คลังเก็บป้ายกำกับ: DENT

[PR] อินเทลจับมือพันธมิตรเทคโนโลยีและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

[PR] อินเทลจับมือพันธมิตรเทคโนโลยีและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

อินเทล ประเทศไทย ประกาศถึงความมุ่งมั่นของอินเทลความพร้อมทั้งการสนับสนุนจากวงการไอทีที่จะเร่งให้อินเทลเข้าสู่ตลาดอุปกรณ์พกพาใหม่ๆอย่างเต็มที่ด้วยอุปกรณ์ที่ให้ประสบการณ์การใช้งานที่เหนือชั้นกว่าด้วยเทคโนโลยีอินเทล อินไซด์ที่จะว่างจำหน่ายในร้านค้าไอทีทั่วประเทศ

การประกาศดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรระดับโออีเอ็มเพื่อผลิตแท็บเล็ตที่ใช้แพลตฟอร์มอะตอม เอสโอซีแบบดูอัลคอร์ ซึ่งมีชื่อรหัสว่า “โคลฟเวอร์เทรลพลัส” (Clover Trail+)ที่รองรับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์*

นายสนธิญา หนูจีนเส้ง ผู้อำนวยการฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจบริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การเปิดตัวแท็บเบล็ตอินเทล อินไซด์ ในวันนี้เป็นก้าวที่เติบโตอย่างต่อเนื่องของอินเทล สำหรับตลาดอุปกรณ์พกพาที่อินเทลทยอยแนะนำไปแล้วหลายรุ่นเพื่อให้ครอบคลุมตลาดให้ครบทุกกลุ่ม เพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งปี อินเทลและลูกค้าได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อนำแท็บเล็ตที่ใช้โปรเซสเซอร์ของอินเทลเข้าสู่ตลาด โดยในอนาคต เราจะสร้างพื้นฐานและร่วมมือกับพันธมิตรในวงการให้อุปกรณ์ใช้กับระบบปฏิบัติการได้ทุกชนิด เพื่อให้ได้อุปกรณ์พกพาอินเทลอินไซด์ที่ใช้งานได้ดีที่สุดแก่ผู้บริโภค”

พัฒนาศักยภาพของอุปกรณ์พกพาด้วยอินเทล อินไซด์

การประกาศตัวของอินเทลในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงการขยายเครือข่ายพันธมิตรในวงการ ทำให้เกิดการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และนำนวัตกรรมสำหรับอุปกรณ์พกพาที่รองรับได้ทั้งวินโดวส์* และแอนดรอยด์* ออกสู่ตลาด

แพลตฟอร์มอินเทลและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่อินเทลนำเสนอ เป็นรากฐานนวัตกรรมสินค้าของผู้ผลิตและผู้ออกแบบรายต่างๆ มานานหลายทศวรรษ เพื่อช่วยเร่งระยะเวลาให้อุปกรณ์โมบายล์ชั้นนำที่ใช้สถาปัตยกรรมอินเทลจากแบรนด์ผู้ผลิตและนักออกแบบผลิตภัณฑ์ชั้นแนวหน้าเข้าสู่ตลาดได้เร็วขึ้นโดยอินเทลเริ่มจากแท็บเล็ตก่อนเป็นลำดับแรก ตามด้วยโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อให้ได้โซลูชั่นต้นแบบที่มีโครงสร้างหลักซึ่งสามารถนำไปออกแบบเป็นผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว ทั้งในกลุ่มตลาดที่โตเต็มที่แล้วและตลาดที่กำลังเติบโต

อินเทลอะตอม Z2580โปรเซสเซอร์ (โคลฟเวอร์เทรลพลัส)  อินเทล อะตอม Z2460 (เมดฟิลด์) และอินเทล อะตอม เอสโอซี Z3000 ขนาด 22 นาโนเมตร(เบย์เทรล) จะเป็นโปรเซสเซอร์กลุ่มแรกสำหรับแท็บเล็ตต้นแบบ  โดยแท็บเล็ตที่ใช้อินเทล อะตอม Z3000 โปรเซสเซอร์ (เบย์เทรล) จะออกสู่ตลาดในไตรมาสที่สี่ของปี 2556

แพลตฟอร์ม อินเทล®อะตอมZ3000เอสโอซี(เบย์เทรล)

            โปรเซสเซอร์ตระกูล “เบย์เทรล” พัฒนาจากสถาปัตยกรรม “ซิลเวอร์มอนท์” (“Silvermont”) ที่มีสมรรถนะสูงแต่กินไฟต่ำ ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2556  โดยเป็นเอสโอซี มัลติคอร์ สำหรับอุปกรณ์พกพาตัวแรกของอินเทลซึ่งมีสมรรถนะการทำงานที่ทรงพลังที่สุดในปัจจุบันสำหรับแท็บเล็ตและอุปกรณ์แบบพกพาแบบบางเฉียบที่ใช้งานได้อย่างรวดเร็วไม่มีสะดุดพร้อมความลงตัวทั้งการทำงาน อายุการใช้งานของแบตเตอรี่3กราฟิก และคุณสมบัติพิเศษอื่นๆ

เอสโอซีในตระกูล “เบย์เทรล”ทำให้ลูกค้าของอินเทลมีตัวเลือกที่หลากหลาย โดยสามารถปรับแต่งให้ฮาร์ดแวร์หนึ่งตัวรองรับได้ทั้งวินโดวส์ 8* และแอนดรอยด์* เพื่อให้สามารถเลือกใช้ได้อย่างครอบคลุมที่สุด โดยมีหลายระดับราคาให้เลือกตรงตามความต้องการอันหลากหลายของทั้งนักธุรกิจและผู้ใช้งานทั่วไป

[PR] อินเทลจับมือพันธมิตรเทคโนโลยีและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

แพลตฟอร์ม อินเทล®อะตอมZ2580 เอสโอซี(โคลฟเวอร์เทรลพลัส)

แพลตฟอร์ม ดูอัลคอร์ ขนาด 32 นาโนเมตร อินเทล®อะตอม™ โปรเซสเซอร์Z2580Z2560 และ Z2520 มีความเร็วของการทำงานสูงถึง 2.0 GHz, 1.6 GHz และ 1.2 GHz ตามลำดับ สนับสนุนการทำงานของเทคโนโลยีอินเทล™ไฮเปอร์-เธรดดิ้งที่รองรับโครงข่ายแอพลิเคชั่นได้พร้อมกันถึงสี่เธรด และยกระดับประสิทธิภาพการทำงานทั่วไปในส่วนคอร์ต่างๆ ของอะตอม

แพลตฟอร์มแบบเอสโอซีนี้ยังมีอินเทล®กราฟิก มีเดีย เอ็กเซอร์เลอเรเตอร์(Intel® Graphics Media Accelerator) ที่มีคอร์กราฟิกรองรับได้สูงสุดถึง 533MHz ด้วยโหมดบูสท์ และเสริมการทำงานด้านกราฟิกให้ดีขึ้นถึงสามเท่าสำหรับภาพสามมิติที่มีความละเอียด ให้ภาพกราฟิกในเกมส์คมชัดราวกับมีชีวิต และเข้าหรือถอดรหัสวิดีโอ โดยฮาร์ดแวร์ในระดับวามละเอียด1080P ได้ที่ความเร็วถึง30fps

นายสนธิญา กล่าวเสริมว่า “ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเจนเนอเรชั่นที่ 2 ของเราให้ประสิทธิภาพการประมวลผลมากกว่าเดิมสองเท่า และความสามารถด้านกราฟิกที่เพิ่มขึ้นสูงสุดถึงสามเท่า1แต่กินไฟต่ำ  การเปลี่ยนไปสู่ อะตอม เอสโอซี ขนาด 22 นาโนเมตรในปีนี้ จะทำให้เราใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติต่างๆ อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นผลมาจากการออกแบบสถาปัตยกรรม เทคโนโลยีทรานซิสเตอร์แบบไตร-เกต ขนาด 22 นาโนเมตร และการผลิตที่ล้ำหน้า เพื่อความสำเร็จในการคงความเป็นผู้นำในตลาดต่อไป”

แพลตฟอร์มอะตอม Z2580 มีคุณสมบัติที่ทำให้ภาพคมชัด รองรับกล้องได้สองตัว โดยกล้องหลักมีเซ็นเซอร์สูงสุดถึง 16 เมกะพิกเซล ระบบภาพนิ่งสามารถเก็บภาพแบบพาโนรามาได้ และมีโหมดการถ่ายภาพ 15 เฟรมต่อวินาทีสำหรับภาพภ่าย 8 เมกะพิกเซล มีการจดจำและรับรู้ใบหน้าแบบเรียลไทม์ และมีฟังก์ชั่นการถ่ายภาพแบบเอชดีอาร์(HDR หรือ High Dynamic Range) ในอุปกรณ์พกพาด้วยเทคนิคการลบอาการเคลื่อนไหวในภาพ(de-ghosting) เพื่อภาพที่คมชัดยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ แพลตฟอร์มดังกล่าวยังประกอบด้วยเทคโนโลยีการปกป้องข้อมูลส่วนตัวอินเทล®ไอเดนทิตี้ โพรเทคชั่น เทคโนโลยี (Intel® Identity Protection Technology – Intel IPT)4ที่มีระบบการตรวจสอบตัวตนอย่างเข้มงวดถึงสองชั้น เพื่อป้องกันการทำธุรกรรมบนบริการคลาวด์ต่างๆ เช่นธนาคารออนไลน์อี-คอมเมิร์ซ เกมออนไลน์ และโซเชียลเน็ตเวิร์ค จากการเข้าถึงข้อมูลจากบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาต ตั้งแต่  ระดับ อินเทล ไอพีทีที่ถูกฝังลงไปในชิพ ที่ไม่เหมือนกับฮาร์ดแวร์ หรือทางโทรศัพท์ ระบบนี้ทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยเข้มแข็งมากขึ้น และยังมีระบบป้องกันการเข้าสู่บริการคลาวด์ที่ใช้ง่ายอีกด้วย

จอแสดงผล WUXGA ระดับ 1900×1200 ทำให้แพลตฟอร์มนี้รองรับดีไซน์ของแท็บเล็ตแอนดรอยด์* ที่มีขนาดจอกว้างขึ้น และยังรองรับแอนดรอยด์* 4.2 (Jelly Bean), เทคโนโลยี อินเทล ไวร์เลส ดิสเพลย์ (Intel Wireless Display Technology), HSPA+ ที่ 42Mbps ด้วยโซลูชั่นโมเด็ม อินเทล®เอ็กซ์เอ็มเอ็ม6360ดีไซน์บางเฉียบ และอัลตร้าไวโอเล็ต™ คอมมอน ไฟล์ ฟอร์แม็ต(UltraViolet™ Common File Format) ที่เป็นมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรม

แบรนด์ที่จะนำแพลตฟอร์ม “โคลฟเวอร์เทรลพลัส” มาใช้สำหรับโทรศัพท์และแท็บเล็ต ได้แก่ เอซุส*,  เลอโนโว* และแซดทีอี*

แพลตฟอร์มอินเทล®อะตอมZ2460 เอสโอซี (เมดฟิลด์)

อินเทล อะตอม โปรเซสเซอร์Z2460 มีเทคโนโลยี อินเทลไฮเปอร์-เธรดดิ้งออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน และการตอบสนองที่รวดเร็วขึ้น เพื่อให้ตรงกับความต้องการใช้งานในอุปกรณ์พกพาที่ล้ำสมัยในปัจจุบัน นอกจากนี้ ตัวโปรเซสเซอร์ยังประกอบด้วยอินเทลกราฟิก มีเดีย เอ็กเซอร์เลอเรเตอร์ สำหรับการใช้งานระบบกราฟิกสามมิติและวิดีโอแบบเอชดีได้เป็นอย่างดีการผสมผสานกันระหว่างประสิทธิภาพการทำงานขั้นสูงแต่ใช้พลังงานต่ำ ทำให้ อินเทล อะตอม โปรเซสเซอร์Z2460เหนือชั้นด้วยคุณสมบัติด้านการใช้งานแบตเตอรี่ที่ดีเยี่ยม3

from:http://mobiledista.com/pr-intel-joins-technology-partners-and-distributors-nationwide/

[PR] ไมโครซอฟท์ จับมือ2 พันธมิตรใหญ่ “สสส.-ททท.” เปิดตัวโครงการ “Wheel-go-round”

[PR] ไมโครซอฟท์ จับมือ2 พันธมิตรใหญ่ “สสส. ททท.” เปิดตัวโครงการ “Wheel go round”

เมื่อวันที่ 24 กันยายน ที่อาคารศูนย์เรียนรู้ งานดูพลีบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเว็บไซด์และแอพพลิเคชั่น “Wheel-go-round” ภายใต้ “โครงการเผยแพร่ข้อมูลสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ใช้รถเข็น” โดยมีน้องๆ จากทีมwheel-go-round ผู้พัฒนาโครงการและทีมMicrosoft Student Partners (MSPs) ผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นเข้าร่วมแถลงข่าวในงาน

นางสาวศิริพร พัชรวัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า“ไมโครซอฟท์ มีความยินดีที่ได้สนับสนุนและเห็นการพัฒนาที่ก้าวไปอีกขั้นของน้องๆ กลุ่ม Wheel-go-round  ซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ได้เข้าร่วมโครงการ Innovate For Good ภายใต้ YouthSparkซึ่งเป็นโครงการเพื่อสังคมที่ไมโครซอฟท์จัดขึ้นเพื่อมอบโอกาสและเติมพลังให้เยาวชนคนหนุ่มสาวทั่วโลกเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคม  สำหรับประเทศไทย  โดยไมโครซอฟท์ได้ผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตรทั้ง ภาครัฐบาล องค์กรพัฒนาเอกชน และภาคธุรกิจ ในการร่วมสร้างโอกาสและความแข็งแกร่งทางด้านการศึกษาและเทคโนโลยีให้แก่เยาวชนไทยที่มีอายุระหว่าง 16-30 ปี”

“โครงการ Innovate For Good เป็นหนึ่งในโครงการภายใต้ YouthSparkที่ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ได้จับมือกับสภาองค์การพัฒนาเด็กและเยาวชนในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สอ.ดย.)  ซึ่งเปิดตัวเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา  โดยมีเยาวชนกว่า 100 คน จากทั่วประเทศเข้าร่วมงาน”

“Innovate For Good เป็นชุมชนที่เปิดให้เยาวชนคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ได้เข้ามาทำงานร่วมกัน  ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการคิดค้นโครงการต่างๆ โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อสร้างความแตกต่างที่ดีขึ้นให้เกิดขึ้นกับชุมชนของตนเอง  นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์ ยังได้เข้ามาช่วยสนับสนุน โดยนำทีมน้องๆ Microsoft Student Partners (MSPs) เข้ามาช่วยพัฒนาแอพพลิเคชั่น Wheel-go-round  ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่นบนระบบปฏิบัติการวินโดวส์โฟน ซึ่งจะพร้อมให้ดาวน์โหลดอย่างเป็นทางการ ในกลางเดือนตุลาคมนี้ นอกจากนี้ ทีม Microsoft Student Partners ยังได้อัพเดทเว็บไซต์ Wheel-Go- Round เพื่อให้ผู้ใช้รถเข็นสามารถทราบและเข้าถึงข้อมูลการใช้รถเข็นและสามารถเดินทางไปในสถานที่ต่างๆ ได้สะดวกและง่ายดายยิ่งขึ้น   นับเป็นการรวมพลังสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ มาร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดีๆ เพื่อสังคมไทย

“ตลอดระยะเวลา 20 ปี ในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ไมโครซอฟท์ได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยผ่านวิสัยทัศน์ ‘We Make 70 Million Lives Better’ซึ่งที่ผ่านมามีคนไทยกว่า 10 ล้านคน ได้รับประโยชน์จากหลากหลายโครงการเพื่อสังคมของไมโครซอฟท์ อาทิ โครงการPartners in Learning, Imagine Cup, DreamSparkและ BizSpark  รวมถึงโครงการล่าสุดYouthSpark (ยูธสปาร์ค)”

[PR] ไมโครซอฟท์ จับมือ2 พันธมิตรใหญ่ “สสส. ททท.” เปิดตัวโครงการ “Wheel go round”

ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการ สสส. กล่าวว่า “ในปัจจุบันสังคมไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิต การปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม การให้บริการ รวมทั้งการปรับด้านความเชื่อและทัศนคติ เรื่องความแตกต่างในกลุ่มประชากร สังคมทุกภาคส่วนเริ่มมีแนวคิดเรื่องการเปิดพื้นที่การให้บริการในด้านต่างๆ อย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกันในทุกกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มคนพิการและผู้สูงอายุก็เช่นกัน ทุกคนต้องการความมีอิสระในการเดินทางและการใข้ชีวิตประจำวัน สสส ก็เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ต้องการมีส่วนร่วมในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมเพื่อลดช่องว่างและเสริมสร้างความเป็นธรรมทางด้านสุขภาพและการใช้ชีวิตของคนกลุ่มนี้ เพื่อให้มนุษย์ทุกคนมีสิทธิและสามารถเข้าถึงสิทธิในการดำรงชีวิตได้อย่างเป็นรูปธรรมและเท่าเทียม เข้าใจในความแตกต่างของบุคคล อันจะนำไปสู่สังคมแห่งเท่าเทียม (Inclusive society) ของคนทุกกลุ่ม”

“สำหรับ “โครงการเผยแพร่ข้อมูลสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ใช้รถเข็น(Wheel-go-round) สสส.ได้สนับสนุนโดยเล็งเห็นว่าโครงการนี้จะช่วยจุดประกายให้เกิดการปรับสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกในสถานที่ต่างๆให้เหมาะสมกับผู้ใช้วีลแชร์ รวมถึงสร้างความตระหนักแก่สังคมให้เห็นถึงความสำคัญของ“การมีพื้นที่”ซึ่งทุกคนสามารถเข้าถึงได้โดยปราศจากสภาพแวดล้อมที่เป็นอุปสรรค” ทพ.กฤษดา กล่าว

ด้านนางสาวลิปดา จารุเธียร ตัวแทนเยาวชนกลุ่ม Wheel-go-roundกล่าวถึงที่มาของแอพพลิเคชั่นนี้ว่า ตนมีญาติที่ใช้วีลแชร์ จะพบปัญหาเรื่องการเดินทางอยู่บ่อยครั้ง จนได้มีโอกาสร่วมกับเพื่อน คิดค้นและต่อยอดปัญหาดังกล่าว ซึ่งการออกไปเรียนรู้ ไปสำรวจปัญหาจริงๆ เราได้ไปคุยกับกลุ่มผู้ใช้วีลแชร์ที่อยู่ศูนย์ดำรงชีวิตอิสระ กลุ่มนักกีฬาวีลแชร์ และกลุ่มผู้ใช้วีลแชร์ที่ออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านเป็นประจำ ได้รับฟังและแลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นจริง พบว่าส่วนใหญ่เค้าก็มักจะไปแต่ที่เดิมๆ ที่เคยไปมาแล้ว หรือการจะไปที่ใหม่ๆ แต่ละครั้งก็มักจะสอบถามเพื่อนๆ มนุษย์ล้อกันเอง ยังไม่กล้าเสี่ยงที่จะออกไปเจอกับสภาพที่ไม่แน่นอนของสถานที่

“ในส่วนของแอพพลิเคชั่น เราได้มีโอกาสมาเข้าร่วม โครงการ Innovate For Good ของไมโครซอฟท์ในช่วงแรกที่กำลังพัฒนา จุดอ่อนที่เห็นจากการทดลองจากเฟซบุ๊ค(www.fb.com/wheelgoround)คือการหาและส่งต่อข้อมูลการเข้าถึงสถานที่ต่างๆ ยังไม่มีประสิทธิภาพเจนได้มีโอกาสรู้จักกับทีม Microsoft Student Partners โดยน้องๆ กลุ่มนี้ได้ช่วยเปิดมุมมองของเราให้กว้างขึ้น ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน โดยช่วยกันพัฒนาเว็บไซด์และแอพพลิเคชั่น ซึ่งเราได้นำไปให้ผู้ใช้วีลแชร์จริงๆทดลองใช้ เพื่อนำเสียงตอบรับจากผู้ใช้งานจริงมาบอกต่อให้น้องๆได้ปรับปรุงแก้ไข จนได้เป็นแอพพลิเคชั่นอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ใช้วีลแชร์ที่ดีที่สุด”นางสาวลิปดา กล่าว

[PR] ไมโครซอฟท์ จับมือ2 พันธมิตรใหญ่ “สสส. ททท.” เปิดตัวโครงการ “Wheel go round”

โดยผู้ที่สนใจสามารถเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซด์  http://www.wheelgoround.in.th ซึ่งเปิดให้บริการแล้ว สำหรับแอพพลิเคชั่น wheel-go-round จะเปิดให้ดาวน์โหลดใช้ผ่าน วินโดวส์ สโตร์ ตั้งแต่กลางเดือน ตุลาคม 2556 เป็นต้นไป  โดยหลังจากการเปิดให้ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นนี้แล้ว ทางทีม Wheel-go-round มีความตั้งใจที่จะพัฒนาแอพพลิเคชั่นบนแพลตฟอร์มอื่นๆ และเพิ่มฟังก์ชั่นภาษาไทยเร็วๆ นี้

from:http://mobiledista.com/pr-microsoft-joins-two-allies-to-verify-tat-launch-wheel-go-round/

[PR] อินเทลเปิดตัวเอสโอซีรุ่นใหม่แบบมัลติคอร์ กินไฟต่ำ

[PR] อินเทลเปิดตัวเอสโอซีรุ่นใหม่แบบมัลติคอร์ กินไฟต่ำ

วันนี้ อินเทล คอร์ปอเรชั่น ประกาศเปิดตัวเอสโอซี (SoC – system-on-a-chip) ซึ่งเป็นชิพแบบที่มีระบบประมวลผลต่างๆ ฝังอยู่ในชิพตัวเดียวกัน ตระกูลใหม่ล่าสุดซึ่ง กินไฟต่ำ ที่มีชื่อรหัสเดิมคือ “เบย์เทรล” (Bay Trail) เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของอุปกรณ์ที่มีสมรรถนะสูงและประหยัดพลังงาน ตั้งแต่แท็บเล็ต อุปกรณ์ทูอินวัน ไปจนถึงอุปกรณ์พกพาอื่นๆ ให้พร้อมรองรับความต้องการของทั้งนักธุรกิจและผู้บริโภคทั่วไปในราวไตรมาสสี่ของปีนี้ โดยมีผู้ผลิตชั้นนำที่เตรียมนำเสนอผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด ได้แก่ เอเอวีเอ* เอเซอร์* เอซุส* เดลล์* เลอโนโว* และ โตชิบา* เป็นต้น

โปรเซสเซอร์ในตระกูล “เบย์เทรล” ผลิตด้วยสถาปัตยกรรมระดับไมโคร “ซิลเวอร์มอนท์” ของอินเทล ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและกินไฟต่ำ และเปิดตัวไปแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคม 2556  โดยมี อินเทล อะตอม    แซท3000 โปรเซสเซอร์ ซีรี่ส์ หรือ “เบย์เทรล-ที” (Intel Atom Z3000 Processor Series or “Bay Trail-T”)  เป็น เอสโอซี มัลติคอร์ สำหรับอุปกรณ์โมบายล์รุ่นแรกและเป็นที่มีสมรรถนะสูงที่สุดในปัจจุบันของอินเทล1 เหมาะสำหรับแท็บเล็ตและอุปกรณ์โมบายล์อื่นๆ ที่ต้องการดีไซน์บางเบา ทำงานได้อย่างรวดเร็วและคล่องตัว และมีความลงตัวทั้งในเรื่องของประสิทธิภาพ อายุการใช้งานแบตเตอรี่ กราฟิกและคุณสมบัติอื่นๆ อีกมากมาย

สถาปัตยกรรมระดับไมโครรุ่นใหม่ดังกล่าวรองรับการทำงานในหลากรูปแบบ ทำให้เอสโอซีสามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดกลุ่มต่างๆ ได้ โดยมีให้เลือกทั้ง อินเทล® เพนเที่ยม® โปรเซสเซอร์ (เบย์เทรล-เอ็ม) และ เซเลอรอน® โปรเซสเซอร์ (เบย์เทรล-ดี) สำหรับอุปกรณ์ทูอินวันระดับเริ่มต้น แล็ปท้อป เดสก์ท้อป และอุปกรณ์ออลอินวัน

เอสโอซีในตระกูล “เบย์เทรล” เป็นทางเลือกให้ลูกค้ามากมาย ในการกำหนดอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ชิ้นหนึ่งให้สามารถใช้ได้ทั้งวินโดวส์ 8* และแอนดรอยด์* เพื่อดีไซน์ตัวเครื่องได้อย่างหลากหลายรูปแบบ และสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ได้หลายระดับราคาเพื่อให้ผู้บริโภคเลือกได้ตรงตามความต้องการทั้งในกลุ่มนักธุรกิจและผู้ใช้งานทั่วไป

เฮอร์แมน อูล รองประธานองค์กรและผู้จัดการทั่วไป กลุ่มโมบายล์และการสื่อสารของอินเทล กล่าวว่า “สิ่งที่เรานำเสนอในแพลตฟอร์ม เบย์เทรล คือ เอสโอซีที่มีพลังสมรรถนะสูงอย่างไม่น่าเชื่อ จุดแข็งที่โดดเด่นของแพลตฟอร์มนี้จึงมีทั้งด้านประสิทธิภาพ ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนาน และประสบการณ์การใช้งานที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้คนที่ใช้อุปกรณ์เหล่านี้ในปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด  พันธมิตรในระดับโออีเอ็มของเราที่นำเบย์เทรลไปพัฒนาสินค้าของตน จะสามารถดีไซน์ตัวอุปกรณ์ให้มีรูปแบบที่หลากหลายและมีจำหน่ายในหลายระดับราคา เพื่อความพึงพอใจสูงสุดของผู้บริโภค นักธุรกิจ และผู้จัดการฝ่ายไอที”

เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์ให้ขึ้นไปถึงจุดซึ่งเป็นที่ต้องการของอุปกรณ์พกพา อินเทล จึงพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อแก้ปัญหาและความท้าทายต่างๆ ทางด้านเทคโนโลยีในปัจจุบัน รวมถึงความสามารถในการทำงานมัลติทาสก์ ยืดระยะเวลาการใช้งานของแบตเตอรี่ คุณสมบัติด้านกราฟิกที่ดีขึ้น ประสิทธิภาพที่เพิ่มสูงขึ้น และความคล่องตัวในการใช้อุปกรณ์พกพาที่ทำให้ใช้งานได้เพลิดเพลินยิ่งขึ้น สำหรับวิดีโอคลิปที่มีเนื้อหาและภาพเกี่ยวกับผู้บริหารและนักพัฒนาซึ่งเกี่ยวข้องกับเบย์เทรล สามารถดูได้ที่ intel.synapticdigital.com.

แท็บเล็ตที่มีสมรรถนะสูงขึ้น อุปกรณ์ทูอินวันที่ใช้อินเทล อะตอม แซท3000 โปรเซสเซอร์ ซีรี่ส์

อินเทล อะตอม แซท3000 เป็นซีรี่ส์โปรเซสเซอร์ที่ให้สมรรถนะในระดับสูงพร้อมด้วยอายุแบตเตอรี่ที่ยาวนานตลอดวัน ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มของอินเทลที่มีความสามารถสูงที่สุดและให้ประสิทธิภาพดีที่สุดในปัจจุบันสำหรับแท็บเล็ตและอุปกรณ์พกพาอื่นๆ ที่ต้องการดีไซน์บางเบา ด้วยขนาดที่เล็กกว่าเดิม กินไฟต่ำ แต่มีสมรรถนะในการประมวลผลมากกว่าเดิมถึงสองเท่า และมีสมรรถนะด้านกราฟิกดีกว่าเดิมถึงสามเท่า  เมื่อเทียบกับอินเทล อะตอม โปรเซสเซอร์ เจนเนอเรชั่นปัจจุบัน  แพลตฟอร์มเอสโอซีรุ่นกินไฟต่ำช่วยให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานได้นานกว่า 10 ชั่วโมง2 และเปิดสแตนด์บายได้นานถึงสามสัปดาห์โดยที่เครื่องยังสามารถเชื่อมต่อออนไลน์ได้ตลอดเวลา

นอกจากนี้  อินเทล อะตอม แซท3000 โปรเซสเซอร์ ซีรี่ส์ ยังมีเทคโนโลยี Intel® Burst Technology 2.0 และมี 4 คอร์ 4 เธรด และแคช L2 ขนาด 2 MB  โดยที่สมรรถนะดังกล่าวทำให้ผู้ใช้สามารถทำงานในลักษณะมัลติทาส์ก สร้างและอ่านหรือดูคอนเทนท์ได้เต็มที่ และเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์ต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ไม่ว่าจะใช้บนแอนดรอยด์หรือวินโดวส์ 8  นอกจากนี้ ยังมีดีไซน์ของตัวเครื่องให้เลือกมากมายไม่ว่าจะเป็นแท็บเล็ต หรือ อุปกรณ์ทูอินวัน โดยตัวอุปกรณ์สามารถดีไซน์ให้มีความบางเบาได้ตั้งแต่ขนาด 8 มม.ไปจนถึง 1 ปอนด์ (ประมาณ 0.45 กก.) และมีขนาดจอตั้งแต่ 7-11.6 นิ้ว*  สำหรับแท็บเล็ตที่ใช้ เอสโอซี อินเทล อะตอม จะมีจำหน่ายในราคาเริ่มต้นที่ 199 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 6,000 บาท)

สำหรับการใช้งานในองค์กรธุรกิจ อินเทล อะตอม แซท3000 ซีรี่ส์ ยังทำให้แท็บเล็ตมีประสิทธิภาพและดีไซน์ซึ่งเป็นที่ต้องการ โดยมาพร้อมกับระบบการปกป้องข้อมูลสำหรับองค์กรซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับฝ่ายไอที คุณสมบัติด้านการรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง ได้แก่ เทคโนโลยี McAfee® DeepSAFE*, AES hardware full disk encryption, Intel® Platform Trust Technology, Intel® Identity Protection Technology และ Intel Data Protection Technology โดยเทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้การทำงานบนแพลตฟอร์มนี้ปลอดภัยยิ่งขึ้น  นอกจากนี้ โปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ยังรองรับการทำงานของ Microsoft Windows 8 Pro Domain Join and Group Policy และใช้งานร่วมกับแอพพลิเคชั่นและอุปกรณ์พ่วงต่อต่างๆ ได้อย่างเต็มที่อีกด้วย

อินเทลได้ทำงานร่วมกับนักพัฒนาแอพพลิเคชั่นเพื่อให้มั่นใจว่า แพลตฟอร์มที่ใช้สถาปัตยกรรมอินเทลทั้งบนวินโดวส์และแอนดรอยด์จะให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุด นักพัฒนาบางส่วนที่อินเทลร่วมงานด้วย ได้แก่ Cyberlink, Skype-HD และ Netflix-HD, PhiSix, Arcsoft, Tieto, Gameloft รวมถึงแอพพลิเคชั่นสำหรับธุรกิจอีกหลายราย โดยอินเทลมุ่งเน้นในด้านคุณภาพสูงสุดของภาพ กราฟิก และสมรรถนะโดยรวมทั้งหมดเพื่อให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดสำหรับผู้บริโภค เนื่องจากอินเทลมีประสบการณ์ยาวนานในการใช้ระบบปฏิบัติการทั้งวินโดวส์และแอนดรอยด์ จึงสามารถดึงจุดเด่นของทั้งสองระบบมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ในราวต้นปี 2557 อินเทลเตรียมเปิดตัวเทคโนโลยี 64 บิต สำหรับแท็บเล็ต เพื่อให้ผู้จัดการด้านไอทีได้ประโยชน์มากขึ้น โดยอุปกรณ์ที่ใช้เอสโอซีเวอร์ชั่นใหม่จะมีแอพพลิเคชั่นและระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับองค์กรในระดับเอ็นเตอร์ไพรซ์ นอกจากนี้ เทคโนโลยี Intel® Identity Protection Technology (IPT) ที่มี PKI ยังไม่จำเป็นต้องใช้รหัส VPN เมื่อมีการใช้งานร่วมกับระบบที่รองรับทั้ง IPT และ PKI อีกด้วย

เบย์เทรล โปรเซสเซอร์ เพิ่มพลังสมรรถนะให้กับอุปกรณ์ทูอินวันระดับเริ่มต้น โน้ตบุ๊ก เดสก์ท้อป และอุปกรณ์ออลอินวัน

สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้ “เบย์เทรล-เอ็ม” จะมีวางจำหน่ายร่วมสี่รุ่น ซึ่งได้แก่ อินเทล เพนเที่ยม เอ็น3510 โปรเซสเซอร์ และ อินเทล เซเลอรอน โปรเซสเซอร์ ซีรี่ส์ ซึ่งได้แก่ เอ็น2910, เอ็น2810 และ เอ็น2805 โปรเซสเซอร์ซีรี่ส์ดังกล่าวจะเพิ่มสมรรถนะให้กับนวัตกรรมอุปกรณ์ทูอินวันและโน้ตบุ๊กหน้าจอสัมผัส ทำให้ผู้ใช้กลุ่มใหม่ได้รับประสบการณ์ในระดับราคาที่ย่อมเยาลง

ด้วยสถาปัตยกรรมระดับไมโครที่มีความยืดหยุ่นต่อการผลิตสินค้าและคุณภาพของกราฟิกที่ดียิ่งกว่าเดิม ซึ่งเป็นจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ทุกรุ่นที่ใช้เบย์เทรล โดยทั้ง เพนเที่ยม เอ็น3000 โปรเซสเซอร์ และเซเลอรอน เอ็น2000 โปรเซสเซอร์ ซีรี่ส์ ต่างให้สมรรถนะในการใช้งานแอพพลิเคชั่นที่รวดเร็วยิ่งกว่าเดิมถึงสามเท่า และมีคุณสมบัติด้านกราฟิกที่ดีกว่าเดิมสูงสุดถึงสามเท่า เมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กราคาเยาที่ใช้เทคโนโลยีอินเทลรุ่นก่อนหน้านี้สามปี3  โดยดีไซน์ของอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้โปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ ไม่ต้องใช้พัดลมระบายความร้อน ตัวเครื่องบางน้อยกว่า 11 มม. และเบาเพียง 2.2 ปอนด์  (ประมาณ 1 กิโลกรัม)  อินเทลคาดว่าจะมีเครื่องวางจำหน่ายในตลาดด้วยราคาเริ่มต้นที่ 199 เหรียญสหรัฐสำหรับเครื่องที่เป็นแบบฝาพับ 250 เหรียญสำหรับโน้ตบุ๊กหน้าจอสัมผัส และ 349 เหรียญสำหรับอุปกรณ์ทูอินวัน

สำหรับผลิตภัณฑ์ “เบย์เทรล-ดี” จะมีวางจำหน่ายสามรุ่นด้วยกัน คือ อินเทล เพนเที่ยม เจ2850 อินเทล เซเลอรอน เจ1850 และ อินเทล เซเลอรอน เจ1750  ซึ่งทั้งหมดมาในรูปของแพ็คเกจที่มีขนาดเล็กที่สุดของอินเทลสำหรับโปรเซสเซอร์เดสก์ท้อป เพื่อใช้ผลิตเดกส์ท้อปขนาดเล็กและไม่ต้องมีพัดลม สำหรับตลาดผู้ใช้ในระดับเริ่มต้น  นอกจากนี้ โปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ยังเป็นที่ต้องการของกลุ่มที่มีการใช้งานที่เฉพาะเจาะจง เช่น จอแสดงผลดิจิตอลอัจฉริยะ (intelligent digital displays) โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ระบบประหยัดพลังงาน  สมรรถนะการทำงานที่เร็วกว่าเดิมถึงสามเท่า ระบบกราฟิกที่ดีขึ้นสูงสุดถึงสิบเท่า เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ลักษณะเดียวกันที่อินเทลเคยนำเสนอเมื่อสามปีที่แล้ว3 สำหรับเครื่องชนิดเต็มรูปแบบที่ใช้โปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ดังกล่าว คาดว่าว่าจะมีวางจำหน่ายในราคาเริ่มต้นที่ 199 เหรียญสหรัฐ

from:http://mobiledista.com/pr-intel-released-the-dsos-new-multicore-low-power-consumption/

[PR] เอเซอร์ จัดกิจกรรมสุดฟิน “Like me ACER ใจดีจ่ายให้”

[PR] เอเซอร์ จัดกิจกรรมสุดฟิน “Like me ACER ใจดีจ่ายให้”

บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด เปิดตัวกิจกรรม “Like me ACER ใจดีจ่ายให้” กิจกรรมสุดคุ้มเพื่อตอบแทนและคืนกำไรให้กับลูกค้าที่ซื้อ ICONIA | W3 แท๊ปเล็ต Windows 8 ขนาดหน้าจอ 8.1” เครื่องแรกในประเทศไทยที่นำประสิทธิภาพคอมพิวเตอร์มาใส่ในแท๊ปเล็ตให้คุณสนุกกับหน้าจอสัมผัส ทำงาน เล่นเกมส์ เล่นเน็ท เฟสบุ๊ก ดูหนัง ฟังเพลง และสะดวกในการพกพาไปได้ทุกที่

ลุ้น! กันง่ายๆเพียง ถ่ายภาพคู่กับ ICONIA | W3 คู่หูชิ้นใหม่ที่ซื้อไปในท่าที่สุดเก๋ พร้อมข้อความโดนใจ แล้วแชร์ในหน้าเพจเฟสบุ๊คของ AcerThailand พร้อมชวนเพื่อนๆ มาช่วยกันกดไลค์ รูปใดมีคนกด Like  มากที่สุด 20 อันดับแรก รับไปเลยเต็มๆ เงินรางวัลเท่ามูลค่าเครื่อง ICONIA | W3 ที่ซื้อมา (อ้างอิงจากใบกำกับภาษี) และผู้ร่วมสนุกอีก 80 ท่านยังสามารถลุ้นรับส่วนลด 50 % ของมูลค่าเครื่อง ICONIA | W3 (อ้างอิงจากใบกำกับภาษี)

รวมผู้โชคดีกว่า 100 ท่าน มูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 1ล้าน บาท สามารถร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม – 30 กันยายน 2556 นี้

* พิเศษสุดสำหรับผู้ซื้อ ICONIA | W3 ราคา 12,900 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) รับฟรี  Microsoft Office Home and Student 2013  – product register key มูลค่า 3,500 บาท และ  Acer Protective Case and Acer Protection film มูลค่า 940 บาท


วิธีเข้าร่วมกิจกรรม

  • กด like แฟนเพจ https://www.facebook.com/AcerThailand
  • ถ่ายภาพคู่กับ Acer ICONIA | W3  พร้อมข้อความโดนใจ แชร์ที่หน้าเพจของ AcerThailand
  • จากนั้นเริ่ม “Share” และชวนเพื่อนมาคลิก “Like” ยิ่ง “Like” มากยิ่งมีสิทธิ์ได้รับรางวัลมาก

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เอเซอร์ คอลล์ เซ็นเตอร์ ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-685-4311 หรือติดตามรายพร้อมความเคลื่อนไหวของกิจกรรมนี้ได้ที่ https://www.facebook.com/AcerThailand

from:http://mobiledista.com/pr-acer-event-at-dauphin-like-me-acer-i-paid-for/

[PR] อินเทล® คอร์™ เจนเนอเรชั่น 4 ผลักดันกระแสการเกิดอุปกรณ์ทูอินวันรุ่นใหม่

[PR] อินเทล® คอร์™ เจนเนอเรชั่น 4 ผลักดันกระแสการเกิดอุปกรณ์ทูอินวันรุ่นใหม่

บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศเปิดตัวโปรเซสเซอร์ตระกูล อินเทล® คอร์™ เจนเนอเรชั่น 4 เพื่อฉีกรูปแบบการประมวลผลคอมพิวเตอร์จากเดิมโดยสิ้นเชิง ไปสู่รูปแบบใหม่ที่ให้ประสบการณ์การใช้งานด้วยประสิทธิภาพสูงสุด และตรงกับความต้องการเฉพาะของผู้ใช้งานแต่ละคน ความจุของแบตเตอรี่ที่อัดแน่นจนใช้ได้นานเป็นพิเศษ ระบบกราฟิกที่ทันสมัยที่สุด และรูปแบบการใช้งานของอุปกรณ์ใหม่ๆ อาทิ อุปกรณ์ทูอินวัน แท็บเล็ต อุปกรณ์ ออลอินวันแบบพกพาที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง ตลอดจนอุปกรณ์เชิงธุรกิจซึ่งมีคุณสมบัติด้านบริหารจัดการที่มาพร้อมเทคโนโลยี อินเทล® วีโปร™ เป็นต้น

อินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ รุ่นใหม่มีประสิทธิภาพสูงอย่างเหลือเชื่อในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการตอบสนองต่อคำสั่ง ระบบรักษาความปลอดภัย และสมรรถะนะที่ทำให้ผู้บริโภคสามารถสร้างหรือใช้คอนเทนท์ต่างๆ ได้อย่างคล่องตัวสูงสุดเมื่อมีการใช้งานนอกสถานที่ เพราะโปรเซสเซอร์รุ่นนี้เป็นชิพรุ่นแรกที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ทั้งหมดเพื่ออัลตร้าบุ๊กโดยเฉพาะ นับตั้งแต่ยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีครั้งสำคัญ คือ อินเทล® เซนทรีโน® เป็นต้นมา การเปิดตัว อินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ เจนเนอเรชั่น 4 ในครั้งนี้ เป็นการผสานรวมประสิทธิภาพสูงสุดของพีซีเข้ากับความคล่องตัวของแท็บเล็ต ซึ่งจะนำไปสู่การกระตุ้นให้อุปกรณ์รูปแบบใหม่อย่างทูอินวันเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย

ด้วยคุณสมบัติด้านการใช้พลังงานที่กินไฟต่ำเพียง 6 วัตต์ ทำให้ผู้ผลิตสามารถออกแบบอุปกรณ์โดยใช้โปรเซสเซอร์รุ่นใหม่นี้ ให้ดีไซน์ของเครื่องบางและเบาขึ้น ร้อนน้อยลง เงียบลง และไม่ต้องใช้พัดลมในเครื่องอีกต่อไป นอกจากนี้ อินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ รุ่นใหม่ ยังช่วยกระตุ้นให้มีการออกแบบอุปกรณ์แนวใหม่ๆ มากขึ้น เช่น พีซีออลอินวันที่ใช้งานแบตเตอรี่ได้นานขึ้น ซึ่งเป็นการนำเอารูปแบบการใช้งานที่คล่องตัวมาใช้กับอุปกรณ์ออลอินวันที่มีอัตราการเติบโตในตลาดที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อินเทล คอร์โปรเซสเซอร์ เจนเนอเรชั่น 4 รุ่นใหม่ถือเป็นโปรเซสเซอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด มีประสิทธิภาพของการใช้งานแบตเตอรี่ดีขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับโปรเซสเซอร์รุ่นก่อนหน้านี้

[PR] อินเทล® คอร์™ เจนเนอเรชั่น 4 ผลักดันกระแสการเกิดอุปกรณ์ทูอินวันรุ่นใหม่

นายเอกรัศมิ์ อวยสินประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “อินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ เจนเนอเรชั่น 4 ทำให้แบตเตอรี่มีประสิทธิภาพสูงในระดับก้าวกระโดดซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดเท่าที่อินเทลเคยทำไว้  ระบบกราฟิกที่ดีขึ้นกว่าเดิมสองเท่า และเป็นซีพียูที่ได้รับการออกแบบให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าเดิมมากเพื่อรองรับรูปแบบการใช้งานใหม่ๆ ได้อย่างน่าสนใจสำหรับผู้บริโภคทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย  การเปิดตัวครั้งนี้จะช่วยผลักดันให้ตลาดอุปกรณ์รูปแบบใหม่อย่างทูอินวันได้รับความนิยมเร็วขึ้น เพราะอุปกรณ์ดังกล่าวจะรวมคุณสมบัติที่โดดเด่นของทั้งโน้ตบุ๊กและแท็บเล็ตเข้าไว้ด้วยกัน ปีนี้จึงน่าจะเป็นปีที่ดีที่สุดที่ผู้บริโภคจะเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ทูอินวันแบบใหม่แทนแท็บเล็ตหรือพีซีรุ่นเก่า”

ปัจจุบัน คอมพิวเตอร์สำหรับนักธุรกิจและผู้บริโภคที่ใช้อินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ เจนเนอเรชั่น 4 เริ่มมีวางจำหน่ายแล้ว โดยผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ชั้นนำจะเริ่มจำหน่ายอัลตร้าบุ๊กทูอินวัน อุปกรณ์พกพา ออลอินวัน รวมทั้งแล็บท้อปและพีซีรูปแบบดั้งเดิมในเร็วๆ นี้ ส่วนคอมพิวเตอร์พกพาที่ใช้ในเชิงธุรกิจ ซึ่งมี อินเทล® คอร์™ วีโปร™ เจนเนอเรชั่น 4 จะเริ่มมีจำหน่ายภายในสิ้นปีนี้ ผู้สนใจสามารถดูราคาของอินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ รุ่นใหม่ได้ที่ www.intc.com

กินไฟน้อย แต่ให้ประสิทธิภาพสูงและระบบกราฟิกที่โดดเด่นสะดุดตา

อินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ เจนเนอเรชั่น 4 เป็นรุ่นที่มีการพัฒนาประสิทธิภาพด้านแบตเตอรี่ที่สูงที่สุดของอินเทลเมื่อเทียบกันระหว่างรุ่นต่อรุ่น โดยหากเทียบกับเจนเนอเรชั่นก่อนหน้านี้ โปรเซสเซอร์รุ่นล่าสุดจะทำให้แบตเตอรี่ใช้งานได้ดีขึ้นร้อยละ 50 ในกรณีที่เครื่องกำลังทำงาน เช่น ขณะชมภาพยนตร์หรือท่องอินเตอร์เน็ต และดีขึ้นสองถึงสามเท่าเมื่ออยู่ในโหมดสแตนบาย สำหรับอุปกรณ์บางรุ่นที่จะเริ่มจำหน่ายในปีนี้ การชาร์จแบตเตอรี่หนึ่งครั้งจะทำให้แบตเตอรี่ใช้ได้นานกว่า 9 ชั่วโมงเมื่ออยู่ในโหมดทำงาน และใช้ได้นาน 10-13 วันเมื่ออยู่ในโหมดแสตนบาย โดยที่เครื่องจะยังคงมีการรับข้อมูลตลอดเวลาได้ตามปกติ

ความก้าวหน้าดังกล่าวเป็นผลมาจากการที่อินเทลสามารถลดอัตราการใช้พลังงานในระดับซีพียูได้เกินกว่าระดับที่เคยตั้งไว้ ซึ่งเหลือเพียงแค่ 6 วัตต์เท่านั้น แต่ยังคงรักษาระบบการทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การปรับปรุงดังกล่าวครอบคลุมตั้งแต่ซิสเต็มออนชิพ (SoC) และเทคโนโลยีระดับแพลตฟอร์มไปจนถึงเทคโนโลยีขั้นตอนการผลิตแบบ 22 นาโนเมตรที่ล้ำสมัยของอินเทล นอกจากนี้ อินเทลยังปรับปรุงด้านการใช้พลังงานทั้งในขณะที่เครื่องมีการทำงานและในขณะที่เครื่องหยุดพักการทำงาน  ผ่านการพัฒนาโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมของโปรเซสเซอร์ให้กินไฟต่ำเป็นพิเศษ ทำให้ซีพียูใช้พลังงานน้อยมากเมื่ออยู่ในโหมดหยุดพักการทำงานหากเทียบกับโปรเซสเซอร์รุ่นก่อนหน้านี้

อินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ เจนเนอเรชั่น 4 เป็นโปรเซสเซอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับตลาดระดับเมนสตรีมในปัจจุบัน และมีระบบกราฟิกที่ดีกว่าเดิมอีกด้วย  เมื่อเทียบกับเครื่องในรุ่นใกล้เคียงกันที่ใช้มานานกว่า 4 ปี ผู้ใช้จะรู้สึกได้ทันทีว่าการทำงานของเครื่องเร็วกว่าเดิมถึงสองเท่า เครื่องกลับสู่โหมดพร้อมใช้งานได้เร็วกว่าเดิม 8 เท่า สามารถแก้ไขและแชร์วิดีโอระบบไฮเดฟฟินิชั่นได้เร็วขึ้นประมาณ 20 เท่า

นอกจากนี้ อินเทลยังพัฒนาระบบกราฟฟิกให้มีขีดความสามารถกว้างขึ้นในระดับเอสโอซีเพื่อรองรับการแสดงผลกราฟิกที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าเดิมโดยที่ตัวอุปกรณ์ยังคงมีดีไซน์ที่บางและเบา กราฟฟิก อินเทล® ไอริส™ (Intel® Iris™) จะมีอยู่ใน อินเทล คอร์ เจนเนอร์เรชั่น 4 บางรุ่น โดยเทคโนโลยีนี้จะทำให้ประสิทธิภาพของกราฟิกสามมิติเหนือกว่าเดิมสองเท่า เมื่อเทียบกับกราฟิก อินเทล ไฮเดฟฟินิชั่น  รุ่นที่เร็วที่สุดในปัจจุบันของอุปกรณ์พกพา กราฟิก อินเทล ไอริส จะทำให้อุปกรณ์พกพามีระบบกราฟิกในตัวที่สมบูรณ์แบบโดยไม่จำเป็นต้องซื้อกราฟิกการ์ดเพิ่มอีกต่อไป

ฉีกรูปแบบการประมวลผลแบบเดิมๆ และใช้อัลตร้าบุ๊กพลังแรงจากอินเทล คอร์ ได้อย่างมั่นใจ

อินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ เจนเนอเรชั่น 4 ช่วยสร้างรูปแบบใหม่ๆ ในการโต้ตอบกันระหว่างผู้ใช้กับตัวอุปกรณ์มากขึ้นเพื่อให้การใช้งานโดยรวมดีขึ้นกว่าเดิม อินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ เจนเนอเรชั่น 4  ถูกออกแบบใหม่หมดตั้งแต่ต้นเพื่อใช้กับอัลตร้าบุ๊กโดยเฉพาะ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกครั้งในวงการ อินเทล คอร์ รุ่นใหม่นี้เข้ามายกระดับศักยภาพของอัลตร้าบุ๊ก รวมทั้งทำให้วิสัยทัศน์ของอินเทลเมื่อสองปีก่อนกลายเป็นความจริง ด้วยการผสานรวมสิ่งที่ดีที่สุดต่างๆ ไว้ในดีไซน์สำหรับอุปกรณ์พกพาดีไซน์บางเฉียบเรียบหรูเพียงชิ้นเดียว ซึ่งได้แก่ ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด การตอบสนองที่รวดเร็ว อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยอดเยี่ยมและมีระบบรักษาความปลอดภัยในตัว

อัลตร้าบุ๊กรุ่นใหม่ๆ จะมีระบบหน้าจอสัมผัสและมีคุณสมบัติ อินเทล ไวร์เลส ดิสเพลย์ ในตัว เพื่อให้เครื่องมีรูปแบบการโต้ตอบกับตัวอุปกรณ์ได้ทั้งแบบระบบสัมผัสและโดยการเคลื่อนไหวร่างๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ รวมทั้งยังมีโหมดความเร็วให้ใช้ในกรณีเล่นเกมที่ต้องการความล่าช้าต่ำบนจอขนาดใหญ่ นอกจากนี้ อัลตร้าบุ๊กยังมีระบบควบคุมและสั่งงานโดยใช้เสียงพูด เพื่อความคล่องตัวของผู้ใช้งานในการเลือกวิธีการที่เป็นธรรมชาติและง่ายที่สุดสำหรับการใช้งานในรูปแบบต่างๆ  อัลตร้าบุ๊กจะเปลี่ยนจากโหมดการพักเครื่อง (deep sleep) มาสู่โหมดพร้อมใช้งานได้ภายใน 3 วินาที และในบางกรณีอาจเร็วกว่านั้น เพื่อให้เครื่อง “พร้อมใช้งานได้ทันที” ได้อย่างที่ต้องการ ในขณะที่อัลตร้าบุ๊กอยู่ในโหมดใช้พลังงานต่ำ เครื่องจะยังคงสามารถรับข้อมูลต่างๆ จากทั้งอีเมล์ สังคมออนไลน์ และการอัพเดทอื่นๆ อยู่ตลอดเวลา ผู้ใช้จึงไม่ต้องเสียเวลารอเครื่องอัพเดตข้อมูลต่างๆ เมื่อเครื่องกลับเข้าสู่โหมดพร้อมใช้งาน

นอกจากนี้ อัลตร้าบุ๊กยังมีระบบรักษาความปลอดภัยในตัว ซึ่งประกอบด้วยเทคโนโลยี Intel Identity Protection Technology (Intel IPT) และ Intel Anti-Theft Technology (Intel AT) เพื่อช่วยปกป้องระบบคอมพิวเตอร์ได้ดียิ่งขึ้น เว็บไซต์ต่างๆ ที่จับมือเป็นพันธมิตรกับ Intel IPT จะช่วยปกป้องข้อมูลการล็อกอิน เพื่อทำให้ข้อมูลที่ต้องการการระบุอัตตลักษณ์ของคุณปลอดภัยมากขึ้นด้วยระบบตรวจสอบที่ใส่ไว้ในระดับฮาร์ดแวร์ ในขณะที่ Intel AT จะช่วยปกป้องอัลตร้าบุ๊กด้วยการปิดระบบการทำงานของเครื่องโดยอัตโนมัติในกรณีที่เครื่องสูญหายหรือถูกขโมย ส่วนบริการ McAfee LifeSafe ที่เพิ่งเปิดตัวไปจะช่วยเพิ่มการปกป้องระดับสูงสุดจากการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีต่างๆ ที่มีอยู่ใน อินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ รุ่นใหม่ รวมทั้ง Intel IPT และ Intel AT ด้วย

[PR] อินเทล® คอร์™ เจนเนอเรชั่น 4 ผลักดันกระแสการเกิดอุปกรณ์ทูอินวันรุ่นใหม่

พัฒนามาสำหรับองค์กร: เครื่องที่ใช้ในเชิงธุรกิจ เวิร์กสเตชั่น และระบบอัจฉริยะ

คุณสมบัติต่างๆ ที่มีอยู่ใน อินเทล คอร์ วีโปร โปรเซสเซอร์ เจนเนอเรชั่น 4 จะทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยรัดกุมและเข้มงวดยิ่งขึ้น และเพิ่มประสิทธิผลของการใช้งานในเชิงธุรกิจให้มากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจว่าพนักงานไอทีและผู้ใช้ทั่วไปจะสามารถใช้งานในเชิงธุรกิจได้ดีที่สุด โดยในขณะนี้ อินเทล คอร์ วีโปร เริ่มมีจำหน่ายแล้วในอุปกรณ์บางรุ่นของพีซีเชิงธุรกิจ พีซีออลอินวัน อุปกรณ์ขนาดเล็ก และเวิร์กสเตชั่นแบบพกพา จากนั้นในช่วงปลายปีนี้ ผู้ผลิตต่างๆ จะเริ่มนำโปรเซสเซอร์รุ่นนี้ไปใช้ใน อัลตร้าบุ๊ก แท็บเล็ต และแล็บท้อปเชิงธุรกิจ เนื่องจากเหล่าผู้ผลิตเชื่อมั่นว่าอินเทล คอร์ วีโปรให้ประสิทธิภาพด้านการรักษาความปลอดภัยที่สูงขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิผลเพิ่มขึ้น และรองรับรูปแบบการทำงานร่วมกัน เพื่อความมั่นใจของผู้ใช้ทั่วไปและผู้ใช้ที่เชี่ยวชาญด้านไอที

อินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ เจนเนอเรชั่น 4 ยังเหมาะที่จะนำไปใช้กับระบบอัจฉริยะประสิทธิภาพสูงที่ต้องการระบบประมวลผลที่กินไฟต่ำ เพื่อรองรับระบบการทำงานของธุรกิจค้าปลีก อุตสาหกรรม เซิร์ฟเวอร์มีเดีย การแพทย์ และระบบกล้องวงจรปิดระบบดิจิตอล  ในขณะที่ประสิทธิภาพด้านกราฟิกสามมิติและการใช้มีเดียมีสมรรถนะสูงขึ้นซึ่งจะช่วยรองรับการเล่นมีเดียไฮเดฟฟินิชั่นได้อย่างยอดเยี่ยม จึงเหมาะอย่างยิ่งกับระบบค้าปลีก และแอพพลิเคชั่นป้ายดิจิตอลที่ต้องการระบบแสดงผลประสิทธิภาพสูง ส่วนชุดคำสั่ง Intel AVX 2.0 รุ่นใหม่ รองรับการคำนวณความเร็วสูง เพื่อใช้สำหรับการรวบรวม และแปรผลคลื่นเสียงในเครื่องอัลตร้าซาวด์ได้อย่างรวดเร็ว

มีการคาดการณ์ไว้ว่าภายในปี 2559 ระบบโทรทัศน์ ระบบวิดีโอตามความต้องการ และอินเทอร์เน็ตวิดีโอรวมกันจะคิดเป็นสัดส่วนสัญญาณข้อมูลของผู้บริโภคทั่วโลกร้อยละ 86(1) อัตราการเติบโตดังกล่าวต้องการนวัตกรรมใหม่จากเทคโนโลยีการประมวลผลเพื่อช่วยบริษัทผู้ให้บริการคอนเทนท์ส่งวิดีโอไปยังผู้บริโภคได้เร็วขึ้นและมีคุณภาพดีขึ้น ในขณะเดียวกันยังเป็นการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ของตนเพื่อรองรับการให้บริการอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อหลายพันล้านเครื่องอีกด้วย พร้อมกันนี้ อินเทลยังมีการเปิดตัว อินเทล® ซีออน® โปรเซสเซอร์ E3-1200 v3 ที่มีระบบกราฟฟิกในตัว พร้อมฮาร์ดแวร์เร่งความเร็วสำหรับเทคโนโลยีเข้ารหัสและถอดรหัสมีเดีย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ให้บริการมีเดียและวิดีโอส่งวิดีโอ ไปยังลูกค้าได้มากขึ้น 4.6 เท่า(2) รวมทั้งลดต้นทุนโดยรวมได้มากถึงร้อยละ 64(2) เมื่อเทียบกับเซิร์ฟเวอร์แบบเก่าที่มีระบบกราฟิกแยกต่างหากที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน  ไมโครอาร์คิเทคเจอร์แบบใหม่และเทคโนโลยีกระบวนการผลิตที่ทันสมัยช่วยทำให้อินเทล ซีออน โปรเซสเซอร์ ใช้พลังงานต่ำสุดที่ 13W TDP เพื่อรองรับการใช้งานในไมโครเซิร์ฟเวอร์และโครงสร้างพื้นฐานระบบสื่อสารโดยเฉพาะ นอกจากนั้น ยังมีการปรับปรุงประสิทธิภาพระบบกราฟิกให้ดีขึ้นร้อยละ 38 และปรับปรุงการใช้พลังงานคุ้มค่ามากขึ้นร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับโปรเซสเซอร์รุ่นก่อนหน้านี้ ซึ่งเท่ากับเป็นการเสนอโอกาสในการอัพเกรดเวิร์กสเตชั่น  เซิร์ฟเวอร์ระดับเริ่มต้นใช้งาน และโซลูชั่นระบบจัดเก็บข้อมูลที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

“ผู้สนใจสามารถชมวิดีโอที่มีวิศวกรสามคนของอินเทลซึ่งเป็นผู้นำทีมพัฒนาอินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ เจนเนอเรชั่น 4 รวมถึงรูปภาพประกอบอื่นๆ ได้ที่ http://www.intel.synapticdigital.com”

from:http://mobiledista.net/pr-intel-core-generation-4-drive-the-length-of-the-device-two-in-one-generation/

[PR] ไมโครซอฟท์ ปฏิวัติวงการแท็บเล็ต เปิดตัว ‘Surface’ ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

[PR] ไมโครซอฟท์ ปฏิวัติวงการแท็บเล็ต เปิดตัว ‘Surface’ ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว Surface (เซอร์เฟซ) อย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ โดยวางจำหน่ายทั้ง 2 รุ่นพร้อมกัน คือ Surface RT และ Surface Pro ครั้งแรกในประเทศไทย ชูจุดขายแท็บเล็ตที่ปฏิวัติรูปแบบการใช้งาน ที่รวมเอาประสบการณ์ทั้งความบันเทิงและการทำงานเข้าไว้ด้วยกันได้ดีที่สุด

ไมโครซอฟท์ Surface ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ณ ศูนย์การค้า เทอร์มินัล 21 นำโดย มร. ซีซาร์  เซอร์นูด้า ประธานไมโครซอฟท์ ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และ มร. ฮาเรซ คูบจันดานิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมด้วยเซเลบริตี้คนดัง อย่าง ทับทิม มัลลิกา   หลีกภัย พิธีกรรายการสุดฮอต วีอาร์โซ  ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีอีโอ อกริฟู้ด จำกัด ที่ควงคู่มากับภรรยาสุดสวย ต่าย ชุติมา ลิ้มเจริญรัตน์ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการสำหรับ Surface RT และ Surface Pro ท่ามกลางสื่อมวลชน แฟนๆ ไมโครซอฟท์และไอทีเลิฟเวอร์ที่มาร่วมงานอย่างคับคั่ง

มร. ฮาเรซ คูบจันดานิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “Surface ได้มอบประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นที่ได้รวมเอาประสิทธิภาพของซอฟต์แวร์ที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการวินโดวส์อันน่าทึ่ง เข้ากับรูปลักษณ์แบบพรีเมี่ยมที่ทันสมัย  Surface เป็นการต่อยอดประสบการณ์การใช้วินโดวส์ ที่ผสานเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเข้าไว้ด้วยกันกับดีไซน์สุดล้ำ ผู้ใช้จึงสามารถทำงาน เล่น และเชื่อมต่อกับผู้คนอื่นๆ ได้ทุกที่ ทุกเวลา ผมเชื่อว่า Surface RT และ Surface Pro นั้นเหมาะกับผู้บริโภคชาวไทยเป็นอย่างมาก และมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า Surface จะตอบสนองทุกความต้องการด้านไอทีทั้งในปัจจุบัน และในอนาคตของผู้บริโภคได้”

ผสานการทำงาน และความบันเทิง ให้ง่ายและสนุกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

Surface ได้รับการออกแบบมาให้สามารถตอบรับการใช้งานและการสร้างสรรค์แบบไร้รอยต่ออย่างไร้ขีดจำกัด Surface ได้ถูกคิดค้นและออกแบบขึ้นโดยทีมของไมโครซอฟท์ ด้วยประสบการณ์ด้านการผลิตอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์มากว่า 30 ปี  เริ่มจากตัวเครื่องที่มีความทนทานและน้ำหนักเบา  ขาตั้งอเนกประสงค์ภายในตัว และฝาปิดหน้าจอที่มอบประโยชน์การทำงานสูงสุดให้แก่ผู้ใช้ในทุกๆ ที่ ตลอดจนถึงช่องเสียบ USB หน้าจอแบบกว้าง 16:9 ความละเอียดสูง ให้มุมมองแบบ 22 องศา ทำให้สามารถดูภาพและแชร์ไฟล์ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย

มร. ซีซาร์ เซอร์นูด้า ประธานไมโครซอฟท์ ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เปิดเผยว่า “เส้นแบ่งระหว่างอุปกรณ์สำหรับใช้ในการทำงานและอุปกรณ์ส่วนตัวค่อยๆ จางหายไป เราพบว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ หรือกว่าร้อยละ 60 ในบางประเทศ ในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิกนี้  มีแนวโน้มที่ใช้อุปกรณ์ไอทีสำหรับทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่จะทำให้ยอดจำหน่ายแท็บเล็ตทั่วโลกสูงขึ้นเรื่อยๆ มากกว่าร้อยละ 300 ในระหว่างปี 2555 ถึงปี 2560  สำหรับประเทศไทยเองเราก็ได้เห็นแนวโน้มในลักษณะเดียวกัน ความนิยมในการซื้อแท็บเล็ตกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สังเกตได้ว่าคนทำงานจะใช้อุปกรณ์ไอทีสองเครื่องหรือมากกว่าในที่ทำงาน นอกจากนี้ ยังใช้แอพพลิเคชั่นเสริมต่างๆ อยู่เป็นประจำระหว่างวัน เช่น เว็บไซต์ โซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ  ด้วย Surface ผู้บริโภคสามารถสลับการใช้งานเพื่อความบันเทิงและเพื่อการทำงานได้อย่างลื่นไหลไม่มีข้อจำกัด เปิดโอกาสให้สามารถทำงานอย่างที่ต้องการได้ในทุกเวลาที่ต้องการ ผ่านอุปกรณ์ที่มีรูปลักษณ์ทันสมัยและสะดวกต่อการพกพาอย่าง Surface”

[PR] ไมโครซอฟท์ ปฏิวัติวงการแท็บเล็ต เปิดตัว ‘Surface’ ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

Surface RT และ Surface Pro ตัวแทนสไตล์ที่แตกต่าง                                                            

โดยการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ ไมโครซอฟท์ได้วางจำหน่าย Surface ทั้ง 2 รุ่น คือ Surface RT และ Surface Pro พร้อมกันทันทีในประเทศไทย

Surface RT คืออุปกรณ์ที่เป็นตัวแทนของแท็บเล็ตที่มีความสามารถเสมือนแล็ปท็อป ที่รวมเอาคุณสมบัติในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการพกพาเข้าไว้ด้วยกันอย่างเหมาะสมครบถ้วน ดังนั้น Surface RT จึงเหมาะกับผู้ใช้ที่มองหาแท็บเล็ตที่สามารถใช้งานได้ทั้งวัน (ยาวนานถึง 8 ชั่วโมง) และประสบการณ์ความบันเทิงชั้นเยี่ยม และยังสามารถทำงานต่างๆ ให้สำเร็จได้ในคราวเดียว Surface RT ใช้ขุมพลัง ARM processor ที่มาพร้อมกับ Windows RT รวมถึง Office Home & Student 2013 RT Preview ซึ่งรองรับการทำงานแบบสัมผัสบน โปรแกรม Word PowerPoint Excel และ OneNote

Surface Pro เปรียบได้กับแล็ปท็อประบบปฏิบัติการ Windows 8 ที่มาในรูปของแท็บเล็ต ผู้ใช้สามารถใช้งานทุกอย่างได้เสมือนทำงานอยู่บนพีซี  แต่ให้ความรู้สึกเหมือนใช้งานบนแท็บเล็ต ผู้ใช้สามารถทำงานที่พวกเขาเคยทำบนพีซีได้ด้วย Surface Pro ตั้งแต่การใช้งานแอพพลิเคชั่นเดสก์ทอป ไปจนถึงความอุ่นใจด้านความปลอดภัยของข้อมูลด้วยเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยระดับโลก Surface Pro มาพร้อมกับ Intel Core i5 Processor รุ่นที่ 3 และ Windows 8 Pro ซึ่งสามารถใช้งานได้ทั้งแอพพลิเคชั่นแบบสัมผัส หรือโปรแกรม Windows 7 สุดโปรด ทั้งหมดนี้มาพร้อมระบบการจัดการทางด้านการรักษาความปลอดภัยและการบริหารในแบบที่คุณคาดหวังจากการใช้งานพีซี

นอกจากนี้ Surface Pro เองยังได้รับการชื่นชมจากผู้เชี่ยวชาญในแวดวงไอที  ด้วยรูปแบบดีไซน์ที่ทันสมัย ผสานเข้ากับการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพและยังมอบความสนุกสนานในการใช้งานได้ในคราวเดียวกัน

มร. ไบรอัน มา รองประธาน ไอดีซี ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ได้แสดงความเห็นว่า “ในปัจจุบันสถานการณ์พีซีอาจกำลังอยู่ในภาวะกดดันจากแท็บเล็ต  ซึ่งปรากฏการณ์ที่เราพบ คือ ผู้ผลิตต่างจะต้องพัฒนาคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่างและโดดเด่นเป็นอย่างมากจากในอดีต  Microsoft Surface Pro คือ หนึ่งในตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างความแตกต่างที่โดดเด่น แสดงให้เห็นว่าเส้นกั้นระหว่างพีซีและแท็บเล็ตได้เลือนลางออกไป และผู้ผลิตในอีโคซิสเต็มเองยังสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ด้านการใช้งาน โดยเฉพาะสำหรับผู้บริโภคที่เป็นนักธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องเดินทางอยู่เป็นประจำ”

มร. ฮาเรซ คูบจันดานิ กล่าวถึงการตัดสินใจวางจำหน่าย Surface พร้อมกันทั้ง 2 รุ่นในประเทศไทยว่า “เราเล็งเห็นถึงความสำคัญในการมอบทางเลือกแก่ผู้บริโภคชาวไทย ทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกได้ว่า Surface รุ่นใดจะเหมาะกับความต้องการและตรงตามไลฟ์สไตล์ของเขามากที่สุด ไลฟสไตล์ของคนไทยนั้นกำลังเปลี่ยนไป โดยต้องการเข้าถึงข้อมูลและติดต่อสื่อสารตลอดเวลา ในขณะเดียวกันก็ต้องการทำงานไปพร้อมๆ กันได้เสมอ ในทุกที่ ทุกเวลา เพราะฉะนั้นแล้ว ผมมั่นใจว่า Surface ทั้งสองรุ่นจะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ในทุกรูปแบบ”

โดยการเปิดตัวในวันแรกของ Surface ในประเทศไทย มีองค์กรชั้นนำของประเทศไทย อย่าง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศ ได้เตรียมนำ Surface Pro มาให้กับทีมผู้บริหารของมหาวิทยาลัยได้ใช้งาน ตลอดจนธนาคารชั้นนำของประเทศ อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ก็แสดงความจำนงค์และสนใจใน Surface Pro เพื่อให้พนักงานธนาคารที่ต้องติดต่อกับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอได้ใช้ประจำที่สาขาของธนาคาร

[PR] ไมโครซอฟท์ ปฏิวัติวงการแท็บเล็ต เปิดตัว ‘Surface’ ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

คุณสมบัติหลักและประโยชน์ต่างๆ

  • ความโดดเด่นด้านซอฟต์แวร์: Surface มาพร้อมช่องเสียบ USB และ หน้าจอความละเอียดสูง 16:9 พร้อมมุมมองภาพแบบ 22 องศา ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนการทำงานบนพีซี โดยมีการปรับให้ฮาร์ดแวร์แนบรับไปกับภาพพื้นหลัง และทำให้ซอฟต์แวร์มีความโดดเด่นขึ้นมา
  • VaporMg: วัสดุตัวเครื่องภายนอกของ Surface สร้างมาจากกระบวนการอันลึกซึ้งที่เรียกว่า VaporMag (อ่านว่า วาพอร์ แมก) ซึ่งเป็นการผสานการคัดสรรค์วัสดุชั้นเยี่ยม และ กระบวนการหล่อเหล็ก และหลอมอนุภาคเข้าด้วยกัน ทำให้ Surface มีลักษณะที่คล้ายกับนาฬิกาเรือนหรู เริ่มตั้งแต่ส่วนที่เป็นแมกนีเซียม ที่สามารถหล่อให้บางได้ถึง 0.65 มม. ซึ่งมีความบางมากกว่าบัตรเครดิตทั่วไป ทั้งหมดนี้เพื่อให้ได้อุปกรณ์ที่มีความบาง เบา และแข็งแรงทนทาน
  • ขาตั้งเครื่องภายในตัว (Kickstand): กระบวนการ VaporMag นั้นรวมถึงการประกอบขาตั้งที่สามารถให้คุณเปลี่ยนลักษณะการทำงานบน Surface แบบ Active Use เป็น Passive Consumption ได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง หรือ การถ่ายรูปโดยใช้กล้องหน้า หรือ กล้องหลัง ขาตั้งสามารถดึงออกมาใช้ได้ทุกเวลา และพับเก็บได้เมื่อไม่ต้องการ โดยไม่ได้เพิ่มน้ำหนักหรือความหนาของตัวเครื่องเลย
  • Touch Cover: ฝาปิดหน้าจอความหนาเพียง 3 มม. นั้นเป็นอีกความก้าวหน้าหนึ่งของการใช้คอมพิวเตอร์ของมนุษย์ Touch Cover ให้ความรู้สึกถึงการพิมพ์บนคีย์บอร์ด ซึ่งทำให้คุณสามารถสัมผัสและพิมพ์ได้อย่างรวดเร็ว มากกว่าการพิมพ์สัมผัสบนหน้าจอ Touch Cover มีให้เลือกถึง 3 สี ได้แก่ ฟ้า ดำ และ ขาว  Touch Cover สามารถเชื่อมต่อกับ Surface ด้วยแม่แหล็กที่ตัวเครื่อง เปรียบเหมือนเป็นสันหนังสือที่คุณคุ้นเคย ในขณะเดียวกันก็สามารถทำหน้าที่ป้องกันหน้าจอได้ อีกด้วย นอกจากนี้แล้วคุณสามารถเชื่อมต่อ Type Cover ซึ่งมีความหนา 5 มม. ให้ความรู้สึกเหมือนพิมพ์จากคีย์บอร์ดจริงๆ ที่สำคัญ Touch Cover ที่จำหน่ายในประเทศไทยมาพร้อมกับแป้นพิมพ์ภาษาไทย ที่ผลิตมาเพื่อผู้บริโภคชาวไทยโดยเฉพาะ

การจำหน่าย ราคาและโปรโมชั่น

Surface RT และ Surface Pro มีวางจำหน่ายแล้วที่ร้าน IT City และ Com7 ทั้ง 10 สาขา พิเศษสำหรับลูกค้า 100 ท่านแรกที่ได้เป็นเจ้าของ Surface ในงานเปิดตัว ณ ศูนย์การค้า เทอร์มินัล 21 รับฟรี Touch Cover มูลค่า 4,090 บาท และลูกค้าที่ซื้อลำดับที่ 101-200 จะได้รับ Sandisk Mobile Ultra 64 กิ๊กกะไบต์ Class 10 มูลค่า 2,190 บาท

รายละเอียดรุ่นและราคา

Surface RT

ราคา

Surface Pro

ราคา

Surface RT 32 GB (เฉพาะตัวเครื่อง)

16,500 บาท

Surface Pro 64 GB(เฉพาะตัวเครื่อง)

28,500 บาท

Surface RT 64 GB   (เฉพาะตัวเครื่อง)

19,500 บาท

Surface Pro 128 GB(เฉพาะตัวเครื่อง)

31,500 บาท

Surface RT 32 GB Bundle (พร้อม Touch Cover สีดำ)

19,500 บาท

Surface RT 64 GB Bundle(พร้อม Touch Cover สีดำ)

22,500 บาท

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Surface สามารถเยี่ยมชมที่:  http://www.surface.com หรือ  https://www.facebook.com/Surface

from:http://www.mobiledista.net/pr-microsofts-revolutionary-tablet-launch-surface-in-india-officially/