ

โดยส่วนใหญ่แล้วหน้าจอแบบ LCD ทั่วไปมักจะเน้นเรื่องของการรองรับความกว้างของสีในรูปแบบ sRGB ครับ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแบบ LCD สำหรับโทรทัศน์, ปริ้นท์เตอร์หรือแม้กระทั่วหน้าจอที่ใช้กับกล้องดิจิทัลมักจะมาพร้อมกับการรองรับหน้าจอของสีตามมาตรฐาน sRGB ทั้งนั้น ทว่าข้อเสียของการรองรับช่วงกว้างของสีแบบ sRGB ก็คือมันจะให้ความอิ่มตัวของสีน้องกว่ามาตรฐาน AdobeRGB เป็นอย่างมากครับ

การรองรับช่วงกว่างของสีแบบ sRGB บนหน้าจอของโน๊ตบุ๊คสำหรับการทำงานทางด้านกราฟิกที่ครอบคลุมเกือบ 100%

การรองรับช่วงกว่างของสีแบบ AdobeRGB บนหน้าจอของโน๊ตบุ๊คสำหรับการทำงานทางด้านกราฟิกที่ครอบคลุมเกือบ 100%

สำหรับโน๊ตบุ๊คเพื่อการใช้งานทางด้านกราฟิกโดยเฉพาะนั้นจะรองรับช่วงกว้างของสีทั้งในแบบ sRGB และ AdobeRGB เข้าใกล้ 100% เลยทีเดียวครับ นี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในการเลือกหน้าจอให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานต่างๆ ของทาง MSI ให้ได้รับความพึงพอใจมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ

True Color

นอกเหนือไปจากการเลือกพาเนลหน้าจอที่ดีแล้วนั้นทาง MSI เองยังได้มีการเปิดตัวเทคโนโลยี True Color ออกมาตั้งแต่ในช่วงปี 2014 ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวนี้นั้นจะเข้ามาช่วยในการปรับจูนการแสดงผลสีของหน้าจอให้ออกมาสมจริงมากที่สุดตั้งแต่ที่ตัวเครื่องรุ่นนั้นๆ ออกมาจากโรงงานการผลิตโดยตรงทำให้ผู้ใช้ไม่มีความจำเป็นจะต้องมานั่งปรับการแสดงผลสีของหน้าจอเองใหม่อีกต่อไป นอกเหนือไปจากนั้นแล้วทาง MSI ยังได้ใส่ฟีเจอร์ในการเลือกรูปแบบของการแสดงผลสีของหน้าจอเข้ามาอีกไม่ว่าจะเป็น color temperature, color gamut และ grayscale values ครับ

Delta E

นอกจากจะมีการปรับในส่วนของสีสันที่รองรับความกว้างของสีแล้วนั้น ทาง MSI เองยังได้ใส่ใจกับการปรับแต่งหน้าจอให้เหมาะสมตามค่าการวัดอย่าง Delta E ด้วยอีกต่างหาก ซึ่งค่า Delta E นั้นจะเป็นการวัดที่ความแตกต่างของสีที่มนุษย์เรานั้นจะสามารถมองเห็นความแตกต่างได้ครับ โดยทั่วไปแล้วค่า Delta E ที่ 1 นั้นจะหมายความว่าสี 2 สีที่มนุษย์เราจะสามารถมองเห็นความแตกต่างได้จากสายตาของเราเอง ส่วน Delta E ที่ 0 จะเป็นค่าของสีทางด้านคณิตสาตร์ที่เอาไว้ใช้ในการบ่งบอกว่าสีต่างๆ นั้นเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร เพื่อที่จะให้หน้าจอสามารถที่จะแสดงสีได้เหมือนกับที่ตาเห็นมากที่สุดนั้นค่า Delta E นั้นควรจะต่ำกว่า 2 ซึ่งแน่นอนครับว่าทาง MSI ก็ได้มีการปรับค่าดังกล่าวนี้ออกมาจากโรงงานแล้วเช่นเดียวกันครับ

“CalMAN Verified”

ท้ายสุดแล้วครับ สำหรับหน้าจอของโน๊ตบุ๊คเพื่อการทำงานทางด้านกราฟิกโดยเฉพาะของทาง MSI นั้นจะผ่านการรองรับมาตรฐานจากทาง CalMAN ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพของสีว่าเป็นไปตามอย่างที่ควรจะเป็นหรือไม่ แน่นอนว่าการผ่านมาตรฐาน CalMAN นั้นยิ่งทำให้เราๆ ท่านๆ สามารถมั่นใจได้ว่าหน้าจอของทาง MSI นั้นเขาปรับแต่งมาเพื่อผู้ใช้งานทางด้านกราฟิกอย่างจริงจังจริงๆ ครับ

สรุป

ด้วยความใส่ใจดังกล่าวทั้งหมดที่ผ่านมานี้นั้นเชื่อได้ว่าสำหรับผู้ใช้งานโน๊ตบุ๊คทำงานทางด้านกราฟิกโดยเฉพาะนั้นจะสามารถไว้วางใจได้ครับว่าโน๊ตบุ๊คสำหรับการทำงานทางด้านกราฟิกของทาง MSI นั้นเหมาะสมกับการทำงานของคุณอย่างแน่นอน ที่เหลือนั้นก็คือฮาร์ดแวร์ต่างๆ แล้วล่ะครับว่าจะขับสีสันออกมาได้ดีมากแค่ไหนซึ่ง ณ ตอนนี้นั้นคงต้องยกให้กราฟิกชิป RTX ซีรีย์ของทาง NVIDIA เขาล่ะครับ

ที่มา : notebookcheck

from:https://notebookspec.com/laptops-101-what-goes-into-selecting-an-ideal-laptop-display-for-content-creators/495863/

Notebook Scoop – วิธีการเลือกหน้าจอที่ดีที่สุดสำหรับ Gaming Notebook โน๊ตบุ๊คเพื่อการเล่นเกม

ในการเลือกโน๊ตบุ๊คเพื่อการเล่นเกมนั้นไม่ได้สำคัญเฉพาะตัวหน่วยประมวลผลหรือชิปกราฟิกเท่านั้นครับ อีกส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญมากไม่แพ้กันนั้นก็คือเรื่องของหน้าจอที่คุณจะต้องมองมันอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นแล้วหากจะว่าไปแล้วหน้าจอจึงถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ซื้อโน๊ตบุ๊คสำหรับการเล่นเกมนั้นจะต้องให้ความใส่ใจครับ ในปัจจุบันนั้นถึงแม้ว่าจะมีหน้าจอพาเนลแบบ OLED เข้ามาเป็นตัวเลือกให้เราได้เลือกแล้วนั้น ทว่าราคาของมันนั้นก็ค่อนข้างที่จะสูงและยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากเท่าไรนักไม่เหมือนหน้าจอพาเนล LCD ที่มีราคาอยู่ในระดับที่รับได้ซึ่งนับวันนั้นก็มีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ครับ

นอกจากจะเลือกพาเนลหน้าจอแล้วนั้นยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ที่เราจะต้องเลือกเพื่อใช้ในการพิจารณาด้วยอีกต่างหากครับไม่ว่าจะเป็นเรื่องของขนาดหน้าจอ, ความละเอียดของหน้าจอ, refresh rate และอื่นๆ อีกมากมาย งานนี้นั้นเราจะนำเอาองค์ประกอบต่างๆ เหล่านั้นมาอธิบายให้ทุกท่านได้ทราบกันครับว่าหน้าจอสำหรับการเล่นเกมที่ดีจริงๆ แล้วนั้นควรจะมีสเปคเช่นไร แน่นอนครับว่าตัวอย่างที่เราจะนำมาเสนอให้ทุกท่านได้ร่วมศึกษากันนั้นก็จะเป็นหน้าจอของโน๊ตบุ๊คสำหรับการเล่นเกมจากทาง MSI ที่ได้ชื่อว่าเหมาะสมกับการเล่นเกมเป็นที่สุดครับ

สำหรับองค์ประกอบที่เราจะนำมาเสนอให้ทุกท่านได้เลือกนั้นจะประกอบไปด้วย ขนาดของหน้าจอ, ความละเอียดของหน้าจอ, refresh rates, response times, ช่วงกว้างของสีที่หน้าจอรองรับและที่คาดไม่ได้เลยก็คือประเภทของพาเนลหน้าจอที่ทั้งหมดทั้งมวลนี้จะเป็นการกำหนดคุณภาพของหน้าจอสำหรับการเล่นเกมครับ ว่าแล้วก็ติดตามกันได้เลยครับ

ขนาดของหน้าจอ

สำหรับขนาดของหน้าจอนั้นถือได้ว่าเป็นปัจจัยหลักที่ต้องเลือกตั้งแต่ต้นเลยครับเพราะไม่เพียงแต่ที่ตัวขนาดหน้าจอจะมีความสำคัญต่อการมองรายละเอียดบนหน้าจอแล้วนั้น ทว่าขนาดของหน้าจอนั้นยังส่งผลไปยังขนาดของตัวเครื่องที่รวมถึงน้ำหนักตัวเครื่องด้วยครับ โดยปกติทั่วไปแล้วนั้นขนาดของหน้าจอสำหรับโน๊ตบุ๊คเพื่อการเล่นเกมจะมีอยู่ 3 ขนาดด้วยกันคือ 14 นิ้ว, 15.6 นิ้วและ 17.3 นิ้ว(วัดตามมุุมทะแยง)

โดยที่ในการเลือกนั้นปกติแล้วหากต้องการโน๊ตบุ๊คที่มีตัวเครื่องไม่ใหญ่มากนักหน้าจอขนาด 14 นิ้วและ 15.6 นิ้วถือว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง แต่หากคุณต้องการที่จะเล่นเกมบนโน๊ตบุ๊คเพียงอย่างเดียวล่ะก็หน้าจอขนาด 17.3 นิ้วนั้นก็ดูเหมือนจะแทนที่หน้าจอสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยทั่วไปได้เป็นอย่างดีครับ

ไม่เพียงเท่านั้นนะครับขนาดของหน้าจอนั้นยังคงส่งผลโดยตรงต่อความละเอียดของหน้าจออีกด้วยครับ ดังนั้นแล้วคุณต้องลองเลือกดูแล้วครับว่ารูปแบบการใช้งานเครื่องโน๊ตบุ๊คของคุณนั้นจะเป็นเช่นไรเพราะยิ่งขนาดหน้าจอใหญ่แล้วนั้นความละเอียดของหน้าจอที่เหมาะสมก็จะเพิ่มมากขึ้นตามขนาดของหน้าจอด้วยครับ

ความละเอียดของหน้าจอ

การเรียงตัวของ RGB sub-pixel บนหน้าจอตัวเครื่อง MSI GT76 9SG

อย่างที่ได้บอกไปในตอนต้นครับว่าขนาดของหน้าจอนั้นจะเป็นปัจจัยที่มาพร้อมกับความละเอียดของหน้าจอด้วยเช่นเดียวกัน สำหรับความละเอียดของหน้าจอนั้นเปรียบได้กับจำนวนของ pixels ที่เรียงตัวกันทั้งในแนวนอนและแนวตั้งของหน้าจอครับ ในแต่ละ pixel ของหน้าจอนั้นจะประกอบไปด้วย sub-pixel ที่เรียงตัวกันซึ่งโดยปกตินั้นจะประกอบไปด้วยส่วนของการแสดงสีแดง(R), น้ำเงิน(B) และ เขียว(G) เป็นหลักโดยที่ sub-pixel เหล่านี้นั้นจะมีการผสมสีออกมาเพื่อแสดงสีบนหน้าจอให้มีสีที่หลากหลายครับ

โน๊ตบุ๊คส่วนมากในปัจจุบันนั้นจะมีความละเอียดของหน้าจออยู่ที่ 1920 x 1080 pixels ครับ โดยที่ในการจัดเรียงนั้นตามแนวนอนจะประกอบไปด้วย pixel จำนวน 1920 pixels ส่วนในแนวตั้งนั้นจะประกอบไปด้วย 1080 pixels ครับ ซึ่งที่ความละเอียดเท่านั้นนั้นถือว่าเป็นความละเอียดมาตรฐานที่เราใช้กันมาค่อนข้างที่จะนานแล้วหรือที่เรารู้จักกันอีกในชื่อหนึ่งว่า FullHD ครับ พิกเซลเหล่านี้ถูกจัดเรียงในความหนาแน่นแน่นอนบนหน้าจอครับ ตัวอย่างเช่นหน้าจอขนาด 15.6 นิ้วนั้นจะมีความหนาแน่นของจุด pixels อยู่ที่ 141.2 pixels ต่อพื้นที่บนหน้าจอ 1 นิ้วครับ

นอกเหนือไปจากนั้นแล้วในการจัดเรียงตัวของ pixels นี้นั้นจะมีส่วนที่เรียกว่า dot pitch อยู่ซึ่งเจ้า dot pitch นี้นั้นก็คือระยะห่างระหว่างพิกเซลที่อยู่ติดกันครับ ทำให้หากเราเทียบที่ความละเอียดของหน้าจอบนขนาดหน้าจอที่เท่าๆ กันแล้วนั้นยิ่งมีความละเอียดมากยิ่งขึ้นเท่าไร dot pitch ก็จะน้อยลงมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่นหน้าจอที่ขนาด 15.6 นิ้วบนความละเอียดระดับ FullHD นั้นจะมี dot pitch อยู่ที่ราวๆ 0.18 mm ครับ ในส่วนตรงนี้นั้นเมื่อความละเอียดมากขึ้นเป็นระดับ 2K หรือ 4K ก็จะทำให้ขนาดของ dot pitch ลดลงส่งผลให้ภาพที่แสดงออกมานั้นมีความคมชัดของภาพมากขึ้นกว่าความละเอียดที่ต่ำกว่าเป็นอย่างมากครับ

สำหรับโน๊ตบุ๊คเพื่อการเล่นเกมแล้วนั้นจะเห็นได้ว่าปัจจุบันนั้นหากโน๊ตบุ๊คเพื่อการเล่นเกมดังกล่าวไม่ได้มีราคาสูงมากเกินไปนักความละเอียดที่ระดับ FullHD ซึ่งจะมีจำนวน pixels บนหน้าจอทั้งหมดที่ 2.07 ล้านพิกเซลซึ่งทำให้ชิปกราฟิกนั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นรุ่นที่แรงมากนักก็สามารถที่จะประมวลผลออกมาได้ความเร็วที่เหมาะสมกับการเล่นเกมแล้ว ทว่าหากเอาไปเทียบกับความละเอียดที่ระดับ 4K ซึ่งมีจุดพิเซลมากถึง 8 ล้านพิกเซลแล้วนั้นเวลาที่ชิปกราฟิกประมวลผลก็จะทำงานหนักกว่าความละเอียดที่ระดับ FullHD ครับ

หมายเหตุ – ซึ่งจุดนี้นั้นถือว่ามีส่วนสำคัญกับโน๊ตบุ๊คเพื่อการเล่นเกมเป็นอย่างมากครับเพราะการที่ตัวหน้าจอมาพร้อมกับความละเอียดที่แตกต่างกันนั้นเมื่อความละเอียดของหน้าจอสูงมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นหมายความว่าชิปกราฟิกจะต้องทำงานหนักมากขึ้นเป็นผลให้แบตเตอรี่นั้นหมดเร็วมากกว่าเดิมครับ

Refresh rate ที่รวดเร็ว

ปัจจัยต่อมาที่มีส่วนต่อเนื่องมาจากความละเอียดของหน้าจอนั้นก็คือ Refresh rates ซึ่งเจ้า Refresh rates นี้นั้นจะส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์การมองหน้าจอของผู้ใช้เลยครับ Refresh rates นั้นคือจำนวนครั้งที่แผง LCD สามารถรีเฟรชข้อมูลภาพได้ครับ อย่างเข่นหากหน้าจอมี refresh rate อยู่ที่ 60 Hz นั่นก็หมายความว่าหน้าจอดังกล่าวนั้นจะสามารถแสดงผลภาพได้สูงสุดที่ 60 ภาพต่อวินาที ซึ่ง refresh rate ที่ 60 Hz นั้นถือว่าเป็นมาตรฐานของหน้าจอในปัจจุบันครับ

อย่างไรก็ตามแต่แล้วครับสำหรับหน้าจอบนโน๊ตบุ๊คเพื่อการเล่นเกมแล้วนั้น ปัจจุบันเราจะเริ่มเห็นได้ว่าทางผู้ผลิตได้มีการใช้พาเนลหน้าจอที่มาพร้อมกับ refresh rate ที่มากขึ้นกว่าเดิมคือตั้งแต่ 75 Hz ไปจนถึง 144 Hz หรือที่สูงกว่านั้นก็จะอยู่ที่ 240 Hz เลยทีเดียวครับ ผลที่ได้ของการเพิ่ม refresh rate ของหน้าจอนั้นก็คือเวลาที่เราทำการเล่นเกมนั้นจะเห็นภาพที่ต่อเนื่องกันไม่มีอาการล่าช้าในการแสดงผลให้เห็นหรือถ้ามีก็จะน้อยกว่าหน้าจอที่มี refresh rate ที่ต่ำกว่าครับ

สิ่งหนึ่งที่เราจำเป็นจะต้องคำนึงถึงการเลือก refresh rate ของหน้าจอนั้นก็คือตัวชิปกราฟิกครับเนื่องจากว่าชิปกราฟิกนั้นจะส่งผลโดยตรงในการประมวลผลภาพต่อ 1 วินาทีว่าจะสามารถทำภาพออกมาได้ที่จำนวนกี่ภาพหรือที่เราเรียกกันว่า FPS นั่นล่ะครับ ปัจจุบันนั้นกราฟิกชิปบนโน๊ตบุ๊คทั่วไปนั้นหากเป็นรุ่นที่แรงๆ ก็จะสามารถประมวลผลภาพในการแสดงผลต่อ 1 วินาทีได้มากกว่า 100 ครั้งแล้วตัวอย่างเช่นชิปกราฟิกสุดแรงอย่าง RTX 2080 เป็นต้นครับ เอาเป็นว่าลองมาดูคลิปความแตกต่างในการเล่นเกมบนหน้าจอที่มี refresh rate ต่างๆ กันดีกว่าครับ

จากคลิปนั้นจะเห็นได้ชัดเจนเลยครับว่าหากหน้าจอยิ่งมี refresh rate มาเท่าไร ความต่อเนื่องของภาพที่แสดงผลออกมานั้นก็จะมากยิ่งขึ้นไปด้วย จริงๆ แล้วหน้าจอที่มาพร้อมกับ refresh rate ที่ 144 Hz นั้นก็ดูเหมือนว่าจะเพียงพออยู่แล้ว ทว่าทาง MSI นั้นได้ก้าวไปไกลกว่านั้นด้วยการใช้พาเนลหน้าจอที่มาพร้อมกับ refresh rate สูงถึง 240 Hz บนโน๊ตบุ๊คสำหรับการเล่นเกมในรุ่นใหญ่ๆ งานนี้นั้นเรียกได้ว่าทาง MSI ใส่ใจและจัดเต็มจริงๆ ก็ว่าได้ครับ

Response time ที่ต่ำ

ต่อเนื่องกันกับ response time ที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้ปัจจัยอื่นๆ ครับ response time นั้นคือเวลาที่หน้าจอใช้ในการเปลี่ยนสีจากสีหนึ่งไปยังอีกสีหนึ่งครับ หน่วยที่ใช้ในการวัด response time นั้นจะเป็นหน่วย milliseconds หรือ ms ครับ การวัด response time โดยทั่วไปนั้นจะวัดจากระยะเวลาที่หน้าจอเปลี่ยนสีจากสีดำสนิทไปเป็นสีขาวแล้วกลับมาเป็นสีดำสนิทอีกครั้งครับ ในบางครั้งนั้นผู้ผลิตก็อาจจะใช้การวัด response time จากการเปลี่ยนสีจากสีเทามาเป็นสีขาวแล้วกลับมาเป็นสีเทาอีกครั้งครับ ในจุดนี้ทุกท่านน่าจะเคยเห็นการโฆษณา response time ว่าเป็น black-to-white และ gray-to-gray เป็นต้นครับ

นอกเหนือไปจากการวัดแบบ black-to-white และ gray-to-gray แล้วนั้นยังมีวิธีการในการวัด response time อีกแบบหนึ่งที่มีชื่อว่า Moving Picture Response Time (MPRT) ซึ่งเป็นการวัด response time จากการเปลี่ยนสีของจุด pixel จากสีหนึ่งไปเป็นอีกสีหนึ่งครับ ท่านสามารถที่จะดูผลการทดสอบ response time แบบ MPRT ได้จาก ที่นี่ ครับ สำหรับ response time นั้นยิ่งน้อยมากเท่าไรยิ่งหมายความว่าหน้าจอนั้นมีประสิทธิภาพสำหรับการเล่นเกมที่ดีครับเพราะมันจะทำให้ปัญหาในเรื่องของ ghosting และ motion blur ในการเล่นเกมหายไปครับ

การรองรับช่วงกว้างของสี

ต่อกันด้วยอีกหนึ่งปัจจัยที่นักเล่นเกมส่วนใหญ่อาจจะมองข้ามกันไป ทว่าในความเป็นจริงแล้วนั้นมันก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าปัจจัยอื่นๆ เลยครับกับการรองรับช่วงกว้างของสี โดยการรองรับช่วงกว้างของสีนั้นหากหน้าจอยิ่งรองรับกว้างมากเท่าไรนั่นหมายความว่าหน้าจอนั้นๆ จะสามารถแสดงสีสันบนหน้าจอได้ดีมากขึ้นครับ มาตรฐานที่ใช้ในการแสดงถึงช่วงกว้างของสีที่นิยมใช้กันในปัจจุบันนั้นจะประกอบไปด้วย sRGB, NTSC และ Adobe RGB ครับ

อย่างไรก็ตามแต่แล้วครับสำหรับการเล่นเกมนั้นโดยทั่วไปแล้วเรามักจะนิยมในการดูการรองรับช่วงกว้างของสีตามมาตรฐาน sRGB มากกว่า ส่วนการรองรับช่วงกว้างของสีแบบอื่นอย่างเช่น Adobe RGB นั้นจะค่อนข้างมีความสำคัญกับผู้ที่ใช้งานทางด้านการออกแบบที่ต้องใช้ความถูกต้องของสีสันเป็นหลักครับ

เทคโนโลยีของพาเนลแบบ LCD

ถึงแม้ว่าหน้าจอในปัจจุบันนั้นจะมีการเริ่มใช้พาเนลแบบ OLED กันแล้วทว่าก็ยังคงจำกัดอยู่เฉพาะในโน๊ตบุ๊คบางรุ่นซึ่งส่วนใหญ่แล้วนั้นจะมีราคาที่ค่อนข้างแพงครับ ดังนั้นแล้วหน้าจอแบบ LCD ก็ยังคงได้รับความนิยมมากกว่า โดยพาเนลหน้าจอแบบ LCD นั้นก็จะมีเทคโนโลยีแตกต่างกันไปอย่าง Twisted Nematic (TN), In-Plane Switching (IPS) และ Indium Gallium Zinc Oxide (IGZO) ครับ เอาเป็นว่าลองมาดูว่าพาเนลหน้าจอแบบ LCD ในแต่ละแบบนั้นจะมีข้อดีข้อเสียเป็นอย่างไรกันครับ

พาเนลแบบ TN

ผังการทำงานของหน้าจอพาเนลแบบ TN LCD

สำหรับเทคโนโลยี TN หรือ TN liquid crystal นั้นจะเป็นการใช้งานคริสตัลเหลวเพื่อทำการแสดงผลสีให้สอดคล้องซึ่งกันและกันในแต่ละโมเลกุลของคริสตัล โดยที่คริสตัวเหลวนั้นจะอยู่คั่นกลางระหว่างขั้วไฟฟ้าสองขั้วและขั้วไฟฟ้านั้นจะอยู่ในระยะตั้งฉากซึ่งกันและกัน หลักการทำงานของมันนั้นก็คือในแต่ละช่องพิกเซลของการแสดงสีนั้นโดยปกติแล้วหากสีไหนไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงบนพิกเซลนั้นๆ ตัวคริสตัลเหลวก็จะคงตัวตั้ังฉากกับขั่วไฟฟ้าเป็นมุม 90 องศา ส่วนพิกเซลที่ต้องการจะทำการแสดงผลคริสตัลเหลวนั้นก็จะถูกบิดเป็นเกลียวเพื่อที่จะทำให้สามารถผ่านขั้วไฟฟ้าที่กั้นอยู่ออกไปได้ครับ

ด้วยจุดเด่นดังกล่าวนี้เองนั้นทำให้พาเนลแบบ TN จะมาพร้อมกับ response times ที่ต่ำเอามากๆ ซึ่งทำให้พาเนลแบบ TN นั้นยังคงเป็นที่นิยมใช้งานอย่างกว้างขวางบนโน๊ตบุ๊คในปัจจุบัน ด้วย response times แบบ G2G ที่ 1 ms และ refresh rate ที่สามารถทำได้สูงกว่า 120 Hz ขึ้นไปทำให้เราได้เห็นพาเนลหน้าจอแบบ TN ใช้บนโน๊ตบุ๊คสำหรับการเล่นเกมด้วยเช่นเดียวกัน ทว่าปัญหาของพาเนลแบบ TN นั้นก็คือมุมองของตัวพาเนลที่ค่อนข้างจะต่ำเอามากๆ แถมจำนวนสีที่สามารถแสดงผลได้นั้นก็อยู่ที่ 6 bits ต่อสีแบบ RGB อีกทำให้ในการใช้งานจริงนั้นจะต้องมีการแก้ไขบางส่วนเพื่อที่จะทำให้พาเนล TN นั้นสามารถแสดงผลสีได้ที่ 16.7 ล้านสีครับ

พาเนล IPS

มาต่อกันที่พาเนลยอดนิยมในปัจจุบันกับพาเนลแบบ IPS ครับ พาเนลแบบ IPS นั้นยังคงมีหลักการในการทำงานคล้ายๆ กับพาเนลแบบ TN อยู่ครับ ทว่าในการใช้งานนั้นนั้นบนพาเนลแบบ IPS จะมีการเปลี่ยนขั่วไฟฟ้าจากเดิมที่บนพาเนลแบบ TN จะวางในแนวเดียวกันกับแผงหน้าจอ มาเป็นวางคร่อมทำมุม 90 องศากับคริสตัลเหลวภายในแทนทำให้แสงในพิกเซลนั้นๆ สามารถที่จะผ่านแผงหน้าจอออกไปได้ตลอดเวลา ผลที่ได้นั้นก็คือพาเนลแบบ IPS นั้นจะมีความจำเป็นที่จะต้องใช้แฟล่งแสงสำหรับส่องไปที่แผงหน้าจอน้อยกว่าพาเนลแบบ TN ค่อนข้างมราจะมากเลยทีเดียวครับ

ด้วยวิธีการดังกล่าวนั้นทำให้พาเนลแบบ IPS สามารถที่จะแสดงผลช่วงกว้างของสีได้มากกว่าพาเนลแบบ TN รวมทั้งยังมีมุมมองในการมองมากกว่าพาเนลแบบ TN ด้วยอีกต่างหาก ที่สำคัญกว่านั้นก็คือพาเนลแบบ IPS ก็ยังคงมีราคาที่ไม่แพงมากนักทำให้พาเนล IPS ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน(แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนนั้นพาเนล IPS จะมีราคาค่อนข้างที่แพงกว่าพาเนล TN ค่อนข้างมากครับ) ในปัจจุบันนั้นพาเนลแบบ IPS จะมี refresh rate มาตรฐานอยู่ที่ 60 Hz ทว่าก็มีการพัฒนาขึ้นให้มี refresh rate เพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ

ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีครับเพราะพาเนล IPS เองนั้นก็มีข้อเสียของมันด้วยเช่นเดียวกันซึ่งนั่นก็คืออาการที่เรียกว่า backlight bleeding (IPS glow) ซึ่งเป็นภาวะที่เราจะเห็นได้ว่ามีแสงส่องสว่างออกมาจากจุดกำเนิดแสงสำหรับหน้าจอเวลาที่เราใช้สีเข้มๆ อย่างเช่นสีดำเป็นต้นครับ(ตามภาพด้านบน) ซึ่งข้อเสียดังกล่าวนี้นั้นไม่สามารถที่จะหาทางแก้ไขได้เลยครับนอกเหนือไปจกาการ QC จะต้องดีเท่านั้นซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตอีกนั่นล่ะครับว่าจะมีการตรวจสอบคุณภาพที่ดีขนาดไหนที่จะเลือกพาเนลแบบ IPS ให้มี IPS glow ออกมาน้อยที่สุดครับ

พาเนล IGZO

สำหรับพาเนล IGZO นั้นถือได้ว่าเป็นพาเนลที่แตกต่างออกไปจากพาเนลแบบ TN และ IPS ครับเนื่องจากว่า IGZO นั้นไม่ได้ใช้คริสตัลเหลวในการทำงานแล้วแต่เปลี่ยนมาใช้ทรานซิสเตอร์ในการกำเนิดแสงแทนโดยที่จุดเด่นของ IGZO นั้นก็คือมันสามารถที่จะนำเอาไปประยุกต์ใช้งานได้ทั้งกับพาเนลแบบ TN, IPS หรือแม้กระทั่ง OLED ได้ด้วยอีกต่างหากครับ

หลักการทำงานของ IGZO นั้นก็คือในแต่ละ pixel ของหน้าจอนั้นจะมาพร้อมกับ thin-film transistors (TFTs) ที่เอาไว้ใช้ในการควบคุมการเปิดปิดการแสดงผลสีของแต่ละจุดพิกเซลนั้นๆ โดยทั่วไปแล้วนั้น TFT ที่ใช้จะผลิตขึ้นมาจาก amorphous silicon (a-Si) ซึ่งมันไม่ได้เป็นแบบโปร่งใสแต่ทว่าผู้ผลิตนั้นสามารถที่จะลดขนาดของ a-Si ให้มีขนาดเล็กลงมากๆ และเรียกใหม่ว่าเป็น IGZO ซึ่งจนทำให้ส่งผลต่อการแสดงสีของแต่ละจุดพิกเซลน้อยเอามากๆ ทว่าด้วยกระบวนการผลิตดังกล่าวนี้เองนั้นถึงแม้ว่า IGZO จะทำให้การแสดงผลสีสันดีกว่าพาเนลแบบอื่นแต่ราคาของมันนั้นก็แพงเอาเรื่องอยู่เช่นเดียวกันครับ

จุดเด่นของพาเนลแบบ IGZO นั้นก็คือตัวพาเนลหน้าจอจะมาพร้อมกับ refresh rates ที่สูงเอามากๆ แถมความหนาแน่นของจุด pixels นั้นก็มีมากกว่าเมื่อเทียบกับจอแบบ a-Si ทั่วไป  ปัญหาเรื่องของแสงเล็ดลอดออกมานั้นก็มีน้อยจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าไม่มีเลยหากไม่สังเกตดีๆ ครับ อีกข้อดีหนึ่งของพาเนลแบบ IGZO นั้นก็คือมันใช้พลังงานต่ำเอามากๆ ซึ่งแน่นอนครับว่าเมื่อเอามาใช้กับหน้าจอโน๊ตบุ๊คสำหรับการเล่นเกมแล้วย่อมทำให้แบตเตอรี่นั้นประหยัดขึ้นด้วยอีกครับ

หมายเหตุ – ด้วยความที่พาเนลแต่ละพาเนลนั้นมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไปทำให้ทาง MSI นั้นได้ทำการเพิ่มตัวเลือกพาเนลหน้าจอมาให้กับผู้ใช้งานได้เลือกใช้เองตามงบประมาณด้วยครับ ตัวอย่างของโน๊ตบุ๊คสำหรับการเล่นเกมที่มีพาเนลหน้าจอแบบ IGZO มาให้เลือกด้วยนั้นก็จะได้แก่ GT76, GE65 และ GS65 เป็นต้นครับ

สรุป

ด้วยความแตกต่างอย่างที่ได้นำเสนอไปแล้วนั้นจะเห็นได้ครับว่าหน้าจอในแต่ละแบบนั้นก็มีข้อดีข้อเสียรวมไปถึงคุณภาพที่แตกต่างกันออกไป แน่นอนครับว่าการที่จะเลือกซื้อนั้นคงไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนครับว่าท่านควรที่จะต้องซื้อเครื่องที่มาพร้อมกับหน้าจอแบบไหน ทว่าการทดสอบเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดนั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ควรจะลองจนตัวท่านเองพอใจมากที่สุดครับ อย่างไรแล้วนั้นหากท่านมีงบประมาณมากๆ แล้วการเลือกหน้าจอที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ควบคู่ไปกับสเปคของตัวเครื่องที่ร้อนแรงก็ถือว่าเป็นของคู่กันที่ควรจะจัดกันครับ

ที่มา : notebookcheck

from:https://notebookspec.com/laptops-101-what-goes-into-selecting-an-ideal-laptop-display-for-gamers/493862/

Review – Lenovo Legion Y27q-20 จอเกมมิ่ง IPS ออปชั่นจัดเต็ม

กลับมาอีกครั้งกับการแนะนำจอภาพสำหรับเกมมิ่งดีๆอีกสักตัวที่มีจุดเด่นตั้งแต่การออกแบบที่ไม่เหมือนใครเป้นเอกลักษณ์ะเฉพาะ เรียกแต่สวย พร้อมออปชั่นที่จัดเต็มไม่ว่าจะเป็นพาแนลแบบ IPS รองรับ AMD Free Sync ความละเอียดระดับ 2K ที่ขนาด 27 นิ้ว และลำโพงเสียงแจ่มที่ดีไซน์ไม่เหมือนใครอย่าง Lenovo Legion Y27q-20

Lenovo Legion Y27q-20 เป็นจอเกมมิ่งรุ่นล่าสุดจากผู้ผลิตพีวีชื่อดัง ที่ได้พัฒนาจอภาพเกมมิ่งมาอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงตัวนี้ที่โดดเด่นตั้งแต่การออกแบบที่ดูเรียบ แต่สวยงาม พร้อมการแยกลำโพงในตัวจอภาพออกมาเพื่อให้ใช้งานได้สะดวกและเสียงดียิ่งกว่าเดิม นอกจากนั้นจอภาพยังมาพร้อมฟีเจอร์ครบครันไม่ว่าจะเป็นขนาด 27 นิ้ว ที่ความละเอียดระดับ 2560 x 1440 ด้วยอัตราการตอบสนองที่รวดเร็วเพียง 1 ms ,รีเฟรชเรทที่สูงถึง 165 Hz รองรับ AMD Free Sync และที่สำคัญคือใช้พาแนลจอภาพแบบ IPS ซึ่งให้สีสันสดใสสมจริงไม่ว่าจะเล่นเกมหรือทำงาน อีกทั้งยังมาพร้อมฮับและพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครัน แต่จะมีอะไรน่าสนใจอีกบ้างนั้นต้องตามไปชมกัน

สเปค Lenovo Legion Y27q-20

Lenovo Legion Y27q-20 มาในโทนสีดำสนิทในแบบฉบับเกมมิ่งมอนิเตอร์ ขอบจอ 3 ด้านบางมาก ทำให้จอภาพขนาด 27 นิ้ว แต่ดูเล้กและเบากว่าอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับจอภาพขนาด 27 นิ้ว เท่ากัน จอภาพเป็นจอด้านไม่สะท้อนแสง วัสดุเป็นพลาสติกดำด้าน โดยขอบจอภาพด้านซ้ายจะระบุฟีเจอร์ต่างๆอย่างครบครัน ตรงกลางจะเป็นโลโก้ Legion ขอบด้านขวาจะเป็นปุ่มสั่งงานแยก 6 ปุ่ม ตามมาตรฐาน จอภาพสามารถปรับหมุนแกนฐานได้ซ้ายขวา หมุนตั้งสำหรับงานเอกสารได้

 

ด้านหลังเรียบๆ แต่จะมีการเจาะรูทรงกลมตลอดด้านหลัง เพื่อช่วยในการระบายความร้อน และเป็นเรื่องของดีไซน์ที่ให้เขากับตัวฐาน โดยจะมีโลโก้ lenovo ขอบด้านว้าย และ Legion ข้างฐานจอด้านขวา ขอบฐานด้านบนมีหูหิ้วเป็นสีน้ำเงินชัดเจน สังเกตุง่าย โดยรวมดูเรียบๆแต่ก็สวยงามดีไม่เยอะเกินไป

นอกจากการออกแบบจอทีดูเรียบง่ายแล้ว ตัวขาตั้งก็จัดว่าโดดเด่นเลยทีเดียวด้วยขาตั้งเป็นโลหะทรงกลมแข็งแรง สามารถถอดออกจากจอได้เพื่อติดขาแขวน ฐานทรง V เป็นโลหะรมดำ ทำให้สีออกดำเทา โดยจะมีการเจอะรูเพื่อลดน้ำหนัก สวยงามไปอีกแบบ อีกทั้งยังมีการแบ่งชั้นวัสดุที่ฐานเป็นสีน้ำเงินช่วยให้ดูสวยงามมีมิติไปอีกแบบ

พอร์ตเชื่อมต่อครบครันทั้ง HDMI ,Display Port ข้างกันจะเป็นช่องต่อ adapter หัวเหลี่ยมของ Lenovo สามารถเอาของโน้ตบุ๊คมาใช้ได้เลย ทางขวาจะมี USB Type-B เพื่อต่อ HUB USB นอกจากนั้นมีพอร์ต USB 3.1 ด้านล่างอันนนึง และข้างซ้ายอีก 2 พอร์ต พร้อมช่องต่อ Headphone อยู่ด้านล่าง แต่พอรืตด้านข้างจะอยู่เยื้องฐานจอด้านหลังทำให้การใช้งานไม่สะดวกเท่าไรต้องเอื้อมมือไปด้านหลัง

จุดเด่นที่ไม่พูดไม่ได้เลยคือของจอภาพด้านซ้าย สามารถกางออกเป็นที่แขวนหูฟังได้ด้วย

ขาตั้งสามารถสามารถปรับก้ม เงย ยกสูงต่ำได้พอสมควรเลย ช่วยให้เหมาะสมตามการใช้งานของแต่ละท่านได้เป็นอย่างดี

ด้านล่างฐานทรงตัว V โดยจะมีลำโพงแยกเป็นทรงกลมอยู่ตรงฐาน แยกออกมาจากตัวจอ ทำให้จอน้ำหนักเบาลง และให้เสียงที่คมชัดดีกว่าเยอะ อีกทั้งถ้าไม่ได้ใช้ต่อลำโพงแยก ก็สามารถถอดออกได้ด้วย

โดยเป็นลำโพงจาก Harman Kardon โดยเชื่อมต่อผ่านสาย USB-C ด้านหลัง ปุ่มควบคุมเสียงแยกต่างหากเลย จากการทดสอบบอกเลยว่าเสียงดีมาก ดีกว่าลำโพงในตัวจอหลายๆตัว เสียงเทียบชั้นลำโพงต่อแยก 2.1 หลายๆตัว เสียงดัง คมชัด เบสมีนิดหน่อย ฟังในห้องสบายๆไม่ต้องง้อลำโพงพงแยกเลย หรือไม่อยากใช้ก็ถอดออกเก็บได้ แถมยังมีไฟ RGB อีกด้วย สวยงามเลยครับ

Lenovo Legion Y27q-20 มาพร้อมพาแนลแบบ IPS จึงไม่ต้องห่วงเรื่องคุณภาพของสีสันเลย สีสันสดใส เสมือนจริงมาก เหนือกว่าจอภาพ VA หรือ TN อย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเล่นเกม หรือทำงานทั่วไป จนถึงงานด้านกราฟิกก็ลงตัว เหมาะกับท่านที่ต้องการจอทำงานไปจนถึงการเล่นเกมได้อ่างลงตัว จอภาพแบบด้านใช้งานได้นานโดยไม่เมื่อยล้าสายตา ขนาด 27 นิ้ว ความละเอียดระดับ 2K ครบเครื่องทั้งเล่นเกม หรือดูหนัง จอเดียวจบครบทุกความต้องการเลย

นอกจากนั้นยังออกแบบมาเพื่อการเล่นเกมไม่ว่าจะเป็นอัตรารีเฟรชที่สูงถึง 165 Hz เยอะกว่าจอภาพทั่วไปที่ส่วนใหญ่เป็น 144 Hz ตอบสนองที่รวดเร็วเพียง 1 ms รองรับ AMD Free Sync  ทำให้ภาพในเกมที่เคลื่อนไวรวดเร็วไม่ฉีกไม่เบลอ อีกทั้งตัวจอมอนิเตอร์ก็ยังสามารถปรับมุมมองได้หลากหลายยกสูงต่ำหมุนซ้ายขวาได้เยอะ พอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครัน การออกแบบที่ไม่เยอะ แต่ก็ไม่จืดจนเกินไป อีกทั้งลำโพงแยกที่แถมมาให้เสียงที่ดีมาก มากกว่าจอภาพที่แถมลำโพงมาเกือบทุกตัวเลย ใชงานในห้องไม่ต้องซื้อลำโพงเพิ่มเลย

Lenovo Legion Y27q-20 เกมมิ่งมอนิเตอร์อีกหนึ่งตัวที่ให้มาแบบไม่มีกั๊กเลยด้วยขนาดจอภาพ 27 นิ้ว ระดับ 2K ที่มาทั้งการออกแบบที่ไม่เหมือนใคร ปรับแต่งได้เยอะ มาพร้อมเทคโนโลยี AMD Free Sync ,อัตราการตอบสนองที่รวดเร็วเพียง 1 ms รองรับ 165 Hz ปรับแต่งมุมมองสูงต่ำซ้ายขวาก็ได้ เหมาะทั้งผู้ที่ใช้งานทั่วไป ไปจนถึงการเล่นเกมที่จอภาพออกแบบได้มาอย่างครบเครื่องตอบสนองทุกความต้องการ และที่สำคัญคือพาแนล IPS ที่ให้สีสันสดใสสมจริงดีที่สุดสำหรับการเล่นเกม อีกทั้งระบบลำดพงแยกจาก Harman Kardon ที่ให้เสียงดีกว่าลำดพงในจอภาพทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด

บทสรุป Lenovo Legion Y27q-20 เป็นอีกหนึ่งจอภาพเกมมิ่งสำหรับท่านที่ต้องการจอภาพเล่นเกมที่มาในฟีเจอร์ครบเครื่อง กับจอภาพไซท์ใหญ่ตัวเดียวจบทั้งเล่นเกม ดูหนังฟังเพลง หรือทำงานได้ในหนึ่งเดียว

Lenovo Legion Y27q-20 มาในราคา บาท สั่งซื้อได้ที่

จุดเด่น

  • พาแนล IPS ให้สีสันสดใสสมจริง
  • จอภาพปรับแต่งมุมมองได้หลากหลาย
  • พอร์ตเชื่อมต่อครบครัน
  • AMD Free Sync ,165Hz

ข้อสังเกตุ

  • พอร์ต USB ด้านข้างใช้งานยากไปหน่อย
  • ยังไม่มีวางจำหน่าย

from:https://notebookspec.com/review-lenovo-legion-y27q-20/489266/