คลังเก็บป้ายกำกับ: COMPUTER_SCIENCE

Robert Taylor ผู้นำทีมสร้าง ARPANET แนวคิดก่อนเป็นอินเทอร์เน็ตปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว

Robert Taylor ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงการอินเทอร์เน็ตจากการสร้าง ARPAnet ซึ่งเป็นสิ่งต้นกำเนิดของอินเทอร์เน็ต ได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยโรคพาร์คินสันและโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่บ้านเขาในเมือง Woodside, California ด้วยวัย 85 ปี

Taylor รับตำแหน่งใน Advanced Research Projects Agency (ARPA) ซึ่งเป็นหน่วยงานในกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ในตั้งแต่ปี 1965 เขาเป็นผู้สร้างคอนเซปต์เบื้องหลัง shared network ซึ่งตอนที่เขารับตำแหน่งมา ARPA มีโครงการพัฒนาคอมพิวเตอร์ 3 เครื่องให้ติดต่อสื่อสารกัน

ในตอนนั้น Taylor คิดว่าหน่วยงานนี้ควรจะมีเครือข่ายคอมพิวเตอร์เครือข่ายเดียวเพื่อเชื่อมต่อกับคนอื่น ๆ จึงได้เข้าไปพบกับ Charlie Herzfeld หัวหน้า ARPA และเล่าไอเดียของเขาให้ฟัง ซึ่งหัวหน้าก็ชอบไอเดียมากและนำเงินนับล้านดอลลาร์จากโครงการขีปนาวุธมาให้ และไอเดียนี้ก็เกิดเป็น ARPANET ซึ่งเป็นแนวคิดก่อนที่จะมาเป็นอินเทอร์เน็ต ซึ่งระบบดังกล่าวถือได้ว่าเป็นบิดาแห่งอินเทอร์เน็ตในทุกวันนี้

นอกจากเรื่องอินเทอร์เน็ตแล้ว Taylor ก็ยังมีส่วนสนับสนุนทางการเงินให้ Douglas Engelbart ในช่วงที่เขาทำงานอยู่ที่ Stanford Research Institute (ปัจจุบันคือ SRI International) เพื่อทำการประดิษฐ์เมาส์ด้วย (Engalbart เสียชีวิตตั้งแต่ปี 2013)

ที่มา – The New York Times

No Description

Robert Taylor ภาพโดย Gardner Campbell (Flickr)

from:https://www.blognone.com/node/91651

Microsoft เปิดตัว Project Torino สอนการเขียนโปรแกรมให้เด็กที่บกพร่องด้านการมองเห็น

Microsoft ได้เปิดตัว Project Torino ซึ่งเป็นโครงการที่มีจุดประสงค์ในการสอนการเขียนโปแกรมให้เด็กที่มีปัญหาด้านการมองเห็น หรือมีปัญหาอื่น ๆ ที่ไม่สามารถเรียนการเขียนโปรแกรมในแบบปกติได้

Project Torino นี้จะใช้ภาษาโปรแกรมมิ่งมารวมเข้ากับของเล่นที่มีสีสันสวยงามเรียกว่า pods ซึ่งสามารถส่งเสียง, สร้างเรื่องราว, บทกวี หรือเพลงเพื่อช่วยการสอนคอนเซปต์การเขียนโปรแกรมให้เด็กได้ เด็ก ๆ จะใช้อุปกรณ์เหล่านี้มาต่อเรียง ๆ กันและให้อุปกรณ์ทำงาน (ลักษณะเหมือนการเขียนโปรแกรมใน Scratch แต่ใช้อุปกรณ์จริง) โดย Microsoft เรียกว่า physical programming language

เมื่อเด็กสามารถใช้ภาษาโปรแกรมมิ่งทางวัตถุกับอุปกรณ์เหล่านี้ได้คล่องแล้ว ขั้นถัดไปคือ Project Torino จะใช้แอพให้เด็กนำโค้ดที่ทำขึ้นมาโดยการต่ออุปกรณ์ แปลงเป็นรูปแบบข้อความ และใช้เทคโนโลยีช่วยเหลือต่าง ๆ ให้ทำการโค้ดต่อไปได้

ไอเดียของโครงการดังกล่าว คือต้องการให้เด็กกลุ่มเป้าหมายซึ่งมีอายุอยู่ในช่วงระหว่าง 7 ถึง 11 ปีคุ้นเคยกับการคิดแบบคอมพิวเตอร์ และครูที่ไม่ได้มีประสบการณ์ในด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ก็ยังสามารถช่วยแนะแนวทางเด็กได้ โดยในตอนแรก Microsoft ออกแบบอุปกรณ์เหล่านี้เป็นสีขาว แต่ก็ได้ปรับเปลี่ยนเป็นสีสันสวยงามเนื่องจากจะได้เหมาะกับเด็กที่มีปัญหาด้านการมองเห็น

Cecily Morrison หนึ่งในนักวิจัยที่ทำงานกับโครงการนี้กล่าวว่า การที่เด็กเรียนรู้ได้จะเป็นการนำทางไปยังงานในอนาคตอย่างนักวิทยาการคอมพิวเตอร์, โปรแกรมเมอร์, วิศวกรซอฟต์แวร์, นักคิดแบบคอมพิวเตอร์ และยังเป็นการให้พื้นฐานด้านคอมพิวเตอร์แก่พวกเขาไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็ตาม

Microsoft ได้ทำงานร่วมกับ Royal National Institute of the Blind ในสหราชอาณาจักรเพื่อทำการนำ Project Torino ไปทดสอบกับเด็ก 100 คน โดยจะเริ่มทดสอบแบบเบต้าในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้

ที่มา – Microsoft

No Description

ภาพถ่ายโดย Jonathan Banks

from:https://www.blognone.com/node/91022

Google เปิดตัวโครงการ Libraries Ready to Code เปลี่ยนห้องสมุดให้กลายเป็นที่เรียน Computer Science

Google ได้จับมือกับ American Library Association (ALA) พัฒนาโครงการ Libraries Ready to Code เพื่อเปลี่ยนให้ห้องสมุดทั่วสหรัฐอเมริกากลายเป็นสถานที่ที่เยาวชนจะมาเรียนรู้ศาสตร์ทางด้าน Computer Science และหัดเขียนโปรแกรมกันได้ฟรีๆ พร้อมมี Wi-Fi Hotspot ให้ใช้งาน

Credit: Google

 

ไม่เพียงแต่เหล่าเด็กๆ เท่านั้นที่จะได้ประโยชน์จากโครงการนี้ แต่เหล่าผู้ใหญ่วัยทำงานที่ต้องการเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับด้าน Computer Science หรือการเขียนโปรแกรมก็มาเรียนรู้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้ด้วยเช่นกัน ทำให้ห้องสมุดจะเปลี่ยนไปจากการเป็นสถานที่ยืมหนังสือ ให้กลายเป็นสถานที่แห่งการเรียนรู้ที่กว้างขวางยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ควบคู่ไปกับความพยายามที่จะเปลี่ยนห้องสมุดให้กลายเป็น Digital มากยิ่งขึ้น

นอกจากศาสตร์ทางด้าน Computer Science แล้ว Google ยังจะเสริมเรื่องของการฝึก Computational Thinking (CT) ให้กับเด็กๆ เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่โลกในยุกถัดไปด้วย ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ภายในห้องสมุดก็จะได้รับการอบรมเพื่อช่วยพัฒนาเหล่าผู้ที่สนใจมาเรียนศาสตร์เหล่านี้ในห้องสมุด และห้องสมุดก็จะกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะความสามารถทางด้าน IT ให้แก่คนรุ่นใหม่อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นการมาเรียนรู้ด้วยตัวเอง, การมีเจ้าหน้าที่มาคอยช่วยสอน ไปจนถึงการที่ผู้ปกครองพาลูกหลานมาเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน

ปัจจุบันนี้โรงเรียนในสหรัฐอเมริกาเริ่มมีการสอนทางด้าน Computer Science มากแล้วถึง 40% ในขณธที่การเสริมห้องสมุดเหล่านี้ก็จะกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ทางด้าน Computer Science ใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกกว่า 100,000 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา ครอบคลุมถึงพื้นที่ชนบทมากขึ้นด้วย

ถือเป็นแนวทางที่น่าสนใจมาก ใครอยากอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถศึกษาได้ที่ http://www.ala.org/tools/readytocode เลยนะครับ

 

ที่มา: https://blog.google/topics/education/helping-libraries-get-youth-excited-about-computer-science/

from:https://www.techtalkthai.com/google-libraries-ready-code-change-all-libraries-into-computer-science-school/

รวมคอร์สสอนเขียนโปรแกรมฟรี สำหรับบุคคลทั่วไปทุกวัยใน edX- Computer Science Education Week: Hour of Code

สำหรับคนในทุกๆ สาขาอาชีพที่เริ่มสนใจจะเรียนรู้ศาสตร์ด้านการเขียนโปรแกรม โดยเฉพาะเหล่าคณาจารย์ในสถาบันการศึกษาทุกระดับที่ต้องการเรียนรู้ความรู้ใหม่ๆ เพิ่มเติมสำหรับเตรียมสอนเด็กๆ ทางด้าน Computational Thinking ทาง edX.org ได้เปิดคอร์สฟรีให้เราได้เรียนรู้ศาสตร์ด้านการเขียนโปรแกรมฟรีๆ ถึง 20 คอร์สด้วยกันดังนี้ครับ

edx_computer_science_education_week

 

* หมายเหตุ เนื้อหาทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษ และไม่มีค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียนแต่อย่างใด แต่หากเรียนจบคอร์สแล้ววอยากได้ใบรับรองก็สามารถเลือกจ่ายเงิน 50 เหรียญเป็นต้นไปเพื่อทำ Verify Certificate ขึ้นมาได้นะครับ โดยสามารถเลือกเรียนคอร์สต่างๆ ได้ตามความสนใจเลย ไม่ต้องเลือกเรียนตามลำดับก็ได้ครับ

 

คอร์สเรียนเขียนโปรแกรมเบื้องต้น

 

คอร์สภาพรวมสำหรับเทคโนโลยีทางด้าน IT

 

คอร์สสำหรับอาจารย์โดยเฉพาะ

 

ผู้ที่สนใจรายละเอียดฉบับเต็ม สามารถเข้าไปดูได้ที่ https://www.edx.org/computer-science-education-week เลยครับ

from:https://www.techtalkthai.com/free-online-programming-courses-in-edx-computer-science-education-week-hour-of-code/

Raspberry Pi เตรียมเปิดคอร์สออนไลน์สำหรับอบรมครูอาจารย์ทั่วโลกด้านการพัฒนา Software และ Hardware

Raspberry Pi Foundation ได้จับมือกับ FutureLearn เพื่อเตรียมเปิดคอร์สออนไลน์สำหรับให้เหล่าครูอาจารย์มาเรียนรู้การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วยการใช้ Raspberry Pi โดยเฉพาะ เพื่อเป็นอีกแรงผลักดันการศึกษาทางด้าน Computer Science ทั่วโลกนั่นเอง

raspberry_pi_futurelearn_traffic-lights-e1480672431260

ที่ผ่านมา Raspberry Pi Foundation ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรได้ทำการอบรมครูอาจารย์ในอเมริกาและอังกฤษไปแล้วกว่า 540 คนด้วยการอบรมในโลกจริง แต่ก้าวถัดไปที่องค์กรนี้ต้องการคือการทำการอบรมในโลกออนไลน์อย่างเป็นทางการแบบฟรีๆ เพื่อให้ทั่วโลกมีโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีกันมากขึ้นไปพร้อมๆ กัน

ในเบื้องต้น FutureLearn นั้นจะเปิด 2 คอร์สฟรีให้กับเหล่าครูอาจารย์ที่มาอบรม ได้แก่คอร์ส “Teaching Physical Computing with Raspberry Pi and Python” ที่ปูพื้นฐานทั้งด้าน Software และ Hardware ให้แก่ครูอาจารย์ เพื่อให้สามารถนำไปต่อยอดสร้างเป็นคอร์สเรียนสำหรับใช้ในโรงเรียนได้ ส่วนอีกคอร์สนั้นได้แก่ “Teaching Programming in Primary Schools” โดยมุ่งเน้นให้ครูอาจารย์สามารถช่วยสอนเนื้อหาการเขียนโปรแกรมระดับเบื้องต้นแก่นักเรียนได้ รวมถึงช่วยนักเรียนแก้ไขปัญหาในระหว่างการเขียนโปรแกรมได้

คอร์สออนไลน์นี้จะเปิดให้เรียนในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2017 และใช้เวลา 4 สัปดาห์ ซึ่งแต่ละสัปดาห์จะใช้เวลาเรียน 2 ชั่วโมงเท่านั้น ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเรียนได้ที่ https://www.futurelearn.com/partners/raspberry-pi ทันที

ที่มา: http://opensourceforu.com/2016/12/raspberry-pi-gets-official-online-training-series-educators/https://www.raspberrypi.org/blog/announcing-our-new-online-training-series/

from:https://www.techtalkthai.com/raspberry-pi-will-open-official-free-online-course-for-teachers-and-educators/

46% ของนักศึกษาใหม่ด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ใน UIUC เป็นผู้หญิง

ผู้หญิงเริ่มหันมาเรียน Computer Science กันมากขึ้น

Credit: ShutterStock.com
Credit: ShutterStock.com

ในปีการศึกษาล่าสุดในวิชาเอก Computer Science ณ University of Illinois Urbana-Champaign’s College of Engineering นั้น มีจำนวนนักศึกษาหญิงมากถึง 46% จากนักศึกษาทั้งหมด 190 คน ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของจนักศึกษาหญิงในวิชาเอก Computer Science ทั่วโลกที่มีเพียง 18% อยู่ค่อนข้างมากทีเดียว ทั้งนี้ในปีการศึกษาก่อนหน้า ทาง UIUC นั้นมีนักศึกษาหญิง 24% ในวิชาเอกทางด้าน Computer Science มาก่อน

จำนวนนักศึกษาหญิงที่เรียนด้าน Computer Science นี้เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ โดยหากนับย้อนไปถึงปี 2012 นั้นจะพบว่ามีนักศึกษาหญิงเพียง 6% เท่านั้น เมื่อเทียบกับปัจจุบันแล้วถือว่าต่างกันถึง 8 เท่าเลยทีเดียว

แนวโน้มที่เติบโตนี้สอดคล้องกับกระแสจากภาคอุตสาหกรรม IT โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ที่มีการเรียกร้องให้มีความเท่าเทียมกันในการทำงานและการศึกษาทางด้าน IT ให้มากขึ้น แต่หากมองในภาพรวมแล้วกระแสทางด้าน IT นั้นก็ถือว่ามาแรงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ความนิยมในการเลือกเรียนทางด้าน Computer Science นี้จึงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในหมู่นักศึกษาหญิงเท่านั้น แต่เป็นความนิยมที่เติบโตขึ้นในเหล่านักศึกษาทุกเพศเลย ด้วยการเล็งเห็นความสำคัญในการประมวลผลและมองเห็นอนาคตว่าสิ่งเหล่านี้จะมาช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนได้อย่างไร

ชมรม Women in Computer Science (WCS) เองนั้นก็เข้ามามีบทบาทมากพอสมควรเช่นกัน ด้วยการจัดค่ายสำหรับเหล่านักเรียนหญิงมัธยมปลายให้ได้รู้จักเกี่ยวกับศาสตร์ทางด้าน Computer Science มากขึ้น และช่วยสนับสนุนให้เด็กๆ ที่มีความสนใจสามารถเข้าศึกษาต่อทางด้านนี้ได้สำเร็จไปด้วยอีกทางหนึ่ง รวมถึงหากเข้ามาศึกษาทางด้าน Computer Science ในมหาวิทยาลัยได้สำเร็จ ทางชมรมก็ยังจะช่วยผลักดันต่อไปด้วยเช่นกัน

ที่มา: http://chicagoinno.streetwise.co/2016/08/25/women-computer-science-majors-nearly-double-at-u-of-i/

from:https://www.techtalkthai.com/46-percent-of-new-computer-science-student-in-uiuc-are-women/

Google เปิดตัว Project Bloks สอนเด็กเขียนโปรแกรมด้วยการต่อบล็อคแบบ Physical Coding พร้อมประกาศหาคนร่วมโครงการ

เพื่อช่วยให้เด็กๆ ในยุคปัจจุบันนี้ก้าวเข้าสู่การเขียนโปรแกรมได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น Google จึงได้ทำการพัฒนาโครงการ Project Bloks ขึ้นมาให้เด็กๆ สามารถฝึกหัดทักษะในการแก้ปัญหาและมีความคิดสร้างสรรค์ในเชิง Computational Thinking ได้ด้วยการใช้ตัวต่อแบบ Open Hardware Platform เข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้เด็กๆ ได้หัดเขียนโปรแกรมแบบ Physical Coding

ตัวต่อแต่ละตัวนี้จะสามารถถูกปรับแต่งได้ทั้งหน้าตาภายนอกและโค้ดภายใน เพื่อให้แต่ละบล็อคมีความสามารถที่แตกต่างกัน และนำมาเรียงต่อกันเพื่อสร้างผลลัพธ์ต่างๆ ตามที่เด็กๆ ต้องการหรือตามที่โจทย์กำหนดได้ โดยในหนึ่งระบบจะมีส่วนประกอบด้วยกัน 3 ส่วน ดังนี้

google_project_bloks_image11

  • Brain Board เป็น Raspberry Pi Zero ที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยประมวลผลของระบบทั้งหมด และมี API สำหรับสื่อสารกับ Base Board รวมถึงรับส่งข้อมูลได้ผ่นทาง Wi-Fi และ Bluetooth
  • Puck เป็นปุ่มบังคับที่ติดตั้งบน Base Board โดยมีรูปร่างหน้าตาที่หลากหลาย ทั้งแบบสวิตช์, แป้นหมุน, ปุ่ม และอื่นๆ โดยไม่มีระบบไฟฟ้าภายในตัว และสามารถสร้างเองได้ง่ายๆ ด้วยการใช้กระดาษกับหมึกนำไฟฟ้า
  • Base Board คือบอร์ดสำหรับติดตั้ง Puck และรับ Input จาก Puck เพื่อส่งคำสั่งต่อไปยัง Brain Board โดยสามารถเลือกติดตั้ง Base Board ในลำดับที่แตกต่างกันเพื่อเปลี่ยน Flow ของการเขียนโปรแกรมได้ด้วย

google_project_bloks_image02

ผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถอ่านได้ที่ https://projectbloks.withgoogle.com/ เลยนะครับ

ทั้งนี้ตอนนี้ Google กำลังมองหาคนร่วมโครงการอยู่ทั้งครูอาจารย์, นักพัฒนา, ผู้ปกครอง และนักวิจัย เพื่อช่วยกันเปลี่ยนแปลงวงการการศึกษาทางด้าน Computer Science ทั่วโลกให้ครอบคลุมและเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น ใครที่สนใจก็สมัครเข้าไปได้ที่ http://projectbloks.withgoogle.com/register-interest/ เลยนะครับ

ที่มา: https://research.googleblog.com/2016/06/project-bloks-making-code-physical-for.html

from:https://www.techtalkthai.com/google-announced-project-bloks-for-physical-coding/

Google เปิดตัวเว็บสอน Computer Science ให้ทุกคนสามารถเรียนได้ฟรีๆ ทั่วโลก

เมื่อโลกเราเดินมาถึงจุดที่เทคโนโลยีทางด้าน Computer กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวของทุกคน Google จึงได้เปิดตัวเว็บไซต์ CS EDU สำหรับสอน Computer Science ให้ทุกคนได้เรียนกันฟรีๆ สำหรับทุกๆ สาขาวิชาชีพเลยครับ

google_cs_edu

Google เปิดเว็บไซต์แห่งนี้ขึ้นมาด้วยความเชื่อที่ว่าทุกๆ คนควรได้รับโอกาสทางการศึกษาด้าน Computer Science เพื่อสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ และเปิดโอกาสใหม่ๆ ทางวิชาชีพให้มากขึ้นนั่นเอง

ในเว็บไซต์แห่งนี้จะรวบรวมเนื้อหาหลักสูตร, ทรัพยากร, เครื่องมือ และพื้นที่พูดคุยเพื่อให้การเรียนการสอนในส่วนของ Computer Science เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ รวมถึงเมื่อเรียนจบแล้วในเว็บแห่งนี้ยังมีส่วนของการสมัครงานต่อเนื่อง, การเข้าร่วมการแข่งขันเขียนโปรแกรม และการฝึกงานให้เลยอีกด้วยครับ

ใครสนใจเรียน Computer Science เป็นศิษย์สายตรงของ Google ก็ลองเข้าไปเรียนกันได้เลยที่ https://www.google.com/edu/cs/ นะครับ เรียนได้ทุกสาขาวิชาชีพเลยนะเอ้อ

ที่มา: http://googleresearch.blogspot.com/2016/04/all-of-googles-cs-education-programs.html 

from:https://www.techtalkthai.com/google-launced-computer-science-education-website/

โรงเรียนรัฐของเมืองชิคาโก ประกาศหลักสูตรใหม่ นักเรียนต้องเรียนด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์

ที่เมืองชิคาโก มลรัฐ Illinois ของสหรัฐอเมริกา คณะกรรมการโรงเรียนและการศึกษาของรัฐ (Public School Board of Education) ประจำเมือง ประกาศว่าวิชาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ (computer science) จะเป็นวิชาบังคับสำหรับเด็กมัธยมที่จะเข้าศึกษาตามหลักสูตรใหม่ในปีหน้า (เด็กที่จะจบในปี 2020) อย่างเป็นทางการ

ข้อกำหนดนี้แปลว่าเด็กมัธยมที่เรียนด้วยหลักสูตรใหม่ จะต้องสอบผ่านในวิชาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้อง จึงจะเรียนจบระดับมัธยมศึกษา โดยเป็นแผนต่อเนื่อง 5 ปี ที่ประกาศในปี 2013 ว่าจะนำเอาวิชาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรด้วย

ทั้งนี้ในปัจจุบัน โรงเรียนเพียง 1 ใน 4 ของสหรัฐอเมริกามีวิชาดังกล่าวให้นักเรียนได้ศึกษา ส่วนที่ชิคาโก มีโรงเรียนที่มีวิชาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์อยู่ 107 แห่ง และเป็นระดับมัธยมไป 41 แห่ง

ที่มา – TechCrunch

Chicago, USA, Education, Computer Science

from:https://www.blognone.com/node/78395

โอบามาประกาศโครงการ Computer Science For All นักเรียนทุกคนต้องได้หัดเขียนโค้ด

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐอเมริกา ประกาศโครงการ Computer Science For All ส่งเสริมให้นักเรียนชาวอเมริกันทุกคนมีโอกาสเรียนวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ เพื่อฝึกทักษะการเป็น “ผู้สร้าง” ในระบบเศรษฐกิจดิจิทัล แทนการเป็นผู้บริโภคแต่เพียงฝ่ายเดียว

โอบามาบอกว่า “วิทยาการคอมพิวเตอร์” กลายเป็นทักษะพื้นฐานที่ทุกคนต้องมีไปเรียบร้อยแล้ว รัฐบาลสหรัฐจะตั้งงบประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาการสอนวิชาคอมพิวเตอร์ในโรงเรียน และให้งบประมาณสนับสนุน National Science Foundation (NSF) พัฒนาหลักสูตรและฝึกอบรมครูสอนวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์เพิ่มด้วย

โครงการนี้ของรัฐบาลสหรัฐยังได้รับเสียงสนับสนุนอย่างล้นหลามจากวงการไอที โดยคนดังของวงการอย่าง Bill Gates, Mark Zuckerberg, Jack Dorsey ออกมาโพสต์ชื่นชม และบริษัทใหญ่ทั้ง Apple, Microsoft, Google, Facebook, Salesforce, Qualcomm ก็เข้าร่วมโครงการด้วย

ที่มา – Whitehouse Blog, Whitehouse Press

Whitehouse, Computer Science, Obama

from:https://www.blognone.com/node/77303