คลังเก็บป้ายกำกับ: ที่ชาร์จไฟ

UGREEN Nexode 140W GaN Fast Charger ชาร์จเร็ว เต็มไว 3 อุปกรณ์พร้อมกัน

UGREEN Nexode 140W GaN Fast Charger ชาร์จไว 3 อุปกรณ์พร้อมกัน เต็มเร็ว ไม่ต้องรอนาน

UGREEN

UGREEN Nexode 140W GaN Fast Charger ที่ชาร์จประสิทธิภาพสูง ชาร์จพร้อมกัน 3 อุปกรณ์ พร้อมเทคโนโลยี GaN ความร้อนน้อย ชาร์จไว ไฟเต็มเร็ว ได้ทั้งมือถือ แท็ปเล็ต โน๊ตบุ๊ค รวมถึงเครื่องเล่นเกมคอนโซลแบบพกพา มีทั้ง USB-C และ USB-A รองรับ PD 3.1 ลดเวลาชาร์จลง ชาร์จได้ไวขึ้น พร้อมระบบ HyperFast Charging และ ออกแบบมาได้ทันสมัย บอดี้ใช้เทคโนโลยีลดความร้อนได้รวดเร็ว ขนาดเล็กกว่าที่ชาร์จในระดับ 140W ทั่วไป เหมาะสำหรับการพกพา เคลื่อนย้ายได้สะดวก ขาพับแบบ 2 ขา แน่นหนา การรับประกัน 2 ปี ราคา 2,999 บาท


จุดเด่น

Advertisementavw
  • ขนาดกระทัดรัด
  • มี GaN เทคโนโลยี ชาร์จไว ลดร้อน
  • ชาร์จไฟได้ 3 อุปกรณ์พร้อมกัน
  • มีสายชาร์จรองรับ 240W มาให้

ข้อสังเกต

  • อยากให้มีไฟสถานะมาในตัว

UGREEN Nexode 140W GaN Fast Charger


Specification

Nexode 140W GaN Fast Charger
Sku Model 90548
Connectivity Technology USB
Connector Type USB Type C
Included Components 140W USB C Wall Charger (cable include)
Product Dimensions 2.99 x 2.99 x 1.38 inches
Item Weight 10.6 ounces
Compatible for laptop Nintendo Switch, true wireless earbuds, and more.
For Laptops, such as Mac Book Pro 16″, MacBook Pro 14″
MacBook Pro 13″, MacBook Air, Dell XPS / Inspiron,
HP Elite, Google Pixelbook, Microsoft Surface Book 2,
ThinkPad, and more.
For Tablet such as iPad 12.9″, iPad Pro 11″,
iPad mini 5, iPad Air 3, and more.
For Mobile such as iPhone 14 / iPhone 13 / 13 Mini / 13 Pro /
13 Pro Max, iPhone 12 / 12 mini / 12 Pro / 12 Pro Max,
iPhone SE (2nd generation), iPhone 11 / 11 Pro /
11 Pro Max, iPhone XS / XS Max / XR / X, iPhone 8 Plus / 8;
Samsung Galaxy S22 / S22+ / S21 / S21+ / S20 / S20+ /
S20 Ultra / S10 / S10e / S10+ / S9 / S9+ / S8 / S8+ /
Note 20 Ultra / Note 20 / Note 10 / Note 9 / Note 8;
Google Pixel / Pixel 3XL / 3 / 2XL / 2, Sony Xperia,
LG G7 / V30+, and more.
For Others, Nintendo Switch Docking Station, Switch Dock,
DJI Mavic 3 / Air 2S, AirPods, Apple Watch and more.

ข้อมูลเพิ่มเติม: UGREEN Nexode 140W GaN


Unbox

UGREEN

UGREEN Nexode 140W GaN Fast Charger มาในกล่องสี่เหลี่ยมสีดำขนาดไม่ใหญ่มากนัก หน้ากล่องค่อนข้างเรียบง่าย ระบุชื่อผลิตภัณฑ์ พร้อมตัวเลขระดับการชาร์จ 140W แบบชัดๆ และภาพกราฟิกของที่ชาร์จอย่างชัดเจน โลโก้รับประกัน 2 ปี

UGREEN

ด้านในกล่องประกอบด้วยเอกสารแนะนำและคู่มือการใช้งาน โดยเป็นแผ่นใหญ่ กระดาษแข็งอย่างดี ต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้ที่เรารีวิวไป เช่นเดียวกับภาพกราฟิก และรายละเอียดทำออกมาได้ชัดเจน แนะนำว่าให้อ่านข้อมูลก่อนใช้งาน จะสามารถใช้งานได้เต็มที่มากขึ้น

UGREEN

นอกจากแผ่นเอกสารแล้วก็มีอุปกรณ์หลักนั่นคือ ที่ชาร์จ Nexode 140W GaN นั่นเอง จัดใส่มาในซองกันรอยสีขาว พร้อมกระดาษกันกระแทก ใครที่สั่งซื้อออนไลน์เรียกว่าวางใจได้ว่าถึงมือแบบไม่บุบสลาย

UGREEN

ต่อมาเป็นสายชาร์จ ให้แบบอย่างดีมาเลย เป็นลักษณะของสายถักแน่น ความยาวประมาณ 1.5 เมตร มากพอสำหรับการชาร์จจากปลั๊กที่ไกลออกไปได้ ด้วยลักษณะของสาย ข้อดีคือ ไม่ยุ่งเหยิงหรือพันกันง่าย แต่ก็อาจจะต้องใช้พื้นที่เพิ่มอีกเล็กน้อย นั่นก็เพราะสายค่อนข้างแข็ง ไม่เหมาะกับการงอหรือพับสายให้เล็กลงนั่นเอง


Design

UGREEN

มิติของที่ชาร์จรุ่นนี้อยู่ที่ 7.3cm x 7.7cm x 3.3cm (ยาว x สูง x หนา) เมื่อเทียบกับตัวแปลงของโน๊ตบุ๊คระดับ 180W ขนาดต่างกันเกือบเท่าตัวเลยทีเดียว ซึ่งเหมาะสำหรับคนทำงาน หรือคอเกมที่ใช้โน๊ตบุ๊ค ให้สามารถพกพาไปใช้งานข้างนอกได้สบายกระเป๋ามากขึ้น รวมถึงคนที่ใช้ Nintendo Switch หรือ MacBook Air ก็ตาม

UGREEN

ขาปลั๊กเป็นแบบ 2 ขามาตรฐาน สามารถพับเก็บได้ และบานพับนี้ค่อนข้างแข็งแรงเลยทีเดียว จะต่อกับปลั๊กบนผนังก็ได้ หรือจะวางบนปลั๊กรางก็แข็งแรงดี เพียงแต่ถ้าเสียบอุปกรณ์พร้อมกัน 3 พอร์ต แนะนำให้ต่อพ่วงบนปลั๊กรางบนโต๊ะดีที่สุด ป้องกันสายหรือพอร์ตที่รั้งจนดึงอุปกรณ์หลุด


Connector

UGREEN

มาถึงไฮไลต์ของที่ชาร์จรุ่นนี้ นั่นคือ พอร์ตชาร์จ ที่มีให้เลือกถึง 3 พอร์ตด้วยกัน ประกอบด้วย USB-C 2 พอร์ต ซึ่งจะแบ่งเป็น USB-C1 ที่อยุ่ด้านล่างสุด รองรับ PD Charging ได้ถึง 140W สำหรับใครที่มีโน๊ตบุ๊คหรือ MacBook Air สามารถใช้พอร์ตนี้ได้เลย

ส่วนพอร์ต USB-C2 จะรองรับได้อุปกรณ์ได้หลายหลายเช่นกัน ว่ากันตั้งแต่มือถือ แท็ปเล็ต ไปจนถึงโน๊ตบุ๊คทำงาน และกลุ่มบางเบา รองรับ PD 100W

UGREEN

และสุดท้ายจะเป็นพอร์ต USB-A ซึ่งเป็นพอร์ตสำหรับชาร์จอุปกรณ์ทั่วไป เช่น มือถือ แท็ปเล็ต ที่ให้พลังชาร์จสูงสุด 22.5W ซึ่งอาจจะเหมาะกับมือถือทั่วไป ส่วนถ้าจะชาร์จมือถือระดับ Mid-Range หรือมากกว่านั้น ซึ่งจะใช้ระดับ 25W ขึ้นไป แนะนำให้ใช้ USB-C จะเหมาะที่สุด ชาร์จได้ไวและรวดเร็ว

UGREEN

โดยปกติหากชาร์จเพียงอุปกรณ์เดียว คุณสามารถใช้กำลังไฟจากแต่ละพอร์ตได้เต็มที่ ส่วนที่เป็นการชาร์จแบบทุกหัวทุกพอร์ตพร้อมกัน 3 อุปกรณ์ ก็จะเป็นอย่างไรภาพ USB-C จะเลือกได้เป็น 65W และ 45W ส่วนที่เป็น USB-A จะรองรับที่ 22.5W

UGREEN

มิติของที่ชาร์จรุ่นนี้ ประมาณครึ่งฝ่ามือเท่านั้น สามารถพับเก็บขาปลั๊ก พกพาไปได้ทุกที่ กระเป๋าสะพายคุณผู้หญิงก็ยังใส่ได้

UGREEN

เมื่อเทียบกับอแดปเตอร์โน๊ตบุ๊ค 180W จะเห็นได้ว่า มิติจะเล็กกว่าค่อนข้างเยอะ ส่วนความหนาค่อนข้างใกล้เคียง

UGREEN

เมื่อเทียบความหนา อาจจะดูหนากว่าเล็กน้อย แต่ระดับ 3.3cm โดยประมาณ ก็จัดเก็บได้ง่าย ใส่กระเป๋าสะดวกทีเดียว

UGREEN

การใช้งานก็แค่ต่อสายที่เป็นหัวต่อ USB-C เข้ากับโน๊ตบุ๊ค หรือในพอร์ตชาร์จได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็น USB-C ที่รองรับ PD Charge หรือ Thuderbolt4 ก็ตาม สำหรับโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่

UGREEN
UGREEN

สายที่ต่อเข้ากับที่ชาร์จเรียกว่าสะดวกทีเดียว หัวต่อที่เล็ก จึงไม่เกะกะพื้นที่มากนัก ไม่ว่าจะเป็นการต่อกับปลั๊กรางบนพื้นโต๊ะ หรือจะต่อกับปลั๊กบนผนังก็ตาม


Performance

UGREEN

เราเริ่มจากการทดสอบชาร์จไฟให้กับโน๊ตบุ๊ค ASUS Vivobook S14 ที่เป็นโน๊ตบุ๊คทำงาน ซึ่งใช้อแดปเตอร์ 90W จากการทดสอบชาร์จในโหมด idle คือเปิดอยู่ในระบบ Windows แบบนิ่งๆ เปิดแค่เว็บไซต์นิดหน่อย รายงานจากอุปกรณ์วัด มีการจ่ายไฟอยู่ที่ 39.1W @1.9A โดยประมาณ ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐาน เพราะไม่ได้อยู่ในโหมดการทำงาน หรือเล่นเกม ที่จะใช้พลังของซีพียู การ์ดจอและอื่นๆ ของระบบมากขึ้น

มาที่ระยะเวลาในการชาร์จไฟกันบ้าง จากระบบเดิม เราใช้พอร์ต USB-C1 กับเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ก็สามารถชาร์จโน๊ตบุ๊คทำงาน ASUS Vivobook S14 OLED ที่ใช้อแดปเตอร์ขนาด 90W ได้ถึง 32% หรือประมาณ 1/3 แล้ว ดังนั้นหากจะชาร์จเต็มก็จะใช้เวลาไม่เกิน 1:30 ชั่วโมงเท่านั้น แต่อย่าลืมว่าเราชาร์จขณะเปิดเครื่องอยู่ด้วย หากเวลาเร่งด่วนจะไปข้างนอก แนะนำปิดเครื่องแล้วชาร์จ นั่งจิบกาแฟสัก 20 นาที ก็นำไปใช้งานข้างนอกได้ยาวๆ แล้ว

UGREEN

ทีนี้เราลองชาร์จกับแท็ปเล็ต Lenovo Tab M9 ซึ่งรองรับการชาร์จที่ 10W แบบเบาๆ ก็สามารถชาร์จร่วมกับ UGREEN Nexode 140W GaN Fast Charger รุ่นนี้ได้เช่นกัน ได้ค่าที่ได้จากอุปกรณ์ทดสอบอยู่ที่ประมาณ 15.4W @2.8A ดังนั้นเราจึงลองทดสอบชาร์จด้วยที่ชาร์จ 10W ที่มาในกล่องพร้อมแท็ปเล็ตรุ่นนี้ ผลที่ได้ 20 นาที ชาร์จไปได้ 17% เท่านั้น เมื่อเทียบกับการใช้ที่ชาร์จ UGREEN รุ่นนี้ ใช้เวลาไป 20 นาทีเท่ากัน แต่ชาร์จได้ถึง 25% เลยทีเดียว ผ่านทาง USB-C2

และสุดท้ายเราลองชาร์จไฟให้กับแท็ปเล็ตและมือถือไปพร้อมๆ กัน โดยชาร์จผ่านทาง USB-C1 และ USB-C2 โดยต่อเข้ากับ Lenovo Tab M9 ซึ่งใช้อแดปเตอร์มาตรฐาน 10W และชาร์จกับมือถือ Samsung Galaxy S21FE ซึ่งรองรับการชาร์จ 25W ผลปรากฏว่า ด้วยเวลาในการชาร์จ 20 นาที ชาร์จแท็ปเล็ตไปได้ 25% ส่วนสมาร์ทโฟนก็ได้ระดับไฟที่เท่าๆ กัน นั่นคือ 25% ก็นับได้ว่าใครที่มีหลายอุปกรณ์ ไม่โหลดหนักมาก คุณก็สามารถชาร์จไฟพร้อมกันได้ และยังรวดเร็วอีกด้วย


Conclusion

UGREEN Nexode 140W GaN จัดว่าเป็นอุปกรณ์ที่ควรมีไว้ติดกระเป๋าเป็นอย่างยิ่ง สำหรับคนที่มีความเร่งด่วน หรืออยากได้ความคล่องตัวในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นมือถือ แท็ปเล็ต โน๊ตบุ๊ค หรือกลุ่มเครื่องเล่นเกมคอนโซลแบบพกพา และอุปกรณ์เล็กๆ อย่าง Wearable ต่างๆ เช่น หูฟัง หรือ Smart Watch ก็ตาม ด้วยการชาร์จไฟพร้อมกันได้ถึง 3 อุปกรณ์ และยังชาร์จได้ไว โดยแบ่งกันเป็น 65W, 45W และ 22.5W หากคุณมีความเร่งด่วน ต้องการชาร์จมือถือ โน๊ตบุ๊ค หรือ MacBook Air ให้ไว แนะนำให้ใช้ USB-C1 หรือ USB-C2 เลือกช่องใดช่องหนึ่้ง หรือถ้ามี 2 อุปกรณ์ ที่ต้องการชาร์จ และอุปกรณ์เหล่านั้น ไม่ได้ใช้กำลังไฟมาก เช่น โน๊ตบุ๊คทั่วไป 45W หรือ 65W ก็ใช้ USB-C ทั้ง 2 ช่องได้พร้อมกัน แต่ถ้าจะใช้ 3 พอร์ตต่อ 3 อุปกรณ์ ก็ต้องเช็คก่อนว่า คุณใช้อุปกรณ์ต่อกับ USB-A ที่สอดคล้องกัน นั่นคือไม่เกิน 22.5W เพื่อให้เกิดความสมดุลนั่นเอง อย่างไรก็ดี การชาร์จผ่าน USB-C ทำได้ค่อนข้างไว รวมถึงตัวที่ชาร์จเอง ก็ออกแบบมาได้ดี ดูสวยงาม ต่างจากในรุ่นก่อนๆ ที่เคยวางจำหน่าย เรื่องความร้อนก็ไม่มาก หลังจากที่เราได้ทดสอบชาร์จ 2 อุปกรณ์พร้อมๆ กันเกิน 30 นาที ก็ตาม ยังอุ่นๆ จับถือได้สบาย กับสนนราคาประมาณ 2,999 บาท ตามโปรโมชั่น รับประกัน 2 ปี เสียเปลี่ยนใหม่ แถมยังเป็นที่ชาร์จแบบ GaN ต่อสะดวก ชาร์จไว ใช้งานง่าย น่าสนใจไม่น้อยเลย

ข้อมูลเพิ่มเติม: UGREEN Nexode 140W

การจำหน่าย: UGREEN Nexode 140W

from:https://notebookspec.com/web/700117-ugreen-nexode-140w-gan-fast-charger

แนะนำหัวชาร์จไอแพด ชาร์จเร็ว ชาร์จไว แบตเต็มทันใจแน่นอน อัปเดต 2023

แนะนำหัวชาร์จไอแพด ชาร์จเร็ว ชาร์จไว ได้มาตรฐาน แบตเตอรี่เต็มไวทันใจ อัปเดต 2023

หัวชาร์จไอแพด

ในปัจจุบันมีหัวชาร์จหรืออะแดปเตอร์มากมายที่รองรับการชาร์จไฟ ยิ่งอุปกรณ์จำพวก Tablet หรือ iPad นั้น ก็ต้องการอะแดปเตอร์ที่รองรับกำลังไฟที่มากกว่าสมาร์ทโฟน เมื่อให้สามารถชาร์จได้เร็ว ชาร์จไว แบกเตอรี่เต็มไว พร้อมสำหรับการใช้งานไวมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้งานกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับการชาร์จไวได้ด้วย ทีมงาน NotebookSPEC จึงอยากมาแนะนำหัวชาร์จไอแพดที่สามารถชาร์จได้ไว ได้มาตรฐาน แบตเตอรี่เต็มทันใจพร้อมใช้งาน


แนะนำหัวชาร์จไอแพด ชาร์จเร็ว ชาร์จไว ได้มาตรฐาน

เทคโนโลยีสำหรับการชาร์จไว อย่าง PD charge หรือ USB Power Delivery (USB-PD) นั้น เป็นเทคโนโลยีจากกลุ่มผู้พัฒนา USB ที่สามารถรองรับกำลังไฟฟ้าได้หลากหลาย รวมถึงรองรับกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากมาย ไม่จำกัดอยู่เพียงสมาร์ทโฟนเท่านั้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นการจ่ายไฟผ่านช่องชาร์จ USB Type-C

Advertisementavw

หัวชาร์จไอแพดที่ทีมงานได้นำมาแนะนำกันนั้น ไม่เพียงแต่จะใช้ชาร์จ iPad เท่านั้น ยังสามารถใช้งานกับการชาร์จแท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟนจากค่ายอื่นๆ รวมไปถึงอุปกรณ์อื่นๆ อย่าง Power Bank, หูฟังบลูทูธ ฯลฯ แต่ถึงแม้ว่าตัวอะแดปเตอร์จะสามารถจ่ายไฟได้สูง แต่ตัว iPad เองนั้น ในปัจจุบัน ยังคงมีความสามารถในการรับไฟได้สูงสุดอยู่ที่ประมาณ 35W เท่านั้น แต่สำหรับอุปกรณ์อื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกรณ์ที่รองรับการชาร์จไว ก็อาจสามารถรับไฟได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งอะแดปเตอร์ที่ทีมงานนำมาแนะนำนั้น ก็จะเป็นหัวชาร์จที่รองรับการชาร์จไวที่มีกำลังระดับปานกลางไปจนถึงค่อนข้างสูง สามารถใช้กับอุปกรณ์ได้หลากหลายเลย และบางตัวก็มีเทคโนโลยี GaN ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการชาร์จไฟยิ่งขึ้นไปอีกด้วย

หัวชาร์จไอแพด ราคา กำลังไฟ การรองรับอุปกรณ์
UGREEN GaN Fast Charger 65W 8xx – 1,0xx บาท 65W – Laptop
– สมาร์ทโฟน
– แท็บเล็ต
– อุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับ
ZMI HA716 20W 2xx – 6xx บาท 20W – สมาร์ทโฟน
– แท็บเล็ต
– อุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับ
Baseus Super Si Quick Charger Adapter 1C 20W 599 บาท 20W – สมาร์ทโฟน
– แท็บเล็ต
– อุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับ
Apple 20W USB-C Power Adapter 790 บาท 20W – สมาร์ทโฟน
– แท็บเล็ต
– อุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับ
Anker PowerPort PD 30W 999 บาท 30W – สมาร์ทโฟน
– แท็บเล็ต
– อุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับ
UGREEN Nexode 45W Charger 8xx – 9xx บาท 45W – สมาร์ทโฟน
– แท็บเล็ต
– อุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับ
ZMI HA719 GaN 30W 599 บาท 30W – สมาร์ทโฟน
– แท็บเล็ต
– อุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับ
AUKEY PA-F1S SWIFT PD Adapter (20W) 299 บาท 20W – สมาร์ทโฟน
– แท็บเล็ต
– อุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับ
Vention FADW0-US Fast Charger 213 บาท 20W – สมาร์ทโฟน
– แท็บเล็ต
– อุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับ
Choetech Dual Charger PD PPS 33W 450 บาท 33W – สมาร์ทโฟน
– แท็บเล็ต
– อุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับ

1. UGREEN GaN Fast Charger 65W

i7

หัวชาร์จไอแพดตัวนี้เป็นอะแดปเตอร์จากทางแบรน UGREEN ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมพอสมควรเลย ความพิเศษของอะแดปเตอร์ตัวนี้คือ มาพร้อมกับเทคโนโลยี GaN ที่รองรับการชาร์จไฟด้วยกำลังไฟสูงสุดถึง 65W ทั้งยังสามารถเข้ากันได้กับเทคโนโลยี PD3.0, QC4.0 +, SCP และ MTK สามารถชาร์จไฟได้หลากหลายอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็น Notebook, Smartphone, Tablet รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ด้วย ตัวอะแดปเตอร์มาพร้อมกับพอร์ตสำหรับจ่ายไฟจำนวน 3 พอร์ตด้วยกัน คือ USB-A 1 พอร์ต และ USB-C 2 พอร์ต สามารถใช้งานพร้อมกันได้ทั้ง 3 พอร์ตเลย อะแดปเตอร์จาก UGREEN ตัวนี้มาพร้อมการรับประกันจากทางแบรนด์ 1 ปี นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็น การป้องกันกระแสไฟเกิน, การป้องกันแรงดันไฟฟ้าเกิน, การป้องกันการไฟฟ้าลัดวงจร, การป้องกันอุณหภูมิเกิน เป็นต้น

ราคา: 8xx – 1,0xx บาท

สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: Shopee


2. ZMI HA716 20W

i3

หัวชาร์จเร็ว หรืออะแดปเตอร์สำหรับชาร์จไฟ ขนาดเล็กกะทัดรัด จาก ZMI แบรนด์ในเครือ Xiaomi ตัวนี้ บอกเลยว่าน่าสนใจมากๆ เพราะด้วยราคาที่ไม่แรงและคุณภาพที่ดี ทำให้แบรนด์นี้ค่อนข้างได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยอะแดปเตอร์ตัวนี้มาพร้อมกับความสามารถในการจ่ายไฟ ด้วยเทคโนโลยีการชาร์จไว PD สูงสุด 20W มาพร้อมกับพอร์ต USB Type-C สำหรับเสียบชาร์จกับอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad, สมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นๆ รวมไปถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่รองรับการชาร์จด้วยพอร์ต Type-C ด้วย ตัวอะแดปเอตร์มีขนาดเล็กกะทัดรัด มีน้ำหนักเบาเพียง 42.8 กรัม สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก มาพร้อมการรับประกัน 2 ปี และยังมีเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การป้องกันกระแสไฟเกิน, การป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร ฯลฯ

ราคา: 2xx – 6xx บาท

สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: ZMI, Shopee


3. Baseus Super Si Quick Charger Adapter 1C 20W

a2

สำหรับอะแดปเตอร์ Baseus Super Si Quick Charger Adapter 1C ตัวนี้มาพร้อมการการรองรับการจ่ายไฟด้วยเทคโนโลยี PD สูงสุด 20W ตัวอะแดปเตอร์ยังมีขนาดเล็กกะทัดรัด สามารถพกพาได้สะดวก สามารถใช้งานชาร์จได้กับอุปกรณ์ที่รองรับการชาร์จเร็ว ไม่ว่าจะเป็น Smartphone ทั้ง iOS และ Android, Tablet, หูฟัง, iPad ฯลฯ โดยทางแบรนด์เคลมว่าสามารถชาร์จไฟได้จาก 0 – 50% ได้ภายในเวลา 30 นาที ตัวอะแดปเตอร์ยังมาพร้อมกับความปลอดภัยด้วยชิปควมคุมกระแสไฟ สามารถที่จะป้องกันการเสียหายจากไฟกระชาก, ไฟตก หรือกระแสไฟเกินได้ด้วย นอกจากนี้ยังมาพร้อมการรับประกัน 1 ปี เมื่อเกิดความเสียหายสามารถเปลี่ยนใหม่ได้ทันทีเลย

ราคา: 599 บาท

สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: Shopee


4. Apple 20W USB-C Power Adapter

อะแดปเตอร์ชาร์จไฟ

เริ่มต้นกันกับหัวชาร์จไอแพด ที่เป็นของแท้จากทาง Apple เองกันเลย กับ Apple USB-C Power Adapter 20W ที่รองรับการชาร์จไฟให้กับอุปกรณ์ได้อย่างรวดเร็ว ทั้ง iPad และ iPhone รวมไปถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ด้วย ตัวอะแดปเตอร์มีขนาดที่กะทัดรัด สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก มาพร้อมกับพอร์ดสำหรับเชื่อมต่อกับสาย USB-C ที่ใช้งานได้หลากหลาย (แต่ถ้าใครซื้อหัวชาร์จตัวนี้ทาง Apple ก็ไม่ได้แถมสายมาให้นะ แต่ไม่ต้องกังวลเพราะในไอแพดรุ่นใหม่ๆ ก็จะมาพร้อมสาย USB Type-C to Type-C อยู่แล้ว

ราคา: 790 บาท

สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: Apple (TH)Shopee


5. Anker PowerPort PD 30W

ipfcg1

หัวชาร์จไอแพดจาก Anker ที่มาพร้อม PD ชาร์จ 30W ตัวนี้รองรับ QC 3.0 และ PowerIQ 2.0 ที่ช่วยให้การชาร์จอุปกรณ์ต่างๆ สามารถชาร์จได้ไวยิ่งขึ้น ดีไซน์ออกแบบมาให้มีความกะทัดรัด วัสดุมีการเคลือบด้าน ส่วนของขาปลั๊กพับเก็บได้ จึงพกพาสะดวกเป็นอย่างมาก ทั้งยังมีไฟ LED แสดงสถานะการชาร์จด้วย ตัวหัวชาร์จมาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็น การป้องกันไฟกระชาก, ป้องกันไฟเกิน, ไฟลัดวงจร, รวมไปถึงมีเซ็นเซอร์สำหรับการตรวจจับความร้อนด้วย ในส่วนของพอร์ตการเชื่อมต่อนั้น Anker รุ่นนี้ มีด้วยกัน 2 พอร์ตคือ ช่องสำหรับสาย USB-A และ USB-C ตัวหัวชาร์จรองรับการชาร์จอุปกรณ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Tablet, Smartphone ไปจนถึง Laptop อีกด้วย

ราคา: 999 บาท

สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: Shopee


6. UGREEN Nexode 45W Charger

UGREEN

สำหรับหัวชาร์จหรืออะแดปเตอร์จาก UGREEN รุ่นนี้มาพร้อมกับเทคโนโลยี GaN ที่สามารถชาร์จได้ไวถึง 45W เหมาะสำหรับการชาร์จทั้งสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต โดยมีช่องสำหรับเสียบสายชาร์จด้วยกัน 2 ช่อง และเป็น USB-C ทั้ง 2 ช่องเลย สามารถแบ่งการชาร์จพร้อมกันได้เป็น 25W+20W ตัวหัวชาร์จมีดีไซน์กะทัดรัน ขนาดใกล้เคียงกับที่ชาร์จสมาร์ทโฟนทั่วไป ในส่วของขาปลั๊กสามารถพับเก็บได้ ทำให้พกพาได้สะดวก ไม่เกะกะ ตัวอะแดปเตอร์รองรับการชาร์จทั้ง  iPhone, iPad และ MacBook Air รวมถึงสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตรุ่นอื่นๆ ในส่วนของวัสดุภายนอกเป็น UL94-V0 Fireproof กันไฟ มาพร้อมระบบความปลอดภัยที่ล้ำสมัย โดยเฉพาะการป้องกันการเกิดความร้อนที่สูงเกินไปขณะจ่ายไฟ รวมถึงกันการชาร์จไฟ และควบคุมแรงดันไฟไม่ให้จ่ายไฟเกิน เป็นต้น

ราคา: 8xx – 9xx บาท

สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: Shopee


7. ZMI HA719 GaN 30W

ipfcg2

ZMI HA719 GaN 30W รุ่นนี้ เป็นหัวชาร์จไอแพดที่มีน้ำหนักเบา ขนาดเล็กกะทัดรัด ส่วนของขาปลั๊กสามารถพับเก็บได้ สะดวกและง่ายต่อการพกพา รองรับการชาร์จกับอุปกรณ์ที่หลากหลาย ทั้ง iPad, iPhone, AirPods รวมไปถึงสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ที่รองรับการชาร์จผ่านพอร์ต USB-C มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การป้องกันอุณหภูมิเกิน, การป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร, การป้องกันฟ้าผ่า, กระแสไฟเกิน และป้องกันแรงดันไฟเกิน และด้วยเทคโนโลยี GaN Gen 3 และ PD 30W นั้น ส่งผลให้หัวชาร์จรุ่นนี้ สามารถชาร์จ iPhone 14 Pro Max ได้เต็ม 0 – 100% ภายใน 1 ชม. 35 น. และชาร์จ iPad Pro 12.9″ ได้เต็ม 0 – 100% ภายในเวลาประมาณ 2 ชม.

ราคา: 599 บาท

สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: Shopee


8. AUKEY PA-F1S SWIFT PD Adapter (20W)

ipfcg3

AUKEY PA-F1S SWIFT PD Adapter รุ่นนี้ เป็นหัวชาร์จไอแพดที่รองรับการชาร์จไว 20W รองรับทุกอุปกรณ์ที่ใช้การชาร์จผ่านพอร์ต USB-C ดีไซน์ออกแบบมาให้มีความกะทัดรัด ทันสมัย ส่วนของขาปลั๊กสามารถพับเก็บได้ จึงพกพาสะดวก มีน้ำหนักเบา ตัวอะแดปเตอร์มาพร้อม Advance Multiple Level Protection System ที่เป็นเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยขั้นสูง ช่วยให้การชาร์จแบตเตอรี่อุปกรณ์มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ป้องกันไฟรั่ว, ไฟช็อต, ความร้อนเกิน, การชาร์จไฟเกิน เป็นต้น นอกจากนี้หัวชาร์จรุ่นนี้ยังผ่านการรับรองและได้มาตรฐาน UL (UL-certified) มาตราฐานความปลอดภัยจากสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

ราคา: 299 บาท

สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: Shopee


9. Vention FADW0-US Fast Charger

ipfcg4

หัวชาร์จไอแพดจาก Vention รุ่นนี้มาพร้อมราคาที่ค่อนข้างถูก แต่ประสิทธิภาพในการชาร์จดี สามารถชาร์จได้ไว 20W หัวชาร์จรุ่นนี้ยังมีโปรโตคอล PPS/PD3.0/QC4.0/AFC/FCP/BC1.2/Apple 2.4A รองรับการชาร์จแบตเตอรี่กับอุปกรณ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น แท็บเล็ต, สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับการชาร์จผ่านพอร์ต USB-C มาพร้อมเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นป้องกันอุณหภูมิเกิน, ป้องกันแรงดันไฟเกิน เป็นต้น

ราคา: 213 บาท

สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: Shopee


10. Choetech Dual Charger PD PPS 33W

ipfcg5

หัวชาร์จไอแพดจาก Choetech รุ่น Dual Charger PD PPS 33W ที่มีขนาดเล็กกะทัดรัด พกพาง่าย น้ำหนักเบาด้วยวัสดุที่เป็นพลาสติก ABS เกรดคุณภาพ มีช่องสำหรับการเสียบสายชาร์จถึง 2 ช่องด้วยกัน ทั้ง USB-A และ USB-C สามารถชาร์จอุปกรณ์พร้อมกันได้ 2 เครื่อง ตัวหัวชาร์จมีเทคโนโลยีสำหรับความปลอดภัยมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การป้องกันแรงดันเกิน, การป้องกันอุณหภูมิเกิน, การป้องกันการลัดวงจร, และปรับกำลังไฟอัตโนมัติตามความการรองรับของอุปกรณ์

ราคา: 450 บาท

สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: Shopee


และทั้งหมดนี้ก็คือหัวชาร์จไอแพดที่ทีมงานได้นำมาแนะนำกัน ซึ่งจะเป็นหัวชาร์จเร็วที่สามารถจ่ายไฟได้ตั้งแต่ 20W ขึ้นไป และถึงแม้ว่าไอแพดในปัจจุบันนั้นสามารถรองรับกำลังไฟได้เป็นจำนวนมาก แต่ก็ได้มีผู้ทำการทดลองชาร์จและพบว่าสามารถรับกำลังไฟได้สูงสุดอยู่ที่ประมาณ 35W เท่านั้น หัวชาร์จที่ทีมงานนำมาแนะนำจึงเป็นอะแดปเตอร์ที่สามารถจ่ายไฟได้ตั้งแต่ 20W ไปจนถึง 65W สำหรับใครที่สนใจก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมและหาซื้อมาใช้งานกันได้เลย


อ่านบทความเพิ่มเติม / เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

แอพหาเพื่อนคุย, แอพหาคู่
โปรแกรมจําลอง Android
แอพ Yami แอพไลฟ์สด
LightPDF, แปลงไฟล์ PDF
AppLive
Western Digital World Backup Day 2023
Brave Browser ดีไหม, Brave Browser คือ
เมาส์บลูทูธ iPad, เมาส์บลูทูธใช้กับ iPad
ยื่นภาษีออนไลน์ 2565
แอพหางาน part time, แอพหางานต่างประเทศ
แอพสีชมพู

from:https://notebookspec.com/web/700344-ipad-fast-charge-adapter-suggestion

UGREEN GaN Fast Charger ชาร์จไวไม่สะดุด ร้อนน้อย ทนทาน ต่อได้ 3 อุปกรณ์ เล่นเกมได้ต่อเนื่อง

UGREEN GaN PD Fast Charger ชาร์จได้ไว ต่อได้ 3 อุปกรณ์ มือถือ แท็ปเล็ต โน๊ตบุ๊คใช้งานต่อเนื่องไม่สะดุด

UGREEN

UGREEN Nexode & GaN X Fast Charger ในปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะกับคนที่มีชีวิตที่รีบเร่ง ต้องการความสะดวกรวดเร็ว ลดเวลาการชาร์จไฟอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นมือถือ โน๊ตบุ๊คหรือแท็ปเล็ต เพื่อให้ใช้งานนอกบ้านได้ยาวนานขึ้น ไม่ต้องเสียเวลากับการเสียบชาร์จแบบเดิมๆ และยิ่งเป็นอแดปเตอร์ขนาดเล็ก ก็ยิ่งน่าสนใจ เนื่องจากพกพาไปที่ต่างๆ ได้ง่ายกว่า เช่นเดียวกับ Nexode และ GaN X รุ่นใหม่ ที่เราได้นำมาแนะนำกันในครั้งนี้ เป็นตัวช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับการชาร์จไฟอุปกรณ์ของคุณ ด้วยคุณสมบัติ GaN มีทั้งแบบ 45W และ 65W ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างหลากหลาย สะดวกต่อการใช้งาน ซึ่งครั้งนี้มีให้ดูกันถึง 4 รุ่น ประกอบด้วย UGREEN Nexode และ GaN X มีให้เลือกทั้ง 45W และ 65W

สำหรับ GaN Technology นั้นหลายท่านก็พอทราบข้อมูลกันไปแล้วว่า เป็นอแดปเตอร์ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Gallium Nitride แกลเลียมไนไตรด์ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากให้กระแสไฟฟ้าที่ดีขึ้น รวมถึงเกิดความร้อนน้อยลง เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีที่ใช้กันก่อนหน้านี้ และที่สำคัญเมื่อนำมาใช้กับหัวชาร์จหรืออแดปเตอร์ สามารถทำให้มีขนาดเล็กลง ดังที่ได้เห็นกันในที่ชาร์จรุ่นใหม่ๆ ของทาง UGREEN นี้

Advertisementavw

จุดเด่น

  • วัสดุแข็งแรง ทนทาน
  • ลดความร้อนในระหว่างการชาร์จได้ดี
  • มีเทคโนโลยี GaN ให้ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น
  • ขนาดกระทัดรัด
  • ชาร์จไฟอุปกรณ์ได้ไว

ข้อสังเกต

  • น่าจะเพิ่มสายชาร์จแบบเริ่มต้นมาให้บ้าง
  • ถ้ามีแสงไฟสถานะมาในตัวก็จะดีไม่น้อย

UGREEN Fast Charger


UGREEN Nexode 45W Charger

UGREEN

UGREEN Nexode 45W Charger เป็นหัวชาร์จอแดปเตอร์ระดับ 45W เหมาะกับสมาร์ทโฟนและแท็ปเล็ต มาในแบบหัวชาร์จ USB-C จำนวน 2 พอร์ต กำลังชาร์จรวมกันที่ 45W หรือแบ่งการชาร์จพร้อมกัน 2 หัว แบ่งเป็น 25W+20W มิติที่ค่อนข้างเล็กกระทัดรัด มิติใกล้เคียงกับอแดปเตอร์ชาร์จของมือถือทั่วไป รองรับการชาร์จได้ทั้ง iPhone, iPad และ MacBook Air รวมถึงกลุ่มของมือถือ Samsung รุ่นใหม่ๆ อย่าง Galaxy S22 และ S22 Ultra รวมถึงบรรดา Z Fold, Z Flip และ Galaxy Note เป็นต้น การออกแบบทำออกมาได้อย่างมีสไตล์ ด้วยวัสดุที่ดูแข็งแรง และเกิดรอยได้ยาก วัสดุภายนอกเป็น UL94-V0 Fireproof กันไฟ มาพร้อมระบบความปลอดภัยที่ล้ำสมัย โดยเฉพาะการป้องกันการเกิดความร้อนที่สูงเกินไปขณะจ่ายไฟ รวมถึงกันการชาร์จไฟ และควบคุมแรงดันไฟไม่ให้จ่ายไฟเกินเป็นต้น

UGREEN Nexode 45W Charger
Connectivity Technology USB C
Connector Type USB Type C, Dual USB C Ports
Compatible Devices For Notebook, such as MacBook Air 13′(2018) /
MacBook 12′ / MacBook Pro 13′ / MacBook Pro 15,
Dell XPS 13 , Chromebook and etc
For Tablet, such as iPad Pro / iPad Air / iPad /
iPad mini
Compatible For Nintendo Switch, Airpods Pro, etc
For iPhone, such as iPhone 13 / iPhone 13 Pro /
iPhone 13 Pro Max / iPhone 13 Mini / iPhone 12 Pro /
iPhone 12 Pro Max / iPhone 12 mini / iPhone 12 /
iPhone 11 Pro / iPhone 11 Pro Max / iPhone 11 /
iPhone SE 2020 / iPhone XS / iPhone XS Max /
iPhone XR / iPhone X / iPhone 8 / iPhone 8 Plus
For Samsung, Galaxy S22 Ultra / S22 / S22 Plus /
S21 FE / S21 / S21 Ultra / S21 Plus / S20 / S20 Ultra /
S20 Plus / S20 FE / Note 20 / Note 10 / S10 / S9 /
S8 / Z Fold 3 / Z Flip 3 / Z Fold 2 / Z Flip 5G / Z Flip /
Fold 5G / Fold / Galaxy Note 20 / Note 20 5G /
Note 20 Ultra 5G / Note 10 / Note 10 5G /
Note 10 Plus / Note 10 Plus 5G / Note 9 /
Note 8; For Google, Pixel 6 / Pixel 6 Pro / Pixel 5 /
Pixel 4a / 4XL
For Earbuds, AirPods / AirPods Pro / AirPods Max /
MagSafe Wireless Charger / MagSafe Duo;
Xperia 1 II/Xperia 1 IV/Xperia PRO-I/Xperia 1 III/
Xperia 5 III,Moto edge S30/edge s pro/edge/moto g71
Special Feature 45W Dual USB C Wall Charger, 25W PPS for
Galaxy S22, 45W Max Output, 45W
Samsung Super Fast Charger,
Upgrade GaN Tech for Safer and Smaller
Wattage 45 watts
Warranty 2 Year
UGREEN

ภายในกล่องประกอบด้วย หัวชาร์จหรืออแดปเตอร์ เอกสารแนะนำผลิตภัณฑ์และคู่มือการใช้งาน ค่อนข้างจะเรียบง่ายทีเดียว

UGREEN

หัวชาร์จมาในแบบสีเหลี่ยมผืนผ้าขนาดกระทัดรัด โทนสีเทาเข้ม มิติประมาณ 3.8cm x 3.8cm x 4.8cm เท่านั้น

UGREEN

การออกแบบที่จัดว่าเรียบง่าย แต่ใช้วัสดุที่ดูพรีเมียม อันเป็นเอกลักษณ์ของหัวชาร์จค่ายนี้

ขาปลั๊กเป็นแบบ 2 ขา พับซ่อนในตัวได้ ซึ่งเหมาะกับการพกพาและจัดเก็บ ตัวขาจัดว่าแน่นแข็งแรงดีทีเดียว

UGREEN

ที่ชาร์จจะมีเป็นแบบ USB-C มาให้ 2 ชุด ตามภาพนี้จะแบ่งเป็น C1 และ C2 โดยการชาร์จหัวเดียว จะใช้ได้ที่ 45W เต็ม แต่ถ้าต่อ 2 อุปกรณ์ จะแบ่งเป็น C1 25W และ C2 20W

UGREEN

เมื่อใช้งานสามารถกางขาปลั๊กออกมา แล้วต่อเข้ากับ Wall Plug หรือปลี๊กรางได้ทันที

UGREEN

จากตัวอย่างนี้จะเห็นได้ว่า สามารถต่อเข้ากับปลั๊กรางในแบบ Type-A, B และ Type-C ได้ทันที และไม่ทำให้เสียพื้นที่ด้านข้างไปมากนัก

UGREEN

ในการทดสอบ เราลองเสียบชาร์จไฟให้กับ Samsung Galaxy S21FE ซึ่งรองรับ Fast Charger 25W เป็นเวลา 20 นาที สามารถชาร์จไฟได้ถึง 23% เลยทีเดียว ก็จัดว่าในช่วงเวลารีบเร่ง คุณสามารถชาร์จไฟบนมือถือรุ่นนี้ได้ถึง 1/4 ของเครื่อง นำไปใช้งานข้างนอกได้อย่างรวดเร็ว

UGREEN

มิติเมื่อเทียบกับอแดปเตอร์ชาร์จไฟทั่วไป มิติอาจจะดูใหญ่กว่าเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบกับรุ่นที่มีแรงดันไฟใกล้เคียงกัน UGREEN 45W รุ่นนี้ถือว่าเล็กกว่าพอสมควรครับ เพราะขนาดเล็กกว่าฝ่ามือ สามารถใส่กระเป๋าถือคุณผู้หญิงได้สบาย การพกพาถือว่าง่าย พับขาปลั๊กเก็บได้อีกด้วย สนนราคา UGREEN Nexode 45W Charger รุ่นนี้อยู่ที่ 1,090 บาท


UGREEN GaN X 65W Fast Charger

UGREEN

UGREEN GaN X 65W รุ่นนี้ มาในไซส์ขนาดกลาง เพราะมาพร้อมกับพอร์ต 3 พอร์ต แต่ยังคงเป็นที่ชาร์จ 65W ขนาดจะเล็กกว่า 65W ที่เป็น 4 พอร์ตเกือบครึ่ง และสิ่งที่้น่าสนใจคือ รองรับการชาร์จร่วมกับอุปกรณ์ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของ iOS iPhone, iPad หรือจะเป็น MacBook Air ไปจนถึง Android เป็นต้น โดยมีเทคโนโลยี GaN ที่ให้ประสิทธิภาพการชาร์จไฟที่สูง และลดความร้อนลง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ซื้อมือถือหรือแท็ปเล็ต ที่ไม่ได้มีอแดปเตอร์ชาร์จมาให้ รองรับการชาร์จไฟได้สูงสุด 65W ร่วมกับพอร์ต USB-C ที่มีให้ รวมถึง USB-A ที่ได้สูงสุด 22.5W รองรับ PD Charging มีดีไซน์สวยงาม กับวัสดุที่แข็งแรงทนทาน ประกัน 2 ปี ราคา 1,090 บาท

Charging Port 2 USB-C + 1 USB-A
USB-C1/C2 Output 5V/3A, 9V/3A, 12V/3A, 15V/3A, 20V/
3.25A, 3.3-21V/3A; 65W Max.
USB-A Output 5V/3A, 9V/2A, 12V/1.5A, 4.5V/
5A, 5V/4.5A; 22.5W Max.
Fast Charging Protocol PD 3.0/2.0; QC 4.0+/4.0/3.0/
2.0; 5V/1A; 5V/2.4A; AFC; SCP; PPS
Input 100-240V, 50/60Hz 2.3A Max.
Compatibility Compatible with MacBook Air 13”(2018) /
MacBook Air 2020/ MacBook 12”/ MacBook Pro 13” (2019)/
MacBook Pro 15”; Microsoft Surface Pro 6;
HP Spectre X360/ Spectre X2/ Spectre Folio/
ELITE BOOK 830 G5; Dell XPS 13”, Lenovo X1/
E490/ THINKPAD X390; Huawei MateBook X Pro/
MateBook X/ MateBook13;
Samsung Notebook9(950XBE); Xiaomi Air and More.
Compatibility Compatible with iPad Pro 12.9”/ iPad Pro 10.5″/
iPad Pro 11″/ iPad mini/ iPad Air/ Dell XPS 13 9360/
9380, ThinkPad E490, HP Spectre Folio,
ThinkPad X390, Google Pixelbook,
Microsoft Surface Book 2, and iPad 2018 and later.
Compatibility Compatible with iPhone 14/iPhone 14 Pro/
iPhone 14 Pro Max/ 13/ 13 Mini/ 13 Pro/
13 Pro Max/ 12/ 12 Pro/ 12 mini/ 12 Pro Max/
SE 2020/ 11/ 11 Pro/ 11 Pro Max/ XS/ XS Max/
XR/ X/ 8 Plus/ 8/ 7 Plus/ 7/ 6 Plus, Galaxy S23 Ultra/
S23/ S22/ S21/ S21+/ S21 Ultra/ Galaxy S10/
S10+/ S10e/ S9/ S9+/ S8/ S8+, Note 20/
20 Ultra/ 10/ 9/ 8, Pixel 6 Pro/ 6/ 5a/ 5/ 4a/
4/ 3a/3XL/ 3/ 2 XL/ 2, and More.
Wattage 65W
Warranty 2 Year
UGREEN

ภายในกล่องมีคู่มือแนะนำการใช้งาน และตัวอุปกรณ์ชาร์จ UGREEN มาให้เท่านั้น ไม่ได้มีสายต่อ USB มาให้แต่อย่างใด

UGREEN

กับบอดี้ที่ดูทันสมัย มาในโทนสีเทาเข้ม ซึ่งเป็นแบบที่ใช้ในหลายรุ่น มีระบุ 65W ไว้อย่างชัดเจนบนตัวผลิตภัณฑ์

โดยมิติของหัวชาร์จรุ่นนี้อยู่ที่ประมาณ 2.9cm x 3.8cm x 6.7cm โครงสร้างที่ดูแข็งแรง วัสดุเป็นแบบทนไฟ UL94-V0 ที่เป็นมาตรฐานความปลอดภัย ให้กับผู้ใช้ได้มั่นใจได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องความร้อนมากนัก

UGREEN

พอร์ตการชาร์จมีให้ 3 พอร์ตด้วยกัน ประกอบด้วย USB-C 2 พอร์ต จ่ายไฟได้สูงสุด 65W 21V/3A รองรับการชาร์จได้ทั้งแท็ปเล็ตหรือโน๊ตบุ๊ค ไม่ว่าจะเป็น iPad, MacBook Air, HP EliteBook, Dell XPS หรือจะเป็น Huawei Matebook ในบางรุ่น

UGREEN

ขาปลั๊กเป็นแบบ 2 ขาแบบเดียวกับในหลายๆ รุ่น สามารถพับเก็บได้ และมีความแข็งแรงมากพอสมควร ไม่ต้องกังวลเมื่อเสียบเข้ากับปลั๊กไฟ และด้านข้าง ยังมีรายละเอียดของการจ่ายไฟระบุเอาไว้ครบครัน ทั้งแรงดันไฟ และพอร์ตต่างๆ

UGREEN

มาพร้อมกับพอร์ตจ่ายไฟ 3 พอร์ตด้วยกัน ประกอบด้วย USB-C 2 พอร์ต และ USB-A อีก 1 พอร์ต โดยที่พอร์ต USB-C1 หรือ USB-C2 หากใช้พอร์ตเดียว จะจ่ายไฟได้สูงสุด 65W ซึ่งถ้าคุณใช้มือถือบางรุ่น หรือจะเป็นโน๊ตบุ๊คที่เป็นแบบ 45W ขึ้นไป แนะนำให้ใช้ USB-C ในการชาร์จ แต่ถ้ามีสมาร์ทโฟน และโน๊ตบุ๊คระดับ 30W สามารถใช้งาน USB-C ทั้งสองช่องได้ หรือจะชาร์จมือถือผ่าน USB-A ก็ได้เช่นกัน โดยจะรองรับการชาร์จสูงสุด 22.5W ที่ 5V/4.5A

UGREEN

ในส่วนของบอดี้ทำออกมาได้ดี น่าใช้ และมีความพรีเมียมกับวัสดุที่แข็งแรง สามารถทนต่อแรงกระแทก และยังลดความร้อนที่เกิดขึ้นขณะใช้งานได้

UGREEN

เมื่อเสียบเข้ากับปลั๊กรางในบ้าน จะมีความสูงเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย แต่ในแง่ของความแน่นหนา ทำได้ดีทีเดียว เรื่องของขาปลั๊ก ก็ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ควรให้ความสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว

UGREEN

ในการทดสอบของเรา ใช้การชาร์จไฟร่วมกับโน๊ตบุ๊ค Dell XPS 13 ซึ่งรองรับ Fast Charge 65W โดยใช้เวลาชาร์จ 20 นาที ผ่านทางช่อง USB-C Thunderbolt 4 สามารถชาร์จไฟได้ถึง 27% เลยทีเดียว แบบที่ไม่ได้ปิดเครื่องชาร์จ ต้องถือว่าตอบโจทย์ผู้ใช้โน๊ตบุ๊คได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะผู้ที่ใช้โน๊ตบุ๊คที่รองรับการชาร์จระดับ 45-65W

UGREEN

มิติของหัวชาร์จ UGREEN GaN X 65W เล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับอแดปเตอร์ชาร์จโน๊ตบุ๊คระดับ 65W ประมาณครึ่งหนึ่ง และยังน้ำหนักเบากว่า จึงเหมาะกับการพกพา แทนที่ตัวชาร์จโน๊ตบุ๊คที่อาจจะไม่สะดวกมากนัก อีกทั้งมีพอร์ตให้ต่อพ่วงถึง 3 ช่องด้วยกัน รองรับการชาร์จโน๊ตบุ๊คที่ใช้พลังงานน้อย อย่างรุ่นที่เป็นซีพียู Intel U series โดยใช้ร่วมกับการต่อมือถือไปพร้อมๆ กันได้อีกด้วย สนนราคา 1,390 บาท


UGREEN Nexode Dual USB-C PD GaN Fast Charger 45W

UGREEN

UGREEN Nexode Dual USB-C PD GaN Fast Charger 45W รุ่นนี้จะคล้ายกับใน Nexode 45W Charger รุ่นแรกที่เป็น PD GaN 45W เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการรองรับกำลังไฟสูงสุด 45W ที่ 4.05A เลือกใช้ได้ทั้งในช่อง USB-C1 หรือ C2 ก็ตาม สามารถใช้ร่วมกับสมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะเป็น iOS อย่าง iPhone หรือกลุ่มของ Android ที่ส่วนใหญ่จะมีตั้งแต่ 15W ไปจนถึง 45W อย่าง Samsung Galaxy Note หรือ Galaxy S22 Ultra ก็ตาม รวมถึงแท็ปเล็ตที่จะรองรับการชาร์จในระดับ 45W เช่นเดียวกัน และโน๊ตบุ๊คที่เป็นแบบบางเบานั่นเอง มาพร้อมพอร์ต USB-C จำนวน 2 ช่อง และบอดี้ที่ออกแบบมาในลักษณะเดียวกันกับ UGREEN Nexode ซึ่งดูพรีเมียมและแข็งแกร่งเลยทีเดียว

ตัวกล่องจะต่างจาก Nexode 45W GaN Charger อยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นกราฟิก รายละเอียดและขนาดกล่อง แต่ถ้าดูในข้อมูลการชาร์จและการจ่ายไฟ แทบไม่ต่างกันเลย

UGREEN
UGREEN

เอกสารและคู่มือแนะนำการใช้งาน ก็เรียกว่าบอกข้อมูลได้ค่อนข้างดี แต่โดยส่วนตัวมองว่า ข้อมูลจากหน้าและหลังกล่องก็แทบจะบอกเอาไว้หมดแล้ว

UGREEN

ตัวอุปกรณ์มาในดีไซน์ที่ดูทันสมัย คู่กับกล่องที่เป็นโทนสีขาว ตัดลายสีเขียวที่เป็นเอกลักษณ์ของค่ายนี้

UGREEN

โลโก้ UGREEN สีเงิน ตัดกับพื้นขาวของบอดี้ได้อย่างลงตัว ซึ่งจะดูต่างจากรุ่นแรก ที่มาในโทนสีเทาเข้ม ซึ่งผมว่ารุ่นนี้น่าจะเข้าธีมกับฝั่งผู้ใช้ iPhone, iPad ได้ดีทีเดียว

ขาปลั๊กเป็นแบบ 2 ขา พับเก็บและกางออกได้พร้อมใช้งาน ซึ่งขานี้ค่อนข้างแข็งแรงเลยทีเดียว เหมาะอย่างยิ่งกับคนที่ต้องใช้งานปลั๊กที่เน้นความทรหด จะได้ไม่เลื่อนหลุดจากเต้าเสียบได้ง่าย

UGREEN

บริเวณด้านใต้ตรงขาปลั๊ก มีรายละเอียดของกำลังไฟและแรงดันไฟในการชาร์จอุปกรณ์ ซึ่งขนาดจะเล็กมากหน่อย แต่ก็เผื่อเอาไว้ในกรณีที่จะใช้งานบางอย่าง

UGREEN

มิติของ NEXODE USB-C PD GaN รุ่นนี้ เท่ากันกับ PD GaN 45W เลยคือประมาณ 3.8cm x 3.8cm x 4.8cm พกพาใส่กระเป๋าได้ง่าย ไม่เกะกะ

UGREEN

หัวชาร์จรุ่นนี้จะมีเป็นแบบ USB-C มาให้ 2 ชุดเช่นกัน โดยจะแบ่งเป็น USB-C1 และ C2 โดยการชาร์จหัวเดียว จะใช้ได้ที่ 45W เต็ม แต่ถ้าต่อ 2 อุปกรณ์ จะแบ่งเป็น C1 25W และ C2 20W

UGREEN

ในการทดสอบของเราใช้ชาร์จกับสมาร์ทโฟน Samsung Galaxy S21 FE ที่สนับสนุนการชาร์จ PD Fast Charging 25W สามารถชาร์จไฟได้ถึง 25% ในเวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น ก็จัดว่าทำได้ค่อนข้างเร็วไม่ต่างไปจากที่เราได้ทดสอบไปก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะการชาร์จไฟให้ 2 อุปกรณ์พร้อมกัน ก็ทำได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นแท็ปเล็ต พร้อมกับสมาร์ทโฟน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีอุปกรณ์ไอทีพกพาไม่เยอะมาก ต้องการความคล่องตัว ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน แท็ปเล็ตหรือบรรดา Wearable เช่นหูฟัง Smart Watch รวมไปถึงเพาเวอร์แบงก์เป็นต้น ราคาของรุ่นนี้อยู่ที่ 1,090 บาท


UGREEN Nexode 3-Port PD GaN 65W Fast Charger

UGREEN

มาถึง UGREEN Nexode 3-Port PD GaN Fast Charger ซึ่งมาในแบบ 3 พอร์ตชาร์จ เช่นเดียวกับ GaN X 65W Fast Charger ในรุ่นที่เราได้นำเสนอไป แต่มาในโทนสีขาว กับเทคโนโลยีที่อัดแน่นมาเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น GaN II ที่ลดความร้อนขณะทำงาน ขนาดกระทัดรัด มีระบบป้องกันการชาร์จเกิน อุณหภูมิที่สูงเกินไป และป้องกันแรงดันไฟสูงเกิน และป้องกันการลัดวงจร ทำให้ใช้งานหลายอุปกรณ์พร้อมกันได้อย่างอุ่นใจ โดยมีพอร์ต USB-C 2 พอร์ต และ USB-A 1 พอร์ต ให้การชาร์จสูงสุด 65W รองรับอุปกรณ์โมบายที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad, โน๊ตบุ๊ค หรือ สมาร์ทโฟนในกลุ่ม Android ได้ดีทีเดียว รวมถึงเครื่องเล่นเกมและ Wearable อย่างเช่น Nontendo Switch, Steam deck หรือ AirPods เป็นต้น ขนาดกระทัดรัด เล็กกว่าที่ชาร์จระดับ 65W ครึ่งหนึ่ง มาในโทนสีขาวสะอาดตา

USB-C1/C2 Output 5V/3A, 9V/3A, 12V/3A, 15V/3A,
20V/3.25A, 3.3-21V/3A; 65W Max.
USB-A Output 5V/3A, 9V/2A, 12V/1.5A, 4.5V/
5A, 5V/4.5A; 22.5W Max.
Fast Charging Protocol PD 3.0/2.0; QC 4.0+/4.0/3.0/
2.0; 5V/1A; 5V/2.4A; AFC; SCP; PPS
Input 100-240V, 50/60Hz 2.3A Max.
Product Size 2.59×1.57×1.22″; 4.58oz
Compatibility Compatible with MacBook Air 13”(2018) /
MacBook Air 2020/ MacBook 12”/
MacBook Pro 13” (2019)/ MacBook Pro 15”;
Microsoft Surface Pro 6; HP Spectre X360/
Spectre X2/ Spectre Folio/ ELITE BOOK 830 G5;
Dell XPS 13”, Lenovo X1/ E490/ THINKPAD X390;
Huawei MateBook X Pro/ MateBook X/
MateBook13; Samsung Notebook9(950XBE);
Xiaomi Air and More.
Compatibility Compatible with iPad Pro 12.9”/ iPad Pro 10.5″/
iPad Pro 11″/ iPad mini/ iPad Air/ Dell XPS 13 9360/9380,
ThinkPad E490, HP Spectre Folio, ThinkPad X390,
Google Pixelbook, Microsoft Surface Book 2,
and iPad 2018 and later.
Compatibility Compatible with iPhone 14/iPhone 14 Pro/
iPhone 14 Pro Max/ 13/ 13 Mini/ 13 Pro/
13 Pro Max/ 12/ 12 Pro/ 12 mini/ 12 Pro Max/
SE 2020/ 11/ 11 Pro/ 11 Pro Max/ XS/ XS Max/
XR/ X/ 8 Plus/ 8/ 7 Plus/ 7/ 6 Plus, Galaxy S23 Ultra/
S23/ S22/ S21/ S21+/ S21 Ultra/ Galaxy S10/
S10+/ S10e/ S9/ S9+/ S8/ S8+, Note 20/
20 Ultra/ 10/ 9/ 8, Pixel 6 Pro/ 6/ 5a/ 5/ 4a/ 4/
3a/3XL/ 3/ 2 XL/ 2, and More.
UGREEN
UGREEN

เมื่อแกะกล่องออกมา เป็นแบบเดียวกับในทุกรุ่นที่เรานำมาแนะนำกันในวันนี้ คือมีอุปกรณ์ที่ชาร์จ และเอกสารแนะนำ รวมถึงคู่มือการใช้งานมาให้เป็นมาตรฐาน

UGREEN

บอดี้มาในโทนสีขาวตลอดทั้งตัว วัสดุแข็งแรง และมีความสวยงาม เข้ากับอุปกรณ์หลายอย่างในบ้านได้ มิติอยู่ที่ประมาณ 2.9cm x 3.8cm x 6.7cm วัสดุเป็นแบบทนความร้อนได้สูง มาตรฐาน UL94-V0 ที่ใช้กันในระดับอุตสาหกรรม

ขาปลั๊กแบบคู่ พับเก็บและกางออกได้ มีความแน่นหนาพอสมควร ทำให้เสียบกับปลั๊กไฟที่เป็นแบบติดผนังได้แน่น รวมถึงให้ผู้ใช้สามารถเก็บและพกพาเพื่อการเดินทางสะดวกมากขึ้น

UGREEN

ด้านข้างระบุรายละเอียดของแรงดันไฟ และรองรับอุปกรณ์ระดับต่างๆ ให้ได้ทราบระบุชัดเจนว่าเป็น GaN Fast Charge

UGREEN

พอร์ตชาร์จมีให้ถึง 3 พอร์ตด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น USB-C1, USB-C2 ซึ่งคู่นี้ จะใช้เป็น PD Charger แรงดันไฟสูงสุด 65W กรณีที่เลือกใช้งานพอร์ตใด พอร์ตหนึ่ง ส่วนที่เป็น USB-A จะเป็น QC/FCP 22.5W สำหรับอุปกรณ์ทั่วไป สมาร์ทโฟน แท็ปเล็ตหรือจะเป็นเพาเวอร์แบงก์เป็นต้น

UGREEN
UGREEN
UGREEN

ตามผังด้านบนนี้เป็นการแนะนำการชาร์จร่วมกับอุปกรณ์ ทั้งแบบชาร์จพอร์ตเดียว อุปกรณ์เดียว ไปจนถึง 3 อุปกรณ์พร้อมกัน ผู้ใช้สามารถตรวจเช็จได้เลยว่า ใช้งานเป็นแบบใด และใช้ร่วมกับอุปกรณ์ใด

UGREEN

ในการทดสอบเราใช้การชาร์จร่วมกับโน๊ตบุ๊ค Dell XPS PLUS ที่รองรับการชาร์จร่วมกับอแดปเตอร์ 65W ซึ่งจากการที่เราใช้เวลาชาร์จ 20 นาทีผ่านทางพอร์ต USB-C ของ Thunderbolt 4 นั้น UGREEN Nexode 3-Port PD GaN 65W สามารถชาร์จไฟได้ถึง 28% นับว่าทำได้รวดเร็ว ขนาดยังเล็กกว่าอแดปเตอร์ชาร์จของโน๊ตบุ๊คระดับ 65W เกือบเท่าตัว จึงสามารถพกพาไปชาร์จ หรือชาร์จแบบด่วนๆ เอาไปใช้งานข้างนอกได้ทันท่วงทีอีกด้วย

UGREEN

มิติของ UGREEN Nexode 3-Port PD GaN 65W เมื่อเทียบกับอแดปเตอร์ชาร์จของ โน๊ตบุ๊ค ASUS ExpertBook B5 ที่เป็นแบบ 65W เช่นเดียวกัน จะเห็นได้ว่าขนาดต่างกันพอสมควร โดยทำออกมาได้มิติที่เล็ก และนำมาแทนการชาร์จไฟ เมื่อต้องนำโน๊ตบุ๊คไปใช้นอกสถานที่ได้ดีทีเดียว พกพาได้ง่ายกว่า ไม่เสียพื้นที่ภายในกระเป๋าอีกด้วย ตอบโจทย์กลุ่มคนทำงาน นักเรียน นักศึกษา ไปจนถึงคนที่ต้องพกพาโน๊ตบุ๊คไปใช้งานนอกบ้านบ่อย และคนที่มีอุปกรณ์เยอะ เช่น มือถือ แท็ปเล็ต หูฟัง หรือเครื่องเล่นเกมคอนโซลแบบพกพา เช่น Switch เป็นต้น ราคาอยู่ที่ 1,390 บาท


Conclusion

UGREEN

ต้องถือว่าเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ของเหล่าเกมเมอร์ และสายทำงาน รวมถึงนักแชต ท่องเน็ตนอกบ้านและในบ้าน น่าจะต้องมีติดกระเป๋าเอาไว้ สำหรับ UGREEN Nexode GaN Fast Charger 45W และ 65W ที่จะช่วยให้ผู้ใช้ ทำงานและสนุกสนานได้อย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีอุปกรณ์ใช้งานในแต่ละวันค่อนข้างเยอะ การมีตัวช่วยในการชาร์จเร็ว ขนาดกระทัดรัด พกพาสะดวก รวมถึงมีช่องชาร์จ 2-3 ช่อง ดูจะตอบโจทย์ได้มากกว่า ซึ่งหากคุณมีโน๊ตบุ๊คบางเบา iPhone หรือ MacBook Air หัวชาร์จ 45W ก็เพียงพอต่อการใช้งาน เพียวงแต่หากต้องการเพิ่มช่องทางการชาร์จได้มากขึ้นแบบ 3 ช่องก็ดูเหมาะสม อย่างเช่น ที่เรานำมาในวันนี้ คุณสามารถชาร์จมือถือพร้อมกัน 3 เครื่องได้เลย ลองเลือกใช้ตามความเหมาะสมครับ เพราะสนนราคาหัวชาร์จเหล่านี้ในปัจจุบันเป็นกันเอง น่าใช้มากขึ้น ไม่ต้องพกที่ชาร์จหัวเดียวหรือของเดิมที่มีขนาดใหญ่อีกต่อไป สามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมของ UGREEN แต่ละรุ่นกันได้เลยครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม: UGREEN หัวชาร์จเร็ว PD 65W GaN Tech 3 พอร์ต

ข้อมูลเพิ่มเติม: UGREEN หัวชาร์จเร็ว PD 45W GaN Tech 2 พอร์ต

from:https://notebookspec.com/web/699043-ugreen-gan-fast-charger-65w

PROMATE PrimeBase-C 9-in-1 แท่นวางโน๊ตบุ๊ค เพิ่มพอร์ต ลดร้อน ใช้สะดวก

PROMATE PrimeBase-C 9-in-1 จัดโต๊ะคอมสวย เพิ่มพอร์ต ต่ออุปกรณ์ได้เยอะ วางโน๊ตบุ๊ค ปรับได้ทุกองศา ลดร้อนเร็ว

PROMATE PrimeBase-C

PROMATE PrimeBase-C 9-in-1 ที่วางโน๊ตบุ๊คปรับระดับได้ พร้อมเป็น Hub ต่อพ่วงอุปกรณ์ได้ในตัว ช่วยระบายความร้อนได้ดี แถมยังปรับองศา ให้เหมาะกับสรีระในการใช้งาน เพิ่มความสะดวก ด้วยพอร์ตจำนวนมาก USB, HDMI, Media Card Reader และ RJ-45 สำหรับเชื่อมต่อเครือข่าย รวมไปถึงพอร์ต USB-C PD Charging 100W เพื่อการใช้งานในบ้าน และรองรับงานสำนักงาน พกพาไปใช้งานข้างนอกได้สะดวก รองรับโน๊ตบุ๊คได้หลายขนาด ตัวช่วยที่ดีสำหรับการทำงาน และในชีวิตประจำวัน ลดข้อจำกัดของพื้นที่วาง และการเพิ่มมุมมองได้มากยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ยังช่วยลดความร้อนให้กับโน๊ตบุ๊คได้ในตัว ครบครันทุกการใช้งานในราคา 3,790 บาท


จุดเด่น

  • ปรับมุมองศาให้เหมาะกับการใช้งาน
  • บานพับแข็งแรง รองรับโน๊ตบุ๊คน้ำหนักมากได้
  • มีพอร์ตเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมาก
  • รองรับการชาร์จ PD
  • มีจุดยึดตัวโน๊ตบุ๊คและพื้นโต๊ะได้แน่นหนา
  • โครงสร้างเหมาะกับการพกพา

ข้อสังเกต

  • เหมาะกับโน๊ตบุ๊คที่มี USB-C
  • หากโน๊ตบุ๊คที่จอใหญ่มาก ท้ายจะไปชิดกับอุปกรณ์ต่อพ่วงได้

PROMATE PrimeBase-C 9-in-1


Description
Port USB-C,
Ethernet RJ-45, HDMI,
USB 3.0 Type-A,
SD/ Micro-SD Card Reader
USB-C support 20V/5A (100W PD)
HDMI 4K @30Hz
USB port USB 3.0 5Gbps 3.0: 5V/0.9A
Adjustable 5-16cm
Ethernet LAN 1000Mbps
USB-C Input 20V/5A
OS Support: Windows 7/8/10, Mac, OS 10.2 and above
Price 3,790

ข้อมูลเพิ่มเติม: PROMATE

Advertisementavw

Unbox

PROMATE PrimeBase-C

PROMATE PrimeBase-C ทำแพ๊คเกจออกมาได้สวยงามทีเดียว ด้วยโทนกล่องสีขาว กับกราฟิกของผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจน และข้อมูลของฟีเจอร์ที่ใส่มาอย่างครบครัน โดยระบุมาชัดเจนว่าเป็น Multiport USB-C Hub และ Kick-Stand ในแบบ 9 in 1

PROMATE PrimeBase-C

ด้านหลังกล่องเป็นกราฟิกตัวอย่างการใช้งาน และรายละเอียดของพอร์ต ฟังก์ชั่นที่มีให้ครบ อ่านทำความเข้าใจได้ง่าย เรื่องตัวกล่องผมว่าใครที่ได้สัมผัสก็น่าจะรู้สึกถึงความใส่ใจของ PROMATE ได้ดี เพราะมีความแข็งแรง รวมถึงแพ๊คกล่องมาหนาแน่นมากทีเดียว เรียกว่าขนส่งมาอุ่นใจได้เลย

ด้านหน้ากับโลโก้ฟีเจอร์ ไม่ว่าจะเป็นรองรับ HDMI 4K, 100W PD Charging และ 1000Mbps LAN

PROMATE PrimeBase-C

เมื่อเปิดกล่องมา จะเห็นเอกสารแนะนำเหมือนเป็นคู่มือเล็กๆ มาให้ บอกรายละเอียดคล้ายกับด้านหน้ากล่อง แต่สามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมในเว็บไซต์ของ PROMATE ได้

PROMATE PrimeBase-C

อุปกรณ์หลักที่เราจะนำมาใช้ ถูกวางอยู่ในกล่อง ที่ด้านในมีชั้นพลาสติกกันกระแทกอีกชั้น เรียกว่าต้องออกแรงในการดึง PROMATE PrimeBase-C ออกมาเลยทีเดียว

PROMATE PrimeBase-C

ภายในกล่องไม่มีอะไรเพิ่มเติมนอกจากตัวอุปกรณ์ครับ ใช้พื้นที่วางมาเต็มกล่อง


Design

PROMATE PrimeBase-C

สัมผัสแรกที่ได้จับ คือเข้าใจเลยว่าทำไมแพ๊คเกจค่อนข้างมีน้ำหนักพอสมควร นั่นก็เพราะลำพัง Stand ชุดนี้ ประมาณ 520 กรัมโดยประมาณ ซึ่งตรงนี้ย้ำก่อนครับว่า ถ้าเทียบกับสแตนในกลุ่มวัสดุ และดีไซน์แบบเดียวกันนี้ ยังถือว่า PrimeBase-C ทำน้ำหนักมาได้ดี อยู่ในเกณฑ์ที่พกพาได้ไม่ยาก หลังจากที่พับเก็บแล้ว

วัสดุเป็นอะลูมิเนียม ความหนาของแท่นวางอยู่ที่ราว 2.5mm ส่วนที่เป็นขาตั้ง เพิ่มความหนาเป็นประมาณ 3mm เพื่อเพิ่มความแข็งแรงในการรับน้ำหนัก และป้องกันการดัดงอได้อีกด้วย

PROMATE PrimeBase-C

โลโก้ PROMATE โดดเด่นอยู่ตรงแกนบานพับ ตรงนี้เป็นจุดสำคัญ เพราะรวมการใช้งานทั้งหมดเอาไว้ในจุดนี้

PROMATE PrimeBase-C

ด้านบนของ Stand หรือแท่นวาง ยังใส่คุณสมบัติมาให้อีกด้วย ซึ่งเป็นจุดที่ใช้ในการรับน้ำหนัก และกันโน๊ตบุ๊คไม่ให้สไลด์หรือลื่นลงไป เมื่อปรับความลาดเอียด ซึ่งความสูงประมาณ 2.4cm ซึ่งถ้าเป็นโน๊ตบุ๊คหนาๆ ก็สามารถวางได้แบบไม่เลื่อนหลุดได้ง่ายๆ

PROMATE PrimeBase-C

นอกจากนี้ยังมีเป็นฟีตยางเล็กๆ กระจายอยู่ทั่วทั้งแท่นวาง จำนวน 6 จุดด้วยกัน เพื่อเพิ่มแรงเสียดทานกับด้านใต้ของโน๊ตบุ๊ค ไม่ให้เคลื่อนไหวไปมา เมื่อวางบนแท่น ซึ่งจะรับได้ตั้งแต่โน๊ตบุ๊คระดับ 13.3″ ไปจนถึง 16″ ได้ไม่ยาก

ขาตั้งมีความแข็งแรง สามารถยืดและกางออกได้อย่างแน่นหนา เพื่อให้รองรับน้ำหนักของโน๊ตบุ๊คในมุมต่างๆ ได้ดี และยังมีแถบยางกันลื่นเอาไว้ให้ อย่างที่หลายคนอาจเคยเจอ เมื่อวางแท่นแบบนี้ ที่ไม่มียางกันลื่น มักจะพิมพ์งานไม่สะดวกเพราะต้องประคองตัวแท่นเอาไว้ แต่ PROMATE รุ่นนี้ จัดมาให้เกาะติดกับโต๊ะได้แน่นทีเดียว โดยทำงานร่วมกับปุ่มยาง 3 ปุ่มที่อยู่ด้านใต้แท่น โน๊ตบุ๊คของคุณจะไม่เคลื่อนไปมาอย่างแน่นอน

PROMATE PrimeBase-C

และเมื่อหงายตัวแท่นวางโน๊ตบุ๊ค PROMATE PrimeBase-C ขึ้นมา ก็มีอุปกรณ์อีกชิ้นมาให้ นั่นคือ สาย USB-C ที่จะต่อเข้ากับโน๊ตบุ๊คและแท่นวาง เพื่อให้พอร์ตต่างๆ สามารถใช้งานได้นั่นเอง ออกแบบสายมาได้ทันสมัย และดูแข็งแรง พร้อมกับที่เก็บที่ดูเท่ไม่เบา ซ่อนเอาไว้ ไม่ใช้ก็เก็บ สายรวมพอร์ตต่อ ยาวประมาณ 28cm

PROMATE PrimeBase-C

มาถึงจุดหลักกันบ้าง นั่นคือ ชิ้นที่เป็นพอร์ตต่อพ่วงอุปกรณ์หรือที่เรียกว่า Hub นั่นเอง โดยมาเป็นแบบที่ถอดได้ สำหรับการจัดเก็บที่ง่ายขึ้น หรือใช้เฉพาะเป็น USB Hub ก็ได้เช่นกัน แต่เมื่อแยกมาก็จะใช้ได้ทุกพอร์ตเช่นเดียวกัน เพราะเชื่อมสัญญาณผ่านทางพอร์ต USB-C เช่นเดิม

PROMATE PrimeBase-C

เมื่อกางออกมา แล้ววางโน๊ตบุ๊คลงบนแท่นวาง หน้าตาก็จะออกมาประมาณนี้ และเรามีบททดสอบที่โหดพอสมควร ในการทดลองใช้งาน PROMATE PrimeBase-C รุ่นนี้


Function

PROMATE PrimeBase-C

ในส่วนของฟังก์ชั่นการใช้งาน เรามุ่งเป้าไปที่ฟังก์ชั่นหนึ่งที่เป็นตัวหลัก นั่นก็คือ ขาตั้ง การปรับมุม และการจัดวางโน๊ตบุ๊คลงบนแท่นว่า Stand เรามาดูกันว่า ขาตั้งที่เป็นแท่นวางแบบนี้ ปรับมุมอย่างไรได้บ้าง?

ตามที่ได้เห็นกันในภาพเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าขาตั้ง สามารถปรับหมุนได้เกือบจะอิสระ เพราะไม่ว่าจะเป็นมุมลาดเอียงที่สุด ขาตั้งวางชันทำมุม 90 องศากับพื้น หรือจะวาง 45 องศา และแนวเกือบราบ ก็ยังคงสภาพได้อยู่ ไม่เลื่อนเอียงจนแบนราบลงไป ตรงนี้ยกให้กับคุณภาพของบานพับ ที่ทำออกมาได้แข็งแรง ซึ่งจากที่เราทดสอบ ถ้าไม่ออกแรงในระดับหนึ่ง ก็จะหมุนบานพับนี้ได้ยาก ตรงนี้ผมถือว่าเป็นข้อดีในการรับน้ำหนักของโน๊ตบุ๊คได้มากขึ้น ไม่อ่อนยวบเหมือนกับที่เราเคยเห็นกันในรุ่นที่เป็นแบบบางๆ

ระยะที่ชันสุดของขาตั้งนี้ ทำให้โน๊ตบุ๊คทำมุมเอียงที่ประมาณ 45 องศา และด้านท้ายสุดจะสูงถึง 9cm ทำให้การปรับมุมลาดเอียงทำได้ค่อนข้างหลากหลาย ตามความต้องการของผู้ใช้งาน

PROMATE PrimeBase-C

จุดเด่นของแท่นวางจาก PROMATE รุ่นนี้อีกอย่างนั่นก็คือ วัสดุที่มีความแข็งแรง และทำออกมาหนาพอสมควร ทนต่อแรงบิดและรับน้ำหนักได้มาก ทำให้ไม่ต้องกังวลเมื่อจะต้องพกพา หรือวางโน๊ตบุ๊คที่มีน้ำหนัก ระดับเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คไซส์ 15.6″ ตัวท็อปๆ ได้สบาย

PROMATE PrimeBase-C

แต่ไฮไลต์อยู่ที่ USB-C Hub ตรงนี้ เพราะเป็นแบบ Hot-Swap ถอดออกได้ แยกส่วนจากบอดี้ได้ทันที เหมาะกับคนที่ต้องการใช้แค่ Hub ในกรณีที่มีความเร่งด่วน ก็นำไปใช้ได้เลย ไม่ต้องยกไปทั้งแท่นวาง

PROMATE PrimeBase-C

การถอดออกมาจาก Stand ก็ทำได้ง่ายๆ เลย แค่ดึงออกมาตรงๆ จะมีสลักที่เป็นตัวยึดอยู่ด้านใน แต่ใช้แรงในระดับหนึ่งในการดึงออกมา เพราะค่อนข้างแน่นมาก

PROMATE PrimeBase-C

เมื่อดึงออกมาแล้วจะเป็นชิ้นที่แยกลักษณะแบบนี้ ความยาวประมาณ xxcm พอเหมาะกับการพกพาไปใช้นอกบ้านได้ แต่การใช้งาน ก็ยังคงต้องใช้ USB-C to USB-C มาต่อกับโน๊ตบุ๊คหรือ PC ในช่อง Input เสียก่อน

PROMATE PrimeBase-C

องค์ประกอบส่วนใหญ่ดูค่อนข้างลงตัวเลยทีเดียว ทั้งในเรื่องของความแข็งแรง และการออกแบบ เพื่อให้ปรับใช้งานได้อย่างอิสระ แต่ถ้าในส่วนของ USB-C Hub ปรับหมนองศาได้บ้างก็จะดีไม่น้อยเลย เพราะจะทำให้การใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ต่อพ่วงบางชิ้นทำได้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น


Experience

PROMATE PrimeBase-C

หลังจากที่ได้เห็นในส่วนของรายละเอียดชิ้นส่วน และองค์ประกอบต่างๆ ของ PROMATE PrimeBase-C ที่เป็น USB-C Hub ในแบบ 9-in-1 กันไปแล้ว มาดูในส่วนของการใช้งานจริงกันบ้าง ว่ามีความสะดวกมากน้อยเพียงใด

PROMATE PrimeBase-C

เริ่มกันที่การจัดวางและการรับน้ำหนัก ด้วยการใช้โน๊ตบุ๊คหน้าจอขนาด 16″ ที่เป็นมิติเกือบใหญ่สุดบนโน๊ตบุ๊คระดับ Consumer น้ำหนักประมาณ 2Kg วางลงไป โดยขาตั้งของ PROMATE รุ่นนี้ รับน้ำหนักได้ไม่ยาก มั่นคงและแน่น ไม่มีการหลุดเลื่อน ถือว่า 2 ส่วนหลักของแท่นวาง อย่าง บานพับขาตั้งที่แน่นและแถบยางสามารถเกาะกับพื้นโต๊ะได้ดี แม้ว่าเราจะลองปรับเลื่อนให้องศาของขา กางออกให้มากกว่าเดิม ก็ยังคงสภาพในการรับน้ำหนัก และรองรับการวางมือได้ตามปกติ ไม่ยุบหรือบานออก นับว่าเป็นแท่นวางที่ออกแบบเรื่องของโครงสร้างได้แข็งแรงทีเดียว

PROMATE PrimeBase-C

โดยส่วนตัวยังมีเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คระดับ 15.6″ ที่มีน้ำหนักประมาณ 2.5Kg เท่าที่ลอง ก็ยังวางได้ตามปกติ ไม่ได้มีอาการยุบหรือยบานพับกางออกแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าทางผู้ผลิตไม่ได้แจ้งเรื่องของน้ำหนักเคลมเอาไว้ แต่คาดการณ์ว่าน่าจะรองรับได้เกิน 3Kg ถ้าดูจากความแข็งแรง ตรงนี้ถือว่าข้อดีนอกเหนือจากฟีเจอร์ที่ใส่มาให้ในแท่นวางนี้

PROMATE PrimeBase-C

อีกเรื่องหนึ่งก็น่าสนใจและเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ต้องสังเกต คือขนาดแท่นวางกับความเหมาะสมในการใช้งานกับโน๊ตบุ๊ค PROMATE รุ่นนี้ มาในไซส์กว้าง 26cm ยาวประมาณ 24cm จัดอยู่ใน Notebook Stand ขนาดกลางๆ ไม่ใหญ่หรือเล็ก จึงเข้ากันได้กับโน๊ตบุ๊คในท้องตลาดทั่วไป ตั้งแต่ 13.3″, 14″ และ 15.6″

PROMATE PrimeBase-C

โดยจากการใช้งานร่วมกับโน๊ตบุ๊คจอ 16″ แม้จะดูใหญ่ไปบ้าง แต่ก็วางได้ลง และใช้งานได้จริง โดยที่ด้านข้างของโน๊ตบุ๊คยื่นออกมาทั้งซ้าย-ขวาประมาณ 3-4cm และด้านท้ายยื่นออกไปเล็กน้อย ในกรณีที่วางให้ตรงตำแหน่งและให้ขอบด้านหน้าของโน๊ตบุ๊ค วางตรงจุดกันตัวเครื่องไหลได้พอดี

ตรงนี้จะมีจุดสังเกตคือ หากโน๊ตบุ๊คที่นำมาใช้มีส่วนเว้าเข้าไปตรงขอบด้านหน้า บางครั้งอาจจะไม่ค่อยพอดีกับตัวกันโน๊ตบุ๊คไหล ที่เป็นขอบตั้งขึ้นมานัก บางครั้งจะลอยขึ้นเล็กน้อย แต่ก็จะเป็นเฉพาะโน๊ตบุ๊คขนาดใหญ่ แต่ข้อดีของแท่นวางรุ่นนี้คือ ใส่ชุดยางกันลื่นมาเยอะมาก ดังนั้นจึงเป็นตัวกันสไลด์ได้เป็นอย่างดี จึงไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลนัก แต่ถ้าจะแนะนำ การใช้งานร่วมกับโน๊ตบุ๊คขนาด 15.6″ หรือเล็กกว่าดูจะเป็นมิติที่กำลังพอเหมาะ

PROMATE PrimeBase-C

มาอีกหนึ่งเรื่องนั่นคือ การทำหน้าที่เป็น USB-C Hub ในการต่อพ่วงอุปกรณ์ต่างๆ โดยพื้นฐานของพอร์ตที่มีให้ทาง PROMATE จัดเอาที่สำคัญมาให้เกือบครบ สำหรับการใช้งานพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็น USB-C, USB-A, Card Reader, HDMI และ RJ-45 ซึ่งทั้งหมดสามารถใช้งานได้เป็นอย่างดี และจากที่เราทดลองใช้งานพร้อมกันเกือบครบทุกพอร์ต ก็ยังใช้งานได้ตามปกติ ทั้งในเรื่องการโอนถ่ายข้อมูล หรือการแสดงผลไปยังจอภายนอก ด้วยพอร์ต HDMI ก็ตาม

PROMATE PrimeBase-C

และที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ มีพอร์ต USB-C ที่เป็น PD Charging 100W ในแบบ 20V @5A มาให้ด้วย สามารถนำมาใช้กับอุปกรณ์ที่เป็นแท็ปเล็ตหรือโน๊ตบุ๊คบางรุ่นได้อีกด้วย

ส่วนการใช้งานตามที่ได้นำเสนอไป กับการใช้งานร่วมกับโน๊ตบุ๊คขนาดใหญ่ จากภาพที่เห็นนี้ เราได้ลองใช้โน๊ตบุ๊คทั้ง 2 ขนาดหน้าจอมาเปรียบเทียบกัน ทางด้านซ้ายเป็นโน๊ตบุ๊คจอ 14″ และทางด้านขวาเป็นโน๊ตบุ๊คจอ 16″ แท่นวาง PROMATE PrimeBase-C สามารถรับหน้าที่ได้เต็มประสิทธิภาพ เพียงแต่ว่าหากคุณใช้โน๊ตบุ๊คขนาดใหญ่ ด้านท้ายจะไปใกล้กับบรรดาอุปกรณ์ต่อพ่วงด้านหลังอยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังใช้งานได้ตามปกติ เพียงแต่ว่าจะไม่สามารถกางหน้าจอออกมาได้เยอะมากนัก ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ ให้ใช้วิธีกางองศาของขาตั้งออกแทน คุณจะได้มุมการมองกลับมาเหมือนเดิม

ส่วนโน๊ตบุ๊คที่เป็นจอขนาด 14″ ดูจะใช้งานได้ดีและลงตัวทีเดียว แม้ด้านท้ายจะใกล้กับชุดพอร์ตต่อพ่วงที่เป็น Hub ก็ตาม แต่ก็ยังกางจอภาพออกได้สะดวก ง่ายต่อการใช้งาน

PROMATE PrimeBase-C

ในการเชื่อมต่อทุกครั้งที่จะทำงานร่วมกับ Hub ต้องต่อเข้ากับ USB-C หรือถ้ามี Thunderbolt ก็ใช้งานได้ เพียงแต่อาจจะต้องดูตามเงื่อนไขที่ระบุมาด้วยเช่นกัน การใช้งานจัดว่าสะดวกทีเดียวครับ เพราะมีสายต่อที่เป็นหัว USB-C มาให้แล้ว และความยาวของสายก็เกือบๆ 30cm เลยทีเดียว เท่าที่ได้ลองกับโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ ที่มีพอร์ต USB-C อยู่ตรงกลางเครื่อง ก็ยังดึงสายไปได้ถึง หากเป็นโน๊ตบุ๊คจอ 14″-15.6″ ยังต่อพ่วงได้ไม่ติดขัด แต่ถ้าในกรณีที่โน๊ตบุ๊คของคุณมี USB-C พอร์เดียว อาจจะต้องเลือกการใช้งาน หรือขยับมาใช้กับ USB-A แทน เพราะเพิ่มให้ใน Hub แล้ว 2 พอร์ต

PROMATE PrimeBase-C

สุดท้ายก็เป็นเรื่องของความสะดวกและการจัดวาง สิ่งที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ PROMATE PrimeBase-C ออกแบบมาได้อย่างลงตัว ในเรื่องพื้นที่จัดวาง เพราะขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่มีจุดรองรับ และแถบยางที่ยึดกับโต๊ะ รวมถึงโน๊ตบุ๊คได้อย่างแน่นหนา โดยมีปุ่มยางทั้งด้านบน เพื่อยึดโน๊ตบุ๊คไม่ให้เคลื่อนไหวไปตามแรงที่เราใช้ และด้านใต้ตรงขาตั้ง และด้านหน้าสุดก็ยังมีอีก 2 จุดใหญ่ ซึ่งเกาะแน่นกับพื้นโต๊ะ จากที่ลองบนโต๊ะที่ปูท็อปไม้หรือเมลามิน รวมถึงกระจก ซึ่งเป็นแบบที่ใช้ในบ้านหรือสำนักงานทั่วไป ก็ยังมีความแน่นหนา ไม่เลื่อนหรือขยับได้ง่าย จัดว่าเป็นจุดแข็งของ Stand รุ่นนี้

PROMATE PrimeBase-C

การระบายความร้อนก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี แม้จะเป็นขาตั้งโน๊ตบุ๊ค ไม่ได้มีพัดลมมาด้วยเหมือน Cooling Pad แต่การยกโน๊ตบุ๊คให้สูงขึ้น ก็ช่วยให้มีลมเย็นผ่านเข้าด้านใต้ และให้พัดลมสามารถดูดลมเย็นผ่านเข้าไปในระบบได้ดี ซึ่งจากที่เราทดสอบอุณหภูมิเย็นขึ้นกว่าเดิมอย่างน้อย 5 องศาเซลเซียส ขึ้นอยู่กับสภาวะอากาศในเวลานั้นด้วย

แต่จะมีในส่วนของบรรดาสายต่อที่ออกจากพอร์ตต่อพ่วงไปยังอุปกรณ์ต่างๆ อาจจะต้องจัดสรรและรวบเก็บให้เรียบร้อย เพื่อที่เวลาจะต่ออุปกรณ์อื่นเพิ่มเข้าไป เช่น USB Flash Drive หรือ microSD หรือ SD Card ใส่เข้าไปได้ง่ายขึ้นนั่นเอง ตรงนี้สำคัญมากครับ


Conclusion

PROMATE PrimeBase-C

มาถึงตรงนี้แล้ว ผมเชื่อว่าคงได้รู้จักกับแท่นวางโน๊ตบุ๊ค PROMATE PrimeBase-C 9-in-1 ที่รวมเอาฟีเจอร์ของ USBC-C Hub เข้าไป จนกลายเป็นอุปกรณ์ที่รวมเอาการใช้งานต่างๆ ไว้อย่างครบครัน ให้กับผู้ใช้โน๊ตบุ๊คเป็นประจำ ยิ่งคนที่ต้องมีอุปกรณ์ต่อพ่วงที่ใช้งานกับโน๊ตบุ๊คในชีวิตประจำวันด้วยแล้ว จัดว่าช่วยคุณได้มากทีเดียว และสิ่งที่คุณจะได้รับจากแท่นวางนี้ก็คือ สามารถปรับให้เข้ากับสรีระ และการนั่งของคุณได้ เพราะปรับองศาและมุมมองได้แบบอิสระ กับบานพับที่แข็งแรง จะตั้งขาตั้งให้ชันขึ้น และกางโน๊ตบุ๊คให้สุดๆ หรือให้แบนราบลง แล้วตั้งหน้าจอให้สูงขึ้น หรือปรับสลับกัน เพื่อลดความเมื่อยล้าในการใช้งานนานๆ และการเป็น Cooling Pad ระบายความร้อน เป็นเรื่องที่ได้จากการที่ยกตัวโน๊ตบุ๊คให้สูงขึ้น ระบายอากาศได้ดี ลดความร้อน คุณก็สามารถใช้งานได้อย่างอุ่นใจนั่นเอง ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่มีให้บนแท่นวางโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ ที่เหลือเป็นการปรับใช้งานของผู้ใช้แต่ละคน ราจำหน่ายอยู่ที่ 3,790 บาท สามารถคลิ๊กไปช้อปได้ ที่นี่ และร้านค้าออนไลน์ชั้นนำ หากคุณได้ใช้แล้วมีความคิดเห็นอย่างไร บอกเล่าให้กับเพื่อนๆ ได้ฟังกันผ่านทางคอมเมนต์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ

ข้อมูลผลิตภัณฑ์ PROMATE

from:https://notebookspec.com/web/693937-promate-primebase-c-9-in-1-%e0%b9%81%e0%b8%97%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b9%82%e0%b8%99%e0%b9%8a%e0%b8%95%e0%b8%9a%e0%b8%b8%e0%b9%8a%e0%b8%84-%e0%b9%80%e0%b8%9e%e0%b8%b4%e0%b9%88

PROMATE PrimeBase-C 9-in-1 แท่นวางโน๊ตบุ๊คพรีเมียม เพิ่มพอร์ต ลดร้อน ใหญ่หนักยังไหว

PROMATE PrimeBase-C 9-in-1 จัดโต๊ะคอมสวย เพิ่มพอร์ต ต่ออุปกรณ์ได้เยอะ วางโน๊ตบุ๊ค ปรับได้ทุกองศา ลดร้อนเร็ว

PROMATE PrimeBase-C

PROMATE PrimeBase-C 9-in-1 ที่วางโน๊ตบุ๊คปรับระดับได้ พร้อมเป็น Hub ต่อพ่วงอุปกรณ์ได้ในตัว ช่วยระบายความร้อนได้ดี แถมยังปรับองศา ให้เหมาะกับสรีระในการใช้งาน เพิ่มความสะดวก ด้วยพอร์ตจำนวนมาก USB, HDMI, Media Card Reader และ RJ-45 สำหรับเชื่อมต่อเครือข่าย รวมไปถึงพอร์ต USB-C PD Charging 100W เพื่อการใช้งานในบ้าน และรองรับงานสำนักงาน พกพาไปใช้งานข้างนอกได้สะดวก รองรับโน๊ตบุ๊คได้หลายขนาด ตัวช่วยที่ดีสำหรับการทำงาน และในชีวิตประจำวัน ลดข้อจำกัดของพื้นที่วาง และการเพิ่มมุมมองได้มากยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ยังช่วยลดความร้อนให้กับโน๊ตบุ๊คได้ในตัว ครบครันทุกการใช้งานในราคา 3,790 บาท


จุดเด่น

  • ปรับมุมองศาให้เหมาะกับการใช้งาน
  • บานพับแข็งแรง รองรับโน๊ตบุ๊คน้ำหนักมากได้
  • มีพอร์ตเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมาก
  • รองรับการชาร์จ PD
  • มีจุดยึดตัวโน๊ตบุ๊คและพื้นโต๊ะได้แน่นหนา
  • โครงสร้างเหมาะกับการพกพา

ข้อสังเกต

  • เหมาะกับโน๊ตบุ๊คที่มี USB-C
  • หากโน๊ตบุ๊คที่จอใหญ่มาก ท้ายจะไปชิดกับอุปกรณ์ต่อพ่วงได้

PROMATE PrimeBase-C 9-in-1


Description
Port USB-C,
Ethernet RJ-45, HDMI,
USB 3.0 Type-A,
SD/ Micro-SD Card Reader
USB-C support 20V/5A (100W PD)
HDMI 4K @30Hz
USB port USB 3.0 5Gbps 3.0: 5V/0.9A
Adjustable 5-16cm
Ethernet LAN 1000Mbps
USB-C Input 20V/5A
OS Support: Windows 7/8/10, Mac, OS 10.2 and above
Price 3,790

ข้อมูลเพิ่มเติม: PROMATE

Advertisementavw

Unbox

PROMATE PrimeBase-C

PROMATE PrimeBase-C ทำแพ๊คเกจออกมาได้สวยงามทีเดียว ด้วยโทนกล่องสีขาว กับกราฟิกของผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจน และข้อมูลของฟีเจอร์ที่ใส่มาอย่างครบครัน โดยระบุมาชัดเจนว่าเป็น Multiport USB-C Hub และ Kick-Stand ในแบบ 9 in 1

PROMATE PrimeBase-C

ด้านหลังกล่องเป็นกราฟิกตัวอย่างการใช้งาน และรายละเอียดของพอร์ต ฟังก์ชั่นที่มีให้ครบ อ่านทำความเข้าใจได้ง่าย เรื่องตัวกล่องผมว่าใครที่ได้สัมผัสก็น่าจะรู้สึกถึงความใส่ใจของ PROMATE ได้ดี เพราะมีความแข็งแรง รวมถึงแพ๊คกล่องมาหนาแน่นมากทีเดียว เรียกว่าขนส่งมาอุ่นใจได้เลย

ด้านหน้ากับโลโก้ฟีเจอร์ ไม่ว่าจะเป็นรองรับ HDMI 4K, 100W PD Charging และ 1000Mbps LAN

PROMATE PrimeBase-C

เมื่อเปิดกล่องมา จะเห็นเอกสารแนะนำเหมือนเป็นคู่มือเล็กๆ มาให้ บอกรายละเอียดคล้ายกับด้านหน้ากล่อง แต่สามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมในเว็บไซต์ของ PROMATE ได้

PROMATE PrimeBase-C

อุปกรณ์หลักที่เราจะนำมาใช้ ถูกวางอยู่ในกล่อง ที่ด้านในมีชั้นพลาสติกกันกระแทกอีกชั้น เรียกว่าต้องออกแรงในการดึง PROMATE PrimeBase-C ออกมาเลยทีเดียว

PROMATE PrimeBase-C

ภายในกล่องไม่มีอะไรเพิ่มเติมนอกจากตัวอุปกรณ์ครับ ใช้พื้นที่วางมาเต็มกล่อง


Design

PROMATE PrimeBase-C

สัมผัสแรกที่ได้จับ คือเข้าใจเลยว่าทำไมแพ๊คเกจค่อนข้างมีน้ำหนักพอสมควร นั่นก็เพราะลำพัง Stand ชุดนี้ ประมาณ 520 กรัมโดยประมาณ ซึ่งตรงนี้ย้ำก่อนครับว่า ถ้าเทียบกับสแตนในกลุ่มวัสดุ และดีไซน์แบบเดียวกันนี้ ยังถือว่า PrimeBase-C ทำน้ำหนักมาได้ดี อยู่ในเกณฑ์ที่พกพาได้ไม่ยาก หลังจากที่พับเก็บแล้ว

วัสดุเป็นอะลูมิเนียม ความหนาของแท่นวางอยู่ที่ราว 2.5mm ส่วนที่เป็นขาตั้ง เพิ่มความหนาเป็นประมาณ 3mm เพื่อเพิ่มความแข็งแรงในการรับน้ำหนัก และป้องกันการดัดงอได้อีกด้วย

PROMATE PrimeBase-C

โลโก้ PROMATE โดดเด่นอยู่ตรงแกนบานพับ ตรงนี้เป็นจุดสำคัญ เพราะรวมการใช้งานทั้งหมดเอาไว้ในจุดนี้

PROMATE PrimeBase-C

ด้านบนของ Stand หรือแท่นวาง ยังใส่คุณสมบัติมาให้อีกด้วย ซึ่งเป็นจุดที่ใช้ในการรับน้ำหนัก และกันโน๊ตบุ๊คไม่ให้สไลด์หรือลื่นลงไป เมื่อปรับความลาดเอียด ซึ่งความสูงประมาณ 2.4cm ซึ่งถ้าเป็นโน๊ตบุ๊คหนาๆ ก็สามารถวางได้แบบไม่เลื่อนหลุดได้ง่ายๆ

PROMATE PrimeBase-C

นอกจากนี้ยังมีเป็นฟีตยางเล็กๆ กระจายอยู่ทั่วทั้งแท่นวาง จำนวน 6 จุดด้วยกัน เพื่อเพิ่มแรงเสียดทานกับด้านใต้ของโน๊ตบุ๊ค ไม่ให้เคลื่อนไหวไปมา เมื่อวางบนแท่น ซึ่งจะรับได้ตั้งแต่โน๊ตบุ๊คระดับ 13.3″ ไปจนถึง 16″ ได้ไม่ยาก

ขาตั้งมีความแข็งแรง สามารถยืดและกางออกได้อย่างแน่นหนา เพื่อให้รองรับน้ำหนักของโน๊ตบุ๊คในมุมต่างๆ ได้ดี และยังมีแถบยางกันลื่นเอาไว้ให้ อย่างที่หลายคนอาจเคยเจอ เมื่อวางแท่นแบบนี้ ที่ไม่มียางกันลื่น มักจะพิมพ์งานไม่สะดวกเพราะต้องประคองตัวแท่นเอาไว้ แต่ PROMATE รุ่นนี้ จัดมาให้เกาะติดกับโต๊ะได้แน่นทีเดียว โดยทำงานร่วมกับปุ่มยาง 3 ปุ่มที่อยู่ด้านใต้แท่น โน๊ตบุ๊คของคุณจะไม่เคลื่อนไปมาอย่างแน่นอน

PROMATE PrimeBase-C

และเมื่อหงายตัวแท่นวางโน๊ตบุ๊ค PROMATE PrimeBase-C ขึ้นมา ก็มีอุปกรณ์อีกชิ้นมาให้ นั่นคือ สาย USB-C ที่จะต่อเข้ากับโน๊ตบุ๊คและแท่นวาง เพื่อให้พอร์ตต่างๆ สามารถใช้งานได้นั่นเอง ออกแบบสายมาได้ทันสมัย และดูแข็งแรง พร้อมกับที่เก็บที่ดูเท่ไม่เบา ซ่อนเอาไว้ ไม่ใช้ก็เก็บ สายรวมพอร์ตต่อ ยาวประมาณ 28cm

PROMATE PrimeBase-C

มาถึงจุดหลักกันบ้าง นั่นคือ ชิ้นที่เป็นพอร์ตต่อพ่วงอุปกรณ์หรือที่เรียกว่า Hub นั่นเอง โดยมาเป็นแบบที่ถอดได้ สำหรับการจัดเก็บที่ง่ายขึ้น หรือใช้เฉพาะเป็น USB Hub ก็ได้เช่นกัน แต่เมื่อแยกมาก็จะใช้ได้ทุกพอร์ตเช่นเดียวกัน เพราะเชื่อมสัญญาณผ่านทางพอร์ต USB-C เช่นเดิม

PROMATE PrimeBase-C

เมื่อกางออกมา แล้ววางโน๊ตบุ๊คลงบนแท่นวาง หน้าตาก็จะออกมาประมาณนี้ และเรามีบททดสอบที่โหดพอสมควร ในการทดลองใช้งาน PROMATE PrimeBase-C รุ่นนี้


Function

PROMATE PrimeBase-C

ในส่วนของฟังก์ชั่นการใช้งาน เรามุ่งเป้าไปที่ฟังก์ชั่นหนึ่งที่เป็นตัวหลัก นั่นก็คือ ขาตั้ง การปรับมุม และการจัดวางโน๊ตบุ๊คลงบนแท่นว่า Stand เรามาดูกันว่า ขาตั้งที่เป็นแท่นวางแบบนี้ ปรับมุมอย่างไรได้บ้าง?

ตามที่ได้เห็นกันในภาพเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าขาตั้ง สามารถปรับหมุนได้เกือบจะอิสระ เพราะไม่ว่าจะเป็นมุมลาดเอียงที่สุด ขาตั้งวางชันทำมุม 90 องศากับพื้น หรือจะวาง 45 องศา และแนวเกือบราบ ก็ยังคงสภาพได้อยู่ ไม่เลื่อนเอียงจนแบนราบลงไป ตรงนี้ยกให้กับคุณภาพของบานพับ ที่ทำออกมาได้แข็งแรง ซึ่งจากที่เราทดสอบ ถ้าไม่ออกแรงในระดับหนึ่ง ก็จะหมุนบานพับนี้ได้ยาก ตรงนี้ผมถือว่าเป็นข้อดีในการรับน้ำหนักของโน๊ตบุ๊คได้มากขึ้น ไม่อ่อนยวบเหมือนกับที่เราเคยเห็นกันในรุ่นที่เป็นแบบบางๆ

ระยะที่ชันสุดของขาตั้งนี้ ทำให้โน๊ตบุ๊คทำมุมเอียงที่ประมาณ 45 องศา และด้านท้ายสุดจะสูงถึง 9cm ทำให้การปรับมุมลาดเอียงทำได้ค่อนข้างหลากหลาย ตามความต้องการของผู้ใช้งาน

PROMATE PrimeBase-C

จุดเด่นของแท่นวางจาก PROMATE รุ่นนี้อีกอย่างนั่นก็คือ วัสดุที่มีความแข็งแรง และทำออกมาหนาพอสมควร ทนต่อแรงบิดและรับน้ำหนักได้มาก ทำให้ไม่ต้องกังวลเมื่อจะต้องพกพา หรือวางโน๊ตบุ๊คที่มีน้ำหนัก ระดับเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คไซส์ 15.6″ ตัวท็อปๆ ได้สบาย

PROMATE PrimeBase-C

แต่ไฮไลต์อยู่ที่ USB-C Hub ตรงนี้ เพราะเป็นแบบ Hot-Swap ถอดออกได้ แยกส่วนจากบอดี้ได้ทันที เหมาะกับคนที่ต้องการใช้แค่ Hub ในกรณีที่มีความเร่งด่วน ก็นำไปใช้ได้เลย ไม่ต้องยกไปทั้งแท่นวาง

PROMATE PrimeBase-C

การถอดออกมาจาก Stand ก็ทำได้ง่ายๆ เลย แค่ดึงออกมาตรงๆ จะมีสลักที่เป็นตัวยึดอยู่ด้านใน แต่ใช้แรงในระดับหนึ่งในการดึงออกมา เพราะค่อนข้างแน่นมาก

PROMATE PrimeBase-C

เมื่อดึงออกมาแล้วจะเป็นชิ้นที่แยกลักษณะแบบนี้ ความยาวประมาณ xxcm พอเหมาะกับการพกพาไปใช้นอกบ้านได้ แต่การใช้งาน ก็ยังคงต้องใช้ USB-C to USB-C มาต่อกับโน๊ตบุ๊คหรือ PC ในช่อง Input เสียก่อน

PROMATE PrimeBase-C

องค์ประกอบส่วนใหญ่ดูค่อนข้างลงตัวเลยทีเดียว ทั้งในเรื่องของความแข็งแรง และการออกแบบ เพื่อให้ปรับใช้งานได้อย่างอิสระ แต่ถ้าในส่วนของ USB-C Hub ปรับหมนองศาได้บ้างก็จะดีไม่น้อยเลย เพราะจะทำให้การใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ต่อพ่วงบางชิ้นทำได้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น


Experience

PROMATE PrimeBase-C

หลังจากที่ได้เห็นในส่วนของรายละเอียดชิ้นส่วน และองค์ประกอบต่างๆ ของ PROMATE PrimeBase-C ที่เป็น USB-C Hub ในแบบ 9-in-1 กันไปแล้ว มาดูในส่วนของการใช้งานจริงกันบ้าง ว่ามีความสะดวกมากน้อยเพียงใด

PROMATE PrimeBase-C

เริ่มกันที่การจัดวางและการรับน้ำหนัก ด้วยการใช้โน๊ตบุ๊คหน้าจอขนาด 16″ ที่เป็นมิติเกือบใหญ่สุดบนโน๊ตบุ๊คระดับ Consumer น้ำหนักประมาณ 2Kg วางลงไป โดยขาตั้งของ PROMATE รุ่นนี้ รับน้ำหนักได้ไม่ยาก มั่นคงและแน่น ไม่มีการหลุดเลื่อน ถือว่า 2 ส่วนหลักของแท่นวาง อย่าง บานพับขาตั้งที่แน่นและแถบยางสามารถเกาะกับพื้นโต๊ะได้ดี แม้ว่าเราจะลองปรับเลื่อนให้องศาของขา กางออกให้มากกว่าเดิม ก็ยังคงสภาพในการรับน้ำหนัก และรองรับการวางมือได้ตามปกติ ไม่ยุบหรือบานออก นับว่าเป็นแท่นวางที่ออกแบบเรื่องของโครงสร้างได้แข็งแรงทีเดียว

PROMATE PrimeBase-C

โดยส่วนตัวยังมีเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คระดับ 15.6″ ที่มีน้ำหนักประมาณ 2.5Kg เท่าที่ลอง ก็ยังวางได้ตามปกติ ไม่ได้มีอาการยุบหรือยบานพับกางออกแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าทางผู้ผลิตไม่ได้แจ้งเรื่องของน้ำหนักเคลมเอาไว้ แต่คาดการณ์ว่าน่าจะรองรับได้เกิน 3Kg ถ้าดูจากความแข็งแรง ตรงนี้ถือว่าข้อดีนอกเหนือจากฟีเจอร์ที่ใส่มาให้ในแท่นวางนี้

PROMATE PrimeBase-C

อีกเรื่องหนึ่งก็น่าสนใจและเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ต้องสังเกต คือขนาดแท่นวางกับความเหมาะสมในการใช้งานกับโน๊ตบุ๊ค PROMATE รุ่นนี้ มาในไซส์กว้าง 26cm ยาวประมาณ 24cm จัดอยู่ใน Notebook Stand ขนาดกลางๆ ไม่ใหญ่หรือเล็ก จึงเข้ากันได้กับโน๊ตบุ๊คในท้องตลาดทั่วไป ตั้งแต่ 13.3″, 14″ และ 15.6″

PROMATE PrimeBase-C

โดยจากการใช้งานร่วมกับโน๊ตบุ๊คจอ 16″ แม้จะดูใหญ่ไปบ้าง แต่ก็วางได้ลง และใช้งานได้จริง โดยที่ด้านข้างของโน๊ตบุ๊คยื่นออกมาทั้งซ้าย-ขวาประมาณ 3-4cm และด้านท้ายยื่นออกไปเล็กน้อย ในกรณีที่วางให้ตรงตำแหน่งและให้ขอบด้านหน้าของโน๊ตบุ๊ค วางตรงจุดกันตัวเครื่องไหลได้พอดี

ตรงนี้จะมีจุดสังเกตคือ หากโน๊ตบุ๊คที่นำมาใช้มีส่วนเว้าเข้าไปตรงขอบด้านหน้า บางครั้งอาจจะไม่ค่อยพอดีกับตัวกันโน๊ตบุ๊คไหล ที่เป็นขอบตั้งขึ้นมานัก บางครั้งจะลอยขึ้นเล็กน้อย แต่ก็จะเป็นเฉพาะโน๊ตบุ๊คขนาดใหญ่ แต่ข้อดีของแท่นวางรุ่นนี้คือ ใส่ชุดยางกันลื่นมาเยอะมาก ดังนั้นจึงเป็นตัวกันสไลด์ได้เป็นอย่างดี จึงไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลนัก แต่ถ้าจะแนะนำ การใช้งานร่วมกับโน๊ตบุ๊คขนาด 15.6″ หรือเล็กกว่าดูจะเป็นมิติที่กำลังพอเหมาะ

PROMATE PrimeBase-C

มาอีกหนึ่งเรื่องนั่นคือ การทำหน้าที่เป็น USB-C Hub ในการต่อพ่วงอุปกรณ์ต่างๆ โดยพื้นฐานของพอร์ตที่มีให้ทาง PROMATE จัดเอาที่สำคัญมาให้เกือบครบ สำหรับการใช้งานพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็น USB-C, USB-A, Card Reader, HDMI และ RJ-45 ซึ่งทั้งหมดสามารถใช้งานได้เป็นอย่างดี และจากที่เราทดลองใช้งานพร้อมกันเกือบครบทุกพอร์ต ก็ยังใช้งานได้ตามปกติ ทั้งในเรื่องการโอนถ่ายข้อมูล หรือการแสดงผลไปยังจอภายนอก ด้วยพอร์ต HDMI ก็ตาม

PROMATE PrimeBase-C

และที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ มีพอร์ต USB-C ที่เป็น PD Charging 100W ในแบบ 20V @5A มาให้ด้วย สามารถนำมาใช้กับอุปกรณ์ที่เป็นแท็ปเล็ตหรือโน๊ตบุ๊คบางรุ่นได้อีกด้วย

ส่วนการใช้งานตามที่ได้นำเสนอไป กับการใช้งานร่วมกับโน๊ตบุ๊คขนาดใหญ่ จากภาพที่เห็นนี้ เราได้ลองใช้โน๊ตบุ๊คทั้ง 2 ขนาดหน้าจอมาเปรียบเทียบกัน ทางด้านซ้ายเป็นโน๊ตบุ๊คจอ 14″ และทางด้านขวาเป็นโน๊ตบุ๊คจอ 16″ แท่นวาง PROMATE PrimeBase-C สามารถรับหน้าที่ได้เต็มประสิทธิภาพ เพียงแต่ว่าหากคุณใช้โน๊ตบุ๊คขนาดใหญ่ ด้านท้ายจะไปใกล้กับบรรดาอุปกรณ์ต่อพ่วงด้านหลังอยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังใช้งานได้ตามปกติ เพียงแต่ว่าจะไม่สามารถกางหน้าจอออกมาได้เยอะมากนัก ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ ให้ใช้วิธีกางองศาของขาตั้งออกแทน คุณจะได้มุมการมองกลับมาเหมือนเดิม

ส่วนโน๊ตบุ๊คที่เป็นจอขนาด 14″ ดูจะใช้งานได้ดีและลงตัวทีเดียว แม้ด้านท้ายจะใกล้กับชุดพอร์ตต่อพ่วงที่เป็น Hub ก็ตาม แต่ก็ยังกางจอภาพออกได้สะดวก ง่ายต่อการใช้งาน

PROMATE PrimeBase-C

ในการเชื่อมต่อทุกครั้งที่จะทำงานร่วมกับ Hub ต้องต่อเข้ากับ USB-C หรือถ้ามี Thunderbolt ก็ใช้งานได้ เพียงแต่อาจจะต้องดูตามเงื่อนไขที่ระบุมาด้วยเช่นกัน การใช้งานจัดว่าสะดวกทีเดียวครับ เพราะมีสายต่อที่เป็นหัว USB-C มาให้แล้ว และความยาวของสายก็เกือบๆ 30cm เลยทีเดียว เท่าที่ได้ลองกับโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ ที่มีพอร์ต USB-C อยู่ตรงกลางเครื่อง ก็ยังดึงสายไปได้ถึง หากเป็นโน๊ตบุ๊คจอ 14″-15.6″ ยังต่อพ่วงได้ไม่ติดขัด แต่ถ้าในกรณีที่โน๊ตบุ๊คของคุณมี USB-C พอร์เดียว อาจจะต้องเลือกการใช้งาน หรือขยับมาใช้กับ USB-A แทน เพราะเพิ่มให้ใน Hub แล้ว 2 พอร์ต

PROMATE PrimeBase-C

สุดท้ายก็เป็นเรื่องของความสะดวกและการจัดวาง สิ่งที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ PROMATE PrimeBase-C ออกแบบมาได้อย่างลงตัว ในเรื่องพื้นที่จัดวาง เพราะขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่มีจุดรองรับ และแถบยางที่ยึดกับโต๊ะ รวมถึงโน๊ตบุ๊คได้อย่างแน่นหนา โดยมีปุ่มยางทั้งด้านบน เพื่อยึดโน๊ตบุ๊คไม่ให้เคลื่อนไหวไปตามแรงที่เราใช้ และด้านใต้ตรงขาตั้ง และด้านหน้าสุดก็ยังมีอีก 2 จุดใหญ่ ซึ่งเกาะแน่นกับพื้นโต๊ะ จากที่ลองบนโต๊ะที่ปูท็อปไม้หรือเมลามิน รวมถึงกระจก ซึ่งเป็นแบบที่ใช้ในบ้านหรือสำนักงานทั่วไป ก็ยังมีความแน่นหนา ไม่เลื่อนหรือขยับได้ง่าย จัดว่าเป็นจุดแข็งของ Stand รุ่นนี้

PROMATE PrimeBase-C

การระบายความร้อนก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี แม้จะเป็นขาตั้งโน๊ตบุ๊ค ไม่ได้มีพัดลมมาด้วยเหมือน Cooling Pad แต่การยกโน๊ตบุ๊คให้สูงขึ้น ก็ช่วยให้มีลมเย็นผ่านเข้าด้านใต้ และให้พัดลมสามารถดูดลมเย็นผ่านเข้าไปในระบบได้ดี ซึ่งจากที่เราทดสอบอุณหภูมิเย็นขึ้นกว่าเดิมอย่างน้อย 5 องศาเซลเซียส ขึ้นอยู่กับสภาวะอากาศในเวลานั้นด้วย

แต่จะมีในส่วนของบรรดาสายต่อที่ออกจากพอร์ตต่อพ่วงไปยังอุปกรณ์ต่างๆ อาจจะต้องจัดสรรและรวบเก็บให้เรียบร้อย เพื่อที่เวลาจะต่ออุปกรณ์อื่นเพิ่มเข้าไป เช่น USB Flash Drive หรือ microSD หรือ SD Card ใส่เข้าไปได้ง่ายขึ้นนั่นเอง ตรงนี้สำคัญมากครับ


Conclusion

PROMATE PrimeBase-C

มาถึงตรงนี้แล้ว ผมเชื่อว่าคงได้รู้จักกับแท่นวางโน๊ตบุ๊ค PROMATE PrimeBase-C 9-in-1 ที่รวมเอาฟีเจอร์ของ USBC-C Hub เข้าไป จนกลายเป็นอุปกรณ์ที่รวมเอาการใช้งานต่างๆ ไว้อย่างครบครัน ให้กับผู้ใช้โน๊ตบุ๊คเป็นประจำ ยิ่งคนที่ต้องมีอุปกรณ์ต่อพ่วงที่ใช้งานกับโน๊ตบุ๊คในชีวิตประจำวันด้วยแล้ว จัดว่าช่วยคุณได้มากทีเดียว และสิ่งที่คุณจะได้รับจากแท่นวางนี้ก็คือ สามารถปรับให้เข้ากับสรีระ และการนั่งของคุณได้ เพราะปรับองศาและมุมมองได้แบบอิสระ กับบานพับที่แข็งแรง จะตั้งขาตั้งให้ชันขึ้น และกางโน๊ตบุ๊คให้สุดๆ หรือให้แบนราบลง แล้วตั้งหน้าจอให้สูงขึ้น หรือปรับสลับกัน เพื่อลดความเมื่อยล้าในการใช้งานนานๆ และการเป็น Cooling Pad ระบายความร้อน เป็นเรื่องที่ได้จากการที่ยกตัวโน๊ตบุ๊คให้สูงขึ้น ระบายอากาศได้ดี ลดความร้อน คุณก็สามารถใช้งานได้อย่างอุ่นใจนั่นเอง ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่มีให้บนแท่นวางโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ ที่เหลือเป็นการปรับใช้งานของผู้ใช้แต่ละคน ราจำหน่ายอยู่ที่ 3,790 บาท สามารถคลิ๊กไปช้อปได้ ที่นี่ และร้านค้าออนไลน์ชั้นนำ หากคุณได้ใช้แล้วมีความคิดเห็นอย่างไร บอกเล่าให้กับเพื่อนๆ ได้ฟังกันผ่านทางคอมเมนต์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ

ข้อมูลผลิตภัณฑ์ PROMATE

from:https://notebookspec.com/web/693937-promate-primebase-c-notebook-stand

แนะนำอะแดปเตอร์ iPhone ราคาไม่แรง หาซื้อได้ง่าย ใช้ได้ยาวๆ อัปเดต 2022

แนะนำอะแดปเตอร์ iPhone ราคาถูก มี GaN หาซื้อได้ง่าย อัปเดต 2022

อะแดปเตอร์ iPhone

ในปัจจุบันนั้น ต้องบอกว่า การที่เราจะซื้อ iPhone จาก Apple นั้น ทางแบรนด์ ไม่ได้มีหัวชาร์จ หรืออะแดปเตอร์ แถมมาให้ในกล่องแล้ว ซึ่งเราต้องซื้อแยก อย่างไรก็ตาม วันนี้ทีมงาน NotebookSPEC อยากอยากจะมาแนะนำ อะแดปเตอร์ iPhone เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งในการตัดสินใจซื้ออะแดปเตอร์สำหรับนำมาใช้ขาร์จ iPhone หรือแม้กระทั่งสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นๆ มาดูกันเลย


Adapter แบบ GaN

65W GaN USB C PD Charger 10

GaN Charger หรือ อะแดปเตอร์แบบ GaN คืออะไร เรามาทำความรู้จักกันคร่าวๆ ก่อนดีกว่า GaN ก็คือ แกลเลียมไนไตรด์ ซึ่งแต่เดิมทั้งเคยถูกใช้ในการทำหลอดไฟ LED ในปัจจุบันได้มีการนำมาใช้เป็นสารกึ่งตัวนำ (Semiconductor) แทนซิลิกอนที่ใช้มาก่อนหน้านี้เป็นเวลานานด้วย เนื่องจากซิลิกอนนั้น มีการปล่อยความร้อนที่สูง และ GaN มีการปล่อยความร้อนที่น้อยกว่า ทั้งยังเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าได้ดีกว่า จึงถูกนำมาใช้แพร่หลายมากขึ้น โดยเทคโนโลยี GaN ยังทำให้อะแดปเตอร์มีขนาดที่เล็กลงและชาร์จได้เต็มที่มากยิ่งขึ้น ในปัจจุบันนี้ หัวชาร์จหรืออะแดปเตอร์แบบ GaN สามารถหาซื้อได้ง่าย และส่วนใหญ่มักเป็นหัวชาร์จแบบ 65W ขึ้นไป

Advertisementavw

แนะนำอะแดปเตอร์ iPhone ราคาไม่แรง ประสิทธิภาพดี

Adapter ราคา กำลังไฟ การรองรับอุปกรณ์
Apple 20W USB-C Power Adapter 690 บาท สูงสุด 20W สมาร์ทโฟน
แท็บเล็ต
อุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับ
ZMI HA716 20W 2xx – 6xx บาท สูงสุด 20W สมาร์ทโฟน
แท็บเล็ต
อุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับ
Anker 511 Charger (Nano Pro) 20W 6xx – 1,0xx บาท สูงสุด 20W สมาร์ทโฟน
แท็บเล็ต
อุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับ
Baseus CUBE PD Quick Charger 20W 15x – 36x บาท สูงสุด 20W สมาร์ทโฟน
แท็บเล็ต
อุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับ
UGREEN GaN Fast Charger 65W 8xx – 2,0xx บาท สูงสุด 65W คอมพิวเตอร์
สมาร์ทโฟน
แท็บเล็ต
อุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับ
Belkin BOOST CHARGE GaN Wall Charger 30W 1,0xx บาท สูงสุด 30W สมาร์ทโฟน
แท็บเล็ต
Nintendo
อุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับ
ZMI HA715 GaN 33W 5xx บาท สูงสุด 33W สมาร์ทโฟน
แท็บเล็ต
อุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับ

ต้องบอกก่อนเลยว่าแม้อะแดปเตอร์จะมีความสามารถในการจ่ายไฟที่สูง แต่ iPhone นั้น ในปัจจุบันตัวเครื่องเอง มีความสามารถในการรองรับการชาร์จด้วยกำลังไฟอยู่ที่ประมาณ 20W เท่านั้น อะแดปเตอร์ที่ทีมงานนำมาแนะนำจึงจะเป็นอะแดปเตอร์ที่มีกำลังในการจ่ายไฟในระดับกลางๆ ไม่ได้สูงมากนัก และอยู่ในช่วงราคาที่น่าคบหา และบางตัวก็ยังเป็นแบบ GaN ด้วย

1. Apple 20W USB-C Power Adapter

i4

สำหรับ Adapter ตัวนี้ จะไม่แนะนำก็คงไม่ได้ เพราะเป็นอะแดปเตอรืแท้จากทาง Apple เอง ที่มาพร้อมขนาด 20W ที่สามารถชาร์จไฟได้อย่างรวดเร็ว ตัวอะแดปเตอร์มีขนาดที่กะทัดรัด พกพาง่าย ทั้งยังมาพร้อมกับพอร์ตสำหรับเชื่อมต่อสาย USB Type-C ทำให้สามารถใช้งานได้กับหลากหลายอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็น iPad, iPhone ฯลฯ แต่ต้องบอกก่อนว่า ถ้าใครที่ใช้งาน iPhone ที่มีสายชาร์จ USB-A to Lightning ก็อาจจะต้องไปหาซื้อสาย USB-C to Lightning มาเพื่อใช้งานกับอะแดปเตอรืตัวนี้ ซึ่งสายที่ทาง Apple จำหน่ายก็จะอยู่ที่ราคาเริ่มต้น 690 บาท

ราคา: 690 บาท

สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: Apple (TH)


2. ZMI HA716 20W

i3

มาต่อกันด้วย อะแดปเตอร์ หรือ หัวชาร์จ iPhone ชนาดเล็ก กะทัดรัด พกพาสะดวก มาพร้อมการรองรับกำลังไฟ 20 วัตต์ จาก ZMI แบรนด์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากไม่แพ้แบรนด์อื่นๆ รวมถึงยังมีผลิตภัณฑ์อุปกรณ์เสริมสำหรับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตอีกมากมายเลยด้วย ในส่วนของอะแดปเตอร์ตัวนี้ก็มาพร้อมพอร์ตการเชื่อมต่อ USB-C ที่รองรับรับเทคโนโลยีการชาร์จไว PD สูงสุด 20W สามารถงานได้กับหลากหลายไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ทั้ง iOS และ Android ตัวอะแดปเตอร์มีขนาดเล็ก น้ำหนักเพียง 42.8 กรัมเท่านั้น ทำให้สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก มาพร้อมเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยป้องกันกระแสไฟฟ้าเกิน ทั้งการรับและจ่ายกระแสไฟ รวมไปถึงการป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร ฯลฯ นอกจากนี้อะแดปเตอร์ตัวนี้ยังมีการรับประกันจากทาง ZMI นานถึง 2 ปีด้วย

ราคา: 2xx – 6xx บาท

สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: ZMI, Shopee


3. Anker 511 Charger (Nano Pro) 20W

i5

อะแดปเตอร์ iPhone ที่เรียกได้ว่า ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับ iPhone 13 Series โดยเฉพาะ สำหรับ Anker 511 Charger (Nano Pro) 20W ที่มาพร้อมเทคโนโลยี PowerIQ 3.0 รองรับการชาร์จไว กับอุปกรณ์ที่รองรับ USB-C ทุกรุ่น ตัวอะแดปเตอร์ผลิตโดยใช้วัสดุ Premium ABS ที่มีความแข็งแรงทนทาน รวมไปถึงมีขนาดที่เล็กกระทัดรัด ง่ายต่อการพกพาเป็นอย่างมาก ตัวอะแดปเตอร์ ยังผ่าน มอก.ไทย และมาตรฐานสูดสุง USA อีกด้วย ทั้งยังมีเทคโนโลยีในการควบคุมไฟอัจฉริยะที่ช่วยป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรด้วย ทำให้มั่นใจได้ว่าสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องกังวลเลยด้วย ตัวอะแดปเตอร์ยังมีการรับประกันถึง 2 เลย

ราคา: 6xx – 1,0xx บาท

สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: Shopee


4. Baseus CUBE PD Quick Charger 20W

i6

อะแดปเตอร์สำหรับชาร์จไฟจาก Baseus เป็นอีกอะแดปเตอร์ที่มีขนาดเล็ก กะทัดรัดเป็นอย่างมาก โดยมีขนาดเพียงแค่ประมาณ 3 เซนติเมตรเท่านั้น สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก ไม่เกะกะพื้นที่ มาพร้อมการรองรับ Qc 3.0 และ PD 3.0 ขนาด 20W มีเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย ทำให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ในประสิทธิภาพการทำงาน, มี Smart Shift Battery Protection ที่จะช่วยถนอมแบตเตอรี่ให้แก่ผู้ใช้งาน โดยจะเป็นการเร่งประสิทธิภาพการชาร์ไฟในช่วง 0 – 80% และผ่อนลงในช่วง 80% – 99% เพื่อลดความร้อนและช่วยให้แบตเตอรี่เสื่อมได้ช้าลง อะแดปเตอร์ตัวนี้ยังรองรับหลากหลายอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต รวมไปถึงอุปกรณ์อื่นๆ

ราคา: 15x – 36x บาท

สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: Shopee


5. UGREEN GaN Fast Charger 65W

i7

อะแดปเตอร์สำหรับชาร์จแบตเตอรี่จาก UGREEN ที่มาพร้อมเทคโนโลยี GaN รองรับการชาร์จไว 65W สามารถเข้ากันได้กับ PD3.0, QC4.0 +, SCP และ MTK รองรับการชาร์จไฟหลากหลายอุปกรณ์ ตั้งแต่ Laptop, Tablet, Smartphone รวมไปถึงอุปกรณ์อื่นๆ ด้วยตัวอะแดปเตอร์ รองรับพอร์ต USB-A โดยมีด้วยกัน 3 พอร์ต สามารถใช้งานพร้อมกันได้ มีการป้องกันต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ป้องกันแรงดันไฟฟ้าเกิน, ป้องกันกระแสไฟเกิน, ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร, ป้องกันอุณภูมิเกิน ฯลฯ ตัวอะแดปเตอร์มีการรับประกันจากทางแบรนด์ 1 ปี

ราคา: 8xx – 2,0xx บาท

สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: Shopee


6. Belkin BOOST CHARGE GaN Wall Charger 30W

i8

อะแดปเตอร์ชาร์จไวจาก Belkin มีเทคโนโลยี GaN ที่มาพร้อมความสามารถในการชาร์จ สูงสุด 30W รองรับการใช้งานกับ USB-C (PD) โดยมีความสามารถในการชาร์จแบตเตอรี่อุปกรณ์ที่รองรับจาก 0% เป็น 50% ได้ในเวลา 30 นาที ตัวอะแดปเตอร์มีขนาดเล็ก ผลิตจากวัสดุพลาสติก มีน้ำหนักเบา ทำให้สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวกสบาย มีการรับประกันอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อด้วยวงเงินสูงสุด ไม่เกิน 80,000 บาท และตัวอะแดปเตอรืเองก็รับประกันถึง 2 ปี เลย สำหรับ Belkin ตัวนี้ ยังรองรับอุปกณ์ที่หลากหลายอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, Nintendo ฯลฯ

ราคา: 1,0xx บาท

สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: Shopee


7. ZMI HA715 GaN 33W

i9

กลับมาที่แบรนด์ ZMI กัน กับอะแดปเตอร์สำหรับชาร์จไฟ 33W ที่มาพร้อม GaN ให้ประสิทธิภาพในการชาร์จที่ดียิ่งขึ้น รองรับกับเทคโนโลยีการชาร์จไวหรือ PD สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อย่าง iPhone ได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงอุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับด้วย สำหรับ Adapter ZMI HA715 ตัวนี้ มีระบบป้องกันความปลอดภัยถึง 8 ระบบ ทำให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ในประสิทธิภาพการทำงานและความปลอดภัยในการใช้งานได้เป็นอย่างดี มีอุหณภูมิในการชาร์จที่ไม่สูงนัก ประมาณ 0 – 40 องศาเซลเซียส รองรับการเชื่อมต่อ USB-C ตัวอะแดปเตอร์ยังมาพร้อมกับสาย USB-C yo USB-C แถมมาให้ด้วย เรียกได้ว่าคุ้มค่าสุดๆ เลยทีเดียว

ราคา: 5xx บาท

สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: Shopee


และทั้งหมดนี้ก็คือ อะแดปเตอร์ iPhone ที่ทีมงานได้นำมาแนะนำกัน โดยจะเน้นไปที่อะแดปเตอรืที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ไว และมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงเทคโนโลยีทั้งด้านการผลิตและความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือ อยู่ในช่วงราคาที่สามารถเอื้อมถึงได้ง่าย ใครที่กำลังมองหาอะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่หรือหัวชาร์จอุปกรณ์ดีๆ สักตัว ก็สามารถนำอะแดปเตอร์ที่ทีมงานนำไปแนะนำเป็นตัวเลือกหนึ่งในการตัดสินใจได้เช่นกัน


อ่านบทความเพิ่มเติม / เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ที่วางโน๊ตบุ๊ค
ตัวปล่อยสัญญาณ WiFi แบบใส่ซิม
สาย OTG
ล้างเครื่อง โน๊ตบุ๊ค ลบไฟล์ขยะ
ซีรี่ย์ประวัติศาสตร์ Netflix
โปรเน็ตรายวันทรู, เน็ตรายวัน AIS, ดีแทค
YouTube Premium ราคาถูก

from:https://notebookspec.com/web/649734-adapter-iphone-suggest-for-you

6 แท่นชาร์จไร้สายน่าใช้ มีติดโต๊ะแล้วชีวิตสะดวก งบพันเดียวมีทอน!

แท่นชาร์จไร้สายดีๆ สักตัววางบนโต๊ะทำงานเมื่อไหร่ บอกเลยว่าลืมสายชาร์จไปเลย!

wireless cover

ถ้าใครใช้ iPhone หรือสมาร์ทโฟน Android ระดับเรือธงหลายๆ รุ่นที่มีฟีเจอร์ชาร์จไร้สายล่ะก็ แท่นชาร์จไร้สายก็ถือเป็นข้าวของเครื่องใช้ที่น่ามีติดโต๊ะทำงานมาก เพราะหลังจากใช้มือถือทำธุระมาทั้งวันแล้วก็เอาเครื่องวางที่ตัวแท่นชาร์จได้เลยไม่ต้องมาคอยเสียบปลั๊กให้ยุ่งยาก เวลาจะใช้ก็หยิบเครื่องจากแท่นชาร์จไปใช้ได้ทันทีโดยไม่ติดสายชาร์จอะไรอีกด้วย แค่ความเร็วตอนชาร์จแบตเตอรี่อาจจะไม่เร็วทันใจเหมือนสายชาร์จเท่านั้นเอง

แต่อย่างไรก็ตาม แท่นชาร์จไร้สายหลายๆ รุ่นก็ค่อยๆ อัพเกรดประสิทธิภาพการชาร์จของตัวเองขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จากเมื่อก่อนที่ยืนพื้นกันที่ 5 วัตต์ ก็มีรุ่น 10-20 วัตต์ หรือมากกว่านั้นเปิดตัวออกมาเรื่อยๆ อีกด้วย เรียกว่าตอบโจทย์คนที่ขอการใช้งานสะดวกอย่างแน่นอน

แท่นชาร์จไร้สาย

Qi (ชี่) มาตรฐานการชาร์จไร้สายที่อยู่มานานกว่าที่คิด

qi e1633411006859

ถ้าพูดถึงชื่อมาตรฐานการชาร์จไร้สายในปัจจุบัน ตอนนี้ก็จะมีมาตรฐานที่แพร่หลายสุดอย่าง Qi หรือ “ชี่” เป็นภาษาจีน ซึ่งเป็นอินเตอร์เฟสที่เปิดให้พัฒนาและออกแบบโดยอิสระ (Open interface standard) ซึ่งเริ่มพัฒนากันมาตั้งแต่ปี 2008 หรือผ่านมา 13 ปีแล้ว และในปัจจุบันมีการประกาศเวอร์ชั่น 1.3 มาเมื่อเดือนมกราคม 2021 ที่ผ่านมานี้เอง โดยความเร็วในการชาร์จและฟีเจอร์หลักๆ ของแต่ละเวอร์ชั่นจะมีดังนี้

  • เวอร์ชั่น 1.0 – มาตรฐานแรกสุดที่ประกาศเมื่อปี 2010 มีกำลังชาร์จสูงสุด 5 วัตต์ โดยกำหนดตัวคอลย์ชาร์จว่าจะเป็นคอยล์เดี่ยว (Single coil), คอยล์ที่จัดรูปทรงไว้ (Coil array) หรือคอยล์ที่ขยับตัวได้ (Moving coil)
  • เวอร์ชั่น 1.1 – มาตรฐานที่ 2 ประกาศเปิดตัวเมื่อปี 2012 ยังคงกำลังชาร์จไว้ที่ 5 วัตต์เช่นเดิม แต่เพิ่มรายละเอียดเกี่ยวกับตัวแปลงในตัวชาร์จไร้สาย 12 แบบ, เพิ่มการตรวจจับวัตถุรอบตัวชาร์จไม่ให้ส่งผ่านความร้อนไปยังโลหะที่อยู่ใกล้ และเพิ่มตัวแปลงพลังงานผ่านมาตรฐาน USB เข้ามา
  • เวอร์ชั่น 1.2 – ประกาศเปิดตัวปี 2015 โดยเพิ่มกำลังชาร์จไปที่ 15 วัตต์ แยกโปรไฟล์การชาร์จออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ Baseline Power Profile (BPP) ให้อยู่ที่ 5 วัตต์ และ Extended Power Profile (EPP) ให้อยู่ที่ 15 วัตต์ มีการประกาศเพิ่มกำลังตัวชาร์จสูงสุดให้ขึ้นไปที่ 15 วัตต์, ปรับแต่งการทดสอบความร้อนของตัวส่งกระแสให้ดียิ่งขึ้น ฯลฯ
  • เวอร์ชั่น 1.2.3 – ประกาศเปิดตัวปี 2017 เพิ่ม Power Class 0 ซึ่งเพิ่มกำลังชาร์จสำหรับอุปกรณ์สำหรับผู้ใช้ทั่วไป ให้แท่นชาร์จมีกำลังชาร์จได้สูงสุดที่ 30 วัตต์
  • เวอร์ชั่น 1.2.4 – ประกาศเปิดตัวปีเดียวกันกับข้อที่แล้ว โดยเพิ่มมาตรฐานการทดสอบและแก้ไขให้ EPP เข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น
  • เวอร์ชั่น 1.3 – ประกาศเปิดตัวปี 2021 โดยเพิ่มรายละเอียดเกี่ยวกับการชาร์จไร้สายดังนี้
    • ปรับแต่งรายละเอียดเกี่ยวกับสเปคการชาร์จไร้สาย
    • ประกาศการรองรับแท่นชาร์จที่ผ่านมาตรฐาน Qi แล้ว
    • ประกาศปรับแต่ง FOD features และการทดสอบอุปกรณ์ชาร์จไร้สายรวมไปถึง low-Q  test ด้วย

โดยในเวอร์ชั่น 1.3 นั้นจะมีรายละเอียดอื่นๆ อีกพอสมควร ซึ่งขอยกยอดการกล่าวถึงเอาไว้ แต่ถ้าใครสนใจก็สามารถไปศึกษาข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของทาง Wireless Power Consortium ได้เลย

Nokia DT 900

ส่วนหลักการทำงานของแท่นชาร์จไร้สายถ้าผ่าตัวแท่นชาร์จออกมา จะเห็นชุดวงจรกับขดลวดที่เป็นตัวส่งพลังสนามแม่เหล็กไฟฟ้าไปยังขดลวดตัวรับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่ฝังเอาไว้ในสมาร์ทโฟนรุ่นนั้นๆ ที่วางอยู่บนแท่นชาร์จ ซึ่งระยะการทำงานของสนามแม่เหล็กตามมาตรฐาน Qi จะอยู่ภายในระยะ 4 เซนติเมตร (1.6 นิ้ว) ซึ่งปัจจุบันนี้จะมีสมาร์ทโฟนกว่า 200 รุ่นทั่วโลกที่รองรับการชาร์จไร้สายได้แล้ว

ส่วนของความเร็วว่าจะชาร์จได้เร็วแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวส่งและตัวรับด้วย ว่าสร้างกำลังชาร์จได้กี่วัตต์ โดยจะอิงตามฝั่งที่มีกำลังต่ำที่สุด เช่น ถ้าแท่นชาร์จจ่ายกระแสได้ 25 วัตต์ แต่มือถือรับได้เพียง 15 วัตต์ ก็จะชาร์จได้ 15 วัตต์เท่านั้น หรือถ้าแท่นชาร์จจ่ายกระแสได้ 15 วัตต์ แต่มือถือรับได้ 25 วัตต์ ก็จะชาร์จได้แค่ 15 วัตต์ เช่นกัน

spec sheet

ส่วนใครที่ไม่แน่ใจว่าสมาร์ทโฟนของตัวเองรองรับการชาร์จไร้สายหรือเปล่า ก็แนะนำให้เราไปดูจากหน้าสเปคของมือถือรุ่นนั้นๆ ที่เราใช้งานอยู่จากหน้าเว็บไซต์ของผู้ผลิตหรือเว็บไซต์ที่มีฐานข้อมูลสเปคมือถือเช่น Specphone.com ก็ได้ แล้วเลื่อนมาดูรายละเอียดสเปคส่วนของแบตเตอรี่ ว่ามือถือเครื่องนั้นรองรับ Wireless Charging หรือเปล่า ซึ่งถ้ารองรับก็ซื้อแท่นชาร์จไร้สายมาใช้งานได้เลย

6 แท่นชาร์จไร้สายน่าใช้ ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นแค่วางก็ชาร์จได้เลย

สำหรับที่ชาร์จไร้สายในปัจจุบันนี้ จะมีให้เลือกตั้งแต่รุ่นราคาหลักร้อยบาทต้นๆ ไปจนถึงรุ่นราคาหลักพันแต่ก็ใส่ฟีเจอร์เสริมน่าใช้เข้ามาหลายอย่างอีกด้วย โดยรุ่นที่เลือกมาแนะนำจะมีทั้งหมด 6 รุ่นดังนี้

  1. Baseus Jelly (269 บาท)
  2. Eloop W1 (379 บาท)
  3. ZMI WTX11 Wireless Charger (599 บาท)
  4. Xiaomi Mi 20W Wireless Charging Stand (659 บาท)
  5. UGREEN 60228 (990 บาท)
  6. Eloop W4 (999 บาท)
1. Baseus Jelly (269 บาท)

1748ed346dad7cfb6a49334df38a62e7

รุ่นแรกที่เลือกมาแนะนำเป็นที่ชาร์จไร้สายจาก Baseus รุ่น Baseus Jelly ที่ตัวแท่นชาร์จมีสีสันสดใส เลือกได้ระหว่างสีขาว, ดำหรือเหลือง บอดี้ภายนอกเป็นพลาสติกเนื้อนุ่มหุ้มอยู่ตามชื่อ Jelly ทำให้วางมือถือแล้วไม่กระทบจนเกิดเสียงดังหรือริ้วรอยที่ตัวเคสหรือเครื่อง โดยที่ชาร์จตัวนี้มีกำลังชาร์จ 15 วัตต์ มีสาย USB-C to A แถมมาให้ 1 เส้นเพื่อเสียบเข้ากับอแดปเตอร์เพื่อจ่ายไฟให้ตัวแท่นชาร์จได้เลย แต่ทางผู้ผลิตแนะนำว่าให้ใช้กับอแดปเตอร์ที่เป็น Quick Charge 3.0 ที่มีกำลังไฟ 18 วัตต์ขึ้นไป จะทำให้ชาร์จได้ดี ซึ่งถ้าใครอยากชาร์จไร้สายแล้วหาอแดปเตอร์ดีๆ ราคาไม่แพงอาจจะเริ่มจากตัวนี้ก็ได้

สเปคของ Baseus Jelly
  • ที่ชาร์จไร้สายเนื้อยาง เลือกสีได้ระหว่างขาว, ดำหรือเหลือง
  • กำลังชาร์จไร้สาย 15 วัตต์ ควรต่อกับอแดปเตอร์ Quick Charge 3.0 กำลังชาร์จ 18 วัตต์
  • มีสาย USB-A to C แถมมาให้ 1 เส้น
  • ราคา 269 บาท (Baseus Thailand Shopee Mall)
2. Eloop W1 (379 บาท)

ff70e62a3441630730c822f0d2234932

ด้าน Eloop ผู้ผลิตอุปกรณ์เสริมสมาร์ทโฟนชื่อดังที่มีชื่อเสียงจากการทำ Power Bank จนคุ้นหูชาวไทยเองก็มีที่ชาร์จไร้สายรุ่น Eloop W1 ให้เลือกซื้อเช่นกัน โดยตัวแท่นชาร์จจะเป็นบอดี้ผิวกระจกสวยงาม เลือกสีได้ 3 สี คือขาว, ดำ หรือทอง มีกำลังชาร์จสูงสุด 10 วัตต์ และมีสาย USB-A สำหรับต่อระหว่างตัวแท่นกับอแดปเตอร์เพื่อชาร์จมือถือได้ด้วย เรียกว่าเป็นอีกแบรนด์ที่น่าใช้เช่นกัน ยิ่งถ้าใครใช้ iPhone หรือมือถือที่ชาร์จไร้สายได้ก็แนะนำให้ซื้อมาใช้งานได้เลย

สเปคของ Eloop W1
  • ที่ชาร์จไร้สายผิวกระจก เลือกสีได้ระหว่างขาว, ดำหรือทอง
  • กำลังชาร์จไร้สาย 10 วัตต์ มีสาย USB-A แถมมาให้ 1 เส้น
  • ราคา 379 บาท (Eloop Thailand Shopee Mall)
3. ZMI WTX11 Wireless Charger (599 บาท)

zmi

นอกจากสายชาร์จ, ปลั๊กหรือ Power bank แล้ว Zmi ก็มีที่ชาร์จไร้สายให้ใช้เช่นกัน โดยเป็นรุ่น Zmi WTX11 ที่ดีไซน์เรียบหรู บอดี้เป็นแท่นอลูมิเนียมบุผ้า Alcantara ที่เนื้อยืดหยุ่นเอาไว้ด้านบน เวลาวางเครื่องแล้วจะไม่เป็นรอยและมีระบบป้องกันไฟเกินติดตั้งไว้ในตัวและมีไฟแสดงสถานะการชาร์จด้วย ส่วนกำลังชาร์จอยู่ที่ 10 วัตต์ และมีสาย USB-C to A แถมมาให้ต่อกับอแดปเตอร์เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ได้ด้วย แต่แนะนำให้ต่อกับอแดปเตอร์ที่เป็น Quick Charge 3.0 ที่จ่ายไฟได้ 18 วัตต์จะดีที่สุด

สเปคของ Zmi WTX11 Wireless Charger
  • ที่ชาร์จไร้สายบอดี้อลูมิเนียมบุผ้า Alcantara เนื้อยืดหยุ่น มีไฟแสดงสถานะการชาร์จ
  • กำลังชาร์จไร้สาย 10 วัตต์ ควรต่อกับอแดปเตอร์ Quick Charge 3.0
  • มีสาย USB-C to A แถมมาให้ 1 เส้น
  • ราคา 599 บาท (425 Degree)
4. Xiaomi Mi 20W Wireless Charging Stand (659 บาท)

7855ca22941ae46b1ab0472021496466

นอกจากค่ายในเครือจะมีแท่นชาร์จไร้สายให้เลือกซื้อแล้ว Xiaomi เองก็มี Xiaomi Mi 20W Wireless Charging Stand ให้เลือกซื้อด้วยเช่นกัน โดยดีไซน์จะเป็นแท่นให้วางมือถือเป็นแนวตั้งแต่เฉียงไปด้านหลังเล็กน้อยและติดตั้งคอยล์ชาร์จเอาไว้ด้านในให้วางชาร์จในแนวตั้งหรือวางตะแคงเครื่องก็ได้ บอดี้เป็นพลาสติกเนื้อแข็งงานประกอบเรียบร้อยพร้อมไฟแสดงสถานะการชาร์จ มีกำลังชาร์จไร้สาย 20 วัตต์ ทำให้ชาร์จแบตเตอรี่เต็มได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีสาย USB-C แถมมาให้ในกล่องอีกด้วย ซึ่งถ้าใครใช้มือถือที่รองรับการชาร์จเร็วได้ระดับ 20-25 วัตต์หรือสูงกว่านั้น ก็แนะนำให้ใช้แท่นชาร์จนี้เช่นกัน

สเปคของ Xiaomi Mi 20W Wireless Charging Stand
  • ที่ชาร์จไร้สายบอดี้พลาสติกเนื้อแข็ง ดีไซน์ให้วางมือถือในแนวตั้งหรือตะแคงได้ มีไฟแสดงสถานะการชาร์จ
  • กำลังชาร์จไร้สาย 20 วัตต์ ควรต่อกับอแดปเตอร์ Quick Charge 3.0
  • มีสาย USB-C แถมมาให้ 1 เส้น
  • ราคา 659 บาท (Xiaomi Authorized Store Shopee Mall)
5. UGREEN 60228 (525 บาท)

e1a5710d5c388f20a11736fcce44d7ab

ถัดมาเป็น UGREEN 60228 แท่นชาร์จไร้สายที่ดีไซน์ให้วางสมาร์ทโฟนเป็นแนวตั้งหรือตะแคงก็ได้แบบเดียวกับ Xiaomi บอดี้เป็นพลาสติกเนื้อแข็งติดตั้งคอยล์ชาร์จเอาไว้ 2 ตัวในตัวแท่นเพื่อให้กำลังชาร์จเสถียรยิ่งขึ้นแต่กำลังชาร์จจะลดลงเหลือ 10 วัตต์ มีสาย USB-C แถมมาให้ในกล่อง 1 เส้นเพื่อเสียบอแดปเตอร์และมีไฟแสดงสถานะการชาร์จด้วย ส่วนอแดปเตอร์ควรเป็นแบบ Quick Charge 3.0 เพื่อให้จ่ายกระแสไฟได้เพียงพอ ซึ่งตัวที่ชาร์จไร้สายจาก UGREEN ตัวนี้ก็ถือว่าเป็นรุ่นที่น่าสนใจและงานประกอบสวยดีทีเดียว ซึ่งถ้าใครมีมือถือที่ชาร์จไร้สายได้จะซื้อตัวนี้ไปใช้งานก็น่าสนใจเช่นกัน

สเปคของ UGREEN 60228
  • ที่ชาร์จไร้สายบอดี้พลาสติกเนื้อแข็ง ดีไซน์ให้วางมือถือในแนวตั้งหรือตะแคงได้ มีไฟแสดงสถานะการชาร์จ
  • กำลังชาร์จไร้สาย 10 วัตต์ ควรต่อกับอแดปเตอร์ Quick Charge 3.0
  • มีสาย USB-C แถมมาให้ 1 เส้น
  • ราคา 525 บาท (UGREEN Official by Gadget Villa)
6. Eloop W4 (999 บาท)

Eloop W4 18W 5 in 1 Wireless Charger 1

 

ส่วนแท่นชาร์จไร้สายตัวสุดท้ายจะเป็นรุ่น Eloop W4 ที่เรียกว่าซื้อมาตัวเดียวชาร์จได้ 5 อุปกรณ์พร้อมกัน โดยเฉพาะคนที่ใช้ iPhone อยู่ก็แนะนำให้ซื้อคู่กับตัวชาร์จ Apple Watch โดยเฉพาะ รุ่น Eloop W3 มาด้วย จะครบเครื่องยิ่งขึ้น โดยตัวแท่นชาร์จไร้สายตัวนี้จะเป็นแบบแท่นสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยตัวที่ชาร์จจะเป็นพลาสติก ABS ติดตั้งคอยล์ชาร์จเอาไว้หลายตัวเพื่อให้ชาร์จมือถือและอุปกรณ์เสริมเช่นหูฟัง True Wireless ไร้สายพร้อมกัน 2 ชิ้นได้เลย และด้านหลังจะมีพอร์ต USB-A x 2 ช่องและ USB-C x 1 ช่อง และมีช่องเสียบปลั๊กไฟบ้านแยกเฉพาะด้วย โดยกำลังชาร์จจะเป็นดังนี้

  1. ตัวแท่นชาร์จสามารถชาร์จไร้สายให้อุปกรณ์ 2 ชิ้นพร้อมกันได้ จ่ายกระแส 10 วัตต์
  2. พอร์ต USB-A ข้างปลั๊กไฟจ่ายกระแส 12 วัตต์
  3. พอร์ต USB-A ที่คู่กับ USB-C จ่ายกระแสได้ 18 วัตต์ทั้งคู่ แต่ USB-A เป็น Quick Charge 3.0 ส่วน USB-C เป็น Power Delivery 18 วัตต์

ส่วนในกล่องจะแถมเป็นหัวชาร์จเฉพาะสำหรับ Eloop W4 มาให้ 1 ตัวเท่านั้น ซึ่งถ้าใครมีอุปกรณ์ที่ใช้ชาร์จไร้สายอยู่หลายชิ้น เช่นมีสมาร์ทโฟนกับหูฟังไร้สายที่ตัวเคสรองรับการชาร์จไร้สายได้ด้วย ก็แนะนำให้ลงทุนซื้อตัวนี้มาใช้งานได้เลย

สเปคของ Eloop W4
  • ที่ชาร์จบอดี้พลาสติก ABS สวยแข็งแรง ชาร์จ 5 อุปกรณ์ได้พร้อมกัน มีช่องเสียบปลั๊กเฉพาะ
  • ชาร์จไร้สายพร้อมกันได้ 2 อุปกรณ์ มีพอร์ต USB-A x 2, USB-C x 1 ให้ต่อชาร์จแบบมีสายได้
  • แถมเฉพาะอแดปเตอร์สำหรับ Eloop W4
  • ราคา 999 บาท (Eloop Thailand Shopee Mall)

สรุปสเปคแท่นชาร์จไร้สาย 6 รุ่นน่าใช้ ชาร์จมือถือสะดวก ไม่ต้องต่อสาย

สำหรับแท่นชาร์จไร้สายที่เลือกมาแนะนำในบทความนี้ จะมีให้เลือกหลายรุ่นหลากกำลังชาร์จรวมถึงราคาด้วย ซึ่งถ้าสรุปสเปคและกำลังชาร์จให้เข้าใจได้ง่ายๆ จะเป็นดังนี้

สเปคแท่นชาร์จ
ไร้สาย
วัสดุตัวแท่นชาร์จ กำลังชาร์จ อุปกรณ์ในกล่อง ราคา
Baseus Jelly วัสดุเนื้อยาง

เลือกสีขาว, ดำ, เหลือง

15 วัตต์

ควรต่อกับอแดปเตอร์
Quick Charge 3.0 กำลังชาร์จ 18 วัตต์

USB-A to C x 1 269 บาท
Eloop W1 แท่นชาร์จผิวกระจก

เลือกสีขาว, ดำ, ทอง

10 วัตต์

ควรต่อกับอแดปเตอร์
Quick Charge 3.0 กำลังชาร์จ 18 วัตต์

USB-A x 1 379 บาท
Zmi WTX11 แท่นชาร์จบอดี้อลูมิเนียม บุผ้า Alcantara 10 วัตต์

ควรต่อกับอแดปเตอร์
Quick Charge 3.0 กำลังชาร์จ 18 วัตต์

USB-A to C x 1 599 บาท
Xiaomi Mi 20W Wireless Charging Stand แท่นชาร์จบอดี้พลาสติกเนื้อแข็ง ดีไซน์ให้วางมือถือในแนวตั้งหรือตะแคงได้ 20 วัตต์

ควรต่อกับอแดปเตอร์
Quick Charge 3.0

USB-C x 1 659 บาท
UGREEN 60228 แท่นชาร์จบอดี้พลาสติกเนื้อแข็ง ดีไซน์ให้วางมือถือในแนวตั้งหรือตะแคงได้ 10 วัตต์

ควรต่อกับอแดปเตอร์
Quick Charge 3.0

USB-C x 1 525 บาท
Eloop W4 แท่นชาร์จสี่เหลี่ยมผืนผ้า พลาสติก ABS ชาร์จได้ 5 อุปกรณ์พร้อมกัน

ชาร์จไร้สาย 2 อุปกรณ์

USB-A 12W x 1

USB-A 18W x 1

USB-C 18W x 1

ต่อกับอแดปเตอร์เฉพาะของแท่นชาร์จ

อแดปเตอร์เฉพาะของแท่นชาร์จ 999 บาท

สำหรับตัวแท่นชาร์จไร้สายนั้น ถ้าให้จัดหมวดหมู่แล้วก็ถือว่าเป็น Gadget ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกแต่ก็ไม่ถึงกับจำเป็นต้องรีบเร่งหาซื้อมาใช้งาน เนื่องจากฟีเจอร์ชาร์จไร้สายยังเป็นฟีเจอร์ที่เพิ่มความสะดวกและยังเก็บเอาไว้ให้มือถือระดับเรือธงหลายๆ รุ่นอยู่ ดังนั้นถ้าใครเป็นผู้ใช้ทั่วไปอาจจะใช้สายชาร์จตามปกติก็เพียงพอแล้วเช่นกัน

กลับกัน คนที่ใช้มือถือเรือธง มีฟีเจอร์ชาร์จไร้สายแล้วอยากชาร์จมือถือแบบสะดวกๆ ไม่ต้องทำอะไรมากแค่วางเครื่องทิ้งเอาไว้ก่อนนอน พอตื่นเช้ามาก็หยิบไปใช้งานตามปกติได้เลย แล้วยิ่งถ้าใครมีอุปกรณ์ที่ชาร์จไร้สายได้อยู่หลายชิ้น อย่างหูฟัง True Wireless, นาฬิกาสมาร์ทว็อชและสมาร์ทโฟน จะลงทุนซื้อแท่นชาร์จที่เสียบชาร์จพร้อมกันได้หลายอุปกรณ์ นอกจากจะประหยัดหัวปลั๊กแล้วชีวิตยังสะดวกและรวมของเอาไว้ที่เดียว ไม่หายหรือกระจัดกระจายไปทั่วห้องอีกด้วย


บทความที่เกี่ยวข้อง

mic cover

mousemat cover

usb plug cover new

from:https://notebookspec.com/web/616675-6-wireless-charger-for-your-desk

Baseus เปิดตัวที่ชาร์จเร็วเทคโนโลยี GaN กำลังไฟสูงถึง 120W

Baseus บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์เสริมชื่อดังจากจีนที่ในประเทศไทยเรานั้นมีผู้นิยมใช้งานมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการผลิตที่มีมาตรฐานและสินค้ามีประสิทธิภาพดี ล่าสุดได้ทำการเปิดตัวที่ชาร์จเร็วเทคโนโลยี GaN ซึ่งมาพร้อมกับกำลังไฟฟ้าสูงมากถึง 120W หมดกังวลกับการพกที่ชาร์จหลายอันเวลาออกนอกสถานที่ได้เลย

baseus 120w charger 1 1
Baseus 120W GaN Quick Charger

Baseus 120W GaN Quick Charger

สำหรับ GaN หรือ Gallium nitride เป็นสารประกอบทางเคมีแบบใหม่ที่บริษัทผู้ผลิตที่ชาร์จเริ่มให้ความนิยมนำมาใช้ในการผลิตมากขึ้นในปัจจุบัน ข้อดีของมันนั้นก็คือทำให้ประสิทธิภาพในการใช้พลังงานไฟฟ้าในอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ดีมากขึ้นกว่าเดิมเป็นอย่างมาก สรุปง่ายๆ ก็คือตัวที่ชาร์จนั้นจะสามารถให้กำลังไฟฟ้ากับอุปกรณ์ได้ดีกว่าที่ชาร์จเดิมที่ใช้เทคโนโลยีเก่า นอกไปจากนั้นแล้วความร้อนที่เกิดขึ้นก็จะน้อยลงกว่าเดิมเป็นอย่างมากอีกด้วย

สำหรับ Baseus 120W GaN Quick Charger นั้นจะมาพร้อมกับพอร์ตการเชื่อมต่อมากถึง 3 พอร์ตคือ USB Type-C จำนวน 2 พอร์ตและ USB Type-A จำนวน 1 พอร์ต ในส่วนของพอร์ต USB Type-C นั้นจะรองรับมาตรฐาน Power Delivery 3.0 (USB-PD) ซึ่งหากใช้งานแค่เพียงพอร์ตเดียวแล้วนั้นสามารถให้กำลังไฟฟ้าได้สูงสุดที่ 100W สบายๆ(นั่นทำให้ Baseus 120W GaN Quick Charger รองรับการชาร์จกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่มีต้องการกำลังไฟฟ้าในการชาร์จไม่เกิน 100W ด้วยเช่น Nintendo Switch เป็นต้น)

หากใช้งาน USB Type-C 2 พอร์ตไปพร้อมๆ กันนั้น แต่ละพอร์ตจะสามารถให้กำลังไฟฟ้าได้สูงสุดที่ 60W สำหรับ USB Type-A นั้นหากใช้งานเพียงพอร์ตเดียวจะสามารถให้กำลังไฟฟ้าได้สูงสุดที่ 30W เลยทีเดียว โดยตามสเปคของที่ชาร์จนั้นทาง Baseus บอกเอาไว้ว่าสามารถที่จะจ่ายกระแสไฟฟ้าได้มากที่สุดถึง 6A

Baseus 120W GaN Quick Charger เริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว โดยราคานั้นจะอยู่ที่ราวๆ 1,820 บาท สำหรับในเมืองไทยเรานั้นจะต้องสั่งซื้อผ่านทาง AliExpress หรือ Amazon ก่อนเพราะตอนนี้ที่มีการนำเข้ามาจำหน่ายในไทยนั้นจะมีแค่รุ่นที่รองรับกำลังไฟฟ้าสูงสุดที่ 65W เท่านั้น

ที่มา : notebookcheck

from:https://notebookspec.com/web/550913-baseus-introduces-a-120w-gan-quick-charger

Xiaomi เปิดตัว PD fast charger 65W ราคาเพียง 4xx บาท รองรับหลากหลายอุปกรณ์

Xiaomi ได้เปิดตัว PD fast charger 65W ก่อนเทศกาล 618 ในประเทศจีน (China Mid-Year Shopping Festival) โดยที่ชาร์จอเนกประสงค์นี้มีราคาเพียง 99 หยวน ($ 14) คิดเป็นเงินไทยประมาณ 440 บาท สามารถใช้ชาร์จอุปกรณ์ทุกประเภทรวมถึงสมาร์ทโฟน, แล็ปท็อป, แท็บเล็ต และอุปกรณ์อื่น ๆ

Credit: gizmochina

Xiaomi PD fast charger 65W มีเฉพาะสีขาวเท่านั้น มาพร้อมพอร์ต USB Type-C และขาพับที่สามารถเก็บได้ ตามที่ทาง Xiaomi ได้ระบุไว้คือ เครื่องชาร์จใหม่ตัวนี้มาพร้อมกับการป้องกันการแรงดันเกิน (over-voltage), กระแสไฟฟ้าไหลเกิน (I/O over-current) และไฟฟ้าลัดวงจร นอกจากนี้ยังมีคลื่นแม่เหล็กรบกวนต่ำและความต้านทานคงที่

Credit: gizmochina

Xiaomi ได้กล่าวว่า หัวชาร์จนี้สามารถชาร์จ MacBook Pro 13” และ 15.6” ได้อย่างเต็มที่ใน 1 ชั่วโมง 50 นาทีและ 2 ชั่วโมง 25 นาทีตามลำดับ และยังกล่าวถึงเวลาในการชาร์จของอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น Mi 10 Pro (1 ชั่วโมง 50 นาที), Redmi K20 Pro (1 ชั่วโมง 40 นาที), iPad Pro (2 ชั่วโมง 28 นาที), Nintendo Switch (2 ชั่วโมง 55 นาที), iPhone 11 (1 ชั่วโมง 55 นาที) และ iPad Air (2 ชั่วโมง 10 นาที)

Credit: gizmochina

Xiaomi ยังจัดทำรายชื่อของแล็ปท็อปบางรุ่นที่เข้ากันได้กับ PD fast charger 65W รุ่นใหม่นี้ด้วย ได้แก่

Apple

  • MacBook Pro 15” 2016 (A1707)
  • MacBook Pro 13” 2017 (A1708)
  • MacBook Air 13” 2018 (A1932)
  • MacBook Pro 15” 2018 (A1990)
  • MacBook Pro 13” 2018 (A1989)
  • MacBook 12” 2017 (A1534)
  • MacBook Pro 13” 2016 (MLL42)

HP

  • EliteBook Folio G1 12.5”
  • Spectre 13-af001
  • Spectre X360 13-w021 TU 13.3”

Honor

  • MagicBook 14”

Razer

  • Blade Stealth 17”

Asus

  • Transformers 3 Pro T303UA 12.6”

Google

  • Pixelbook

Samsung

  • XE513C2A

Dell

  • XPS 13” (9370)
  • Latitude 5480
  • XPS 15” (9560)
  • XPS 13” 2 in 1 (9365)

Lenovo

  • ThinkPad S3-490 14”
  • Yoga C930 13.9”
  • ThinkPad New S2 13.3”
  • ThinkPad X270

Huawei

  • MateBook E 12.0”
  • MateBook X Pro

Xiaomi

  • Mi Notebook Air 12.5” M3
  • Mi Notebook Air 13.3”
  • Mi Notebook Air 13.3” Core i5
  • Mi Notebook Air 13.3” Core i5 MX150
  • Mi Notebook Air 13.3” 2019 Core i7 MX250
  • Mi Notebook Pro 15.6” Core i5 MX150
  • Mi Notebook Pro 15.6” Core i7 MX150
  • Mi Notebook Pro 15.6” 2019 Core i5 MX250

 

 

ที่มา: gizmochina

from:https://notebookspec.com/xiaomi-announces-pd-fast-charger-65w/523496/

Review-คู่หู HyperX Cloud PS4 กับ ChargePlay Duo ลุย FF7 Remake

ต้องบอกว่าในช่วงที่หลายๆ คน ไม่สิ ต้องบอกว่าคนไทยและทั่วโลก ส่วนใหญ่ก็จะต้องเก็บตัวกันอยู่แต่ในบ้าน หรือทำงานกันแบบ Work from Home หลายวันเข้า ก็น่าเบื่ออยู่ไม่น้อย แอดเองก็เช่นกัน แต่ก็ยังดีที่มีอะไรให้ทำมากมาย เช่นเดียวกับรีวิวในวันนี้ ที่เอาใจสายเกมเมอร์ที่เล่นเกมคอนโซลกันหน่อย เพราะได้ของเล่นที่ใช้สำหรับเครื่องเล่นเกม Play Station 4 หรือ PS4 จากค่าย HyperX มาให้ลอง โดยในช่วงนี้ไม่รู้จะหันไปทางไหนดี เกมมีให้เล่นมากมาย แต่ก็เอาใจคอเกมที่เรียกว่าเป็นอมตะอีกเกมหนึ่ง อย่างเช่นเกม Final Fantasy VII Remake เรียกว่าออกมาตั้งแต่เดโม จนวันนี้กลายเป็นตัวเต็มกันละ กับสนนราคาราว 2 พันบาท ซึ่งถือว่าเป็นเกมที่น่าสนุกและถูกใจสายแอ็คชั่นได้ดีทีเดียว

hyperx cloud

วันนี้มีโอกาสได้ลองเกมมิ่งเกียร์ตัวจี๊ดอีกรุ่นหนึ่งจากค่าย HyperX ที่จะเอามาช่วยเพิ่มความเร้าใจในการเล่นเกม Final Fantasy VII Remake อันประกอบไปด้วย HyperX Cloud PS4 ที่เรียกว่าถอดแบบเอาเอกลักษณ์จัดๆ ของหูฟังในตระกูล Cloud รุ่นแรกๆ มาเลย กับรูปลักษณ์และฟีเจอร์ แต่ปรับเรื่องของสเตจเสียงและโครงสร้าง รวมถึงขยับตัวไดรเวอร์ให้จัดจ้านขึ้นอีกนิด และประกบคู่มากับ HyperX ChargePlay Duo ที่เอาใจคอเกมที่ชอบความต่อเนื่องในการเล่น ด้วยการชาร์จ ให้กับจอยสติ๊กของ PS4 ที่เป็น Wireless ได้รวดเร็ว ซึ่งเราจะมาทดสอบด้วยว่า จะใช้เวลาเท่าไรในการชาร์จไฟในแต่ละครั้ง โดยในรุ่น Duo นี้ก็จะตามชื่อเลย คือชาร์จแบบคู่ พร้อมไฟ LED 3 step จากการอ้างอิงของ HyperX ระบุว่า สามารถชาร์จ DualShock4 เต็มได้ใน 2 ชั่วโมง จะได้จริงหรือไม่ เรามาพิสูจน์กันอีกที

มาดูหน้าตาของเกมมิ่งเกียร์ทั้ง 2 รุ่นกัน ซ้ายหูฟัง HyperX Cloud PS4 สีน้ำเงินสดใส กับดีไซน์ที่ดูคุ้นตา ถัดมาด้านขวาคือ ChargePlay Duo ชาร์จไฟ ชาร์จไวให้กับจอยของ PS4

HyperX Cloud PS4 หูฟังแบบปิด Close back ที่เป็นสไตล์ของ Earcup ในหูฟังเกมมิ่งในปัจจุบัน กับดีไซน์ที่ดูเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของ Cloud series แต่ใช้โครงสร้างที่ดูเล็กลง กับที่รองศีรษะน้ำหนักเบา เป็นแบบเส้นเดียว เป็นเมมโมรีโฟมที่หุ้มด้วยวัสดุแบบหนังสังเคราะห์ ก้านหูฟังปรับระดับได้ เพื่อให้เหมาะกับการสวมใส่ มีโลโก้ PlayStation สวยๆ ติดไว้บนก้านของหูฟังกับโลโก้ HyperX ที่ด้านบน โดยที่ติดตั้งไดรเวอร์ขนาดใหญ่ 53mm ที่เป็นนีโอดายเมียมมาด้วย พร้อมสายยาว 1.3m ที่มีชุดควบคุมระดับเสียงมาให้บนสาย กับหัวต่อพื้นฐาน 3.5mm และไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน แบบถอดได้ เพื่อให้สะดวกต่อการใช้งาน

มาดูสเปคคร่าวๆ ของ HyperX Cloud PS4

เฮดโฟน

  • ไดร์เวอร์: 53 มม. แบบไดนามิคพร้อมแม่เหล็กนีโอดีเนียม
  • ประเภท: แบบครอบเต็ม ปิดด้านหลัง
  • ความถี่: 15Hz-25,000 Hz
  • ความต้านทาน: 41 Ω
  • ระดับแรงดันเสียง: 95dBSPL/mW ที่ 1kHz
  • T.H.D.: < 2%
  • น้ำหนัก: 325 ก.
  • น้ำหนักพร้อมไมค์: 337 ก.
  • ความยาวและประเภทสายต่อ: ชุดหูฟัง (1.3 ม.)
  • การเชื่อมต่อ: ชุดหูฟัง – หัวเสียบ 3.5 มม. (4 ตอน)

ไมโครโฟน

  • ส่วนประกอบ: ไมโครโฟนอีเล็คเตรทคอนเดนเซอร์
  • รูปแบบขั้ว: ระบบตัดสัญญาณรบกวน
  • ความถี่: 50Hz-18,000 Hz
  • ความไว: -39dBV (0dB=1V/Pa,1kHz)

 

อย่างที่กล่าวไว้คือ Cloud PS4 รุ่นนี้ เป็นแบบ Close back กับโลโก้ HyperX ด้านข้างดูโดดเด่น แต่ไม่มีแสงสีมาด้วยนะ โครงโลหะแข็งแรงสีน้ำเงิน เพื่อให้เข้ากับสไตล์ของ PS4 ได้อย่างลงตัว

เรื่องของมิติและขนาด แทบไม่ต้องกังวลว่าจะใหญ่เทอะทะ ด้วยครอบหูฟังแบบวงรีรูปไข่ และไซส์ที่เหมาะกับศีรษะของคนเอเซียได้ลงตัว เรียกว่าผู้หญิงใส่ได้ ผู้ใช้ก็พอดี เหมาะกับคนที่ชอบการเคลื่อนไหวที่คล่องตัว

ด้านในครอบหูฟังจะเป็นไดรเวอร์ขนาดใหญ่ 53mm ให้พลังเสียงได้เต็มอิ่ม รวมถึงเหมาะกับการใช้งานอื่นๆ ได้เช่นกัน ดูหนัง ฟังเพลง

ด้านข้างของทั้ง 2 ด้านจะเป็นก้านที่ใช้การปรับระดับแบบง่ายๆ ไม่ต้องพลิกแพลง ข้อดีคือ จะปรับในระหว่างการใช้งานได้ง่ายกว่า แต่ระยะที่ยืดออกมา จะไม่ได้เยอะมากนัก

ครอบหูฟังด้านบนเป็นเมมโมรีโฟม หุ้มด้วนวัสดุแบบหนัง ค่อนข้างนุ่มนวล ทำให้วางบนศีรษะได้ค่อนข้างสบายทีเดียว และน้ำหนักเบาเพียง 3xx กรัมเท่านั้น

โลโก้ Play Station ด้านข้าง สีขาว ดูตัดกับโครงสร้างสีดำสวยๆ

บริเวณหูฟังด้านซ้าย จะเป็นจุดที่ใช้ต่อกับไมโครโฟนที่ต่อแยกได้ เป็นแบบแจ๊ค 3.5mm ฝาปิดยางนี้ ต้องระวังเก็บไว้ให้ดีๆ เพราะหายได้ง่ายมาก

เมื่อดึงฝาปิดออกมาแล้ว ก็สามารถต่อกับไมโครโฟนแบบแยกเข้าไปได้ทันที

ไมโครโฟนนี้เป็นแบบตัดเสียงรบกวน ความยาวไม่มากมาย แต่ก้านเป็นแบบปรับได้ ตามแบบที่เราชอบ ตรงนี้ก็ถือว่าเป็นข้อดี เพราะมันปรับให้เข้ากับรูปหน้า จะให้ใกล้ปากหรือยื่นออกไปตามความชื่นชอบได้เลย

สายสัญญาณเป็นแบบหุ้มสายถักอ่อน ความยาวประมาณ 1.3m และมีตัวปรับระดับเสียง และเปิด/ ปิดไมโครโฟน อยู่บนสายด้วยเลย

หัวต่อมาตรฐานแบบ 3.5mm 4 step ล็อคได้แน่นหนาเข้ากับพอร์ตอุปกรณ์

เมื่อใช้ร่วมกับจอยไร้สายของ Play Station ระบบจะตรวจสอบฮาร์ดแวร์ และเช็คความพร้อมในการทำงาน โดยจะแจ้งรายละเอียดจากบนหน้าจอให้ทันที

เมื่อพร้อมแล้วก็มาลุยกันเลย วันนี้เบาๆ กับ Final Fantasy VII Remake

อาวุธพร้อม ของกินก็พร้อม ก็ลุยกันกันได้เลย การเซ็ตระบบก็ไม่ยุ่งยากแต่อย่างใด แค่ต่อสายเข้ากับจอยสติ๊ก แล้วรอให้ระบบตรวจเช็คเล็กน้อย จากนั้นลองเช็คเสียงในเกม ก็เล่นได้เลย

เรื่องของเสียงที่ได้จาก HyperX Cloud PS4 รุ่นนี้ ความทุ้มหนัก ในโทนเสียงกลาง ยังคงเด่นชัดกว่าเสียงแหลม เอาใจคอเกมไว้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ Cloud ฟาดดาบกระแทกไปยังศัตรูแบบเป็นชุดหรือ Barret ซัดกระสุนแบบรัวๆ รวมถึงตอน ATB จะหนักหน่วง โดยเฉพาะเมื่อคอมโบ จะรู้สึกมันส์เป็นพิเศษ แต่จังหวะของเสียงตัวละคร บางทีจะต้องหันเข้าไปใกล้นิดหน่อย ถ้าคุณอยากจะฟังรายละเอียดในมิชชั่นนะ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เช่น การเก็บรายละเอียดของเสียงกระสุน ศัตรูที่เข้ามาโจมตีรอบข้าง ยังคงวางใจได้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหมาผีที่โผล่มาเรื่อยๆ ในฉากแรกๆ เรียกว่าถ้าคุณหมุนตัวทัน ก็ฟันได้ไม่เลี้ยง เพราะให้ทิศทางเสียงได้ค่อนข้างดี จะมีแค่ในช่วงที่ถูกรุมเยอะๆ แล้วคุณกำลังพัลวันกับการสลับเปลี่ยนตัวละครอื่นเข้ามา เพื่อให้โจมตีได้ตามความเหมาะสม ก็อาจจะทำให้คุณรู้สึกหลอนได้เลย เพราะเสียงมารอบทิศ แต่สิ่งนี้จะไม่มีผล ถ้าคุณคุ้นเคยกับปุ่มและการเล่น โดยเฉพาะคนที่ผ่าน FF มาหลายภาคแล้ว ฉบับนี้อาจจะบอกว่าสนุกจนลืมเรื่องเสียงไปเลยด้วยซ้ำ

 

HyperX ChargePlay Duo

แท่นชาร์จ

  • เครื่องเล่นเกม: PS4™
  • ประเภท: พอร์ตชาร์จ EXT
  • จำนวนชุดควบคุม: ชุดควบคุม DUALSHOCK®4 2 ตัว
  • เวลาชาร์จ: 2 ชั่วโมง
  • ไฟสถานะแบตเตอรี่: จอ LED พร้อมไฟสถานะ 3 ระดับ

ขนาด

  • ความยาว: 185.42 มม.
  • ความกว้าง: 86.36 มม.
  • ความสูง: 73.66 มม.
  • น้ำหนัก: 285 ก.

พลังงาน

  • ประเภท: อะแดปเตอร์ AC ติดผนัง
  • สัญญาณขาเข้า: 100-240V AC, 50/60Hz, 0.65A
  • สัญญาณขาออก: 5V DC, 2A
  • ความยาวสาย: 1.8 ม.

แต่เล่นจนเพลินไปหน่อย แบตจอย PS4 ก็ใกล้หมด เช่นเดียวกับแบตคนเล่น แต่ก็ยังมีของเล่นช่วยให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น กับการชาร์จจอยสติ๊กได้ทีเดียว 2 ตัวพร้อมกัน

HyperX ChargePlay Duo ต้องบอกเลยว่าปกติแอดไม่เคยได้ใช้นะกับของแบบนี้ แต่คราวนี้มีหูฟังมา ก็เลยขอมาลองด้วย เดิมๆ ใช้ต่อสาย USB แต่บางทีก็รู้สึกนานไปหน่อย ยิ่งตอนนี้มีหลายๆ เกมรออยู่ ถ้าชาร์จปกตินี่น่าจะยาว

สำหรับกล่องของ Hyper ChargePlay Duo แทบจะใช้โทนสีที่ล้อไปกับหูฟัง Cloud และที่เป็น PS4 series ทั้งหมดในไลน์ของ HyperX ตัวกล่องจะมีรายละเอียดต่างๆ ไว้อย่างครบครัน แต่ถ้าโดยพื้นฐานตัวอุปกรณ์ชิ้นนี้ ก็แทบจะไม่มีลูกเล่นอื่นใดมากนัก จะมีแค่แท่นชาร์จและไฟแสดงสถานะเท่านั้น

ภายในกล่อง ประกอบไปด้วยแท่นชาร์จแบบคู่ วางจอยได้ 2 ตัวคู่ แผ่นคู่มือการใช้งาน และอแดปเตอร์

มาดูขนาดของ ChargePlay เป็นแท่นพลาสติกขนาดประมาณฝ่ามือ เรียกว่าพอให้ใส่กระเป๋าหิ้ว เดินทางไปพร้อมๆ กับเครื่อง PS4 และจอย PS4 ได้สบายๆ

ตัวแปลงไฟที่ใช้ต่อกับอุปกรณ์ขนาด 5V – 2A พร้อมหัวต่อเข้าเครื่องโดยตรง

หน้าตาดูค่อนข้างแปลกเลยทีเดียว แต่ถ้าใครคุ้นเคยกับบรรดาที่เป็นอุปกรณ์เสริมของ PS4 ในลักษณะเดียวกันแล้ว ก็อาจจะเฉยๆ

การใช้งานก็ไม่ได้ยุ่งยาก แค่ต่ออแดปเตอร์เข้ากับตัว ChargePlay Duo จากนั้น ก็วางจอยสติ๊กทั้ง 2 อันลงไปได้เลย โดยหันหน้าออกมาแบบนี้

การวางลงไปนั้น อาจจะต้องเอียงเล็กน้อย ให้เข้ากับสลักตัวล็อคของแท่นชาร์จ ค่อยๆ กดลงไป เมื่อดังแกร่กแล้ว และไฟสถานะเป็นรูปแบตขึ้นที่แท่น ก็ถือว่าใช้ได้

เมื่อวางลงไป จะปรากฏไฟสถานะ เป็นแบบ 3 ระดับ ปรากฏให้เห็น บอกเลยดูหรูหรา น่าใช้กว่าการต่อสาย USB เยอะเลย

เมื่อระดับไฟ ขึ้นมา 3 ขีดแล้ว บนแถบสถานะของ ChargePlay ก็แสดงว่า ชาร์จไฟเต็มพร้อมใช้งานแล้ว ซึ่งเท่าที่ทดสอบ จอย PS4 2 ตัว ใช้เวลาในการชาร์จราว 1 ชั่วโมง 20 นาที สำหรับตัวที่มีไฟค้างอยู่ในตัวบ้าง ไม่หมดซะทีเดียว ซึ่งก็ถือว่าชาร์จได้ไวพอสมควร

 

Conclusion

ถ้ามองในภาพรวมของอุปกรณ์จาก HyperX ทั้ง 2 ชิ้นนี้ หูฟัง Cloud PS4 และ ChargePlay Duo ต้องบอกว่าสามารถตอบโจทย์การเล่นของบรรดาเกมเมอร์สายคอนโซลได้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะคนที่กำลังมองหาเกมมิ่งเกียร์และของใช้ในการอำนวยความสะดวกให้กับการเล่นเกมในช่วงที่ต้องอยู่บ้านหลายๆ วันต่อเนื่องแบบนี้ ในแง่ของคุณภาพการใช้งานของหูฟัง Cloud รุ่นนี้ แทบไม่ได้เป็นรองจากในรุ่นที่ใช้กับพีซีเลยทีเดียว ยิ่งดูจากสเปค อาจเรียกได้ว่าดึงเอาความโดดเด่นในหูฟังระดับรุ่นพี่มาให้คุณเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมได้อย่างเต็มอิ่ม รูปลักษณ์อาจไม่ได้หรูหรา แต่ก็เน้นที่การใช้งานเป็นหลัก น้ำหนักเบา เสียงเร้าใจ ส่วนตัวชาร์จไฟ ChargePlay Duo ก็เอาใจคนไม่ชอบรอ จะเป็นสายแบบ Solo เดี่ยวๆ ก็สลับชาร์จเล่นต่อเนื่องได้ เพราะชาร์จได้ไว ส่วนถ้ามาเป็นคู่รอชาร์จไม่นาน ก็ลุยต่อได้แล้ว เป็นทางเลือกที่นอกเหนือจากการเล่นแบบต่อสายชาร์จไฟไปด้วย เพราะอาจจะรู้สึกเกะกะไม่น้อย ตัวชาร์จแบบนี้ น่าจะตอบโจทย์คุณได้ ใครที่สนใจแนะนำว่า ลองดูข้อมูลจากลิงก์นี้เพิ่มเติมได้ครับ คลิ๊ก

 

จุดเด่น

  • หูฟังให้เสียงกลางชัด จับสถานะรอบข้างได้ดี
  • หูฟังนุ่ม น้ำหนักเบา ไม่รำคาญเมื่อใช้นานๆ
  • มีตัวปรับเสียงมาที่สาย ใช้สะดวก
  • ต่อเข้ากับจอย PS4 ใช้ได้เลย ไม่วุ่นวาย
  • ChargePlay ใช้ง่าย มีไฟสถานะ ชาร์จได้เร็ว

ข้อสังเกต

  • หูฟังเน้นที่การเล่นเกม กับดูหนังเป็นหลัก เสียงแหลมยังไม่เด่นมากนัก ตามสไตล์เกมมิ่ง
  • น่าจะมีอะไหล่ครอบหูฟังมาให้เปลี่ยนเพิ่ม
  • ChargePlay ต้องวางให้ตรงล็อค แสงน้อยๆ อาจจะใส่ยาก

 

ใครสนใจข้อมูลเพิ่มเติมของหูฟัง HyperX Cloud PS4 และ ChargePlay Duo ไปได้ที่ คลิ๊ก

ราคา:

  • HyperX Cloud PS4 ราคา ประมาณ 1,790 บาท
  • HyperX ChargePlay Duo ราคา ประมาณ 890 บาท

ติดต่อ: ตัวแทนจำหน่าย HyperX ทั่วประเทศ

from:https://notebookspec.com/review-hyperx-cloud-ps4-chargeplay/516406/