คลังเก็บป้ายกำกับ: HATE_SPEECH

Twitter จะแปะป้ายให้ทวีตที่ทำผิดกฎ จำกัดการมองเห็นข้อความ แทนการแบนบัญชีแบบเดิม

Twitter ประกาศว่าจะแปะป้ายเตือนและจำกัดการมองเห็นข้อความทวีตที่ผิดกฎการใช้งาน เช่น มีเนื้อหาแสดงความเกลียดชัง แทนแนวทางเดิมที่เลือกแบนบัญชี

Elon Musk เคยประกาศไว้ชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการแบน Donald Trump และคืนบัญชีกลับมาให้ Trump

ในประกาศของ Twitter ระบุว่าแนวทางนี้จะรักษา Freedom of Speech, not Freedom of Reach นั่นคือตัวข้อความไม่ถูกลบหรือแบน แต่การมองเห็นจะลดน้อยลงแทน (visibility filtering) และรอบนี้จะเพิ่มป้ายเตือนว่าข้อความนี้ทำผิดกฎ จึงถูกจำกัดการมองเห็น เพื่อให้เกิดความโปร่งใสของแพลตฟอร์มมากขึ้น

No Description

ที่มา – Twitter

from:https://www.blognone.com/node/133462

Twitter ยุบสภาที่ปรึกษาภายนอก ที่ช่วยแนะนำบริษัทเรื่องการละเมิดเด็กและ Hate Speech

Twitter มีคณะที่ปรึกษาภายนอกในประเด็นเรื่องความปลอดภัยของแพลตฟอร์ม Trust and Safety Council มีสมาชิกเป็นหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนราว 100 ราย ก่อตั้งเมื่อปี 2016 ทำหน้าที่ให้คำปรึกษา คำแนะนำต่อแพลตฟอร์มในประเด็นเรื่องสังคม เช่น การละเมิดเด็ก การสร้างความเกลียดชัง การฆ่าตัวตาย ฯลฯ

ล่าสุด Twitter ในยุค Elon Musk สั่งยุบ Trust and Safety Council ไปเรียบร้อยแล้ว ตัวแทนของบริษัทให้เหตุผลว่าต้องการหาโครงสร้างที่เหมาะสมกว่าเดิมในการดึงผู้เชี่ยวชาญภายนอกมาเข้าร่วม

กลุ่มอดีตสมาชิกของสภา Trust and Safety Council จำนวน 16 รายจึงร่วมกันออกแถลงการณ์ ประณามการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ บอกว่านับตั้งแต่ Twitter เปลี่ยนเจ้าของ ก็ไม่เคยมีการประชุมของสภาอีกเลย และกลุ่มสมาชิกมีความกังวลต่อ “ท่าทีของผู้นำบริษัท” โดยเฉพาะแนวทางเรื่องการกลั่นกรองเนื้อหา อีกทั้งตัวผู้นำเองก็ได้โจมตีใส่ร้ายสมาชิกบางคนในสาธารณะด้วย หลังจากนั้น สมาชิกบางรายพยายามขอคำชี้แจงจากบริษัท แต่สุดท้ายบริษัทก็ตอบโต้ด้วยการยุบสภาไปแทนเลย

ที่มา – The Register

Topics: 

from:https://www.blognone.com/node/131884

เข้มงวดกว่าเดิม ! YouTube เพิ่มฟีเจอร์ส่งข้อความแจ้งเตือน หากผู้ใช้คอนเมนต์ไม่เหมาะสม และถึงขั้นแบนชั่วคราวหากทำซ้ำ

กระแสการรณรงค์ต่อต้าน hate speech หรือคำพูดสร้างความเกลียดชังบนโลกอินเทอร์เน็ตกำลังถูกพูดถึงมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะในโซนอเมริกาที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ ทางภาครัฐเขาจึงเร่งออกมาตรการบังคับให้สื่อโซเชียลใหญ่ ๆ อย่าง Facebook, Twitter และ YouTube จัดการกับปัญหานี้กันอย่างจริงจังขึ้น โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเราน่าจะเห็นได้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่างกับช่องคอมเมนต์ของแต่ละแพลตฟอร์ม

อย่างฝั่ง YouTube เองที่ก่อนหน้านี้เคยออกมาตรการหลายอย่างมาใช้จัดการกับคอมเมนต์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมบนแพลตฟอร์มตัวเอง เช่น การซ่อนคอมเมนต์นั้นจากสายตาสาธารณะ (ให้ผู้โพสต์เห็นตัวเองคนเดียว) หรือบางประเทศมีการถามเตือนผู้ใช้ก่อนว่าจะโพสต์ข้อความนี้จริงหรือไม่ เพราะกรองเบื้องต้นแล้วพบว่ามีเนื้อหาสุ่มเสี่ยง

ล่าสุด YouTube กำลังจะมีฟีเจอร์ใหม่ที่ดูแล้วเข้มงวดหนักกว่าเดิมอีก นั่นคือการสั่งลบคอมเมนต์ทิ้งทันทีหากตรวจสอบแล้วพบว่ามีเนื้อหาไม่เหมาะสม เช่น มีเนื้อหารุนแรง, มีคำหยาบคาย หรือเป็นข้อความ toxic ที่สร้างความเกลียดชัง (แม้ไม่มีคำหยาบ) พร้อมส่งเป็นข้อความตักเตือน โดยระบุว่าหากผู้ใช้มีการคอมเมนต์แบบเดิมซ้ำ บัญชีที่ใช้งานจะถูกแบนการคอมเมนต์ทันทีเป็นเวลา 24 ชั่วโมง

เบื้องต้นฟีเจอร์นี้จะรองรับเฉพาะคอมเมนต์ภาษาอังกฤษก่อน และจะเพิ่มภาษาอื่น ๆ ตามมาในอนาคต อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ยังสามารถส่งข้อโต้แย้งร้องเรียนได้ หากเชื่อว่า YouTube มีการตรวจสอบคอมเมนต์ของตัวเองผิดพลาด เพื่อให้ข้อความกลับมาแสดงได้ตามปกติเหมือนเดิมครับ

 

 

ที่มา : TechCrunch, YouTube

from:https://droidsans.com/youtube-will-send-a-notification-to-users-if-their-comment-is-abusive/

Twitch เปิดตัว Shield Mode ให้สตรีมเมอร์เปิดโหมดป้องกันตัวเมื่อถูกคุกคาม

Twitch ออกเครื่องมือความปลอดภัยตัวใหม่ Shield Mode ให้บรรดาสตรีมเมอร์สามารถเปิดโหมดป้องกันภัยได้ทันทีระหว่างไลฟ์ (หรือจะให้แอดมินช่องช่วยกดเปิดให้แทนก็ได้) หากพบสถานการณ์ที่ถูกคุกคาม (harassment) จากผู้ชม

Shield Mode สามารถตั้งค่าไว้ล่วงหน้าได้ว่าจะควบคุมช่องของเราอย่างไร เช่น อนุญาตให้แชทได้เฉพาะคนที่ติดตามหรือเป็นสมาชิกเท่านั้น, ต้องยืนยันตัวตนก่อนแชทหรือไม่, สามารถสั่งแบนแชทโดยอิงตามข้อความที่ระบุได้ ฯลฯ เมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ ก็สามารถออกจาก Shield Mode ได้ทันที

Twitch บอกว่า Shield Mode เป็นเครื่องมือที่อยู่ตรงกลาง ระหว่างการควบคุมและปิดกั้นทุกอย่างจนฐานผู้ชมไม่โต กับการปล่อยทุกอย่างจนเป็นภัยต่อสตรีมเมอร์เอง การที่มีเครื่องมือให้เปิด-ปิดได้ตามความเหมาะสมจึงเป็นทางออกที่ดีสำหรับสตรีมเมอร์ โดยเฉพาะกลุ่มคนดำหรือ LGBT ที่มักโดนคุกคามจากผู้ชมอยู่บ่อยๆ

ที่มา – Twitch

from:https://www.blognone.com/node/131691

Meta เพิ่ม “บาเรียล่องหน” รอบตัวอวตาร ห้ามคนอื่นเข้าใกล้ แก้ปัญหาการเหยียดในโลก VR

Meta มีบริการโซเชียลแบบ VR ชื่อ Horizon Worlds ที่เปิดตัวมาได้สักพักใหญ่ๆ รูปแบบคือให้เราสร้างอวตารของตัวเองแล้วเข้าไปทำกิจกรรมต่างๆ ในโลก VR

อย่างไรก็ตาม เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นบริการโซเชียล ปัญหาเรื่องภัยคุกคาม กลั่นแกล้ง การเหยียดด้วยคำพูดหรือ hate speech ย่อมตามมาเสมอ แถมรูปแบบการเหยียดในโลก VR ก็ซับซ้อนขึ้น เพราะเปลี่ยนจากการโพสต์ด่ากันเป็นข้อความในคอมเมนต์ กลายมาเป็นการนำอวตารเดินเข้ามาในรัศมีใกล้ๆ แล้วด่าด้วยเสียงพูดแทน ซึ่งตรวจจับและตรวจสอบได้ยากกว่ากันมาก

ล่าสุด Meta ประกาศแก้ปัญหานี้ด้วย Personal Boundary หรือการสร้าง “บาเรียเสมือน” ล้อมอวตารของเราไว้ไม่ให้บุคคลอื่นเข้ามาใกล้ ขอบเขตมีรัศมีประมาณ 4 ฟุตตามภาพ (ของจริงจะมองไม่เห็นขอบเขตนี้)

Personal Boundary จะถูกเปิดใช้งานเป็นค่าดีฟอลต์ เพื่อสอนให้ผู้ใช้งานเรียนรู้พฤติกรรมที่ควรทำในโลก VR โดย Meta บอกว่าจะค่อยๆ ศึกษาผลตอบรับจากผู้ใช้ และเพิ่มตัวเลือกต่างๆ (เช่น การปรับขนาดของรัศมี) ในอนาคตต่อไป

No Description

No Description

ที่มา – Meta

from:https://www.blognone.com/node/127044

[Reuters] ออสเตรเลียเตรียมเสนอกฎใหม่คุมโซเชียลมีเดีย ระบุตัวตนคนคอมเม้นท์หมิ่นประมาท

สำนักข่าว Reuters รายงานว่า นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย Scott Morrison มีแผนเตรียมจะเสนอกฎใหม่ ให้โซเชียลมีเดียอย่าง Facebook และ Twitter เปิดเผยตัวตนของคนคอมเม้นท์หมิ่นประมาท โดยให้ผู้ใช้งานสามารถร้องเรียนแพลตฟอร์มให้ลบคอมเม้นท์หมิ่นประมาทที่ส่งผลกระทบต่อตัวเอง และถ้าแพลตฟอร์มไม่ทำตาม กระบวนการศาลจะสามารถบังคับให้แพลตฟอร์มระบุตัวตนของผู้หมิ่นประมาทในโซเชียลได้

Scott Morrison บอกว่า บนโลกออนไลน์ไม่ควรเป็นพื้นที่ให้พวกหัวรุนแรง ทำร้ายผู้คนโดยไม่เปิดเผยตัวตนได้ นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในโลกจริง และไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นบนโลกดิจิทัลเช่นกัน

เท่ากับว่า กฎหมายใหม่ที่เตรียมจะเสนอกันนี้ ทำให้โซเชียลมีเดีย ต้องรับผิดชอบกับการกระทำของผู้คอมเม้นท์หมิ่นประมาท และยังมีคำถามเรื่องความเป็นส่วนตัวด้วย รวมถึงข้อกังวลที่ว่า กฎนี้จะกระทบเสรีภาพในการเห็นต่างทางการเมืองหรือไม่

No Description

ภาพโดย OpenClipart

ที่มา – Engadget

from:https://www.blognone.com/node/126044

WSJ แฉ Facebook จัดการ Hate Speech ได้แค่ 5% ด้าน Facebook แย้ง จัดการได้เกือบครึ่ง

Wall Street Journal ออกรายงานแฉ Facebook อีกครั้ง บอกว่าจริงๆ แล้ว Facebook ประสบความสำเร็จน้อยมากในการจัดการเนื้อหาที่มีความเกลียดชัง รูปภาพที่มีความรุนแรง ตลอดจนเนื้อหาอันตรายอื่นๆ ล่าสุด Facebook นำโดย Guy Rosen รองประธานฝ่าย Integrity ของ Facebook เขียนบล็อกคัดค้านว่า เนื้อหาแสดงความเกลียดชังหรือ Hate Speech ลดลงเกือบ 50% ในช่วงสามไตรมาสที่ผ่านมา

WSJ รายงานโดยอ้างอิงเอกสารภายในว่า ช่วงสองปีที่ผ่านมา Facebook ลดเวลาคนทำงานตรวจตา Hate Speech และพยายามสร้างภาพลักษณ์ใหม่ว่า AI มีประสิทธิภาพลด Hate Speech บนแพลตฟอร์มได้จริง นอกจากนี้ ทีมงาน Facebook ยังพบด้วยว่า ช่วงเดือนมีนาคมระบบอัตโนมัติของ Facebook สามารถลบโพสต์ Hate Speech ได้เพียง 3-5% เท่านั้น และน้อยกว่า 1% ของเนื้อหาทั้งหมดที่ละเมิดกฎแพลตฟอร์มโดยรวม

alt="WSJ แฉ Facebook จัดการ Hate Speech ได้แค่ 5%"

นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่า เนื้อหารุนแรงบางส่วนสามารถรอดพ้นจากการตรวจจับของ Facebook ได้ เช่นภาพความรุนแรงของอุบัติเหตุรถชน การข่มขู่คุกคามเด็ก เป็นต้น

ด้าน Guy Rosen รองประธานฝ่าย Integrity ของ Facebook แย้งว่า การเน้นไปที่การลบเนื้อหาเพียงอย่างเดียวคือวิธีที่ผิด แต่ Facebook เน้นที่ความอพร่หลายหรือการกระจายตัวของเนื้อหา Hate Speech มากกว่า ซึ่งตามรายงานการบังคับใช้มาตรฐานชุมชนฉบับล่าสุดของ Facebook พบว่าความชุกหรือความแพร่หลายของเนื้อหานั้นอยู่ที่ 0.05% ของการดูเนื้อหา หรือเทียบเท่าได้กับ 5 การมองเห็น ใน 10,000 การมองเห็น ซึ่งลดลงเกือบ 50% ในช่วงสามไตรมาสที่ผ่านมา

Rosen เล่าย้อนด้วยว่าในปี 2016 การดูแลเนื้อหาอาศัยการรายงานจากผู้ใช้เป็นหลัก Facebook จึงสร้างเทคโนโลยีเพื่อระบุเนื้อหาที่ละเมิดในเชิงรุกก่อนที่ผู้คนจะรายงานเข้ามา และค้านรายงานจาก WSJ ด้วยว่า ข้อมูลที่ดึงมาจากเอกสารที่รั่วไหลถูกใช้เพื่อสร้างเรื่องเล่าว่าเทคโนโลยีของ Facebook นั้นไม่สามาาถจัดการ Hate Speech ได้ ถือเป็นการจงใจบิดเบือน

ที่มา – The Verge, WSJ, Facebook

from:https://www.blognone.com/node/125320

มาอีกราย อดีตนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลที่โดน Facebook ไล่ออก ยินดีให้การกับสภาคองเกรส

ก่อนหน้านี้เราเห็นข่าว Frances Haugen อดีตพนักงาน Facebook ที่ออกมาแฉบริษัท โดยไปให้การกับสภาคองเกรส จนเป็นข่าวใหญ่กันมาแล้ว

ล่าสุดมีอดีตพนักงานอีกคนคือ Sophie Zhang อดีตนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลที่เคยทำงานกับ Facebook มานาน 3 ปี และถูกบริษัทไล่ออกเมื่อปีที่แล้ว เพราะเธอเขียนบันทึกภายในวิจารณ์บริษัทว่าไม่พยายามแก้ปัญหาข่าวปลอมและความเกลียดชังเท่าที่ควร โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ปัจจุบัน Facebook มีผู้ใช้ในสหรัฐและแคนาดาเพียง 10% แต่กลับได้ความสนใจของ Facebook มากที่สุด

Zhang บอกว่ามอบข้อมูลให้กับหน่วยงานภาครัฐแห่งหนึ่งแล้ว (ไม่ระบุชื่อหน่วยงาน) และยินดีไปให้การกับสภาคองเกรส

ที่มา – CNN

No Description

Topics: 

from:https://www.blognone.com/node/125233

โต้ทุกประเด็น Mark Zuckerberg ชี้ Facebook ไม่ได้หน้าเงิน สนใจกำไรมากกว่าความปลอดภัย

Mark Zuckerberg โพสต์ข้อความตอบโต้ Frances Haugen อดีตผู้จัดการผลิตภัณฑ์ของ Facebook ที่ออกมาแฉบริษัทว่าสนใจกำไรมากกว่าแก้ปัญหาความเกลียดชัง-ความปลอดภัย

Zuckerberg บอกว่าบริษัทสนใจประเด็นเรื่องความปลอดภัย สุขภาพจิต ความเป็นอยู่ของผู้ใช้อย่างมาก (เขาใช้คำว่า care deeply) และผิดหวังที่เห็นสื่อมองข้ามความพยายามของ Facebook ในการแก้ปัญหาเหล่านี้

เขาตอบโต้คำกล่าวหาต่างๆ ว่าไม่เป็นความจริง บริษัทไม่ได้มีเจตนาปิดบังผลการวิจัยต่อสาธารณะ เพราะถ้าบริษัทอยากปิดบังเรื่องนี้จริงๆ คงไม่จ้างทำวิจัยตั้งแต่แรก และถ้าบริษัทไม่สนใจเรื่องเนื้อหาที่เป็นภัย ก็คงไม่จ้างคนจำนวนมากกว่าบริษัทโซเชียลอื่นๆ มาคอยตรวจสอบเนื้อหาเหล่านี้

ส่วนประเด็นหลักว่า Facebook สนใจกำไรมากกว่าความปลอดภัยก็ไม่จริงอย่างสิ้นเชิง เขาระบุว่าการเปลี่ยนอัลกอริทึมในปี 2018 (มีชื่อเรียกว่า Meaningful Social Interactions) ช่วยลดการมองเห็นวิดีโอไวรัลลง เห็นเนื้อหาจากเพื่อนและครอบครัวเพิ่มขึ้น บริษัททราบดีว่าการปรับอัลกอริทึมจะทำให้คนใช้เวลาบน Facebook น้อยลง ส่งผลกระทบต่อรายได้ แต่ก็ยังตัดสินใจเดินหน้าเพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

เขายังบอกด้วยว่าโมเดลธุรกิจของ Facebook คือโฆษณา และผู้ลงโฆษณาย่อมไม่ต้องการให้โฆษณาของตัวเองแสดงอยู่ใกล้ๆ กับเนื้อหาที่เป็นภัยอยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุผลเลยที่ Facebook จะอยากให้มีเนื้อหาที่เป็นภัยอยู่บนแพลตฟอร์มต่อไป เขาบอกว่าเขาเองก็มีลูก เขาย่อมไม่ต้องการให้ลูกของตัวเองอยู่ในโลกออนไลน์ที่ไม่ปลอดภัยอยู่แล้ว

Zuckerberg บอกว่าการตีความงานวิจัยภายใน (ที่ Haugen ปล่อยหลุดออกมา) ว่า Instagram มีผลเสียต่อเด็กและวัยรุ่นเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ เพราะจริงๆ แล้วงานวิจัยชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า วัยรุ่นใช้ Instagram เป็นที่พักใจเมื่อเผชิญกับปัญหาในชีวิตจริงๆ ต่างหาก เขาโต้แย้งว่าปัญหาเรื่องผลกระทบต่อเด็กและวัยรุ่นไม่ใช่หน้าที่ของบริษัทโซเชียลรายใด แต่เป็นหน้าที่ของสังคมต้องมาตัดสินใจร่วมกันว่า เด็กอายุแค่ไหนถึงสมควรใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่า

ที่มา – Mark Zuckerberg

from:https://www.blognone.com/node/125130

Facebook โดนอดีตพนักงานแฉ ปรับแต่งอัลกอริทึ่มเอื้อให้ Hate Speech อยู่บนเว็บไซต์ได้นานที่สุด

Frances Huagen ออกมาแฉกับรายการ 60 Minutes ของ CBS News ว่า Facebook หนึ่งในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ใหญ่ที่สุดในโลก อดีตบริษัทฯ ที่เคยเป็นเจ้านายของเธอ ได้ปรับแต่งอัลกอริทึ่มเอื้ออำนวยให้ Hate Speech หรือข้อความเกลียดชังอยู่บนเว็บไซต์ให้นานที่สุด ไม่ปิดการเข้าถึงเท่าที่ควร เพื่อผลประโยชน์กับตัวบริษัทฯ มากที่สุด

อ้างอิงจากโปรไฟล์ LinkedIn ของ Huagen (ที่ปัจจุบันถูกลบไปแล้ว) เธอเคยทำงานกับ Facebook ในฐานะ Product Manager หรือผู้จัดการผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Civic Integrity ก่อนจะตัดสินใจลาออกจากบริษัทฯ ในปี 2021 หลังจากกลุ่มดังกล่าวถูกยุบตัวลงไป โดยเธอไม่เชื่อมั่นในตัวบริษัทฯ ว่าจะทำในสิ่งที่บอกว่าจะทำให้ Facebook เป็นพื้นที่สีเขียว ปลอดจากภัยอันตราย (จากพวก Hate Speech ต่างหรือ Online Bullying)

Huagen อ้างว่า Facebook มีสองตัวเลือก ระหว่างผลดีกับส่วนรวม กับผลดีต่อตัวบริษัทฯ เอง ซึ่งแน่นอนว่าทาง Facebook (จากคำเล่าของ Huage) ได้เลือกแบบหลังอยู่แล้ว จึงเป็นที่มาของการปรับแต่งอัลกอริทึ่มให้เข้ากับจุดประสงค์ของบริษัทฯ ที่สุด นั่นก็คือการทำเงินให้ได้มากที่สุดนั่นเอง 

Frances Huagen

แม้ว่าในส่วนนี้ทาง Facebook จะเคลมตลอดว่า ตนเองมีส่วนช่วยในการลดละการเกิดขึ้นของข้อความเกลียดชัง (Hate Speech) ทั้งบนแพลตฟอร์มหรือนอกก็ดี แต่จากเอกสารที่ทาง Haugen ออกมาแฉ กลับพบว่า Facebook เทคแอคชั่นเพียงแค่ 3 – 5% ของ Hate Speech ที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ และประมาณ 0.6% ของ Violoence and Incitement หรือแปลง่าย ๆ คือ ความรุนแรงและการยั่วยุ

โดย Haugen เผยว่า ต้นตอของปัญหาทั้งหมด มาจากอัลกอริทึ่มที่ Facebook เปิดตัวมาเมื่อปี 2018 หรือราว ๆ 5 ปีที่แล้ว เพราะเหมือนว่าอัลกอริทึ่มตัวนี้จะมีแนวโน้มจ่ายยอด Reach และ Engagement (การเข้าถึงและการมีส่วนร่วม) ให้กับโพสต์ที่เข้าข่ายเป็น Hate Speech หรือการทะเลาะกันเองในขั้วการเมืองอะไรแบบนี้ มากกว่าโพสต์แนวอื่น ๆ แต่ ณ ตอนนั้น Mark Zuckerberg ซีอีโอคนดังของบริษัทฯ กลับบอกว่าการเปลี่ยนแปลงของอัลกอริทึ่มจะทำให้เกิดผลดีในแง่บวกกับผู้ใช้งาน

นอกจากนี้ The Wall Street Journal ยังเคยเปิดเผยเอกสารลับภายใต้ชื่อ The Facebook Files เมื่อเดือนที่แล้ว บอกว่า Facebook มีทำการวิจัยว่า Instagram มีผลเสียต่อสุขภาพจิตของวัยรุ่นหญิง ซึ่งกรณีนี้ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องขึ้นศาล แต่พอใกล้ถึงเวลาขึ้นศาลจริง ๆ Facebook กลับออกมาบิดเบือนให้ตัวเองดูไม่ใช่ผู้ร้ายในกรณีนี้

อ่านเพิ่มเติม: The Verge via Blognone

from:https://droidsans.com/facebook-optimised-boost-more-hate-speech-contents/