สัมภาษณ์ Sudheesh Nair, President แห่ง Nutanix กับสถาปัตยกรรม IT ที่มุ่งสู่ยุค Intelligent Edge

ทางทีมงาน TechTalkThai มีโอกาสได้สัมภาษณ์คุณ Sudheesh Nair ผู้ดำรงตำแหน่ง President แห่ง Nutanix ที่ได้มาเยือนประเทศไทย พร้อมกับได้รับฟังทิศทางอนาคตใหม่ๆ ของ Nutanix มากมาย จึงขออนุญาตเขียนสรุปให้ได้อ่านกันดังนี้ครับ

คุณ Sudheesh Nair, President, Nutanix มาเยือนไทย

 

Digital Transformation เป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง

เทคโนโลยีกำลังเข้ามาเปลี่ยนการทำธุรกิจในทุกๆ อุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเงิน ที่เห็นภาพได้ชัดที่สุดคือการที่เงินถูกเปลี่ยนรูปแบบไปเป็น Digital และเริ่มเกิดขึ้นจริงในหลายประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ อุตสาหกรรมถูก Disrupted โดยเทคโนโลยี และนี่ก็เป็นสาเหตุที่แผนก IT ของทุกๆ องค์กรนั้นต้องปรับตัวในธุรกิจอย่างรวดเร็ว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ก็ถือเป็นทั้งโอกาสสำหรับผู้ที่ปรับตัวทันและตัดสินใจถูกทาง ในขณะเดียวกันก็เป็นความเสี่ยงสำหรับผู้ที่ไม่คิดจะปรับตัว, ปรับตัวไม่ทัน หรือตัดสินใจผิดทาง

 

สู่ยุคที่กดดันที่สุดของเหล่า CIO และบริการ Public Cloud ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดอีกต่อไป

เริ่มต้นคุณ Sudheesh Nair ได้เล่าถึงความท้าทายของตำแหน่ง CIO ในทุกๆ วันนี้ที่กดดันยิ่งกว่าสมัยไหนๆ ในอดีตที่ผ่านมา จากการที่เนื้องานต่างๆ ของ CIO มีความเข้มข้นมากขึ้นจากการทำ Digital Transformation ที่เทคโนโลยีจะเริ่มกลายเป็นศูนย์กลางของธุรกิจ จนทำให้ระบบ IT มีความสำคัญอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนทั้งในแง่ของการทำให้ธุรกิจเดิมยังดำเนินต่อไปได้ และองค์กรยังสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรใหม่ๆ ขึ้นมาได้ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งความกดดันของ CIO ที่เพิ่มขึ้นมีดังนี้

  • จากเดิมที่เคยต้องพยายามลดค่าใช้จ่ายลง CIO ทุกวันนี้ยังต้องทำให้งานทางด้าน IT สามารถทำได้มากขึ้นและรวดเร็วขึ้นไปพร้อมๆ กันด้วย
  • ต้องมีบทบาทในการช่วยเปลี่ยนกระบวนการการทำงานภายในองค์กร ให้มีการนำ IT เข้าไปใช้มากขึ้น และนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาเสริมความสามารถในการทำงานให้สูงขึ้น
  • ระบบ IT ที่กลายเป็นศูนย์กลางของธุรกิจจะต้องไม่เกิดปัญหา เพราะหากเกิดปัญหาแล้วจะส่งผลกระทบต่อลูกค้าทั้งหมด ทำให้เสียชื่อเสียงองค์กรมากกว่าก่อนเป็นอย่างมาก
  • ต้องสร้างทีม IT ที่ดีที่สุด การจ้างคน IT เก่งๆ นั้นมีการแข่งขันสูงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

อย่างไรก็ดี Cloud นั้นกลายเป็นหนทางหลักของทุกๆ องค์กรไปแล้ว ด้วยจุดเด่นทางด้านความรวดเร็วในการใช้งาน, การเกิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริง, สามารถทำงานต่างๆ ได้ง่ายกว่าเดิม และทำให้องค์กรสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาได้ ทำให้องค์กรไม่สามารถหลีกเลี่ยงการใช้งาน Cloud ได้หากต้องการจะแข่งขัน แต่ก็ต้องทำความเข้าใจ Cloud ให้ดีๆ

คุณ Sudheesh Nair ยังให้ความเห็นอีกว่า Public Cloud นั้นเริ่มแสดงปัญหาหลายๆ ประเด็นในตลาดองค์กรออกมาแล้ว ตัวอย่างเช่น

  • Public Cloud นั้นมีส่วนที่ไม่สามารถปรับแต่งได้ค่อนข้างเยอะ ทำให้ไม่สามารถตอบทุกโจทย์ความต้องการเฉพาะทางได้อย่างครอบคลุม
  • ราคาแพง สำหรับกรณีที่องค์กรสามารถทำนาย Workload ได้ชัดอยู่แล้ว การลงทุน Infrastructure เองถูกกว่า
  • ระบบที่จะวางบน Public Cloud นั้นคือบริการที่ต้อง Outsource การดูแลระบบภาพรวมออกไปได้เท่านั้น
  • Public Cloud เป็นระบบ Vendor Lock-in ในระดับ Application ซึ่งย้ายออกได้ยากมาก ทำให้ต้องใช้บริการนั้นๆ ต่อไปในระยะยาว

 

Nutanix วางตัวเองเป็น AWS สำหรับองค์กร เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งในภาพกลยุทธ์ Cloud

Nutanix อยากจะตอบโจทย์ Workload ที่ทำนาย Workload ล่วงหน้าได้ภายในองค์กร เพื่อให้องค์กรสามารถเลือกประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนของระบบงานต่างๆ ให้ไม่ต้องใช้ Public Cloud ทั้งหมด ในขณะที่ยังคงมีความสามารถในการทำ Automation ระดับสูง และมีความยืดหยุ่นในการรองรับ Workload ได้หลากหลาย พร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอด

สถาปัตยกรรม Data Center ขององค์กรในปัจจุบันและอนาคตก็จะกลายเป็น Multi-cloud อย่างเต็มตัว และ Predictable Workload ทั้งหมดก็จะอยู่ภายใน On-premises Data Center ส่วน Unpredictable Workload ก็จะไปอยู่บนบริการ Public Cloud แทน และภายในปี 2025 ทาง Nutanix เองก็จะก้าวไปสู่การทำ Converged Consumption Models ให้องค์กรสามารถเช่าใช้ได้ทั้งสำหรับ Private Cloud และ Public Cloud

Credit: Nutanix

 

ตอนนี้ Nutanix เริ่มมี AppStore ของตัวเองให้องค์กรสามารถสั่งซื้อ Application ต่างๆ มาติดตั้งบน Nutanix ได้ง่ายๆ แล้ว ทำให้องค์กรสามารถเพิ่มขยายระบบและติดตั้งใช้งานระบบใหม่ๆ ได้ตามต้องการทันที การติดตั้งระบบต่างๆ สามารถทำได้ภายในการคลิกเพียงครั้งเดียว และการย้ายระบบข้ามกลับไปมาระหว่าง Nutanix กับบริการ Public Cloud ก็จะสามารถทำได้ในคลิกเดียวทั้งหมดด้วยเช่นกัน ภาพนี้เรียกว่ายุคของ Cloud Autonomy นั่นเอง

ปัจจุบัน Nutanix มีลูกค้า 56 รายจาก Forbes Global 100 แล้ว โดยมีลูกค้ารวมทั่วโลกเกินกว่า 6,000 ราย โดยมี Nutanix Acropolis Hypervisor ถึง 23% ที่ลูกค้าเลือกใช้งาน ส่วนจำนวนพนักงานภายในองค์กรนั้นก็มีมากเกินกว่า 2,600 คนแล้ว

 

นวัตกรรมใหม่ต้องการระบบปฏิบัติการใหม่เสมอ

ที่ผ่านมาโลกเรามีการพัฒนาด้าน Mobile, Data Center IoT กันค่อนข้างมาก และทำให้ต้องมีการพัฒนา OS ใหม่มารองรับ ในขณะที่ Cloud เองที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคถัดไปที่รองรับ IoT ให้ได้นั้นก็ต้องมี OS ใหม่ด้วยเช่นกัน เพื่อให้รองรับสถาปัตยกรรม Edge Computing ได้ดีขึ้นในอนาคต

Credit: Nutanix

 

Nutanix เตรียมก้าวสู่การเป็นหน่วยประมวลผลสำหรับ Intelligent Edge ในยุคของ IoT ไม่ได้อยู่แค่ในตู้ Rack อีกต่อไป ตัวอย่างหนึ่งคือการทำหน้าที่เป็น Data Center เคลื่อนที่สำหรับฝูง Drone เพื่อให้ Drone ทั้งหมดถ่ายภาพและส่งข้อมูลต่างๆ มายัง Nutanix เพื่อทำการประมวลผลได้ทันที ทั้งการจัดการในเชิงของ Big Data, AI และ Machine Learning ซึ่ง Nutanix เองนั้นจะถูกติดตั้งอยู่บน Drone เลย หรืออาจถูกติดตั้งเป็น Data Center แบบพกพาสะพายในกระเป๋าได้ก็เป็นได้ ซึ่งตลาดนี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตลาดที่จะมีการเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดในอนาคตกับการที่มี Data Center ขนาดเล็กเกิดขึ้นในทุกหนแห่งที่มีการใช้งาน Industrial IoT ที่ผู้พัฒนาเทคโนโลยี Data Center ทั่วโลกต้องแข่งขันกัน

Nutanix บน Drone Credit: Nutanix
Nutanix ติดตั้งบนกล่องกันน้ำ Credit: Nutanix
Nutanix ติดตั้งในกระเป๋าเป้สะพายหลัง Credit: Nutanix

 

คุณ Sudheesh บอกว่าเรากำลังเข้าสู่ยุค Cloud Autonomy และ Nutanix เองก็จะเริ่มมีขนาดเล็กลงจนนำไปติดตั้งได้ในขนาดที่เล็กลงไปอีก และเปลี่ยนถ่ายจากยุคของ VM สู่ยุคของ Application บน Container แทน กลายเป็นยุค Application-centric Hybrid Cloud ซึ่ง Nutanix ก็ต้องการจะเป็น Cloud OS ที่ช่วยยืดขยาย Data Center ไปสู่ทุกที่ ไม่ได้อยู่แค่ในตู้ Rack อีกต่อไป แนวคิดนี้จะทำให้การประมวลผลเกิดขึ้นได้ทุกที่ รองรับ IoT Application ในอนาคตได้อย่างครอบคลุม เหตุนี้เองที่ทำให้ Nutanix ต้องพัฒนา Nutanix Acropolis Hypervisor ขึ้นมา เพื่อให้กลายเป็น Platform พื้นฐานสำหรับยุคสมัย Application-centric ในอนาคตได้อย่างง่ายดายในราคาคุ้มค่า

ความได้เปรียบของ Nutanix ในภาพแห่งอนาคตก็คือ การที่ทำให้ Cloud ของทุกๆ ค่ายสามารถมีส่วนเพิ่มขยายเป็น Nutanix ที่รองรับการ Deploy Application ลงไปได้สำหรับ Intelligent Edge เลย และด้วยเทคโนโลยีของ Nutanix เองก็จะทำให้บริการใน Edge Computing นั้นมีทั้งประสิทธิภาพ, ความทนทาน และความง่ายในการบริหารจัดการได้พร้อมๆ กัน

Credit: Nutanix

 

สรุปช่วงถามตอบ

พอดีมีโอกาสได้ถามตอบคำถามกับคุณ Sudheesh อยู่ระดับหนึ่ง จึงขอสรุปให้ได้อ่านกันดังนี้ครับ

 

อนาคตของ SAN Storage จะเป็นอย่างไร? คิดเห็นอย่างไรกับเทคโนโลยีฝั่ง Memory-centric?

SAN Storage จะยังไม่ตายในเร็วๆ นี้ เทคโนโลยีระดับ Mainframe 50 ปีก่อนยังไม่ตาย และ SAN เองก็อยู่ในองค์กรมาโดยตลอด ดังนั้นก็จะยังคงอยู่ต่อไปแต่อาจจะเติบโตช้าลงไปบ้าง และจะปรับกลายไปเป็น Software-defined Datacenter กันมากขึ้นไปเรื่อยๆ ในขณะที่ HCI เองก็จะเติบโตอย่างต่อเนื่องและแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจาก SAN Storage ไปเรื่อยๆ ถัดจากนี้

ส่วน Memory-centric นั้นมีแนวโน้มที่จะเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะระบบฐานข้อมูลต่างๆ ก็เริ่มรองรับการทำงานแบบ In-memory กันมากขึ้น ตรงนี้เองก็อาจเป็นอีกรูปแบบการใช้งานที่ SAN Storage ไม่ตอบโจทย์นัก ในขณะที่ HCI ยังคงตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี

 

Nutanix จะหันไปโฟกัส Container มากขึ้นหรือไม่? และ Nutanix มองอย่างไรกับ Serverless Architecture?

คุณ Sudheesh เริ่มอธิบายก่อนว่า Container นั้นเป็นเทคโนโลยีที่มี Agility แต่ขาด Security ในขณะที่ VM นั้นมี Security แต่ยังขาด Agility ซึ่ง Nutanix นั้นจะรองรับได้ทั้งคู่ ในขณะที่การรองรับ IoT และ Intelligent Edge เองก็จะต้องใช้ Serverless Architecture ที่มีจุดเด่นด้านความสามารถในการสร้างบริการใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งแนวทางนี้เองที่เหล่าผู้ให้บริการ Public Cloud ทั่วโลกใช้ในการเข้าตลาด IoT

การสร้าง Intelligent Edge ที่ในอนาคต Container จะไม่ได้กลายเป็นแค่เทคโนโลยีที่เหล่านักพัฒนาใช้กันเท่านั้นแล้ว แต่กลายเป็นเทคโนโลยีที่คน IT ทุกๆ คนต้องใช้ในการ Deploy Application และ Nutanix ก็จะกลายเป็น Platform ที่รองรับ Application ได้ทุกแบบนั่นเอง

 

Nutanix มีความคิดเห็นกับ ARM อย่างไร?

ARM เองก็เป็นอีกสถาปัตยกรรมที่ Nutanix ให้ความสนใจ เพราะก็ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่มาแรง อย่างไรก็ดี ทาง Nutanix เองก็เป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้รองรับหน่วยประมวลผลได้หลายสถาปัตยกรรมอยู่แล้ว โดยเมื่อเดือนที่ผ่านมา Nutanix ก็เพิ่งประกาศรองรับการทำงานบน IBM POWER ไป ซึ่งตรงนี้เองก็เกิดขึ้นมาจากการที่ Nutanix พัฒนาระบบให้ Portable มาก จนปัจจุบันรองรับได้ทั้ง Intel, IBM Nvidia แล้ว แต่ปัจจุบันทางคุณ Sudheesh ก็ไม่ได้เล่าว่า Nutanix จะมีแผนอย่างไรกับ ARM

 

วิศวกรสาย IT ทุกวันนี้ควรปรับตัวอย่างไรกับโลก IoT?

เทคโนโลยีที่ทุกคนในสาย IT ไม่ว่าจะฝั่งใดก็ตามควรเริ่มเรียนรู้ในตอนนี้ได้แก่ Malchine Learning, Artificial Intelligence (AI), Serverless Architecture, Container และ DevOps เพื่อที่จะได้ปรับตัวไปสู่โลกในอนาคตที่เป็นแบบ Application-centric กันได้มากขึ้น

 

คุณ Sudheesh Nair กล่าวทักทายผู้ใช้งานและพันธมิตรของ Nutanix ในประเทศไทย

สำหรับผู้ที่ใช้งาน Nutanix และพาร์ทเนอร์ที่ขาย Nutanix ทุกราย ทางคุณ Sudheesh มีข้อความมาฝากกันดังนี้ครับ

from:https://www.techtalkthai.com/interview-with-sudheesh-nair-president-of-nutanix-about-new-it-architecture-in-iot-era/