คลังเก็บป้ายกำกับ: INTEL_KNOWLEDGE

จัดอันดับโน๊ตบุ๊คเล่นเกมปี 2020 น่าซื้อ งบ 2x,xxx – 3x,xxx บาท สเปก Intel Core i Gen 10H จับคู่มากับ GTX 1650 – RTX 2060 แรงลื่นคุ้มค่า จอ IPS 15.6″ / 16.1 / 17.3″

อัพเดทการเลือกซื้อโน๊ตบุ๊คเล่นเกมช่วงปลายปี 2020 หรือ Gaming Notebook จากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คประเภทที่ยอดนิยมที่สุดในตลาด จากการมาพร้อมกับสเปกต่อราคาที่คุ้มค่า แน่นอนว่าได้เป็นชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10H ที่แรงลื่นเป็นหลัก โดยแบ่งออกเป็น Core i5-10300H ที่เป็นรุ่นเริ่มต้น ทำงานแบบ 4 Cores 8 Threads / 2.50 – 4.50 GHz GHz / 8 MB L3 Cache รองรับการเล่นเกมที่ลื่นไหลและทำงานได้หลากหลาย

หรือในส่วนของ Core i7-10750H ที่แรงกว่า ทำได้งานแบบ 6 Cores 12 Threads / 2.60 – 5.00 GHz GHz / 12 MB L3 Cache เพราะได้ทั้งประสิทธิภาพจากความเร็วในการทำงาน รวมไปถึงจำนวนคอร์และเธร์ดที่มากกว่า อีกยังได้ L3 Cache ที่ใหญ่กว่าอีกด้วย แน่นอนว่าส่งผลต่อการทำงานทุกๆ อย่าง ที่พร้อมๆ กัน และการเล่นเกมโดยตรงด้วย

บทความนี้ก็เลยจะมาจัดอันดับโน๊ตบุ๊คเล่นเกมน่าซื้อ สเปก Intel Core i5-10300H / i7-10750H แรงลื่นสะใจ ฟีเจอร์จัดเต็ม คุ้มค่าราคาเริ่ม 2x,xxx – 3x,xxx บาท โดยเป็นเทคโนโลยี Intel Core i Gen 10H ที่มีประสิทธิภาพสูง จับคู่มากับการ์ดจอรุ่นต่าง ๆ อาทิ NVIDIA GeForce GTX 1650 / GTX 1650 Ti / GTX 1660 Ti / RTX 2060 ที่แรงลื่นเพียงพอต่อการเล่นเกม 3 มิติทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เทียบกับความแรงต่อราคาแล้วคุ้มค่า

ในส่วนของได้แรมมาเป็นมาตรฐาน DDR4 ที่ขนาด 8GB – 16GB ส่วน SSD ได้ความจุ 512GB เป็นมาตรฐาน หน้าจอขนาด 15.6″ / 16.1″ / 17.3″ ความละอียด Full HD พาเนล IPS ที่ 120Hz – 144Hz  ที่ต้องบอกเลยว่า สเปกเพียงพอต่อทุกๆ การใช้งานพื้นฐานหรือเล่นเกมหนักๆ ก็ทำได้ดีเยี่ยม ติดตั้ง Windows 10 แท้ใช้งานได้ทันที มีประกันดีที่สุดเป็นแบบ On-site Service ซ่อมฟรีถึงบ้านยาวนาน 3 ปี ราคาเริ่มต้นถูกที่สุดที่ 25,900 บาทเท่านั้น ซึ่งจะมีรุ่นอะไรบ้างนั้น ไปชมกันต่อเลย

ASUS TUF Gaming F15 FX506 ราคา 27,900 บาท

ASUS TUF Gaming F15 FX506 ต่อยอดรุ่นก่อนหน้าได้อย่างดีเยี่ยมในหลายๆ ส่วน เริ่มจากดีไซน์โดดเด่นด้วย การออกแบบ Bonfire Black มีผิวสัมผัสที่แตกต่างให้ความรู้สึกดุดันและแข็งแกร่งเหมาะสำหรับเกมเมอร์ที่ชอบการแสดงออก ตัดกับการออกแบบรูปสี่เหลี่ยมคางหมูตรงกลางของฝาทำให้เกิดรูปแบบหกเหลี่ยมพร้อมดึงดูดสายตาไปที่โลโก้ TUF Gaming ที่ได้รับการขัดเงาตัดแถบสีแดงที่เร่าร้อน TUF Gaming ได้รับการรับรองตามมาตรฐานทางการทหาร MIL-STD-810H โดยสามารถทนต่อแรงสั่นสะเทือน, อุณหภูมิและความชื้นสูง อีกทั้งยังมีช่องด้านบนเหนือคีย์บอร์ดมีช่องดูดลมอีกช่องช่วยนำพาอากาศเย็นเข้าไปอีก 

ASUS TUF Gaming F15 FX506 มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i5-10300H ส่วนการ์ดจอแยกจะเป็น NVIDIA GeForce GTX 1650 Ti (4GB GDDR6) รุ่นใหม่ที่แรงกว่าเดิมได้หน้าจอขนาด 15.6″ ความละเอียด Full HD ที่ 1920 x 1080 พิกเซล พาเนล IPS เกรดคุณภาพดี รองรับ Refresh Rate ที่ 144Hz ให้ความลื่นไหลอย่างที่สุดด้วย แรมได้มาขนาด 8GB DDR4 Bus 2933 MHz แบบ Single Channel (8GB x 1 แถว) มาพร้อมกับที่เก็บข้อมูลแบบ SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB ที่มีความลื่นไหล

รวมไปถึงมีไฟ RGB คีย์บอร์ด แบบ All Zone ปุ่ม WASD ทำไฮไลท์ไว้ สามารถรองรับการกดได้ 20 ล้านครั้ง Travel Key 1.8 mm การวางเลเอาท์จะเหมือนกับคีย์บอร์ดแยกจริงๆ ส่วนน้ำหนักก็อยู่ที่ 2.3 กิโลกรัม จัดได้ว่าเป็น Notebook ที่สเปกแรงมากๆ แต่น้ำหนักเบาๆ พกพาสะดวก อีกทั้งแบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานกว่า 7 ชั่วโมงโดยประมาณ และร้อนน้อยด้วยเมื่อใช้งานหนักๆ นอกเหนือจากนี้ยังมี Armory Crate ซอฟต์แวร์ Utility ที่ยกมาจาก ROG รุ่นอื่นๆ

รวมไปถึงมีลำโพงคุณภาพสูงระบบเสียง DTS:X Ultra พร้อมพอร์ตการเชื่อมต่อครบครัน ทั้ง 2 x USB 3.2 Gen 2 Type-A และ 1 x USB 3.2 Gen2 Type-C โดยทำงานเป็น DisplayPort 1.4 ระบบการเชื่อมต่อไร้สายเป็นมาตรฐานใหม่อย่าง Wi-Fi 5 AC และ Bluetooth 5.0 ติดตั้งระบบปฎิบัติการติดตั้ง Windows 10 แท้ และซอฟต์แวร์ Utility อย่าง Armory Crate มาให้ในตัว ส่วนการรับประกัน 2 ปี ส่งเคลม 7-11 และที่สำคัญเมื่อเอาซีเรียลไปลงทะเบียนในเว็บไซต์ ASUS จะได้รับประกันอุบัติเหตุฟรี 1 ปีแรกจากทาง ASUS อีกด้วย อุ่นใจจัดเต็ม จัดได้ว่าเป็นมาตรฐานการรับประกันของทาง ASUS ปกติ

Dell G3 15 3500 ราคา 25,900 – 36,900 บาท

Dell G3 15 3500 เป็น Gaming Notebook ราคาสุดคุ้มประจำปี 2020 ที่เป็นน้องเล็กสุด รองมาจาก G5, G7 และ Alienware ดีไซน์ดูบางเบา ซึ่งมีความบางตัวเครื่องเพียง 21.6 มิลลิเมตรเท่านั้น ส่วนน้ำหนักอยู่ที่ 2.1 กิโลกรัม ตัวเครื่องสีดำเทาแซมฟ้าในแนวเดียวกับ G Series ซึ่งสเปกหลักๆ แล้วเน้นประสิทธิภาพต่อความคุ้มค่า สำหรับการ์ดจอเป็น GeForce 16 Series อย่าง GTX 1650 ประกบคู่กับชิปประมวลผลรุ่นใหม่อย่าง i5-10300H / i7-10750H ที่เป็น Core i Gen 10H รุ่นล่าสุด รองรับการเล่นเกมได้อย่างลื่นไหลกว่ารุ่นก่อนๆ โดย Dell G3 15 3500 ที่จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมรุ่นเริ่มต้น ราคาถูกที่สุดของ Dell

Dell G3 15 3500 มีหน้าจอขอบบางขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1920×1080 พิกเซล) พาเนลเป็น WVA (เทียบเท่า IPS) คุณภาพดี รองรับ Refreah Rate ที่ 120Hz พื้นผิวจอแบบด้าน Anti-Glare รวมๆ ทั้งสีสันความคมชัดแล้วจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี เหมาะกับการใช้งานทั่วๆ ไปหรือการเล่นเกมก็ทำได้อย่างน่าประทับใจ สนนราคาที่ 25,900 บาท สำหรับรุ่น i5-10300H + GTX 1650 + RAM 8GB + SSD 256GB + HDD 1TB หรืออีกรุ่นที่ 36,900 บาท สำหรับรุ่น i7-10750H + GTX 1660 Ti + RAM 16GB + SSD 512GB พร้อมประกัน 2 ปี On-site Service

ดีไซน์การออกแบบของ Dell G3 15 3500 Gaming Notebook นั้นจะดูกระทัดรัดกว่าโน๊ตบุ๊คเล่นเกมขนาดหน้าจอ 15.6 นิ้วอื่นๆ อยู่พอสมควร เนื่องด้วยมีการใช้ตัวเครื่องเหมาะกับการพกพา เทียบเท่ากับโน๊ตบุ๊คเล่นเกมมาตรฐานแบบเดิมๆ ที่ต้องดูหนาและหนัก ทำให้มีความโดดเด่นมากๆ ซึ่งมีความบางตัวเครื่องเพียง 21.6 มิลลิเมตรเท่านั้น ส่วนน้ำหนักอยู่ที่ 2.1 กิโลกรัม ถือว่าเบากว่าหลายๆ รุ่น มาพร้อมสีสันอย่างสีดำ Eclipse Black ที่ให้ความสวยงามตามสไตล์ของ Dell แบบชัดเจน

มาดูในส่วนของการเชื่อมต่อกันบ้าง หลักๆ แล้วถือว่ามีความครบครันทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นพอร์ต USB 3.1 Type-A จำนวน 1 พอร์ต ไว้สำหรับการเชื่อมต่อกับแฟลชไดร์ฟหรือฮาร์ดดิสก์ภายนอกไว้ถ่ายโอนข้อมูล และพอร์ต USB 2.0 Type-A อีก 2 พอร์ตที่ไว้เชื่อมต่อกับเมาส์หรืออุปกรณ์อื่นๆ รวมไปถึงสามารถเชื่อมต่อออกหน้าจอภายนอกได้ง่ายๆ ผ่านทาง HDMI ขนาดมาตรฐาน รวมไปถึงยังมี USB 3.1 Type-C ที่เป็น DisplayPort ได้ในตัว นอกจากนั้นก็มีช่องเชื่อมต่อไมค์และหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ช่องอ่าน SD Card และ LAN RJ45 อีกด้วย

Lenovo IdeaPad Gaming 3i ราคา 25,900 – 30,900 บาท

Lenovo IdeaPad Gaming 3i เป็น Gaming Notebook เน้นความคุ้มค่าประจำปี 2020 เป็นโน๊ตบุ๊คสเปกแรงที่สามารถเอาไปเล่นเกมได้สบายๆ โดดเด่นด้วยชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10H รุ่นใหม่อย่าง Core i5-10300H / Core i7-10750H พร้อมด้วยการ์ดจอระดับ Gaming อย่าง NVIDIA GeForce GTX 1650 / GTX 1650 Ti รุ่นใหม่ อีกทั้งได้ดีไซน์ใหม่ขอบจอที่บางและน้ำหนักเครื่องที่ไม่หนักจนเกินไป รวมๆ มีความเรียบง่าย โดยมาพร้อมกับโทนสีดำ Onyx Black พร้อมแซมด้วยสีฟ้า ที่ดูแล้วสวยงามและแตกต่างจาก Gaming Notebook ทั่วไปชัดเจน วางตำแหน่งเป็นซีรีส์ Gaming เริ่มต้นของทาง Lenovo

สำหรับ Lenovo IdeaPad Gaming 3i นั้นเรียกได้ว่ามาครบเครื่อง เป็นโน๊ตบุ๊คสำหรับการเล่นเกมหรือทำงานหนักๆ อย่างตัดต่อวีดีโอ ขนาดหน้าจอ 15.6″ Full HD พาเนล IPS รองรับ Refresh Rate ที่ 120Hz ด้วยแรมขนาด 8GB และได้ SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB มี Windows 10 แท้ใช้งานได้ทันที สร้างประสบการณ์ในการเล่นเกมหรือทำงานกับผู้ใช้งานได้อย่างสบายๆ ที่เด็ดที่สุด ความคุ้มค่าราคาไม่แพง เริ่มต้นที่ 25,990 บาท ที่สำคัญได้การรับประกัน On-site Service ซ่อมฟรีถึงบ้าน 2 ปีด้วย และได้ประกันอุบัติเหตุด้วย รวมไปถึงบริการหลังการขายอื่นอื่นๆ อีกมากมายด้วย

Lenovo IdeaPad Gaming 3i การดีไซน์จะออกแบบมาเป็นแบบเรียบง่ายสไตล์มินิมอล โดยการปรับเปลี่ยนหน้าตาจาก Lenovo IdeaPad Gaming L340 พอสมควร เน้นใช้งานทั่วไป โดดเด่นด้วยความต่างในส่วนของสีสันที่ดูแล้วมีความเป็น Gaming จากสีสันโทนฟ้าที่นำเข้ามาแซมกับสีตัวเครื่องหลักที่เป็นสีเทาเข้มออกไปทางดำอย่าง Onyx Black วัสดุตัวเครื่องทั้งหมดทั้งด้านนอกด้านในเป็นพลาสติกเกรดดี แต่มีการทำลวดลายให้คล้ายกับอลูมิเนียม อย่างไรก็ตามเป็นรอยนิ้วมือง่ายไปหน่อย 

สำหรับน้ำหนักและความหนาของตัวเครื่อง Lenovo IdeaPad Gaming 3i ถือว่าเป็นเบาตามมาตรฐานของโน๊ตบุ๊คปี 2020 ที่ต่อยอดมาจากรุ่นก่อนหน้าในหลายๆ ส่วน มีน้ำหนักเพียง 2.2 กิโลกรัมเท่านั้น ทำให้พกพาไปไหนมาไหนสะดวกสบายมาก พร้อมด้วยกล้องเว็บแคม HD (720p) พร้อม Privacy Shutter และมีไมค์ดิจิตอลในตัว ส่วนการเชื่อมต่อก็มีมาอย่างครบถ้วน ทั้ง USB 3.1 Type-C, HDMI, 2 x USB 3.1 Type-A, Kensington lock slot, RJ-45 , Headset พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi 6 AX 

HP Pavilion Gaming 15 ราคา 27,900 – 30,900 บาท

HP Pavilion Gaming 15 สเปกใหม่ที่มาพร้อมกับ Core i5-10300H / i7-10750H + GTX 1650 ถือว่าเป็นรุ่นส่งท้ายปี 2020 กับการที่เป็น Gaming Notebook คุ้มค่าคุ้มค่า ด้วยสเปกชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10H จับคู่มากับการ์ดจอ NVIDIA GeForce GTX 16 Series คุณภาพเยี่ยม ตอบสนองทุกการใช้งานได้อย่างราบรื่น รวดเร็ว ในดีไซน์ที่แตกต่างไปจาก Gaming Notebook แบรนด์อื่นๆ ออกแบบโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ให้มีความสวย ทันสมัยให้ความแข็งแรง ทนทาน เพิ่มความโดดเด่น ใช้งานง่ายและสะดวก รวมไปถึงการรับประกันที่เป็นแบบ On-site Serive ระยะเวลา 2 ปี

HP Pavilion Gaming 15 รุ่นนี้ยังคงใช้ดีไซน์ได้เรียบง่ายและดูดี แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ชัดเจน เชื่อว่าถูกใจใครหลายๆ คน หลักๆ แล้วก็ช่องระบายความร้อนที่ใหญ่ขึ้นใต้ตัวเครื่องก็มีช่องดูดลมเย็นที่ใหญ่ขึ้น รวมไปถึงบานพักที่ยกสูงยิ่งขึ้นด้วย เรียกได้มีความเฉียบและใช้งานได้จริงในเรื่องของการจัดการความร้อน เพิ่มเติมมาเลยก็คือได้ SSD M.2 ความจุ 512GB ใช้งานทันที มาพร้อมแรมขนาด 8GB DDR4 Bus 2933MHz และ Windows 10 แท้ แน่นอนว่ามีอยู่ 2 สีสันหลักก็คือ สีเขียวและสีม่วง สนนราคาขายจริงอยู่ที่ 27,900 – 30,900 บาท

หน้าตาการออกแบบของ HP Pavilion Gaming 15 สเปก Intel รุ่นปลายปี 2020 ยังคงดีไซน์ไว้เหมือนรุ่นปี 2019 ด้วยความโดดเด่นที่สวยดุดันตามสไตล์ของ Gaming Notebook ที่บรรดาเกมเมอร์ชื่นชอบกัน ใช้เป็นโทนสีดำตลอดทั้งตัวเครื่องตัดกับสีเขียว โดยฝาหลังของตัวเครื่องมีโลโก้ HP เป็นเอกลักษณ์สะดุดตาให้ความมันวาวด้านบน ประกอบกับพื้นผิวสีดำด้านให้ความรู้สึกเป็น Gaming ที่ดี วัสดุทั้งหมดของตัวเครื่องพลาสติกเกรดดี โดยด้านหลังได้มีการวางตำแหน่งช่องระบายความร้อนแบบคู่แยกซ้ายขวาออกจากกัน ซึ่งมีการออกแบบได้ดูดุดันคล้ายรถสปอร์ตพร้อมขนาดที่ใหญ่ขึ้น

ส่วนดีไซน์อื่นๆ ของ HP Pavilion Gaming 15 ปี 2020 ก็ถือว่าน่าประทับใจเช่นเดียวกัน กับมิติที่ตัวเครื่องที่เล็กลงเมื่อเทียบกับยุคก่อนๆ ให้ความบางลงเพียง 23.4 มิลลิเมตร พร้อมน้ำหนักตัวเครื่องเบาๆ ที่ 2.25 กิโลกรัม ลำโพงจะอยู่ที่ด้านบนตัวเครื่องเหนือชุดคีย์บอร์ดทำเป็นลายแปดเหลี่ยมพื้นผิวนูนต่ำให้เสียงที่ดีใช้ได้เลยทีเดียว ที่สำคัญและโดดเด่นกว่ารุ่นไหนในท้องตลาดตอนนี้คือเป็น Gaming Notebook ขอบจอบางที่ดูแล้วสวยงามลงตัวอีกรุ่นนึงในตลาด แน่นอนว่านมีกล้องเว็บความละเอียด HD และมีไมค์ดิจิตอลในตัว การเชื่อมต่อไร้สายเป็น Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi 6AX

HP Pavilion Gaming 16 ราคา 30,900 – 34,900 บาท

HP Pavilion Gaming 16 รุ่นล่าสุด เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมขนาดหน้าจอ 16.1″ รุ่นแรกของโลก ต่อยอดมาจาก HP Pavilion Gaming 15 พร้อมอัพเดทสเปกใหม่ได้ชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10H อย่าง i7-10750H หรือ Core i5-10300H กับการที่เป็น Gaming Notebook คุ้มค่า จับคู่มากับการ์ดจอ NVIDIA GeForce GTX 1650 Ti ตอบสนองทุกการใช้งานได้อย่างลงตัว เล่นเกมลื่นไหล ในดีไซน์ที่แตกต่างไปจาก Gaming Notebook แบรนด์อื่นๆ มีความสวย ทันสมัยให้ความดุดัน เนี๊ยบเฉียบ พร้อมเลือกใช้สีสันเป็นโทนดำแซมด้วยเขียว กับน้ำหนักที่ 2.35 กิโลกรัม การรับประกันที่เป็นแบบ On-site Service ระยะเวลา 2 ปี พร้อมบริการหลังการขายอื่นๆ

ความโดดเด่นยังเป็นเรื่องหน้าจอที่ได้เป็นพาเนล IPS ความละเอียด Full HD รองรับ Refresh Rate ที่ 144Hz ได้ที่เก็บข้อมูลเป็น SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB ใช้งานทันที (พร้อมรองรับการอัพเกรด HDD 2.5″ SATA 3 ได้ภายหลัง) มาพร้อมแรมขนาด 8GB DDR4 Bus 2933MHz มี Windows 10 แท้ใช้งานได้ทันที พร้อมด้วยกล้องเว็บแคม HD (720p) และมีไมค์ดิจิตอลในตัว ส่วนการเชื่อมต่อก็มีมาอย่างครบถ้วน ทั้ง 1 x USB 3.1 Type-C, HDMI, 2 x USB 3.1 Type-A, Kensington lock slot, RJ-45 , Headset พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi 6 AX สนนราคาขายจริงสเปกนี้อยู่ที่ 30,900 – 34,900 บาท (ต่างกันที่สเปกชิปประมวลผลเท่านั้น)

หน้าตาการออกแบบเอง HP Pavilion Gaming 16 สเปก Core i Gen 10H ได้รับดีไซน์แบบรุ่นก่อนหน้าอย่าง HP Pavilion Gaming 15 มาเต็มๆ ซึ่งก็ต้องบอกว่าทำได้ดีเยี่ยมไม่แพ้ Gaming Notebook แบรนด์อื่นๆ ด้วยความโดดเด่นที่สวยดุดันตามสไตล์ของโน๊ตบุ๊คเล่นเกมที่บรรดาเกมเมอร์ชื่นชอบกัน กันขนาดหน้าที่ใหญ่ขึ้น 0.5″ ในมุมแทยง แน่นอนว่ามีความใหญ่ขึ้น แต่ถ้าเทียบมิติหรือแค่มองด้วยตาเปล่า ก็แทบจะไม่ค่อยรู้สึกเท่าไร เรียกได้ว่าเป็นขนาดที่อยู่ระหว่างรุ่นจอ 15.6″ และ 17.3″ 

เมื่อเปรียบเทียบกับ Gaming Notebook แบรนด์อื่นๆ ในช่วงราคาเดียวกัน ได้ความแตกต่างที่ความเรียบง่ายใช้เป็นโทนสีดำตลอดทั้งตัวเครื่องตัดกับสีเขียว (อาจจะมีม่วงตามมาในอนาคต) โดยฝาหลังของตัวเครื่องมีโลโก้ HP เป็นเอกลักษณ์สีเขียว สะดุดตาด้านบน ประกอบกับพื้นผิวสีดำด้านให้ความรู้สึกเป็น Gaming ที่ดี วัสดุทั้งหมดของตัวเครื่องพลาสติกเกรดดี มองแล้วคล้ายกับโลหะ แต่ได้มีการปรับดีไซน์ใหม่ดูดลมเย็นได้ดีขึ้น ซึ่งมีข้อสังเกตุเล็กน้อยคือเป็นรอยนิ้วมือค่อนข้างง่าย 

สำหรับรูปลักษณ์และทิศทาง HP Pavilion Gaming 16 แตกต่างด้วยกันด้วยมิติ จากการที่มีขนาดหน้าจอ 16.1″ ซึ่งต่างจากเดิมคือ 15.6″ ถือว่าน่าประทับใจไม่เป็นรองกัน กับมิติที่ตัวเครื่องที่เล็กกระทัดรัดเมื่อเทียบ Gaming Notebook ขนาดหน้าจอ 15.6″ รุ่นอื่นๆ ในปัจจุบัน โดยบางเพียง 23.6 มิลลิเมตร ซึ่งเท่าๆ กับโมเดล HP Pavilion Gaming 15 พร้อมน้ำหนักตัวเครื่องที่ 2.35 กิโลกรัม เทียบแล้วคือหนักกว่าเดิมเพียง 100 กรัมถ้าเทียบกับสเปก Intel Core i Gen 9H เท่านั้น

Acer Nitro 5 AN515-55 ราคา 31,900 – 35,900 บาท

Acer Nitro 5 AN515 เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมหน้าจอ 15.6″ และ Acer Nitro 5 AN517 เป็น Gaming Notebook ขนาดจอ 17.3″ ได้ชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10H ตอนนี้พร้อมขายอย่างเป็นทางการหลากหลายรุ่นแล้ว โดยผสานความแรงร่วมกับการ์ดจอ GeForce รุ่นล่าสุด ซึ่ง Acer Nitro 5 AN515 เป็นหนึ่งใน Gaming Notebook หน้าจอ 15.6″ ราคาคุ้มค่า หนัก 2.3 กิโลกรัม ได้รับความนิยมไม่แพ้รุ่นอื่นๆ ทั้งจากสเปกที่แรงลื่นหลากหลาย อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ที่จัดเต็ม และประกัน 3 ปี On-site Serive ที่ดีเยี่ยม หรือส่งศูนย์ซ่อมด่วน 3 ชั่วโมง

สำหรับ Acer Nitro 5 AN515 รุ่นที่แนะนำ ใช้ชิปประมวลผล Core i5-10300H เป็นขุมพลังหลัก ทำงานร่วมกับการ์ดจอระดับ Gaming อย่าง NVIDIA GeForce GTX 1650 Ti / GTX 1660 Ti / RTX 2060 ที่แรงลื่นกว่าเดิมแน่นอน ในส่วนของแรมจัดเต็มมาให้เลยที่ 16GB DDR4 Bus 2933MHz ส่วนที่เก็บข้อมูลให้มามาตรฐาน SSD M.2 NCMe PCIe ความจุ 512GB หน้าจอเป็นพาเนล IPS เกรดสูง รองรับ Refresh Rate ที่ 144Hz ให้ความลื่นไหลทั้งการเล่นเกมหรือทำงาน แน่นอนว่าได้ Windows 10 ใช้งานได้ทันที

Acer Nitro 5 AN515 จัดว่าเป็น Gaming Notebook ดีไซน์มีการปรับปรุงใหม่ให้มีความโฉบเฉี่ยวมากกว่าเดิม ด้วยเส้นสายลวดลายที่ดูดุดันกว่าที่เคย และที่มีพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครันอีกรุ่นเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น 3 x USB 3.2 Type-A (1 พอร์ตเป็นแบบชาร์จเจอร์ด้วย), 1 x USB 3.2 Type-C, 1, HDMI 2.0, RJ45 (Gigabit Ethernet) พร้อมด้วยความสามารถ Killer Ethernet E2600 เพื่อการเล่นเกมออนไลน์ที่ลื่นไหล และ Mic-in/Headphone-out แบบ Combo

ติดตั้งคีย์บอร์ดแบบ Full Size มาให้ผู้ใช้งานได้ใช้กันได้อย่างสบายๆ พร้อมกับการตอบสนองของปุ่มแบบทันทีด้วยระยะการกด 1.6 มม. ติดตั้งปุ่มแป้นคีย์ตัวเลข (Numpad) โดยตัวปุ่มจะเป็นสีดำ มีฟอนต์เป็นสีแดง รวมไปถึงแป้นปุ่มตรงตัวอักษร WASD และปุ่มทิศทาง รวมถึงปุ่ม NitroSense จะมีขอบเป็นไฮไลน์เด่นออกมา นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับไฟ RGB แบบ 4 โซน ดูแล้วเป็น Gaming Notebook สวยงาม เอามาเล่นตอนกลางคืนสบายๆ อีกทั้งเรื่องการกดการสัมผัสบนคีย์บอร์ดที่ปุ่มมีความติดมือ ดีกว่าโน๊ตบุ๊คธรรมดาทั่วไปแน่นอน จะเอาไปเล่นเกมหรือทำงานก็ตอบสนองได้ดีเยี่ยม

Acer Nitro 5 AN515 มาพร้อมกับซอฟแวร์ยูทิลิตี้ NitroSense ที่ทำให้เราสามารถปรับค่าต่างๆ ในตัวเครื่องได้อย่างง่ายดายไม่ว่า CoolBoots เร่งรอบพัดลมให้สุดที่ 6000 รอบทั้ง 2 ตัว ที่ใช้ระบายความร้อน CPU/GPU เมื่อต้องใช้งานหนักๆ รวมไปถึงการปรับโหมดการใช้งาน เช่นประหยัดพลังงานใช้แบตเตอรี่ก็ต้องเป็น Power Saver และสุดท้ายกับการดูสถานะการทำงานของตัวเครื่องก็มีทั้ง อุณหภูมิ รอบพัดลม กันแบบเวลาจริงเลยล่ะ เรียกได้ว่า Acer ใส่ใจใน NitroSense เพื่อให้เราใช้งานได้งานและใช้งานได้จริงทีเดียว

ASUS ROG Strix G15 GL542 ราคา 32,900 – 36,900 บาท

ASUS ROG Strix G15 GL542 เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมที่มีสเปกอัพเดทเป็นชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10H เน้นความคุ้มค่าและฟีเจอร์ที่มากกว่า โดดเด่นด้วยไฟคีย์บอร์ด RGB พร้อม Surrounded Light Bar รอบตัวเครื่อง ที่เราสามารถปรับแต่ได้ นอกจากนี้ยังมาพร้อมความสดใหม่ด้วยระบบระบายความร้อนอัจฉริยะ ROG Intelligent Cooling ที่ทำงานร่วมกับสารโลหะเหลว (liquid metal) จากทาง Thermal Grizzly เพื่อเป็นตัวช่วยในการระบายความร้อนให้กับชิปประมวลผล แทนการใช้ซิลิโคนนำความร้อนแบบปกติ

สำหรับ ASUS ROG Strix G15 GL542 โน๊ตบุ๊คเล่นเกมจอ 15.6″ สเปกระดับบนในราคาคุ้มค่า ได้ชิปประมวลผลตัวแรง Intel Core i5-10300H / Core i7-10750H พร้อมด้วยการ์ดจอประสิทธิภาพสูงอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1650 Ti ได้แรมขนาด 8GB DDR4 Bus 2933MHz และ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB อีกทั้งได้หน้าจอเป็นพาเนล IPS รองรับ Refresh Rate ที่ 144Hz แบบผิวด้าน ให้สีสันการแสดงผลในเกณฑ์ดีน่าประทับใจอย่างที่สุดทั้งเล่นเกมหรือทำงาน

ส่วนการเชื่อมต่อก็มีมาอย่างครบถ้วน ทั้ง USB 3.1 Type-C, HDMI, 3 x USB 3.1 Type-A, Kensington lock slot , SD Card Reader, RJ-45, Headset พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi 6 AX (2×2) แน่นอนว่าได้ Windows 10 แท้ ใช้งานได้ทันทีตั้งแต่เปิดเครื่องในครั้งแรก กับราคาเพียง 32,900 – 46,900 บาท ที่บอกได้เลยไม่แพงเลย ถ้าดูจากสเปกและฟีเจอรที่ติดตั้งมาให้แล้ว โดยได้ประกัน 2 ปี ที่สามารถเคลมผ่าน 7-11 ได้ ปีแรกมีประกันอุบัติเหตุด้วย

ดีไซน์โดยรวมของ ASUS ROG Strix G15 GL542 เป็น Gaming Notebook ขอบจอบางตัวเครื่องมิติเล็กกระชับทั้ง 3 ด้าน คือ บน ซ้ายและขวา พร้อมตัดกล้องเว็บแคมออกไป มีน้ำหนักอยู่ที่ 2.3 กิโลกรัม มีความบางสุดที่ 21~25.8 มิลลิเมตร เรียกได้ว่าโดยรวมมาพร้อมกับดีไซน์การออกแบบ ได้รับ DNA เต็มๆ มาจาก ASUS ROG Strix รุ่นก่อน ซึ่งมีความพิเศษสุดๆ คือได้ทาง BMW Designworks Group มาร่วมออกแบบด้วย เห็นได้ชัดจากชุดระบายความร้อนด้านหลังที่เป็นครีบคล้ายกับเสื้อสูมมอเตอร์ไซต์จาก BMW เรียกได้ว่ายกระดับขึ้นไปอีกขั้น

MSI GL65 Leopard ราคา 33,900 – 36,900 บาท

MSI GL65 Leopard จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมหน้าจอ 15.6″ ที่จัดเต็มไม่แพ้รุ่นท็อป แต่ได้ราคาที่คุ้มค่าต่อสเปกสุดๆ โดยจัดเต็มจากชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10H และการ์ดจอ Gaming จากทาง NVIDIA ได้แรมมาขนาด 8GB / 16GB DDR4 Bus 2666MHz เป็นมาตรฐาน ติดตั้งแหล่งเก็บข้อมูล SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB (อัปเกรด SSD M.2 / HDD 2.5″ SATA 3 ได้อีก) หน้าจอ 15.6″ ความละเอียด Full HD พาเนล IPS เกรดสูง รองรับ Refresh Rate ที่ 144Hz มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 10 และซอฟต์แวร์ Dragon Center เวอร์ชันใหม่

MSI GP65 Leopard รุ่นใหม่ล่าสุดด้วยชิปประมวลผลตัวแรง ที่ถือได้ว่าเป็นรุ่นที่มีประสิทธิภาพสูง โดยมีราคาตั้งแต่ 45,900 – 59,900 บาท สเปกเป็น Core i5-10300H (2.60 GHz, 12 MB L3 Cache, up to 5.00 GHz) ทำงานแบบ 4 คอร์ 8 เธร์ด หรือ Core i7-10750H (2.60 GHz, 12 MB L3 Cache, up to 5.00 GHz) ทำงานแบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด ส่วนการ์ดจอเป็น NVIDIA GeForce GTX 1650 / GTX 1650 Ti เรียกได้ว่าตอบสนองการเล่นเกมได้เต็มที่เต็มอารมณ์กว่าสเปก Gaming Notebook ทั่วไปที่เน้นความคุ้มค่าอย่างเดียว

ที่สำคัญ MSI GL65 Leopard ได้ดีไซน์ดุดันตามสไตล์ของ G Series จาก MSI ยังมีฟีเจอร์ Gaming มากมาย อาทิ ระบบระบายความร้อน Cooler Boost 5 พร้อมการเชื่อมไร้สาย Wi-Fi 6 AX + Bluetooth 5.0 โดยมีน้ำหนักตัวเครื่องอยู่ที่ 2.3 กิโลกรัมเท่านั้น ประกอบกับการใช้หน้าจอที่ขอบบาง ทำให้ตัวเครื่องเล็กกระทัดรัด สะดวกต่อการพกพามากยิ่งขึ้น  ได้ประกัน 2 ปี

ตัวเครื่องยังมีลำโพง 2 ชาแนลแบบ Giant Speaker บนซอฟแวร์เสียง Nahimic 3 ทำให้การขับเสียงเวลาเล่นเกม หรือดูหนังฟังเพลงทำได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย ทางด้านพอร์ทเชื่อมต่อเองมีมาให้อย่างครบถ้วนไม่ว่าจะเป็น USB 3.2 Type-A จำนวน 3 ช่อง, USB 3.2 Type-C หนึ่งช่อง, HDMI, mini-DisplayPort, SD(XC/HC) card reader, ช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5, ช่องเสียบไมค์ขนาด 3.5 และช่องสาย Lan RJ45

MSI GL75 Leopard 35,900 – 38,900 บาท

ในส่วนของ MSI GL75 Leopard หลักๆ แล้วจะมีความคล้ายกับ MSI GL65 Leopard ทั้งในส่วนของดีไซน์และฟีเจอร์ แต่จะแตกต่างเรื่องของสีสันตัวเครื่องที่จะได้เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมขนาดหน้าจอ 17.3″ IPS 144Hz ที่ให้หน้าจอที่ใหญ่กว่า 15.6″ พอสมควร กับน้ำหนักที่มากขึ้นที่ 2.6 กิโลกรัม โดยมีไฟคีย์บอร์ดจะเป็นสีแดงสีเดียวเหมือนกัน รวมไปถึงในเรื่องของสเปกฮาร์ดแวร์ภายใน อันนี้เหมือนกันทั้งหมด โดยแบ่งเป็น i5-10300H + GTX 1650 / i7-10750H + GTX 1650 Ti เป็นหลัก รวมไปถึงแรมเป็น 8GB / 16GB แน่นอนว่าราคาก็เลยสูงกว่าด้วย อันนี้เพื่อนๆ สามารถเลือกซื้อได้ตามงบและลักษณะการใช้งานกันอีกทีนะครับ

from:https://notebookspec.com/ranking-gaming-notebooks-2020-price-2xxxxb/537112/

มาแล้ว Intel Core เจนเนอเรชั่น 11: โปรเซสเซอร์ที่ดีที่สุดในโลก เพื่อโน้ตบุ๊คบางเบา แต่แรงกว่าเดิม

เตรียมขนทัพผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้การพัฒนากว่า 150 ดีไซน์ รวมถึงผลิตภัณฑ์อีก 20 รุ่นภายใต้แพลตฟอร์มใหม่ในชื่อIntel® Evo™

ข้อมูลสำคัญ

  • อินเทลเปิดตัวโปรเซสเซอร์ใหม่ตระกูล Intel® Core™เจนเนอเรชั่น 11 ที่มาพร้อมการ์ดจอกราฟิก Intel® Iris® Xeโดยโปรเซสเซอร์ที่ดีที่สุดในโลกนี้เหมาะสำหรับแล็ปท็อปรูปลักษณ์บางเบา[1] มอบความเร็วในการสร้างสรรค์คอนเทนต์เพิ่มสูงสุดถึง 7 เท่า[2] ความเร็วในการทำงานด้านออฟฟิศเพิ่มขึ้นกว่า 20%[3]พร้อมเล่นและสตรีมเกมไวขึ้นกว่าเดิม2 เท่า[4]เหนือกว่าผลิตภัณฑ์คู่แข่งในสภาพแวดล้อมการใช้งานจริง
  • เปิดตัวแพลตฟอร์มแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อIntel® Evo™ เพื่อรองรับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ดีไซน์จากโปรเซสเซอร์ Intel Core เจนเนอเรชั่น 11 พร้อมด้วยชิปกราฟิก Intel Iris Xeและผ่านการรับรองตามโปรแกรมนวัตกรรม Project Athena ตรงตามสเปคในรุ่นที่สองและตามตัวบ่งชี้หลักของประสบการณ์การใช้งาน (Key experience indicators หรือ KEIs)
  • เตรียมพบกับผลิตภัณฑ์ที่ขับเคลื่อนด้วยโปรเซสเซอร์ Intel Core เจนเนอเรชั่น 11 มากกว่า 150 รุ่นที่กำลังเข้าสู่ตลาด ทั้งจาก Acer, Asus, Dell, Dynabook, HP, Lenovo, LG, MSI, Razer, Samsung และผู้ผลิตรายอื่นๆ

ซานตา คลารา, แคลิฟอร์เนีย 2 กันยายน 2563 – อินเทลปลดปล่อยประสิทธิภาพแล็ปท็อปยุคใหม่ด้วยการเปิดตัวโปรเซสเซอร์เจนเนอเรชั่นถัดไปสำหรับคอมพิวเตอร์พกพา พร้อมวิวัฒนาการด้านความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ต่างๆ ในระบบนิเวศที่ยิ่งใหญ่ของอินเทล เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพีซีคอมพิวเตอร์แบบพกพาให้รุดหน้า โปรเซสเซอร์ Intel Core เจนเนอเรชั่น 11 ใหม่ มาพร้อมชิปกราฟิก Intel Iris Xe(ชื่อรหัส “Tiger Lake”)เป็นโปรเซสเซอร์ที่ดีที่สุดในโลกสำหรับแล็ปท็อปรูปลักษณ์บางเบา พร้อมสมรรถนะเหนือกว่าใครด้านผลิตภาพเพื่อการใช้งานจริง ทั้งการทำงานร่วมกัน การสร้างสรรค์ การเล่นเกม และความบันเทิง บนแล็ปท็อปที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows และ ChromeOS

ด้วยการใช้เทคโนโลยีการประมวลผลSuperFinใหม่ของอินเทล ทำให้โปรเซสเซอร์ Intel Core เจนเนอเรชั่น 11 เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานพร้อมมอบสมรรถนะและการตอบสนองอันเป็นเลิศในขณะที่ประมวลผลด้วยความถี่ที่สูงขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ อย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะใช้โปรเซสเซอร์ Intel Core เจนเนอเรชั่น 11 อีกกว่า 150 ดีไซน์จากพันธมิตรหลายรายเช่น Acer, Asus, Dell, Dynabook, HP, Lenovo, LG, MSI, Razer, Samsung และผู้ผลิตรายอื่นๆ

นอกจากนี้ อินเทลยังเปิดตัวแพลตฟอร์มแบรนด์ใหม่ ภายใต้ชื่อIntel Evo สำหรับแล็ปท็อปที่ออกแบบและได้รับการรับรองตามสเปครุ่นที่สองและตามตัวบ่งชี้หลักของประสบการณ์การใช้งาน (KEIs) ของโปรแกรมนวัตกรรม Project Athena เพียงมองหาเครื่องหมาย Intel Evo ผู้ใช้งานก็สามารถมั่นใจได้ว่าอุปกรณ์ดังกล่าวใช้ขุมพลังจากโปรเซสเซอร์ Intel Core เจนเนอเรชั่น 11 พร้อมชิปกราฟิก Intel Iris Xeและผ่านการรับรองแล้วว่าเป็นแล็ปท็อปที่จะมอบประสิทธิภาพการทำงานที่ดีที่สุด[5] โดยจะมีผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมสัญลักษณ์ Intel Evo กว่า 20 รุ่นวางจำหน่ายในท้องตลาดก่อนสิ้นปีนี้

เกรกอรี ไบรอันท์ รองประธานบริหารอินเทลและผู้จัดการทั่วไปกลุ่มผลิตภัณฑ์ประมวลผลคอมพิวเตอร์ลูกข่าย กล่าวว่า “โปรเซสเซอร์ Intel Core เจนเนอเรชั่น 11 ที่มาพร้อมกราฟิก Intel Iris Xeเป็นการก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่ด้านประสิทธิภาพโปรเซสเซอร์ในโลกการใช้งานจริง และถือเป็นโปรเซสเซอร์ที่ดีที่สุดที่เราเคยสร้างมา ไม่ว่าคุณต้องการเพิ่มพลังการสร้างสรรค์คอนเทนต์ มองหาความบันเทิง หรือการเล่นเกมเปี่ยมอรรถรส พลังของ Intel Core เจนเนอเรชั่น 11 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบทางวิศวกรรมร่วมกันและผ่านการรับรอง Intel Evo จะมอบประสบการณ์แล็ปท็อปที่ดีที่สุดให้กับคุณ”

เปิดตัวIntel Evo

อินเทลยังคงเป็นผู้นำในระบบนิเวศคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมในทุกแพลตฟอร์มและมอบประสบการณ์การใช้งานคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุด แบรนด์แพลตฟอร์มใหม่ Intel Evo เป็นสัญลักษณ์ของแล็ปท็อปที่ดีที่สุดที่ออกแบบมาให้คุณได้โฟกัสกับทุกงานจนสำเร็จลุล่วงในทุกสถานการณ์ ด้วยโปรเซสเซอร์ Intel Core เจนเนอเรชั่น 11 พร้อมชิปกราฟิก Intel Iris Xeที่ผ่านวิธีการทดสอบที่เข้มข้นตามข้อกำหนดรุ่นที่สองและตัวบ่งชี้หลักประสบการณ์ (KEIs) ของ Project Athena ทำให้อินเทลและเหล่าพันธมิตรด้านวิศวกรรมได้ร่วมกันยกระดับมาตรฐานใหม่ของประสบการณ์การใช้งานแล็ปท็อปอีกครั้งหนึ่ง

ด้วยการวัดผลการใช้งานภายใต้สภาวะของโลกการใช้งานจริงเพื่อมุ่งสร้างประสิทธิภาพและอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่มั่นคงสม่ำเสมอ ทำให้วิธีการทดสอบและวัดผลที่เป็นเอกลักษณ์ของอินเทลเป็นเครื่องบ่งชี้ที่แม่นยำถึงประสิทธิภาพการทำงานจริงของแล็ปท็อป แล็ปท็อปที่ได้รับการยืนยันด้วยเครื่องหมาย Intel Evo จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบตรงตามหรือเหนือกว่าข้อกำหนดและตัวบ่งชี้หลักประสบการณ์ (KEIs) เท่านั้น โดยข้อกำหนดขั้นพื้นฐานตามเป้าหมายของ KEI ได้แก่:

  • แบตเตอรี่ให้การตอบสนองอย่างคงเส้นคงวา[6]
  • เปิดใช้งานระบบจากโหมด Sleep ภายในไม่ถึง 1 วินาที
  • อายุการใช้งานแบตเตอรี่ในสภาพแวดล้อมจริงเท่ากับหรือมากกว่า 9 ชั่วโมง สำหรับระบบที่ใช้จอแสดงผลความละเอียดระดับFHD[7]
  • ชาร์จเร็วในเวลาน้อยกว่า 30 นาที เพื่ออายุการใช้งานนานสูงสุดถึง 4 ชั่วโมง สำหรับระบบที่ใช้จอแสดงผลความละเอียดระดับFHD[8]

แพลตฟอร์ม Intel Evo ยังมาพร้อมคุณสมบัติการเชื่อมต่อแบบมีสายและไร้สายที่ดีที่สุดในบรรดาคู่แข่ง[9] และรองรับการเชื่อมต่อเคเบิลมาตรฐานสากล Thunderbolt™ 4 และ Intel® Wi-Fi 6 (Gig+) ในตัว รวมถึงระบบเสียง กล้อง และจอแสดงผลคุณภาพสูง ทั้งหมดนี้ในอยู่ในรุปลักษณ์ที่สวยงามและบางเบาเพื่อประสบการณ์ใช้งานระดับพรีเมียม สำหรับข้อกำหนดเป้าหมายของรุ่นที่สองและขั้นตอนในการรับรอง โปรดดูจากเอกสารข้อมูล Intel Evo

โปรเซสเซอร์ Intel Core เจนเนอเรชั่น 11 พร้อมกราฟิก Intel Iris Xe

โปรเซสเซอร์ Intel Core เจนเนอเรชั่น 11 พร้อมชิปกราฟิก Intel Iris Xeเป็นโปรเซสเซอร์ที่ดีที่สุดในโลกสำหรับแล็ปท็อปรูปลักษณ์บางเบา ทั้งบนระบบปฏิบัติการ Windows และ ChromeOSโดยโปรเซสเซอร์ในเจนเนอเรชั่นนี้เป็นตัวแทนของความมุ่งมั่นครั้งสำคัญที่สุดของอินเทลในการสรรค์สร้างระบบบนชิปประมวลผล (System-on-chip หรือ SoC) ที่จะก้าวกระโดดไปไกลกว่าการผลัดเปลี่ยนเจอเนอเรชั่น ทั้งในด้านประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีที่สุดของการใช้งานแล็ปท็อป U-series ไม่ว่าจะเป็นเพื่อผลิตภาพ งานสร้างสรรค์ การเล่นเกม ความบันเทิง หรือการทำงานร่วมกัน คุณสมบัติในตัวอันหลากหลายจะช่วยขับเคลื่อนแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์รูปลักษณ์บางเบาที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) การเร่งความเร็วปัญญาประดิษฐ์ (AI acceleration) การเพิ่มประสิทธิภาพซอฟต์แวร์ และสมรรถนะของแพลตฟอร์ม ที่จะมามอบประสิทธิผลสูงสุดในการใช้งานจริง บนแอปพลิเคชันและฟีเจอร์ต่างๆ ที่ผู้คนนิยมเรียกใช้งานบ่อยที่สุด

  • การทำงานร่วมกันอย่างหลากหลาย–โปรเซสเซอร์เจนเนอเรชั่น 11 เพื่อการทำงานร่วมกันที่ดีที่สุด พร้อมยกระดับประสบการณ์เฉพาะบุคคลอย่างสมจริงด้วย AI ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มคุณภาพเสียงด้วยการออฟโหลด CPU และลดเสียงรบกวนเบื้องหลังด้วย Intel Gaussian และ Neural Accelerator 2.0 (Intel GNA) การเบลอภาพพื้นหลังและประมวลวิดีโอความละเอียดสูงมากที่เร่งด้วย AI หรือการถอดรหัสสัญญาณวิดีโอล่าสุด พร้อมด้วย Intel® Wi-Fi 6 (Gig+) ในตัว ซึ่งเป็นเทคโนโลยี Wi-Fi ที่ดีที่สุดเพื่อการประชุมทางวิดีโอ[10] โดยทั้งหมดนี้อยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์พกพาสุดบางเบา
  • ผู้นำประสิทธิภาพด้านผลิตภาพ– ด้วยประสิทธิภาพของโปรแกรมผลิตภาพสำหรับการทำงานออฟฟิศที่เร็วขึ้นกว่าเดิมกว่า 20% เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ของคู่แข่ง ในขั้นตอนการใช้งานจริงบนแล็ปท็อปของผู้คนในแต่ละวัน และรองรับ Thunderbolt 4ในตัวพร้อมกันสูงสุดถึงสี่พอร์ต ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์นานาประเภท และยังสามารถชาร์จเร็ว ต่อจอภาพภายนอก หรือต่อพื้นที่จัดเก็บข้อมูลเพิ่มเติมได้ผ่านสายเคเบิลเพียงเส้นเดียว
  • การสร้างสรรค์คอนเทนต์ขั้นสูง – ตกแต่งรูปภาพเร็วขึ้นสูงสุด 7 เท่าในการใช้งานจริง ตัดต่อวิดีโอได้เร็วกว่าสูงสุด 2 เท่า[11]เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์คู่แข่ง รองรับจอภาพ 8K HDR หรือจะต่อจอภาพ 4K HDR พร้อมกันสูงสุดสี่จอก็ได้
  • ความบันเทิงสมจริงเต็มอิ่ม – โปรเซสเซอร์ Intel Core เจนเนอเรชั่น 11 จะรองรับ Dolby Vision ด้วยฮาร์ดแวร์เป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรม มอบประสบการณ์รับชมที่สมจริงกว่าและปรับปรุงระดับพลังงานของระบบ 20% โดยประมาณเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ช่วยให้รับชมการสตรีมวิดีโอได้นานขึ้นหนึ่งชั่วโมงเมื่อใช้งานบนแบตเตอรี่[12]
  • ประสบการณ์การเล่นเกมรูปแบบใหม่ – เพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกมสูงสุดถึง 2 เท่าจากเจนเนอเรชั่นก่อน[13] และเป็นครั้งแรกที่จะเล่นเกมชื่อดังอย่าง Borderlands 3, Far Cry New Dawn, Hitman 2 และเกมอื่นๆ ได้ทันทีที่ความละเอียด 1080p ปลดล็อกและแชร์ความสำเร็จกับเพื่อนๆ ด้วยคุณสมบัติการเล่นเกมพร้อมกับสตรีมเกมที่เร็วกว่าผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งเกินกว่า 2 เท่า สัมผัสประสบการณ์ทั้งหมดนี้ได้จากระบบกราฟิก Intel Iris Xeในตัว อยู่ในดีไซน์ที่บางเบา

พานอส พาเนย์ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ไมโครซอฟท์ กล่าวว่า “โปรเซสเซอร์Intel® Core™ เจนเนอเรชั่น 11 ใหม่พร้อมกราฟิกIris® Xeจะมอบประสิทธิภาพและการตอบสนองที่น่าทึ่งแก่ผู้ใช้Windows ทั่วโลกให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรับประสบการณ์บันเทิงได้มากขึ้นในทุกๆ วันไปอีกยาวนาน”

จอห์น โซโลมอน รองประธาน ChromeOSกล่าวว่า “จากความร่วมมือกันอย่างยาวนานและแน่นแฟ้นระหว่างอินเทลกับกูเกิลทำให้เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพด้านประสบการณ์ผู้ใช้งาน เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะนำเสนอ Chromebook รุ่นถัดไปที่ขับเคลื่อนโดย Intel Core เจนเนอเรชั่น 11 ออกสู่ตลาด”

คุณสมบัติที่ปรับแต่งมาในตัวเพื่อแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์บางเบาที่ดีที่สุด

ตามรายละเอียดที่กล่าวไว้ในงาน Architecture Day 2020ว่าสถาปัตยกรรม CPU ใหม่รุ่น Willow Cove และกราฟิก Intel® Xeที่ผลิตบนเทคโนโลยีการประมวลผลSuperFinใหม่ของอินเทลจะมาสร้างปรากฏการณ์ความถี่สูงสุดถึง 4.8 Ghzและพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงานพร้อมกับเปิดใช้งานอุปกรณ์ประมวลผลพิเศษ ตัวเร่งความเร็ว และการปรับแต่งประสิทธิภาพซอฟต์แวร์ ซึ่งทั้งหมดอยู่บน SoC ในตัว โปรเซสเซอร์ Intel Core เจนเนอเรชั่น 11 จะมอบการผสมผสานที่ดีที่สุดของนวัตกรรมอุปกรณ์การประมวลผล พร้อมสำหรับทุกเวิร์กโหลดในสภาพการใช้งานจริง ได้แก่:

  • กราฟิก Intel Iris Xeใหม่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าร้อยละ 90 ของบรรดาการ์ดจอแยกที่นำมาจับคู่เพื่อใช้งานในเซ็กเมนต์นี้[14] และมอบประสิทธิภาพสูงสุด 96 EUs และสูงสุด16MB ของ L3 cache
  • ชุดคำสั่งแรกสำหรับการอนุมานบนนิวรัลเน็ตเวิร์ก (neural network)อยู่ในกราฟิกในตัว มาพร้อม Intel® DL Boost: DP4a และเป็นครั้งแรกที่รองรับประเภทข้อมูล INT8 แบบเนทีฟ มอบประสิทธิภาพ AI ที่ดีขึ้นสูงสุด 5 เท่า[15]
  • การเพิ่มความปลอดภัยด้วยฮาร์ดแวร์พร้อมเทคโนโลยีในตัว Intel® Control Flow Enforcement Technology (CET) และ Intel® Total Memory Encryption
  • รองรับ AV1 CODEC ประสิทธิภาพสูง ที่สามารถใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับความละเอียดระดับ 4K แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีแบนด์วิธจำกัด
  • ครั้งแรกสุดที่มีโซลูชันการประมวลผลรูปภาพเพื่อเปิดใช้งานการรับรู้ทัศนวิสัยและปรับลดแสงได้อัตโนมัติ
  • การเชื่อมต่อ Thunderbolt 4 ที่ดีที่สุด รองรับสูงสุดถึงสี่พอร์ต พร้อมเชื่อมต่อเคเบิลมาตรฐานสากลที่ใช้ชาร์จไฟ ถ่ายโอนข้อมูล และวิดีโอ
  • ครั้งแรกของ SoC สำหรับเครื่องลูกข่ายพกพาที่มีอินเทอร์เฟซ PCIe Gen 4 ต่อกับ CPU สูงสุดสี่เลน

ด้วยประสิทธิภาพที่ปรับสเกลได้ ในรูปแบบดีไซน์การระบายความร้อนตั้งแต่ขนาด 7 ถึง 28 วัตต์ และการกำหนดค่าโปรเซสเซอร์แตกต่างกันเก้าสเปคบนการออกแบบแพ็คเกจสองดีไซน์ เพื่อความยืดหยุ่นด้านฟอร์มแฟคเตอร์ และให้ความถี่เทอร์โบสูงสุด 4.8 GHz ทำให้โปรเซสเซอร์ Intel Core เจนเนอเรชั่น 11 สามารถมอบความเร็วคอร์เดี่ยวที่เพียงพอสำหรับเวิร์กโหลดขั้นสูง ในแล็ปท็อปรูปลักษณ์สุดบางเบา

ซอฟต์แวร์และปริมาณงานที่ใช้ในการทดสอบประสิทธิภาพอาจได้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพสูงสุดบนไมโครโปรเซสเซอร์ของอินเทลเท่านั้น

การทดสอบประสิทธิภาพต่างๆ เช่น SYSmarkและ MobileMarkจะวัดโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ ส่วนประกอบ ซอฟต์แวร์ การดำเนินงาน และฟังก์ชั่นเฉพาะ การเปลี่ยนแปลงของปัจจัยเหล่านี้อาจทำให้ผลลัพธ์แตกต่างกัน ควรศึกษาข้อมูลและการทดสอบประสิทธิภาพอื่นๆ เพื่อช่วยประเมินการซื้อที่ผ่านการไตร่ตรองอย่างสมบูรณ์ รวมถึงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์นั้นเมื่อใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ สามารถศึกษาข้อมูลที่สมบูรณ์ได้ที่ http://www.intel.com/benchmarks

ผลการวัดประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับการทดสอบและการกำหนดค่า ณ วันที่แสดงไว้ ซึ่งอาจไม่มีการเปิดเผยการปรับปรุงต่างๆ ต่อสาธารณะทั้งหมด สามารถดูรายละเอียดการเปิดเผยข้อมูลการกำหนดค่าสำหรับรายละเอียดต่างๆ ได้ที่ http://www.intel.com/11thgenและ http://www.intel.com/Evo และไม่มีผลิตภัณฑ์หรือส่วนประกอบใดที่ให้ผลการทดสอบอย่างแน่นอน

  • ค่าใช้จ่ายและผลลัพธ์ของผลิตภัณฑ์อาจแตกต่างกัน
  • เทคโนโลยีของอินเทลอาจต้องเปิดใช้งานฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรือการเปิดใช้งานบริการอื่นๆ เสริม
  • อินเทลไม่ได้ควบคุมหรือตรวจสอบข้อมูลของบุคคลที่สาม ควรปรึกษาแหล่งข้อมูลอื่นเพื่อประเมินความถูกต้อง
  • แผนผลิตภัณฑ์และแผนงานทั้งหมดอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เกี่ยวกับ อินเทล

อินเทล (Intel) (Nasdaq: INTC) คือผู้นำในอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่โลก เพื่อสร้างความก้าวหน้าในระดับโลกและสร้างสรรค์คุณภาพชีวิต ด้วยแรงบันดาลใจจากกฎของมัวร์ เรามุ่งมั่นพัฒนาดีไซน์และการผลิตเซมิคอนดักเตอร์เพื่อช่วยแก้ปัญหาและความท้าทายที่สำคัญที่สุดของลูกค้า ด้วยการฝังอัจฉริยภาพลงไปในระบบคลาวด์ เน็ตเวิร์ก Edge และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทุกประเภท อีกทั้งปลดปล่อยศักยภาพด้านข้อมูลเพื่อเปลี่ยนแปลงธุรกิจและสังคมให้ดียิ่งขึ้น หากท่านต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนวัตกรรมของอินเทล กรุณาเยี่ยมชมศูนย์ข่าวและเว็บไซต์อินเทลได้ที่ newsroom.intel.comและ intel.com

© Intel Corporation. Intel, อินเทล สัญลักษณ์อินเทล และเครื่องหมายอื่นๆ ของอินเทล เป็นเครื่องหมายการค้าของอินเทล คอร์ปอเรชั่น หรือบริษัทในเครือ ชื่อและแบรนด์อื่นๆ อาจเป็นทรัพย์สินของผู้อื่น

##

[1]วัดโดยเกณฑ์มาตรฐานอุตสาหกรรม การทดสอบ Representative Usage Guide และคุณลักษณะเฉพาะของโปรเซสเซอร์ Intel® Core™ i7-1185G7 รวมถึงเปรียบเทียบกับ AMD Ryzen 7 4800U ในห้าลักษณะการใช้งานหลัก ได้แก่ ผลิตภาพ การสร้างสรรค์ การเล่นเกม การทำงานร่วมกัน และความบันเทิง สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสิทธิภาพและผลการวัดประสิทธิภาพ โปรดดู http://www.intel.com/11thgen

[2]วัดผลการใช้งานด้านการสร้างสรรคคอนเทนต์โดย Photo Editing

[3]วัดผลการใช้งานด้านผลิตภาพโดยMicrosoft Office 365

[4]วัดผลการใช้งานด้านการเล่นเกมโดย การเล่นและสตรีมเกม

[5]วัดโดยโปรแกรมนวัตกรรม Project Athena เพื่อแล็ปท็อป ตัวบ่งชี้หลักประสบการณ์ และ Representative Usage Guides ของโปรเซสเซอร์ Intel® Core™เจนเนอเรชั่น 11 สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสิทธิภาพและผลการวัดประสิทธิภาพ โปรดดู http://www.intel.com/Evo และ http://www.intel.com/11thGen

[6]ความเร็วที่วัดได้ของดีไซน์ระดับพรีเมียมที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows ในขณะที่ดำเนินการ 25 ขั้นตอนเพื่อการคาดการณ์ประสิทธิภาพภายใต้สภาพแวดล้อมการใช้งานทั่วไป ซึ่งประกอบด้วยแอปฯบนคลาวด์ แอปฯบนเครื่อง และเปิดหน้าเว็บ ได้แก่ Google Chrome, Google G-Suite, Microsoft Office 365, YouTube และ Zoom การทดสอบ ณ เดือนสิงหาคม 2563 บนแล็ปท็อปที่ใช้แบตเตอรี่ DC ≥30% เชื่อมต่อกับ 802.11 ไร้สายและการกำหนดค่าฮาร์ดแวร์มาตรฐานบน Windows 10 และใช้ความสว่างหน้าจอ 250 nit

[7]ใช้เวลาในการลดระดับแบตเตอรี่จาก 100% ถึงระดับวิกฤติในขณะใช้งานตามขั้นตอนการทำงานภายใต้สภาพแวดล้อมการใช้งานทั่วไป ซึ่งประกอบด้วยแอปฯบนคลาวด์ แอปฯบนเครื่อง และเปิดหน้าเว็บ ได้แก่ Google Chrome, Google G-Suite, Microsoft Office 365, YouTube และ Zoom การทดสอบ ณ เดือนสิงหาคม 2563 บนแล็ปท็อปที่เชื่อมต่อกับ 802.11 ไร้สายและการกำหนดค่าฮาร์ดแวร์มาตรฐานบน Windows 10 และใช้ความสว่างหน้าจอ 250 nit

[8]การชาร์จขั้นต่ำภายในเวลา 30 นาทีขณะที่ปิดเครื่อง จากระดับการปิดระบบตามค่าเริ่มต้นของ OEM ประสิทธิภาพแตกต่างกันไปตามการใช้งาน การกำหนดค่า และปัจจัยอื่นๆ ผลนี้มาจากการทดสอบ ณ เดือนสิงหาคม 2563

[9]ผลิตภัณฑ์Intel® Wi-Fi 6 (Gig +) เปิดใช้งานความเร็วสูงสุดที่เป็นไปได้สำหรับผลิตภัณฑ์ Wi-Fi ของแล็ปท็อปทั่วไป Thunderbolt™ 4 เป็นพอร์ตที่เร็วที่สุดในแล็ปท็อปที่ความเร็ว 40 Gb/s เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ I/O ของแล็ปท็อปอื่นๆ เช่น eSATA, USB และ IEEE 1394 Firewire ประสิทธิภาพจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เฉพาะที่ใช้ ต้องใช้อุปกรณ์ที่รองรับ Thunderbolt

[10]ตามที่วัดโดย OTA (Over the Air) Wi-Fi 6 (802.11ax) เทียบกับ Wi-Fi 5 (802.11ac) ไคลเอ็นต์ NB ข้อมูลการทดสอบการประชุมทางวิดีโอ Skype ในสถานการณ์การใช้งานเครือข่าย IT มาตรฐานในองค์กร 20 MHz และ 40 MHz ดูที่ http://www.intel.com/11thgenสำหรับรายละเอียดการกำหนดค่า

[11]วัดผลการใช้งานด้านการสร้างสรรค์คอนเทนต์โดย : Video Editing

[12]อินเทลประมาณการของการประหยัดพลังงานระดับระบบ 20% โดยประมาณเมื่อเทียบกับ VEBoxที่เปิดใช้งานการเล่น Dolby Vision 4K24fps บนการออกแบบอ้างอิง TGL Core™ i7-1185G7 เทียบกับการออกแบบอ้างอิง ICL Core™ i7-1065G7 ที่กำหนดค่าไว้คล้ายคลึงกัน ซึ่งแปลเป็นการเล่น Dolby Vision นานขึ้นมากกว่าหนึ่งชั่วโมง ระยะเวลาการรับชมเนื้อหาบนดีไซน์ TGL Core™ i7-1185G7 พร้อมแบตเตอรี่ 40WHrการทดสอบ ณ เดือนสิงหาคม 2563

[13]วัดโดย Gears Tactics (1080p Medium ที่เปิดใช้งานการแรเงาในอัตราตัวแปร) บนโปรเซสเซอร์ Intel® Core™ i7-1185G7 เจนเนอเรชั่น 11 เทียบกับโปรเซสเซอร์ Intel® Core™ i7-1065G7U เจนเนอเรชั่น 10

[14]จากการวิเคราะห์ตลาดของระบบกราฟิกแยกที่จับคู่กับ U-series ที่วางขายในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

[15]ตามที่วัดโดย MLPerf v0.5 Inference with Offline Scenario โดยใช้ เฟรมเวิร์ก OpenVINO2020.2 Closed ResNet50-v1.5 offline int8 GPU (Batch = 32) บนโปรเซสเซอร์ Intel® Core™ i7-1185G7 เจนเนอเรชั่น 11 เทียบกับเฟรมเวิร์ก OpenVINO2020.2 Closed ResNet50-v1.5 offlineFP32 GPU (Batch = 32)

from:https://notebookspec.com/pr-intel-core-gen-11/535453/

เปิดตัว 11th Gen Intel Tiger Lake สำหรับโน้ตบุ๊คบางเบา พร้อมชนทุกสถาบัน เป็นไงไปชม

และแล้วก็ถึงเวลาที่ Intel จะกลับมาทวงความยิ่งใหย่อีกครั้งหลังจากปล่อยให้คู่แข่งไล้บี้ ด้วย Intel Tiger Lake ที่ได้เปิดตัวในค่ำคืนนี้ ซึ่งถือว่าเป็น 11th Gen core series เลยก็ว่าได้ ด้วยเทคโนโลยีการผลิต 10 nm แรงขึ้น ในขณะที่ประหยัดพลังงานยิ่งกว่าเดิม สำหรับโน้ตบุ๊คโดยเฉพาะ

สรุปเลยสำหรับคนที่ไม่อยากอ่านเยอะ ว่า Tiger Lake มีจุดเด่นอย่างไร ทำไมถึงน่าสนใจ

  • Intel Tiger Lake เน้นที่โน้ตบุ๊คบางเบา ประหยัดพลังงาน เร็วมากขึ้นสูงสุดถึง 4.8 GHz
  • เทคโนโลยีการผลิตที่ 10 นาโนเมตร
  • แบ่งเป็น 2 ซีรีย์ UP3 เน้นแรงมี TDP อยู่ 15 – 28 W และ UP4 มี TDP 7 – 15 W เท่านั้น
  • รองรับแรม DDR4-3200 เหมือนรหัส H และยังมีรุ่นที่เป็นแรมออนบอร์ดตัวใหม่ LPDDR4x-4266
  • การ์ดจอในซีพียูรุ่นใหม่ Intel Iris Xe แรงระดับ MX350
  • มาตรฐาน Intel Evo ที่การันตีว่าเครื่องใช้งานได้ตามมาตรฐานที่ Intel ต้องการ
  • มาพร้อม Thunderbolt™ 4
  • รองรับ PCIe Gen 4
  • ผู้ผลิตเตรียมพร้อมวางจำหน่ายกว่า 150 รุ่น จากหลายค่าย

หลังจากมีข่าวหลุดข่าวลือก็ถึงเวลาที่ Intel จะเปิดตัวซีพียูคอร์รุ่นที่ 11 ในรหัส Tiger Lake ที่ลดเทคโนโลยีการผลิตแบบ SuperFin ที่ 10 นาโนเมตร แม้จะยังตามหลังคู่แข่งที่ 7 นาโนเมตร แต่ขนาดไม่ใช่คำตอบของทุกสิ่ง ด้วยการที่อินเทลพัฒนาซีพียูตัวใหม่นี้เพื่อตอบโจทย์สายทำงานในโน้ตบุ๊คบางเบา ไปจนถึงแท็บเล็ต ด้วยแกนสูงสุด 4 คอร์ 8 เธรด ที่สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 4.8 GHz เพื่อการทำงานที่รวดเร็วขึ้น แต่แม้จะมีความเร็วสูง แต่ Intel Tiger Lake กลับมี TDP เริ่มต้นอยู่แค่ 15W ไปจนสูงสุดถึง 28W เท่านั้นในรุ่น UP3 โดยรองรับทั้งแรมแบบ DDR4 ที่ความเร็ว 3,200 MHz หรือใส่เป็นแรมออนบอร์ดรุ่นพิเศษแบบ LPDDR4x ที่ประหยัดพลังงานมากกว่า แต่ยังให้ความเร็วถึง 3733 – 4266 MHz เลย

โดยสเปคของ UP3 ที่เน้นประสิทธิภาพ มีทั้งหมด 5 รุ่น

Processor Number Graphics Cores / Threads Graphics (EUs) Cache Memory TDP Base Freq (GHz) Max Single Core (GHz) Max All Core (GHz)
Intel® Core™ i7-1185G7 Intel Iris Xe 4 / 8 96 12MB DDR4-3200 LPDDR4x-4266 12-28W 3 4.8 4.3
Intel® Core™ i7-1165G7 Intel Iris Xe 4 / 8 96 12MB DDR4-3200 LPDDR4x-4266 12-28W 2.8 4.7 4.1
Intel® Core™ i5-1135G7 Intel Iris Xe 4 / 8 80 8MB DDR4-3200 LPDDR4x-4266 12-28W 2.4 4.2 3.8
Intel® Core™ i3-1125G4 Intel UHD Graphics 4 / 8 48 8MB DDR4-3200 LPDDR4x-3733 12-28W 2 3.7 3.3
Intel® Core™ i3-1115G4 Intel UHD Graphics 2 / 4 48 6MB DDR4-3200 LPDDR4x-3733 12-28W 3 4.1 4.1

.

หรือถ้าต้องการโน้ตบุ๊คที่บางเบาประหยัดพลังงานมากขึ้นไปอีก สำหรับแท็บเล็ต โน้ตบุ๊ค 2 in 1 หรือโน้ตบุ๊คที่เน้นความบางเบาเป็นพิเศษ โดยที่ประสิทธิภาพดร๊อปลงไปไม่เยอะมากก็ยังมีรุ่นที่เป็นรหัส UP4 ที่มี TDP เพียงแค่ 7-15W โดยที่ยังคงสามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 3.6 GHz และยังใช้แรมแบบออนบอร์ดรุ่นพิเศษอย่าง LPDDR4x ที่ความเร็วสงถึง 4266 MHz

โดยสเปคของ UP4 ที่เน้นประสิทธิภาพ มีทั้งหมด 4 รุ่น

Processor Number Graphics Cores / Threads Graphics (EUs) Cache Memory TDP Base Freq (GHz) Max Single Core Turbo (GHz, up to) Max All Core Turbo (GHz, up to)
Intel® Core™ i7-1160G7 Intel Iris Xe 4 / 8 96 12MB LPDDR4x-4266 7-15W 1.2* 4.4 3.6
Intel® Core™ i5-1130G7 Intel Iris Xe 4 / 8 80 8MB LPDDR4x-4266 7-15W 1.1* 4 3.4
Intel® Core™ i3-1120G4 Intel UHD Graphics 4 / 8 48 8MB LPDDR4x-4266 7-15W 1.1* 3.5 3
Intel® Core™ i3-1110G4 Intel UHD Graphics 2 / 4 48 6MB LPDDR4x-4266 7-15W 1.8* 3.9 3.9

.

Intel Core เจนเนอเรชั่น 11 ใหม่ มาพร้อมชิปกราฟิก Intel Iris Xe ที่อินเทลได้ยกเครื่องการออกแบบกราฟิกแบบออนบอร์ดใหม่หมดในรหัสรุ่น Willow Cove และกราฟิก Intel® Xe มาพร้อมจุดเด่น

  • กราฟิก Intel Iris Xeใหม่มีประสิทธิภาพเหนือกว่า 90% ของการ์ดจอแยกที่นำมาใช้ในโน้ตบุ๊คบางเบาตอนนี้
  • รองรับ AV1 CODEC ประสิทธิภาพสูง ที่สามารถใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับความละเอียดระดับ 4K แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีแบนด์วิธจำกัด
  • รองรับอินเทอร์เฟซ PCIe Gen 4 ต่อกับ CPU สูงสุดสี่เลน

โดยแบ่งระดับประสิทธิภาพของกราฟิกในหน่วย EUs ยิ่งมากยิ่งแรง

โดยผลทดสอบของ Intel® Xe บอกเลยว่าเป็นออนบอร์ดที่แรงมาก เล่นได้ทุกเกมที่ 30 เฟรมขึ้นไป หรือบางเกมก็ถึงระดับ 100 เฟรมสบายๆ

และเมื่อเทียบกับรุ่นเก่าก็แรงขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อเทียบกับคู่แข่ง

เฟรมเหนือกว่าเห็นๆ

นอกนั้นยังมีโลโก้ Intel Evo การันตีคุณภาพของตัวโน้ตบุ๊คด้วย ประมาณว่าไม่ใช่จะออกโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่แบบไหนก็ได้ แต่ Intel ต้องทดสอบก่อนว่าได้มาตรฐานไหม ถึงจะได้โลโก้ Intel Evo ซึ่งมีคุณสมบัติได้แก่

  • แบตเตอรี่ให้การตอบสนองอย่างคงเส้นคงวา
  • เปิดใช้งานระบบจากโหมด Sleep ภายในไม่ถึง 1 วินาที
  • อายุการใช้งานแบตเตอรี่ในสภาพแวดล้อมจริงเท่ากับหรือมากกว่า 9 ชั่วโมง สำหรับระบบที่ใช้จอแสดงผลความละเอียดระดับFHD
  • ชาร์จเร็วในเวลาน้อยกว่า 30 นาที เพื่ออายุการใช้งานนานสูงสุดถึง 4 ชั่วโมง สำหรับระบบที่ใช้จอแสดงผลความละเอียดระดับFHD
  • Thunderbolt™ 4
  • Intel® Wi-Fi 6 (Gig+)

ประสิทธิภาพการใช้งานเทียบระกว่างใช้แบตกับต่อ Adapter เทียบกับคู่แข่งที่แสดงให้เห็นว่าถึงจะต่อไม่ต่อ Adapter ก็ให้ประสิทธิภาพที่ไม่ต่างกัน ต่างจากคู่แข่งที่จะได้ประสิทธิภาพสูงสุดก็เมื่อต่ Adapter เท่านั้น

โดยคาดว่าจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะใช้โปรเซสเซอร์ Intel Core เจนเนอเรชั่น 11 อีกกว่า 150 ดีไซน์จากพันธมิตรหลายรายเช่น Acer, Asus, Dell, Dynabook, HP, Lenovo, LG, MSI, Razer, Samsung และอีกหลายราย

จากผลการทดสอบ พร้อมสเปคที่ทาง Intel เผยออกมาบอกได้เลยว่า Intel Tiger Lake หรือ Intel Core 11 Gen ตัวนี้สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ต้องการโน้ตบุ๊คทำงานที่แรงกว่าเดิม ประหยัดไฟกว่าเดิม และยังให้ประสิทธิภาพกราฟิกที่ดีกว่าเดิมมากโดยที่ไม่ต้องง้อกาณืดจอแยกเลย พร้อมรอชมความแรงได้ที่ Notebookspec เร็วๆนี้มีมาให้ชมกันแน่นอน

…..

นอกจากนั้น Intel ก็ยังได้สรุปฟีเจอร์เด่นของ Intel Core เจนเนอเรชั่น 11 ไว้อีกเพียบไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีภายใน

ผลทดสอบเพียบ

from:https://notebookspec.com/new-11th-gen-intel-tiger-lake-for-notebook/534752/

Intel กล่าว – คอร์ เทรดมากกว่า ไม่ได้หมายความว่าแรงกว่า

จากงานแถลงข่าว Intel Platform Advantage Virtual Briefing เมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมาทีมงาน NBS ได้มีโอกาสเข้าไปร่วมด้วยโดย Intel พูดถึงการเลือกใช้โปรแกรมทดสอบต่างๆ ว่าจริงๆผลทดสอบในโปรแกรมต่างๆไม่ได้สะท้อนประสิทธิภาพการใช้งานจริง และยืนยันว่า Intel แรงกว่าคู่แข่งนะ

โจทย์หลักของงานนี้อินเทคต้องการโฟกัสไปที่การใช้โปรแกรมทดสอบต่างๆ ซึ่งอินเทลมองว่ามันไม่ได้สะท้อนประสิทธิภาพการใช้งานจริง แน่นอนว่าคู่แข่งอาจจะมีคะแนนในการทดสอบหลายโปรแกรมที่สูงกว่า มีคอร์ มีเทรดที่มากกว่า แต่เมื่อใช้งานจริง ไม่ได้ต่างกัน แต่ในการเล่นเกมอินเทลมีความเร็วซีพียูที่มากกว่า ทำให้มีผล หรือเฟรมเรทต่อการเล่นเกมที่มากกว่า และนอกจากนั้นยังมีแพลตฟอร์มที่หลากหลายกว่า ไม่ว่าจะเรื่องของจอ รูปแบบการใช้งาน มากกว่า 100 การออกแบบที่ไม่เหมือนกัน

โดยโปรแกรมทดสอบที่อินเทลนำเสนอจะแบ่งเป็นการจำลองการทำงาของซีพียูเช่น Cinebench หรือ 3DMark กับแบบที่รันการทำงานเสมือนจริง เช่น Sysmark 25 หรือ MobileMark และการทำงานจริง เช่น Google Chrome, Microsoft Office และโปรแกรมพวก Adobe

คู่ชกที่ Intel นำเสนอจะในส่วนของโน้ตบุ๊คเกมมิ่งสำหรับการทดสอบเน้นสเปคเหมือนกัน ต่างกันแค่ซีพียูทั้ง

  • Intel Core i5-10300H
  • Intel Core i5-10750H
  • AMD Ryzen 7 4800H

ถ้าวัดกันในส่วนของโปรแกรมทดสอบอย่าง Cinecench หรือ 3D mark คู่แข่งยังสามารถทำคะแนนได้ดีกว่า ด้วยเหตุผลว่า คอร์ และเทรดที่มากกว่า แต่เมื่อวัดเฟรทเรทในเกมอินเทลจะได้เฟรมเรทที่สูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด

โดยผลทดสอบในเกมต่างๆเช่น GTA V ,DOTA2 , Final Fantasy XIV ซีพียู Intel Core i7-10750H ได้เฟรมเรทในเกมมากกว่าคู่แข่งถึง 35 เกม จะมีเพียงแค่เกมเดียวที่ AMD ชนะคือ Rise of Tomb Raider แน่นอนว่าอินเทลมีดีกว่าที่ความเร็วของซีพียู ทำให้ได้เฟรมเรทในเกมที่สูงกว่า

มาต่อกันที่กลุ่มวีพียูโน้ตบุ๊คประหยัดพลังงานหรือรหัส U แน่นอนว่าอินเทลก็ยังตามหลังคู่แข่งเช่นเดิมในส่วนของคอร์และเทรด โดยรุ่นที่มาทดสอบเหมือนกันต่างกันแค่ซีพียูเช่นเดิมทั้ง

  • Intel Core i5-1035G1
  • Intel Core i7-1065G7
  • AMD Ryzen 7 4700U

โดยการทดสอบอินเทลเน้นไปที่การทดสอบทั้งแบบเสียบปลั๊กและไม่ได้เสียบปลั๊ก โดยการทดสอบแบบไม่ได้เสียบปลั๊กอินเทลจะแรงกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ถ้าเสียบปลั๊กจะไม่ต่างกันเท่าไร

แต่เมื่อทดสอบในส่วนของเวลาการใช้แบตเตอรี่ AMD จะใช้งานแบตเตอรี่ได้ดีกว่า แต่อินเทลก็แก้เกอว่าให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่าแม้จะใช้งานแบตเตอรี่ โดยไม่จำเป็นต้องลดความเร็วเพื่อให้แบตเตอรี่ใช้งานได้นานขึ้น

ผลทดสอบนี้จะแสดงประสิทธิภาพความเร็วของซีพียูโดยเฉลี่ย เมื่อใช้งานแบตเตอรี่แบบไม่่อปลั๊ก จะเห็นว่าอินเทลให้ความเร็วหรือประสิทธิภาพที่สูงกว่าราวเกือบ 4 GHz ขณะที่ AMD เฉลี่ยราว 2.5 GHz โดยที่แบตเตอรี่ใช้งานได้ต่างกันเพียงแค่ราว 1 ทั่วโมงเท่านั้น

อีกหนึ่งจุดขายของอิงเทลคือการใส่ DL Boost (Deep Learning Boost) เทคโนโลยีเร่งการทำงานของ AI เข้ามาในซีพียู ที่สามารถแสดงผลทดสอบในโปรแกรม Nero AI Photo Tagger หรือ แอป Cyberlink PowerDirector ที่เหลือกว่าคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัด

ตบท้ายก็ไม่วายแวะมาที่พีซีซีพียู ที่เปรียบเทียบการเล่นเกมของ Intel Core i7-10700K ราคา 14,200 บาท ที่สามารถเล่นเกมได้ดีกว่าคู่แข่งอย่าง AMD Ryzen 9 3900XT ราคา 17,900 บาท

สรุปส่งท้าย เป้าหมายที่อินเทลต้องการสื่อในงานนี้คือ คอร์ เทรดมากกว่าไม่ได้คำตอบของทุกสิ่งแม้จะแรงในโปรแกรมทดสอบ ก็แค่โปรแกรมเสมือน แต่ความเร็วของซีพียูต่างหากที่จะช่วยให้การทำงานในชีวิตจริง และการเล่นเกมได้ดีกว่า ซึ่งแน่นอนครับว่าเกมส่วนใหญ่เน้นความเร็วของซีพียู อาจจะไม่ได้ใช้คอร์ หรือเทรดมากมายนัก ทำให้ท่านที่ต้องการเน้นจำนวนเฟรมในเกมอินเทลจึงตอบโจทย์มากกว่า

หรือแม้กระทั่งในโน้ตบุ๊คสายบางเบาที่เน้นการประหยัดพลังงานและการทำงานไปพร้อมๆกัน แม้อินเทลจะใช้แบตเตอรี่ได้น้อยกว่า แต่ก็ให้ประสิทธิภาพที่มากกว่า ไม่เฉพาะแค่ตอนต่อปลั๊กเท่านั้น แต่ไม้ใช้งานแบตเตอรี่ก็ยังให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่า โดยที่ไม่ต้องลดความเร็วลงมาเยอะเหมือนคู่แข่ง

สรุปส่วนตัว อ่านบทความนี้แล้วอย่าเพิ่งตีกันโดยเฉพาะแฟน AMD เพราะอินเทลเองก็พยามยามหาทางไปในสภาวะตลาดที่ตัวเองตามหลักคู่แข่ง ไม่ว่าจะเรื่องของราคา และประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกลุ่มโน้ตบุ๊คที่ AMD มาแรงเหลือเกิน รักใครชอบใครก็เลือกตามที่ชอบนะครับ ราคาคุ้มประสิทธิภาพดี AMD ก็ยังเป็นคำตอบที่เหมาะสม แต่ถ้าต้องการเฟรมเรทสูงที่สุดในงบประมาณที่บวกขึ้นมาอีกหน่อย Intel ก้ไม่เลวเด๋อ (โดยเฉพาะพวกโน้ตบุ๊คการ์ดจอแรงๆที่มักมีแค่ Intel -0-)

from:https://notebookspec.com/intel-says-more-core-trading-doesnt-mean-stronger/534070/

จัดอันดับ Gaming Notebook น่าซื้อในงาน Commart 2020 สเปก Intel Core i5-10300H / i7-10750H แรงลื่นสะใจ ฟีเจอร์จัดเต็ม คุ้มค่าราคาเริ่ม 25,900 บาท

โน้ตบุ๊คเล่นเกม หรือ Gaming Notebook เป็นโน้ตบุ๊คประเภทที่ขายดีที่สุดในงาน Commart 2020 นี้แน่นอน ส่วนมากในตลาด จะมาพร้อมกับสเปกต่อราคาที่คุ้มค่า แน่นอนว่าได้เป็นชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10H ที่แรงลื่นเป็นหลัก โดยแบ่งออกเป็น Core i5-10300H ที่เป็นรุ่นเริ่มต้น รองรับการเล่นเกมที่ลื่นไหลและทำงานได้หลากหลาย

อีกทั้งรุ่นที่เน้นความแรงยิ่งขึ้นไปอีก จะเป็นในส่วนของ Core i7-10750H เพราะได้ทั้งประสิทธิภาพจากความเร็วในการทำงาน รวมไปถึงจำนวนคอร์และเธร์ดที่มากกว่า อีกยังได้ L3 Cache ที่ใหญ่กว่าอีกด้วย แน่นอนว่าส่งผลต่อการทำงานทุกๆ อย่าง ที่พร้อมๆ กัน และการเล่นเกมโดยตรงด้วย

  • Core i5-10300H : 4 Cores 8 Threads / 2.50 – 4.50 GHz GHz / 8 MB L3 Cache
  • Core i7-10750H : 6 Cores 12 Threads / 2.60 – 5.00 GHz GHz / 12 MB L3 Cache

บทความนี้ก็เลยจะมาจัดอันดับ Gaming Notebook น่าซื้อในงาน Commart 2020 สเปก Intel Core i5-10300H / i7-10750H แรงลื่นสะใจ ฟีเจอร์จัดเต็ม คุ้มค่าราคาเริ่ม 25,900 บาท โดยเป็นเทคโนโลยี Intel Core i Gen 10H ที่มีประสิทธิภาพสูง จับคู่มากับการ์ดจอรุ่นต่าง ๆ อาทิ NVIDIA GeForce GTX 1650 / GTX 1650 Ti / GTX 1660 Ti / RTX 2060 ที่แรงลื่นเพียงพอต่อการเล่นเกม 3 มิติทั้งออนไลน์และออฟไลน์ในปัจจุบันแน่นอน เทียบกับความแรงต่อราคาแล้วคุ้มค่า

ในส่วนของได้แรมมาเป็นมาตรฐาน DDR4 ที่ขนาด 8GB – 16GB ส่วน SSD ได้ความจุ 512GB เป็นมาตรฐาน หน้าจอขนาด 15.6″ / 16.1″ / 17.3″ ความละอียด Full HD พาเนล IPS ที่ 120Hz – 144Hz  ที่ต้องบอกเลยว่า สเปกเพียงพอต่อทุกๆ การใช้งานพื้นฐานหรือเล่นเกมหนักๆ ก็ทำได้ดีเยี่ยม ติดตั้ง Windows 10 แท้ใช้งานได้ทันที มีประกันดีที่สุดเป็นแบบ On-site Service ซ่อมฟรีถึงบ้านยาวนาน 3 ปี ราคาเริ่มต้นถูกที่สุดที่ 25,900 บาทเท่านั้น ซึ่งจะมีรุ่นอะไรบ้างนั้น ไปชมกันต่อเลย

Dell G3 15 ราคา 25,900 – 36,900 บาท

Dell G3 15 เป็น Gaming Notebook ขนาดหน้าจอ 15.6″ ราคาถูกสุดประจำปี 2020 ที่เป็นน้องเล็กสุดของแบรนด์ Dell ดีไซน์ดูบางเบา ซึ่งมีความบางตัวเครื่องเพียง 21.6 มิลลิเมตรเท่านั้น ส่วนน้ำหนักอยู่ที่ 2.3 กิโลกรัม ตัวเครื่องสีดำเทาแซมฟ้าในแนวเดียวกับ G Series ซึ่งสเปกหลักๆ แล้วเน้นประสิทธิภาพต่อความคุ้มค่า สำหรับการ์ดจอเป็น NVIDIA GTX 1650, GTX 1660 Ti ประกบคู่กับชิปประมวลผลรุ่นใหม่อย่าง i5-10300H และ i7-10750H ที่เป็น Core i Gen 10H รุ่นล่าสุด รองรับการเล่นเกมได้อย่างลื่นไหลกว่ารุ่นก่อนๆ แน่นอน

โดยมาพร้อมขนาดหน้าจอ 15.6″ ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล พาเนล IPS รองรับ Refesh Rate ที่ 120Hz ส่วนแรมก็ติดตั้งมาให้ขนาด 8GB / 16GB DDR4 Bus 2933MHz ซึ่งพอเพียงกับการใช้งานแน่นอน พร้อมด้วย SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB สำหรับฮาร์ดดิสก์รองรับการอัพเกรดในอนาคต ที่สำคัญยังเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 AX และ Bluetooth 5.0 ด้วย อกจากนี้ในส่วนของกล้องเว็บแคมและไมโครโฟนแบบคู่รองรับการใช้งาน VDO Call  และแน่นอนว่าได้ Windows 10 แท้ ใช้งานได้ที รวมถึงมีซอฟต์แวร์คอยจัดการมากมาย

การเชื่อมต่อหลักๆ แล้วถือว่าเป็น Gaming Notebook มีความครบครันระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นพอร์ต USB 3.2 Type-A จำนวน 1 พอร์ต ไว้สำหรับการเชื่อมต่อกับแฟลชไดร์ฟหรือฮาร์ดดิสก์ภายนอกไว้ถ่ายโอนข้อมูล และพอร์ต USB 2.0 Type-A อีก 2 พอร์ตที่ไว้เชื่อมต่อกับเมาส์หรืออุปกรณ์อื่นๆ รวมไปถึงสามารถเชื่อมต่อออกหน้าจอภายนอกได้ง่ายๆ ผ่านทาง HDMI ขนาดมาตรฐาน รวมไปถึงยังมี USB 3.1 Type-C ที่เป็น DisplayPort ได้ในตัว นอกจากนั้นก็มีช่องเชื่อมต่อไมค์และหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ช่องอ่าน SD Card และ LAN RJ45 อีกด้วย

ดีไซน์การออกแบบของ Dell G3 15 Gaming Notebook นั้นจะดูกระทัดรัดกว่าโน้ตบุ๊คเล่นเกมขนาดหน้าจอ 15.6″ อื่นๆ อยู่พอสมควร เนื่องด้วยมีการใช้ตัวเครื่องเหมาะกับการพกพา เทียบเท่ากับโน้ตบุ๊คเล่นเกมมาตรฐานแบบเดิมๆ ที่ต้องดูหนาและหนัก ทำให้มีความโดดเด่นมากๆ  มาพร้อม 2 สีสัน อย่างสีดำ Eclipse Black และสีขาว Alpine White ซึ่งโดดเด่นไม่ซ้ำใคร สนนราคา Dell G3 15 Gaming Notebook อยู่ที่ 25,900 – 37,900 บาท พร้อมการรับประกัน 2 ปี แบบ Dell Premium Support และ On-Site Service ซ่อมฟรีถึงบ้าน ตามมาตรฐานของ Dell ที่เราทุกคนในเรื่องของการบริการที่ประทับใจ

Lenovo IdeaPad Gaming 3i ราคา 25,990 – 30,990 บาท

Lenovo IdeaPad Gaming 3i เป็น Gaming Notebook เน้นความคุ้มค่าประจำปี 2020 เป็นโน้ตบุ๊คสเปกแรงที่สามารถเอาไปเล่นเกมได้สบายๆ โดดเด่นด้วยชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10H รุ่นใหม่อย่าง Core i5-10300H / Core i7-10750H พร้อมด้วยการ์ดจอระดับ Gaming อย่าง NVIDIA GeForce GTX 1650 / GTX 1650 Ti รุ่นใหม่ อีกทั้งได้ดีไซน์ใหม่ขอบจอที่บางและน้ำหนักเครื่องที่ไม่หนักจนเกินไป รวมๆ มีความเรียบง่าย โดยมาพร้อมกับโทนสีดำ Onyx Black พร้อมแซมด้วยสีฟ้า ที่ดูแล้วสวยงามและแตกต่างจาก Gaming Notebook ทั่วไปชัดเจน วางตำแหน่งเป็นซีรีส์ Gaming เริ่มต้นของทาง Lenovo

สำหรับ Lenovo IdeaPad Gaming 3i นั้นเรียกได้ว่ามาครบเครื่อง เป็นโน้ตบุ๊คสำหรับการเล่นเกมหรือทำงานหนักๆ อย่างตัดต่อวีดีโอ ขนาดหน้าจอ 15.6″ Full HD พาเนล IPS รองรับ Refresh Rate ที่ 120Hz ด้วยแรมขนาด 8GB และได้ SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB มี Windows 10 แท้ใช้งานได้ทันที สร้างประสบการณ์ในการเล่นเกมหรือทำงานกับผู้ใช้งานได้อย่างสบายๆ ที่เด็ดที่สุด ความคุ้มค่าราคาไม่แพง เริ่มต้นที่ 27,990 บาท ที่สำคัญได้การรับประกัน On-site Service ซ่อมฟรีถึงบ้าน 2 ปีด้วย และได้ประกันอุบัติเหตุด้วย รวมไปถึงบริการหลังการขายอื่นอื่นๆ อีกมากมายด้วย

พร้อมด้วยกล้องเว็บแคม HD (720p) พร้อม Privacy Shutter และมีไมค์ดิจิตอลในตัว ส่วนการเชื่อมต่อก็มีมาอย่างครบถ้วน ทั้ง USB 3.1 Type-C, HDMI, 2 x USB 3.1 Type-A, Kensington lock slot, RJ-45 , Headset พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi 6 AX ส่วนการรับประกันแน่นอนว่าเป็น ประกัน 2 ปี แบบ On-Site Service โทรแจ้งช่างมาซ่อมได้ถึงที่ รวมไปถึงมีประกันอุบัติเหตุและบริการอื่นๆ อย่างเครื่องสำรองระหว่างรอซ่อมด้วย

สำหรับน้ำหนักและความหนาของตัวเครื่อง Lenovo IdeaPad Gaming 3i ถือว่าเป็นเบาตามมาตรฐานของโน้ตบุ๊คปี 2020 ที่ต่อยอดมาจากรุ่นก่อนหน้าในหลายๆ ส่วน แม้จะมีขนาดหน้าจอใหญ่ที่ 15.6″ แต่ก็มีน้ำหนักเพียง 2.2 กิโลกรัมเท่านั้น ทำให้พกพาไปไหนมาไหนสะดวกสบายมาก โดยรวมแล้วการดีไซน์ของ Lenovo IdeaPad Gaming 3i รุ่นใหม่นี้ถือทำได้ดีมาก ใครจะเอาไปทำงานก็ดูเรียบๆ หรือใครจะเอาไปเล่นเกมก็ตอบสนองได้ดีเป็นรองตระกูล Legion เลย เชื่อได้เลยว่าจะเป็น Gaming Notebook อีกหนึ่งรุ่นที่ทำให้ตลาดคึกคักทีเดียว

HP Pavilion Gaming 15 ราคา

HP Pavilion Gaming 16 ราคา 30,990 – 34,990 บาท

HP Pavilion Gaming 16 รุ่นล่าสุด เป็นโน้ตบุ๊คเล่นเกมขนาดหน้าจอ 16.1″ รุ่นแรกของโลก แบบ New Normal กันไปเลย ที่ในตอนนี้พร้อมขายในไทยแล้ว ได้สเปกใหม่ที่มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10H อย่าง i7-10750H หรือ Core i5-10300H กับการที่เป็น Gaming Notebook คุ้มค่า จับคู่มากับการ์ดจอ NVIDIA GeForce GTX 16 Series คุณภาพเยี่ยมอย่าง GTX 1650 Ti ตอบสนองทุกการใช้งานได้อย่างราบรื่น รวดเร็ว ในดีไซน์ที่แตกต่างไปจาก Gaming Notebook แบรนด์อื่นๆ ออกแบบโน้ตบุ๊ครุ่นนี้ให้มีความสวย ทันสมัยให้ความแข็งแรง ทนทาน เพิ่มความโดดเด่น ใช้งานง่ายและสะดวก

ความโดดเด่นยังเป็นเรื่องหน้าจอที่ได้เป็นพาเนล IPS รองรับ Refresh Rate ที่ 144Hz ได้ที่เก็บข้อมูลเป็น SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB ใช้งานทันที (พร้อมรองรับการอัพเกรด HDD 2.5″ SATA 3 ได้ภายหลัง) มาพร้อมแรมขนาด 8GB DDR4 Bus 2933MHz มี Windows 10 แท้ใช้งานได้ทันที สนนราคาขายจริงสเปกนี้อยู่ที่ 30,900 – 34,900 บาท (ต่างกันที่สเปกชิปประมวลผลเท่านั้น) การรับประกันที่เป็นแบบ On-site Service ระยะเวลา 2 ปี

HP Pavilion Gaming 16 รุ่นนี้ยังคงใช้ดีไซน์เดิมเหมือนกับสเปกก่อนหน้า แต่ได้มีการขยับขยายตัวเครื่องให้ใหญ่ขึ้น แน่นอนมีน้ำหนักที่มากขึ้นด้วยเป็น 2.35 กิโลกรัม ได้ช่องระบายความร้อนที่ใหญ่ขึ้นใต้ตัวเครื่องก็มีช่องดูดลมเย็นที่ใหญ่ขึ้น เรียกได้มีความเฉียบและใช้งานได้จริงในเรื่องของการจัดการความร้อน ลำโพงจะอยู่ที่ด้านบนตัวเครื่องเหนือชุดคีย์บอร์ดทำเป็นลายแปดเหลี่ยมพื้นผิวนูนต่ำให้เสียงที่ดีใช้ได้เลยทีเดียว ที่สำคัญและโดดเด่นกว่ารุ่นไหนในท้องตลาดตอนนี้คือเป็น Gaming Notebook ขอบจอบางที่ดูแล้วสวยงามลงตัวอีกรุ่นนึงในตลาด

พอร์ตการเชื่อมต่อตัวเครื่อง HP Pavilion Gaming 16 นี้จัดว่าเป็นโน้ตบุ๊คที่มีความครบครับประมาณนึง ไม่ว่าจะเป็น USB 3.1 Type-A, USB 3.1 Type-C จำนวน 2 พอร์ต และ HDMI พร้อมช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร แบบแยกไมค์หูฟังหรือไมค์อย่างเดียว แน่นอนว่ามี SD Card Reader เป็นมาตรฐาน อีกทั้งยังมี LAN RJ45 โดดเด่นกว่า Gaming Notebook ทั่วไปตรงที่ทาง HP ได้มีการเล่นสีสันเหมือนกับโทนตัวเครื่องด้วย สัญลักษณ์พอร์ตต่างๆ ก็จะเป็นสีเขียวไปด้วย ดูแล้วลงตัวจริงๆ

Acer Nitro 5 15 / 17 ราคา 29,990 – 41,990 บาท

Acer Nitro 5 AN515 เป็น Gaming Notebook หน้าจอ 15.6″ และ Acer Nitro 5 AN517 เป็น Gaming Notebook ขนาดจอ 17.3″ ได้ชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10H ตอนนี้พร้อมขายอย่างเป็นทางการหลากหลายรุ่นแล้ว โดยผสานความแรงร่วมกับการ์ดจอ GeForce รุ่นล่าสุด ซึ่ง Acer Nitro 5 AN515 / Acer Nitro 5 AN517 เป็นหนึ่งใน Gaming Notebook หน้าจอ 15.6″ / 17.3″ ราคาคุ้มค่า หนัก 2.3 / 2.7 กิโลกรัม ได้รับความนิยมไม่แพ้รุ่นอื่นๆ ทั้งจากสเปกที่แรงลื่นหลากหลาย อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ที่จัดเต็ม และประกัน 3 ปี On-site Serive ที่ดีเยี่ยม หรือส่งศูนย์ซ่อมด่วน 3 ชั่วโมง

สำหรับ Acer Nitro 5 AN515 / Acer Nitro 5 AN517 ใช้ชิปประมวลผล Core i5-10300H / Core i7-10750H เป็นขุมพลังหลัก ทำงานร่วมกับการ์ดจอระดับ Gaming อย่าง NVIDIA GeForce GTX 1650 Ti / GTX 160 Ti / RTX 2060 ที่แรงลื่นกว่าเดิมแน่นอน ในส่วนของแรมจัดเต็มมาให้เลยที่ 16GB DDR4 Bus 2933MHz ส่วนที่เก็บข้อมูลให้มามาตรฐาน SSD M.2 NCMe PCIe ความจุ 512GB หน้าจอเป็นพาเนล IPS เกรดสูง รองรับ Refresh Rate ที่ 144Hz ให้ความลื่นไหลทั้งการเล่นเกมหรือทำงาน แน่นอนว่าได้ Windows 10 ใช้งานได้ทันที

Acer Nitro 5 AN515 / Acer Nitro 5 AN517 จัดว่าเป็น Gaming Notebook ดีไซน์มีการปรับปรุงใหม่ให้มีความโฉบเฉี่ยวมากกว่าเดิม ด้วยเส้นสายลวดลายที่ดูดุดันกว่าที่เคย โดยมีน้ำหนักอยู่ที่ 2.7 กิโลกรัม และที่มีพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครันอีกรุ่นเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น 3 x USB 3.2 Type-A (1 พอร์ตเป็นแบบชาร์จเจอร์ด้วย), 1 x USB 3.2 Type-C, 1, HDMI 2.0, RJ45 (Gigabit Ethernet) พร้อมด้วยความสามารถ Killer Ethernet E2600 เพื่อการเล่นเกมออนไลน์ที่ลื่นไหล และ Mic-in/Headphone-out แบบ Combo

ติดตั้งคีย์บอร์ดแบบ Full Size มาให้ผู้ใช้งานได้ใช้กันได้อย่างสบายๆ พร้อมกับการตอบสนองของปุ่มแบบทันทีด้วยระยะการกด 1.6 มม. ติดตั้งปุ่มแป้นคีย์ตัวเลข (Numpad) โดยตัวปุ่มจะเป็นสีดำ มีฟอนต์เป็นสีแดง รวมไปถึงแป้นปุ่มตรงตัวอักษร WASD และปุ่มทิศทาง รวมถึงปุ่ม NitroSense จะมีขอบเป็นไฮไลน์เด่นออกมา นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับไฟ RGB แบบ 4 โซน ดูแล้วเป็น Gaming Notebook สวยงาม เอามาเล่นตอนกลางคืนสบายๆ อีกทั้งเรื่องการกดการสัมผัสบนคีย์บอร์ดที่ปุ่มมีความติดมือ ดีกว่าโน้ตบุ๊คธรรมดาทั่วไปแน่นอน จะเอาไปเล่นเกมหรือทำงานก็ตอบสนองได้ดีเยี่ยม

Acer Nitro 5 AN515 / Acer Nitro 5 AN517 มาพร้อมกับซอฟแวร์ยูทิลิตี้ NitroSense ที่ทำให้เราสามารถปรับค่าต่างๆ ในตัวเครื่องได้อย่างง่ายดายไม่ว่า CoolBoots เร่งรอบพัดลมให้สุดที่ 6000 รอบทั้ง 2 ตัว ที่ใช้ระบายความร้อน CPU/GPU เมื่อต้องใช้งานหนักๆ รวมไปถึงการปรับโหมดการใช้งาน เช่นประหยัดพลังงานใช้แบตเตอรี่ก็ต้องเป็น Power Saver และสุดท้ายกับการดูสถานะการทำงานของตัวเครื่องก็มีทั้ง อุณหภูมิ รอบพัดลม กันแบบเวลาจริงเลยล่ะ เรียกได้ว่า Acer ใส่ใจใน NitroSense เพื่อให้เราใช้งานได้งานและใช้งานได้จริงทีเดียว

Lenovo Legion 5i ราคา 32,990 – 46,490 บาท

Lenovo Legion 5i จัดว่าเป็นอีกหนึ่ง Gaming Notebook สเปก Intel Core i Gen 10H ประจำปี 2020 ที่ได้รับความสนใจไม่แพ้รุ่นอื่นๆ ด้วยความโดดเด่นอย่างดีไซน์ภายนอกที่เป็นเอกลักษณ์ มี DNA ที่เป็น Legion Series ชัดเจน เลือกใช้ชิปประมวลผล Core i5-10300H / Core i7-10750H ที่ทรงพลังในราคาที่เหมาะสม ได้ทั้งประสิทธิภาพความแรงขึ้นและร้อนน้อยลง แน่นอนว่าเลือกใช้การ์ดจอแยกเป็น NVIDIA GeForce GTX 1650 Ti / RTX 2060 ที่มีพลังแรงไว้ใจได้ ติดตั้งแรมเป็น 8GB/16GB DDR4 Bus 2933MHz ผสานกับ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB มี Windows 10 แท้ใช้งานได้ทันที

คีย์บอร์ด Lenovo Legion TrueStrike แม่นยำ นุ่มนวล หนักแน่น  พร้อม 4-zone RGB รองรับ anti-ghosting 100% และตอบสนองได้รวดเร็วใน 1ms ทนทานมากขึ้นด้วยการเคลือบสารให้คุณสมบัติต้านทานการเสียดสีและการสึกกร่อน และแบตเตอรี่ที่ปรับใหม่ให้ประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยี Advanced Optimus และ Hybrid Mode อีกทั้งสามารถเลือกปรับโหมดได้เองระหว่างโหมดการรักษาอุณหภูมิ Quiet, Balance และ Performance นอกจากนี้ยังสามารถเร่งความแรงได้ด้วยการเปิด Dual Burn เพื่อดัน CPU และ GPU ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดไปพร้อมๆ กัน  

สำหรับ Lenovo Legion 5i นั้นเรียกได้ว่ามาครบเครื่องเป็นโน้ตบุ๊คสำหรับการเล่นเกมขนาดหน้าจอ 15.6″ หรือ 17.3″ พาเนล IPS คถณภาพดี มีตัวเลือกเป็น Refresh Rate ที่ 144Hz ได้ขอบจอบางเฉียบ นอกจากเล่นเกมได้ดีแล้ว ยังรองรับทั้งการทำงานที่ต้องการประสิทธิภาพที่สูง อย่างตัดต่อวีดีโอ หรือเรนเดอร์ 3 มิติ สนนราคาที่ 32,990 – 46,490 บาท ประกันก็เป็นแบบ 2 ปี On-site Service พร้อมบริการหลังการขายอื่นๆ อาทิ ประกันอุบัติเหตุแบบเคลม 100% มีเครื่องสำรองระหว่างรอเครื่องเคลม หรือบริการโทรศัพท์ Call Center 24/7 อีกด้วย

ในเรื่องของดีไซน์การออกแบบนั้นมีความน่าประทับใจ ได้กล้องเว็บแคมที่ติดตั้งไว้ด้านบนพร้อม Privacy Shutter และปุ่มทิศทางที่ตำแหน่งดีขึ้น ได้ประสบการณ์ใช้งานที่เหนือชั้น รวมไปถึงมีสเปคประสิทธิภาพสูงจาก  เหลือเฟือในการใช้งานพื้นฐาน แบตเตอรี่ก็ใช้งานได้ยาวนาน ตัวเครื่องก็ร้อนน้อยจากเทคโนโลยี Legion Coldfront 2.0 ชอบมากๆ เลยก็คือการปรับโหมดเพียง Fn + Q เท่านั้น ด้วยความบางเพียง 26.3 มิลลิเมตร รุ่น 15.6″ มีน้ำหนัก 2.3 กิโลกรัม ซึ่งเป็นจุดที่สมดุลทั้งในแง่ของประสิทธิภาพในการเล่นเกม และความสามารถในการพกพาได้อย่างลงตัว กับ Gaming Notebook ราคาระดับกลางๆ ที่ไม่ได้เน้นแต่ความคุ้มค่าอย่างเดียว แต่อยากได้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีด้วย

ซึ่ง Lenovo Legion 5i รุ่นหน้าจอ 15.6″ และ 17.3″ จะใช้ชื่อรุ่นเดียวกัน สเปกหลักๆ ในส่วนของการ์ดจอเหมือนกันหมด เพราะเราคะดมาเฉพาะรุ่น GTX 1650 Ti และได้แรม 8GB DDR4 (Bus 2933MHz) พร้อม SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB ไม่ต่างกัน แน่นอนว่าในส่วนของประสิทธิภาพก็มีความโดดเด่นไม่เป็นรองกันด้วย รวมไปถึงฟีเจอร์อื่นๆ ก็มีความเหมือนกันอีกด้วย แต่สำหรับรุ่นหน้าจอ 17.3″ ตัวเครื่องก็จะมีน้ำหนักที่มากกว่าด้วย ที่ 2.98 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของ Gaming Notebook จอใหญ่แบบนี้

HP OMEN 15 ราคา 39,900 – 49,900 บาท

OMEN 15 Laptop by HP ปี 2020 มีดีไซน์โดยรวมที่เปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว ทั้งนี้รวมไปถึงในส่วนของสเปกภายในที่พร้อมขายเป็น Intel Core i Gen 10H + GeForce GTX / RTX ด้วย ซึ่งด้านแนวทางการออกแบบจัดได้ว่าพลิกโฉมไปเลย โดยเน้นความเรียบง่ายอย่างที่สุด ส่วนสีสันก็เป็นดำด้านตลอดทั้งตัวเครื่อง โดยมีโลโก้ OMEN ที่โดดเด่นซึ่งปรับให้มินิมอลสุดๆ ที่เชื่อได้ว่าแฟนๆ ของ OMEN ต้องถูกใจกับรุ่นใหม่นี้อย่างแน่นอน ซึ่งล่าสุดในไทยได้พร้อมจำหน่ายแล้ว สนนราคาอยู่ที่ 39,990 บาท ส่วนประกันแบบ On-site 2 ปีตามมาตรฐานของ HP

ซึ่งถ้าเทียบ Gaming Notebook หน้าจอ 15.6″ รุ่นก่อนๆ คงเป็นเรื่องของมิติตัวเครื่องที่มีขนาดเล็กกระชับ ขอบจอบาง ที่สำคัญคือตัวเครื่องบางที่ 22.6 มิลลิเมตร พร้อมกับน้ำหนัก 2.35 กิโลกรัม และเมื่อรวมกับตัวอแดปเตอร์ที่จ่ายไฟได้ระดับ 200Watt เข้าไปด้วย ก็จะมีน้ำหนักที่ประมาณ 2.9 กิโลกรัม ก็จัดว่ามีน้ำหนักที่ไม่หนักจนเกินไปนัก ตอบสนองในเรื่องของการพกพาไปนอกสถานที่ได้อย่างดีเลยทีเดียว สำหรับการใช้งานแบตเตอรี่ได้ทำการเคลมว่าใช้งานได้ 12.5 ชั่วโมงทีเดียว

สำหรับสเปก OMEN 15 Laptop by HP ปี 2020 เลือกเป็นชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10H อย่าง Core i5-10300H / Core i7-10750H การ์ดจอเป็น NVDIA GeForce GTX 1660 Ti / RTX 2060 / RTX 2070 Max-Q ส่วนแรมได้มาขนาด 8GB DDR Bus 2933MHz และ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB พร้อม Windows 10 แท้ใช้งานได้ทันที ที่สำคัญได้หน้าจอ 15.6″ Full HD พาเนล IPS ที่ 144Hz กับระบบระบายความร้อน OMEN Tempest Cooling และมี OMEN Command Center ปรับแต่งการใช้งาน

พร้อมด้วยกล้องเว็บแคม HD (720p) และมีไมค์ดิจิตอล 2 ตัวใช้งาน Video Call ได้อย่างลื่นไหล พร้อมติดตั้ง Windows 10 แท้พร้อมใช้งานได้ทันที พอร์ตการเชื่อมต่อก็มีมาให้ครบครันทั้ง 3 x USB 3.2 Type-A, 1 x Thunderbolt 3 (USB 3.2 Type-C), HDMI, mini Display Port, Kensington lock slot, ช่องเสียบหูฟังกับไมค์แบบคอมโบ และช่องเสียบไมค์แยกก็มีมาให้ด้วย ส่วนมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi 6 AX (2×2)

ด้านในตัวเครื่องมาพร้อมสีสันที่โดดเด่นดำแดงดุดัน วัสดุจะเป็นอะลูมิเนียมแบบขัดลายสวยงามให้ความรู้สึกที่แข็งแรง ตัดด้วยไฟสี RGB พร้อมไฮไลน์ปุ่ม WASD ที่ช่วยเสริมความสวยงามได้ดี อีกทั้งยังมีคำว่า O15 อยู่มุมซ้ายล่างแป้นคีย์บอร์ด ส่วนด้านซ้ายบนจะเป็นปุ่ม Power มีไฟเมื่อเปิดใช้งาน ส่วนของคีย์บอร์ดนั้นตัวปุ่มเป็นพลาสติกสีดำขอบสีแดง โดยสกรีนตัวอักษรเป็นสีขาวโปร่งแสงพร้อมฟอนต์ที่ดูเข้ากับตัวเครื่อง ขนาด Full Size มาตรฐานปกติ อย่างไรก็ตามมีการตัด Numpad ออกไปเพื่องานดีไซน์ที่ลงตัวนั่นเอง

ASUS ROG Strix G15 GL542 ราคา 32,900 – 46,900 บาท

ASUS ROG Strix G15 GL542 / G17 GL742 เป็น Gaming Notebook ที่มีสเปกอัพเดทเป็นชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10H เน้นความคุ้มค่าและฟีเจอร์ที่มากกว่า โดดเด่นด้วยไฟคีย์บอร์ด RGB พร้อม Surrounded Light Bar รอบตัวเครื่อง ที่เราสามารถปรับแต่ได้ นอกจากนี้ยังมาพร้อมความสดใหม่ด้วยระบบระบายความร้อนอัจฉริยะ ROG Intelligent Cooling ที่ทำงานร่วมกับสารโลหะเหลว (liquid metal) จากทาง Thermal Grizzly เพื่อเป็นตัวช่วยในการระบายความร้อนให้กับชิปประมวลผล แทนการใช้ซิลิโคนนำความร้อนแบบปกติ

สำหรับ ASUS ROG Strix G15 GL542 / G17 GL742 โน้ตบุ๊คเล่นเกมจอ 15.6″ / 17.3″ สเปกระดับบนในราคาคุ้มค่า ได้ชิปประมวลผลตัวแรง Intel Core i5-10300H / Core i7-10750H พร้อมด้วยการ์ดจอประสิทธิภาพสูงอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1650 Ti / GTX 1660 Ti / RTX 2060 (6GB GDDR6) ได้แรมขนาด 8GB / 16GB DDR4 Bus 2933MHz และ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB อีกทั้งได้หน้าจอเป็นพาเนล IPS รองรับ Refresh Rate ที่ 144Hz แบบผิวด้าน ให้สีสันการแสดงผลในเกณฑ์ดีน่าประทับใจอย่างที่สุดทั้งเล่นเกมหรือทำงาน

ส่วนการเชื่อมต่อก็มีมาอย่างครบถ้วน ทั้ง USB 3.1 Type-C, HDMI, 3 x USB 3.1 Type-A, Kensington lock slot , SD Card Reader, RJ-45, Headset พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi 6 AX (2×2) แน่นอนว่าได้ Windows 10 แท้ ใช้งานได้ทันทีตั้งแต่เปิดเครื่องในครั้งแรก กับราคาเพียง 32,900 – 46,900 บาท ที่บอกได้เลยไม่แพงเลย ถ้าดูจากสเปกและฟีเจอรที่ติดตั้งมาให้แล้ว โดยได้ประกัน 2 ปี ที่สามารถเคลมผ่าน 7-11 ได้ ปีแรกมีประกันอุบัติเหตุด้วย

ดีไซน์โดยรวมของ ASUS ROG Strix G15 / GL542 / G17 GL742 เป็น Gaming Notebook ขอบจอบางตัวเครื่องมิติเล็กกระชับทั้ง 3 ด้าน คือ บน ซ้ายและขวา พร้อมตัดกล้องเว็บแคมออกไป มีน้ำหนักอยู่ที่ 2.3 / 2.85 กิโลกรัม มีความบางสุดที่ 21~25.8 มิลลิเมตร เรียกได้ว่าโดยรวมมาพร้อมกับดีไซน์การออกแบบ ได้รับ DNA เต็มๆ มาจาก ASUS ROG Strix รุ่นก่อน ซึ่งมีความพิเศษสุดๆ คือได้ทาง BMW Designworks Group มาร่วมออกแบบด้วย เห็นได้ชัดจากชุดระบายความร้อนด้านหลังที่เป็นครีบคล้ายกับเสื้อสูมมอเตอร์ไซต์จาก BMW เรียกได้ว่ายกระดับขึ้นไปอีกขั้น

MSI GL65 ราคา 33,900 – 36,900 บาท

MSI GL65 Leopard จัดว่าเป็น Gaming Notebook หน้าจอ 15.6″ ที่จัดเต็มไม่แพ้รุ่นท็อป แต่ได้ราคาที่คุ้มค่าต่อสเปกสุดๆ โดยจัดเต็มจากชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10H และการ์ดจอ Gaming จากทาง NVIDIA ได้แรมมาขนาด 16GB DDR4 Bus 2666MHz เป็นมาตรฐาน ติดตั้งแหล่งเก็บข้อมูล SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB / 1TB (อัปเกรด SSD M.2 / HDD 2.5″ SATA 3 ได้อีก) หน้าจอ 15.6″ ความละเอียด Full HD พาเนล IPS เกรดสูง รองรับ Refresh Rate ที่ 144Hz มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 10 และซอฟต์แวร์ Dragon Center เวอร์ชันใหม่

ที่สำคัญ MSI GL65 Leopard ได้ดีไซน์ดุดันตามสไตล์ของ G Series จาก MSI ยังมีฟีเจอร์ Gaming มากมาย อาทิ ระบบระบายความร้อน Cooler Boost 5 คีย์บอร์ด SteelSeries พร้อมไฟสีแดง แบบปรับแต่งแยกปุ่มอิสระ มีพอร์ตการเชื่อมต่อครบครันทั้ง USB-C / A 3.2 และอื่นๆ พร้อมการเชื่อม Wi-Fi 6 AX โดยมีน้ำหนักตัวเครื่องอยู่ที่ 2.3 กิโลกรัมเท่านั้น ประกอบกับการใช้หน้าจอที่ขอบบาง ทำให้ตัวเครื่องเล็กกระทัดรัด สะดวกต่อการพกพามากยิ่งขึ้น 

MSI GP65 Leopard รุ่นใหม่ล่าสุดด้วยชิปประมวลผลตัวแรง ที่ถือได้ว่าเป็นรุ่นที่มีประสิทธิภาพสูง โดยมีราคาตั้งแต่ 33,900 – 36,900 บาท สเปกเป็น Core i7-10875H (2.30 GHz, 16 MB L3 Cache, up to 5.10 GHz) ทำงานแบบ 8 คอร์ 16 เธร์ด หรือ Core i7-10750H (2.60 GHz, 12 MB L3 Cache, up to 5.00 GHz) ทำงานแบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด ส่วนการ์ดจอเป็น NVIDIA GeForce GTX 1650 / GTX 1650 Ti เรียกได้ว่าตอบสนองการเล่นเกมได้เต็มที่ตามความคุ้มค่า

ตัวเครื่องยังมีลำโพง 2 ชาแนลแบบ Giant Speaker บนซอฟแวร์เสียง Nahimic 3 ทำให้การขับเสียงเวลาเล่นเกม หรือดูหนังฟังเพลงทำได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย ทางด้านพอร์ทเชื่อมต่อเองมีมาให้อย่างครบถ้วนไม่ว่าจะเป็น USB 3.2 Type-A จำนวน 3 ช่อง, USB 3.2 Type-C หนึ่งช่อง, HDMI, mini-DisplayPort, SD(XC/HC) card reader, ช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5, ช่องเสียบไมค์ขนาด 3.5 และช่องสาย Lan RJ45

การเชื่อมต่อไร้สายอย่างก็รองรับตัวที่เป็น Bluetooth 5.1 และ Wi-Fi 6 AX น้ำหนักตัวอยู่ที่ 2.3 กิโลกรัม ได้ประกัน 2 ปี มี Windows 10 แท้ มาพร้อมกับการดีไซน์สีสันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์สีโทนดำและเทาแบบทูโทนจากวัสดุบอดี้ตัวเครื่องฝาหลังจะเป็นอลูมิเนียมสัมผัสผิวเรียบหรูสวยงาม ผสานกับโลโก้มังกร MSI มีไฟสว่างสีขาวเมื่อเปิดเครื่อง ดูโดยรวมแล้วเรียบง่ายกว่า ดุดันสไตล์เกมมิ่งโน้ตบุ๊คระดับ Hi-End ในราคาคุ้มค่า มีความบางของตัวเครื่องเพียง 27.5 มิลลิเมตร รอบๆ ตัวเครื่องยังถูกออกแบบมาให้รองรับการใช้งานต่าง ๆได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

MSI GF75 Thin ราคา 42,900 – 44,900 บาท

MSI GF75 Thin เป็น Gaming Notebook รุ่นใหม่ใช้สเปก Core i Gen 10 H ตัวแรงลื่นเน้นประสิทธิภาพ ทำงานเต็มที่ร่วมกับการ์ดจอ GeForce RTX Series มีหน้าจอขนาด 17.3″ ดีไซน์ขอบบางพิเศษ ทำให้มิติตัวเครื่องเทียบกับรุ่นหน้าจอ 15.6″ เท่านั้น ใหม่ล่าสุดด้วยสเปกเป็นชิปประมวลผล Intel Core i7-10750H ทำงานแบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด ที่ความเร็ว 2.60 – 5.00 GHz และการ์ดจอ NVIDIA GeForce GTX 1660 Ti (6GB GDDR6) / RTX 2060 (6GB GDDR6)

หน้าจอขนาด 17.3″ แบบด้าน ให้ความรู้สึกที่เต็มอารมณ์กว่า 15.6″ บนความละเอียด Full HD พาเนล IPS รองรับ Refresh Rate ที่ 144Hz แถมตัวเครื่องยังมีลำโพง 2.0 ชาแนลบนซอฟแวร์เสียง Nahimic 3 ทำให้การขับเสียงเวลาเล่นเกม หรือดูหนังฟังเพลงทำได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย ส่วนของแรมมีขนาด 16GB DDR4 Bus 2666MHz แบบ 8GB x 2 (Dual Channel) มีที่เก็บข้อมูลแบบ SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB พร้อมรองรับการอัพเกรดด้วย HDD 2.5″ อีก 1 ตัวด้วย

หน้าตาการออกแบบเอง MSI GF75 Thin มีความโดดเด่นทั้งในส่วนของดีไซน์ภายนอกภายใน ใช้เป็นโทนสีดำตลอดทั้งตัวเครื่องตัดกับสีแดงเช่นเดิม ซึ่งมีดีไซน์และแนวทางการออกแบบคล้ายกับ MSI GF63 ซึ่งเป็น Gaming Notebook หน้าจอ 17.3″ ที่เน้นความบางเบาเช่นเดียวกัน ซึ่งด้วยน้ำหนัก 2.2 กิโลกรัม และมีความบางที่ 22~23.1 มิลลิเมตร

ทำให้เป็น Gaming Notebook หน้าจอใหญ่ ที่เล็ก บางเบา กระทัดรัด ที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาดตอนนี้เลย แกนฝาพับแข็งแรงพัฒนาขึ้นกว่าเดิมจากรุ่นก่อน พร้อม Ergonomics View Design ที่ช่วยยกตัวให้สูงขึ้นจากพื้น ส่งผลให้พัดลมสามารถดูดลมเย็นเข้าไปได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งการเอียงของตัวเครื่องเล็กน้อยนั้น ก็ทำให้พิมพ์สัมผัสได้ถนัดมือยิ่งขึ้นไปอีกนั่นเอง

ระบบระบายความร้อนเป็น Cooler Boost 5 ฮีทไปป์ 7 เส้น ด้านฐานล่างใช้วัสดุพลาสติก ABS งานประกอบแน่นหนาแข็งแรง มียางรอง 4 มุม ยกตัวเครื่องให้สูงขึ้น ในจุดนี้สามารถถอดอัพเกรดได้ไม่ยาก รวมถึงซ่อมบำรุงรักษาทำความสะอาดเครื่องในระยะยาวได้สะดวกสมเป็น Gaming Notebook ตัวแรงใช้งานยาวๆ อย่างที่เราไม่ต้องกังวลเรื่องความทนทาน

from:https://notebookspec.com/notebook-commart-2020-i5-10300h-i7-10750h/532567/

5 New Normal ของ Gaming Notebook ระดับท็อป ปี 2020 !!! เทียบกับรุ่นคุ้มค่า ต่างกันอย่างไร

Gaming Notebook ในตลาดปี 2020 มีให้เลือกกันหลากหลายมากยิ่งขึ้น หลักๆ แล้วเริ่มต้นตั้งแต่ราคา 2x,xxx บาทขึ้นไปจนไปถึงหลักแสนบาท โดยมาพร้อมกับสเปกที่แรงลื่นกว่าเมื่อหลายปีก่อน อย่าง Core i Gen 10H อาทิ Core i5 / Core i7 และการ์ดจอ GeForce GTX 1650 / 1650 Ti / 1660 Ti พร้อมกับฟีเจอร์ก็จัดเต็มขึ้นเริ่ม ที่สำคัญคือมาในราคาที่ถูกคุ้มค่ามากกว่าเดิม ซึ่งจริงๆ แล้ว โน้ตบุ๊คเล่นเกมก็ได้มีการแบ่งกลุ่มออกอย่างชัดเจน ง่ายๆ แล้วสามารถดูได้จากราคาเป็นหลัก

สำหรับราคา 2x,xxx – 4x,xxx บาท จะเป็น Gaming Notebook ที่ให้สเปกและความแรงต่อราคาที่คุ้มค่ามากๆ แต่ก็อาจจะไม่ได้ฟีเจอร์พิเศษอื่นๆ ส่วนถ้าขยับขึ้นมาหน่อย ในงบ 4x,xxx – 6x,xxx บาท ซึ่งช่วงราคานี้ก็จะได้ฟีเจอร์ Gaming บางอย่างเข้ามาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอ 240Hz เรื่องระบายความร้อนที่หายห่วง ไฟคีย์บอร์ด RGB Per-key หรือไฟ RGB แน่นอนว่าสเปกก็จะขยับขึ้นมา ด้วยแรมมาตรฐาน 16GB และ SSD 512GB ขึ้นไป

ในส่วนอื่นๆ ต่อกันที่ช่วงราคา 6x,xxx ขึ้นไปล่ะก็ เราจะได้เรื่องของดีไซน์ความบางเบาที่มากยิ่งขึ้น งานประกอบที่เนี๊ยบสุดๆ รวมไปถึงสเปกก็จะได้เป็นชิปประมวลผลและการ์ดจอระดับบน ไม่ว่าจะเป็น Core i7-10875H / Core i9-10980HK และ GeForce RTX 2070 / 2070 Super / 2080 / 2080 Super รวมไปถึงมีรุ่น Max-Q ที่ติดตั้งใน Gaming Notebook บางเบาเป็นตัวเลือกด้วย ส่วนเรื่องระบายความร้อนก็ยอดเยี่ยมมากๆ แม้เครื่องจะบางเบาแค่ไหน แต่การจัดอุณหภูมิก็จัดเต็ม ปิดท้ายด้วยฟีเจอร์พิเศษๆ อย่างหน้าจอที่ 2 หรือไฟ RGB จัดเต็มอย่างที่สุด หรือหน้าจอ 300Hz / HDR เป็นต้น

ในบทความนี้เราก็จะแนะนำมาตรฐานใหม่ 5 New Normal ของ Gaming Notebook ระดับท็อป ปี 2020 !!! เทียบกับรุ่นคุ้มค่า ต่างกันอย่างไร เพื่อไว้เป็นแนวทางในการเลือกซื้อ เพราะบางคนดูจากสเปกทั่วไปอาจจะไม่เห็นความต่าง แต่จริงๆ แล้วนอกจากสเปกยังมีความต่างอื่นๆ ที่จะมีอะไรบ้างนั้น ไปชมกันต่อเลย

ดีไซน์และฟีเจอร์พิเศษเหนือชั้นกว่า

ในส่วนนี้ถือว่าเป็นจุดแรกเลยก็ว่าได้ สำหรับ Gaming Notebook ระดับท็อป ปี 2020 ที่เราจะเห็นกันได้ง่ายที่สุด เพราะด้วยดีไซน์การออกแบบที่ให้ความสวยงามหรูหราแข็งแรงทนทาน บางรุ่นได้ความเบาเบา พร้อมใช้วัสดุที่ให้ความพรีเมียมแบบสุดๆ ในบางรุ่นจะมาพร้อมไฟ RGB รอบๆ ตัวเครื่อง ซึ่งอาจจะเป็นด้านหน้า ด้านหลัง หรือข้างๆ ของตัวเครื่อง ที่ให้ความสวยงามเป็นพิเศษ

โดยที่เราสามารถปรับแต่งได้ผ่ายทางซอฟต์แวร์ เรียกได้ว่าเอาใจคอเกมที่ชอบปรับแต่งไฟ DIY ด้วยตนเองแบบสุดๆ หรือบางรุ่นจะได้เป็น หน้าจอที่สองช่วยเสริมการทำงานของหน้าจอหลัก ให้ประสบการณ์ใช้งานที่เหนือระดับทุกการเล่นเกมและทำงาน เรียกได้ว่าเราไม่สามารถหาได้แน่นอนในส่วนของ Gaming Notebook ระดับเริ่มต้น

หน้าจอแสดงผลมาตรฐานสูงกว่า

ประสบการณ์ใช้งานด้านภาพกับการเล่นเกมนั้นเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้ในส่วนของสเปกภายในทีเดียว สำหรับ Gaming Notebook ระดับท็อป ปี 2020 เราจะได้หน้าจอที่ดีที่สุดในตลาด ด้วยพาเนล IPS เกรดที่ดีที่สุด โดยหลักๆ แล้วมีขนาดให้เลือกที่ 15.6″ หรือ 17.3″ ที่ความละเอียด Full HD หรือเรียบเนียนกว่าอย่าง 4K Ultra HD

อีกทั้งได้ Refresh Rate ที่ 144Hz ขึ้นไป สูงสุดถึง 240Hz – 300Hz ทำให้ลื่นไหลสุดๆ โดยบางรุ่นยังรองรับมาตรฐาน HDR ซึ่งช่วยให้ภาพแสดงผลทั้งโทนมืดและสว่างได้อย่างสมบูรณ์แบบกว่าที่เคยมีมา รวมไปถึงค่าขอบเบตสีได้มาตรฐานระดับ sRGB 100% / AdobeRGB 100% ด้วย ที่หาได้ยากใน Gaming Notebook กลุ่มทั่วไป

คีย์บอร์ด Gaming ไฟปรับแต่งได้มากกว่า

ถือว่าเป็นปัจจัยที่ Gamer ใส่ใจรายละเอียด เพราะคีย์บอร์ดนั้นเป็นอุปกรณ์ที่เราต้องใช้งานเป็นประจำ ไม่ใช่แต่เรื่องของความสวยงามด้วยไฟ RGB เท่านั้น แต่ต้องได้อารมณ์การตอบสนองของแป้นพิมพ์ แรงกด ระยะกด ความโค้ง ขนาดของปุ่ม และการใช้ปุ่มหลายๆ ปุ่มพร้อมๆ กัน รวมไปถึงมีความทนทานเป็นพิเศษ รองรับการใช้งานหนักๆ สไตล์ Gaming ได้สบาย

ที่สำคัญไฟ LED ก็ต้องเป็นแบบ Per-key ด้วย โดยจะสามารถเปลี่ยนสีทีละปุ่ม ตามใจของผู้ใช้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งบางแบรนด์อาจจะพัฒนาร่วมกับผู้ผลิต Gaming Gear รายอื่นๆ ส่งผลให้ในการใช้งาน Gaming Gear ร่วมกันก็จะสามารถปรับแต่งได้อย่างลงตัวที่สุด รวมไปถึงปรับตามเกมที่เราเล่นด้วยก็สามารถทำได้ ในกรณีที่โปรไฟล์เกมนั้นๆ รองรับ

สเปกฮาร์ดแวร์ภายในทั้งระบบแรงกว่า

จริงๆ จะบอกว่าเป็นประเด็นหลักๆ ของการเลือกซื้อ Gaming Notebook ระดับท็อปก็เป็นไปได้ เพราะเมื่อเราเลือกที่จ่ายเงินมากกว่า เราก็ต้องคาดหวังเรื่องประสิทธิภาพความแรงที่แรงกว่ามาตรฐานทั่วไปอยู่แล้ว จากการเลือกใช้ชิปประมวลผลตัวท็อปสุดที่แรงที่สุด โดยติดตั้งในตอนนี้ อย่าง Intel Core i9- 10980HK หรือตัวรองลงมาอย่าง Intel Core i7-10875H ทำงานแบบ 8 คอร์ 16 เธร์ด ประสิทธิภาพไว้ใจได้ในทุกๆ การทำงานหรือเล่นเกม รวมไปถึงเปิดโปรแกรมหลายอย่างพร้อมกัน

พร้อมการ์ดจอรุ่นใหม่ที่แรงลื่นอย่าง NVIDIA GeForce RTX 2070 / 2070 Super / 2080 / 2080 Super รวมไปถึงมีรุ่น Max-Q ที่หาไม่ได้ใน Gaming Notbook คุ้มค่า โดยมีที่เก็บข้อมูลรองรับการติดตั้ง SSD แบบ M.2 NVMe ความจุ 1TB ในส่วนของแรมเองมีมาให้ 32GB แบบ DDR4 Bus 3200 MHz ขนาด 16GB จำนวน 2 แถว (Dual Channel) เป็นมาตรฐานใหม่ ซึ่ง Gaming Notebook บางรุ่นยังสามารถเลือก Overclock เพิ่มเติม เร่งความแรงไปได้อีกด้วย

ชุดระบบระบายความร้อนเย็นกว่า

จากการที่เป็น Gaming Notebook ระดับท็อป แน่นอนว่าต้องมาพร้อมชิปประมวลผลและการ์ดจอระดับบนเช่นกัน ซึ่งอย่างที่เราพอทราบกันมา ยิ่งสเปกแรงเท่าไหร่ การทำงานของตัวเครื่องเมื่อใช้งานหนักๆ หรือเล่นเกม 3 มิติที่ปรับกราฟิกสุดๆ ก็ยิ่งทำให้ฮาร์ดแวร์ภายในปลอดปล่อยความร้อนออกมาเยอะกว่าการใช้งานทั่วไปด้วย (พัดลมอาจจะไม่ทำงานเลยก็ได้) ซึ่งถ้า Gaming Notebook ทั่วไปอาจจะไม่ให้ความสำคัญมากนัก

แต่กรณี Gaming Notebook ระดับนี้ล่ะก็ ชุดระบบระบายความร้อนต้องจัดเต็มยิ่งกว่า เพื่อให้ควบคุมความร้อนที่เก็บขึ้นให้เย็นที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของท่อฮีท์ไปป์ขนาดใหญ่จำนวนเยอะ หรือใช้พัดลมแบบพิเศษที่เร่งได้ รวมไปถึงบางรุ่นเลือกที่จะติดตั้งซิลิโคน Liquid Metal ที่สุดแห่งการระบายความร้อนช่วยด้วยอีกทาง เพื่อให้การทำงานทุกๆ อย่างมีความราบลื่นไม่มีสะดุดตอลอดการเล่นเกมหรือทำงานหนักหน่วง

สำหรับข้อมูลทั้งหมดน่าจะเป็นแนวทางการเลือกซื้อ Gaming Notebook กันได้นะครับ ว่าจริงๆ แล้ว เราจะดูแต่สเปกชิปประมวลผล การ์ดจอ แรม และที่เก็บข้อมูลไม่ได้ เพราะยังมีส่วนประกอบอื่นๆ ซึ่งเป็นรายละเอียดของ Gaming Notebook ระดับท็อป ที่แตกต่างจากกลุ่ม Gaming Notebook เน้นความคุ้มค่า ฉะนั้นแล้วเพื่อนๆ คนไหนเลือกซื้อ Gaming Notebook ที่มีราคาสูง ก็ต้องยอมรับเลยว่าต้องได้ประสบการณ์ใช้งานโดยรวมที่ดีกว่าแน่นอน ปิดท้ายด้วยรุ่นต่าง ไม่ว่าจะเป็น

ASUS ROG Zephyrus S17 (GX701) : Intel Core i7-10875H + RTX 2080 Super Max-Q ราคา 119,900 บาท

ASUS ROG Zephyrus Duo 15 (GX550) : Intel Core i9-10980HK + RTX 2080 Super ราคา 10,990 บาท

Lenovo Legion 7i : Intel Core i9-10980HK + RTX 2080 Super ราคา 99,990 บาท

Acer Predator Triton 500 : Intel Core i7-10875H + RTX 2080 Super Max-Q ราคา 89,900 บาท

MSI GE66 Raider : Intel Core i9-10980HK + RTX 2080 Super Max-Q ราคา 82,990 บาท

from:https://notebookspec.com/5-new-normal-of-gaming-notebook-2020/527047/

แนะนำ Gaming Notebook สเปก Core Gen 10H ได้การ์ดจอ RTX 2070 / RTX 2080 ที่แรงลื่นล้ำกว่า

สำหรับ Gaming Notebook ปี 2020 ที่ได้ประสิทธิภาพทรงพลังพร้อมฟีเจอร์จัดเต็ม ทั้งหมดจะติดตั้งมาพร้อมกับการ์ดจอแยก (GPU) NVDIA GeForce RTX / RTX Super จากเทคโนโลยีการผลิตสถาปัตยกรรม Turing ที่ดีเยี่ยม รองรับการเล่นเกมทุกๆ เกมบนโลกแบบลื่นไหลสุดๆ อีกทั้งให้ความสำคัญเรื่องความสวยงามด้วย โดยมีรุ่น RTX 2070 / RTX 2080 / RTX 2070 Super / RTX 2080 Super เน้นไปที่ Gaming Notebook ที่ออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพสำหรับการเล่นเกมระดับสูงโดยเฉพาะ แน่นอนว่าเหนือกว่าพวก GTX 1650 / GTX 1650 Ti / GTX 1660 Ti / RTX 2060

ซึ่งจับคู่มากับชิปประมวลผลที่ทรงพลังอย่าง Intel Core i Gen 10H (Comet Lake H) รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ได้มีการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น อาทิ Core i7-10750H / Core i7-10875 ที่แรงลื่นกว่ารุ่นก่อนๆ รวมไปถึงมีรุ่นแรงสุดทางด้วย Core i9-10980HK ที่จัดว่าเป็นชิปประมวลผลของ Notebook ที่แรงที่สุดในโลก ณ ตอนนี้เลยก็ว่าได้ พร้อมแรม 16GB – 32GB และ SSD 512GB – 1TB ฉะนั้นแล้วใครจะซื้อ Gaming Notebook ระดับสูง ชิปประมวลผลของ Intel ต้องเป็นตัวเลือกที่ดีอย่างแน่นอนที่สุด

สำหรับ Gaming Notebook ที่เน้นความบางเบาแต่ทรงประสิทธิภาพอยู่ ก็จะมีการ์ดจอรุ่นที่เป็นเวอร์ชั่น Max-Q (ใช้พลังงานต่ำและปลดปล่อยความร้อนน้อยกว่าปกติ) เช่น NVIDIA GeForce RTX 2080 Super Max-Q พร้อมจับมือผู้ผลิตทุกค่ายไม่ว่าจะเป็น Acer / ASUS / MSI / Lenovo / และอื่นๆ ในการนำเสนอ Gaming Notebook ระดับสูง ที่จับคู่มากับชิปประมวลผลและการ์ดจอแยกระดับไฮเอนด์ ได้หน้าจอเกรดสูงทั้งหมด สนนราคาตั้งแต่ 5x,xxx – 9x,xxx บาท จะมีรุ่นอะไรบ้าง ไปชมกันต่อเลย

ASUS ROG Strix G17 GL742 ราคา 54,900 บาท

ASUS ROG Strix G17 GL742 เป็น Gaming Notebook ที่มีสเปกอัพเดทเป็นชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10H เน้นความคุ้มค่าและฟีเจอร์ที่มากกว่า โดดเด่นด้วยไฟคีย์บอร์ด RGB พร้อม Surrounded Light Bar รอบตัวเครื่อง ที่เราสามารถปรับแต่ได้ นอกจากนี้ยังมาพร้อมความสดใหม่ด้วยระบบระบายความร้อนอัจฉริยะ ROG Intelligent Cooling ที่ทำงานร่วมกับสารโลหะเหลว (liquid metal) จากทาง Thermal Grizzly เพื่อเป็นตัวช่วยในการระบายความร้อนให้กับชิปประมวลผล แทนการใช้ซิลิโคนนำความร้อนแบบปกติ

สำหรับ ASUS ROG Strix G17 GL742 โน้ตบุ๊คเล่นเกมจอ 17.3″ สเปกระดับบนในราคาคุ้มค่า ได้ชิปประมวลผลตัวแรง Intel Core i7-10750H ที่ทำงานแบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด พร้อมด้วยการ์ดจอประสิทธิภาพสูงอย่าง NVIDIA GeForce RTX 2070 (8GB GDDR6) ได้แรมขนาด 16GB DDR4 Bus 2933MHz และ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB อีกทั้งได้หน้าจอเป็น 17.3″ Full HD พาเนล IPS รองรับ Refresh Rate ที่ 144Hz แบบผิวด้าน ให้สีสันการแสดงผลในเกณฑ์ดีน่าประทับใจอย่างที่สุดทั้งเล่นเกมหรือทำงาน

ส่วนการเชื่อมต่อก็มีมาอย่างครบถ้วน ทั้ง USB 3.1 Type-C, HDMI, 3 x USB 3.0, Kensington lock slot , SD Card Reader, RJ-45, Headset พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi 6 AX (2×2) แน่นอนว่าได้ Windows 10 แท้ ใช้งานได้ทันทีตั้งแต่เปิดเครื่องในครั้งแรก กับราคาเพียง 54,900 บาท ที่บอกได้เลยไม่แพงเลย ถ้าดูจากสเปกและฟีเจอรที่ติดตั้งมาให้แล้ว โดยได้ประกัน 2 ปี ที่สามารถเคลมผ่าน 7-11 ได้ ปีแรกมีประกันอุบัติเหตุด้วย

ดีไซน์โดยรวมของ ASUS ROG Strix G17 GL542 เป็น Gaming Notebook ขอบจอบางตัวเครื่องมิติเล็กกระชับทั้ง 3 ด้าน คือ บน ซ้ายและขวา พร้อมตัดกล้องเว็บแคมออกไป มีน้ำหนักอยู่ที่ 2.85 กิโลกรัม มีความบางสุดที่ 21~25.8 มิลลิเมตร เรียกได้ว่าโดยรวมมาพร้อมกับดีไซน์การออกแบบ ได้รับ DNA เต็มๆ มาจาก ASUS ROG Strix รุ่นก่อน ซึ่งมีความพิเศษสุดๆ คือได้ทาง BMW Designworks Group มาร่วมออกแบบด้วย เห็นได้ชัดจากชุดระบายความร้อนด้านหลังที่เป็นครีบคล้ายกับเสื้อสูมมอเตอร์ไซต์จาก BMW เรียกได้ว่ายกระดับขึ้นไปอีกขั้น

Acer Predator Triton 500 ราคา 79,990 – 89,990 บาท

Acer Predator Triton 500 (2020) นี้เป็นการต่อยอดมาจาก Gaming Notebook รูปแบบ Thin & Light รุ่นพี่อย่าง Acer Predator Triton 700 เสริมด้วยการ์ดจอรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง GeForce RTX 2070 Super / RTX 2080 Super ที่มาพร้อมกับประสิทธิภาพกับความสมจริงกว่าที่เคยมีมา โดยทำงานประสานกับชิปประมวลผล Intel Core i7-10750H ที่แรงพอตัว ทำให้สิทธิภาพตัวเครื่องเทียบกับ Deskto PC สบายๆ ภายใต้ตัวเครื่องที่เบา 2.1 กิโลกรัม และบางเฉียบเพียง 17.9 มิลลิเมตร เรียกได้ว่าแรงเกินตัวไปเยอะจริงๆ

Acer Predator Triton 500 (2020) จะมีหน้าจอขนาดใหญ่ 15.6″ แต่กลับมีความเล็กลงจากมิติตัวเครื่องเล็กกระทัดรัดจากการที่ขอบจอบาง (ใกล้เคียงกับโน้ตบุ๊คหน้าจอ 14″) ผนวกกับหน้าจอ IPS และอัตรารีเฟรชเรทที่สูงถึง 144Hz จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า สิ่งเหล่านี้จะเป็นส่วนสำคัญในการมอบประสบการณ์ใหม่ๆในการเล่นเกมแบบเต็มประสิทธิภาพให้กับผู้ใช้งานได้อย่างแน่นอน  ในส่วนของดีไซน์ภายนอกก็ดูเรียบหรู วัสดุเป็นอะลูมิเนียมตลอดทั้งตัวเครื่องแซมด้วยสีฟ้า Predator ที่โดดเด่น สนนราคาที่ 59,990 บาท

ตัวเครื่องยังมีลำโพง 2.0 ชาแนล บนซอฟแวร์เสียง Waves Maxx Audio ทำให้การขับเสียงเวลาเล่นเกม หรือดูหนังฟังเพลงทำได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย ทางด้านพอร์ทเชื่อมต่อเองมีมาให้อย่างครบถ้วนไม่ว่าจะเป็น Thunderbolt 3 จำนวน 1 ช่อง, USB 3.1 Type-A จำนวน 3 ช่อง หนึ่งช่อง, HDMI, mini-DisplayPort, ช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5, ช่องเสียบไมค์ขนาด 3.5 และช่องสาย Lan RJ45 พร้อม E3000 Ethernet Controller, Wi-Fi 6 AX 1650 และ Killer Control Center 2.0 ของ Killer ที่ช่วยให้การเล่นเกมออนไลน์ให้มีเสถียรภาพและสมูทขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การเชื่อมต่อไร้สายอย่างก็รองรับตัวที่เป็น Bluetooth 5.0 เป็นมาตรฐาน

ดีไซน์การของ Acer Predator Triton 500 (2020) มาพร้อมความสดใหม่ ตัวเครื่องนั้นเป็นทรงแบบเหลี่ยมมุมตลอดทั้งตัวเครื่อง ซึ่งดูแล้วมีความสมมาตรลงตัว มาพร้อมกับวัสดุผสมระหว่างอลูมิเนียมและแมกนีเซียม มาในโทนสีดำอย่าง Obsidian black สลับกับสีฟ้าบางส่วนอย่างโลโก้และฟินระบายความร้อน พร้อมกันนั้นพื้นผิวเรียบจากการใช้วิธีพ่นทราย ซึ่งจะทำได้ละเอียดกว่าการขัดปกติ ผิวชิ้นงานเนียน และช่วยให้สีติดที่เนื้อวัสดุได้อย่างดีที่สุด แถมยังมีความทนทานด้วย โดยการใช้งานจริงนับว่าให้สัมผัสที่เยี่ยมยอด แตกต่างจาก Gaming Notebook ทั่วไปแบบรู้สึกได้ในครั้งแรก

  • Core i7-10750H / RTX 2070 Super / RAM 32GB / SSD 1TB / จอ 15.6″ IPS 300Hz ราคา 79,9990 บาท
  • Core i7-10750H / RTX 2080 Super / RAM 32GB / SSD 1TB / จอ 15.6″ IPS 300Hz ราคา 89,9990 บาท

MSI GE66 Raider ราคา 65,900 บาท

ที่สุดของ Gaming Notebook ขนาด 15.6″ รุ่นล่าสุด อย่าง MSI GE66 Raider ที่เปิดตัวครั้งแรกในงาน CES 2020 ซึ่งบทความนี้เราได้รับเครื่องจริงสเปกจริงมารีวิวแล้ว จัดว่าเป็น Gaming Notebook สุดล้ำ ออกแบบมาสำหรับยุคอนาคต โดยเป็นการผสมผสานการออกแบบระหว่างคอนเซปต์ Sci-Fi รูปทรงภายนอกนั้นมีการนำความเป็นยานอวกาศในโลกอนาคตมาปรากฏอยู่บนรูปทรงของตัวเครื่อง สื่อถึงเรื่องของประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการใช้งานที่เหนือกว่าใคร สเปกภายในเป็น Intel Core i Gen 10H ผสานการทำงานกับ NVIDIA GeForce RTX สเปกอื่นๆ ก็จัดเต็มทั้งแรมและ SSD M.2 เกรดสูง

วัสดุหลักรวมถึงส่วนของฝาพับทำมาจากอลูมิเนียมคุณภาพสูง สีสันโทนไทเทเนียมเงินแบบด้านที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ รูปทรงโดยรวมมีความคล้ายกับ MSI GT76 Titan รุ่นพี่ และในส่วนหลักของแสงที่ส่องสว่างออกมาจากบริเวณด้านหน้าของที่วางมือ ก็คือ Mystic Light แสดงแสงไฟแบบ Panoramic Aurora วัสดุเป็นอะคริลิคที่รมดำเข้ากับตัวเครื่อง ประกอบกับไฟ Per-Key RGB Gaming Keyboard ที่ร่วมพัฒนากับแบรนด์ SteelSeries หน้าจอเป็น IPS ระดับ 240Hz พร้อมลำโพง Duo Wave Speaker ระบบเสียง Dynaudio ทั้งหมดนี้ช่วยให้เพิ่มประสบการณ์การเล่นเกมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

MSI GE66 Raider ใช้ชิปประมวลผลตัวท็อปสุดเป็น Intel Core i7- 10750H ความเร็ว 2.60 – 5.00 GHz ทำงานแบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด ประสิทธิภาพไว้ใจได้ พร้อมการ์ดจอรุ่นใหม่ที่แรงลื่นและร้อนน้อยสุดๆ อย่าง NVIDIA GeForce RTX 2070 (8GB GDDR6) ที่ทั้ง 2 อย่างนี้ระดับ Gaming Desktop ตัวไฮเอนด์ มีที่เก็บข้อมูลรองรับการติดตั้ง SSD แบบ M.2 NVMe จำนวน 2 สล็อต โดยตามสเปกได้ติดตั้งมาแล้วที่ความจุ 1TB ในส่วนของแรมเองมีมาให้ 16GB แบบ DDR4 Bus 3200 MHz ขนาด 16GB จำนวน 1 แถว พร้อมรองรับ Dual Channel กรณีที่เราอัพเกรด 16GB อีกแถว

สำหรับ MSI GE66 Raider จัดว่าเป็น Gaming Notebook หน้าจอ 15.6″ ที่มีพอร์ตการเชื่อมต่อที่ครบครันที่สุดรุ่นหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งมีทั้ง 3 x USB 3.2 Type-A, 2 x USB 3.2 Type-C, HDMI, Mini DisplayPort, LAN, SD Card Reader, รูหูฟังและไมค์โครโฟน 3.5 mm และช่องเสียบอแดปเตอร์เหมือน MSI GT76 Titan การเชื่อมต่อแบบไร้สายแบบ Killer ac Wi-Fi 6 (AX)+ Bluetooth 5.0 ซึ่งตัวเครื่องมาพร้อมฟีเจอร์ Killer Doubleshot Pro จัดลำดับความสำคัญให้กับการเชื่อมต่อของเกมมาเป็นอันดับแรก ทำให้มีความเสถียรของอินเตอร์เน็ตมากกว่า Gaming Notebook รุ่นอื่นพอสมควร

Gigabyte AORUS 15G ราคา 89,900 บาท

Gigabyte AORUS 15G ที่สุดของ Gaming Notebook ประสิทธิภาพสูง จากทาง Gigabyte รุ่นใหม่ล่าสุดปี 2020 สเปกสุดแรงดีไซน์สุดล้ำ หน้าจอขนาด 15.6″ พาเนล IPS ที่ 240Hz กับสเปกที่จัดเต็มด้วยชิปประมวลผล Intel Core i7-10875H ซึ่งเป็น Core i Gen 10H ตัวแรงกว่ารุ่น Core i7-10750H ส่วนการ์ดจอเป็น NVIDIA GeForce RTX 2070 Super Max-Q โดยมีน้ำหนักแค่ 2.2 กิโลกรัมเท่านั้น ได้ระบบระบายความร้อน WINDFORCE infinity พัดลม 12V 2 ตัว 5 Heatpipes ,4 ช่องระบายความร้อน เทคโนโลยีจากทาง Gigabyte ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฮาร์ดแวร์ Gaming ในฝั่งของ PC Desktop อยู่แล้ว

สเปกและฟีเจอร์อื่นๆ ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน มาพร้อมกับแรมขนาด 16GB Bus 2933MHz และ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB และ OMRON Mechanical Switch ให้ความรู้สึกเหมือนคีย์บอร์ดแยก รองรับการกดได้ถึง 15 ล้านครั้ง โดยเป็นคีย์บอร์ด RGB Fusion 2.0 ตั้งค่าสีไฟแยกอิสระทุกปุ่ม พร้อมได้ระบบเสียง Nahimic 3 3D Audio for Gamers รวมถึง AORUS GAMING CENTER ที่ปรับแต่งได้หลากหลาย ส่วนการเชื่อมต่อก็จัดเต็มด้วย Killer Ethernet E2600 + Killer Wi-Fi 6 AX1650 โดดเด่นด้วยระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro สนนราคาขายอยู่ที่ 89,990 บาท

ดีไซน์การออกแบบจะเห็นว่า Gigabyte AORUS 15G  มีสไตล์แบบไม่ซ้ำใคร AORUS คือซับแบรนด์ของทาง Gigabyte ที่จะเป็นกลุ่มสินค้าระดับ Hi End ที่ตอบโจทย์กลุ่มเกมเมอร์ หรือผู้ที่ต้องการฟีเจอร์ ออปชั่นอื่นๆที่มากกว่าพื้นฐาน เช่นระบบระบายความร้อนที่ดีกว่า ไฟ RGB ที่สวยงามกว่า รวมถึงการออกแบบที่โฉบเฉี่ยวโดดเด่นมากกว่า ซึ่งเราคุ้นเคยกันดีในการ์ดจอ เมนบอร์ด และวันนี้ก็ได้มาเป็นซับแบรนด์ให้ตลาดโน้ตบุ๊คอีกด้วย และแน่นอนว่าทุกรุ่นยังคงผลิตในไต้หวัน จึงมั่นใจในคุณภาพของสินค้าได้ เชื่อว่าโดนใจใครหลายๆ คนแน่นอน ในเรื่องของความพรีเมียมแตกต่างจาก Gaming Notebook แบรนด์อื่นๆ แบบชัดเจน

ตัวเครื่องโดยรวมให้ดูทันสมัยและเรียบง่าย ตามมาด้วยการใส่รายละเอียดต่างๆ ที่สวยงามตามสไตล์ AORUS ที่สำคัญด้วยเทคโนโลยี ระบบระบายความร้อน WINDFORCE พัดลม 12V 2 ตัว 5 Heatpipes ,4 ช่องระบายความร้อน ดูดอากาศเย็นจากใต้ตัวเครื่องพร้อมเปล่าออกผ่านทางฮีทไปป์และฟินขนาดใหญ่ไปทางด้านหลังและด้านข้างออกตัวเครื่อง เชื่อได้เลยว่า Gigabyte AORUS 15G ตัวนี้ต้องจัดการอุณหภูมิได้ดีอย่างแน่นอน มาพร้อมกับไฟ RGB 16.8 ล้านสี ด้วย OMRON Mechanical Switch ให้ความรู้สึกเหมือนคีย์บอร์ดแยก รองรับการกดได้ถึง 15 ล้านครั้ง คีย์บอร์ด RGB Fusion 2.0 ตั้งค่าสีไฟแยกอิสระทุกปุ่ม ที่เราสามารถปรับแต่งได้ดั่งใจ ทั้งส่วนของคีย์บอร์ดที่ดูแล้วสวยงาม

  • Core i7-10875H / RTX 2070 Super Max-Q / RAM 16GB / SSD 512GB / จอ 15.6″ IPS 240Hz ราคา 89,900 บาท

Lenovo Legion 7i ราคา 99,900 บาท

Lenovo Legion 7i ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการที่เกมเมอร์มองหาใน Gaming Notebook หน้าจอ 15.6″ ตัวเครื่องภายนอกผลิตด้วยโลหะเฉดสี Slate Grey ตัดด้วยเส้นแสงไฟ RGB สุดล้ำ ให้น้ำหนักเบาเพียง 2.2 กิโลกรัม แต่ภายในนั้นอัดแน่นไปด้วยพลังชิปประมวลผลสูงสุดอย่าง i9-10980HK พร้อมด้วยการ์ดจอที่ดีที่สุดอย่าง NVDIA GeForce RTX 2080 Super Max-Q (8GB GDDR6) อัดแรมได้มากสุดๆ ที่ 32GB DDR4 แบบ Dual Channel โดยติดตั้ง SSD M.2 NVMe ความจุ 1TB ที่ทำงานร่วมกัน Intel Optane 32GB อีกด้วย

จุดเด่นคือได้หน้าจอความละเอียด Full HD พาเนล IPS เกรดสูง รองรับ Refresh Rate ที่ 144Hz ความสว่าง 500 nitts ความแม่นยำสี Adobe sRGB สูง 100% และ VESA DisplayHDR 400 เพื่อการแสดงรายละเอียดของภาพที่คมชัดยิ่งขึ้น ลดเวลาการตอบสนองให้เหลือน้อยกว่า 1ms ผ่าน OverDrivesupport อีกทั้งด้วยฟีเจอร์ G-SYNC ที่ทำงานร่วมกับการ์ดจอ NVIDIA ให้ภาพลื่นไหลไม่ฉีกขาด พร้อมเทคโนโลยี Dolby Vision และ Dolby Atmos Speaker System เพื่อประสบการณ์ความบันเทิงที่สมบูรณ์แบบ

โดดเด่นด้วยระบบระบายความร้อนเต็มไปด้วยนวัตกรรมขั้นสูง Lenovo Legion Coldfront 2.0ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการอุณหภูมิ มาพร้อม Vapor Chamber และเซ็นเซอร์ตรวจจับความร้อน 6 ตัว และพัดลมแบบ liquid crystal polymer ช่วยเพิ่มการไหลเวียนอากาศและถ่ายเทความร้อนสี่จุดรอบตัวเครื่อง อีกทั้งระบบ Dual Burn ที่จัดการ การทำงานของ CPU  และGPU ให้ทำงานร่วมกันเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

อัพเกรดให้ทุกสัมผัสบนแป้นพิมพ์ตอบโจทย์การเล่นได้ดียิ่งกว่าเดิม ด้วย Lenovo Legion TrueStrikeKeyboardรองรับ anti-ghosting ตอบสนองรวดเร็วในระยะเวลาเพียงเสี้ยววินาที ให้สัมผัสของการลงปุ่มกดที่นุ่มนวลแต่หนักแน่นเสมือนใช้ปุ่มกดจากแป้นคีย์บอร์ดสำหรับเกมมิ่ง ดีไซน์ขอบโค้งรับกับนิ้วมือ ปรับแต่งเฉดสีได้มากถึง 16 ล้านเฉดด้วยระบบ CorsairiCUEคีย์บอร์ดของ Lenovo Legion ทุกรุ่นแข็งแรงทนทานผ่านการเคลือบเพื่อต้านทานการเสียดสีและการสึกกร่อนอีกด้วย

Lenovo Legion 7i มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 80WHr สามารถให้พลังงานได้นานถึง 8 ชั่วโมง อะแดปเตอร์ขนาดเล็กลง เพิ่มความยืดหยุ่นในการพกพา และระบบ Rapid Charge Pro ช่วยชาร์จแบตเตอรี่ถึง 50% ได้ภายใน 30 นาที  สำหรับราคาของ Lenovo Legion 7i ราคาและรุ่นสเปกต่างๆ รวมไปถึงการวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ จะแจ้งให้ทราบภายหลังอีกที

from:https://notebookspec.com/gaming-notebook-specification-core-gen-10h-with-rtx-2070-rtx-2080-video-card/523033/

แนะนำ Notebook ปี 2020 สเปก Core i Gen 10 ได้แรม 16GB แรงจบครบไม่ต้องอัพเกรด ทำงานดีเล่นเกมลื่น เริ่ม 29,900 บาท

Notebook แรม 16GB นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญ ในการเลือกซื้อมาเพื่อใช้งานหนักๆ โดย Notebook ที่มาพร้อมกับสเปกชิปประมวลผล Intel อย่าง Core Gen 10U (Core i7-10510U / Core i7-1065G7) และ Core i Gen 10H (Core i5-10300H / Core i7-10750H) ถือได้ว่ามีประสิทธิภาพที่ดี ในดีไซน์ที่บางเบาพกพาสะดวก เหลือเฟือในการใช้งานระดับพื้นฐาน

ไม่ว่าจะเป็นการทำงานทั่วไปอย่างงานเอกสาร Word, Excel, Power Point, เล่นอินเตอร์เน็ต, Social, Online, ดูหนัง, Youtube, Netflix โดยรวมแล้วมีความลื่นไหลไม่สะดุด และบางรุ่นได้โปรแกรม Office Home & Student 2019 (มูลค่า 4,299 บาท) มาด้วย ซึ่งถ้าเป็นรุ่น Gaming Notebook ด้วยการ์ดจอสูงสุดเป็น NVIDIA GeForce RTX 2070 ก็รองรับการเล่นเกมหรือทำงานหนักๆ ได้เป็นอย่างดี

ในส่วนของสเปกอื่นๆ ก็จะมาพร้อมกับขนาดหน้าจอ 14″ – 15.6″ ที่สนับสนุนการใช้งานทุกรูปแบบ บนความละเอียด Full HD ที่ให้ภาพคมชัดเรียบเนียน โดยหลักๆ แล้วจะได้เป็นพาเนล IPS คุณภาพกี ที่ให้ภาพสดสวยสมจริงสุดๆ รวมไปถึงสเปกที่เป็น Gaming จะได้เป็น Refresh Rate ที่ 120Hz / 144Hz ด้วย สำหรับสเปกอย่างแรมก็จะได้มาขนาด 8GB – 16GB และได้ที่เก็บข้อมูลเป็น SSD M.2 NVMe ความจุ 256GB – 512GB

ในส่วนของการพกพาก็ทำได้เยี่ยมยอด โดยมีน้ำหนักเบาสุดแค่ 990 กรัมเท่านั้น พร้อมแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานสุดที่ 8 – 10 ชั่วโมงด้วยกัน ในบทความนี้เราจะมาจัดอันดับ Notebook ทั้ง 5 รุ่น ที่ได้เป็นสเปก Core i Gen 10 รุ่นใหม่ คุ้มที่สุด ทำงาน เล่นเน็ต ดูหนังลื่นๆ จอทัชพับได้มีปากกา ส่วนจะมีรุ่นไหนบ้าง ไปติดตามชมกันต่อได้เลย

Huawei MateBook D14 ราคา 29,900 บาท

Huawei MateBook D15 ปี 2020 ใส่เต็มเรื่องของสเปกและราคาพร้อมของแถม กับการที่เป็นโน้ตบุ๊คหน้าจอขนาด 14″ ที่เหมาะสมกับการใช้งานที่หลากหลาย รวมไปถึงการพกพาที่สะดวก มาพร้อมชิปประมวลผล Intel Core i7-10510U (1.80 GHz, 8 MB L3 Cache up to 4.80 Ghz) ที่แรงลื่นประสิทธิภาพดีเยี่ยม การ์ดจอแยกเป็น NVIDIA GeForce MX250 (2GB GDDR5) แรมติดตั้งมาให้ขนาด 16GB พร้อมด้วย SSD M.2 ความจุ 512GB ที่เหลือเฟือต่อการใช้งานพื้นฐานแน่นอน ที่สำคัญมีระบบปฏิบัติการ Windows 10 สนนราคาเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ 29,900 บาท พร้อมการรับประกัน 2 ปีตามมาตรฐานของ Huawei ซึ่งถ้าซื้อช่วงพรีออเดอร์จะได้ของแถมมูลค่ากว่า 11,000 บาทด้วย

การดีไซน์ Huawei MateBook D14 ก็เน้นความเรียบง่าย ด้วยวัสดุอลูมิเนียมที่ดูดีเกินราคากับสีสันเป็นสีเงินดูสวยงามลงตัว โดยมีความบางเฉียบของตัวเครื่องที่ 13.8 มม. น้ำหนัก 1.38 กิโลกรัม เน้นพกพาใช้งานสะดวก ได้หน้าจอแสดงผลขนาด 14″ ความละเอียด Full HD หรือ 1920×1080 พิกเซล แบบด้าน พาเนล IPS คุณภาพดี ขอบหน้าจอบางเฉียบ FullView screen ทั้งให้เล็กกระทัดรัด ซึ่งมีสัดส่วนจออยู่ที่ 86% กล้องเว็บแคมไปยังติดตั้งแบบ Pop Up ที่ชุดคีย์บอร์ด และยังมีระบบ Fingerprint สแกนลายนิ้วมือเพื่อใช้งานได้ปลอดภัย ที่สำคัญสำหรับคนที่ใช้มือถือ Huawei ยังมีฟีเจอร์ Huawei Share ไว้ใช้งานโอนไฟล์ไปมา และขึ้นหน้าจอมือถือบน Huawei MateBook D14 ก็ยังได้อีกด้วย

แน่นอนว่าวัสดุตัวเครื่องของ Huawei MateBook D14 เลือกใช้เป็นอลูมิเมียมอัลลอยด์ตลอดทั้งตัวเครื่อง สีสัน Mystic Sliver ซึ่งมีงานประกอบที่ยอดเยี่ยม ทนทานแน่นหนา ที่สำคัญยังเป็นแบบ Unibody นั่นก็คือแทบจะไร้รอยต่อ ประกอบด้วยกันเพียง 3 ชิ้นเท่านั้น ก็คือ ฝาหลัง ตัวเครื่องด้านใน และฝาล่างเท่านั้น พร้อมพื้นผิวเป็นแบบทรายทำให้เป็นรอยนิ้วมือได้ยากกว่าปกติ ตรงนี้ถือว่าเป็นความใส่ใจเพราะเราไม่ต้องค่อยมาเช็ดหรือทำความสะอาดบ่อยๆ สามารถกางหน้าจอได้กว้างสุดที่ประมาณ 180 องศา สำหรับช่องระบายความร้อนถูกซ่อนอยู่ใต้หน้าจอบริเวณบานพับ โดยเป็นการใช้งานพัดลมระบาย 1 ตัว ที่ออกแบบมาใหม่ ช่วยนำพาความร้อนชิปประมวลผลให้เย็นลงได้อย่างรวดเร็วและเงียบกว่า

ส่วนพอร์ตที่ติดตั้งมีมาให้จะใช้ถือว่าครบครันเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็น USB 2.0 Type-A จำนวน 2 ช่อง, USB 3.0 Type-A จำนวน 1 ช่อง USB 3.0 Type-C, HDMI สำหรับต่อหน้าจอเสริม และรูหูฟังกับไมค์แบบคอมโบ และยังมี USB-C ที่ชาร์จไฟผ่านทางอแดปเตอร์มาให้ด้วย พร้อมอแดปเตอร์ 65W ชาร์จทาง USB-C ซึ่งมีน้ำหนักเพียง 160 กรัมเท่านั้น แน่นอนว่ารองรับการชาร์จไฟไปยังอุปกรณ์อื่นๆ ด้วย นับว่าเป็นจุดเด่นที่เหนือกว่าโน้ตบุ๊คช่วงราคาเดียวกัน ซึ่งแน่นอนว่ารองรับการเชื่อมต่อไร้สายด้วย Wi-Fi 5 AC กับ Bluetooth 5.0

Acer Nitro 5 ราคา 29,900 – 39,900 บาท

การมาของ Acer Nitro 5 (2020) หรือ Acer Nitro 5 AN515 ที่เป็นโน้ตบุ๊คเล่นเกมราคาคุ้มค่ารุ่นล่าสุดของทาง Acer ทำให้ตลาด Gaming Notebook สนุกสนานแน่นอน จากการแข่งขันของโน้ตบุ๊คสเปกใหม่ๆ ซึ่งเหมาะกันคนที่ต้องการ Gaming Notebook ที่ได้สเปกใหม่ล่าสุด ชิปประมวลผล Intel Core i 10H อย่าง Core i5-10300H / i710750H จับคู่มากับการ์ดจอตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1650 Ti / GTX 166o Ti / RTX 2060 ได้แรมขนาด 16GB แบบ DDR4 Bus 2933MHz พร้อม SSD มาตรฐาน M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB มีระบบปฏิบัติการ Windows 10 แท้ใช้งานได้ทันที ให้ความแรงลื่นในการทำงานและเล่นเกม  ที่น่าประทับใจกว่า Acer Nitro 5 รุ่นก่อนๆ ที่เคยมีมาแน่นอน

นอกจากนี้ยังมีไฟคีย์บอร์ด RGB แบบ 4 โซน คล้ายกับที่เคยมีมาในรุ่นพี่อย่าง Predator Series ปรับแต่งได้อิสระประมาณนึง และได้การตอบสนองของปุ่มแบบทันทีด้วยระยะการกด 1.6 มม. เสริมอารมณ์ในการเป็น Gaming Notebook ไปอีกระดับ ลำโพงของตัวเครื่องใช้เป็นแบบสเตอริโอ โดยมีระบบเสียง DTS:X Ultra ให้เสียงจะชัดเจนและสามารถจำลองระบบเสียงรอบทิศทาง 3 มิติได้ รวมไปถึงมีเทคโนโลยี Acer CoolBoost และช่องระบายความร้อนแบบจัดเต็ม 4 ช่องทาง แบ่งเป็นทางด้านหลัง 2 ช่อง และซ้ายขวาอย่างละ 1 ช่อง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและระบายความร้อนด้วยพัดลมคู่ ซึ่งดีเยี่ยมกว่ารุ่นก่อนหน้าเช่นกัน

มาพร้อมหน้าจอขนาด 15.6″ แบบ Screen-to-Body เป็น 80% ด้วยขอบจอบางเพียง 7.02 มิลลิเมตร บนความละเอียด Full HD (1920×1080 พิกเซล) พาเนล IPS ให้มุมมองที่คมชัด สีสันสวยสดงดงามสมจริง sRGB ที่ 93% และ Adobe RGB ที่ 70% พร้อม Refresh Rate ที่ 144Hz แบบ 3ms ให้การแสดงผลได้ลื่นไหลกโดยพื้นผิวจอเป็นแบบจอด้าน Anti-Glare ช่วยลดแสงสะท้อนเวลาเรานำโน้ตบุ๊คไปทำงานข้างนอก เหมาะกับการใช้งานทั่วไปหรือการเล่นเกม ดูหนังก็ทำได้ย่อมทำได้อย่างน่าประทับใจ มีพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครันอีกรุ่นเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น 3 x USB 3.2 Type-A (1 พอร์ตเป็นแบบชาร์จเจอร์ด้วย), 1 x USB 3.2 Type-C, 1, HDMI 2.0, RJ45 (Gigabit Ethernet) พร้อมด้วยความสามารถ Killer Ethernet E2600 เพื่อการเล่นเกมออนไลน์ที่ลื่นไหล และ Mic-in/Headphone-out แบบ Combo

เรียกได้ว่าพอเพียงกับการใช้งานทั่วไปอย่างแน่นอน ทั้งในการโอนถ่ายไฟล์หรือเชื่อมต่ออุปกรณ์เทียบกับรุ่นก่อนก็ถือว่าดีกว่าหลายด้าน การเชื่อมต่อไร้สายอย่างรองรับทั้ง Bluetooth 5.0 และอินเตอร์เน็ตไร้สายอย่าง Wi-Fi 6 AX ที่มีเทคโนโลยี 2×2 MU-MIMO เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่อพ่วงทั้งหมดด้วยพอร์ตที่ครบครัน โดยมีซอฟต์แวร์ Killer Control Center 2.0 คอยควบคุมด้วย ลำโพงของตัวเครื่องใช้เป็นแบบสเตอริโอ โดยมีระบบเสียง DTS:X Ultra ให้เสียงจะชัดเจนและสามารถส่งเสียงได้ในระบบเสียงรอบทิศทาง 3 มิติ มีน้ำหนัก โดยจะอยู่ทางด้านล่างมุมซ้ายและขวาของเครื่องอย่างละตัว ซึ่งคุณภาพเสียงการใช้งานต่างๆ เมื่อใช้งานร่วมกับฟีเจอร์ Waves MaxxAudio เพิ่มประสิทธิภาพเสียงเบส เสียงสนทนา และระดับเสียงได้อย่างยอดเยี่ยม ก็สามารถทำออกมาได้ดี

Lenovo Yoga Slim 7 14 ราคา 31,900 – 39,900 บาท

ดีไซน์การออกแบบโดยรวมของ Lenovo Yoga Slim 7 14 นั้นจะดูเล็กกว่าโน้ตบุ๊คหน้าจอ 14″ แบบสมัยก่อนอยู่พอสมควร เนื่องด้วยขอบจอที่บางกว่าปกติ ทำให้ตัวเครื่องดูเล็ก กะทัดรัด เหมาะกับการพกพา แต่ทั้งนี้ถึงแม้ว่าตัวเครื่องจะเล็กพอๆ กับโน้ตบุ๊คจอ 13.3″ ส่งผลให้ Lenovo Yoga Slim 7 14 เป็นอีกหนึ่ง Ultrabook ปี 2020 ที่ดูเล็กกระทัดที่สุด โดยมีน้ำหนักอยู่ที่ 1.4 ด้วยดีไซน์ออกมาได้ขอบหน้าจอบาง ส่วนของตัวเครื่องทั้งหมดจะใช้เป็นอะลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบ ทำให้ได้ข้อดีมาก็คือทั้งความแข็งแรงและน้ำหนักที่เบา ส่งผลให้ภาพลักษณ์โดยรวมของตัวเครื่องดูหรูหราให้อารมณ์พรีเมียมสุดๆ

ตัวเครื่องมีการออกแบบโดยรวมให้ดูทันสมัยและเรียบง่าย โลโก้ Lenovo จะมีอยู่ 2 จุดเท่านั้น คือ มุมบนฝาหลังด้านซ้าย และมุมใต้หน้าจอด้านซ้ายเท่านั้น ที่มุมตัวเครื่องจะทำให้เป็นแบบโค้งมน แต่ว่าไม่ได้มนมากจนเกินไป ตามมาด้วยการใส่รายละเอียดในการทำให้ตัวเครื่องมีลักษณะงานประกอบทั้งหมดแทบจะเป็นชิ้นเดียวกัน แบบ Unibody ส่งให้เวลาที่เราจับถือหรือใช้งานจะรู้สึกว่าแน่นหนา ซึ่งจากการใช้งานจริงพื้นผิวบางนี้เป็บรอยนิ้วมือค่อนข้างยาก ฉะนั้นหายห่วงเรื่องความสะอาดได้เลย หรือถ้าจะเช็ดก็ง่ายดาย โดดเด่นด้วยสีสันใหม่ไม่ซ้ำใครอย่าง Slate Grey

สเปกของ Lenovo Yoga Slim 7 14 ใช้ชิปประมวลผลเป็น Intel Core i7-1065G7 หรือ Core i5-1035G1 สถาปัตยกรรม Ice Lake ที่เทคโนโลยีการผลิตที่ 10 นาโนเมตร มีค่า TDP ที่ 25Watt ส่วนการ์ดจอติดตั้งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง NVIDIA GeForce MX350(2GB GDDR5) ด้านแรมก็ติดตั้งมาให้ขนาด 16GB LPDDR4X Bus 3200MHz และที่เก็บข้มูลแบบ SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB – 1TB ที่ทั้งมีพื้นที่เยอะและลื่นไหล เพียงพอกับการใช้งาน มาพร้อม Windows 10 และซอฟต์แวร์จากทาง Lenovo Vantage ที่ช่วยในการจัดการปรับแต่ง

อีกส่วนที่น่าสนใจก็คือหน้าจอ โดย Lenovo YOGA C940 ใช้หน้าจอขนาด 14″ ความละเอียดระดับ Full HD อัตราส่วน 16:9 ขอบจอบางเฉียบ พาเนลจอแบบ IPS เกรดสูง ที่ให้มุมมองกว้างถึง 178 องศา  พอร์ตเชื่อมต่อมี Thunderbolt 3 เป็นมาตรฐาน พร้อม Wi-Fi 6 AX (2 x 2) นอกจากนี้ยังมี 3D IR Camera สำหรับใช้งานร่วมกับฟังก์ชัน Windows Hello ของ Windows 10 เพื่อล็อกอินโดยใช้การสแกนใบหน้า สำหรับประกันเป็น 2 ปี ตามมาตรฐาน Lenovo ที่ทุกคนมั่นใจ ปิดท้ายเรื่องความคุ้มค่าพร้อมใช้งานทันทีด้วยโปรแกรม Office Home & Student 2019 (มูลค่า 4,299 บาท) ด้วย

Acer Swift 5 ราคา 36,900 บาท

Acer Swift 5 รุ่นใหม่ปี 2020 สเปกใช้ชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 อย่าง Core i7-1065G7 ใช้การ์ดจอออนชิปอย่าง Iris Graphics G7 หรือมีรุ่นการ์ดจอแยกเป็น NVIDIA GeForce MX350 มาพร้อมหน้าจอ 14″ Full HD พาเนล IPS เกรดสูง sRGB 97% โดยมีน้ำหนักเพียง 990 กรัมเท่านั้น ส่วนสเปกอื่นๆ ก็ครบครันทั้งแรมขนาด 16GB LPDDR4X แบบออนบอร์ด และที่เก็บข้อมูลเป็น SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB รองรับการทำงานที่เต็มที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นงานเอกสาร ความบันเทิง หรืองานประมวลผลหนักๆ ก็พอได้เลย เหมาะกับคนทำงาน นักเรียน นักศึกษา ที่ต้องการโน้ตบุ๊คที่เบาที่สุด แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน 10 ชั่วโมง

ได้ระบบปฏิบัติการ Windows 10 ลิขสิทธิ์ทันที ทำงานพื้นฐานได้แบบสบายๆ สนับสนุนการทำงานร่วมกับโปรแกรมต่างๆ ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ  ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ ส่วนความบันเทิงดูหนังฟังเพลง ชม Netflix ก็สบายๆ ไปอีก และพอที่จะใช้งานหนักๆ อย่างตัดต่อวีดีโอก็พอได้บ้าง รวมไปถึงเล่นเกม 3 มิติก็ลื่นไหล จากการที่มีการ์ดจอแยก NVIDIA GeForce MX350 (2GB GDDR5) ที่แรงพอๆ กับ GTX 960M เลยทีเดียว

ส่วนเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อนั้นก็ยังมีพอร์ตมาตรฐานซึ่งมาให้ค่อนข้างครบ เช่น Thunderbolt 3 (เป็น USB 3.1 Type-C + DisplayPort + Power Delivery), USB 3.1 Type-A, USB 2.0 Type-A, HDMI สำหรับเชื่อมต่อจอภายนอก ที่สำคัญยังมาพร้อม Dual-Band Intel Wi-Fi 6 (GIG+) 802.11ax ที่แรงขึ้น 3 เท่า และการเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth 5.0 ใหม่ล่าสุด ได้ประกันจะเป็นแบบ 3 ปี โดยปีแรกเป็นแบบ On-site Serive ซ่อมฟรีถึงบ้าน และกรณีส่งซ่อมตามศูนย์ก็จะซ่อมอย่างรวดเร็วภายใน 3 ชั่วโมงอีกด้วย ที่สำคัญได้โปรแกรม Office Home & Student 2019 (มูลค่า 4,299 บาท) มาใช้งานทันที นับว่าคุ้มค่าจริงๆ ที่เหนือกว่าหลายๆ แบรนด์

เรียกได้ว่าถือว่าเป็นโน้ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 14″ ที่เบาที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาดก็ว่าได้ ส่วนความบางอาจจะไม่มาก โดยอยู่ที่ 14.95 มิลลิเมตร แต่ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่ามาตรฐานโน้ตบุ๊คพกพามาตรฐานระดับสูงอยู่ดี อีกทั้งในรุ่นใหม่นี้ได้ดีไซน์พิเศษโดยมียางรองขอบเครื่องด้านหลังช่วยยกตัวเครื่องให้เอียงสูงขึ้นเมือเรากางหน้าจอ ส่งผลให้พิมพ์ง่ายขึ้นและมุมมองดีขึ้นด้วย วัสดุจากอลูมิเมียนผสมแม็กนีเซียมอัลลอยด์ให้น้ำหนักเบาเป็นพิเศษแต่ก็ยังแข็งแรงและทนทาน กับสีสัน Charcoal Blue พร้อมแซมด้วยสีทองตามจุดต่างๆ เหมาะทั้งหนุ่มๆ หรือสาวๆ ยุคใหม่ที่ดูทันสมัยสวยงามลงตัว ส่วนสี Moonstone White นับว่าเป็นอีกสีที่ดูหรูหราไม่แพ้กัน เน้นขาวๆ สะอาดๆ

MSI GP65 Leopard ราคา 51,900 บาท

MSI GP65 Leopard เป็น Gaming Notebook ประจำปี 2020 ระดับกลางค่อนสูงที่จัดเต็มไม่แพ้รุ่นท็อปที่มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i7-10750H การ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 2070 (8GB GDDR6) ได้แรมมาขนาด 16GB DDR4 โดยได้แหล่งเก็บข้อมูล SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB (อัปเกรด HDD 2.5″ ได้อีก) หน้าจอ 15.6″ Full HD พาเนล IPS พร้อมรีเฟรชเรตสูงถึง 144Hz มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 10 และซอฟต์แวร์ Dragon Center เวอร์ชันใหม่ สนนราคาที่ 51,900 บาท ได้ประกัน 2 ปีตามมาตรฐาน MSI

ตัวเครื่องยังมีลำโพง 2 ชาแนลแบบ Giant Speaker บนซอฟแวร์เสียง Nahimic 3 ทำให้การขับเสียงเวลาเล่นเกม หรือดูหนังฟังเพลงทำได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย ทางด้านพอร์ทเชื่อมต่อเองมีมาให้อย่างครบถ้วนไม่ว่าจะเป็น USB 3.2 Type-A จำนวน 3 ช่อง, USB 3.2 Type-C หนึ่งช่อง, HDMI, mini-DisplayPort, SD(XC/HC) card reader, ช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5, ช่องเสียบไมค์ขนาด 3.5 และช่องสาย Lan RJ45 การเชื่อมต่อไร้สายอย่างก็รองรับตัวที่เป็น Bluetooth 5.1 และ Wi-Fi 6 AX น้ำหนักตัวอยู่ที่ 2.3 กิโลกรัม

นอกจากนี้ MSI GP65 Leopard ยังมีฟีเจอร์มากมาย อาทิ ระบบระบายความร้อน Cooler Boost 5 ด้วยช่องระบายคสามร้อน 3 ช่อง ด้านหลังสอง และด้านซ้ายอีกหนึ่ง โดยใช้พัดลม 2 ตัว ฮีทไปป์ 7 เส้นดีกว่าเดิม ที่ช่วยนำพาความร้อนออกไปอย่างรวดเร็ว ดีไซน์ด้านในตัวเครื่องเป็นอลูมิเนียมสีดำเรียบเนียนไม่ต่างจากภายนอกให้สัมผัสที่ดี พร้อมคีย์บอร์ด Full Size ไฟ RGB Pre-Keyคีย์บอร์ด SteelSeries พร้อมไฟ Per-key RGB แบบปรับแต่งแยกได้รายปุ่ม พอร์ตการเชื่อมต่อเป็น USB-C 3.2 Gen 2 โดยมีน้ำหนักตัวเครื่องอยู่ที่ 2.3 กิโลกรัมเท่านั้น ประกอบกับการใช้หน้าจอที่ขอบบาง ทำให้ตัวเครื่องเล็กกระทัดรัด สะดวกต่อการพกพามากยิ่งขึ้น พกไปเล่นเกมนอกสถานที่ได้สบาย

สำหรับ MSI GP65 Leopard รุ่นใหม่ล่าสุด เป็น Gaming Notebook หน้าจอขนาด 15.6″ จัดว่าเป็นซีรีส์รองมาจากตระกูล GE / GT โดยรุ่นล่าสุดนี้เน้นความคุ้มค่า โดยมาพร้อมกับการดีไซน์ที่เน้นเรื่องจอใหญ่บางเบาพร้อมกับพกพาได้สะดวกเป็นหลัก สีสันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์สีโทนดำแดงเริ่มจากวัสดุบอดี้ตัวเครื่องฝาหลังจะเป็นอลูมิเนียมสีดำด้าน สัมผัสผิวเรียบหรูสวยงาม ผสานกับโลโก้มังกร MSI มีไฟสว่างสีขาวเมื่อเปิดเครื่อง ดูโดยรวมแล้วเรียบง่ายกว่าดุดันสไตล์เกมมิ่งโน้ตบุ๊คระดับ Hi-End แต่ได้สเปกระดับสูงเทียบเคียงรุ่นพี่ที่ราคาแพงกว่าได้คุ้มค่าทีเดียว

from:https://notebookspec.com/introducing-notebook-2020-core-i-gen-10-specs-and-16gb-ram-no-need-to-upgrade/524177/

แนะนำ Notebook 2020 ทำงานบางเบา 5 รุ่น ได้พอร์ต Thunderbolt 3 แรงลื่นล้ำที่ดีที่สุด ราคาเริ่ม 13,900 บาท

Notebook ปี 2020 เกือบทั้งหมด 100% จะมาพร้อมกับพอร์ตอย่าง USB Type-C กันแล้ว ซึ่งถึงแม้จะใช้เป็นฟอร์มนี้ แต่มาตรฐานการรองรับก็จะแตกต่างกันออกไป โดยมีทั้ง USB 2.0/ 3.0/ 3.1 / 3.2 ซึ่งสังเกตว่ารูปข้างพอร์ตจะเป็นสัญลักษณ์ปกติเหมือนกับที่เราเห็นใน USB Type-A ที่ถ้าจะให้ชัวร์เราต้องดูจากหน้าสเปกของ Notebook รุ่นนั้นๆ อีกที อีกทั้งยังมี USB Type-C มาตรฐาน 3.1 / 3.2 ที่มีสามารถเอามาต่อจอแยกผ่านสาย Type-C ได้ รวมถึงชาร์จไฟโน้ตบุ๊คได้ ด้วยฟีเจอร์ PD (Power Delivery) โดยใช้สายเพียงเดียว (โดยปกติส่วนใหญ่จะมีสัญลักษณ์เหมือนรูปด้านขวามากกว่า ตัว D ย่อมาจาก Display Port)

แต่ที่ล้ำหน้ายิ่งกว่าก็คือพอร์ต Thunderbolt 3 ที่มีฟอร์มหรือหน้าตาภายนอกเหมือนกับ USB Type-C เลย แต่เป็นพอร์ตเทพที่สามารถทำได้ทุกอย่างจากที่กล่าวมาบนก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นเพราะตัวเครื่องภายในจะมีคอนโทรลเลอร์พิเศษไว้ควบคุมเฉพาะตัว ซึ่งสามารถจ่ายไฟชาร์จได้สูงสุดถึง 100W รับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุดถึงระดับ 40GB/s แน่นอนว่าต่อจอแยก 4K ก็ยังได้ และยังสามารถต่อ eGPU หรือกล่องการ์ดจอแยกได้อีกด้วย ปกติแล้วพอร์ตนี้จะอยู่ในเฉพาะ Notebook ระดับสูงเท่านั้น สัญลักษณ์จะใช้เป็นรูปสายฟ้าชัดเจน

ซึ่งในบทความนี้เราก็จะมาแนะนำ Notebook ปี 2020 เน้นเพื่อการทำงาน ดีไซน์บางเบาจำนวน 5 รุ่น 5 แบรนด์ ที่ได้ติดตั้งพอร์ต Thunderbolt 3 แรงลื่นล้ำที่ดีที่สุด ซึ่งมาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10U รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ได้ประสิทธิภาพการทำงานที่ดีกว่าเดิมในทุกๆ ด้าน รวมไปถึงแบตเตอรี่และความร้อนที่เกิดน้อยลงด้วย ในส่วนของสเปกอื่นๆ ก็สมกับเป็น Notebook ระดับสูง เพราะมาพร้อมหน่วยความจำแรม 16GB และได้ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB ได้ความเร็วสูงสุด การเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi 6 AX เป็นมาตรฐาน ส่วนหน้าจอได้ความละเอียดเริ่มต้นเป็น Full HD / Quad HD / Ultra HD ในราคาเริ่มเพียง 13,900 บาทเท่านั้น จะมีรุ่นอะไรบ้างไปชมกันต่อเลย

Acer Swift 3 ราคา 13,900 – 28,900 บาท

Acer Swift 3 เป็นโน้ตบุ๊คบางเบาที่จัดเต็มเรื่องความคุ้มค่า การพกพา งานประกอบ และสิทธิภาพที่ดีเยี่ยม โดยรุ่นใหม่ได้เปิดตัวมาตั้งแต่ช่วงปลายปีในปี 2019 นี้ จนถึงตอนนี้ปี 2020 ก็ยังนับว่าเป็นโน้ตบุ๊คประเภท Ultrabook ที่คุ้มค่าที่น่าจับตามองที่สุด ในราคาเริ่มต้น 13,900 บาท กับสเปกที่เพิ่งออกมาให้เป็นสเปก i3-1005G1 / i5-1035G1 /  i7-1065G7 + MX 250 / MX350 ได้ฟีเจอร์ครบครันครบเครื่อง พร้อมมีพอร์ต Thunderbolt 3 ที่รองรับการใช้งานที่ดีที่สุด นอกจากนี้ยังได้การเชื่อมต่อไร้สายเป็น Wi-Fi 6 AX ที่ใหม่ที่สุดด้วย พร้อมได้โปรแกรม Office Home & Student 2019 (มูลค่า 4,299 บาท) ไปใช้งานติดเครื่องแบบฟรีๆ ไม่ต้องซื้อเองไปใช้งานด้วย

 

Acer Swift 3 จะเลือกใช้ชิปประมวลผล Intel  Core i Gen 10 สถาปัตยกรรม Ice Lake เทคโนโลยีการผลิตที่ 10 นาโนเมตร  ที่แรงกว่าเดิม จัดเต็มเรื่องความคุ้มค่า การพกพา ซึ่งมีน้ำหนักเพียง 1.19 กก. และบางเพียง 15.95มม. เท่านั้น เหมาะกับนักเรียน นักศึกษา คนทำงาน ที่ต้องการโน้ตบุ๊คคุ้มค่า หรูหรา บางเบา จบครบในเครื่องเดียว ได้ประกันระยะ 3 ปี โดยปีแรกจะเป็นแบบ On-site Service พร้อมบริการซ่อมเครื่องด่วนภายใน 3 ชั่วโมง ทั้งหมดนี้เลยทำให้ Acer Swift 3 เป็นโน้ตบุ๊คในตลาดปี 2020 ที่น่าซื้อจริงๆ โดยมีสีสันให้เลือกถึง 3 สีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Steel Gray / Glacier Blue / Millennial Pink

สเปก ดีไซน์การออกแบบ พร้อมฟีเจอร์ต่างๆ นั้น เป็นการต่อยอดจากรุ่นเดิมที่ดูลงตัว เพราะดูแล้ว Acer ทำการบ้านมาเป็นอย่างดีกับโน้ตบุ๊คบางเบาราคาคุ้มค่า ที่ราคาไม่แพง แต่ได้สเปกแรงขึ้นด้วยการ์ดจอแยก MX350 เหมาะมากๆ สำหรับคนทำงานจริงจังพนักงานออฟฟิศ หรือนักเรียนนักศึกษา ที่เน้นใช้งานทั่วไปให้ประสิทธิภาพพอตัว รวมไปถึงเล่นเกม 3 มิติบ้าง แต่พกพาไปที่นู้นที่นั่นบ่อยๆ ซึ่งรองรับการทำงานได้ยาวนานกว่าโน้ตบุ๊คปกติ ทำให้เราสามารถพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ได้อย่างคล่องตัวเหมือนอย่างที่ Ultrabook ราคาแพงหลายหมื่นบาทสมัยก่อนทำได้เลยล่ะ

พอร์ตเชื่อมต่อนั้นก็ยังมีพอร์ตมาตรฐานซึ่งมาให้ค่อนข้างครบ อย่าง Thunderbolt 3 (เป็น USB 3.1 Type-C + DisplayPort + Power Delivery), USB 3.1 Type-A, USB 2.0 Type-A, HDMI สำหรับเชื่อมต่อจอภายนอก ที่สำคัญยังมาพร้อม Dual-Band Intel Wi-Fi 6 (GIG+) 802.11ax ที่แรงขึ้น 3 เท่า และการเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth 5.0 ใหม่ล่าสุด แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน พร้อมยังสามารถชาร์จได้รวดเร็วด้วยการชาร์จเพียง 30 นาที ก็สามารถใช้งานได้ถึง 4 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์สแกนลายนิ้วมือแบบใหม่ที่เพียงแตะเท่านั้น คล้ายๆ ใช้งานพวกสมาร์ทโฟน ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่ใช้งานได้ง่ายและสะดวกมากๆ

Lenovo Yoga Slim 7 14  ราคา 31,990 – 39,990 บาท

ดีไซน์การออกแบบโดยรวมของ Lenovo Yoga Slim 7 14 นั้นจะดูเล็กกว่าโน้ตบุ๊คหน้าจอ 14″ แบบสมัยก่อนอยู่พอสมควร เนื่องด้วยขอบจอที่บางกว่าปกติ ทำให้ตัวเครื่องดูเล็ก กะทัดรัด เหมาะกับการพกพา แต่ทั้งนี้ถึงแม้ว่าตัวเครื่องจะเล็กพอๆ กับโน้ตบุ๊คจอ 13.3″ ส่งผลให้ Lenovo Yoga Slim 7 14 เป็นอีกหนึ่ง Ultrabook ปี 2020 ที่ดูเล็กกระทัดที่สุด โดยมีน้ำหนักอยู่ที่ 1.4 ด้วยดีไซน์ออกมาได้ขอบหน้าจอบาง ส่วนของตัวเครื่องทั้งหมดจะใช้เป็นอะลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบ ทำให้ได้ข้อดีมาก็คือทั้งความแข็งแรงและน้ำหนักที่เบา ส่งผลให้ภาพลักษณ์โดยรวมของตัวเครื่องดูหรูหราให้อารมณ์พรีเมียมสุดๆ

ตัวเครื่องมีการออกแบบโดยรวมให้ดูทันสมัยและเรียบง่าย โลโก้ Lenovo จะมีอยู่ 2 จุดเท่านั้น คือ มุมบนฝาหลังด้านซ้าย และมุมใต้หน้าจอด้านซ้ายเท่านั้น ที่มุมตัวเครื่องจะทำให้เป็นแบบโค้งมน แต่ว่าไม่ได้มนมากจนเกินไป ตามมาด้วยการใส่รายละเอียดในการทำให้ตัวเครื่องมีลักษณะงานประกอบทั้งหมดแทบจะเป็นชิ้นเดียวกัน แบบ Unibody ส่งให้เวลาที่เราจับถือหรือใช้งานจะรู้สึกว่าแน่นหนา ซึ่งจากการใช้งานจริงพื้นผิวบางนี้เป็บรอยนิ้วมือค่อนข้างยาก ฉะนั้นหายห่วงเรื่องความสะอาดได้เลย หรือถ้าจะเช็ดก็ง่ายดาย โดดเด่นด้วยสีสันใหม่ไม่ซ้ำใครอย่าง Slate Grey

สเปกของ Lenovo Yoga Slim 7 14 ใช้ชิปประมวลผลเป็น Intel Core i7-1065G7 หรือ Core i5-1035G1 สถาปัตยกรรม Ice Lake ที่เทคโนโลยีการผลิตที่ 10 นาโนเมตร มีค่า TDP ที่ 25Watt ส่วนการ์ดจอติดตั้งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง NVIDIA GeForce MX350(2GB GDDR5) ด้านแรมก็ติดตั้งมาให้ขนาด 16GB LPDDR4X Bus 3200MHz และที่เก็บข้มูลแบบ SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB – 1TB ที่ทั้งมีพื้นที่เยอะและลื่นไหล เพียงพอกับการใช้งาน มาพร้อม Windows 10 และซอฟต์แวร์จากทาง Lenovo Vantage ที่ช่วยในการจัดการปรับแต่ง

อีกส่วนที่น่าสนใจก็คือหน้าจอ โดย Lenovo YOGA C940 ใช้หน้าจอขนาด 14″ ความละเอียดระดับ Full HD อัตราส่วน 16:9 ขอบจอบางเฉียบ พาเนลจอแบบ IPS เกรดสูง ที่ให้มุมมองกว้างถึง 178 องศา  พอร์ตเชื่อมต่อมี Thunderbolt 3 เป็นมาตรฐาน พร้อม Wi-Fi 6 AX (2 x 2) นอกจากนี้ยังมี 3D IR Camera สำหรับใช้งานร่วมกับฟังก์ชัน Windows Hello ของ Windows 10 เพื่อล็อกอินโดยใช้การสแกนใบหน้า สำหรับประกันเป็น 2 ปี ตามมาตรฐาน Lenovo ที่ทุกคนมั่นใจ ปิดท้ายเรื่องความคุ้มค่าพร้อมใช้งานทันทีด้วยโปรแกรม Office Home & Student 2019 (มูลค่า 4,299 บาท) ด้วย

MSI Prestige 14 ราคา 35,900 – 43,900 บาท

MSI Prestige 14 แบ่งออกเป็น 3 รุ่น 3 สี 3 สเปก โดยมีสี Pure White / Rose Pink Limited Edition / Grey เป็นโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่หน้าจอ 14″ ตัวแรงลื่น สีชมพูโดดเด่นเหมาะกับสาวๆ อย่างที่สุด โดยมาพร้อมกับประสิทธิภาพจากชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10U รุ่นล่าสุดอย่าง Core i7-10510U / Core i7-10710U ผสานการทำงานร่วมกับการ์ดจอ NVIDIA GeForce MX250 / MX330 / GTX 1650 Max-Q และฟีเจอร์พอร์ต Thunderbolt 3 / USB PD ที่สำคัญคือตัวเครื่องมีความพรีเมียมและบางเบาอย่างที่สุด มีน้ำหนักเพียง 1.29 กิโลกรัมเท่านั้น ในส่วนของสเปกแรมได้มาขนาด 16GB DDR4 Bus 2666MHz และ SSD M.2 NVMe ที่ความจุ 512GB จัดเต็ม ส่งให้มีประสิทธิภาพในการทำงานที่ทรงพลังอย่างที่สุด สนับสนุนทั้งทำงานได้เต็มที่

สำหรับ MSI Prestige 14 ถือว่าเป็นโน้ตบุ๊คประสิทธิภาพสูงแต่บางเบาขนาดหน้าจอ 14″ รุ่นล่าสุดอีกรุ่นหนึ่งที่ครบเครื่อง ดีไซน์ที่เน้นความบางเบา พกพาได้สะดวก โดยยังรักษาความเป็นโน้ตบุ๊คสายทำงานมืออาชีพได้อย่างสมบูรณ์แบบ การออกแบบให้ความรู้สึกที่ดุดันพรีเมียมด้วยวัสดุอลูมิเนียม ตลอดทั้งตัวเครื่อง พร้อมตัดขอบเพชรเพิ่มความหรูหรา พร้อมความทนทานระดับ Military Standard ด้วยการผ่านการทดสอบคุณภาพอย่างเข้มงวด ทั้งทนร้อนทนเย็น ความดันอากาษ ความชื้นและฝุ่นต่างๆ ในระดับหนึ่ง ซึ่งดูแล้วเป็นการเปลี่ยนจากรูปแบบเดิมๆ ที่โน้ตบุ๊คสายทำงานมืออาชีพต้องดูดำๆ ดีไซน์โบราณ ให้กลายเป็นโน้ตบุ๊คที่ดูน้อยแต่เรียบหรูและน่ารักนั่นเอง

สเปกหน้าจอขนาด 14″ ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล Full HD ซึ่งให้ประสบการณ์การใช้งานที่ประทับใจอย่างสุดๆ ขอบจอเป็นสีชมพูบางเฉียบโดยมีพื้นที่แสดงผลกว่า 90% จอเป็นแบบด้านที่ให้เรื่องสีสันสดใส รองรับใช้การดูภาพ ดูวิดีโอ และเล่นเกมก็ทำได้อย่างเป็นอย่างดี ส่วนบานพับก็แข็งแรงกว่ารุ่นก่อนๆ พร้อมกางได้ 180 องศา ทำให้นำเสนองานได้อย่างเต็มที่และง่ายขึ้นกว่าเดิม ที่สำคัญยังเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายก็ครบครันด้วย Wi-Fi 6 AX (2 x 2) และ Bluetooth 5.0 ส่วนพอร์ตการเชื่อมต่อก็มีทุกรูปแบบรวมไปถึงได้ Thunderbolt 3 จำนวน 2 พอร์ต เป็นมาตรฐานอีกด้วย

MSI Prestige 14 พร้อมระบบปฎิบัติการ Windows 10 และซอฟต์แวร์ Creator Center ช่วยปรับแต่งการทำงานที่ใช้งานได้ทันทีตั้งแต่เปิดเครื่องครั้งแรก นอกจากนี้ยังมี Fingerprint สำหรับใช้งานร่วมกับฟังก์ชัน Windows Hello ของ Windows 10 เพื่อล็อกอินโดยใช้การสแกนนิ้ว ส่วนการรับประกัน 2 ปี ตามมาตรฐานของ MSI (ปีแรกประกันทั่วโลก)

พิเศษสำหรับรุ่นสี Rose Pink Limited Edition รับไปทันที Pink Gift Set – Limited Edition ที่ข้างในนั้นบรรจุไปด้วยซองหนังสีชมพูลายเรียบหรู ดูดี, พวงกุญแจ Dragon Lucky สีชมพู, และ Prestige Wireless Mouse Limited Edition มูลค่านั้นรวมทั้งสิ้น 3,000 บาท  ทั้งหมดนี้ในราคาเพียง 38,900 บาทเท่านั้น ส่วนรุ่น Core i7-10510U + MX250 (Pure White) จะมีราคา 35,900 บาท และรุ่นท็อปสุด Core i7-10710U + GTX 1650 Max-Q (Grey) มีราคา 43,900 บาท

HP Spectre x360 ราคา 42,900 – 55,900 บาท

HP Spectre x360 ปี 2020 ดีไซน์การออกแบบ HP Spectre x360 ปี 2020 ถือว่าเป็น 2-in-1 Notebook ตัวท็อปสุดในตลาดอีกหนึ่งรุ่น เพราะด้วยความบางตัวเครื่องระดับ 14.7 มิลลิเมตร กับน้ำหนักแค่ 1.3 กิโลกรัมเท่านั้น โดยตามภาพประกอบมาพร้อมสี Poseidon Blue หรือ Dark Ash Silverตัดกับสี Copper Luxe  ชิปประมวลผลสถาปัตยกรรม Ice Lake เทคโนโลยีที่ 10 นาโนเมตร ที่เล็กและร้อนน้อยกว่าเดิม เพิ่มเติมด้วย AI มาช่วยการประมวลผลให้ดียิ่งขึ้นเริ่มต้นเป็นสเปก Core i5-1035G1 ราคา 42,900 บาท และ Core i7-1065G7 ราคา 55,900 บาท ได้หน้าจอแสดงผลขนาด 13.3″ ความละเอียด Ultra HD 4K พาเนล OLED ความคมชัดสูง หรือ IPS ความละเอียด Full HD

ได้หน่วยความจำแรม 16GB LPDDR4 Bus 3200 MHz  และ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB ที่ทำงานร่วมกับ Intel Optane Memory ความจุ 32GB ให้ความเร็วลื่นแรงที่มากกว่า หน้าจอเป็นพาเนล IPS ระดับสูง ขนาด 13.3″ ความละเอียด Ultra HD 4K พร้อมได้มุมมองที่กว้างและสีสันสดใส รองรับการทัชสกรีนเต็มรูปแบบ โดยเป็นกระจก Corning Gorilla ให้ความทนทานอย่างที่สุดตัวเครื่องติดตั้งกล้อง Webcam ความคมชัดระดับ HD และไมโครโฟนแบบ Dual Microphone ไว้สำหรับแชท และวิดีโอคอลได้อย่างคมชัดลื่นไหล พร้อมสแกนลายนิ้วมือ Fingerprint ไว้ใช้งานร่วมกับ Windows Hello เพื่อเข้าใช้งาน

ที่สำคัญยังมีพอร์ตเชื่อมต่ออย่าง Thunderbolt 3 ที่ออกแบบมาพิเศษ เข้ากับตัวเครื่องสุดบางมาให้ด้วย แน่นอนว่ารองรับการเชื่อมไร้สายอย่าง Intel Wi-Fi 6 AX 201 (2×2) และ Bluetooth 5 Combo ตัวเครื่องติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 10 และซอฟต์แวร์เอกสิทธิ์ของ HP ที่สำคัญบันเดิลยังให้ปากกาสไตลัส HP Active Pen รุ่นล่าสุด รวมไปซอฟต์เคสหนังสุดหรูบันเดิล พร้อมด้วยอแดปเตอร์ตัวแปลงเป็น HDMI, USB Type-A, USB Type-C รวมไปพอร์ตชาร์จไฟก็โดนจับไปรวมกับ Thunderbolt 3 ด้วย

ด้านดีไซน์การออกแบบ HP Spectre x360 ปี 2020 ถือว่าเป็น 2-in-1 Notebook ตัวท็อปสุดในตลาดอีกหนึ่งรุ่น เพราะด้วยความบางตัวเครื่องระดับ 14.7 มิลลิเมตร กับน้ำหนักแค่ 1.3 กิโลกรัมเท่านั้น ที่ดูแพงและหรูหรากว่าโน้ตบุ๊คทั่วไปแบบเห็นได้ชัด ซึ่งทุกรายละเอียดพร้อมสร้างความแตกต่าง จากทั้งวัสดุอลูมิเนียมที่มอบภาพลักษณ์ความหรูหราเหนือระดับ พร้อมขอบตัวเครื่องแบบมันวาว ในเรื่องของการออกแบบให้มีความบางแต่ยังคงมีความแข็งแรงอยู่ ที่ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่ผู้ผลิตรายอื่นๆ นำไปทำตามได้ยาก รวมไปถึงบานพับโน้ตบุ๊คแบบสองข้อ ก็เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจจากรายละเอียดงานดีไซน์เฟอร์นิเจอร์ระดับไฮเอนด์ ที่พร้อมสะกดทุกสายตาด้วยบานพับดีไซน์เรียบหรูสะอาดตา ซึ่งบริเวณนั้นยังมีคำว่า Spectre ด้วย เพื่อเป็นการยืนยันถึงความพรีเมียม

  • Core i5-1035G1 / Graphics G1 / RAM 8GB / SSD 512GB / จอ 13.3″ IPS Full HD ราคา 42,900 บาท
  • Core i7-1065G7 / Iris Plus Graphics G7 / RAM 16GB / SSD 512GB / จอ 13.3″ OLED Ultra HD ราคา 42,900 บาท

Dell Inspiron 13 7391 2-in-1 ราคา 34,990 – 44,990 บาท

Dell Inspiron 13 7391 2-in-1 จัดว่าเป็นหนึ่งใน 2-in-1 Notebook รุ่นใหม่ล่าสุด ได้สเปกชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 หน้าจอ 13.3″ ขอบจอบางเฉียบ ความละเอียด Full HD / 4K Ultra HD รองรับการทัชสกรีนและปากกา พร้อมมีช่องเก็บตรงบานพับในตัว ที่ดูหรูหรา มาพร้อมกับขนาดตัวเครื่องที่บางเบาเล็กกระทัดรัด ที่ 1.4 กิโลกรัม ขอบจอก็บางเฉียบ แรมขนาด 8GB / 16GB DDR4 พร้อม SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB สำหรับความละเอียดหน้าจอก็เป็นพาเนล IPS ให้ภาพคมชัดสวยงามสมจริง พร้อมใช้งานด้วย Windows 10 และมีซอฟต์แวร์ต่างๆ มากมาย นอกจากนี้ในส่วนของกล้องด้านหน้ารองรับการใช้งาน VDO Call และ Fingerprint ที่ใช้งานร่วมกับ Windows Hello

มาพร้อมดีไซน์ที่เรียบๆ แต่แฝงความหรูหรา ที่สำคัญคือติดตั้งพอร์ต Thunderbolt 3 มาให้พร้อมใช้งานด้วย สนนราคา Dell Inspiron 13 7391 อยู่ที่ 44,990 บาท กับรุ่น Core i7-10510U ได้จอ 4K Ultra HD / 39,990 บาท จอ Full HD ส่วนถ้าเป็นรุ่น Core i5-10210U ได้จอ Full HD จะอยู่ที่ 34,990 บาท สำหรับคอมพิวเตอร์แบรนด์ Dell ได้รับความน่าเชื่อถือมาอย่างยาวนานและเป็นที่นิยมในการใช้งานกับองค์กรและภาคธุรกิจอย่างมากมาย ทั้งมาตรฐานการบริการ Dell Premium Support และ On-site Service “บริการซ่อมตรงถึงที่ ทุกที่ ในอีก 1 วันทำการ” ถึง 2 ปีด้วยกัน

เป็นโน้ตบุ๊คที่ใส่ใจในรายละเอียดก็คือ มีน้ำหนักตัวที่เบามากๆ แถมตัวเครื่องยังบางสุดๆ โดยสามารถถือได้ด้วยมือเดียวอย่างสบายๆ ด้วยน้ำหนักเพียง 1.4 กิโลกรัมเท่านั้น ส่วนความบางเครื่องก็เพียง 13.66 -15.90 มิลลิเมตร บอกได้เลยว่าจะหาโน้ตบุ๊คแบบนี้จากแบรนด์อื่นๆ ก็ยากซักหน่อย  ที่สำคัญอีกเรื่องก็คือบานพับก็เป็นอะลูมิเนียมที่แข็งแรงทนทานไม่ต่างจากตัวเครื่อง คอยทำหน้าที่หมุนหน้าจอได้ถึง 360 องศา ไว้ใช้ Multi Mode ทำให้ใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ที่สำคัญ 2-in-1 Notebook มีการดีไซน์ที่เก็บปากกาล้ำๆ โดยติดตั้งอยู่ที่บานพับ ซึ่งอาศัยแม่เหล็กในการเก็บอีกที (Pen Garage)

Dell Inspiron 13 7391 2-in-1 มีมาตรฐานพอร์ตต่างๆ ของกลุ่ม 2-in-1 Notebook มาครบครัน เช่น USB 3.1 Type-A จำนวน 1 พอร์ตที่มาพร้อมฟีเจอร์ Sleep Charge ไว้สำหรับการเชื่อมต่อกับแฟลชไดร์ฟหรือฮาร์ดดิสก์ภายนอกไว้ถ่ายโอนข้อมูล รวมไปถึงชาร์จสมาร์ทโฟน และ Thunderbolt 3 (USB-C) สุดล้ำ ถ่ายโอนไฟล์ได้ไว พร้อมต่อจอความละเอียดสูงได้ รวมไปถึงยังมีพอร์ตมาตรฐาน HDMI สำหรับเชื่อมต่อจอภายนอก และ micro SD Card Reader มาให้ด้วย แน่นอนว่ายังมีช่องเชื่อมต่อไมค์และหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร ซึ่งแบตเตอรี่นั้นก็ใช้งานได้ยาวนาน 10 ชั่วโมง

Apple MacBook Pro 13 ราคา 59,990 – 66,990 บาท

การมาของ MacBook Pro 13 (2020) รุ่นใหม่ล่าสุด ของ Apple นับว่ามีความน่าสนใจมากๆ จากการที่ได้มีการอัพเดทสเปกเป็นชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10U (Ice Lake รุ่นพิเศษ) พร้อมได้มาตรฐานแรมเป็น LPDDR4X ความเร็ว 3733MHz ที่สำคัญคือได้ Magic Keyboard ที่เปลี่ยนกลับไปเป็นรูปแบบเดิมอย่าง Scissor Switch ที่คาดว่าจะไม่มีปัญหาเหมือน Butterfly Keyboard แบบรุ่นก่อนหน้านั่นเอง แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานสูงสุด 10 ชั่วโมง ให้พอร์ต Thunderbolt มา 2 พอร์ต แน่อนว่ายังมี Touchbar แต่แยกปุ่ม esc ออกแล้ว สรุปโดยรวมดีกว่ารุ่นเดิมแน่นอน แม้ทาง Apple จะยังใช้การเชื่อมต่อไร้สายเป็นมาตรฐาน Wi-Fi 5 AC อยู่ก็ตาม สนนราคาเริ่มต้นที่ 59,990 บาทสำหรับ Core i Gen 10U

ดีไซน์โดยรวมของ MacBook Pro 13 (2020) ยังมีความใกล้เคียงกับ MacBook Pro 13 แบบก่อนๆ คือสัดส่วนจอเป็น 16:10 แต่ได้ขอบหน้าจอที่บาง พาเนล IPS ความละเอียดปกติ 2560 x 1600 (QHD) ที่ 227 พิกเซลต่อนิ้ว ความสว่าง 500 nit ขอบเขตสี P3 ตัวเครื่องมีน้ำหนักอยู่ที่ 1.4 กิโลกรัม ความบางอยู่ที่ 15.6 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าเป็นโน้ตบุ๊คที่บางเบาระดับนึง วัสดุทั้งหมดใช้เป็นอลูมิเนียมขึ้นรูปด้วยเครื่องจักร CNC แบบ Unibody ที่แข็งแรงทนทานและมีความพรีเมียมอย่างที่สุด ซึ่ง Apple บอกว่าใช้การออกแบบ Advanced Thermal Design แบบใหม่ ระบายความร้อนได้ดีขึ้น ทำงานได้หนักหน่วงขึ้น โดยสีสันยังมีให้เลือกคือ 2 สีคือ เงินและเทาสเปซเกรย์เหมือนเดิม แล้วแต่ความชอบ

ในส่วนของสเปกและราคาขายตามมาตรฐานมีอยู่ 2 รุ่น คือ 59,990 บาท และ 66,990 บาท จัดว่ามีความพิเศษมากกว่า Notebook ทั่วไป เพราะใช้รุ่นเฉพาะ อย่าง Intel Core i5-1038NG7 (2.00 GHz, 6 MB L3 Cache up to 3.80 Ghz) ทำงานแบบ 4 คอร์ 8 เธรด ที่สามารถ CTO เป็น Core i7-1060NG7 ได้ โดดเด่นด้วยการ์ดจอออนชิป Iris Plus Graphics G7 ที่ทั้งแรงขึ้นเพียงต่อการใช้งานผ่านทางระบบปฏิบัติการ macOS แน่นอน ในส่วนของแรมได้เป็นขนาด 16GB LPDDR4X Bus 3733 MHz และ SSD M.2 NVMe ความเร็วสูงบนความจุ 512GB / 1TB เรียกได้ว่าส่วนที่เก็บข้อมูลนี้จัดเต็มจริงๆ

สำหรับราละเอียดอื่นๆ คือได้พอร์ตการเชื่อมต่อเป็น Thunderbolt 3 จำนวน 4 พอร์ต ที่ถ่ายโอนข้อมูลสูงสุด 40Gb/s และรองรับจอภาพ 6K สูงสุด 2 จอ ซึ่งใช้งานทั้ง USB-C / DisplayPort / Power Delivery (PD) แน่นอนว่ายังมีช่องต่อหูฟัง 3.5 มม. ตามเดิมอยู่ แบตเตอรี่ตามที่ Apple บอกคือสามารถใช้งานได้ยาวนานสูงสุดที่ 11 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่น่าพูดถึงก็คือ ยังคงใช้การเชื่อมต่อ Wi-Fi เป็นมาตรฐาน AC ซึ่งจริงๆ ควรจะเป็น AX ได้แล้ว เหมือนกับโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่ๆ ได้แล้ว และกล้อง FaceTime HD ยังได้ความละเอียด 720p อยู่นั่นเอง

from:https://notebookspec.com/buyer-guide-notebook-2020-with-thunderbolt-3/522939/

Notebook สเปก Intel vs AMD อะไรดีกว่ากัน พร้อมการเลือกซื้อ 3 ขั้นตอนง่ายๆ

ในตอนนี้ตลาด Notebook มีการแข่งขันกันสูงมากๆ จากการมาของชิปประมวลผลรุ่นใหม่ๆ ก็มีออกมาอยู่เรื่อยๆ ส่งผลให้ผู้บริโภคผู้ใช้งานอย่างเราๆ มีตัวเลือกกันมากมาย ตั้งแต่ราคาถูกไม่ถึงหมื่นบาท จนไปถึงหลายหมื่นบาท และสเปกที่หลากหลายนั้นอาจทำให้ผู้ซื้ออย่างเราเกิดความสับสนขึ้นได้ ในบทความนี้เราเลยจะมาแนะนำการเลือกซื้อ Notebook ที่เน้นย้ำในเรื่องของชิปประมวลผล Intel vs AMD อะไรดีกว่ากัน พร้อมการเลือกซื้อ 3 ขั้นตอนง่ายๆ ที่ประกอบไปด้วย งบประมาณการซื้อ / ประเภทการใช้งาน / ซื้อที่ไหนง่ายที่สุด กัน !

ที่ก่อนอื่นเลยต้องบอกถึงข้อมูลที่ทาง Intel ได้ทำการทดสอบมาอย่างละเอียด จากการเปรียบเทียบของ Notebook รุ่นเดียวกันสเปกเดียวกันทั้งแรมขนาด 8GB และ SSD ความจุ 256GB รวมไปถึงแบตเตอรี่มีความจุที่เท่าๆ กัน ในรุ่น Lenovo IdeaPad S340 แต่แตกต่างกันในเรื่องของชิปประมวลผล โดยสเปกหนึ่งจะเป็น Intel Core i3-8145U และอีกสเปกจะเป็น AMD Ryzen 7 3700U ซึ่งผลทดสอบออกมาจะเห็นว่า สเปกของทาง Intel จะมีประสิทธิภาพที่สูงกว่าพอตัว ในแง่ของการใช้งานจริงด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น

  • แบตเตอรี่ใช้งานทั่วไปได้ยาวนานกว่า 65%
  • ประสิทธิภาพในการตัดต่อสื่อมีเดียดีกว่า 10%
  • เร็วกว่าในประสิทธิภาพการตกแต่งภาพถ่าย 18%
  • แบตอตรี่ใช้เล่นวีดีโอแบบออฟไลน์ได้ยาวานกว่า 4 ชั่วโมง
  • ประสิทธิภาพในการท่องเว็บไซต์สูงกว่า 23%

ฉะนั้นแล้วสรุปง่ายๆ ก็คือ เราไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบประสิทธิภาพจากรุ่นตัวเลขของชิปประมวลผลได้ทันที ต้องดูในเรื่องของการทดสอบด้วย เพราะหลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่า Intel Core i3 ต้องเทียบกับ AMD Ryzen 3 หรือ Intel Core i5 ต้องเทียบกับ AMD Ryzen 5 รวมไปถึง Intel Core i7 ต้องเทียบกับ AMD Ryzen 7 เท่านั้น โดยจากผลการทดสอบเผยถึงผลลัพท์ว่าจริงๆ แล้ว Intel Core i3-8145U มีประสิทธิภาพความแรงโดยรวมเหนือกว่า AMD Ryzen 7 3700U ในหลายๆ ด้านด้วยซ้ำ

ที่สำคัญล่าสุดทาง Intel ได้ส่งกองทัพชิปประมวลผลรุ่นใหม่อย่าง Intel Core i Gen 10 ออกมาในตลาดแล้ว โดยถูกแบ่งออกเป็น 2 สถาปัตยกรรม Ice Lake เทคโนโลยีการผลิตที่ 10 นาโนเมตร และสถาปัตยกรรม Comet Lake เทคโนโลยีการผลิตที่ 14 นาโนเมตร ที่เป็น U-Series ซึ่งเป็นการต่อยอดมาจาก Intel Core i Gen 8 รุ่นก่อนหน้า ยังใช้เป็นการ์ดจอออนชิป UHD Graphics 620 อยู่ ซึ่งรุ่นที่ขายอยู่ตอนนี้จะมีอยู่ด้วยกันคือ Core i5-10210U / Core i7-10510U / Core i7-10710U

โดยทั้ง Comet Lake และ Ice Lake ได้มาตรฐานการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 AX เหมือนกัน และมาตรฐาน Thunderbolt 3 ใน Notebook บางรุ่นด้วย

อย่างไรก็ตามแม้ว่า Ice Lake ดูเหนือกว่า Comet Lake แทบทุกอย่าง โดยจากภาพด้านล่างจะเห็นว่าจริงๆ แล้ว ทาง Intel มีการแบ่งการทำตลาดออกจากกัน สำหรับ Ice Lake คือชิปประมวลผลที่เน้นงาน AI ที่จะรองรับในอนาคต รวมไปถึงการ์ดจอตัวใหม่ที่สวยสมจริงยิ่งขึ้น ส่วน Comet Lake เน้นงานประมวลผลและการใช้งานที่หลากหลายเป็นหลัก และการแสดงผลความละเอียดสูง 4K ซึ่งมีชิปประมวลผลรุ่น Core i7-10710U ที่เป็น 6 คอร์ 12 เธรดมาทำตลาดด้วย ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็นโน้ตบุ๊กบางเบากลุ่ม U-Series ที่มีคอร์มากถึง 6 คอร์ทีเดียว ที่ปกติแล้วจะเห็นกันในพวก H-Series เท่านั้น

ฉะนั้นในการเลือกซื้อคงต้องดูให้ดีว่าการใช้งานของเราเหมาะกับรุ่นไหน ?

อยากได้ของใหม่ๆ ก็จัดเป็น Ice Lake รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มี AI ใน Notebook ช่วยในเรื่องของการประมวลผลที่ดีและแม่นยำยิ่งขึ้น อย่างการลดเสียงรบกวน หรือการโปรเซสไฟล์ภาพไฟล์

พร้อมทั้งประสิทธิภาพของการ์ดจอออนชิปให้ประสบการณ์ด้านการแสดงภาพและกราฟิกที่สวยงามสมจริง แน่นอนว่าต้องดีขึ้นในทุกมิติ ทั้งความร้อนที่น้อยลง และแรมที่รองรับ MHz ได้สูงขึ้น ดูง่ายๆ คือรุ่นนี้จะใช้รหัสเลข 4 ตัว (ขึ้นต้นด้วย 10 + เลขท้าย 2 ตัว) ตามด้วย G เพื่อบ่งชี้ระดับของการ์ดจอออนชิปอย่าง Intel Iris Plus Graphics อาทิ G1 / G4 / G7 ซึ่งรุ่นที่ขายอยู่ตอนนี้จะมีอยู่ด้วยกันคือ Core i3-1005G1  / Core i5-1035G1 / Core i7-1065G7

ส่วนถ้าเน้นแรงๆ เลือก Comet Lake ได้ความแรงที่มากยิ่งขึ้น มี 6 คอร์ 12 เธรด มาเป็นตัวเลือกเพื่อเน้นงานประมวลผลหรือ Multi-tasking เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นโปรเซสไฟล์หรือตัดต่อวีดีโอ รวมไปถึงเล่นเกม 3 มิติ ประสิทธิภาพเทียบเคียง H-Series ใน Gaming Notebook ก็ดูเป็นรุ่นที่ลงท้ายด้วย U ซึ่งเป็น Comet Lake นั่นเอง อย่างไรก็ตามถ้าให้ดีควรดูรุ่นที่มาพร้อมการ์ดจอแยกอย่าง NVIDIA GeForce MX250 ขึ้นไป เพื่อที่จะเล่นเกมหรือใช้งาน 3 มิติด้วย

นอกจากนั้นยังมีเทคโนโลยีการเชื่อมต่อที่ดีที่สุดเหมือนกันทั้ง Ice Lake และ Comet Lake ด้วย Intel Wi-Fi 6 AX ที่ดีขึ้น ปลอดภัยขึ้น แรงขึ้น 3 เท่า และพอร์ต Thunderbolt 3 มาเป็นมาตรฐานใน Notebook ที่มีราคาระดับกลางๆ บางรุ่น เรียกได้ว่าแค่นี้ก็น่าซื้อกว่ารุ่นเก่าๆ อย่าง Notebook ที่เป็นชิปประมวลผล Intel Core i Gen 8 แล้ว

แล้ว Intel Core i Gen 9 อย่าง i5-9300H / i7-9750H มันตกรุ่นไปแล้วหรือ ทำไมตกรุ่นเร็วจัง เพิ่งออกรุ่นใหม่ หรือบางคนเพิ่งซื้อไปได้ไม่นานเอง ซึ่งมาถึงตรงนี้ก็ต้องบอกว่า สำหรับ Intel Core i Gen 10 ที่เพิ่งวางขายกันไปนั้นเป็นคนละสถาปัตยกรรม คนละตลาดกับ Intel Core i Gen 9 เลย

เพราะ Intel Core i Gen 10 เป็นตระกูลประหยัดพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม Ice Lake (ตามด้วย G) / Comet Lake (ลงท้ายด้วย U) ที่เน้นใช้งานโน้ตบุ๊คที่มีความบางเบาเป็นหลัก ทั้งราคาคุ้มค่าหรือพรีเมียม โดยแตกต่างจาก Intel Core i Gen 9 ที่เป็น H-Series สถาปัตกรรม Coffee Lake เทคโนโลยีการผลิตที่ 14 นาโนเมตร ซึ่งเน้นการใช้งานประมวลผลหนักหน่วงที่ให้ความแรงเทียบเท่าระดับชิปประมวลผล Desktop รองรับการทำงานที่หลากหลายอย่างที่สุด

ช่วงงบประมาณการซื้อ และสเปคที่เหมาะกับการใช้งานสำคัญที่สุด

เพราะแต่ละคนมีงบประมาณและการใช้งานที่แตกต่างกัน ราคาเริ่มต้นมีตั้งแต่หมื่นไปจนถึงหลักครึ่งแสนเลยก็มี การเลือกซื้อควรดูที่การใช้งานเป็นหลัก ว่าต้องการใช้งานประเภทไหนบ้าง ช่วงราคาประมาณ 15,000 บาทขึ้นไป จนไปถึง 25,000 บาทมีตัวเลือกการซื้อที่มากมายในระดับหนึ่ง เรียกได้ว่าจะเลือกสเปกที่เน้นแรงมากๆ มีการ์ดจอแยก หรือเน้นใช้งานไม่หนักมาก แต่ของตัวเครื่องบางๆ
เบาๆ ก็ทำได้หมด แต่ถ้ามีงบประมาณที่น้อยว่า 15,000 บาท ตัวเลือกก็อาจจะน้อยหน่อย

รวมไปถึงสเปกบางอย่างอาจจะต้องมาอัพเกรดภายหลังอย่างแรมหรือ SSD ส่วนกรณีที่งบมากไปเลยระดับ 30,000 บาทขึ้นไป ก็ต้องบอกว่าตัวเลือกมีเยอะมากๆ ทุกขนาดหน้าจอ ทุกความบางความเบา รวมไปถึงความพรีเมียมหรือฟีเจอร์พิเศษก็สามารถเลือกได้หมด ในบางรุ่นด้วย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการ Notebook รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ครบเครื่องครบครัน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนนักศึกษา คนทำงาน ที่มีพื้นฐานการใช้งานทั่วไป อาทิ เล่นอินเตอร์เน็ต ดูหนังฟังเพลง ทำงานเอกสาร ใช้งานนอกสถานที่บ่อยๆ ต้องการแบตเตอรี่ที่ยาวนานเกิน 5 – 8
ชั่วโมง รวมไปถึงเล่นเกมเบาๆ ก็ยังพอได้อยู่

หรือจะเลือก Notebook เป็นประเภทตั้งใจซื้อมาเล่นเกมแนว 3มิติรวมถึงทำงานที่เน้นการประมวลผลไปเลย สเปกที่เป็น Intel Core i Gen 9 รหัส H ที่ให้ประสิทธิภาพการทำงานที่สูงกว่า ที่สำคัญคือได้การ์ดจอแยกเป็นระดับ Gaming อย่าง NVIDIA GeForce GTX 1050 / 1650 / 1660 Ti จนไปถึงระดับ RTX Series ที่ตอบสนองเกมที่กินทรัพยากรทั้งออนไลน์และออฟไลน์ได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่าเรื่องแรมควรเป็นขนาด 8 – 16GB และ SSD ต้องเป็นความจุ 512GB เป็นมาตรฐาน หน้าจอเพื่อความลื่นไหลต้องเป็นความละเอียด Full HD ที่รองรับ Refresh Rate ที่ 120 – 144Hz ขึ้นไปด้วย

ซื้อที่ไหนง่ายที่สุด

เมื่อเราทำการบ้าน 2 เรื่องจากข้อมูลข้างต้นเรียบร้อยแล้ว ก็อาจจจะเป็นคำถามของใครหลายๆ คน ว่าเราจะสามารถหาซื้อ Notebook ที่ไหนให้ง่ายและสะดวกสบายที่สุด เราขอแนะนำwww.bnn.in.th เว็บไซต์ศูนย์รวมอุปกรณ์ไอทีที่ดีที่สุด ครบครันที่สุด ง่ายที่สุด นอกเหนือจากที่มี Notebook มากมายหลายรุ่นแล้ว ก็สามารถสั่งซื้อสินค้าไอทีอื่นๆ ได้เลย รวมไปถึง Smartphone และ Gadget ก็มีให้ช้อปเช่นกัน สามารถรับของได้ที่บ้านได้ ค่าส่งฟรี (ยอด 499 บาทขึ้นไป) หรือรับที่หน้าร้านร้าน บานาน่า ทุกสาขาทั่วไทย

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Inbox หรือ Line : @bananastore (มี @ ด้านหน้า)

โทร.02-017-7788 (จันทร์-ศุกร์ เวลา 10.00-18.00 น.)

ซื้อ Notebook Intel core i Gen 10 ที่นี่ http://bit.ly/2CZxclm

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

from:https://notebookspec.com/notebook-specs-intel-vs-amd-which-is-better-with-3-easy-steps-to-buy/499929/