คลังเก็บป้ายกำกับ: สตาร์ทอัพ

KBank ประกาศความสำเร็จขึ้นเป็นผู้นำหลักสูตรสตาร์ทอัพไทย เป็นองค์ความรู้ เน้นใช้ได้จริงเพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่

KBank ธนาคารกสิกรไทยประกาศความสำเร็จโครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD 2022 ถ่ายทอดสูตรความสำเร็จของสตาร์ทอัพระดับโลก เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้องค์ความรู้สามารถนำไปใช้ได้จริง พร้อมสูตรติวเข้ม 8 สัปดาห์ ถ้าเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายจะได้ร่วมชิงเงินรางวัลและผลิตภัณฑ์เพื่อต่อยอดธุรกิจมูลค่ารวม กว่า 800,000 บาท

ผลการแข่งขันทีม Project EV คว้าแชมป์ไปครองกับแผนธุรกิจการให้บริการดัดแปลงรถขนส่งสันดาป ภายในเป็นรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับธุรกิจ พร้อมบริการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ศูนย์กระจายสินค้า  เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นการแปลงเครื่องยนต์แบบเดิมให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อนำเสนอไอเดียให้ตอบโจทย์ภาคธุรกิจด้านความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น พร้อมเดินหน้าจัดโครงการส่งเสริมสตาร์ทอัพไทยอย่างต่อเนื่อง

เป็นหลักสูตรที่มีมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปีมุ่งเน้นการพัฒนาสตาร์ทอัพไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ให้ความรู้ความเข้าใจ และลงมือปฏิบัติจริงทุกขั้นตอน โดยมีผู้เชี่ยวชาญชั้นนำอย่างมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด

ซึ่งโครงการในปีนี้มีผู้สมัครเข้าร่วมกว่า 250 ทีม และผ่านเกณฑ์การคัดเลือกเข้ารับการอบรมจำนวน 65 ทีมเป็นสตาร์ทอัพที่มาจากหลากหลายประเภทธุรกิจอย่างครอบคลุม และผลการแข่งขันมีดังนี้

ผลการแข่งขัน

  • รางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ทีมโปรเจค อีวี (Project EV) โซลูชั่นแบบครบวงจรเพื่อดัดแปลงรถยนต์สันดาปภายใน  เป็นรถยนต์ไฟฟ้า
  • อันดับที่ 2 ทีม HealthTAG ผู้ให้บริการทางด้านการจัดการข้อมูลทางการแพทย์ด้วยเทคโนโลยีBlockchain เพื่อให้เกิดการเเลกเปลี่ยน เชื่อมโยง และบูรณาการข้อมูลสุขภาพแบบไร้รอยต่อโดยผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง
  • อันดับที่ 3 ทีม LEET CARBON ให้บริการโซลูชั่นในการจัดการติดตามและตรวจสอบโครงการคาร์บอนเครดิตด้วยข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลพื้นฐานธรรมชาติ เพื่อการแก้ปัญหา (Nature Based Solution)อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส

โดยทีมทั้ง 3 ได้รับรางวัลจากโครงการทั้งเงินรางวัลและผลิตภัณฑ์เพื่อต่อยอดธุรกิจมูลค่ารวมกว่า 800,000 บาท พร้อมรับจะได้รับประกาศนียบัตรจากโครงการ KATALYST by KBank และเอกสารยืนยันการเข้าร่วมและสำเร็จหลักสูตรการเรียนรู้แบบออนไลน์ จาก Stanford Online ซึ่งเป็นใบเบิกทางและโอกาสสำคัญในการขยายเครือข่ายทางธุรกิจกับบริษัทชั้นนำมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศอีกด้วย

เรียกว่าได้ทั้งองค์ความรู้และโอกาสหน้าที่ทางการงานในอนาคตที่ดีขึ้นตามไปด้วยค่ะ เพราะเราได้พัฒนาทักษะไปในตัวถ้าใครสนใจโครงการแบบนี้อนาคตเตรียมรอได้เลย เพราะทางโครงการยังคงมุ่งเน้นอย่างต่อเนื่องแน่นอน ทุกคนอย่าพลาดโอกาสดี ๆ ที่เราจะได้การเรียนรู้สิ่งใหม่กันล่ะ

 

ที่มา : ข่าวประชาสัมพันธ์

from:https://droidsans.com/kbank-has-touted-the-success-of-its-katalyst-startup-launchpad-2022/

โครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD 2022: โอกาสเรียนรู้จาก Mentor ระดับโลกและเครือข่ายสำคัญเพื่ออนาคต

โอกาสสำคัญสำหรับสตาร์ทอัพที่หาได้ไม่ง่ายนัก สำหรับช่วงเวลาที่โลกเพิ่งผ่านมรสุมโรคระบาดมาได้ไม่นานและกำลังอยู่ในห้วงวิกฤตลูกใหม่ที่เสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ภาวะเงินเฟ้อที่ทุบหลายประเทศมาแล้วทั่วโลก สถานการณ์ที่กลุ่มทุนธุรกิจน้อยใหญ่ต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดีหากคิดจะลงทุน โครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD 2022 ภายใต้การนำของกสิกรไทยเปิดโอกาสให้เหล่าสตาร์ทอัพได้พัฒนาความรู้ ขยายเครือข่าย ผลักดันไอเดียทางธุรกิจให้เป็นจริงได้ถ้าตั้งใจและมีความพยายามมากพอ

KATALYST

ภาพรวมของสตาร์ทอัพไทยในปัจจุบันและความแตกต่างจากสตาร์ทอัพระดับโลก

ธนพงษ์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (Beacon VC) เล่าถึงภาพรวมสตาร์ทอัพไทยในปัจจุบันว่า ในปีที่ผ่านมาการลงทุนสตาร์ทอัพค่อนข้างเฟื่องฟูการลงทุนปีที่แล้วถือว่าคึกคักมาก ในไทยมีสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นมีดีลใหญ่เกิดขึ้นค่อนข้างเยอะ โดยส่วนมากจะเกิดกับสตาร์ทอัพที่เติบโตได้ดีแล้วแต่ยังไม่ค่อยเห็นในระดับ Early Stage มากนัก 

ในปีนี้เริ่มมีวิกฤตหลายอย่างที่เป็นผลกระทบต่อเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน ภาวะเงินเฟ้อที่นำไปสู่การขึ้นดอกเบี้ย บริษัทใหญ่หลายรายเริ่มระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น ประกอบกับ Performance ของตลาดไม่ค่อยดี มีปัญหาค่อนข้างเยอะ ทำให้มีหลายคนวิเคราะห์ว่าการลงทุนในสตาร์ทอัพปีนี้มีปัญหาพอสมควร การลงทุนมีแนวโน้มลดลงแน่นอน ระดับการลงทุนในสตาร์ทอัพของไทยน่าจะยังมีอยู่แต่ไม่เน้นการลงทุนเพื่อหวังผลกำไร โดยส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนจาก CVC ที่มองเรื่อง Synergy เป็นหลัก ทั้งนี้ ต้องดูเรื่องราคาของสตาร์ทอัพให้เหมาะสมด้วย ปีทองที่ผ่านมาถือว่ามีราคาสูง ถ้าปีนี้มีศักยภาพดีพอก็อาจมีโอกาสเพิ่มขึ้น

หากต้องเปรียบเทียบระหว่างสตาร์ทอัพไทยกับระดับโลก ต้องบอกว่าแตกต่างกันพอสมควรเพราะการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของสตาร์ทอัพระดับโลกส่วนใหญ่คือการทำธุรกิจแบบ B2B ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าระดับ B2C ไม่ดี แต่โอกาสความสำเร็จจะได้มาค่อนข้างยาก ในระดับ B2B จะหารายได้สม่ำเสมอง่ายกว่า หากเทียบกับระดับโลก สตาร์ทอัพไทยยังอยู่ในประเทศเป็นหลักค่อนข้างเทียบได้ลำบาก ถ้าพูดถึงระดับ B2B ในด้านบริการไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ถ้า B2C เราไม่ได้มีตลาดใหญ่ขนาดนั้นก็ถือว่าต่างกันเยอะ

KATALYST

บทบาทของ KBank ในการส่งเสริมและผลักดันสตาร์ทอัพผ่านโครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD 2022

KBank มีหลายบทบาทมาก ทั้งในรูปแบบผู้ใช้งานจริงมีทั้งใช้บริการจากทางสตาร์ทอัพมากขึ้น มีการพัฒนาร่วมกันในระดับ Global Wealth เริ่มให้สตาร์ทอัพมาช่วยและยังมีโครงการ KATALYST ที่เป็นตัวเสริมทัพช่วยสร้างฐานรากให้สตาร์ทอัพสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและพัฒนาตัวเองได้อย่างยั่งยืน KBank เดินหน้าสนับสนุนหลายบทบาท ด้วยการเน้นสร้างคอมมูนิตี้ให้แข็งแกร่งผ่านโครงการ KATALYST ซึ่งถือเป็นโครงการภายใต้ Beacon VC และในส่วนของ Beacon VC เองก็สนใจลงทุนในสตาร์ทอัพที่อยู่ในระยะหลังหรือในกลุ่มธุรกิจที่เติบโตมั่นคงแล้ว

กลุ่มสตาร์ทอัพที่เติบโตในระยะแรกหรือกลุ่ม Early Stage มีผู้ที่คอยให้ความรู้ลดน้อยลง KBank จึงได้นำโครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD ขึ้นมาเพื่อช่วยดูแลสตาร์ทอัพในกลุ่มนี้ ตอนนี้จัดทำโครงการผ่านไป 2 รุ่น 2 ปีแล้ว กิจกรรมในโครงการส่วนใหญ่คือเน้นสร้างคอมมูนิตี้ที่แข็งแกร่ง มีทั้งการจัดสัมมนา จัดเวิร์กชอป มีเน็ตเวิร์กกิ้ง มีการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ความรู้ โดยถ่ายทอดองค์ความรู้ที่มุ่งเน้นการเติบโตทางธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในระดับสากลให้กับสตาร์ทอัพในประเทศไทย ให้สามารถสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางธุรกิจของตนเองและนำความรู้ดังกล่าวไปใช้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเนื้อหาของหลักสูตรจะรวมถึง องค์ความรู้ในหลักสูตรแบบออนไลน์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยภายใต้ Stanford Thailand Research Consortium นำโดยรองศาสตราจารย์ Charles (Chuck) Eesley จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มีทีมเมนทอร์ของไทยและต่างประเทศทั้งจากศิษย์เก่าและอาจารย์ รวมทั้งผู้ที่มีประสบการณ์ในด้านธุรกิจและนวัตกรรม เรียกได้ว่าเป็นเมนทอร์ระดับที่เราไม่สามารถหาได้ด้วยตัวเองง่ายๆ 

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังทำมา 2 ปี ทั้ง e-Learning ทั้งสัมมนาหลายร้อยบริษัท มีการทำธุรกิจร่วมกันกับทางกสิกรไทยบ้าง มีการรีเควสต์จากหลายๆ ฝ่ายงานใน KBank ที่จะหา Solution ที่สามารถตอบโจทย์ธนาคารได้ นอกจากนี้ก็คือการให้ความรู้เรื่องบริการของธนาคารเอง เช่น บริการเรื่อง Payment ความรู้เรื่องทั่วไปที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพสตาร์ทอัพในระยะแรกหรือรุ่น Early Stage ให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งก็มีสตาร์ทอัพบางรายก็ได้รับการแนะนำให้ทางธนาคารได้ทำธุรกิจร่วมบ้างก็ทำให้เขาให้บริการได้เร็วขึ้น

KATALYST

โครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD 2022 : เพิ่มความรู้ ขยายเครือข่าย พร้อมคำแนะนำจากเมนทอร์ระดับโลก

สำหรับจุดเด่นของโครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD นี้ที่ทำมาแล้วสองรุ่น ผ่านมาแล้วสองปีและยังเดินหน้าพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้อย่างเข้มข้นพร้อมใช้งาน สร้างฐานรากของความรู้ให้แข็งแกร่ง ในช่วงสองปีที่ผ่านมาที่มีการระบาดของโควิดทำให้ต้องเน้นการให้ความรู้และฝึกฝนแบบออนไลน์นั้น ครั้งนี้จะมีทั้งการให้ความรู้ที่มีคุณภาพมากขึ้นและเน็ตเวิร์กมากขึ้นผ่านการจัดกิจกรรมออฟไลน์ที่เพิ่มขึ้น เน้นเนื้อหาค่อนข้างหนักแน่น 

โครงการนี้จะช่วยสร้างแนวคิดที่ดีของการเป็นสตาร์ทอัพที่ไม่ใช่ความเท่ห์หรือความเก๋ในการทำธุรกิจ แต่จะต้องทุ่มเทอย่างหนักเพื่อจะประสบความสำเร็จได้ อีกทั้งเมนทอร์ที่มาให้คำแนะนำนั้นมีทั้งในประเทศไทยและในระดับโลกถือเป็นจุดเด่นของโครงการที่หาไม่ได้ง่ายนัก อีกทั้งเมนทอร์ที่ทาง Beacon VC ช่วยหาให้ก็ถือเป็นระดับ Top Tier

สำหรับผู้ที่เข้ามาเรียนถ้าหากไม่มีส่วนร่วมกับคอร์ส ไม่ส่ง Assignment จะต้องถูกตัดสิทธิ ต้องมี Commitment ยิ่งมีความใฝ่รู้ก็ได้ความรู้เพิ่มขึ้น ถ้าสตาร์ทอัพอยากเติบโตอย่างยั่งยืนควรมาเรียนที่คอร์สนี้ โอกาสที่จะได้ร่วมงานกับทาง KBank นั้น หากว่ามิติในการให้บริการตรงกันก็อาจได้ร่วมงานกันอาจจะได้รับเงินลงทุน หาก Beacon VC เปิดให้สถาบันอื่นเข้ามาร่วมด้วยอาจมีนักลงทุนเพิ่มขึ้น เหล่านี้ก็จะกลายเป็น Angel Network ซึ่งก็ถือเป็นเครือข่ายนักลงทุนที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อสตาร์ทอัพระยะเริ่มต้น 

โครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD 2022 เป็นโครงการพัฒนาศักยภาพสตาร์ทอัพไทยปีที่ 3 แล้ว สำหรับกลุ่ม Startup ที่โครงการให้ความสนใจคือด้าน FinTech, HealthTech, GreenTech, EdTech และ Travel Tech เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ – 31 กรกฎาคม 2565 ชิงรางวัลสูงสุดมูลค่ารวมกว่า 300,000 บาท พร้อมของรางวัลทั้งจากธนาคารกสิกรไทย, Microsoft Thailand, True Digital Park และ FlowAccount 

KATALYST

KATALYST กับการเปลี่ยนฉากทัศน์ธุรกิจและแนวโน้มสตาร์ทอัพไทยในอนาคต 

สตาร์ทอัพและแวดวงธุรกิจไทยจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเพราะโครงการ KATALYST เข้ามาช่วยสร้าง Ecosystem และส่งเสริมให้สตาร์ทอัพแข็งแรง โครงการนี้จะสะท้อนให้เห็นว่าในระดับต่างประเทศมีการสอนเข้มข้นและมีการมอบหมายงานค่อนข้างหนักจะเห็นภาพและเข้าใจมากขึ้น คนที่จะเข้ามาร่วมเรียนกับโครงการจะต้องเป็นคนสู้งาน มีแรงปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้น 

สำหรับทิศทางสตาร์ทอัพของไทยในอนาคต ถามว่าจะอยู่รอดได้หรือไม่ในช่วงที่ไม่ใช่ยุคทองเหมือนเดิม เรื่องนี้จำเป็นต้องดูที่ศักยภาพเป็นหลัก จากนี้ไปนักลงทุนจะดูละเอียดมากขึ้น ทางสตาร์ทอัพเองก็ต้องมีความมั่นคงในเรื่องการทำธุรกิจระดับหนึ่ง อนาคตสตาร์ทอัพจะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเองอย่างน้อย 3 ปี ดังนั้นคนที่อยู่ได้ด้วยตัวเองต้องสร้างรายได้ด้วยตัวเองได้พอสมควร รากฐานต้องแข็งแกร่งไม่ใช่การใช้โปรโมชันตัดราคาอีกต่อไปแต่การให้บริการต้องดีจริงๆ 

คุยกับสตาร์ทอัพที่เคยเรียนกับโครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD

The Omelet

กษมา เจตน์จรุงวงศ์ Founder and CEO บริษัท The Omelet เล่าถึงประสบการ์ณการเรียนผ่านโครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD ว่าก่อนจะเข้าเรียนในโครงการ ทางบริษัทก็ดำเนินธุรกิจอยู่ก่อนหน้าแล้ว โดยทำบริการด้าน Social Commerce (การทำธุรกิจผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย) ให้กับองค์กรใหญ่ในไทย โดยมีลูกค้าอาทิเช่น Shell, Toyota, Amway และมาเข้าร่วมโครงการเพราะอยากทำผลิตภัณฑ์ของตัวเอง

สิ่งที่ได้รับเมื่อเข้าร่วมโครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD คือมีการเรียนการสอนที่เข้มข้นมาก และทุกทีมมีการบ้านกลับมาทำเยอะมาก อาทิเช่น ให้มีการทดสอบการใช้งานผลิตภัณฑ์อย่างน้อยสองรอบ ซึ่งเป็นการบังคับให้ทุกคนในทีมต้อง Make Time จากหน้างานปัจจุบันเพื่อมาสร้างผลิตภัณฑ์จริงๆ ไม่ใช่แค่คุยกันเฉยๆแบบที่ผ่านมา นอกจากนี้แล้ว ทางโครงการยังมีเมนทอร์ที่ดีมากมีทั้งจากยุโรป แคนาดา ลาตินอเมริกา ซึ่งทำให้ทุกคนในทีมได้เรียนรู้แบบ Global Experience ที่หาที่อื่นได้ยาก

ความเปลี่ยนแปลงหลังเข้าร่วมโครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD คือทำให้ขยับเข้าสู่เวทีระดับโลกได้ง่ายขึ้น อาทิเช่นได้เข้าร่วมโครงการ Microsoft’s Highway to 100 Unicorn ระดับเอเชียแปซิฟิก และ Alibaba Cloud x KrASIA Global Startup Accelerator (Thai-Singapore) นอกจากนี้แล้วตัวผลิตภัณฑ์ด้าน Social Commerce ที่ได้ปลุกปั้นกันตั้งแต่ในโครงการมีการเติบโตด้านการใช้งานที่ 140% ต่ออาทิตย์หลังจากเปิดมาได้ 8 อาทิตย์ (2 เดือน) ถือว่าเป็นก้าวแรกที่ทีมงานภูมิใจ

สำหรับคนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD นั้นไม่ว่าจะมีธุรกิจอยู่แล้วหรือมีเพียงไอเดีย โครงการนี้ช่วยปูพื้นฐานได้ดีเพราะฉะนั้นถือเป็นประโยชน์สำหรับทุกคน”

SafeTrip

กฤษฎา อึ้งมณีประเสริฐ Co-founder บริษัท SafeTrip ทำระบบนำทางที่แจ้งเตือนจุดเสี่ยงอุบัติเหตุล่วงหน้าให้นักท่องเที่ยวที่ชอบเดินทางด้วยรถยนต์ภายในประเทศ ให้คำแนะนำความเร็วที่เหมาะสม ระยะที่ควรเบรกเพื่อให้มีการขับขี่ที่ปลอดภัยและสามารถวิเคราะห์จุดเสี่ยงที่อาจเกิดอุบัติเหตุได้

ก่อนเข้าโครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD มีแค่ Passion อีกทั้งยังมองไม่ออกว่าการแก้ปัญหาอุบัติเหตุจะทำธุรกิจได้อย่างไร มีเวิร์กชอปหนักเข้มข้นจนรู้สึกอยากหยุดกลางคันแต่ก็ผ่านมันมาได้และก็ได้เรียนรู้ว่าจะหาลูกค้าได้อย่างไร ส่วนโอกาสที่ได้รับหลังผ่านโครงการนี้คือการได้รับคัดเลือกทุกครั้ง ได้รับคัดเลือกรอบลึกไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นตราประทับจากโครงการ เมื่อคุยกับทาง VC ก็ได้รับความสนใจมากขึ้น ถ้ายังไม่ได้เข้าโครงการนี้ แนวคิดก็อาจจะยังไม่เป็นรูปเป็นร่างได้ สำหรับใครที่กำลังมองหาความรู้หรือโอกาสความรู้จากสตาร์ทอัพให้เติบโตอย่างรวดเร็วที่นี่ถือเป็นทางเลือกแรกที่พลาดไม่ได้

KATALYST

สรุป

สตาร์ทอัพที่สนใจเข้าเรียนในโครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD 2022 จะไม่ได้แค่เพียงความรู้ที่เข้มข้น แต่ยังสามารถนำมาปรับใช้ต่อยอดแนวคิดธุรกิจและพัฒนาให้เป็นจริงได้ สามารถขยายเครือข่ายจากโครงการดังกล่าวและยังได้ประสบการณ์เรียนรู้ใหม่ๆ จากเหล่าเมนทอร์ทั้งในไทยและจากระดับโลกที่จะมาถ่ายทอดความรู้เพื่อสามารถสร้างธุรกิจได้จริงและอาจได้โอกาสที่ดีจากการร่วมงานกับกสิกรไทยด้วยหากมีบริการที่ตรงกับความต้องการ แค่เพียงมุ่งมั่นมีใจรักและมีความทุ่มเทที่จะเรียนรู้ก็จะสามารถประสบความสำเร็จจากโครงการได้

KATALYST STARTUP LAUNCHPAD 2022 เปิดให้สมัครแล้วตั้งแต่วันนี้ถึง 31 กรกฎาคม 2022 ประกาศทีมที่ได้รับคัดเลือกวันที่ 15 สิงหาคม 2022 มีระยะเวลาเรียนตั้งแต่ 23 สิงหาคม ถึง 24 ตุลาคม 2022 และหากเป็นทีมที่มีผลงานโดดเด่นจะสามารถมีสิทธิถูกคัดเลือกไปนำเสนอแผนธุรกิจกับทางกรรมการและนักลงทุนในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2022 ทางโครงการได้จัดเตรียมเงินรางวัลพร้อมของรางวัลจากกสิกรไทย, Microsoft Thailand, True Digital Park และ FlowAccount เพื่อนำไปต่อยอดธุรกิจจำนวน 3 รางวัล รวมทั้งสิ้นมูลค่ากว่า 800,000 บาท

สามารถดูรายละเอียดโครงการและสมัครได้ที่ https://katalyst.kasikornbank.com/th/Pages/startup_launchpad2022.html หรือติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการทางเฟซบุ๊กที่ https://www.facebook.com/KATALYSTbyKBank

#KATALYSTbyKBank
#เพื่อนสนิทของชาวสตาร์ทอัพ
#KATALYSTSTARTUPLAUNCHPAD2022

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post โครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD 2022: โอกาสเรียนรู้จาก Mentor ระดับโลกและเครือข่ายสำคัญเพื่ออนาคต first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/katalyst-startup-launchpad-2022/

ครั้งแรกในอาเซียน Jeff Bezos เตรียมลงทุนใน Ula อีคอมเมิร์ซจากอินโดนีเซีย

ระดับ Jeff Bezos มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ขยับตัวทำอะไร ลงทุนเรื่องไหน ย่อมเป็นที่จับตามอง ล่าสุด Jeff Bezos เตรียมลงทุนในสตาร์ทอัพ e-commerce สัญชาติอินโดนีเซียที่ชื่อ Ula

Jeff Bezos เตรียมลงทุนในการระดมทุนรอบ Series B กับสตาร์ทอัพ Ula ด้วยเงินราว 87 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 2.9 พันล้านบาท ถือเป็นการลงทุนครั้งแรกในอีคอมเมิร์ซของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

อาเซียนเริ่มเนื้อหอม Jeff Bezos มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกเริ่มสนใจแล้ว

การลงทุนครั้งนี้ Bezos จะลงทุนผ่านบริษัท Bezos Expeditions ที่ Bezos ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2005 และเป็นบริษัทที่จัดการการลงทุนส่วนบุคคลให้ Bezos มาโดยตลอด การร่วมทุนในสตาร์ทอัพ Ula ครั้งนี้จะมีทั้ง Bezos Expeditions, Notrthstar group, AC Ventures และ Citius ร่วมกับ Prosus Ventures, Tencent และ B-Capital

Ula มีการระดมทุนครั้งก่อนราว 10.5 ล้านเหรียญสหรัฐในเดือนมิถุนายน 2020 และระดมทุนรอบ Series A ไปอีก 20 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงเดือนมกราคม 2021 ซึ่ง Ula เป็นสตาร์ทอัพที่นำเสนอเทคโนโลยีที่มาตอบโจทย์ค้าปลีกขนาดเล็กให้สามารถขยายฐานธุรกิจไปยังเมืองต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ และยังมีการสำรวจข้ามภูมิภาค ไปจนถึงการสร้างห่วงโซ่อุปทานและโครงสร้างพื้นฐานทางโลจิสติกส์ในท้องถิ่นด้วย

Ula ยังประกาศแต่งตั้ง Pandu Sjahrir เป็นที่ปรึกษาของบริษัท ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่เป็นทั้งกรรมาธิการตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซียและ PT Aplikasi Karya Anak Bangsa หรือ Gojek และ Sea สาขาสิงคโปร์ รวมทั้งเป็นเจ้าของ Shopee (แพลตฟอร์มชอปปิงออนไลน์) และ Garena (ผู้ผลิตและจำหน่ายเกมออนไลน์สัญชาติสิงคโปร์) ด้วย ปัจจุบัน Ula มีลูกค้ากว่า 70,000 รายในแพลตฟอร์มของตัวเองและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์กว่า 6,000 รายการ

ที่มา – Bloomberg, Ula

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ครั้งแรกในอาเซียน Jeff Bezos เตรียมลงทุนใน Ula อีคอมเมิร์ซจากอินโดนีเซีย  first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/jeff-bezos-will-invest-in-ula-indonesia-e-commerce-startup/

คุยกับ SeaX กองทุนสตาร์ตอัพของไทยที่ออกไปลงทุน Deep Tech นอกประเทศ

สัปดาห์ที่ผ่านมาหลายคนอาจได้เห็นข่าว SeaX Ventures กองทุนสตาร์ตอัพสัญชาติไทยในเครือ Rise ที่ประกาศเงินลงทุนก้อนใหม่ ทำให้ขนาดกองทุนเพิ่มเป็น 1.5 พันล้านบาท พร้อมรายชื่อผู้บริหารระดับสูงขององค์กรชั้นนำในไทยหลายแห่งที่เข้ามาร่วมลงทุนด้วย

Brand Inside มีโอกาสพูดคุยกับ นายแพทย์ศุภชัย ปาจริยานนท์ Managing Partner ของกองทุน SeaX Ventures และซีอีโอของ Rise ถึงที่มาที่ไปและเป้าหมายของ SeaX รวมถึงบทบาทที่แตกต่างกับ Rise แต่ยังมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน

นายแพทย์ศุภชัย ปาจริยานนท์ Managing Partner ของกองทุน SeaX Ventures

นายแพทย์ศุภชัย ระบุว่าเป้าหมายสูงสุดของเขาคือการผลักดันให้เกิด GDP ของประเทศเพิ่มขึ้นอีก 1% ซึ่งการทำงานที่ผ่านมาของ Rise นิยามตัวเองว่าเป็น “สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กร” ถือเป็นการสร้างการเติบโตจากภายในประเทศเป็นหลัก เป็นการสร้างคน พัฒนาคนสำหรับกิจการยุคใหม่ที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมช่วยผลักดัน

ส่วน SeaX นั้นเป็นส่วนที่เน้นการเติบโตจากภายนอกประเทศ เพราะออกไปลงทุนในสตาร์ตอัพทั่วโลก เพื่อมองหาโซลูชันใหม่ๆ มาช่วยยกระดับบริษัทและองค์กรในไทย

ตัวของ SeaX Ventures เป็นกองทุนสัญชาติไทยที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องในสหรัฐอเมริกา เป้าหมายของ SeaX ต่างจากกองทุน venture capital ทั่วไปที่เน้นผลตอบแทนทางการเงิน (financial return) เป็นหลัก เพราะยังต้องตอบโจทย์เรื่องการช่วยเพิ่ม 1% ของ GDP ไทยให้ได้ ธีมการลงทุนจึงเน้นที่ผลตอบแทนเชิงกลยุทธ์ (strategic return) ด้วย ลงทุนในสตาร์ตอัพที่บริษัทใหญ่ๆ ของไทยสามารถนำโซลูชันไปใช้งานต่อได้ ไม่ว่าจะเป็นการลดรายจ่าย ลดต้นทุน หรือการเพิ่มรายได้ สร้างธุรกิจใหม่

นายแพทย์ศุภชัย ระบุว่าต้องขอบคุณผู้บริหารระดับสูงขององค์กรต่างๆ ที่เชื่อมั่นใน SeaX และเข้ามาร่วมลงทุน มุมมองของเขาคือหาก SeaX ลงทุนในสตาร์ตอัพระดับยูนิคอร์น เข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ ทำผลตอบแทนได้ 10 เท่าย่อมเป็นเรื่องดี แต่ด้วยธีมการลงทุนเชิงกลยุทธ์ ไม่ต้องรอสถานะเป็นยูนิคอร์นก็ได้ หากนำโซลูชันของสตาร์ตอัพเหล่านี้มาลดต้นทุนของบริษัทใหญ่ๆ ในไทยที่มีมูลค่าระดับหมื่นหรือแสนล้านบาทได้สัก 5% ก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว

ที่ผ่านมา SeaX เน้นลงทุนในสตาร์ตอัพฝั่งอเมริกาเป็นหลัก โดย 70% ของ portfolio เป็นบริษัทสหรัฐ แต่ในกองที่สองจะเริ่มหันมาลงทุนในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น ตัวอย่างบริษัทที่ลงทุนได้แก่ด้านไบโอเทคอย่าง Nirvamed, Epinoma, Qvin บริษัทด้านเทคโนโลยีอาหาร Revel และบริษัทด้านบล็อคเชน Band Protocol, Solana, Alex

นายแพทย์ศุภชัย ยกตัวอย่างการลงทุนในบริษัทด้าน AI ของประเทศจีนชื่อ AIFI ที่สร้างร้านค้าไร้มนุษย์ (autonomous retail store) เพื่อแข่งกับร้าน Amazon Go โดยบอกว่ามีวิธีหารายได้ที่ต่างจากสตาร์ตอัพทั่วไป เนื่องจากการลงทุนร้านค้าไร้มนุษย์แบบ Amazon Go ต้องมีต้นทุนค่าฮาร์ดแวร์ที่สูงมาก บริษัทค้าปลีกไม่น่าอยากลงทุนจ่ายเงินมากๆ ตั้งแต่แรก แต่วิธีคิดของ AIFI คือมองว่านำมาช่วยลดต้นทุนพนักงานเฝ้าร้าน ที่อาจอยู่ราว 5% ของต้นทุนร้านค่าปลีก หากเปลี่ยนเป็นร้านไร้มนุษย์แทน ต้นทุนของโซลูชันไอทีอาจอยู่เพียง 2-3% ของต้นทุนทั้งหมด ก็ทำให้บริษัทค้าปลีกประหยัดต้นทุนไปได้มากแทน

นายแพทย์ศุภชัย ยังบอกว่า SeaX ยังช่วยเสริมเรื่องการลงทุนของบริษัทขนาดใหญ่ ที่มักมี corporate venture capital (CVC) ของตัวเองอยู่แล้ว แต่ข้อจำกัดของ CVC คือมักเป็นที่สนใจของสตาร์ตอัพในอุตสาหกรรมเดียวกันเท่านั้น อาจเข้าไม่ถึงสตาร์ตอัพสายอื่นๆ ที่น่าสนใจและอาจช่วยสนับสนุนธุรกิจได้ การที่ SeaX เป็นกองทุนไม่สังกัดบริษัทใหญ่จึงมีอิสระมากกว่า และอาจร่วมลงทุนกับ CVC ไปทั้งคู่ก็ได้เช่นกัน

รายชื่อบริษัทและกลุ่มธุรกิจที่ร่วมสนับสนุนและลงทุนผ่าน SeaX ได้แก่

  • นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานกรรมการ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
  • นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน)
  • นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
  • นายชาย ศรีวิกรม์ กรรมการ Gaysorn Group
  • นางสาวอนุษฐา เชาว์วิศิษฐ  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า ทูโช (ไทยแลนด์) จำกัด
  • นายโยธิน ดำเนินชาญวนิชย์ กรรมการบริหารบริษัท ดับเบิ้ลเอ (1991) จำกัด (มหาชน)
  • นายนาถ ลิ่วเจริญ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CDG GROUP 
  • นายวิบูลย์ ตวงสิทธิสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทนันยางเท็กซ์ไทล์
  • นายเรืองชาย สุพรรณพงศ์ ประธานบริหารสายงานปฏิบัติการองค์กร บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด
  • นายวีรวัฒน์ องค์วาสิฏฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีรันดา รีสอร์ท จำกัด (มหาชน)
  • นายณัฐพล วิมลเฉลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามราชธานี จำกัด (มหาชน) 

นักลงทุนสถาบันจากองค์กรชั้นนำ อาทิ เช่น

  • กองทุน สิงห์ เวนเจอร์ส
  • บริษัท วัชรพล จำกัด (ไทยรัฐ)
  • บริษัท ที.เค.เอส. เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน)
  • บริษัท โมเดอร์นฟอร์มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
  • บริษัท บีซีเอช เวนเจอร์ส จำกัด ในกลุ่มบริษัทเบญจจินดา

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post คุยกับ SeaX กองทุนสตาร์ตอัพของไทยที่ออกไปลงทุน Deep Tech นอกประเทศ first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/seax-ventures-interview/

CP จับมือ SCB ตั้งกองทุนขนาด 600-800 ล้านเหรียญสหรัฐ มุ่งลงทุน Startup ทั่วโลก

เครือเจริญโภคภัณฑ์และกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์จับมือร่วมกันก่อตั้งกองทุน Venture Capital ขนาด 600 ถึง 800 ล้านเหรียญสหรัฐ มุ่งเน้นการลงทุนใน Disruptive Technology ด้านบล็อคเชน สินทรัพย์ดิจิทัล เทคโนโลยีด้านการเงิน และเทคโนโลยีอื่นๆ ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงทั่วโลก

การร่วมมือกันครั้งนี้ เป็นการดึงจุดแข็งของทั้งสองฝ่าย เพื่อร่วมบริหารจัดการกองทุน Venture Capital โดยเครือเจริญโภคภัณฑ์เป็นหนึ่งนกลุ่มธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีธุรกิจหลากหลาย มีเครือข่ายทั่วโลก และยังมี ecosystem ที่ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม

ขณะที่กลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์นั้นนับเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจการเงินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ทั้งมี ecosystem ภาคการเงินที่ทันสมัยและสามารถต่อยอดไปยังภาคธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องโดยมี SCB 10X บริษัทในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เข้าร่วมบริหารจัดการกองทุนดังกล่าว เนื่องจากเชี่ยวชาญด้านการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีและมีเครือข่ายนักลงทุน Venture Capital ทั่วโลกและยังเป็นผู้นำด้าน Blockchain และสินทรัพย์ดิจิทัลในภูมิภาค

การร่วมการจัดตั้งบริษัทเพื่อบริหารจัดการกองทุน ต่างถือหุ้นกัน 50% ยังร่วมทุนในกองทุน Venture Capital ขนาด 600-800 ล้านเหรียญสหรัฐนี้เป็นจำนวนเงินฝ่ายละ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่เหลือจะระดมทุนจากนักลงทุนที่ได้รับการรับรอง โดยมุ่งเน้นลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีที่มีศักยภาพตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจนถึงเติบโตทั่วโลก

สุภกิต เจียรวนนท์ ประธานคณะกรรมการบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ระบุ เราเชื่อว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนจะเข้ามาเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจในหลายๆ อุตสาหกรรม ได้แก่ ภาคการเงิน การธนาคาร ภาคเกษตรกรรม ด้วยความสามารถของเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยในการติดตามและเพิ่มความโปร่งใสของกระบวนการต่างๆ เราเชื่อว่า เรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของเทคโนโลยีนี้ และเชื่อว่ายังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก

อาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าว ทุกวันนี้เราเห็นการเติบโตของเทคโนโลยีบล็อกเชนได้ชัดเจนในภาคการเงิน การนำบล็อกเชนเข้ามาประยุกต์ใช้กับบริการทางการเงินนั้น จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้การบริการทางการเงินนั้นเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดนวัตกรรมขึ้น การก่อตั้งกองทุน Venture Capital ร่วมกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ครั้งนี้ จะทำให้เราสามารถสร้างความแตกต่างและคุณค่าให้เหล่านักลงทุนและ Startup ได้อย่างดี

*การจัดตั้งกองทุนดังกล่าวอยู่ในระหว่างการขออนุมัติกับธนาคารแห่งประเทศไทย*

ที่มา – SCB, CP

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post CP จับมือ SCB ตั้งกองทุนขนาด 600-800 ล้านเหรียญสหรัฐ มุ่งลงทุน Startup ทั่วโลก first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/cp-and-scb-jointly-set-up-600-to-800-million-venture-capital-fund-to-invest-startup/

ถอดรหัสความสำเร็จนักธุรกิจดูไบ ทำไมมีมหาเศรษฐีจำนวนมาก ?

หากพูดถึงดูไบ หลายคนคงนึกถึงเมืองที่เต็มไปด้วยมหาเศรษฐี และนักธุรกิจจากหลากหลายประเทศทั่วโลก Brand Inside จึงจะพามาไขคำตอบว่า มีปัจจัยอะไรบ้างที่สนับสนุนให้ผู้ประกอบการในดูไบประสบความสำเร็จได้อย่างสูง 

dubai

ดูไบเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจที่สำคัญของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และติดอันดับเมืองมั่งคั่งที่สุดในตะวันออกกลาง ตามรายงานของ NW Wealth แต่คนทั่วไปมักเข้าใจผิดว่าดูไบรวยเพราะค้าน้ำมัน ทั้งที่ในความเป็นจริง น้ำมันสร้างรายได้ให้กับดูไบเพียง 6-7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นจากรายได้ทั้งหมด ส่วนอีก 20 เปอร์เซ็นต์เป็นการลงทุนจากต่างประเทศ

นอกจากนี้ รายได้ส่วนสำคัญของดูไบยังมาจากเหล่าผู้ประกอบการ SME โดยหากอ้างอิงสถิติของ Emirati Entrepreneurial Activity (TEA) จะพบว่า ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในทุกๆ 100 คน จะมีประมาณ 10 คนที่เป็นผู้ประกอบการ ถือเป็นจำนวนที่มากพอสมควร 

เคล็ดลับแรกของดูไบคือภาครัฐสนับสนุน SME

ภาครัฐมองว่า SME จะช่วยให้เกิดการจ้างงาน การลงทุน และการขับเคลื่อนนวัตกรรม ภาครัฐจึงจัดอันดับ SME100 เพื่อให้ผู้ประกอบการในดูไบเห็นว่า SME ไหนมีการเติบโตสูงและน่าเรียนรู้กลยุทธ์การทำธุรกิจด้วย 

รวมถึงมีกองทุน Khalifa Fund for Enterprise Development ที่ช่วยสนับสนุนให้ SME เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมากองทุนนี้ช่วยเหลือ SME ไปแล้วกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6.9 พันล้านบาท)

อีกทั้งยังมีโครงการ Dubai SME เพื่อให้ผู้ประกอบการรุ่นเยาว์ได้ลองมาแข่งขันทำธุรกิจ SME และหาคอนเนคชันจากผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่างๆ 

โครงการอีกแบบที่ดูไบมีแต่ไทยยังไม่มีเท่าไหร่คือโครงการช่วยหาคอนเนคชันของผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ เช่น นักวิจัย นายธนาคาร ทนาย นักบัญชี ฯลฯ มาให้คำปรึกษากับผู้ประกอบการ อย่างโครงการ Tamakkan 

ยิ่งไปกว่านั้น ดูไบยังมีโครงการ Al Radda เพื่อรองรับผู้ต้องขัง และโครงการ Ishraq เพื่อรองรับผู้ที่เคยติดยาเสพติดให้กลับมาสู่ภาคธุรกิจได้ ถือเป็นการใช้ทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียม

สตาร์ทอัพก็สำคัญไม่แพ้กัน

ในฝั่งของสตาร์ทอัพ ดูไบมี Silicon Oasis Founders (SOF) เพื่อสนับสนุนธุรกิจที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีระดับสูง รวมถึงคอยช่วยหานักลงทุนให้กับสตาร์ทอัพที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาเพียง 3-12 เดือน

และมีการจัดงาน Startup Weekend เป็นประจำทุกปี โดยเน้นที่การพัฒนาเว็บไซต์ และแอปพลิเคชันใหม่ๆ บนมือถือ ซึ่งงานนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในดูไบ

สื่อมวลชนเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันของสังคมแห่งผู้ประกอบการ

ด้านสื่อมวลชนก็ช่วยผลักดันสังคมแห่งผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดี เช่น รายการ The Entrepreneur ที่ฉายทาง Dubai One ซึ่งเป็นช่องของบริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้ให้ผู้ประกอบการมาแข่งขันทำธุรกิจ เพื่อชิงเงินรางวัลหลักล้าน ด้วยความบันเทิงของรายการนี้ ทำให้คนในดูไบยิ่งสนใจการทำธุรกิจมากขึ้นไปอีก

พนักงานบริษัทก็มีความเป็นนักธุรกิจได้

แม้แต่คนที่เป็นพนักงานบริษัททั่วไป องค์กรต่างๆ ก็มักส่งเสริมให้พนักงานมีความเป็นผู้ประกอบการในตัว (Intrapreneurship) หลายบริษัทในดูไบจึงเปิดแผนกใหม่ขึ้นมาเพื่อให้พนักงานพัฒนาเรื่องนวัตกรรมโดยเฉพาะ ซึ่งหากมองในระดับโลกแล้ว องค์กรใหญ่อย่าง Google, Nestle, Ford, IBM และ 3M ก็เน้นปลูกฝังความเป็นผู้ประกอบการให้กับพนักงานเช่นเดียวกัน

ไทยสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้จากดูไบมาปรับใช้อย่างไรบ้าง

ก่อนอื่น ภาครัฐต้องปรับมุมมองว่าทรัพยากรบุลคลในไทยทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ หรือแม้กระทั่งผู้เคยมีประวัติไม่ดีมาก่อนนั้นสามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ หากได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม

โดยเริ่มจากปลูกฝังจิตวิญญานความเป็นผู้ประกอบการตั้งแต่เด็ก ผ่านโครงการที่ให้นักเรียนนักศึกษาลองมาทำธุรกิจ SME และสตาร์ทอัพ รวมถึงมีเครือข่ายของผู้ประกอบการกับผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ มารองรับ เพื่อให้คนที่อยากตั้งธุรกิจสามารถหาที่ปรึกษาได้สะดวก

ในด้านของสื่อมวลชนก็สามารถผลิตรายการที่สร้างแรงบันดาลใจ และแนะนำวิธีดำเนินธุรกิจแบบใช้ได้จริงออกมามากขึ้น ส่วนองค์กรทั่วไปนั้นน่านำหลัก Intrapreneurship มาปรับใช้ให้พนักงานมีความเป็นผู้ประกอบการในตัวคือพร้อมคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้กับองค์กรมากขึ้น โดยหาพื้นที่และจัดเวลาให้พนักงานมาพัฒนานวัตกรรมเป็นประจำ เพราะนวัตกรรมจะนำมาซึ่งรายได้ในที่สุด

โดยสรุป

ดูไบให้ความสำคัญกับการสร้างผู้ประกอบการตั้งแต่วัยเด็ก รวมถึงทางภาครัฐก็สนับสนุนทั้ง SME และสตาร์ทอัพอย่างสม่ำเสมอ ที่สำคัญ สื่อมวลชนก็เป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการเป็นผู้ประกอบการ ทำให้ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีพื้นเพแบบไหนก็มีโอกาสสร้างธุรกิจของตัวเองได้ ทั้งหมดนี้จึงเป็นปัจจัยที่ประเทศไทยน่าเรียนรู้และลองนำไปปรับใช้ตาม

ที่มา Forbesmiddleast, Gulf, Mfa, Researchgate, Mgronline

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ถอดรหัสความสำเร็จนักธุรกิจดูไบ ทำไมมีมหาเศรษฐีจำนวนมาก ? first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/dubai-emerati-entrepreneurship/

AIS จับมือ Microsoft ร่วมยกระดับและขับเคลื่อนสตาร์ทอัพไทยผ่านโครงการ “AIS x Microsoft for Startups”

AIS และ ไมโครซอฟท์ จับมือกันหนุนสตาร์ทอัพไทย ในฐานะพันธ […] More

from:https://www.iphonemod.net/ais-x-microsoft-support-thai-startup-project-pr.html

ไมโครซอฟท์ ขยายความร่วมมือต่อเนื่องกับ AIS เดินหน้าหนุนสตาร์ทอัพ ผ่านโครงการ “AIS x Microsoft for Startups”

AIS – ไมโครซอฟท์ ขยายความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ต่อเนื่อง ในฐานะพันธมิตรรายแรกและรายเดียวในไทย เดินหน้าหนุนสตาร์ทอัพ ผ่านโครงการ “AIS x Microsoft for Startups” พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

หลังจากที่ AIS ได้ประกาศความร่วมมือกับ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจ หรือ Strategic Partner ไปได้ไม่นาน ก็ได้เดินหน้าขยายโซลูชั่นเทคโนโลยีสู่กลุ่มสตาร์ทอัพซึ่งเป็นอีกฐานสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลให้เติบโตไปได้ ภายใต้โครงการ AIS x Microsoft for Startups” โดย AIS จะเป็นพันธมิตรรายแรกอย่างเป็นทางการและเป็นรายเดียวในประเทศไทยในขณะนี้ เพื่อร่วมยกระดับและขับเคลื่อนศักยภาพของสตาร์ทอัพไทย มีเป้าหมายหลักในการมุ่งสนับสนุนสตาร์ทอัพไทยผ่านการมอบโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีที่จำเป็น พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ และข้อมูลเชิงลึกที่มีความสำคัญต่างๆ รวมถึงโอกาสในการเร่งการเติบโตของธุรกิจผ่านการเชื่อมต่อกับลูกค้าและพันธมิตร

 

สตาร์ทอัพที่เข้าร่วมโครงการ AIS x Microsoft for Startups” จะได้รับการสนับสนุนทรัพยากรด้านเทคโนโลยี การเข้าถึงสตาร์ทอัพคอมมูนิตี้ต่างๆ และเทคนิคการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ตลาด ดังต่อไปนี้

  • สร้างธุรกิจบนคลาวด์ที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุดและมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีที่สุด โดยสตาร์ทอัพจะได้รับประโยชน์จากระบบความปลอดภัยแบบ built-in ของ Azure ซึ่งมีการรับรองมาตรฐานที่มากที่สุดในอุตสาหกรรม อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนการเชื่อมต่อด้วยเครือข่ายไฟเบอร์และ 5G ที่น่าเชื่อถือที่สุดจากเอไอเอส
  • เตรียมความพร้อมในการจำหน่ายโซลูชันให้กับลูกค้าองค์กร ผู้ประกอบการและเอสเอ็มอี เชื่อมต่อกับผู้ขายและพันธมิตรจำนวนกว่าหลายร้อยรายของไมโครซอฟท์และเอไอเอส เพื่อมองหาโอกาสในการจำหน่ายโซลูชันของสตาร์ทอัพให้กับองค์กรชั้นนำของประเทศไทย
  • สามารถใช้เครื่องมือในการพัฒนาและภาษาใดก็ได้ สามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน ข้อมูล อุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ด้วยเครื่องมือที่พร้อมให้บริการกว่า 150 รายการ เช่น ตัวเชื่อม Azure Logic Apps สำหรับ Salesforce, Microsoft 365, Twitter, Dropbox และอื่นๆ อีกมากมาย
  • การเชื่อมต่อเข้ากับคอมมูนิตี้ของสตาร์ทอัพไทย เพื่อเชื่อมต่อและเรียนรู้จากสตาร์ทอัพอื่นๆ รวมถึงผู้พัฒนา และวิศวกรที่อยู่ในชุมชนทั้งจากโครงการ Microsoft for Startups, AIS The StartUp และนักพัฒนาซอฟต์แวร์อิสระอีกมากมาย

มากไปกว่านั้นการทำงานของที่สอดประสานของ AIS และ Microsoft ยังมีเป้าหมายเพื่อทำให้ศักยภาพของ Startup ที่เข้าร่วมสามารถเติบโตได้สูงสุดตามเป้าหมายอย่างแท้จริงในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น

ความเร็ว (Speed) จากการเป็นพันธมิตรร่วมกันที่แข็งแกร่ง ทำให้ Startup ที่เข้าร่วมโครงการ “AIS x Microsoft for Startups” จะผ่าน APAC ซึ่งนับว่าเป็นการลดขั้นตอนในการเข้าถึงบริการของ Microsoft ได้เร็วยิ่งขึ้นซึ่ง AIS เป็น Local Certified หรือการให้สิทธิ์ของโปรแกรมเพียงรายเดียวในไทย อีกทั้งยังสามารถทำงานบนเครือข่ายพิเศษเฉพาะของ AIS เพื่อให้ทำงานได้อย่างรวดเร็ว

ความคุ้มค่า (Saving) ได้รับสิทธิประโยชน์ในการใช้งานสินค้าและบริการต่างๆ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานของ Startup ในราคาที่พิเศษ และคุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นใช้งานบน Cloud Microsoft Azure ได้ฟรี, เครื่องมือต่างๆ ที่ให้เพิ่มเติมในการใช้งานฟรี เช่น Microsoft Teams, Microsoft 365 เป็นต้น

ความเข้าใจ (Solutions) สำหรับ Startup ในโครงการสามารถเลือกใช้โซลูชั่นต่างๆ ได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย อาทิ Cloud : Microsoft Azure, Development : Visual Studio Enterprise, Productivity : Microsoft 365, Dynamic 365 : for Sales ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการทำงานดีขึ้น สร้างรายได้การเติบโตที่เร็วและมั่นคง

ความเข้าถึงตลาด และการเติบโต (Sales & Marketing) สุดท้ายแล้วเป้าหมายสำคัญก็คือการสร้างยอดขายให้เติบโต โดยที่โครงการมีช่องทางขายให้กับ Startup ที่หลากหลายสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้โดยตรง ทั้งในส่วนของพนักงานขายจาก AIS และ Microsoft ที่ช่วยสนับสนุนอย่างเต็มที่, Telesell, การนำเสนอผ่านพาร์ทเนอร์ที่หลากหลาย หรือแม้แต่บน Market Place ที่มีนักลงทุนมากมาย

ในโครงการ AIS x Microsoft for Startups” สตาร์ทอัพสามารถใช้ Azure ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งเปิดโอกาสในการต่อยอดจากเทคโนโลยีแบบโอเพนซอร์ส และสามารถเลือกใช้งานได้ทุกภาษา และขอบเขตการทำงานในทุกรูปแบบ อีกทั้งยังสนับสนุนด้านการรักษาความปลอดภัยตั้งแต่แรกเริ่ม ในขั้นตอนนี้ สตาร์ทอัพสามารถขอคำแนะนำแบบตัวต่อตัวจากผู้เชี่ยวชาญของไมโครซอฟท์เกี่ยวกับการพัฒนาธุรกิจและการทำตลาดในประเทศไทย เมื่อพัฒนาโซลูชันสำเร็จ สตาร์ทอัพที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับโอกาสในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ผ่าน Commercial Marketplace ของไมโครซอฟท์ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการขายโซลูชันแก่ลูกค้าระดับองค์กร นอกจากนี้ Commercial Marketplace ยังเป็นช่องทางการขายและการตลาดที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้สตาร์ทอัพสามารถเข้าถึงตลาดใหม่ๆ กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ รวมถึงผู้ใช้งานคลาวด์ของไมโครซอฟท์จำนวนมาก และสร้างยอดขายได้สำเร็จ

สตาร์ทอัพที่สนใจเข้าร่วมโครงการ AIS x Microsoft for Startups สามารถสมัครที่ https://thestartup.ais.co.th/register

นายซันเจย์ แอนดรูว์ โทมัส หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ AIS อธิบายว่า “ภาพใหญ่ของการขับเคลื่อนประเทศในทุกระดับ ทั้งภาครัฐและเอกชน  สิ่งสำคัญที่นับว่าเป็นฟันเฟืองหลักในวันนี้ คือ Business Model หรือ กระบวนการทำงานรูปแบบใหม่ที่แตกต่าง ซึ่งสามารถแก้ปัญหา (Pain point) ได้อย่างตอบโจทย์ ด้วยเครื่องมือ Digital และนวัตกรรม ที่เป็นรูปแบบการดำเนินธุรกิจของ Startup  ดังนั้นตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา  AIS จึงเป็น Telecom Operator รายแรกในประเทศไทยที่มีวิสัยทัศน์ในการสนับสนุน สร้างเวทีให้แก่ Startup จนถึงวันนี้ เป็นบทพิสูจน์แล้วในระดับหนึ่งว่า ไอเดียจาก Startup  เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญของการสร้างนวัตกรรมรูปแบบบริการใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนในสังคมอย่างชัดเจน

สำหรับ AIS เรามีจุดยืนต่อการทำงานกับ StartUp ที่ชัดเจนมาโดยตลอดคือ การทำงานภายใต้พลังจากคู่คิด (Digital Partnership) ที่จะอยู่เคียงข้าง สนับสนุนไม่ให้พวกเขาทำงานเพียงลำพัง หากแต่ใช้ศักยภาพทั้งจากภายใน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีแพล็ตฟอร์ม องค์ความรู้ ฐานลูกค้าทั้งของ AIS และในกลุ่ม Singtel กว่า 750 ล้าน รายทั่วโลก รวมถึงการเชื่อมต่อกับกลุ่มพันธมิตรภายนอก และกลุ่มนักลงทุน เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน

ซึ่งครั้งนี้การได้รับเกียรติและความไว้วางใจจากพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่าง Microsoft ในฐานะ Strategic Partner ที่นอกจากจะร่วมส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมแล้ว ยังเข้ามาร่วมเติมเต็มศักยภาพ เสริมขีดความสามารถด้าน IT infrastructure  ของกลุ่ม Startup  ภายใต้โครงการ AIS x Microsoft for Startups ให้แข็งแกร่ง พร้อมที่จะแข่งขันในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้อย่างยั่งยืน ก็นับเป็นอีกพลังสำคัญที่จะทำให้ Start Up ไทย แข็งแรงขึ้น และสามารถฝ่าวิกฤตไปได้อย่างแน่นอน ”

นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด อธิบายเสริมว่า “ทุกคนและทุกองค์กรต่างต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนในสถานการณ์ปัจจุบัน เราจึงมองเห็นความต้องการที่จะนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เพื่อให้องค์กรต่างๆได้อยู่รอดและเติบโตต่อไปได้ ความร่วมมือในการผลักดันสตาร์ทอัพไทยกับเอไอเอสในครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะทำให้สตาร์ทอัพเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกันซ่อมสร้างเศรษฐกิจและสังคมด้วยกัน การทำให้สตาร์ทอัพสามารถเข้าถึงทรัพยากรทางเทคโนโลยี และพบโจทย์ลูกค้าโดยตรงกับเราจะทำให้มิชชั่นนี้ของเราสำเร็จไปด้วยกัน และจากเป้าหมายนี้ไมโครซอฟท์มีความมุ่งมั่นในการส่งเสริมและผลักดันให้สตาร์ทอัพไทยเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ เพื่อเป็นหนึ่งฟันเฟืองในการร่วมกันเอาชนะความท้าทาย พัฒนาธุรกิจให้เดินหน้าไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทย และด้วยการผสานความรู้ความเชี่ยวชาญจากสององค์กรชั้นนำ เราจึงมั่นใจว่าจะสามารถร่วมปลดล็อคศักยภาพของสตาร์ทอัพในประเทศได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และสนับสนุนคนไทยและธุรกิจไทยให้ปรับตัวพร้อมรับกับสถานการณ์และเดินหน้าต่อไป”

 

ข่าว: ไมโครซอฟท์ ขยายความร่วมมือต่อเนื่องกับ AIS เดินหน้าหนุนสตาร์ทอัพ ผ่านโครงการ “AIS x Microsoft for Startups” มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.
from:https://www.appdisqus.com/ais-x-microsoft-for-startups-expand-cooperation/

เจาะลึก ‘อิสราเอล’ ประเทศเล็กที่มีนวัตกรรมมาแรง แซงหน้าสหรัฐอเมริกาได้

หากพูดถึงประเทศที่มีชื่อเสียงด้านนวัตกรรมระดับโลก หลายๆ คนคงนึกถึงสหรัฐอเมริกาขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆ

แต่ความจริงแล้ว ยังมีอีกหลายประเทศที่มีจำนวนนวัตกรรมแซงหน้าสหรัฐอเมริกา เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี สวีเดน เดนมาร์ก และอิสราเอล (จากการจัดอันดับของ Bloomberg ในปี 2021)

บทความนี้ Brand Inside ขอพามาเจาะลึก ‘ประเทศอิสราเอล’ เพื่อให้คุณผู้อ่านได้เรียนรู้ว่าทำไมประเทศเล็กๆ ที่มีประชากรเพียง 9 ล้านคนนี้ ถึงได้มีนวัตกรรมแซงหน้าสหรัฐอเมริกา

อิสราเอล

ประเทศอิสราเอลยิ่งใหญ่แค่ไหน

ต้องบอกก่อนว่า Bloomberg ได้จัดอันดับประเทศนวัตกรรม โดยใช้ตัวชี้วัดหลายอย่างด้วยกัน เช่น

  • จำนวน R&D จำนวนบริษัทที่มีเทคโนโลยีสูง
  • จำนวนสิทธิบัตรที่ถือครอง
  • โดยจากการจัดอันดับประเทศต่างๆ ทั่วโลก อิสราเอลขึ้นไปอยู่อันดับที่ 6 และสหรัฐอเมริกาตามมาที่อันดับ 11

แม้สหรัฐอเมริกาจะตกลงมาอยู่อันดับต่ำกว่า แต่ก็คว้าอันดับ 1 ในฐานะประเทศที่มีบริษัทเทคโนโลยีมากที่สุดในโลกไปครอง เพราะเป็นต้นกำเนิดของบริษัทชื่อดังมากมาย เช่น Google, Apple, Facebook, Twitter, Tesla, Amazon, Microsoft และ Intel 

ความน่าสนใจคือ บริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกล้วนเคยเข้ามาทำ R&D (Research and development) ที่อิสราเอล ไม่ว่าจะเป็น IBM, Samsung, Paypal, GE, AT&T, Motorola และผู้บริหารหลายๆ ท่านก็เคยชื่นชมศักยภาพของประเทศนี้ให้เราฟังกันอยู่บ่อยครั้ง

  • Eric Schmidt อดีตผู้บริหาร Google เคยกล่าวไว้ว่า “อิสราเอลเป็นศูนย์รวมเทคโนโลยีขั้นสูงอันดับสองรองจากสหรัฐอเมริกา” 
  • Maxine Fassberg ผู้บริหาร Intel ก็เล่าว่า “Intel จะประสบความสำเร็จขนาดนี้ไม่ได้เลย ถ้าขาดบุคลากรที่มีความสามารถและความคิดสร้างสรรค์จากอิสราเอล”

ในด้านเศรษฐกิจ อิสราเอลเป็นประเทศที่มี GDP เติบโตต่อเนื่องหลายปีซ้อน รวมถึงมีอัตราการว่างงานเพียง 5% ส่วนในด้านการศึกษา อิสราเอลมีจำนวนคนเรียนต่อปริญญาเอกมากที่สุดในโลก

นอกจากนั้น จากสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้น รัฐบาลอิสราเอลเป็นหนึ่งในประเทศที่บริหารจัดการวัคซีนได้ดี จนมีสถิติออกมาว่าอิสราเอลมีอัตราการฉีดวัคซีนสูงที่สุดในโลก

คำถามคือ ปัจจัยอะไรทำให้อิสราเอลประสบความสำเร็จขนาดนี้

1. การสนับสนุนของรัฐบาล

รัฐบาลอิสราเอลให้ความสำคัญกับนวัตกรรมมากถึงขนาดที่ กล้าลงทุนในธุรกิจที่ดูมีความเสี่ยงสูง เพื่อเปิดทางให้ภาคเอกชนกล้าเข้ามาลงทุนในหลายๆ ธุรกิจที่มีโอกาสเติบโต

นอกจากนี้ ยังมี Israeli Innovation Authority หรือหน่วยงานนวัตกรรมที่ช่วยจัดหาเงินทุนมาให้กับธุรกิจใหม่ๆ ในประเทศ ซึ่งหน่วยงานนี้จะถูกแบ่งออกเป็นแผนกย่อยๆ เช่น แผนกสตาร์ทอัพ, แผนกเทคโนโลยี, แผนกความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

โดยแต่ละแผนกจะมีชุดความรู้และแผนงานเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการทดสอบไอเดีย พัฒนาผลิตภัณฑ์ และดึงดูดภาคเอกชนให้เข้ามาลงทุนในนวัตกรรมของพวกเขา ทำให้คนที่มีความคิดริเริ่มใหม่ๆ กล้าลองและไม่กลัวความล้มเหลว

นี่เป็นวิธีคิดสำคัญที่ทำให้เกิดนวัตกรรมเปลี่ยนโลกมานักต่อนักแล้ว

2. การให้ความสำคัญกับ R&D

รายได้หลักของอิสราเอลขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น โทรคมนาคม เคมีภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ เทคโนโลยีอวกาศการบิน และพลังงานทดแทน

อิสราเอลเลยให้ความสำคัญกับการค้นคว้าวิจัยมากถึงขนาดที่มีศูนย์ R&D กว่า 350 แห่งในประเทศ และมีสัดส่วนค่าใช้จ่าย R&D ต่อ GDP ถึง 4.3% ซึ่งถือว่ามากกว่าเกาหลีใต้ ฟินแลนด์ สวีเดน และญี่ปุ่น ทำให้อิสราเอลมีนวัตกรรมออกมามากมาย เช่น

  • Rewalk นวัตกรรมที่ช่วยให้ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกกลับมาเดินได้โดยไม่ต้องใช้รถเข็น ซึ่งมีผู้ใช้งานอุปกรณ์นี้ในงานแข่งขันกีฬา Paralympics ด้วย
  • เครื่อง SniffPhone ที่สามารถวินิจฉัยโรคจากการดมกลิ่น ทำให้ตรวจโรคต่างๆ ได้อย่างสะดวกมากขึ้น แถมยังมีความแม่นยำถึง 93%
  • เทคโนโลยี SparkBeyond ที่ใช้ AI ตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ โดยอ้างอิงจากประวัติสุขภาพของผู้ป่วย

3. สภาพภูมิศาสตร์ที่ไม่เอื้ออำนวยผลักดันให้เกิดนวัตกรรม

อิสราเอลตั้งอยู่ในแถบทะเลทราย และมีพื้นที่เล็กกว่าภาคอีสานของไทย ซึ่งสภาพภูมิศาสตร์อันแห้งแล้งและปัญหาขาดแคลนทรัพยากรนี้เองที่ทำให้ชาวอิสราเอลต้องคิดค้นนวัตกรรมต่างๆ ขึ้นมาเพื่อความอยู่รอด เลยเกิดผลพลอยได้คืออิสราเอลกลายเป็นแหล่งเกษตรกรรมให้ชาวอเมริกันและชาวยุโรปปีละมหาศาล

ตัวอย่างนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติของอิสราเอล เช่น

  • เทคโนโลยีเปลี่ยนน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด, เทคโนโลยีเปลี่ยนน้ำเสียให้กลับมาดื่มใหม่ได้, ระบบชลประทานแบบน้ำหยด (Drip Irrigation System) ที่ใช้น้ำน้อยแต่พืชดูดซึมไปใช้ได้ถึง 95% ทำให้อิสราเอลได้รับฉายาว่าเป็น ‘มหาอำนาจด้านเทคโนโลยีจัดการน้ำ’
  • เทคโนโลยีกลั่นน้ำจากอากาศของบริษัท Watergen ที่ช่วยให้ผู้ประสบภัยและคนทั่วไปมีน้ำสะอาดไว้ดื่ม

โดยสรุป

จะเห็นได้ว่าประเทศเล็กๆ อย่างอิสราเอลสามารถมีนวัตกรรมล้ำหน้าประเทศยักษ์ใหญ่ได้ เพราะประชาชนมีเป้าหมายใหญ่ร่วมกัน รวมถึงได้รับความช่วยเหลือจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน

ดังนั้น เมื่อหันมามองในมุมของประเทศไทยบ้าง ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่างๆ ก็ควรได้รับการสนับสนุนมากขึ้นในเรื่องนวัตกรรมเช่นเดียวกัน

สำหรับใครที่อยากทำความรู้จักประเทศอิสราเอลมากกว่านี้ สามารถอ่านต่อได้ที่ : อิสราเอล…ขุมทรัพย์นวัตกรรมกลางทะเลทราย (โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ)

ที่มา : Forbes, Innovationisrael, Worldpopulationreview,Theculturetrip

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post เจาะลึก ‘อิสราเอล’ ประเทศเล็กที่มีนวัตกรรมมาแรง แซงหน้าสหรัฐอเมริกาได้ first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/israel-startup-innovation-beats-america/

รู้จัก TIKI อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ อนาคตยูนิคอร์นรายต่อไปของเวียดนาม

อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซของเวียดนามเติบโตอย่างรวดเร็วช่วงทศวรรษที่ผ่านมา 

คำถามคือบริษัทอะไรอยู่เบื้องหลังความสำเร็จในครั้งนี้ ?

TIKI

ภาพรวมตลาดอีคอมเมิร์ซเวียดนาม

นับตั้งแต่เกิดการระบาดครั้งใหญ่ของ COVID-19 เวียดนามได้กลายเป็นตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะในไตรมาส 2 ของปีที่ผ่านมา จำนวนการช้อปปิ้งออนไลน์ทางโทรศัพท์เพียงอย่างเดียวก็ทำสถิติสูงถึง 12.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแสดงถึงอัตราการเติบโต 43% ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยช่วงไตรมาส 1 ถึงไตรมาส 2 เพียง 40% เท่านั้น

ตลาดอีคอมเมิร์ซในเวียดนามมีสัดส่วนเพียง 4% ของตลาดค้าปลีกทั้งประเทศ ซึ่งมีมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นโอกาสเติบโตของ TIKI สตาร์ทอัพสายอีคอมเมิร์ซที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ในเวียดนาม โดยในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมาก็มีผู้เข้าใช้งานแพลตฟอร์ม TIKI กว่า 22.3 ล้านครั้งต่อเดือน 

TIKI กำลังจะระดมทุนเพิ่มอีก 150-200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถ้าทำสำเร็จนี่จะเป็นการระดมทุนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีของเวียดนาม

อย่างไรก็ตาม TIKI เคยระดมทุนจากบริษัทต่างๆ ทั่วเอเชีย ทั้ง Sumitomo, JD.com, Temasek Holdings, VNG, InnoVen Capital และ Northstar Group รวมถึงมีแผนจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ท้องถิ่นภายในปี 2023 อีกด้วย

  • คำถามคือ TIKI เป็นใคร มีที่มาอย่างไร เราไปทำความเข้าใจ TIKI ให้มากขึ้นดีกว่า

เปิดประวัติอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ขวัญใจชาวเวียดนาม

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2010 Son Tran ผู้ก่อตั้งและซีอีโอคนปัจจุบันของ TIKI ได้เริ่มตั้งต้นธุรกิจโดยการขายหนังสือออนไลน์ จนมีคนขนานนามว่า TIKI เป็น Amazon แห่งประเทศเวียดนาม 

แม้ในตอนนั้นเวียดนามจะมีแพลตฟอร์มขายหนังสือออนไลน์อย่าง Vinabook อยู่แล้ว แต่ Vinabook มีจุดอ่อนคือขายแค่หนังสือภาษาเวียดนามเพียงอย่างเดียว

Son Tran มองเห็นโอกาสจึงเริ่มนำเข้าหนังสือต่างประเทศ 100 เล่มแรก ใช้โรงจอดรถและห้องนอนเป็นสต็อคสินค้า และมีทีมงานเพียง 3 คนที่ขับมอเตอร์ไซค์ส่งหนังสือ

นอกจากนั้น Son Tran ยังไปที่ร้านหนังสือเพื่อสังเกตพฤติกรรมนักอ่าน และพบว่าผู้หญิงซื้อหนังสือมากกว่าผู้ชาย เขาจึงเน้นทำโฆษณาเจาะกลุ่มผู้หญิงเป็นหลัก

TIKI
ทีมงาน TIKI

หลังจากใช้ความพยายามอย่างหนักถึงสองปี TIKI ได้รับการโหวตให้เป็นเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่บริการดูแลลูกค้าและมีบริการจัดส่งที่ดีที่สุด Son Tran รู้สึกภูมิใจ และเล่าว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจในการทำสิ่งดีๆ เหล่านี้จากหนังสือ Delivering Happiness ของ Tony Hsieh นั่นเอง

ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะเมื่อ Son Tran เล็งเห็นว่าตลาดออนไลน์กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เขาจึงเริ่มนำสินค้าอื่นๆ มาขายบนแพลตฟอร์ม TIKI ด้วย เช่น หนังสือ โทรศัพท์ แท็บเล็ต อุปกรณ์ดิจิทัล เครื่องใช้ไฟฟ้า ของใช้ในครัวเรือน ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม เครื่องเขียน ของเล่น และเสื้อผ้าแฟชั่น 

ก้าวต่อไปที่น่าจับตามองของ TIKI

Son Tran เข้าใจดีว่าผู้บริโภคชาวเวียดนามต้องการความคุ้มค่าและตัวเลือกสินค้าที่มากขึ้น ไม่ใช่แค่ความสะดวกหรือการจัดส่งที่รวดเร็วเพียงอย่างเดียว ทาง TIKI จึงตัดสินค้าคุณภาพไม่ดีออกไป และใช้กลยุทธ์ ส่งสินค้าภายใน 2 ชั่วโมง มาเจาะตลาดลูกค้าในเมืองใหญ่กว่า 40 ล้านคนที่พร้อมจ่ายเงินเพิ่มเติม 

ในขณะเดียวกัน ลูกค้าต่างจังหวัดของเวียดนามก็พร้อมรอสินค้ามาถึงด้วยระยะเวลาที่นานขึ้นหากได้รับบริการส่งฟรี ซึ่งทาง TIKI มองว่าอีก 2-3 ปีต่อจากนี้ตลาดออนไลน์ในต่างจังหวัดของเวียดนามจะเติบโตขึ้นอย่างมากเช่นเดียวกับประเทศจีน

TIKI

ยิ่งไปกว่านั้น ทาง TIKI ยังนำเสนอบริการอื่นๆ อีก เช่น 

  • บริการติดตั้งผลิตภัณฑ์ TIKI PRO 
  • บริการส่งฟรีและส่งรวดเร็ว 100% ในสามเมืองใหญ่ TIKI NOW 
  • บริการเน้นขายผัก ผลไม้ อาหารสด TIKI NGON 
  • บริการจำหน่ายตั๋วออนไลน์ Ticketbox 

สรุป

ความสำเร็จทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้นักวิเคราะห์มองว่า TIKI มีโอกาสสูงที่จะเป็นยูนิคอร์นรายต่อไปของเวียดนาม ต่อจากยูนิคอร์นรุ่นพี่อย่าง VNG ที่บริหารธุรกิจดิจิทัล คลาวด์ โฆษณา มีเดีย และ VNPAY ที่ให้บริการชำระเงินออนไลน์

นอกจากนี้ ในอาเซียนของเรายังมีอีคอมเมิร์ซระดับยูนิคอร์นอีก เช่น GoTo (เกิดจากการควบรวมกันของ Gojek กับ Tokopedia) และ Bukalapak จากประเทศอินโดนีเซีย

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าอีคอมเมิร์ซจีนยักษ์ใหญ่อย่าง Lazada หรือ Shopee ก็ยังคงครองส่วนแบ่งก้อนใหญ่ในตลาดออนไลน์ของหลายๆ ประเทศอยู่ดี

คำถามต่อไปคือ ประเทศไทยของเราอยู่จุดไหนในการแข่งขันของสงครามอีคอมเมิร์ซในครั้งนี้ สามารถหาคำตอบได้ในคลิปด้านล่างนี้ หรือว่าศึกอีคอมเมิร์ซไทย สุดท้ายก็เป็นได้แค่สงครามตัวแทนของจีน?

ที่มา : Nextbn, vietchallenge, techinasia, vnexpress, TIKI

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post รู้จัก TIKI อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ อนาคตยูนิคอร์นรายต่อไปของเวียดนาม first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/tiki-vietnam-ecommerce/