คลังเก็บป้ายกำกับ: GOOGLE_I/O_2019

Google Search AR ดึงผลการค้นหาเป็นภาพ 3 มิติ มาวางไว้บนโลกจริง เริ่มเปิดให้ใช้งานแล้วในมือถือบางรุ่น

ในงาน Google I/O 2019 ที่ผ่านมา เราน่าจะได้เห็นคุณสมบัติของเทคโนโลยี AR สุดล้ำจาก Google ที่สามารถทำให้ผลลัพธ์บางอย่างจากการค้นหาของเราโผล่มาอยู่ตรงหน้าเราได้แบบ 3 มิติ โดยฟีเจอร์นี้ได้เพิ่มเข้ามาบน Google Search ให้สามารถใช้งานเพื่อดูตัวอย่างสัตว์ในรูปแบบ 3 มิติ เรียบร้อยแล้วด้วย มือถือบางรุ่นที่รองรับ AR ผ่าน Chrome และแอป Google Search น่าจะได้ใช้งานกันแล้วล่ะ

ตอนนี้ เราสามารถดูสัตว์ต่างๆ ในรูปแบบของ Google Search AR ได้แล้ว อย่างเช่นการค้นหา “tigers” มันก็จะปรากฏข้อมูลของเสือขึ้นมาให้เรามากมาย แต่ถ้าอยากดูตัวอย่างเสือในรูปแบบ AR ให้เลื่อนหาแผ่นข้อมูลที่มีข้อความ “Meet a life-sized tiger up close.” และกดเข้าไปที่ “View in 3D” มันก็จะมีโมเดลเสือแบบ 3D โผล่ขึ้นมา แถมยังมีเอฟเฟกต์เสียงเล่นอัติโนมัติเมื่อเราหมุนหรือซูมดูตัวเสือด้วย ถ้าต้องการออกจากโหมด 3D เต็มหน้าจอ ก็ให้กดบนพื้นที่ว่างๆ ได้เลย

 


แต่ถ้าอยากดูเสือในรูปแบบเสมือนจริง ให้กดที่ข้อความ “View in your space.” หากเราเริ่มใช้งานระบบนี้ครั้งแรก มันก็จะเด้งหน้า “Get a better look.” ขึ้นมา จากนั้นเราก็ต้องเปิดให้ระบบเข้าถึงกล้องและหน่วยความจำของเราโดยกดตอบรับ “Give access” เพื่อเริ่มใช้งาน


จากนั้นก็เราก็จะเจอกับลูกเล่นของระบบ AR กันแล้วล่ะ ให้เราหันกล้องไปตรงพื้นที่วางๆ เพื่อวางโมเดลเสือบนโลกจริง และเมื่อวางเรียบร้อยแล้วเรายังสามารถเคลื่อนที่ไปรอบๆ เพื่อดูรายละเอียดของเสือได้อีกด้วย  และเมื่อต้องการออกจากระบบ AR ให้กดปุ่มมุมล่างซ้ายเพื่อกลับเข้าสู่โหมด 3D

ในตอนนี้สัตว์ที่สามารถค้นเจอได้บน Google Search AR ก็จะมีทั้ง สิงโต (lions), เสือ (tigers), หมี (bears), แพะอัลไพน์ (alpine goats), หมาป่า (timberwolves), เม่นแคระยุโรป (European hedgehog), ปลาแองเกลอร์ (angler fish) และ เพนกวินจักรพรรดิ (emperor penguins) ซึ่งจะมีสัตว์บางชนิดที่มีลูกเล่นน่ารักๆ บน AR มาให้ด้วย อย่างเช่น หมีแพนด้ายักษ์ (giant pandas) กำลังแทะไม้ไผ่อยู่

ระบบนี้สามารถเปิดใช้งานได้บนมือถือบางรุ่นที่รองรับ AR ผ่าน Chrome และแอป Google Search นอกจากนี้ Google ยังร่วมมือกับ NASA, New Balance, Samsung, Target, Visible Body, Volvo, Wayfair และบริษัทอื่นๆ เพื่อเตรียมใส่ฟีเจอร์แสดงเนื้อหาข้อมูลในรูปแบบ AR  ซึ่งอาจรวมถึงการใช้ช้อปปิ้งหรือใช้ในการศึกษาเกี่ยวกับกายวิภาคของมนุษย์อีกด้วย

เล่นไปเล่นมาก็เพลินดีเหมือนกันแฮะ แต่ถ้าเล่นในที่สาธารณะก็ระมัดระวังไม่ให้รบกวนคนอื่นกันด้วยนะคะ 🙂

 

ที่มา: 9to5google

from:https://droidsans.com/google-search-ar-3d/

รวมความสามารถใหม่ของ Google ที่เปิดตัวในงาน Google I/O 2019

ในงาน Google I/O 2019 คราวนี้ นอกจากเราจะได้เห็นการประกาศเปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่อย่าง Android Q และมือถือ Google Pixel 3a / 3a XL แล้ว เรายังได้เห็นถึงการพัฒนาแบบไม่หยุดยั้งของ Google ที่จะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นไปอีก เพราะตอนนี้ Google ได้พัฒนาระบบต่างๆ พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้สูงขึ้นไปอีกขั้นนึงแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ Google Assistant ที่ได้รับการอัพเกรดให้ฉลาดกว่าเดิมและมีประสิทธิภาพกว่าเดิม รวมไปถึงฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่าง Duplex, Driving Mode และ Google Search อีกด้วย

Google Assistant

ผู้ช่วยอัจฉริยะรุ่นใหม่นี้เราได้พูดถึงไปรอบนึงแล้ว จากการที่ Google ได้พัฒนาให้มันมีขนาดเล็กลงจาก 100GB เหลือแค่ราวๆ 0.5GB ทำให้สามารถยัดลงไปในมือถือได้สบายๆ ไม่ต้องคอยต่อเข้า Server เหมือนก่อน ทำให้การสั่งงานเจ้า Assistant เร็วกว่าเดิมถึง 10 เท่า! ไม่ว่าจะเป็นการสั่งเปิดแอปที่เร็วกว่าการใช้นิ้วจิ้มเองซะอีก

หรือจะเป็นการที่มันสามารถทำตามคำสั่งที่ค่อนข้างซับซ้อนได้ อย่างเช่นพิมพ์ e-Mail ตามคำพูดของเรา และสามารถแยกแยะได้ว่าที่เราพูดไปคือข้อความในจดหมาย หรือเป็นการตั้งชื่อ Subject อีกด้วยนะ

และอย่างที่บอกไปว่าขนาดมันเล็กแค่ 0.50GB และยัดเข้ามาในเครื่องได้สบายๆ ทำให้เราสามารถเรียกใช้งาน Assistant ได้แม้ไม่ได้เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตซะด้วย เรียกว่าเป็นการอัพเกรดครั้งใหญ่ของ Google Assistant ที่นำหน้า AI ของแบรนด์อื่นๆ ไปไกลลิบเลยล่ะ

Duplex on the web

ถ้าใครยังจำได้ในงาน Google I/O เมื่อปีที่แล้ว Google ได้ทำให้พวกเราอ้าปากค้างจากความอัจฉริยะของ Assistant ที่มีชื่อเรียกว่า Duplex ซึ่งมันสามารถโทรไปสั่งจองร้านอาหารได้เนียนเหมือนพูดกับคนจริงๆ ในตอนนี้สามารถใช้ได้จริงแล้วใน 44 รัฐ ของอเมริกา

แต่สำหรับในปีนี้ Duplex ได้ขยายการให้บริการออกไปจากมือถือ ทำให้สามารถใช้งาน Duplex ได้บน Google Chrome แล้ว ซึ่งช่วงแรกจะเน้นไปที่บริการจองรถเช่าก่อน โดยเราสามารถบอกให้ Google จองรถให้เราก่อนการไปเที่ยว จากนั้นมันก็จะไปตามเช็คใน e-Mail กับปฏิทิน ว่าเราจองตั๋วเครื่องบินไปที่ไหน วันไหน ลงจอดกี่โมง จากนั้นมันก็จะเข้าไปในเว็บรถเช่าเพื่อกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มอัตโนมัติ และส่งกลับมาให้เราดูอีกรอบว่าข้อมูลถูกต้องรึเปล่า

ส่วนข้อมูลอื่นๆ ของ Duplex on the web ทาง Google บอกว่าจะมีการเปิดเผยอีกรอบนึงภายในปีนี้แหละ

Google Assistant Driving Mode

Assistant Driving Mode จะเป็นการเปลี่ยนหน้าตาของการใช้งานของ Google Maps ให้มีทั้งปุ่มเล่นเพลง, ปุ่มโทรออก-รับสาย หรือ Missed call เอาไว้ด้วยกันให้กดใช้งานได้ง่ายๆ หรือแม้แต่แจ้งเตือนเราได้ด้วยว่าเราไม่ได้รับสายของใคร ถ้าหากต้องการโทรกลับก็เพียงแค่บอก Assistant ไปซะ

นอกจากนี้เรายังสามารถเข้าโหมดนี้ได้ง่ายๆ แค่พูดว่า Hey Google let’s drive จากนั้นหน้าจอมือถือของเราก็จะเข้าไปที่แอปนำทางที่เราตั้งไว้ และถ้าเราได้ลงตารางนัดหมายเอาไว้ใน Calendar มันก็จะดูเวลาขณะนั้นว่าใกล้ถึงเวลานัดแล้วรึเปล่า จากนั้นมันก็จะตั้งจุดหมายปลายทางให้โดยอัตโนมัติเลย

Google Search

ระบบค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตที่เราแทบจะขาดไม่ได้ทั้งในการทำงานหรือการเรียนการสอนทุกวันนี้ก็ยังได้รับการอัพเกรดให้เจ๋งกว่าเดิม โดยคราวนี้ Google ได้ผสมผสานเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) เข้าไปด้วย ทำให้ผลลัพธ์บางอย่างจากการค้นหาของเราสามารถโผล่มาอยู่ตรงหน้าเราได้แบบ 3 มิติ ให้มองเห็นกันได้ทุกซอกทุกมุม จากตัวอย่างการค้นหาข้อมูลของฉลามขาว เมื่อผลการค้นหาออกมาแล้วเรายังสามารถกดดูภาพ 3 มิติของฉลามขาวมาแสดงให้เห็นบนโลกจริงผ่านหน้าจอมือถือได้เลย หรือค้นหาสินค้าที่ชอบแล้วดูเป็นภาพ 3 มิติ เอามาทาบลงบนบนโลกจริงเพื่อหมุนดูรอบๆ ว่ามันมีรายละเอียดเป็นยังไงก็ได้นะ

ยังไม่หมดแค่นั้น Google Search ยังใส่ฟีเจอร์ Full Coverage เข้ามาเพิ่มเติม ทำให้การค้นหาข้อมูลต่างๆ ครอบคลุมมากขึ้น โดยผลลัพธ์จาก Google Search จะออกมาเป็นแบบ Time Line สรุปข้อมูลแบบเรียงลำดับเหตุการณ์ให้เลย, ดูว่ามีใครพูดถึงเรื่องนี้ไปแล้วบ้าง หรือแม้กระทั่งค้นหาข้อมูลในส่วนของเหตุผลที่หลุมดำดังกล่าวถูกเรียกชื่อนั้นชื่อนี้ เพียงแค่กดปุ่ม Full Coverage ทุกอย่างก็จะขึ้นมาทั้งหมดได้เลย

และนั่นคือความสสามารถใหม่ๆ ทั้งหมดของ Google ที่ได้ขนมาโชว์เรียกเสียงว้าวกันจนอ้าปากค้างไปทั้งงาน Google I/O 2019 เห็นแบบนี้ก็ทำให้อยากรู้จริงๆ ว่าภายในอีกแค่ 2 – 3 ปี ข้างหน้านี้ Google จะสามารถทำให้โลกของเราใกล้เคียงกับหนัง Sci-Fi เข้าไปได้อีกเท่าไหร่ และมันจะล้ำไปได้อีกขนาดไหน

from:https://droidsans.com/new-improved-google-assistant-google-io-2019/

Google กำลังพัฒนาฟีเจอร์ช่วยชีวิต ตรวจจับรถชนพร้อมแจ้งเหตุอัตโนมัติ สำหรับ Android Q

ถึงแม้ว่าในงาน Google I/O 2019 ที่ผ่านมาเราจะได้เห็นฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่จะมาพร้อมกับ Android Q กันไปบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะมีเท่าที่ประกาศในงานเท่านั้น เพราะฟีเจอร์บางส่วนที่กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาเลยยังไม่เอามาโชว์ก็มี อย่างเช่นฟีเจอร์ตรวจจับรถชนที่กำลังจะปล่อยให้ใช้กับมือถือ Pixel ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน

สำหรับฟีเจอร์ล่าสุดของ Android Q Beta 3 ที่มีการพูดถึงอยู่ในขณะนี้ มีชื่อว่า Safety Hub ซึ่งทาง XDA-Developers ได้ทำการแงะฟีเจอร์ตัวนี้อยู่และพบกับเหล่าโค้ดต่างๆ ที่แสดงว่ามันน่าจะเป็นฟีเจอร์ที่ตรวจจับได้ว่ารถที่กำลังขับอยู่เกิดอุบัติเหตุขึ้น แถมยังมีภาพไอคอนที่ช่วยให้ข้อสันนิษฐานดังกล่าวดูเป็นไปได้มากขึ้นอีก

Icon ของ Safety Hub

โดยตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่าฟีเจอร์ Safety Hub จะตรวจจับอุบัติเหตุที่เกิดกับรถยนต์ด้วยวิธีไหน แต่มีการคาดการณ์ว่าอาจจะใช้ระบบเซ็นเซอร์ Accelerometer เพื่อตรวจจับการหยุดรถกระทันหัน ร่วมกับใช้ระบบ GPS เพื่อดูความเร็วและการเคลื่อนไหวในขณะนั้น หรืออาจจะใช้ไมโครโฟนช่วยจับเสียงการชนที่เกิดขึ้นร่วมด้วย และถ้าหากมันคำนวณออกมาแล้วว่าน่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นจริงๆ เจ้า Safety Hub ก็อาจจะมีระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติไปที่ตำรวจ, โรงพยาบาล ฯลฯ หรือผู้ติดต่อที่เราตั้งเอาไว้ก็ได้

ถ้า Safety Hub ทำให้มือถือสามารถตรวจจับการชนกันของรถยนต์ได้ และแจ้งตำรวจหรือคนอื่นๆ ให้รู้ได้จริงๆ คิดว่าฟีเจอร์นี้น่าจะช่วยชีวิตหลายๆ คนได้เลยล่ะ เพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์บางทีก็เกิดขึ้นในที่เปลี่ยวหรือไม่มีคนผ่านไปผ่านมามากนัก กว่าจะมีคนผ่านมาเห็น ผู้ประสบเหตุอาจจะเสียชีวิตไปแล้วก็ได้.. ก็ต้องรอดูกันไปว่าฟีเจอร์ Safety Hub จะออกมาในรูปแบบไหน และจะใช้งานได้ในมือถือรุ่นอะไรบ้าง (ขออย่าให้ Exclusive แค่รุ่น Pixel ก็พอ)

ที่มา : XDA-Developers, Phonearena

from:https://droidsans.com/android-q-automatic-car-crash-detection/

9 สิ่งที่นักการตลาด(และคุณ)ควรรู้จากงาน Google I/O 2019

เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2562 ที่ผ่านมา Google ได้แถลงเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ๆ ในงานที่จัดขึ้นทุกปีอย่าง Google I/O 2019 นอกจากการพัฒนาระบบ AI เพื่อช่วยวิเคราะห์ข้อมูลให้เกิดประโยชน์มากขึ้น ทำให้ระบบค้นหา (Search Engine) เก่งกาจมากขึ้น มาดูกันว่า 9 สิ่งที่นักการตลาดและคุณควรรู้จากงานนี้มีอะไรบ้าง

1. AR จะสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับการค้นหา

ระบบค้นหาของกูเกิลที่เราคุ้นเคยกันมานับสิบปี กำลังจะทำให้ผลการค้นหาน่าสนใจมากขึ้น ด้วยการรองรับเทคโนโลยี AR เพื่อให้เราสามารถเห็นภาพของผลการค้นหาในรูปแบบของวัตถุสามมิติ ขนาดเท่าของจริง หมุนดูได้ทุกมุม และสามารถนำมาจำลองวางในพื้นที่จริงได้

เช่น การค้นหารองเท้าสักคู่ ก็สามารถนำมาลองวางที่ห้อง เทียบกับชุดที่จะใส่ดูได้ ว่ามันเข้ากันอย่างที่เราตั้งใจหรือไม่ ก่อนที่จะไปตัดสินใจเลือกซื้อได้

เห็นได้จากการสาธิตการใช้งานแอป Google Lens ในงาน I/O ปีนี้ ทำให้ผู้ใช้มือถือ Android สามารถให้กูเกิลช่วยวิเคราะห์ข้อมูลตรงหน้าได้แบบทันที

2. Google Lens จะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันมากขึ้น

Google ยังเพิ่มความสามารถใหม่ๆ โดยยุบขั้นตอนยุ่งยากในชีวิตประจำวัน เช่น สามารถใช้กล้องส่องเมนูที่ร้านอาหาร เพื่อแตะดูได้เลยว่า เมนูไหน มีหน้าตาเป็นอย่างไร มีรีวิวจากคนที่เคยมาทานแล้วกี่คะแนน โดยไม่สลับแอพไปมาเพื่อค้นหา

หรือสามารถใช้กล้องส่องบิลร้านอาหาร เพื่อคำนวนว่าต้องทิปเท่าไหร่ หรือเลือกจำนวนคนที่ทานด้วยกัน เพื่อให้แอพคำนวนได้เลยว่าหารแล้ว ต้องจ่ายคนละเท่าไหร่ จบในแอพเดียว

หลังจากนี้กำแพงภาษาก็ถูกทำลายลง เพราะแค่ใช้กล้องมือถือส่องไปที่ป้าย ก็สามารถแปลภาษาแบบได้ทันที รวมถึงสามารถแตะให้อ่านป้ายให้ฟังได้โดยไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาของประเทศที่เราจะเดินทางไป

เปิดทางให้ทุกคน สามารถเข้าใจสิ่งใหม่ได้ในรูปแบบที่ง่ายขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

3. สั่งจองบริการด้วยเสียงได้แบบม้วนเดียวจบสรอพ

ในงาน I/O ปีที่แล้ว Google เปิดตัว Duplex เทคโนโลยีที่ช่วยให้ Google Assistant ทำงานได้เก่งกาจยิ่งขึ้น โดยโชว์ว่ามันสามารถเป็นผู้ช่วย SME ให้สามารถรับโทรศัพท์แทนเจ้าของร้านไปแบบอัตโนมัติ และเปิดตัวเป็นแพลตฟอร์ม CallJoy ในเวลาต่อมา

ปีนี้ Google เปิดตัวนวัตกรรมใหม่อีกในชื่อ Duplex on the web ทำให้ Google Assistant สามารถดำเนินการบางอย่างให้เสร็จสรรพได้ทันที โดยเราไม่จำเป็นต้องกดหน้าจอที่ปุ่มหรือคีย์บอร์ดต่อไป ตัวอย่างให้คลิปด้านบนแสดงให้เห็นว่า Duplex จะช่วยให้เราสามารถจองรถล่วงหน้าได้ทันที โดยไม่ต้องกรอกข้อมูลซ้ำ เพราะเรามีข้อมูบส่วนตัวเก็บไว้อยู่แล้ว แค่บอกว่าจะให้ทำอะไร ระบบก็พร้อมดำเนินการให้ทันที

ช่วยให้การใช้บริการต่างๆ กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นกว่าเดิม ส่งผลดีต่อภาคธุรกิจต่างๆ อย่างเห็นได้ชัด

4. ตั้ง Voice command ในแบบของตัวเองได้ดีขึ้น

ข้อมูลของแต่ละคน ย่อมมีความแตกต่างกัน ศัพท์คำเดียวกัน อาจมีความหมายคนละอย่างกัน เช่น คำว่า “บ้านแม่” ของแต่ละคน ก็เป็นคนละข้อมูลและสถานที่กัน ทำให้ Google เปิดตัว ‘Personal References’ เพื่อให้เข้าใจบริบทการใช้งาน Voice Recognition ของแต่ละคนได้ใกล้เคียงกับภาษาที่มนุษย์เข้าใจ

เช่น ถามกูเกิลว่า “จากที่นี่ไปบ้านแม่ ใช้เวลาเท่าไหร่” กูเกิลก็จะเข้าใจได้ทันทีว่า เรากำลังจะเดินทางไปที่บ้านคุณแม่ คำนวนเวลาประกอบกับข้อมูลจราจร และตอบกลับเส้นทางมาให้ได้อย่างแม่นยำ

นอกจากนี้ กูเกิลยังเปิดเผยโปรเจค Euphonia ระบบ Voice Recognition สำหรับผู้พิการทางการออกเสียง เช่น ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ที่ไม่สามารถออกเสียงเป็นภาษาได้อย่างชัดเจน ก็สามารถใช้เทคโนโลยีการสั่งงานด้วยเสียงได้เช่นกัน

5. Live Caption ขึ้นแคปชันได้ทันทีไม่ต้องใส่เอง

อีกหนึ่งฟีเจอร์สำคัญที่ถูกเปิดตัวในงาน I/O ปีนี้ คือ ‘Live Caption’ หรือระบบการทำซับไตเติ้ล (Subtitle) อัตโนมัติให้กับทุกคลิปวิดีโอ หรือแม้แต่ Podcast หากนำมาเล่นบนมือถือ Android ผู้ใช้งานจะสามารถเลือกเปิด Live Caption โชว์ซับไตเติ้ลได้อัตโนมัติ รองรับหลายภาษา

แน่นอนว่าฟีเจอร์ดังกล่าวเป็นผลดีต่อกลุ่มคนที่พิการทางการได้ยินที่มีจำนวนหลายล้านคนทั่วโลก สามารถเข้าถึงคอนเทนต์วิดีโอได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล รวมถึงบุคคลทั่วไปที่ต้องการจะดูวิดีโอแบบปิดเสียงในขณะเดินทาง ก็สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้เช่นกัน

6. ให้ความสำคัญกับ ‘ข่าว’ และ ‘Podcast’ มากขึ้น

ปกติแล้วแอปและเว็บ Google News จะสามารถกดตรงปุ่ม View full coverage เพื่อดูว่าแต่ละสำนักข่าวรายงานเหตุกาารณ์ออกมาเป็นอย่างไร และดูได้ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาต่อเนื่องได้อีกบ้าง ซึ่งหลังจากนี้ฟีเจอร์ดังกล่าวจะมาปรากฎบนหน้าค้นหาของ Google แล้ว

รวมถึง Google ประกาศว่า Podcast ที่เพิ่มเข้าแอป Google Podcast จะถูกเพิ่มเข้าสู่หน้าค้นหาของ Google ด้วยเช่นกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ Google ถอด Podcast ที่อยู่ในระบบออกมาเป็น text ทำให้ค้นหาผ่านแอปดังกล่าวได้มาก่อนแล้ว

7. App Actions ในแอป Google เพิ่มขึ้นมาอีก 4 หมวด

งาน I/O ปีก่อน Google เปิดตัว App Actions ฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณสามารถกำหนดการทำงานของแอปหรือแพลตฟอร์มต่างๆ ให้เกิดขึ้นได้อัตโนมัติ ล่าสุดในงาน I/O ปีนี้ เปิด App Actions เพิ่มขึ้นมาอีก 4 หมวด ได้แก่ สุขภาพและการออกกำลังกาย (Health and fitness), การเงินและธนาคาร (Finance and banking), การสั่งอาหาร (Food ordering) และการเรียกรถจากบริการต่างๆ (Ridesharing)

นอกจากนี้ Google ยังเตรียมเปิดให้นักพัฒนาแอป สามารถสร้างคำสั่งเรียกใช้แอปของตัวเองผ่าน Google Assistant ได้ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ คำสั่งที่คุณสามารถเรียกใช้ได้ก็เช่น

  • ส่งเงิน จ่ายบิล และดูยอดเงินในบัญชีได้
  • จองรถ(จากบริการ Ridesharing) ติดต่อคนขับ และตรวจสอบสถานะคนขับได้
  • สั่งอาหาร และตรวจสอบสถานะการสั่งอาหารได้
  • สั่งให้เรนิ่มหรือหยุดการบันทึกการออกกำลังกายได้
  • บันทึกการทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มต่างๆ และตอบคำถามด้านโภชนาการได้

ดูคำสั่งอื่นๆ ที่สามารถพัฒนาได้ที่ลิงก์นี้

8. โฆษณา Google บนแอป จะไปโชว์ในฟีดหน้าแรกของ YouTube ได้

Google App Campaign (เดิมชื่อ Universal App Campaigns) เปิดตัววิธีการ bidding (เสนอซื้อ) โฆษณาใหม่จากเงินที่มีอยู่ โดยเปิดตัว Target Return On Ad Spend (tROAS) แบบอัตโนมัติ โดยอัลกอริทึมจะปรับราคาเสนอให้สูงขึ้นโดยอัตโนมัติ เพื่อแสดงโฆษณาที่มีแนวโน้มใช้เงินมากขึ้น โดยคำนวณจากยอดเงินที่ใช้ใน In-App Purchase ที่ได้ติดตั้งไปโดยจะเริ่มใช้ได้ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป

นอกจากนี้คลังโฆษณาของ YouTube อย่าง App ad inventory (บรรดา Publisher ที่เปิดให้เอาโฆษณามาลงแล้วเอาไปแสดงบนแอป) ตอนนี้เปิดให้นำโฆษณาจากตรงนี้ไปแสดงบนฟีดหน้าแรกของ YouTube และบน In-Stream Video สำหรับผู้ลงโฆษณา โดยในแคมเปญจะต้องมีแนวภาพแนวนอนหนึ่งอันและวีดีโออย่างน้อยหนึ่งตัว

9. เน้นสร้าง Privacy แบบจริงจัง เห็นข้อมูลผู้ลงโฆษณาได้มากขึ้น

ที่ผ่านมา Google ถูกตั้งคำถามถึงการนำข้อมูลการใช้งานอยู่บ่อยครั้ง แน่นอนว่าคำค้นหาของผู้ใช้ถือเป็นส่วนหนึ่งในการคำนวนผลเรื่องโฆษณา ไม่แปลกที่ผู้ใช้จะรู้สึกไม่มั่นใจถึงความปลอดภัยของข้อมูลที่ Google เก็บไว้ ทำให้ Google ขยับตัวเรื่องของความเป็นส่วนตัวด้วยการเพิ่มฟีเจอร์ใน Android Q และเพิ่มเรื่องของความโปร่งใสในการโฆษณา (Ads transparency) มากขึ้น

โดย Google ระบุว่ากำลังพัฒนา Extension สำหรับเว็บเบราเซอร์ โดยมันจะสามารถแสดงข้อมูลให้เห็นว่าโฆษณาตัวนี้มาจากบริษัทไหน รวมถึงจะบอกได้ว่าโฆษณาตัวนี้ใช้ข้อมูลอันไหนของผู้ใช้มาช่วยในการแสดงผลบ้าง โดยข้อมูลดังกล่าวจะเหมือนการกด ‘Why this ad’ บนโฆษณา แต่การดูผ่าน Extension ก็ถือว่าสะดวกสำหรับบุคคลทั่วไปอยู่พอสมควร

สรุป

Google ย้ำเสมอว่าภารกิจของบริษัท คือ การจัดการข้อมูลให้เกิดประโยชน์ และให้ทุกคนบนโลกสามารถเข้าถึงได้ ถึงวันนี้ มีผู้คนประมาณครึ่งโลก ที่สามารถเข้าถึงโลกออนไลน์ได้ แต่ภารกิจของกูเกิล ยังเหลือหนทางอีกยาวไกล แม้ว่าเทคโนโลยีหลายอย่างจะพัฒนามาไกลมาก แต่ปัจจุบันกระแสเรื่องของความเป็นส่วนตัว ก็ยังเป็นประเด็นที่หลายบริษัท รวมถึง Google ยังหาจุดสมดุลของเรื่องความเป็นส่วนตัวให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการอยู่ร่วมกันได้ต่อไป

ที่มา : Vantage (1) (2), Search Engine Journal (1) (2) (3) และ Google (1) (2) (3)

 
Source: thumbsup

from:https://thumbsup.in.th/2019/05/9-things-marketeers-and-you-should-know-from-google-io-2019/

แอบส่อง Android Wear ที่มาโชว์ในงาน Google I/O 2019

นับตั้งแต่ตอนที่ Android Wear ไปเมื่อหลายปีก่อน ถึงแม้ว่าในปีนี้จะไม่ได้มีอะไรหวือหวาภายในงาน แต่ก็แอบสงสัยเหมือนกันนะว่า Android Wear เป็นยังไงบ้าง ทุกวันนี้มีเจ้าไหนบ้างที่รองรับ Android Wear (ปกติรู้จักแต่พวกแบรนด์มือถือเป็นหลัก) จึงถือโอกาสรวบรวมภาพของ Android Wear ทั้งหมดที่ถูกวางโชว์ไว้ในงาน Google I/O 2019 มาให้ได้ดูกันครับ


Casio PRO TREK Smart WSD-F30
Fossil Q Explorist HR
LG Watch W7
Marc Jacobs Riley Touchscreen
Michael Kors Access Runway
TicWatch Pro
Tory Burch ToryTrack Gigi Touchscreen
Montblanc Summit 2
SKAGEN Falster 2
TAG Heuer Connected Modular Golf Edition
Misfit Vapor 2
Louis Vuitton Tambour Horizon
Kate Spade Scallop Smartwatch 2
Fossil Sport Smatwatch
Diesel Full Guard 2.5

เอาเข้าจริงถ้าไม่ใช่งานแบบนี้ก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นการรวมตัวของเหล่า Android Wear ในปัจจุบันซักเท่าไร และถึงแม้ว่าทั้งหมดนี้จะเป็น Android Wear เหมือนกันทั้งหมด แต่ก็ยังมีความแตกต่างกันในเรื่องของวัสดุ หน้าตา สเปค และแบรนด์นั่นเอง

ชอบอันไหน รุ่นไหนก็ดูกันไว้ได้เลย ส่วนจะมีเงินซื้อมั้ยก็อีกเรื่องนึง 😂

from:https://droidsans.com/android-wear-at-google-io-2019/

แอบส่องสมาร์ทวอช Wear OS ที่มาโชว์ในงาน Google I/O 2019

นับตั้งแต่ตอนที่ Android Wear เปิดตัวไปเมื่อหลายปีก่อนจนกลายร่างเป็น Wear OS ไปแล้ว ถึงแม้ว่าในงาน Google I/O 2019 จะไม่ได้มีอะไรหวือหวามากนัก แต่ก็แอบสงสัยเหมือนกันนะว่า ตอนนี้เจ้า Wear OS เป็นยังไงบ้าง ทุกวันนี้มีเจ้าไหนบ้างที่ยังผลิตอยู่ เพราะส่วนใหญ่ผู้เขียนจะรู้จักที่ผลิตโดยแบรนด์มือถือเป็นหลัก จึงถือโอกาสรวบรวมภาพของนาฬิกา Wear OS ทั้งหมดที่ถูกวางโชว์ไว้ในงาน Google I/O 2019 มาให้ได้ดูกันครับ


Casio PRO TREK Smart WSD-F30

Fossil Q Explorist HR

LG Watch W7

Marc Jacobs Riley Touchscreen


Michael Kors Access Runway


TicWatch Pro


Tory Burch ToryTrack Gigi Touchscreen


Montblanc Summit 2


SKAGEN Falster 2


TAG Heuer Connected Modular Golf Edition


Misfit Vapor 2


Louis Vuitton Tambour Horizon


Kate Spade Scallop Smartwatch 2


Fossil Sport Smatwatch

Diesel Full Guard 2.5


เอาเข้าจริงถ้าไม่ใช่งานแบบนี้ก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นการรวมตัวของเหล่า Wear OS ในปัจจุบันซักเท่าไร และถึงแม้ว่าทั้งหมดนี้จะเป็น Wear OS เหมือนกันทั้งหมด แต่ก็ยังมีความแตกต่างกันในเรื่องของวัสดุ หน้าตา สเปค และแบรนด์นั่นเอง

ชอบอันไหน รุ่นไหนก็ดูกันไว้ได้เลย ส่วนจะมีเงินซื้อมั้ยก็อีกเรื่องนึง 😂

from:https://droidsans.com/wear-os-at-google-io-2019/

ประกาศผล Google Play Awards 2019 แอปและเกม Android ยอดเยี่ยมประจำปี

เป็นธรรมเนียมของ Google ไปแล้วที่ประกาศผลรางวัลแอปและเกมประจำปีให้กับนักพัฒนา ซึ่งเมื่อเดือนที่แล้ว ได้มีการประกาศผู้ท้าชิงในแต่ละหมวดหมู่ แบ่งเป็น 9 สาขาด้วยกัน จำนวน 45 แอป โดยผู้ชนะในแต่ละสาขาจะได้ถ้วยรางวัล Play สีเงินไปเป็นเจ้าของ สำหรับใครจะเป็นผู้ชนะในแต่ละหมวดหมู่ มาดูกันเลย~

Standout Well-Being App (แอปที่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น)

แอปประเภทที่ช่วยให้ผู้คนใช้ชีวิตได้สะดวกและดีขึ้นอย่างมีคุณภาพ มีการออกแบบที่ดี และมีกลยุทธในการดึงคนให้มีส่วนร่วม และผู้ชนะได้แก่..

Woebot: Your Self-Care Expert (Free, Google Play) →

BEST ACCESSIBILITY EXPERIENCE (แอปและเกมเพื่อผู้บกพร่องทางร่างกาย)

แอปและเกมกลุ่มนี้จะเป็นแอปที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่บกพร่องทางด้านร่างกายหรือมีความต้องการพิเศษเฉพาะด้าน และผู้ชนะในสาขานี้ก็คือ..

Envision AI (Free+, Google Play) →

BEST SOCIAL IMPACT (แอปและเกมที่มีผลกับสังคม)

แอปและเกมที่มีผลและประโยชน์กับสังคมในเชิงบวก ทั้งด้านการศึกษา, สุขภาพ, การจัดการเมื่อเกิดภาวะวิกฤตต่างๆ, สำหรับผู้ลี้ภัย และการให้ความรู้ แอปและเกมที่ได้รับรางวัลไปครองก็คือ..

Wisdo (Free, Google Play) →

MOST BEAUTIFUL GAME (เกมกราฟิกสวย)

เกมที่ได้รับออกแบบมาให้มีเอกลักษณ์และความงามทางด้านศิลปะ ผ่านการคิดสร้างสรรค์มาอย่างดี และมีการใช้กราฟิกขั้นสูง (API features) ในส่วนของผู้ชนะในสาขานี้ก็คือ..

SHADOWGUN LEGENDS (Free, Google Play) →

BEST LIVING ROOM EXPERIENCE (แอปที่ช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์)

แอปช่วยให้ผู้คนได้มีส่วนร่วมในการใช้งานด้วยกัน เปรียบเสมือนเป็นห้องนั่งเล่นให้มาแชร์กันนั่นเอง แอปที่คว้ารางวัลไปนอนกอดก็คือ..

Neverthink: Handpicked videos (Free, Google Play) →

MOST INVENTIVE (แอปและเกมที่มีนวัตกรรมใหม่)

สำหรับแอปและเกมจะเป็นกลุ่มเลือกจากการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่แบบล้ำๆ มีความเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร หรือประยุกต์ร่วมกับนวัตกรรมมือถือใหม่ๆ เพื่อผู้ใช้งาน ผู้ชนะในสาขานี้ได้แก่..

Tick Tock: A Tale for Two (฿125.00, Google Play) →

STANDOUT BUILD FOR BILLIONS EXPERIENCE (แอปหรือเกมที่ช่วยส่งเสริมการตลาดในแต่ละประเทศ /ภูมิภาค)

แอปและเกมที่มีประสิทธิภาพ ช่วยส่งเสริมการเกิดใหม่ในตลาดของแต่ละประเทศ/ภูมิภาค สำหรับผู้ชนะในสาขานี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก..

Canva: ออกแบบกราฟิกฟรี Photo Editor ออกแบบโลโก้ (Free, Google Play) →

BEST BREAKTHROUGH APP (แอปหน้าใหม่ไฟแรง)

แอปหน้าใหม่ที่มีการออกแบบ ประสบการณ์การใช้งานยอดเยี่ยม คนให้ความสนใจ และมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ในส่วนของผู้ที่รับรางวัลไปครองก็คือ..

SLOWLY – Connect to the World! (Free, Google Play) →

BEST BREAKTHROUGH GAME (เกมน้องใหม่ไฟแรง)

ปิดท้ายกันด้วยเกมหน้าใหม่ไปแรง กราฟิกสวย ประสบการณ์การเล่นดี และคนให้ความสนใจมาก และผู้ชนะในสาขาเกมน้องใหม่ไฟแรงก็คือ..

MARVEL Strike Force (Free, Google Play) →

ที่มา: 9to5google

from:https://droidsans.com/google-play-award-winners-2019/

ไม่หลงแล้ว!! Google เพิ่มระบบนำทางด้วย AR ลงใน Google Maps สำหรับสมาร์ทโฟน Pixel ทุกรุ่น

Google เปิดตัวระบบนำทางด้วย AR (Augmented Reality) สำหรับการนำทางด้วยการเดินเท้าในแอพพลิเคชั่น Google Maps โดยรองรับเฉพาะสมาร์ทโฟน Pixel ของ Google ทุกร่น รวมถึงรุ่นใหม่ล่าสุด Pixel 3A และ Pixel 3A XL ที่เปิดตัวพร้อมกันในงาน Google I/O 2019

Google เริ่มทดสอบระบบนำทางด้วย AR อย่างเปิดเผย ตั้งแต่ปีที่แล้ว ช่วยให้การนำทางไปยังจุดหมายมีความแม่นยำมากขึ้น แต่ใช้ได้สำหรับการเดินเท้าเท่านั้น

เมื่อเปิดใช้ระบบ AR จะแสดงแผนที่พร้อมกับสภาพแวดล้อมในโลกจริงที่มองเห็นผ่านกล้อง และจะแสดงลูกศรนำทางที่ชัดเจน เพื่อนำทางไปสู่จุดหมาย

ที่มา – The Verge
https://www.flashfly.net/wp/250518

from:https://www.flashfly.net/wp/250518

Android Q Beta 3 พร้อมอัพเดทแล้ว มีคุณสมบัติอะไรที่น่าสนใจบ้าง? เรารวบรวมไว้ที่นี่แล้ว

Google ปล่อยระบบปฏิบัติการ Android 10 Q เวอร์ชั่น Beta 3 ออกมาให้อัพเดทแล้ว ก่อนที่เวอร์ชั่นสมบูรณ์จะพร้อมใช้งานในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ โดยมาพร้อมคุณสมบัติใหม่ๆ ที่น่าสนใจมากมาย และเราได้รวบรวมมาให้แล้ว ส่วนจะมีฟีเจอร์อะไรที่น่าสนใจบ้าง เลื่อนลงมาอ่านกันได้เลย

Dark Theme

หนึ่งในฟีเจอร์ที่ผู้ใช้งานต้องการมากที่สุด ไม่ใช่เพียงเจ้าของอุปกรณ์ Android แต่ยังรวมถึงผู้ใช้งาน macOS, Windows 10 และ iOS ซึ่ง iOS มีข่าวลือว่าจะรองรับในช่วงปลายปีนี้ แต่ตอนนี้มาถึงแล้วบนอุปกรณ์ Android

Dark Theme ใน Android Q สามารถเปิดหรือปิดการใช้งานได้อย่างสะดวก เพราะอยู่ในส่วนของ Quick Settings เมื่อดึงเมนู Quick Settings ลงมา ก็สามารถเปิดหรือปิดการใช้งานได้ทันที ที่ไอคอน Dark Theme เมื่อเปิดใช้งาน User Interface จะเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีดำ ซึ่งเป็นสีดำจริงๆ ไม่ใช่สีเทาเข้ม ดังนั้น ในทางเทคนิค Dark Theme จะช่วยให้อุปกรณ์ Android ประหยัดแบตเตอรี่มากขึ้น

Dark Theme ครอบคลุมการใช้งานบนแอพพลิเคชั่นพื้นฐานของ Android ส่วนแอพพลิเคชั่นจาดบุคคลที่สาม Google ได้สร้าง API ให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ได้นำไปใช้กับแอพพลิเคชั่นของตัวเอง เพื่อรับรู้ว่าอุปกรณ์กำลังเปิดใช้งาน Dark Theme

การนำทางและปุ่มย้อนกลับ

Android Q มาพร้อมระบบนำทางใหม่ (หมายถึงวิธีควบคุมการเลื่อนหน้าจอหรือเข้าถึงเมนูต่างๆ ไม่ใช่ระบบนำทางในแผนที่) ด้วยการใช้ท่าทาง หรือ Gesture โดยมีตัวบ่งชี้เป็นเส้นสีขาวบางๆ ที่ด้านล่างของหน้าจอ (คล้ายกับ iPhone รุ่นใหม่ๆ)

เมื่อปัดตัวบ่งชี้ขึ้นไปจะเป็นการกลับสู่หน้าจอโฮม, ปัดนิ้วไปทางซ้ายหรือขวา เพื่อสลับแอพที่เปิดค้างไว้ได้อย่างรวดเร็ว หรือ ลากขึ้นไปตรงกึ่งกลางก็จะพบกับมุมมอง Multitasking และสามารถเข้าถึง App Drawer เพียงปัดนิ้วขึ้นด้านบน จากหน้าจอโฮม

สำหรับการย้อนกลับ สามารถแตะที่ขอบด้านข้างของจอแสดงผลทั้งด้านซ้ายหรือขวา แล้วปัดเข้ามา ซึ่งจะมีสัญญาณ < ปรากฏขึ้นมาด้วย

การอัพเดทซอฟต์แวร์ความปลอดภัย

Google พยายามปล่อยแพตช์รักษาความปลอดภัยออกมาให้ทุกๆ เดือน แต่ไม่ใช่สมาร์ทโฟนทุกรุ่นจะได้รับการอัพเดท เนื่องจากขึ้นอยู่กับผู้ผลิตสมาร์ทโฟนในแต่ละแบรนด์จะทำการอัพเดทให้ และปล่อยออกมาให้กับสมาร์ทโฟนเพียงบางรุ่น

เพื่อลดความซับซ้อน Google จึงสร้างวิธีการใหม่ และเรียกว่า Project Mainline ด้วยการตัดตัวกลางอย่างผู้ผลิตสมาร์ทโฟนออกไป และให้เจ้าของอุปกรณ์อัพเดทแพตช์รักษาความปลอดภัยแบบรายเดือนได้โดยตรงจาก Google ผ่านโครงสร้าง Play Store คล้ายกับการอัพเดทแอพ Chrome บนอุปกรณ์ Android

สำหรับอุปกรณ์ Android ที่ไม่รองรับ Play Store อย่างเช่นสมาร์ทโฟนในประเทศจีน Google จะทำงานร่วมกับบริษัทเหล่านั้น เพื่อหาวิธีกระจายซอฟต์แวร์ออกไปให้เร็วที่สุด

การอนุญาตและความเป็นส่วนตัว

Google มีการปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน Android อย่างสม่ำเสมอ และล่าสุด Google พยายามแก้ไขการเข้าถึงตำแหน่งในอุปกรณ์ Android โดยให้ตัวเลือกจำกัดการเข้าถึงตำแหน่งของแอพต่างๆ เมื่อจอแสดงผลเปิดอยู่เท่านั้น และผู้ใช้งานจะได้รับการแจ้งเตือนหากมีแอพใดเข้าถึงตำแหน่ง

นอกจากนี้ Google จะเพิ่มเมนู Privacy ไว้ที่ส่วนบนของการตั้งค่า ซึ่งเป็นแผงควบคุมการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว และยังมีศูนย์ควบคุมการให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลจากแอพพลิเคชั่นต่างๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานตรวจสอบการใช้สิทธิ์ของแอพพลิเคชั่นทั้งหมดได้ง่ายขึ้น รวมถึงการจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงได้จากส่วนนี้

Live Caption

ฟีเจอร์ Live Caption มีส่วนคล้ายกับ Subtitle โดยจะขึ้นข้อความตามเสียงพูดแบบเรียลไทม์ ไม่ว่าเสียงนั้นจะมาจากแอพพลิเคชั่นใด จะมาเฉพาะเสียง หรือเป็นเสียงจากวีดีโอ โดยใช้ระบบ Machine Learning ไม่ต้องผ่าน Cloud นั่นหมายถึง ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต

Live Caption ถูกเก็บไว้ในการตั้งค่า Accessibility ของอุปกรณ์ Android เมื่อเปิดใช้งาน จะแสดงกล่องข้อความสีดำ เพื่อให้ผู้ใช้งานอ่านข้อความแทนการฟัง ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดสด, วีดีโอจาก YouTube รวมถึงวีดีโอที่อยู่ใน Camera Roll

ฟีเจอร์ Live Caption มีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการได้ยิน หรือผู้ใช้งานที่ต้องการชมวีดีโอ แต่ไม่ต้องการเปิดเสียงรบกวนผู้อื่น

Parental Controls และ Focus Mode

ปีที่แล้ว Google แนะนำแผงควบคุม ที่ช่วยให้ผู้ใช้งาน Android สามารถตรวจสอบว่าระยะเวลาที่ใช้งานแอพต่างๆ รวมทั้งจำกัดเวลาแอพเหล่านั้น อีกทั้งยังมีโหมด Wind Down เปลี่ยนหน้าจอให้เป็นสีเทา เพื่อเตือนว่าได้เวลาเข้านอน หรือถึงเวลาที่ต้องพักสายตาจากอุปกรณ์

ในปีนี้ Google ได้ขยายฟีเจอร์ที่เรียกว่า Digital Wellbeing ออกแบบมาให้ผู้ปกครองสามารถควบคุมการใช้งานอุปกรณ์ของเด็กๆ ผ่านแอพ Family Link โดยเฉพาะฟีเจอร์ 5 more minutes ที่ช่วยให้ผู้ปกครองยืดระยะเวลาการใช้งานอุปกรณ์ออกไป สำหรับเด็กดื้อรั้นหรือไม่เชื่อฟัง

นอกจากนี้ยังมี Focus Mode ช่วยให้ผู้ใช้งานเลือกรายชื่อแอพที่พบว่าทำให้เสียสมาธิหรือมีการล่อลวง เมื่อเปิดใช้งานใน Focus Mode แอพเหล่านั้นจะกลายเป็นสีเทา และการแจ้งเตือนจากแอพเหล่านั้นจะถูกซ่อน

การแจ้งเตือน

Android Q ได้เปลี่ยนวิธีการแจ้งเตือนใหม่ ในเวอร์ชั่น Beta พบว่าผู้ใช้งานไม่สามารถยกเลิกการแจ้งเตือนด้วยการปัดไปทางซ้ายหรือขวาได้อีกแล้ว แต่จะสามารถปัดเพื่อลบการแจ้งเตือนได้ในทิศทางเดียว ส่วนอีกทิศทางจะเป็นการใช้ตัวเลือกอื่น อย่าง Snoozing หรือ เปลี่ยนการตั้งค่า

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการแจ้งเตือน คือ ระบบตอบกลับอัจฉริยะ โดยอ้างอิงตามบริบทของข้อความที่ผู้ใช้งานได้รับ ตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนส่งข้อความมาเป็นที่อยู่ ผู้ใช้งานสามารถกดตอกลับด้วยข้อความ Be right there ได้ทันที หรือมีอีกปุ่มที่ช่วยให้เข้าถึง Google Maps

นอกจากนี้ Google ยังมีแผนนำฟีเจอร์ใหม่ๆ มาใช้ในอนาคต อย่างเช่น Notification Assistant ช่วยจัดเรียงลำดับความสำคัญของการแจ้งเตือน และมีระบบตอบกลับอัตโนมัติ อีกทั้งยังมีการแจ้งเตือนแบบ Bubbles คล้ายกับ Chat Heads ของ Facebook Messenger

ที่มา – The Verge
https://www.flashfly.net/wp/250480

from:https://www.flashfly.net/wp/250480

8 ประเด็นใหญ่ ที่ได้รับการประกาศในงาน Google I/O 2019

งานประชุมนักพัฒนาประจำปี 2019 ของ Google มีการเปิดตัวทั้งฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ และซอฟต์แวร์ใหม่ ทั้ง Smartphone, Smart Display, Google Assistant และ Android Q ส่วนจะมีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง? The Verge ได้สรุป keynote จากงาน Google I/O 2019 มาให้อ่านแล้ว (เฉพาะไฮไลท์ที่สำคัญ)

Pixel 3A และ 3A XL พร้อมวางจำหน่ายแแล้ว

Google เปิดตัวสมาร์ทโฟน Pixel 3A และ Pixel 3A XL อย่างทางการที่งาน Google I/O 2019 และประกาศวางจำหน่ายทันทีใน 13 ประเทศ โดยมีจุดเด่นที่ระบบกล้อง ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากเรือธง Pixel 3 รองรับโหมดถ่ายภาพ Night Sight, Super Res Zoom และ Portrait ทั้งกล้องหลัง และกล้องหน้า

Nest Hub Max Smart Display

Smart Display รุ่นใหม่ Nest Hub Max อยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Google Home โดยเป็นการผสานคุณสมบัติของ Nest camera, Google Home Hub และ Google Home Max เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้ได้ Smart Display ที่ใช้เป็นกล้องวงจรปิดได้ แน่นอนว่ามีกล้องดิจิตอลในตัว และยังสามารถจดจำใบหน้าได้

Nest Hub Max จะวางจำหน่ายในช่วงซัมเมอร์ ราคา 229 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 7,300 บาท

Android Q Beta 3

Google ปล่อยระบบปฏิบัติการ Android Q เวอร์ชั่น Beta หรือทดสอบ ออกมาเป็นครั้งที่ 3 มาพร้อมฟีเจอร์ เปิด/ปิด Dark Theme ที่ใช้ได้กับแอพพลิเคชั่นมาตรฐานของ Android สามารถเลือกสีของแอพได้ด้วยตัวเอง หรือเปิดใช้โหมดประหยัดแบตเตอรี่

ฟีเจอร์ Digital Wellbeing ได้รับ Focus Mode ช่วยให้ผู้ใช้งานหลีกเลี่ยงแอพที่ไม่ต้องการใช้งานได้ในช่วงเวลาหนึ่ง ด้วยการปิดใช้งานแอพเหล่านั้น นอกจากนี้ ผู้ปกครอง จะสามารถเชื่อมโยงกับบัญชีของเด็กๆ และจะช่วยให้ผู้ปกครองควบคุมหรือจำกัดการใช้งานแอพของเด็กๆ ได้ และดูได้ว่าเด็กใช้เวลาอยู่กับแอพไหนนานที่สุด

Android Q ยังมีฟีเจอร์ Smart Reply หรือระบบตอบกลับอัจฉริยะ ซึ่งจะสามารถใช้ได้กับแอพข้อความของบุคคลที่สาม Smart Reply ยังสามารถแนะนำผู้ใช้งานได้ เช่นการเปิด Google Maps เมื่อเห็นข้อความเกี่ยวกับการเดินทางหรือที่อยู่

เพิ่ม Subtitle ให้กับวีดีโอทั้งหมด

Google มีแผนเพิ่ม Subtitle หรือ Live Caption ไปยังวีดีโอทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการดูวีดีโอที่บันทึกได้จากกล้อง การดูวีดีโอผ่านแอพหรือเว็บ หรือแม้แต่วีดีโอแชทก็สามารถแสดงคำบรรยายด้านล่างได้ นั่นหมายถึงเราจะแชทกับเพื่อนชาวต่างชาติได้ง่ายขึ้น แต่ความจริงแล้ว Google โฟกัสไปที่ผู้ใช้งานที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน หรือบางคนอาจต้องการดูวีดีโอในที่สาธารณะและต้องการปิดหรือลดเสียง

Project Mainline มีเป้าหมายให้ผู้ใช้ Android อัพเดทซอฟต์แวร์ได้เร็วขึ้น

Project Mainline เป็นโครงการที่ Google พยายามลดความซับซ้อนในการอัพเดทซอฟต์แวร์ โดยนำโมดูลที่ช่วยแก้ปัญหาข้อบกพร่องบางอย่าง เพื่อป้องกันการเกิด Bug หรือข้อผิดพลาด และจะเริ่มนำมาใช้กับ Android Q ส่งผลให้ ผู้ใช้งานสามารถอัพเดทซอฟต์แวร์จาก Google ได้โดยตรงผ่านทาง Play Store แทนที่จะต้องทำผ่านผู้ผลิตสมาร์ทโฟน

Google Maps จะได้รับโหมด Incognito

ในเร็วๆ นี้ Google Maps จะได้รับโหมด Incognito หรือโหมดไม่เปิดเผยตัวตน และจะพร้อมใช้งานได้ทั้งแอพพลิเคชั่นและบนเว็บไซต์ได้ในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โหมด Incognito จะช่วยลบข้อมูลตำแหน่ง กิจกรรมในแอพ และการใช้เว็บไซต์ ในช่วงเวลา 3 – 18 เดือน

อัพเดท Google Lens

Google Lens จะสามารถค้นหารายการอาหารบนเมนูได้แม่นยำมากขึ้น เพื่อแสดงให้ผู้ใช้งานเห็นข้อมูลทางโภชนาการก่อนจะสั่งมารับประทาน Google Lens ยังสามารถเล็งไปที่บิล เพื่อเรียกเครื่องคิดเลข สำหรับบวกค่าทิปเพิ่มเข้าไป หรือช่วยแปลงภาษาในบิล นอกจากนี้ Google ยังจับมือกับนิตยสารที่เป็นพาร์ทเนอร์ เพื่อนำภาพมาสู่ชีวิตจริงได้ เช่นสูตรการทำอาหารในนิตยสาร Bon Appétit

Google Duplex จะพร้อมใช้งานบนเว็บ

ในปีที่แล้ว Google Duplex ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เมื่อถึงนำไปใช้งานกับ Google Assistant ช่วยให้ผู้ใช้ AI สนทนาโต้ตอบกับมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ และในปีนี้ Google Duplex จะถูกนำไปใช้ประโยชน์บนเว็บ อย่างเช่น Duplex สามารถดึงข้อมูลของผู้ใช้งาน แล้วนำทางไปยังเว็บไซต์ เพื่อจองสิ่งที่ผู้ใช้งานกำลังต้องการ เช่น รถเช่า หรือ ตั๋วหนัง Duplex ยังช่วยกรอกแบบฟอร์มการจองให้อัตโนมัติ ก่อนที่ผู้ใช้งานจะอนุมัติและดำเนินการต่อไป

นอกจากนี้ Google Assistant จะมีความฉลาดและเป็นธรรมชาติมากขึ้น สามารถช่วยตอบกลับข้อความ, เขียนอีเมล, แทรกภาพลงในข้อความ หรือ นำทางไปยังตำแหน่งแบบส่วนตัว (เช่น บ้านของแม่) ซึ่งทั้งหมด ผู้ใช้งานทำแค่เพียงออกเสียง และในอนาคต Google Assistant จะรองรับการใช้งานในโหมดขับขี่ด้วย

แหล่งข่าวยังคาดว่าฟีเจอร์ด้านเสียงทั้งหมด อาจถูกนำมาใช้กับสมาร์ทโฟน Pixel รุ่นถัดไป ที่จะออกมาในปลายปีนี้

ที่มา – The Verge
https://www.flashfly.net/wp/250445

from:https://www.flashfly.net/wp/250445