คลังเก็บป้ายกำกับ: DRIVEBOT

Internet of Things กับการมุ่งสู่ยุคดิจิทัลของประเทศไทย

cisco_logo_2

Cisco ผู้ให้บริการระบบเครือข่ายและระบบคลาวด์ครบวงจร ได้จัดงานเสวนากลุ่มย่อยในหัวข้อ “Internet of Everyting เปลี่ยนประเทศไทย ความท้าทาย และความพร้อมในการปรับใช้ IoE เพื่อก้าวสู่ Digital Thailand” ซึ่งบทความนี้จะเป็นการสรุปผลกระทบของ IoE ที่มีต่อการพัฒนาประเทศและภาคธุรกิจ รวมไปถึงความท้าทายและความพร้อมของประเทศไทยในการเข้าสู่ยุคดิจิทัล

ตลาด IoE จะมีมูลค่าสูงถึง 19 ล้านล้านบาท

Gartner บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชื่อดังของสหรัฐฯ คาดการณ์ว่า ในปี 2016 ที่จะถึงนี้ จะมีปริมาณอุปกรณ์ IoT สูงขึ้นกว่าปี 2015 ถึง 30% หรือคิดเป็นจำนวน 6.4 พันล้านชิ้น และจะเพิ่มขึ้นอีก 3 – 4 เท่าภายในปี 2020 ในขณะที่ตลาดผู้ใช้งานทั่วไปจะมีการใช้งานอุปกรณ์ IoT สูงถึง 4,000 ล้านชิ้นในปี 2016 ซึ่งคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 19 ล้านล้านบาท ด้วยมูลค่าระดับนี้ หลายประเทศทั่วโลกจึงจัดให้ IoE เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อที่จะได้ก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง เรียกได้ว่า IoE จะเป็นการพลิกโฉมภาคเศรษฐกิจ สังคม และการดำรงชีวิตของผู้คนให้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

Credit: Anna Bardocz/ShutterStock
Credit: Anna Bardocz/ShutterStock

IoE กับการพัฒนาประเทศ

ศ.ดร.กาญจนา กาญจนสุต ผู้อำนวยการ InterLab และรองประธานด้านการวิจัย สถาบัน AIT ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับ IoE ว่า IoE มีส่วนในการพัฒนาประเทศหลายๆด้านในอนาคต งานวิจัยและความรู้ต่างๆทางด้าน Computer Science ไม่ว่าจะเป็น Data Mining, Embedded System หรือระบบ Cloud สารพัดอย่างจะเข้ามารวมกันเพื่อประยุกต์ใช้ในยุค IoE นี้ ยกตัวอย่างเช่น งานวิจัยทางด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งมีการใช้ Wirelss Sensor เข้าไปเก็บข้อมูลแบคทีเรียในถังส้วม เพื่อตรวจสอบกระบวนการย่อยสลายของมูล จากนั้นก็ส่งข้อมูลกลับมาให้ทีมนักวิจัยผ่านอินเทอร์เน็ต อุปกรณ์ IoE รูปแบบนี้ช่วยให้สามารถเก็บข้อมูลในที่ที่ในอดีตไม่สามารถเก็บข้อมูลได้ รวมทั้งการเก็บข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ช่วยเพิ่มความแม่นยำและถูกต้องของข้อมูลมากยิ่งขึ้น

ภาครัฐบาลเองก็มองเห็นโอกาสของ IoE จึงร่วมกับ สวทช. จัดตั้ง NETPIE ซึ่งเป็น Cloud platform ที่ให้บริการในรูปแบบ Platform-as-a-Service เพื่อจะอำนวยความสะดวกให้กับนักพัฒนาสามารถพัฒนาให้อุปกรณ์ของตัวเองเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ในแบบ Internet of Things ผู้ที่สนใจสามารถเข้าใช้บริการได้ฟรีที่ https://netpie.io/

Credit: ShutterStock.com
Credit: ShutterStock.com

IoE กับการพลิกโฉมธุรกิจ

นายแพทย์ภาณุทัต เตชะเสน ประธานกรรมการ Thailand IoT Consortium และ CEO ของ Maker Asia ได้อธิบายถึงการนำงานวิจัยมาต่อยอดในเชิงธุรกิจ ซึ่งงานวิจัยในปัจจุบันช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายทางด้านการติดต่อสื่อสารและอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ลงได้อย่างมหาศาล ปัจจุบันเราสามารถหาชิพประมวลผลที่มี OS ในตัวและสามารถเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้ในราคาเพียง $1 เหรียญสหรัฐฯเท่านั้น ส่งผลให้เราสามารถฝังชิพลงไปในอุปกรณ์ต่างๆเพื่อให้กลายเป็นอุปกรณ์ IoE ได้อย่างง่ายดาย จึงไม่น่าแปลกใจที่ในอนาคต IoE จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงการดำรงชีวิตประจำวันของพวกเรา

การมาถึงของยุคดิจิทัลก่อให้เกิดผลกระทบต่อภาคธุรกิจหลายประการ ดังที่เราเห็นตัวอย่างในเรื่องของ eBook, การดูหนังฟังเพลงออนไลน์ หรือแม้แต่สังคมของเราเองเมื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัลก็เริ่มเปลี่ยนจากการนั่งพูดคุยกัน ไปเป็นการแชทผ่าน Facebook หรือ Line เป็นต้น ภาคธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัลเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานให้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น

การมาถึงของ IoE เองก็เป็นการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนให้เข้าสู่ยุคดิจิทัล ยกตัวอย่าง จากเดิมที่เราจะไปพบแพทย์เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย IoT Sensor เช่น อุปกรณ์สวมใส่สามารถวัดค่าต่างๆในร่างกายเราได้ เช่น ชีพจร สารเคมีในเลือด สารเคมีในเหงื่อ ปริมาณน้ำ และอื่นๆ ส่งผลให้เราสามารถตรวจสอบและรู้ถึงสุขภาพร่างการของตนเองก่อนเสมอ รวมทั้งสามารถรักษาอาการเบื้องต้นได้โดยไม่ต้องไปพบแพทย์ กลายเป็นแนวคิด Self-service Medicine ซึ่งแพทย์จะเป็นเพียงผู้ให้คำแนะนำเท่านั้น การรักษาโรคต่างๆเปลี่ยนไปเป็นการป้องกันก่อนเกิดอาการ

techtalkthai_wearable_device_02
Credit: ShutterStock

เปิดโอกาสให้นักพัฒนาและ Start-up

ในส่วนของธุรกิจซอฟต์แวร์ IoE ถือว่าเป็นธุรกิจ Open-source โดยแท้จริง จนถึงตอนนี้ยังไม่มีบริษัทใดที่สามารถทำให้ระบบของตนเองกลายเป็นมาตรฐานสำหรับ IoE ได้ ส่งผลให้นักวิจัยหรือผู้ที่สนใจสามารถพัฒนาระบบ IoE ได้อย่างอิสระ เทคโนโลยี IoE จึงเดินหน้าแบบก้าวกระโดด เมื่อรวมกับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่มีราคาถูกลงมากในปัจจุบัน ทำให้มั่นใจได้ว่าเราจะเห็นอุปกรณ์ IoE รูปแบบใหม่ๆที่จะพลิกโฉมธุรกิจและเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตของเราในอนาคตได้อย่างแน่นอน

นอกจากนี้ จากการที่ IoE ถูกพัฒนาในรูปของ Open-source จึงเป็นการเปิดโอกาสให้นักเขียนโปรแกรม และ Start-up เข้ามามีส่วนร่วมในการแข่งขันและพัฒนาโซลูชันสำหรับ IoE ได้ หนึ่งในทีม Start-up ที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทย คือ Drivebot ซึ่งเป็นอุปกรณ์ IoE ที่ช่วยตรวจเช็คสภาพรถยนต์ได้ง่ายเหมือนเช็ค Line จะเห็นว่า IoE ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ทุกคนสามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆที่น่าสนใจและหาแรงบันดาลใจใหม่ๆได้จากสิ่งรอบตัว

ความท้าทายของ IoE

ถึงแม้ว่า IoE จะเป็นเรื่องไม่ไกลตัว และจะส่งผลต่อการดำรงชีวิตของพวกเราในอนาคตอย่างแน่นอน ธุรกิจเกี่ยวกับ IoE ยังต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายและปัญหาหลายประการ เช่น

  • การปรับตัว เนื่องจาก IoE อาจมีการปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้ ในบางกรณีผู้ใช้อาจเกิดความรำคาญ จำเป็นต้องใช้เวลาในการยอมรับและปรับตัวให้คุ้นชินกับอุปกรณ์ต่างๆ
  • IoE Sensor ถูกใช้เพื่อเก็บข้อมูล อาจส่งผลกระทบต่อเรื่อง Privacy ได้
  • โครงสร้างของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในไทยจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุง เนื่องจากโครงข่ายในปัจจุบันจะเป็นอุปสรรคในการเติบโตของ Big Data ในอนาคตอย่างแน่นอน
  • วิศวกรไทยมีความสามารถ แต่ยังขาดความเชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจ บางครั้งนักวิจัยชาวไทยมีแนวคิดหรือไอเดียที่ดี แต่ไม่สามารถสร้างออกมาเป็นสินค้าหรือค้าขายในเชิงพาณิชย์ได้
  • นักลงทุนในประเทศทไยยังไม่ตื่นตัวในเรื่องของ IoE Start-up

รัฐบาลต้องให้การสนับสนุน

NETPIE นับว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่รัฐบาลเข้ามาให้การสนับสนุนเทคโนโลยี IoE ตั้งแต่เริ่มต้น จึงเป็นการดีที่รัฐบาลจะให้การสนับสนุนทางด้านอื่นๆต่อไปด้วย นายแพทย์ภาณุทัตแนะนำว่า รัฐบาลควรเน้นผลักดันในเรื่องของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ทำ Sensor ถึงแม้ว่าราคา Sensor ที่นำเข้ามาจะมีราคาถูกลง แต่เนื่องจาก Sensor เป็นหัวใจหลักของอุปกรณ์ IoE ซึ่งจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในอนาคต ถ้าประเทศไทยสามารถผลิต Sensor ใช้เองก็ช่วยลดต้นทุนการผลิตและช่วยเพิ่มกำไรและเงินหมุนเวียนให้แก่ประเทศ นอกจากนี้ควรมีการตั้ง Community เพื่อพัฒนาและสนับสนุนวงการ IoE ไทยให้เติบโต สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้

ในขณะที่ทาง ศ.ดร.กาญจนา ให้ความเห็นว่า Start-up และนักพัฒนาก็ไม่ควรหวังรอพึ่งรัฐบาลแต่เพียงอย่างเดียว ควรคิดค้นหาไอเดียใหม่ๆและนำเสนอต่อนักลงทุนด้วยตนเอง ในปัจจุบันนี้ ต่างประเทศมี Blog หรือเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับ IoE มากมายให้เข้าไปศึกษาค้นคว้า และหาแรงบันดาลใจในการพัฒนาสิ่งใหม่ แนวคิดเล็กๆที่เราได้มาอาจส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวไทยและคนทั้งโลกก็เป็นได้

cisco_ioe_digital_thailand_2

from:https://www.techtalkthai.com/internet-of-things-for-thailand-digitization/

iChef ชนะการแข่งขัน Global Brain Alliance Forum 2014 ประเทศญี่ปุ่น

iChef

Global Brain Alliance Forum หนึ่งในงาน  Startup Pitching Event ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีโดยบริษัท Global Brain หนึ่งใน Venture Capital จากประเทศญี่ปุ่น

ซึ่งในงานได้มีทีมเข้าร่วมแข่งขันจากประเทศต่างๆ มากมายกว่า 10 บริษัท และหนึ่งในนั้นมี Startup จากประเทศไทยอย่าง Drivebot ซึ่งประสบความสำเร็จจากการระดมทุนผ่าน Indiegogo ไปเมื่อไม่นานนี้

โดยผู้ชนะเลิศรางวัลสูงสุดของงานนี้คือ iChef ระบบการจัดการสำหรับร้านอาหารสมบูรณ์แบบ ที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้กับร้านในช่วงที่มีลูกค้าเป็นจำนวนมาก จะจัดการอย่างไรให้สามารถรองรับและเสริฟอาหารได้เร็วขึ้น ปัจจุบัน iChef มีลูกค้ากว่า 400 ร้านในประเทศไต้หวันและฮ่องกง และยังจับมือกับ FoodPanda เรื่องการ Delivery อาหาร และ CTBC Bank ในไต้หวันเพื่อนำเสนอโซลูชั่นการชำระเงินผ่านเครดิตการ์ดด้วยค่าคอมมิชชั่น 2% ซึ่งถูกกว่า Square ก้าวต่อไปคือการค้นหา Strategic Partners เพื่อขยายธุรกิจใน ญี่ปุ่น เกาหลี และประเทศไทย

นอกจากนี้ยังมีรางวัล Global Brain Award สำหรับ Podo Labs ที่พัฒนากล้องรูปแบบใหม่ที่สามารถติดตามวัตถุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระจก ไม้ คอนกรีต หรือแม้แต่ผิวหนังคน และใช้สมาร์ทโฟนในการควบคุม จะถ่ายวีดีโอ หรือถ่ายรูปแบบไม่ต้องง้อไม้ Selfie แถมได้มุมกล้องแบบที่ต้องการได้หมด 360 องศากันเลยทีเดียว Podo Labs เตรียมเปิดตัวใน Kickstarter โดยคิดราคาชิ้นละ 89.99 เหรียญสหรัฐฯ ปัจจุบัน Podo Labs ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากนักลงทุน PCH International ด้วยมูลค่า 1 ล้านเหรียฐสหรัฐฯ

นอกจากนี้ยังมีรางวัลยอดนิยมอย่าง VMFive กับ product AdPlay ที่สามารถทดลองเล่มเกมก่อนตัดสินใจซื้อแอปฯ​ จริง โดยไม่ต้องดาวน์โหลดลงเกมนั้นๆ ปัจจุบัน VMFive จับมือกับ Adways และ D2C ในการผลักดันโซลูชั่นดังกล่าวเข้าสู่ตลาด โดย VMFive จับตลาดเกมขนาดใหญ่อย่าง ญี่ปุ่น จีน เกาหลี โดยเฉพาะ เรียกว่าเป็นโซลูชั่นที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว

นอกจากนี้ภายใต้ธีม IOT ก็มี Startup สายฮาร์ดแวร์มาร่วมออกบูธมากมาย อย่างมือเทียมที่สามารถเคลื่อนไหวจริงได้ตามมือของเรา, ส่วน Startup ไทยก็มีทั้ง Stamp และ Drivebot  ไปร่วมออกบูธด้วยเช่นกัน

Photo Credit: The Bridge

from:http://thumbsup.in.th/2014/12/ichef-win-global-brain-alliance-forum-2014/

Drivebot success to raise the fund via indiegogo in 6 days!

Screen Shot 2014-10-26 at 10.12.52 AM

After the project “drivebot: a fitbit for your car” started to raise funding via indiegogo, crowdfunding website. Now the goal has beed reached already within 6 days!

thumbsup team reached to talk with the representation of drivebot’s team member Atthaphong Limsupanark for the quick interview…

Since we started the product development, many people told us “who would need this thing?”, “it’s not gonna work”, “Investors aren’t interested in hardware startup” and “I’ve not seen any Thai Startup on Indiegogo which is smaller than Kickstarter before; Is it gonna work?”.

After being criticised many times, we started losing confidence in our product and asked if we should kill it. We decided to ask for answer from the market by testing it on Indiegogo. If the market didn’t need us, we’d kill the product. It turned out that we’ve reached the goal and there are many people want our product. I feel very happy and relieved at the same time.

thumbsup team would like to say congratulation for the big jump of success for Thai startup. You can still to grab the early price of drivebot via indiegogo

from:http://thumbsup.in.th/2014/10/drivebot-success-to-raise-the-fund-via-indiegogo-in-6-days/

Drivebot ระดมทุนบน indiegogo สำเร็จผ่านเป้าหมายภายใน 6 วัน!

Screen Shot 2014-10-26 at 10.12.52 AM

หลังจากที่เรานำเสนอโครงการ drivebot fitbit สำหรับรถยนต์ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้รับการอัปเดทล่าสุดว่าโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนเกินเป้าไปแล้วเรียบร้อย โดยใช้เวลาเพียง 6 วันเท่านั้น

อ่านเพิ่มเติม Drivebot ระดมทุนบน indiegogo สำเร็จผ่านเป้าหมายภายใน 6 วัน!

Drivebot อุปกรณ์ช่วยดูแลรถยนต์ผ่านสมาร์ทโฟน เปิดโครงการระดมทุนกับ Indiegogo แล้ว

Drivebot บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ช่วยสอดส่องดูแลรถยนต์ผ่านสมาร์ทโฟนที่เพิ่งจบจากโครงการ dtac Accelerate ปีที่สองมาหมาดๆ จัดการเปิดโครงการระดมเงินทุนผ่านเว็บไซต์ Indiegogo เป็นที่เรียบร้อย

Drivebot วางตัวเป็นตัวช่วยสำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ โดยอธิบายตัวเองว่าเป็น Fitbit สำหรับรถยนต์ที่จะคอยดูแล และแสดงผลสถานะปัจจุบันของตัวรถอยู่ตลอดเวลาด้วยการเสียบ dongle ของ Drivebot เข้าที่พอร์ต OBD-II (On-Board Diagnostic) ของตัวรถ และเชื่อมต่อกับเข้ากับสมาร์ทโฟน เท่านี้ก็จะสามารถใช้งาน Drivebot ได้แล้ว

ฟีเจอร์หลักๆ ของ Drivebot คือการแสดงสถานะของตัวรถยนต์ในชิ้นส่วนสำคัญต่างๆ ตั้งแต่เครื่องยนต์ ระบบเบรก แบตเตอรี่ ระบบควบคุมการขับขี่ หรือแม้แต่ดูว่าน้ำมันในถังตอนนี้จะขับได้อีกกี่กิโลเมตร ซึ่งในแต่ละส่วนที่ว่ามาจะสามารถดูข้อมูลแบบละเอียดแยกไปได้ด้วย ซึ่งถ้าเกิดปัญหาขึ้นกับตัวรถ Drivebot จะแจ้งไปยังสมาร์ทโฟนทันที

dongle ของ Drivebot

นอกจากการดูแลความปลอดภัยแล้ว Drivebot ยังมาพร้อมกับหน่วยความจำในตัวสำหรับเก็บข้อมูลการเดินทาง (ฟีเจอร์นี้คือ Trip Log) ที่บอกข้อมูลการใช้น้ำมัน การเร็วเฉลี่ย เส้นทางที่ไป และวิเคราะห์เพื่อแนะนำแก้ไขในครั้งต่อไปอีกด้วย ฟีเจอร์นี้เก็บข้อมูลได้นานสุด 2 เดือน แอพสามารถ export มาเป็นไฟล์ .CSV ได้

แอพ Drivebot บน iOS

สำหรับราคาเริ่มต้นของ Drivebot อยู่ที่ 120 เหรียญต่อตัว แต่ถ้าร่วมระดมทุนตอนนี้จะได้ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 60 เหรียญต่อตัว (ประมาณ 2,000 บาท) ตามรายละเอียดจะเริ่มส่งของในเดือนกุมภาพันธ์นี้ (ในเว็บบอกเดือนธันวาคม) ถ้าระดมทุนสำเร็จที่ยอด 35,000 เหรียญครับ

ที่มา – Indiegogo

Drivebot, Automobile, Indiegogo, Thailand

from:http://www.blognone.com/node/61881

Drivebot, A Fitbit For Cars, help you drive worry-free starting to raise fund at indiegogo now

FeatureDiagnosticSave10X

Did you know that if we can identify a car problem and fix it early, the repair cost will be up to 10x cheaper than the repair cost for a serious car problem.

You might have experienced the situation, where your car suddenly acted strange, then the mysterious light showed up on your car’s dashboard. Of cause, the light was showing no clue and the car’s manual is too complicated to understand.

With Drivebot, these problems will be resolved.

FeatureDiagnostic

Drivebot is a Fitbit for your car. Instead of monitoring your health, it monitors your car.

It helps car owner understand their cars better.

HowToSetup

By plugging Drivebot to your car like plugging usb to your computer and connect to smartphone using Bluetooth connection. Now you have access to exclusive features developed for car owners. With just a flick of your thumb on your phone, Drivebot will diagnose your car to see if there’s something wrong. If it is, you will see what’s cause the problem and how you can deal with it. Drivebot will report it right on your phone, easily to understand without any technical background knowledge. Drivebot monitors your driving, summarise data and suggests what to do. The feature enables you to answer these questions; “How much I spend on gas each trip?”, “Do I drive efficiently and how can I improve?” or “Which route save more time and money?”

ScreenshotMainPageTransparent

Drivebot has the working prototype and our iOS application is 80% completed. The next step is to start the production line. We expect to ship iOS version by February 2015 and Android version by March 2015.

We’re raising fund to kick start our production line on Indiegogo.com

If you’re interested in the idea, please support drivebot team at bit.ly/drivebot-igg

Teams

from:http://thumbsup.in.th/2014/10/drivebot-a-fitbit-for-cars-help-you-drive-worry-free-starting-to-raise-fund-at-indiegogo-now/

Drivebot เตรียมระดมทุนผ่านเว็บไซต์ Indiegogo วันที่ 20 ต.ค. นี้

1501336_319772394892691_2723602052827211415_o

หลังจากที่ได้เข้าร่วมโครงการ dtac accelerate 2.0 ไป ตอนนี้มี 1 ทีมที่เตรียมตัวระดมทุนเพื่อทำให้สำเร็จผ่านเว็บไซต์ Crowdfunding ชื่อดังอย่าง Indiegogo โดยทีมที่จะลุยในเว็บนี้ก็คือั Drivebot นวัตกรรมที่ว่ากันว่าจะช่วยให้การเช็ครถง่ายเหมือนเช็คข้อความผ่าน LINE

เกริ่นกันเบื้องต้นว่า Drivebot คือ อุปกรณ์ที่ทำงานร่วมกับแอพพลิเคชัน ที่ช่วยตรวจสภาพรถ ลดค่าใช้จ่ายในการดูแล และทำให้คุณชับรถได้อย่างสบายใจมากขึ้น

อรรถพงศ์ ลิมศุภนาค 1 ในทีมพัฒนา Drivebot ได้บอกถึงที่มาที่ไปของ Drivebot ว่า เกิดจากเพื่อนในทีมเจอเหตุการณ์รถยนต์ดับกลางทางด่วนที่ความเร็วกว่า 120 km/h ซึ่งต่อมาพบภายหลังว่ารถมีอาการเสียหลายจุดมาก โดยช่างซ่อมบอกว่ามันเริ่มเสียจากชิ้นส่วนเล็กๆ แล้วทำให้การทำงานของทั้งรถรวนจนมีชิ้นส่วนเสียตามๆ กันจำนวนมาก และสุดท้ายเครื่องยนต์ก็หยุดทำงาน เลยเห็นประโยชน์ของการการหมั่นตรวจสภาพรถ การเจอปัญหาเร็วและรีบซ่อมนั้น นอกจากจะทำให้ความปลอดภัยในชีวิตเพิ่มขึ้น ค่าซ่อมยังถูกกว่ากันถึง 10 เท่าอีกด้วย

พวกเราอยากให้คนทั่วไปที่ใช้รถเป็นประจำ มีเครื่องมือง่ายๆ ไว้คอยตรวจสภาพรถตนเอง โดยไม่ต้องมีความเชี่ยวชาญเรื่องรถ เพราะรถก็เหมือนคนที่ต้องหมั่นตรวจสุขภาพอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้การป่วยเล็กๆลุกลามจนกลายเป็นสาหัส ที่นอกจากจะรักษายากแล้วยังต้องจ่ายแพงอีกด้วย จึงได้รับเข้าโครงการ dtac accelerate โดยได้เริ่มนำอุปกรณ์ทดสอบกับรถยนต์ในไทย ร่วมกับแอปพลิเคชันไปบ้างแล้ว และกำลังเตรียมการผลิตเพื่อจำหน่ายจริงภายในเดือนสองเดือนนี้น

iphone

Drivebot กำลังจะเข้าไปเปิดโครงการระดมทุนผ่าน เว็บไซต์ Indiegogo.com เพื่อผลิตอุปกรณ์ล็อตแรก ซึ่งเว็บไซต์ Indiegogo.com คือเว็บระดมทุนเพื่อสนับสนุนให้เหล่าผู้พัฒนาต่อยอดไอเดียของตนจนสามารถผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้จริง โดยในทุกๆ เดือนจะมีคนคอยสนับสนุนโปรเจคต่างๆ อยู่กว่า 9 ล้านคนทั้วโลก

10468027_737185953006646_3347778583376399355_o

โดยใครที่สนใจที่อยากจะเป็นเจ้าของ Drivebot สามารถจับจองได้ในราคาพิเศษ ลดกว่า 50% ซึ่งมีจำนวนจำกัด หรือผู้ที่อยากสนับสนุนให้ความฝันของเราเป็นจริง ไปช่วยสนับสนุนกันในโครงการระดมทุนที่จะเริ่มขึ้นวันที่ 20 ตค นี้

และสามารถติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวได้ผ่าน Facebook Event หรือจะเข้าไปที่ Page Drivebot.io ได้เลยครับ

งานไอเดียดีฝีมือคนไทยมาขนาดนี้ทั้งที ต้องช่วยกันเต็มที่ครับ!

from:http://thumbsup.in.th/2014/10/drivebot-ready-to-crowdfunding-indiegogo/

“Dentsu 360 เผยความคืบหน้าโครงการ “Dentsu360 Startup Pitching Idea for Business” ซึ่งเป็น Startup Pitching ระดับบุคคลทั่วไป

Dentsu

โครงการ “Dentsu360 Startup Pitching Idea for Business” เป็นการร่วมมือกันระหว่าง Dentsu360 และ thumbsup เปิดโอกาสให้ Startup ระดับบุคคลทั่วไปที่มีไอเดียและผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์สามารถนําเสนอแผนธุรกิจ โดยเป้าหมายของโครงการเพื่อเฟ้นหา Startup พาร์ทเนอร์ที่มีศักยภาพในการขยายธุรกิจร่วมกับบริษัท Dentsu 360 ต่อไป

หลังจากที่ได้มีการเปิดตัวโครงการดังกล่าว ก็ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี มีผู้นําเสนอโครงการเข้ามาเป็นจํานวนมากในหมวดหมู่ต่างๆ ได้แก่

  1. Entertainment, Lifestyle, Utilities (บันเทิง, ไลฟสไตล์, เครื่องมือใช้งาน)
  2. Sport and Health (กีฬาและสุขภาพ)
  3. Education (การศึกษา)
  4. Social Enterprise (ธุรกิจเพื่อสังคม / ช่วยเหลือสังคม)

Screen Shot 2557-09-01 at 11.55.41 PM

และหลังจากผ่านการแข่งขันรอบ Pitching ในงาน Start it Up, Power it Up วันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา

คณะกรรมการได้ทําการคัดเลือก 7 ทีมสุดท้ายเพื่อศึกษาการทําธุรกิจร่วมกันต่อไปอันได้แก่

Adsight
โซลูชั่นการโฆษณาด้วยเทคนิคการมองเห็นของคอมพิวเตอร์เพื่อนับจำนวนลูกค้า (Traffic count) และสามารถใช้ร่วมกับ Digital signage เพื่อการวิเคราะห์ว่าโฆษณาที่กำลังนำเสนอนั้นมีผู้ชมให้ความสนใจมากน้อยเพียงไร ตลอดจนรายงานลักษณะบุคคลของผู้ชมโฆษณาแบ่งตามเพศและอายุ เพื่อใช้เป็นข้อมูลเชิงวิจัยทางการตลาดต่อไป  รายละเอียดเพิ่มเติม

Hoppopo
Hoppopo  เกิดจากการขจัดความยุ่งยากและความสับสนในการเดินทางโดยรถไฟฟ้า ที่สร้างปัญหาให้การท่องเที่ยวของนักเดินทางที่จะต้องมาเสียเวลาไปกับการหลงและการเตรียมข้อมูลต่างๆในการเดินทางแต่ละครั้งในแต่ละเมือง Hoppopo จึงเกิดขึ้นมาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกแก่นักเดินทางด้วยการ search แบบ “Place” to “Place”  ซึ่งสิ่งที่แอปฯ จะอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้คือ ผู้ใช้แค่ใส่ชื่อสถานที่ที่อยากจะไปแอปฯ จะทำการบอกเส้นทางของสถานีที่จะต้องขึ้น, ปลายทางของสถานีรถไฟที่จะต้องมุ่งหน้าไป, การเปลี่ยนสาย, คำนวนเวลา, ราคาของการเดินทางแต่ละครั้งรวมไปถึงทางออกจากสถานีนั้นถึงที่หมายที่ต้องการ ด้วยระบบ offline ที่สามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์เมื่อต้องออกเดินทางไปยังต่างประเทศ โดยที่ไม่ต้องพึ่งการดูแผนที่รถไฟให้ยุ่งยากและหลงทางอีกต่อไป รายละเอียดเพิ่มเติม

Plant Money
แอปพลิเคชั่นทางการเงิน ที่ทำให้การบันทึกรายรับรายจ่ายกลายเป็นเรื่องง่ายและสนุก แอปบันทึกรายจ่ายมีมากมาย แต่ส่วนใหญ่ใช้ไปได้ไม่กี่อาทิตย์ก็เลิก ใน Plant Money การบันทึกรายรับรายจ่ายของคุณคือการรดน้ำใส่ปุ๋ย เมื่อบันทึกต่อเนื่องต้นไม้ที่คุณปลูกก็จะโตขึ้น แต่ถ้าคุณลืมต้นไม้ของคุณก็จะเหี่ยวตาย และพอโตเต็มที่ก็สามารถแชร์ หรือขายเพื่อนำเงินมาซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ๆได้อีกด้วย สำหรับผู้ใช้ Android สามารถดาวน์โหลดได้แล้วที่นี่

SocialGiver
กิจการเพื่อสังคมที่สร้างพื้นที่ออนไลน์ เพื่อให้ทุกคนสามารถเลือกซื้อสินค้าและบริการชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็นที่พัก ร้านอาหาร สุขภาพ ความงาม ฯลฯ ที่ได้รับการคัดเลือกจากแบรนด์ดังทั่วประเทศไทย แต่นอกจากการเลือกซื้อสินค้าและบริการในราคาที่ดีที่สุดแล้ว เงินจำนวนเท่ากันยังจะถูกนำไปช่วยเหลือโครงการดีๆ
เพื่อสังคมเพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของคนอีกหลายคนดีขึ้น socialgiver.com เปิดโอกาสให้ “ทุกคนสามารถทำดีได้ง่ายๆ” ผ่านพฤติกรรมการบริโภคที่ตัวเองคุ้นเคย

Drivebot
Drivebot เป็นแอปฯ ที่จะช่วยให้ผู้ใช้ขับรถได้อย่างสบายใจ ประหยัดมากขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น โดยมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้สามารถเช็คสภาพรถได้ง่ายๆ ทันที และฟีเจอร์ที่ช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมการขับรถ ถือเป็นหนึ่งใน Startup ด้าน Hardware ที่น่าจับตามากรายหนึ่งของไทย รายละเอียดเพิ่มเติม

QueQ
เบื่อมั้ยกับการรอคิว? เคยคิดมั้ยว่าจะดีแค่ไหนถ้าเราไม่ต้องติดแหง็ก รอคิวอยู่หน้าร้านอาหารสุดโปรด ไปไหนก็ไม่ได้ ไม่งั้นคงโดนข้ามคิว แล้วเวลาเห็นคิวยาวๆที่ไร ต้องตัดใจไปร้านอื่นทุกที ให้ QueQ เข้าคิวแทนคุณสิ ไปเดินเล่น ช้อปปิ้ง ดูหนังสักเรื่อง (คิวยาวมากกก) ก่อนไหม แล้วให้ QueQ เตือนคุณเมื่อใกล้ถึงคิวของคุณ อีกทั้งยังมี ฟีเจอร์ อีกมากมายที่ทำให้เรื่อง คิวคิว เป็นเรื่องสบายๆ ลอง QueQ ได้แล้วเร็วๆ นี้ รายละเอียดเพิมเติม

Cleverse Eye
ด้วยคอนเซ็ป – เปลี่ยนกล้องวงจรปิดให้เป็นระบบวิเคราะห์ร้านค้า
Cleverse Eye คือบริการที่จะช่วยให้ร้านค้าเข้าใจพฤติกรรมของผู้มาแวะเวียนเหมือนที่ระบบ Google Analytics ช่วยให้คุณรู้จักผู้ใช้ website รายละเอียดเพิ่มเติม

คุณนรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร Digital Business Director ของ Dentsu360 กล่าวถึงความสําเร็จของโครงการนี้ว่า “โครงการ Dentsu360 Startup Pitching Idea for Business” นี้เป็นการร่วมมือกันครั้งแรกระหว่าง Dentsu360 กับทาง thumbsup ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเกินความคาดหมาย เห็นได้จากมีผู้สนใจเข้าสมัครร่วมโครงการเป็นจํานวนมาก และแต่ละทีมก็มีไอเดียและผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ มีศักยภาพสูงและสามารถนําไปต่อยอดเชิงธุรกิจได้ นับเป็นเรื่องที่ดีที่ startup ของไทยมีความสามารถเป็นที่ยอมรับและมีความคิดสร้างสรรค์ไม่แพ้ใคร ซึ่งทาง Dentsu360 ก็มีความยินดีที่จะสนับสนุนโครงการดีๆแบบนี้ เพื่อช่วยให้ startup หน้าใหม่ให้มีโอกาสพัฒนาศักยภาพมากขึ้น

Dentsu_5

Dentsu_4

สําหรับโครงการนี้จะจัดขึ้นอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง โดยครั้งนี้จะเปิดโอกาสให้กับกลุ่มนักศึกษาระดับปริญญาตรี และโท เข้าร่วมแข่งขันเพื่อชิงเงินรางวัลและโอกาสการได้รับทุนสนับสนุนอีกด้วย สําหรับท่านใดที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ 

ส่วนโครงการสําหรับระดับบุคคลครั้งต่อไป สามารถติดตามรายละเอียดการรับสมัครได้เช่นเคยที่ thumbsup.in.th

from:http://thumbsup.in.th/2014/09/dentsu360-startup-pitching-idea-for-business/

เปิดตัว 5 ทีมผู้เข้ารอบโครงการ Dtac Accelerate พร้อมเข้ารับการอบรม intensive course

หลังประกาศเฟ้นหาผู้เข้าร่วมโครงการ Dtac Accelerate ซึ่งมีผู้ให้ความสนใจสมัครเข้าร่วมโครงการจำนวนมาก ล่าสุดทางโครงการได้ประกาศเปิดตัวผู้เข้ารอบทั้ง 5 ที่มแล้วในวันนี้

2014 - 1

20140528_104904

จากจำนวนผู้สมัตรร่วมโครงการทั้งหมด 150 ทีม Andrew Kvalseth ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่าย Corporate Strategy and Business Innovation  ได้เผยว่าทั้ง 5 ทีมนั้นถูกคัดเลือกจากเกณฑ์เดียวกันนั่นคือ ตัวบุคคลในทีม ผลิตภัณฑ์และแนวคิดของพวกเขาไปจนถึงตลาดของพวกเขาว่าพวกเขาจะสามารถเข้าสู่ตลาดได้อย่างไร โดย 5 ทีมผู้เข้ารอบโครงการ Dtac Accelerate นั้นถูกแบ่งเป็น 2 ประเภทด้วยกันคือ Accleration และ Incubation

2014 - 4

2014 - 2

ทีมที่เข้ารอบสุดท้ายของการแข่งขันประเภท Accleration นั้นมีทั้งหมด 3 ทีม ได้แก่

1) Anywhere to Claim – ที่มาพร้อมแอปพลิเคชันชื่อว่า Claim Di แอปพลิเคชันที่ช่วยลดขั้นตอนการเคลประกันรถยนต์ให้สะดวกและรวดเร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตรวจสภาพรถยนต์ อุบัติเหตุแบบมีคูกรณี หรือไม่มีคู่กรณี เพียงแค่ผู้ใช้งานแอปพลิเคชันดังกล่าวถ่ายภาพสภาพความเสียหายบนรถของพวกเขาและอัพโหลดขึ้นบนแอปพลิเคชันดังกล่าว

2) Fastinflow – อดีตแชมป์โครงการ Dtac Accelerate เมื่อปีก่อน ที่มาพร้อมแอปพลิเคชันซึ่งช่วยให้นักการตลาดสามารถทำการวิจัยผู้บริโภคด้วยการตั้งคำถามให้ผู้บริโภคตอบคำถามผ่านแอปพลิเคชันแบบสั้นๆ ง่ายๆ ได้ใจความ ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทที่ใช้งานแอปพลิเคชันดังกล่าวมากถึง 50 รายแล้ว

นอกจากภาพแอปพลิเคชัน Fastinflow ซึ่งเปิดโอกาสให้นักการตลาดสร้างคำถามผ่านแอปพลิเคชันได้แล้ว ล่าสุดทีม Fastinflow ยังได้เปิดตัวอีกหนึ่งแอปพลิเคชันคือ TIKKO ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเข้ามาตอบคำถามของนักการตลาดจาดแอปพลิเคชัน Fastinflow เพื่อแลกกับของรางวัลต่างๆ เช่น บัตรเติมเงินโทรศัพท์มือถือ บัตรชมภาพยนตร์

3) Piggipo – แอปพลิเคชันการจัดการค่าใช้จ่ายจากการใช้งานบัตรเครดิต ที่จะแจ้งทั้งยอดการใช้จ่าย กำหนดการจ่าย ซึ่งมาพร้อมลูกเล่นที่น่ารักด้วยคาแร็คเตอร์หมูสีเขียว ที่จะปรับเปลี่ยนอารมณ์ไปตามยอดการใช้จ่าย โดยผู้ใช้งานจะสามารถกำหนดยอดตค่าใช้จ่ายสูงสุดรายเดือนของพวกเขา เมื่อพวกเขาใช้เงินจนใกล้ถึงกำหนดที่พวกเขาตั้งค่าไว้ หมูน้อยจะปรับเปลี่ยนเป็นหมูที่มีอารมณ์เศร้าหมองลง

2014 - 6

2014 - 5

ทีมที่เข้ารอบการแข่งขันประเภท Incubation นั้นมีด้วยกันทั้งหมด 2 ทีมได้แก่

1) DriveBot – ทีมที่มาพร้อมแอปพลิเคชันและอุปกรณ์ Hardware ที่จะเข้ามาตอบโจทย์ผู้มีรถยนต์ในเรื่องของการดูแล และการตรวจสภาพนรถของพวกเขา เพียงแค่เชื่อมต่ออุปกรณ์ของพวกเขาเข้ากับรถยนต์เท่านั้น ผู้ใช้งานแอพลิเคชันดังกล่าวจะได้รับข้อมูลสภาพของรถยนต์ผ่าน Bluetooth ได้ นอกจากนี้ยังมีฟัง์กชันการเตือนเข้าของรถให้นำพาหนะของพวกเขาไปตรวจสภาพตามกำหนดอีกด้วย

2) Storylog – อีกหนึ่งทีมที่เคยเข้าร่วมโครงการ Dtac Acclerate มาก่อน ที่มาพร้อมแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลเน็ตเวิร์กที่เอาใจคนชอบเขียน ชอบระบาย ซึ่งจะมีฟังก์ชันที่คล้ายคลึงกับ Twitter คือ ผู้ใช้งานสามารถ Follow ผู้ใช้งานคนอื่นๆ , มี Top stories และสามารถแชร์หรือคอมเมนต์บนเรื่องราวของผู้ใช้งานรายอื่นๆ ได้อีกด้วย

ผู้เข้ารอบโครงการ Dtac Accelerate ทั้ง 5 จะได้รับเงินสนับสนุนุจำนวน 500,00 – 1,500,000 บาท พร้อมได้รับการอบรม intensive course เป็นระยะเวลา 90 วัน โดยในการอบรมผู้ใช้งานจะได้รับความรู้จาก Bill Reichert, Jeffrey Paine, Nir Eyal และ Niel Patel ผู้ชนะจากโครงการดังกล่าวจะได้รับการโอกาสในการเข้าร่วมโครงการ Blackbox Connect ที่ Silicon Valley เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ และยังจะได้โอกาสในการ pitch งานของพวกเขากับเหล่า VC ในประเทศสิงคโปร์และญี่ปุ่นอีกด้วย

from:http://thumbsup.in.th/2014/05/dtac-accelerate-reveal-5-finalist/

สัมภาษณ์พิเศษ: มุมมองการเติบโตของ Startup สาย Hardware ในไทย

ใครชอบดูโครงการต่างๆ จากเว็บไซต์ Kickstarter (แหล่ง Crowd Funding ขนาดใหญ่) บ้าง? แล้วคุณให้ความสนใจจนลงเงินสนับสนุนหรือไม่คะ? จากที่นั่นคุณจะได้เห็นโครงการที่น่าตื่นเต้นจาก Startup มากมาย เน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์จาก Hardware เต็มไปหมด มี Wearable Device แบบหลากหลาย อุปกรณ์แบบแปลกๆ ที่ใช้เชื่อมต่อกับโลกอินเทอร์เน็ตได้ (Internet of Things) เพื่อใช้หาของหายบ้าง, ติดตั้งให้บ้านเราเป็น Smart Home บ้าง, เอามาใช้ในเชิิงธุรกิจบ้าง และอีกมากมายตามแต่จินตนาการจะพาไป

ฟังดูแล้วหลายคนอาจรู้สึกว่า Startup เหล่านี้น่าจะไกลตัวพอสมควร  แต่จริงๆ แล้วไ่ม่ใช่ว่าบ้านเราจะไม่มีเลย กลุ่ม  Hardware Startup ในไทยกำลังค่อยๆ เริ่มก่อตัวขึ้น โดยวันนี้เราจะไปพูดคุยกับ Startup 2 บริษัท นั่นคือ จักรกฤษณ์ ทัฬหชาติโยธิน CEO และ ภัทรพร โพธิ์สุวรรณ์ จาก Dolphin และ อรรถพงศ์ ลิมศุภนาค ผู้ก่อตั้ง DriveBot

Screen Shot 2557-04-02 at 1.59.01 AM(จากซ้ายไปขวา – จักรกฤษณ์ ทัฬหชาติโยธิน, ภัทรพร โพธิ์สุวรรณ์ จาก Dolphin และ อรรถพงศ์ ลิมศุภนาค จาก DriveBot)

มองทิศทางของ Hardware Startup ในตลาดภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไว้อย่างไร
ทีมงาน Dolphin กล่าวว่า –  ปีนี้เป็นปีที่ Hardware Startup เริ่มมีคนสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ เนื่องด้วยเทรนท์ที่ใครๆ ก็มองว่าการทำ Hardware ขึ้นมามัน Sexy มากๆ แต่อย่างไรก็ตามถ้ามองแค่ในส่วน Hardware startup ในภูมิภาคนี้ก็ยังถือว่าห่างไกลจากสหรัฐฯ ที่มักจะเป็น Trend Setter ในเรื่องของ Category ของ Product อยู่ครับ คือมีความหลากหลายในตัวผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นตัวช่วยชี้ความต้องการของ Product และความสนใจของผู้บริโภคที่ดีมาก

ในแง่อุปสรรคของ Hardware Startup ในภูมิภาคนี้คือเงินทุนและ Barreir of Entry ของการพัฒนา Hardware ยังสูง รวมถึงบุคลากรกลุ่มนี้มักจะอยู่ในภาคผลิตเสียมากกว่า ทำให้ Maker หรือ นักประดิษฐ์ จริงๆ ค่อนข้างมีน้อย แต่ในไม่ช้าเราจะเริ่มเห็น Maker ออกมาทำ Startup แนวนี้มากขึ้นเนื่องจากจุดเด่นต่างๆ ของภูมิภาคนี้คือ ฝีมือด้านการออกแบบเราไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร รวมถึงฐานการผลิตที่จีนที่เข้าถึงง่ายขึ้น

อีกเรื่องที่ผมมองว่าสิ่งที่เราน่าจะเริ่มเห็นจาก Hardware Startup คือเรื่องของ Smart Things หรือที่เรามักจะเรียกกันว่า Gadget เกิดขึ้นใหม่ๆมากมาย โดยน่าจะอยู่ในรูปแบบ Hardware Mashup หรือการผสมผสานของฟีเจอร์ของ Hardware สองหรือสามประเภทเข้าด้วยกันออกมาเป็น Gadget ใหม่ ซึ่ง Category ที่น่าสนใจก็มีมากมายเช่น Home, Automotive, Health, Wearable เป็นต้น หรืออีกประเภทของ Hardware startup ที่น่าจะเกิดขึ้นเยอะจะอยู่ในรูปแบบของการนำ hardware มาเพิ่ม value ของบริการของ Startup อีกที

ส่วนอรรถพงศ์จาก DriveBot กล่าวว่า – ในมุมมองของผม Hardware เป็นตัวช่วยให้เราสามารถแก้ปัญหาที่เดิมใช้ Software อย่างเดียวแก้ไม่ได้ หรือว่าช่วยทำให้มีวิธีแก้ปัญหาที่มีอยู่เดิมดีขึ้น ง่ายขึ้น จากเดิมเราต้องคิดว่าทำยังไงถึงจะเอา Software ที่เราใช้ไปอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้ใช้ได้ ก็มาคิดว่าเราจะทำยังไงให้ผู้ใช้สามารถใช้ประโยชน์จากของรอบตัว หรือของที่เขาต้องใช้ทุกวันได้ดีขึ้นโดยนำ Hardware ไปช่วย สำหรับผมแล้วเหมือนมีเครื่องมือแก้ปัญหาเพิ่มขึ้น พอมองไปรอบตัวก็เจอโจทย์สนุกๆ ให้เล่นเยอะขึ้นครับ

โดยตอนนี้เทรนด์ Wearable Technology กำลังมาแรงมาก มี Facebook มาเสริมความแรงของเทรนด์อีกโดยการซื้อ Oculus Rift ไปในราคาที่สูงมาก ประกอบกับมี Crowdfunding Platform อย่าง Kickstarter และ Indiegogo ที่ช่วยให้นักพัฒนามีทุนไปสร้าง Product เราน่าจะได้เห็น Startup แนว Hardware มากขึ้น ไม่ใช่แค่ฟากตะวันตก แต่จะเริ่มขยายตัวมาภูมิภาคนี้ด้วย

kickstarter

ข้อได้เปรียบเสียเปรียบและโอกาสของ Startup กลุ่มนี้ในไทย

ทีมงาน Dolphin กล่าวว่า –  ในไทยเองเรามีข้อได้เปรียบค่อนข้างมากในเชิงการพัฒนานะครับ ในหนึ่งปีเรามีบุคลากรที่จบด้าน Engineering ไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญของ Hardware Startup ที่จะเกิดขึ้นมาได้ และรวมถึงบุคลากรที่จบด้านการออกแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Product Design, Fashion Design  อีกข้อได้เปรียบของไทยคือเรื่องของตำแหน่งที่อยู่ใกล้ประเทศจีนซึ่งทำให้เราสามารถเข้าถึงผู้ผลิต OEM / ODM ต่างๆ หรือ Supplier ได้ค่อนข้างสะดวก แต่เรายังคงเสียเปรียบเรื่อง language barrier ที่ทำให้การติดต่อกับผู้ผลิตยังคงยากอยู่ อีกทั้งเงินทุนในการผลิตยังถือว่าสูงซึ่งอาจจะทำให้ Hardware Startup ที่ยังไม่มีเงินทุนไม่สามารถผลิตต้นแบบหรือสินค้าออกมาได้

ประเทศเรายังขาดเรื่อง Ecosystem ที่จะมารองรับ Hardware Startup ใหม่ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือด้านการวิจัยหรือ Incubator ที่จะมาช่วยพัฒนา Product ขึ้นมา รวมถึงการร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ที่จะช่วยให้ Hardware Startup มา Match Making กับ Manufacturer เพื่อสงเสริมการผลิตภายในประเทศ

ส่วนอรรถพงศ์จาก DriveBot กล่าวว่า – สำหรับผมแล้ว ผมมองว่าข้อดีของ Hardware Startup ก็คือยังมีมุมมองให้เล่นมากกว่า Software อย่างเดียวที่มีการแข่งขันสูงมากขึ้นทุกวัน แต่ข้อเสียก็คือเรื่องค่าใช้จ่ายในการผลิต (Fixed Cost) เพราะมีปริมาณขั้นต่ำที่สั่งผลิตได้ เช่น 100 ชิ้น 1000 ชิ้น ซึ่งตรงนี้ต่างจากการทำ Software อย่างเดียวเลย ที่ต้นทุนต่ำมาก อย่างล่าสุดผู้ให้บริการ Cloud ก็ลดราคาลงมาแรงมากเพื่อการแข่งขัน แต่อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น เรายังโชคดีที่มีแพลตฟอร์ม Crowd funding ต่างๆ ทำให้ Startup สามารถนำ Product ไปทดสอบตลาด และหาทุนไปในตัว เป็นการช่วยลดความเสี่ยงที่ดีอย่างหนึ่งครับ ถึงอยู่ไทยก็สามารถทำได้

ช่วยยกตัวอย่างโครงการที่น่าสนใจในสหรัฐฯ Ecosystem ที่นั่นเป็นอย่างไร และอะไรคือปัจจัยความสำเร็จของตลาดนี้

ทีมงาน Dolphin กล่าวว่า –  ในสหรัฐฯ Hardware Startup ที่น่าสนใจมีหลายเจ้าเลย และก็มีการขยาย Category เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น Personal Transport เช่น URB-E

//player.vimeo.com/video/85757213

หรือ Human Interface Device เช่น Myo

Ecosystem ของอเมริกาสำหรับ Hardware Startup ก็คล้ายๆ Tech Startup ด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Incubator ที่ให้ความสนใจเรื่อง Hardware เว็บไซต์ Crowd funding อย่างเช่น Kickstarter ที่จะช่วยหลักดันสินค้าไปสู่ Early Adopter และแหล่งเงินทุนที่พร้อมจะลงกับ Startup ที่มาพร้อมกับ Mentor และ ประสบความสำเร็จแล้วในเชิง Hardware Startup ต่างๆ

ปัจจัยในความสำเร็จของตลาด Hardware Startup ยังคงคล้ายๆ กับ Tech Startup ทั่วไปอยู่เช่นกัน คือการเข้าใจลูกค้า ถ้าเราบอกว่าเรากำลังผลิตสินค้าสำหรับนักดำน้ำมือใหม่ สิ่งที่เราต้องทำคือเข้าใจนักดำน้ำมือใหม่จริงๆ จนเราสามารถสร้างต้นแบบสินค้าเราที่ตอบโจทกลุ่มลูกค้าเราได้ เพราะ Hardware แตกต่างจาก Software ตรงที่เราไม่สามารถกลับมาแก้มันได้หลังจากที่เราผลิตมันขึ้นมาแล้ว ทำให้กระบวนการในช่วงคิดต้นแบบเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ และสิ่งที่เป็นปัจจัยที่สำคัญต่อมาคือ เรื่องของ Supply Chain ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตจนถึงทำยังไงให้สินค้าเราไปถึงมือผู้บริโภค นอกเหนือจากนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้ใน Hardware Startup คือความเป็นเอกลักษ์ของสินค้า ไม่ว่าจะเป็น Brand, Product Design หรือ Packaging ก็ตาม

ช่วยแนะนำ Product ของตัวเองหน่อยว่าตอนนี้ต่างคนต่างทำอะไรอยู่

ทีมงาน Dolphin – Dolphin เป็นหนึ่งใน Hardware Startup ในไทยที่นำ Hardware มาเพิ่ม Value เข้าไป และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับภาคธุรกิจ โดยให้บริการด้าน Retail Customer Engagement ผ่านระบบ Cloud โดยมีตัว Beacon ที่เป็น Hardware มาส่งสัญญาณไปยัง แอปพลิเคชั่นบนมือถือเพื่อส่งข้อความและวิเคราห์ Traffic ในสถานที่จริงต่างๆ

Screen Shot 2557-04-02 at 1.52.41 AM

เราพบว่าระบบนำทางแบบเดิม เช่น GPS ไม่สามารถใช้ได้ในอาคารหรือสถานที่เล็กเช่นห้องประชุม ซึ่งทำให้แอปฯ ไม่สามารถรู้ได้ว่าผู้ใช้กำลังเดินเข้าร้านค้าหรือเดินผ่านร้านค้ากันแน่ Dolphin เลยนำเทคโนโลยีเสียง Ultra-sonic และ Bluetooth 4.0 มาผสมผสานกันและผลิต Hardware ออกมาเพื่อช่วยให้ร้านค้าสามารถส่งข้อความ Engagement ไปยังผู้ใช้แอปฯ ของตนได้ รวมถึงการวัดผลแบบ Real-Time ที่สามารถบอกได้ถึงว่าคนใช้เวลาในร้านค้ากี่นาทีและสนใจส่วนไหนของร้านค้ามากที่สุดด้วยครับ

Screen Shot 2557-04-02 at 1.52.14 AM

อรรถพงศ์ – ทีมผมกำลังพัฒนา Product ที่ชื่อว่า Drivebot เป็น Fitbit สำหรับรถครับ ก็คือ แอปฯ บนมือถือที่ช่วยให้ผู้ใช้รถสามารถลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการดูแลรถและการใช้น้ำมันได้ โดยใช้ข้อมูลจากอุปกรณ์เชื่อมต่อกับรถที่เราพัฒนาครับ Drivebot มีฟีเจอร์ หลัก 2 ส่วน ส่วนแรกคือส่วนที่ช่วยให้ผู้ใช้รถปรับพฤติกรรมการขับรถของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นวิธีการขับหรือว่าเวลาที่ออกจากบ้าน เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการใช้น้ำมันครับ อีกส่วนช่วยให้ผู้ใช้สามารถดูแลรถตัวเองได้ดีขึ้น เช่น การแจ้งเตือนให้เอารถไปเข้าอู่ หรือว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับรถ ซึ่งปกติเราจะรู้ก็ตอนรถมีปัญหาหนักๆ แล้ว โดยรวมก็คือ Drivebot ช่วยให้ผู้ใช้รถขับรถได้ดีขึ้น ดูแลรักษารถได้ดีขึ้น ทำให้รถอยู่กับเรานานๆ ไม่ไปเสียกลายถนน หรือเสียค่าซ่อมแพงๆ นั่นเองครับ

Screen Shot 2557-04-02 at 1.54.47 AM

ถือว่าน่าสนใจมากเลยสำหรับการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ เรายังได้ยินมาว่าทางทีมงาน Dolphin ก็กำลังเตรียมเปิด Incubator สำหรับ Hardware Startup กันโดยเฉพาะ ในนาม Startup Factory และเริ่มมี Meetup  กันให้เห็นไปบ้างแล้วซึ่ง Drivebot ก็เป็นหนึ่งในโครงการภายใต้การ Incubate นี้

startup_factory

จัดเป็นอีกหนึ่งกลุ่ม Startup ไทยที่มีความตั้งใจจริงและน่าเอาใจช่วย ซึ่งทีมงาน thumbsup จะคอยอัพเดตให้ผู้อ่านได้ทราบถึงความเคลื่อนไหวเป็นระยะๆ กันต่อไปค่ะ

from:http://thumbsup.in.th/2014/04/exclusive-interview-thai-hardware-startup/