คลังเก็บป้ายกำกับ: คลังสินค้า

ทำงานหนักจนตาย: เปิดปมพนักงานอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่แห่งเกาหลี กับวลี “บริษัทเห็นเราเป็นแค่หุ่นยนต์”

พนักงานอีกกี่รายที่ต้องทำงานหนักจนตาย.. ให้บริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ระดับโลก ?

อีคอมเมิร์ซเกาหลี

ท่ามกลางกระแสความเติบโตของวงการอีคอมเมิร์ซในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคือ การทำงานหนักตรากตรำของพนักงานหลายชีวิต

เมื่อต้นปี 2021 มีข่าวน่าสลดใจว่า พนักงาน Pinduoduo อีคอมเมิร์ซเจ้าใหญ่ในจีน เสียชีวิต 2 ราย

ส่วนทางฝั่ง Amazon ก็ไม่น้อยหน้า เพราะมีข่าวแง่ลบเกี่ยวกับพนักงานออกมาไม่ขาดสาย เช่น Amazon งานเข้า! ส.ส. สหรัฐฯ เผยพนักงานถูกบังคับด้วยเวลาจนต้องปัสสาวะลงในขวดพลาสติก 

ไม่ใช่แค่จีน ไม่ใช่แค่ฝั่งตะวันตก ล่าสุด ทางฝั่งเกาหลีใต้ก็มีข่าวว่า พนักงานบริษัทอีคอมเมิร์ซเจ้าใหญ่อย่าง Coupang ทำงานหนักจนเสียชีวิตเช่นเดียวกัน

มันเกิดอะไรขึ้นในโรงงานของบริษัทอีคอมเมิร์ซแห่งเกาหลีใต้รายนี้ ?

coupang

ชะตากรรมพนักงานในคลังสินค้าบริษัท Coupang

เรื่องราวมีอยู่ว่า Jang Deok-joon ซึ่งเป็นพนักงานในคลังสินค้าของ Coupang ได้เสียชีวิตลงหลังกลับจากทำงานกะดึก

พ่อของเขาเล่าว่า ในคืนนั้น Jang Deok-joon เข้าไปอาบน้ำเป็นเวลานานถึงชั่วโมงครึ่งแล้วยังไม่ออกมา เมื่อลองเปิดประตูเข้าไปดูก็พบว่า เขานอนหมดสติและขดตัวอยู่ในอ่างอาบน้ำ แม้จะนำตัวส่งโรงพยาบาลแต่เขาก็เสียชีวิตลง ซึ่งเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพระบุว่าเกิดจากภาวะหัวใจล้มเหลว 

หากย้อนไปดูชีวิตการทำงานของ Jang Deok-joon ก็จะพบว่า เขาทำงานหนักมาตลอด

  • เขาทำงานช่วงกะดึก 19.00 น. ถึง 04.00 น.
  • เขาทำงานหนักเป็นเวลา 7 วันติดต่อกัน
  • เขาน้ำหนักลดลงถึง 14 กิโลกรัม

กรณีแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เพราะ Go Geon อดีตพนักงานที่ Coupang ก็เล่าว่า “บริษัทเห็นพวกเราเป็นแค่หุ่นยนต์” ตอนที่เขายังทำงานอยู่ในคลังสินค้าก็ต้องวิ่งทำเวลาจนได้รับบาดเจ็บบริเวณเอ็นร้อยหวาย เพราะถ้าช้าหัวหน้าก็จะยิ่งพูดจากดดัน

ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะตั้งแต่ปี 2019 ถึงปี 2020 มีรายงานว่า พนักงานของ Coupang ได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยจากการทำงานที่คลังสินค้าถึง 982 ครั้ง ซึ่งถ้าเป็นในอดีตทาง Coupang จะไล่พนักงานกลุ่มนี้ออกไป เพราะอ้างว่าทำงานไม่มีประสิทธิภาพบ้าง

แต่ท้ายที่สุด ศาลในเกาหลีใต้ก็ตัดสินว่า ให้บริษัทหยุดการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมนี้ 

coupang

Coupang ยิ่งใหญ่ขนาดไหนในเกาหลีใต้

เมื่อไม่นานมานี้ Coupang เพิ่งเข้า IPO ในตลาดหุ้น Nasdaq ด้วยมูลค่าธุรกิจกว่า 8.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.6 ล้านล้านบาท) ซึ่งถือว่าเป็นการ IPO ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี หลังจากที่บริษัทเอเชียอย่าง Alibaba เคยสร้างประวัติไว้อย่างน่าภาคภูมิใจ

Coupang มีพนักงานในเครือกว่า 37,000 คน เพื่อรองรับออร์เดอร์สินค้ามหาศาลในแต่ละวัน

บริษัทนี้มีชื่อเสียงมากถึงขนาดที่ประชากรกว่าครึ่งของเกาหลีใต้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น Coupang ไว้ เพื่อใช้บริการ Rocket Delivery ที่รับประกันว่าจะจัดส่งสินค้าภายใน 24 ชั่วโมง

Coupang จัดส่งสินค้าได้รวดเร็วขนาดนี้เพราะใช้ AI เข้ามาคำนวณทุกอย่าง ตั้งแต่การสต็อคสินค้า การจัดเรียงสินค้าในรถบรรทุก ไปจนถึงการแนะนำเส้นทางและลำดับส่งมอบสินค้าที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้สามารถส่งสินค้าหลายล้านรายการได้ภายในหนึ่งวัน

แต่ก็มีข้อเสียหลายอย่าง เช่น พนักงานในคลังสินค้าต้องรีบทำงานถึงขนาดที่หาเวลาไปเข้าห้องน้ำได้ยากเลยทีเดียว

 

โดยสรุป

แม้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซทั่วโลกจะเติบโตแค่ไหน สิ่งที่หลงลืมไม่ได้คือ “การเอาใส่ใจพนักงานหลังบ้าน” เพราะพวกเป็นกำลังสำคัญ

ถ้าบริษัทระดับโลกบริหารเรื่องนี้ได้ไม่ดีเท่าไหร่ คงสร้างความเสียหายให้กับภาพลักษณ์เช่นเดียวกับที่หลายๆ ยักษ์ใหญ่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้

ที่มา: SCMP

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ทำงานหนักจนตาย: เปิดปมพนักงานอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่แห่งเกาหลี กับวลี “บริษัทเห็นเราเป็นแค่หุ่นยนต์” first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/coupang-ecommere-korea-hard-work/

Flash Group เปิดตัว Flash Fulfillment บริการคลังสินค้าเทคโนโลยี เตรียมขยายตลาดอาเซียน

แฟลช ฟูลฟิลล์เม้นท์ ( Flash Fulfillment) ภายใต้การบริหารของ แฟลช กรุ๊ป ( Flash Group) เปิดตัวบริการคลังสินค้าเทคโนโลยีแบบครบวงจร ชูจุดแข็งด้วยระบบซอฟท์แวร์ WMS และ SCM ที่พัฒนาขึ้นเองเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ E-Commerce พร้อมด้วยการบริการแบบครบวงจร ปัจจุบันมีบริษัทชั้นนำเป็นพันธมิตร และใช้บริการ Flash Fulfillment  เป็นจำนวนมาก ทั้งลูกค้า B2B อย่าง Max speed  หรือ Xiaomi  ลูกค้า B2C อาทิ P&G , Unilever  Nestle, Olay และ Philips  เป็นต้น  โดย Flash Fulfillment  ตั้งเป้าขยายสู่ SEA ในปี 2021

flash express

Flash Fulfillment ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2019 และเริ่มให้บริการอย่างเต็มรูปแบบในปี 2020 นับเป็นเจ้าแรกในไทยที่มีคลังสินค้าพร้อมเทคโนโลยี และบริการขนส่งเป็นของตนเอง สามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างครบวงจร Flash Fulfillment  ไม่เพียงแต่มีจุดแข็งในด้านการบริการอย่าง pick-pack-ship ซึ่งนับเป็นรูปแบบใหม่ของการบริการสำหรับธุรกิจ E-Commerce  หากยังมีสิ่งที่โดดเด่น และทำให้ลูกค้าของเราให้ความไว้วางใจ นั่นคือระบบเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเองเพื่อใช้บริหารจัดการ ตั้งแต่การรับสินค้าเข้าคลัง การจัดเก็บสินค้าภายในคลังอย่างเป็นระบบ การจัดเก็บข้อมูล การจัดการออเดอร์ การแพ็คกิ้งตามความต้องการของลูกค้า (Made to order) ไปจนถึงการจัดส่งสินค้าด้วยระบบขนส่งสินค้าของแฟลช เอ็กซ์เพรส รวมถึงพันธมิตรขนส่งรายอื่นๆ นอกจากนี้ ยังสามารถจัดเก็บข้อมูลและเชื่อมต่อด้วยระบบ API ทำให้สามารถตรวจสอบสถานะสินค้าและจำนวนสินค้าภายในคลังได้แบบ real time

คมสันต์ ลี ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจแฟลช (Flash Group) ผู้ให้บริการ E-Commerce สัญชาติไทยแบบครบวงจร กล่าวว่า Flash Fulfillment ได้พัฒนาระบบ WMS หรือ Warehouse Management System ที่ใช้บริหารจัดการภายในคลังทำให้ระบบการตรวจสอบและจัดการสินค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และระบบ WMS ยังฉลาดในการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม E-marketplace ใหญ่ๆ หลายราย รวมถึงระบบ ERP ต่างๆของลูกค้า ทำให้สามารถควบคุมและติดตามสินค้าได้แบบ Real Time รองรับความต้องการที่หลากหลายจากลูกค้า รวมถึงรองรับภาษาได้หลายภาษา ทั้ง ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาเวียดนาม เป็นต้น นอกจากนี้ ในฝั่งของลูกค้า เราได้พัฒนาระบบ SCM หรือ Supply Chain Management ลูกค้าสามารถตรวจเช็คการรับเข้าและนำออกตลอดจนตรวจสอบสินค้าในคลังได้ด้วยตนเอง โดยปัจจุบันไม่มีการเรียกเก็บค่าบริการในส่วนนี้แต่อย่างใด นอกจากนี้ยังมีบริการ COD และ ระบบบริหารจัดการสำหรับสินค้าที่ถูกตีกลับ รวมไปถึงรองรับการบริการคืนเงิน COD อีกด้วย ระบบต่างๆเหล่านี้ สร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์คนทำธุรกิจ รวมไป พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ให้สามารถโฟกัสหน้างานได้เต็มที่ ส่วนการจัดการระบบหลังบ้านยกให้เป็นหน้าที่ของเรา

นอกเหนือจากเป้าหมายที่จะขยายไป SEA ในปี 2021 แล้วนั้น Flash Fulfillment ยังได้เตรียมขยายพื้นที่คลังสินค้า จากปัจจุบัน 30,000 ตารางเมตร ซึ่งมีทั้งพื้นที่จัดเก็บแบบอุณหภูมิห้อง และ อุณหภูมิควบคุมหรือ ห้องเย็น โดยปีนี้ ตั้งเป้าขยายพื้นที่ที่ 50,000 ตารางเมตร เนื่องจากขณะนี้มีปริมาณสินค้าหมุนเวียน เข้า-ออก มากกว่า 15,000 ออเดอร์/วัน ทำให้ต้องเร่งขยายพื้นที่ เพื่อรองรับปริมาณสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น โดยมีทีมงานมืออาชีพให้บริการครบทุกฟังก์ชั่น รวมถึงทีมงาน support ระบบ IT และ ระบบ Security แบบ real time ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า และสนับสนุนการขับเคลื่อนของธุรกิจ E-commerce ตลอดจนให้บริการที่สะดวกสบายแก่ Social-Commerce อย่างเต็มรูปแบบ

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post Flash Group เปิดตัว Flash Fulfillment บริการคลังสินค้าเทคโนโลยี เตรียมขยายตลาดอาเซียน first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/flash-fulfillment/

JWD ขยายฐานกลุ่มธุรกิจการลงทุน รับบริหารอาคารคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit พฤศจิกานี้

บมจ. เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ หรือ JWD ขยายฐานกลุ่มธุรกิจ “การลงทุน” เข้าสู่การลงทุนพัฒนาและรับบริหารอาคารคลังสินค้าแบบ Build-to-Suit เริ่มสร้างคลังสินค้าตามความต้องการลูกค้าเพื่อจัดเก็บเคมีภัณฑ์และสินค้าอันตรายแห่งแรกให้แก่ CRANE WORLDWIDE LOGISTICS พื้นที่กว่า 6,000 ตารางเมตร ในนิคมฯ นวนคร จ.ปทุมธานี ทำเลกรุงเทพฯ โซนเหนือ เปิดดำเนินการตั้งแต่พฤศจิกายน เป็นต้นไป

ชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมาการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิลยูดี อินโฟ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนระดับอาเซียน เผยว่า ได้วางนโยบายขยายฐานธุรกิจด้านการลงทุนเป็น 1 ใน 4 กลุ่มธุรกจหลักของบริษัท เพื่อเสริมศักยภาพรายได้ประจำที่มีความมั่นคงระยะยาว อาทิ การสร้างรายได้จากค่าเช่า รายได้จากค่าบริหารคลังสินค้า ฯลฯ จากปัจจุบัน ที่มีการลงทุนในกองทรัสต์ AIMIRT และลงทุนถือหุ้นใน Phnom Penh SEZ Plc. เป็นผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมรายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กัมพูชา

การพัฒนาและรับบริหารอาคารคลังสินค้าที่ออกแบบและก่อสร้างตามความต้องการลูกค้า (Built-to-Suit Warehouse) เช่น การออกแบบและก่อสร้างคลังสินค้าเคมีภัณฑ์และสินค้าอันตราย คลังสินค้าห้องเย็น ต้องอาศัยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน โมเดลธุรกิจจะเป็นลักษณะผู้ลงทุนที่ดินและก่อสร้างอาคารคลังสินค้า เมื่อพัฒนาแล้วเสร็จทางลูกค้าจะทำสัญญาเช่าและสัญญาจ้างบริหารอาคารในระยะยาว จะทำให้บริษัทมีรายได้ประจำในระยะยาว

ชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ปรธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟ (ขวาสุด)

JWD ใช้งบลงทุนกว่า 160 ล้านบาท ซื้อที่ดินและดำเนินการก่อสร้างอาคารคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit แห่งแรกให้แก่ CRANE WORLDWIDE LOGISTICS เป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์และตัวแทนรับขนส่งสินค้าระหว่างประเทศระดับโลก คลังสินค้าดังกล่าวมีพื้นที่กว่า 6,000 ตารางเมตร

คลังสินค้าดังกล่าวเปิดดำเนินการเดือนพฤศจิกายน 2563 และทำสัญญาเช่าใช้คลังสินค้ากับบริษัทฯ เป็นระยะเวลา15 ปี และสัญญาว่าจ้างบริษัทฯ เพื่อบริหารอาคารเป็นระยะเวลา 10 ปี วงเงินตามสัญญารวมกว่า 400 ล้านบาท

การลงทุนครั้งนี้เป็นการขยายทำเลการให้บริการคลังสินค้าเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพฯ โซนเหนือเป็นครั้งแรก เป็นทำเลเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ปัจจุบัน JWD มีธุรกิจคลังสินค้าในทำเลอื่นๆ เช่น แหลมฉบัง บางนา สุวินทวงศ์ มหาชัย เป็นต้น เป็นการขยายขีดความสามารถให้บริการด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนครอบคลุมพื้นที่ภาคกลางตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ที่มา – JWD

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/jwd-expands-business-base-include-investment-and-management-built-to-suit/

ประธาน Uniqlo บอกใน 3-5 ปีจากนี้ คลังสินค้าจะใช้หุ่นยนต์ 100% ไม่ต้องพึ่งแรงงานคน

Uniqlo
Uniqlo Photo: Shutterstock

จะได้เห็นคลังสินค้าอัตโนมัติ 100% ของ Uniqlo ในไม่ช้า

Tadashi Yanai ประธาน ซีอีโอ และผู้ก่อตั้ง Uniqlo บอกว่า “ภายใน 3-5 ปีหลังจากนี้ คลังสินค้าของ Uniqlo จะใช้ระบบอัตโนมัติแบบสมบูรณ์”

ล่าสุด Uniqlo ได้ร่วมมือกับ Mujin of Japan และ France’s Exotec Solutions ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพสายหุ่นยนต์ที่ใช้ระบบอัตโนมัติ

งานในคลังสินค้าของ Uniqlo ที่ยังต้องใช้แรงงานมนุษย์คือ งานที่ต้องเลือกสินค้าและทำแพ็คเก็จจิ้งสินค้าเพื่อส่งออกไปยังร้านค้าต่างๆ แต่หลังจากความร่วมมือนี้จะทำให้คลังสินค้าของ Uniqlo สามารถจัดการได้ด้วยหุ่นยนต์ในระบบอัตโนมัติได้ทั้งหมด

ยกตัวอย่างเช่น Exotec Solutions หนึ่งในสตาร์ทอัพสายหุ่นยนต์ระบบอัตโนมัติที่ร่วมมือกับ Uniqlo ระบุว่า หุ่นยนต์ของเขาสามารถปีนขึ้นชั้นได้ถึง 10 เมตร และสามารถจัดเก็บสินค้ามากองรวมกันได้ รวมถึงตัวหุ่นยนต์สามารถ “คิดและเคลื่อนไหวได้ด้วยตนเอง” ไม่ต้องใช้แรงงานคนแต่อย่างใด

ปัจจุบัน Uniqlo ผลิตเสื้อผ้ากว่า 1.3 พันล้านชิ้นต่อปีเพื่อส่งขายทั่วโลกในกว่า 3,500 สาขาและ 26 ประเทศ/ภูมิภาค

การเคลื่อนไหวแบบนี้เป็นผลดีกับแบรนด์ญี่ปุ่นอย่าง Uniqlo ที่ในประเทศเองก็เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงาน หรือในระดับโลกที่กระแสการทดทนแรงงานคนด้วยหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติก็ถือเป็นหนึ่งในความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงได้ยาก

ที่มา – Nikkei Asian Review

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/uniqlo-automation-warehouse-100-percent/

เซ็นทรัล รีเทลผนึกเฟรเซอร์สฯ เปิดศูนย์กระจายสินค้า Omnichannel มูลค่า 2,000 ล้าน

เพื่อเป็นการรองรับการเติบโตของตลาดค้าปลีก และออนไลน์ เซ็นทรัล รีเทลได้ร่วมมือกับเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าเป็นโลจิสติกส์แคมปัสย่านบางพลี มูลค่ารวมกว่า 2,000 ล้านบาท 

รวบ 5 คลังสินค้ามารวมที่เดียว

เมื่อไม่นานมานี้เซ็นทรัล รีเทล (CRC) ได้ประกาศความเคลื่อนไหวสำคัญด้วยการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต และสร้างความมั่นใจให้กับพาร์ทเนอร์ที่ร่วมลงทุน 

ทั้งนี้ได้มีการดึงเอาธุรกิจค้าปลีกในเครือทั้งหมดมาอยู่ภายในเซ็นทรัล รีเทล ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน, ซูเปอร์สปอร์ต, บีทูเอส, ออฟฟิศเมท, ร้านค้าในกลุ่มเซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป (CMG) และรวมไปถึงเพาเวอร์บาย

นอกจากนี้ยังมีความเคลื่อนไหวที่ร้อนแรงไม่แพ้กันก็คือ การเผยโฉมโปรเจ็คต์ศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ย่านบางพลี มีมูลค่ารวมกว่า 2,000 ล้านบาท (ที่ดิน และระบบ) พร้อมเปิดทำการเต็มรูปแบบช่วงเดือนสิงหาคม 2020 มีสัญญาเช่าทั้งหมด 15 ปี

งานนี้เซ็นทรัล รีเทลได้ร่วมมือกับบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม พัฒนาศูนย์กระจายสินค้า Omnichannel ขนาดใหญ่ พื้นที่กว่า 75,000  ตารางเมตร ตั้งอยู่ภายในโครงการเฟรเซอร์สพร็อพเพอร์ตี้โลจิสติกส์เซ็นเตอร์ (บางพลี)ยกระดับคลังสินค้าเป็นโลจิสติกส์แคมปัสระดับเวิลด์คลาส

ทั้งนี้ภายในโครงการแห่งเดียวกันนี้มีศูนย์กระจายสินค้าแบบ Build-to-Suit ของเพาเวอร์บาย พื้นที่รวมกว่า 30,000 ตารางเมตร ซึ่งเฟรเซอร์สได้พัฒนาขึ้นและได้มีการส่งมอบอาคารเป็นที่เรียบร้อยในปี 2561 

ก่อนหน้าที่จะมีศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่นี้ กลุ่มเซ็นทรัลได้มีศูนย์กระจายสินค้าทั้งหมด 5 แห่ง ซึ่งอยู่ในพื้นที่ระแวกเดียวกัน เป็นการเช่าพื้นที่เอา มีพื้นที่รวมกัน 50,000 ตารางเมตร แต่เรื่อง Capacity รองรับได้ไม่เท่าแห่งใหม่

หลังจากที่พัฒนาศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ ก็จะยุบทั้ง 5 แห่งมารวมที่เดียว รวมสินค้าจากธุรกิจในเครือมาที่เดียวเพื่อรองรับ Omnichannel ในการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้า

คลังสินค้าที่มาพร้อมเทคโนโลยี

เฟรเซอร์สฯ ได้นำเสนอโซลูชั่นในการพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าแบบ Build-to-Suit โดยให้ความสำคัญกับการออกแบบอาคารที่จะช่วยเสริมศักยภาพของงานด้านโลจิสติกส์ และการกระจายสินค้า 

ซึ่งจะช่วยให้สามารถควบคุมต้นทุนด้านโลจิสติกส์ได้มากขึ้น อีกทั้งอาคารนี้ยังออกแบบให้เป็นอาคารอนุรักษ์พลังงานด้วย 

โสภณ ราชรักษา ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า 

“บริษัทเชื่อว่าศูนย์กระจายสินค้านี้จะช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและเสริมความแข็งแกร่งให้กับเซ็นทรัล รีเทล ทั้งในเรื่องทำเลที่ตั้งที่เป็นทำเลยุทธศาสตร์ และช่วยเสริมศักยภาพการดำเนินงาน และควบคุมต้นทุนด้านโลจิสติกส์ การวางระบบจัดการภายในอาคารที่คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ”

ได้ออกแบบให้เป็นอาคารอนุรักษ์พลังงาน ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เต็มพื้นที่หลังคาโครงการ และอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมผ่านการรับรองมาตรฐานอาคารเขียว หรือ LEED 

ตลอดจนการออกแบบอาคารให้มีความยืดหยุนต่อการใช้งานพร้อมรองรับการเติบโตทางธุรกิจ พร้อมด้วยโซนจัดเก็บสินค้าที่มีความสูงมากกว่า 25 เมตร พร้อมความสามารถในการรับน้ำหนักได้มากถึง 10 ตันต่อตารางเมตร เพื่อรองรับการติดตั้งระบบจัดเก็บสินค้าอัตโนมัติ (Automated Storage and Retrieval Systems หรือ ASRS) รวมถึงการติดตั้งอุปกรณ์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมต่าง ๆ ในอนาคต ได้ตามความต้องการ

ช่วยเพิ่มสปีดในการส่งสินค้า 

หัวใจสำคัญของการสร้างศูนย์กระจายสินค้าแห่งนี้ ก็คือการตอบโจทย์กลยุทธ์ Omnichannel ของเซ็นทรัล รีเทลที่ได้ให้ความสำคัญมาหลายปีแล้ว อีกทั้งธุรกิจออนไลน์ก็มีการเติบโตมากขึ้น 

นั่นคือประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งเรื่องการสั่งสินค้า การจัดส่งสินค้า การมีศูนย์กระจายสินค้าจะทำให้มีการส่งสินค้าเร็วขึ้น ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีมากขึ้นนั่นเอง

ทางด้าน ดร. ปิยะพงษ์ ธัญญศรีสังข์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด บอกว่า 

“ศูนย์กระจายสินค้า Omnichannel แห่งนี้จะเป็นอีกหนึ่งในส่วนสำคัญในการส่งมอบบริการที่สร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของการซื้อขายผ่านช่องทาง Omnichannel ในทุกกลุ่มธุรกิจค้าปลีกของเซ็นทรัล รีเทล” 

โดยยอดขายจาก Omnichannel ของเซ็นทรัล รีเทลมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในทุกปี 

ปี 2560 กลุ่มแฟชั่นเติบโต 16% กลุ่มฮาร์ดไลน์เติบโต 28% และกลุ่มฟู้ดเติบโต 48% 

ปี 2561 กลุ่มแฟชั่นเติบโต 72% กลุ่มฮาร์ดไลน์เติบโต 75% และกลุ่มฟู้ดเติบโต 31% 

ช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 (วันที่ 31 มีนาคม 2562) กลุ่มแฟชั่นเติบโต 104% กลุ่มฮาร์ดไลน์เติบโต 50% และกลุ่มฟู้ดเติบโต 26% 

“ในอดีตถ้าสั่งสินค้าออนไลน์ในพื้นที่กรุงเทพฯ กว่าจะได้สินค้าต้องใช้เวลา 2-3 วัน แต่ถ้ามีคลังสินค้าทำให้การจัดการดีขึ้น ถ้าลูกค้าสั่งสินค้าก่อนบ่ายสอง ก็จะได้สินค้าภายในช่วงเย็นวันนั้นเลย”

จะเห็นว่านอกจากเรื่องราคา สินค้าแล้ว เรื่องระยะเวลา ความเร็วก็เป้นสิ่งสำคัญในการแข่งขัน ทำให้กลุ่มเซ็นทรัลต้องลุกขึ้นมาบริหารจัดการเรื่องโลจิสติกส์เอง หลังจากที่ใช้ผู้เล่นอื่นมาช่วยบริหารจัดการเป็นเวลานาน คาดว่าจะช่วยสร้างการเติบโตได้มากขึ้นหลังจากที่ศูนย์กระจายสินค้าเปิดเต็มตัวในปีหน้า

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/central-retail-fpt-omnichannel-dc/

เพิ่มหุ่นยนต์ แต่คนไม่ตกงาน? Amazon บอก ตอนนี้มีหุ่นยนต์ทำงานในโกดังกว่า 200,000 ตัว

Warehouse
Photo: Shuttertsock

ใช้หุ่นยนต์ทำงานในโกดังมหาศาล แต่บอกว่า คนจะไม่ตกงาน?

Brad Porter รองประธานฝ่ายหุ่นยนต์ของ Amazon อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของฝั่งตะวันตก พูดในงานสัมมนา re:MARS ที่ลาสเวกัสเมื่อไม่นานนี้ ได้เปิดเผยว่า ปัจจุบัน Amazon ได้ใช้หุ่นยนต์เพื่อจัดการสินค้าในโกดังทั่วโลกกว่า 200,000 ตัว โดยตัวเลขของเมื่อช่วงต้นปี 2019 ที่ผ่านมา พบว่า หุ่นยนต์ที่ใช้ทำงานในคลังสินค้ากว่า 25 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา มีไม่ต่ำกว่า 100,000 ตัวแล้ว

แน่นอนว่า การนำเอาระบบอัตโนมัติหรือหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในการจัดการคลังสินค้า ย่อมทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการทำงาน แต่หนึ่งในข้อกังวลใหญ่คือ แล้วแรงงานมนุษย์จะตกงานหรือไม่?

  • Porter บอกแบบนี้ว่า การนำเอาหุ่นยนต์มาใช้ในโกดัง ไม่ได้ทำให้แรงงานมนุษย์ตกงานแต่อย่างใด เพราะหน้าที่ของหุ่นยนต์คือ “ช่วย” ให้แรงงานมนุษย์ทำงานได้ดีขึ้น
  • และที่สำคัญ Porter บอกด้วยว่า ในขณะที่ Amazon นำเอาหุ่นยนต์มาใช้กว่า 200,000 ตัวนั้น ทางบริษัทก็ได้จ้างพนักงานทั่วโลกเพิ่มมากถึง 300,000 คน

ลองดูคลิปนี้ หุ่นยนต์ในโกดังสินค้าของ Amazon

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ Amazon หรือยักษ์ใหญ่ออนไลน์ฝั่งตะวันตกเท่านั้นที่ใช้หุ่นยนต์ในคลังสินค้า เพราะ Alibaba ที่เป็นยักษ์ใหญ่ออนไลน์ฝั่งตะวันออกก็รุกหนักในการนำเอาหุ่นยนต์มาใช้เช่นกัน ลองดูคลิปนี้ของ Alibaba ที่นำเอาหุ่นยนต์มาใช้ในโกดัง ซึ่งเขาเรียกตัวเองว่าเป็นคลังสินค้าอัจฉริยะ

ที่มา – Techcrunch

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/amazon-robots-drive-company/

เพิ่มหุ่นยนต์ แต่คนไม่ตกงาน? Amazon บอก ตอนนี้มีหุ่นยนต์ทำงานในโกดังกว่า 200,000 ตัวแล้ว

Warehouse
Photo: Shuttertsock

ใช้หุ่นยนต์ทำงานในโกดังมหาศาล แต่บอกว่า คนจะไม่ตกงาน?

Brad Porter รองประธานฝ่ายหุ่นยนต์ของ Amazon อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของฝั่งตะวันตก พูดในงานสัมมนา re:MARS ที่ลาสเวกัสเมื่อไม่นานนี้ ได้เปิดเผยว่า ปัจจุบัน Amazon ได้ใช้หุ่นยนต์เพื่อจัดการสินค้าในโกดังทั่วโลกกว่า 200,000 ตัว โดยตัวเลขของเมื่อช่วงต้นปี 2019 ที่ผ่านมา พบว่า หุ่นยนต์ที่ใช้ทำงานในคลังสินค้ากว่า 25 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา มีไม่ต่ำกว่า 100,000 ตัวแล้ว

แน่นอนว่า การนำเอาระบบอัตโนมัติหรือหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในการจัดการคลังสินค้า ย่อมทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการทำงาน แต่หนึ่งในข้อกังวลใหญ่คือ แล้วแรงงานมนุษย์จะตกงานหรือไม่?

  • Porter บอกแบบนี้ว่า การนำเอาหุ่นยนต์มาใช้ในโกดัง ไม่ได้ทำให้แรงงานมนุษย์ตกงานแต่อย่างใด เพราะหน้าที่ของหุ่นยนต์คือ “ช่วย” ให้แรงงานมนุษย์ทำงานได้ดีขึ้น
  • และที่สำคัญ Porter บอกด้วยว่า ในขณะที่ Amazon นำเอาหุ่นยนต์มาใช้กว่า 200,000 ตัวนั้น ทางบริษัทก็ได้จ้างพนักงานทั่วโลกเพิ่มมากถึง 300,000 คน

ลองดูคลิปนี้ หุ่นยนต์ในโกดังสินค้าของ Amazon

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ Amazon หรือยักษ์ใหญ่ออนไลน์ฝั่งตะวันตกเท่านั้นที่ใช้หุ่นยนต์ในคลังสินค้า เพราะ Alibaba ที่เป็นยักษ์ใหญ่ออนไลน์ฝั่งตะวันออกก็รุกหนักในการนำเอาหุ่นยนต์มาใช้เช่นกัน ลองดูคลิปนี้ของ Alibaba ที่นำเอาหุ่นยนต์มาใช้ในโกดัง ซึ่งเขาเรียกตัวเองว่าเป็นโกดังอัจฉริยะ (smart warehouse)

ที่มา – Techcrunch

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/amazon-robots-drive-warehouse/

บุกจีนไม่ง่าย! ปีก่อน Wal-Mart ขายอีคอมเมิร์ซให้ JD ปีนี้แชร์คลังสินค้าร่วมกัน หวังขยายกิจการ

เมื่อปีก่อน เราได้เห็นแล้วว่า Wal-Mart เหลวไม่เป็นท่ากับการทำอีคอมเมิร์ซในจีน จนต้องขายให้ JD จัดการ แล้วแลกกับการถือหุ้น พอมาปีนี้เลยหันมาจับมือกันแชร์คลังสินค้าเพื่อขยายกิจการ

news.walmart.com

JD จับมือ Wal-Mart แชร์คลังสินค้าร่วม

JD อีคอมเมิร์ซเบอร์ 2 รองจาก Alibaba ของจีน ได้ประกาศแผนแชร์คลังสินค้าร่วมกับ Wal-Mart ค้าปลีกรายใหญ่จากอเมริกา

คลังสินค้าของ Wal-Mart จะช่วยเก็บสินค้าให้กับ JD ในหลายเมือง เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว เซินเจิ้น เฉิงตูและหวู่ฮั่น โดยระบบ JD จะมีระบบตรวจสอบสินค้าว่ามีลูกค้าที่ต้องกรสินค้าในพื้นที่นั้นๆ หรือไม่ ถ้ามีก็จะให้บริการลูกค้าด้วยสินค้าที่แชร์ร่วมกับคลังสินค้าของ Wal-Mart เลย เพื่อเป็นการประหยัดเวลา แต่แน่นอนว่าการทำแบบนี้หมายความว่า ทำให้ Wal-Mart มีโอกาสในการขยายโอกาสทางธุรกิจไปในเมืองเล็กๆ ของจีนด้วย

Feng Yi รองประธานของ JD บอกว่า “ในอนาคต JD จะมีการให้บริการแบบรับของด้วยตนเองที่ Wal-Mart อีกด้วย”

ความร่วมมืออันดีของทั้ง 2 บริษัทมาจากเมื่อปีที่แล้วที่ Wal-Mart บุกจีนไม่สำเร็จ เลยมีการขายกิจการบางส่วนให้กับ JD และแลกกับการถือหุ้น แต่สำหรับดีลคลังสินค้าครั้งนี้ถือเป็นผลดีของทั้งคู่ เนื่องจาก JD ได้ขายของสะดวกขึ้น และ Wal-Mart ก็จะมีลูกค้าเข้ามาเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม มีธุรกิจหลายรายที่เจาะเข้าไปทำตลาดในจีนไม่สำเร็จ สุดท้ายก็เลือกถอนตัวและขายกิจการให้กับจีนไปเลยก็มี หรือบางทีก็ต้องร่วมมือกับเจ้าถิ่นในจีนไปเลยเช่นกัน

ที่มา – en.people.cn

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/jd-walmart-warehouse/

[ประมวลภาพ] งาน Work Shop การใช้งานอุปกรณ์การสแกนและ RFID ในโรงงานอุตสาหกรรม

บริษัท ซีบรา เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) จำกัด นำโดยคุณวรกร การีจรัล, Channel Manager ได้จัดงาน Workshop การบริหารโรงงานและคลังสินค้าแนวใหม่ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงจาก Zebra ให้กับชาวนิคมอุตสาหกรรมในแถบนิคม 304 จังหวัดปราจีนบุรี โดยเปลี่ยนรูปแบบจาการสัมมนาทั่วๆ ไป เป็นการสัมมนาแบบเวิร์กชอป ที่ให้ผู้เข้าร่วมงานมีส่วนร่วมไปกับการใช้งานอุปกรณ์

ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานมากมาย โดยผู้ที่มาร่วมงานนั้นประกอบด้วย ตัวแทนจากฝ่ายไอที, ฝ่ายคลังสินค้า, และฝ่ายผลิต ได้มีโอกาสทดลองได้ใช้อุปกรณ์ของ Zebra อาทิ TC8000, Rhino, เทคโนโลยี RFID ซึ่งได้รับความสนใจ จากผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก

ทุกคนฟังกติกาการ Work Shop อย่างตั้งใจ
สาธิตการทำงานจริงของอุปกรณ์ Zebra
ผู้เข้าร่วมสัมมนา เริ่มแบ่งกลุ่ม Work Shop
ผู้ร่วมสัมมนาทดลองการใช้งานอุปกรณ์จริง
ผู้ร่วมสัมมนาทดลองการใช้งานอุปกรณ์จริง

 

ผู้ร่วมสัมมนาทดลองการใช้งานอุปกรณ์จริง
ผู้โชคดีตอบคำถามได้รับรางวัล

 

ผู้โชคดีตอบคำถามได้รับรางวัล
กลุ่มผู้โชคดีได้รับรางวัลจากการแข่งขัน Work Shop

 

ผู้โชคดีได้รับรางวัลใหญ่ สร้อยคอทองคำ กลับบ้าน


*** สำหรับครั้งหน้า Zebra Technologies จะไปจัดสัมนาที่จังหวัดชลบุรี ณ โรงแรม เคปราชา ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2560 ท่านใดที่อยู่บริเวณใกล้เคียงสนใจจะเข้าร่วมงาน สามารถคลิก ดูรายละเอียดได้ที่นี่ 

from:https://www.enterpriseitpro.net/archives/7013