คลังเก็บป้ายกำกับ: TRICK_AND_TIP

20 เคล็ดลับปรับแต่ง Android ให้เร็ว ง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง ตอนที่ 1

รวมเคล็ดลับง่ายๆ สำหรับปรับแต่ง Android ให้เร็วที่คุณเองก็ทำได้แต่อาจจะไม่เคยรู้มาก่อน รับรองว่าชีวิตของคุณจะง่ายขึ้นเยอะ

ปรับแต่ง Android ให้เร็ว
รวม 20 เคล็ดลับปรับแต่ง Android ด้วยตัวคุณเอง

ปรับแต่ง Android ให้เร็วขึ้นนั้นหลายๆ ท่านอาจจะคิดว่าต้องใช้เวลาหรือทำยาก รวมทั้งอาจจะมีหลายๆ Facebook Page ที่แนะนำไปถึงขึ้นการ Root เครื่องเพื่อโมปรับแต่ง(ซึ่งนั่นทำให้เครื่องของท่านหมดประกันทันที) ทว่าในความเป็นจริงแล้วนั้นบนตัวระบบปฎิบัติการ Android เองนั้นก็มีวิธีการปรับแต่งต่างๆ ซ่อนอยู่มากมายที่จะช่วยให้การใช้งานต่างๆ ของท่านนั้นเร็วและดีมากขึ้นกว่าเดิมได้ ในวันนี้เราจึงขอยกเอา 20 เคล็ดลับปรับแต่ง Android ที่ทำได้ด้วยตัวคุณเองมาให้ทุกท่านได้ศึกษากัน

ก่อนอื่นที่จะเข้าสู่เคล็ดลับทั้ง 20 วิธีนั้นเราขออธิบายตัวระบบปฏิบัติการ Android ให้ทุกท่านได้รู้จักกันในเบื้องต้นก่อน โดยตัวระบบปฎิบัติการ Android นั้นเป็นระบบปฏิบัติการของผู้พัฒนายักษ์ใหญ๋อย่าง Google ที่ในปัจจุบันนั้นได้รับความนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายด้วยสาเหตุที่ว่าตัวระบบปฏิบัติการ Android นั้นเป็นระบบปฏิบัติการแบบเปิด(Open Source) ที่อนุญาตให้ผู้พัฒนาอื่นสามารถที่จะหยิบเอาไปทำการพัฒนาต่อได้ด้วยตัวเอง(ตัวอย่างเช่น Amazon Fire OS ของ Amazon หรือ Harmony OS ของ Huawei) ทำให้เกิดความหลากหลายมากขึ้น

A sneak peak in Android 12 Your ICT Magazine

อย่างไรก็ตามผู้พัฒนายังคงสามารถที่จะเลือกอยู่กับ Google ได้อยู่ซึ่งทาง Google ก็จะมีการออกข้อบังคับให้ผู้ที่เลือกที่จะใช้ระบบหลักโดยรวมเป็นของ Google นั้นจะต้องใช้ระบบพื้นฐานของ Android จาก Google ทั้งหมด(โดยผู้พัฒนาจะเลี่ยงไปปรับแต่ง UI มาครอบทับตัวระบบปฏิบัติการ Android ของทาง Google แทนเช่น One UI ของ Samsung เป็นต้น) ดังนั้นแล้วหากท่านใช้สมาร์ทโฟนที่ใช้พื้นฐานระบบปฏิบัติการ Android โดยเลือกบริการของ Google มาทั้งหมดนั้นก็สามารถที่จะใช้งานเคล็ดลับทั้ง 20 วิธีที่อยู่ในบทความนี้ได้ทันที

โดยปกติแล้วระบบปฏิบัติการ Android นั้นจะมีหลักการทำงานที่คล้ายๆ กับระบบปฏิบัติการ Windows ของทาง Microsoft อยู่พอสมควร สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ตัวเครื่องช้าลงเลยนั้นก็จะคล้ายๆ กันคือเมื่อใช้ไปนานมากๆ จะมีการสร้างไฟล์ขยะขึ้นมาในตัวเครื่องทำให้กินพื้นที่แหล่งเก็บข้อมูลไป

นอกไปจากนั้นแล้วอีกหนึ่งจุดเด่นของระบบปฏิบัติการ Android ที่ค่อนข้างจะเหมือน Windows ก็คือการเปิดใช้งานแอปพลิเคชันพื้นหลังที่เปิดเอาไว้จริงๆ(เสมือนกับว่าเปิดหน้าต่างโปรแกรมหลายๆ หน้าต่างในระบบปฏิบัติการ Windows) ซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้นั้นจะใช้ทำให้ผู้ใช้สามารถสลับการใช้งานแอปพลิเคชันไปมาได้อย่างรวดเร็วแต่นั่นก็แลกมากับการที่มันจะใช้พื้นที่เก็บข้อมูลสำหรับแอปพลิเคชันในหน่วยความจำค่อนข้างมาก เป็นผลทำให้สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android ในปัจจุบันนั้นในรุ่นท๊อปๆ ก็จะมาพร้อมกับหน่วยความจำที่มากกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์บางเครื่องแล้ว

Android Jetpack

ด้วยความที่ตัวระบบปฏิบัตการ Android เป็นไปดังที่ได้บอกเอาไว้ในตอนต้นนี้เองทำให้จริงๆ แล้วนั้นทาง Google เองได้มีการใส่ Trick ต่างๆ มากมายเอาไว้ในการใช้งานเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานต่างๆ มาด้วย ซึ่ง Trick ต่างๆ เหล่านี้นั้นนอกจากจะช่วยให้เราสามารถเข้าถึงการใช้งานต่างๆ ของตัวระบบได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมแล้วมันยังเป็นการย่นระยะเวลาในการเข้าถึงการใช้งานต่างๆ ที่เป็นฟีเจอร์หลักของตัวระบบปฏิบัติการ Android อีกด้วย สำหรับ 20 เคล็ดลับที่เราคัดสรรมาจะมีอะไรบ้างนั้นไปติดตามกันได้เลย



1. Uninstall แอปพลิชันที่คุณไม่ต้องการทิ้งไป

uninstall apps menu

เริ่มต้นกันที่เคล็ดไม่ลับอย่างแรกสุดเลยกับการ Uninstall แอปพลิเคชันที่ไม่ได้ใช้งานแต่แถมมากับตัวเครื่องทิ้งไป ด้วยสาเหตุที่อธิบายเอาไว้ในตอนต้นแล้วนั้นว่าตัวระบบปฏิบัติการ Android นั้นจะคล้ายๆ กันกับระบบปฏิบัติการ Windows ที่บางแอปพลิเคชันนั้นจะมีการเปิดใช้งานตัวเองอัตโนมัติ ซึ่งนั่นทำให้มันจะถูกเก็บเอาไว้ในหน่วยความจำของตัวเครื่องให้เปลืองไปเปล่าๆ ทั้งๆ ที่ท่านเองอาจจะไม่ได้ใช้งานแอปพลิเคชันดังกล่าวนั้นเลย

นอกไปจากนั้นแล้วการที่มีแอปพลิเคชันดังกล่าวอยู่ในตัวเครื่องแล้วด้วยนั้นก็ยังเป็นการกินพื้นที่ของแหล่งเก็บข้อมุลของท่านโดยใช่เหตุอีกต่างหาก ซึ่งหากมีมากๆ หลายๆ ตัวแล้วก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาเม็มเต็มหรือ Out of Storage ได้โดยไม่รู้ตัวดังนั้นแล้วหากท่านไม่ใช้งานแอปพลิเคชันอะไรก็สามารถที่จะ Uninstall ทิ้งได้เลยตัวอย่างเช่นแอปพลิเคชัน Podcast หรือ web browser ตัวอื่นๆ เป็นต้น(หากท่านใช้แค่ Chrome ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องลง browser ตัวอื่นเพิ่ม)

วิธีการ Uninstall แอปพลิเคชันนั้นให้เข้าไปที่ Settings > Apps แล้วเลือกไปที่แอปพลิเคชันที่ต้องการจะ Uninstall แล้วทำการ Uninstall ได้ทันที

5d531366cd978423430c7e5b

อีกวิธีหนึ่งที่ง่ายกว่านั้นก็คือให้ท่านจิ้มที่ไอคอนแอปพลิเคชันที่ต้องการจะ Uninstall ค้างเอาไว้สักครู่จนมี pop up เด้วขึ้นมาจากนั้นก็เลือกที่ Uninstall ได้เลยก็ได้เช่นเดียวกัน

5d52ffd1cd9784188f3713a8

อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นสำหรับแอปลพิเคชันบางแอปพลิเคชันที่ผู้พัฒนาได้ทำการลงเอาไว้ในส่วนของ System นั้นผู้ใช้อย่างเราๆ ท่านๆ จะไม่สามารถทำการ Uninstall ออกไปได้เอง ทว่ามันก็ยังมีวิธีการที่สามารถช่วยไม่ให้ตัวแอปพลิเคชันดังกล่าวนั้นเปิดตัวเองขึ้นมาให้เปลืองหน่วยความจำของตัวเครื่องได้เช่นเดียวกันนั่นก็คือการ Disable ตัวแอปไป โดยวิธีการนั้นก็จะเหมือนกับการ Uninstall ทว่าเปลี่ยนแค่ขั้นตอนสุดท้ายจาก Uninstall เป็น Disable แถนเท่านั้น


2. ใช้งานฟีเจอร์ Digital Wellbeing

android digital wellbeing 100766989 large

เปลี่ยนแนวมาดูฟีเจอร์ดีๆ ที่หลายๆ ท่านอาจจะมองข้ามกันไปบ้างกับฟีเจอร์ที่มีชื่อว่า Digital Wellbeing ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาช่วยให้เราๆ ท่านๆ ใช้ไลฟ์สไตล์ดิจิทัลกับไลฟ์สไตล์ปกติได้แบบลงตัวสุดๆ โดยท่านสามารถที่จะเข้าไปดูฟีเจอร์ดังกล่าวทั้งหมดได้ผ่านทาง Settings > Digital Wellbeing โดยฟีเจอร์หลักๆ ที่มีนั้นจะมีดังต่อไปนี้

  • Dashboard : เป็นหัวข้อที่จะแสดงการใช้งานตัวเครื่องสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตโดยรวมทั้งหมดว่าใน 1 วันนั้นเราใช้งานเครื่องไปนานเท่าไรและการใช้งานนั้นแบ่งออกเป็นแอปพลิเคชันอะไรบ้าง(ที่หน้าจอนี้สามารถช่วยให้ท่านตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะ Uninstall หรือ Disable แอปพลิเคชันไหนบ้าง)
  • Bedtime mode : เป็นโหมดสำหรับช่วยในการใช้งานสมาร์ทโฟนช่วงก่อนเข้านอนโดยเมื่อเข้าไปแล้วนั้นจะมี 2 ฟีเจอร์ย่อยคือ Do Not Disturb for bedtime mode หรือปรับให้ตัวเครื่องไม่ทำการแจ้งเตือนใดๆ ในช่วงเวลาที่คุณหลับ(ทำให้หลับได้สนิท) และ Grayscale หรือปรับแสดงผลหน้าจอให้แสดงสีแบบขาวดำเท่านั้นทำให้หากคุณยังคงใช้งานในการอ่านข่าวสาร ฯลฯ ต่างๆ บนตัวเครื่องก็จะทำให้สายตาไม่ถูกแสงสีฟ้ารบกวนทำให้นอนหลับได้ง่ายมากกว่าเดิม
  • Focus mode : เป็นโหมดสำหรับผู้ที่ต้องการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดโดยที่ไม่ต้องมีสมาร์ทโฟนมาคอยแจ้งเตือนรบกวนเวลาทำงาน โดยในโหมดนี้นั้นเมื่อเข้าไปแล้วตัวเครื่องจะให้คุณตั้งค่าว่าจะแจ้งเตือนเฉพาะแอปพลิเคชันใดๆ ก็ได้ในช่วงเวลาการทำงานตามที่คุณกำหนด

อย่างที่บอกไปว่าฟีเจอร์ดังกล่าวนี้นั้นจะเน้นการช่วยทางด้านสุขภาพในการใช้งานสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตให้ลงตัวกับการใช้ชีวิตจริงของผู้ใช้มากกว่า ซึ่งเชื่อว่าหลายๆ ท่านอาจจะมองข้ามฟีเจอร์ดังกล่าวนี้ไป อย่างไรแล้วนั้นก็ควรลองดูกันเพื่อว่าท่านจะได้ใช้เวลากับคนสำคัญในชีวิตจริงได้มากขึ้นกว่าเดิม


3. ใช้งาน Your Phone คู่กับ Windows 10

01r4g9x6I2XxDVHV2ZB5Kcz 2

เคยรู้สึกไหมว่าเวลาทำงานแล้วเราต้องคอยหันหน้าไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีงานอยู่กับหน้าจอสมาร์ทโฟนแบบสลับไปมาบ่อยๆ นั้นจะทำให้เราใช้พลังงานมากขึ้นกว่าเดิม หากคุณเป็นผู้ใช้ Windows 10 อยู่แล้วล่ะก็ปัญหาดังกล่าวจะหมดไปด้วยแอปพลิเคชันที่มีชื่อว่า Your Phone ที่สามารถติดตั้งได้ผ่านทาง Play Store สำหรับ Android ส่วนบน Windows 10 นั้นจะมีติดตั้งมาให้อยู่แล้ว ทว่าหากไม่มีก็สามารถที่จะติดตั้งได้จาก Store เลย

สำหรับวิธีการใช้งานนั้นบอกเลยว่าง่ายเอามากๆ โดยในตอนต้นนั้นคุณจะต้องทำการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 10 เข้าด้วยกันผ่านทางแอปพลิเคชัน Your Phone ก่อน(ตามขึ้นตอนของแอปพลิเคชัน Your Phone บน Windows 10) เมื่อเชื่อมต่อเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้นตอนที่คุณทำงานจริงๆ ก็วางสมาร์ทโฟนไปได้เลยเพราะแจ้งเตือนต่างๆ จะถูกถึงขึ้นมาแจ้งผ่านทางแอปพลิเคชัน Your Phone บนหน้าจอ Windows 10 ทั้งหมดแถมที่สำคัญแล้วนั้นก็คือคุณสามารถที่จะทำการตอบข้อความต่างๆ ผ่านทางหน้าจอคอมได้ทันที


4. แก้ไข Quick Settings

Quick Settings Pie

เคล็ดลับอันดับต่อมานั้นก็คือการทำ Shortcut ให้กับคำสั่งบางคำสั่งหรือการเรียกใช้งานแอปพลิเคชันบางแอปพลิเคชันได้ผ่านทาง Quick Settings ซึ่งจะปรากฏออกมาเมื่อคุณทำการลากแถบ Notifications ลงมา แล้วเลือกที่ได้เครื่องหมายคล้ายดินสอที่อยู่ทางด้านมุมขวาของหน้าต่าง(ดังรูป : แต่สมาร์ทโฟนบางยี่ห้ออาจจะอยู่ทางด้านซ้าย) เมื่อกดเลือกเรียบร้อยแล้วนั้นหน้าจอก็จะแสดงไอคอน Shortcut ทั้งหมดที่มีให้คุณสามารถเลื่อนขึ้นมาไว้ข้างบนได้ทำให้ในการใช้งานนั้นจะสามารถเข้าผ่านทางนี้ได้ทันทีไม่มีความจำเป็นต้องไปนั่งเปิดหาแอปพลิเคชันต่างๆ ให้เสียเวลาหลายรอบอีกต่อไป)

หมายเหตุ – สำหรับ Shortcut ที่จะมีให้เลือกบน Quick Settings นั้นจะขึ้นอยู่กับทางผู้พัฒนาแอปพลิเคชันว่าได้มีการใส่เข้ามาไว้หรือไม่ทำให้บางแอปพลิเคชันนั้นก็ยังคงไม่มี ทว่าในส่วนของฟีเจอร์หลักๆ ของตัวระบบปฎิบัติการ Android เองนั้นจะมีให้เลือกเกือบหมดตัวอย่างเช่น Focus Mode หรือ Dark Mode เป็นต้น)


5. Install แอปพลิเคชันจาก Play Store ข้ามเครื่องได้

ฟีเจอร์เด็ดอย่างหนึ่งที่ระบบปฏิบัติการ Android ดีกว่า iOS นั้นก็คือมันรองรับการติดตั้งแอปพลิเคชันต่างๆ ผ่าน Play Store แบบข้ามเครื่องได้ตราบใดที่คุณใช้ชื่อบัญชีตอนเปิดเครื่องครั้งแรกเป็น Gmail Account อันเดียวกัน และเมื่อคุณใช้เครื่องใดเครื่องหนึ่งซื้อแอปพลิเคชันไปเรียบร้อยแล้วนั้นอีกเครื่องหนึ่งก็จะสามารถใช้งานแอปพลิเคชันนั้นได้ด้วยเช่นเดียวกันไม่ต้องซื้อใหม่ นอกเหนือไปจากนั้นแล้วคุณยังสามารถที่จะเข้าไป Install แอปพลิเคชันของคุณในเครื่องอื่นๆ ได้เลยจากการเข้าไปที่ Play Store > My apps & Games > Library เรียกได้ว่าบัญชีผู้ใช้เดียวจบครบทุกเครื่องจริงๆ 


6. Install แอปพลิเคชันจาก Store อื่นๆ

5bb3c1c1 5540 4b70 a5f6 55881ca29b9a ss

อีกหนึ่งจุดเด่นของการ Install แอปพลิเคชันบนระบบฏิบัติการ Android นั่นก็คือคุณสามารถที่จะติดตั้งแอปพลิเคชันเพิ่มเติมจาก Store อื่นๆ นอกเหนือไปจาก Play Store ของทาง Google ได้เอง(หรือที่เราเรียกกันว่า sideload) ซึ่งตรงนี้นั้นถือว่าเป็นข้อดีอย่างมากเพราะบางแอปพลิเคชันนั้นทาง Google ไม่รองรับให้ลงผ่าน Play Store ทางผู้พัฒนาแอปพลิเคชันก็จะใช้วิธีในการไปให้โหลดตัวแอปพลิเคชันของตัวเองผ่านทาง Store อื่นๆ แทน ตัวอย่างเช่น AnTuTu Benchmark ชื่อดังหรือจะเป็นเกม Fortnite ของทาง Epic เป็นต้น

หมายเหตุ – อย่างไรก็ตามแล้วนั้นมีข้อควรระวังก็คือคุณควรเลือกผู้ให้บริการ Store ที่ไว้ใจได้อย่างเช่น APKPure หรือ Up to Down เป็นต้น


7. ติดตั้ง Launcher ได้หลากหลาย

01r4g9x6I2XxDVHV2ZB5Kcz 15

ถ้าคุณเป็นคนที่ขี้เบื่อและเบื่อหน้าจอการใช้งานหลักเดิมๆ ที่มาพร้อมกับตัวเครื่อง Android ได้ให้ทางออกกับคุณเอาไว้แล้วนั่นก็คือการติดตั้งใช้งาน Launcher อื่นๆ ที่มีให้เลือกมากมายบน Play Store ไม่ว่าจะเป็น Action Launcher, Apex, the cleverly named Lawn Chair, Lightning, the Microsoft Launcher, Nova, Niagara หรือ Smart Launcher เป็นต้น

Launcher ต่างๆ เหล่านี้นั้นมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป แต่โดยส่วนใหญ่แล้วนั้นข้อดีของมันก็คือการที่คุณจะสามารถปรับแต่งหน้าจอของตัวเครื่องได้หลากหลายมากกว่าเดิมไม่ว่าจะเป็นการปรับขยาย Widgets หรือกระทั่งการเปลี่ยนรูปแบบของ icons เป็นรูปอื่นๆ ที่แตกต่างไปจากเดิมทำให้คุณไม่มีเบื่อ นอกไปจากนั้นแล้วบาง Launcher ยังมาพร้อมกับการปรับแต่งเอฟเฟคให้คุณได้เลือกใช้ด้วยอีกต่างหากงานนี้ไม่มีเบื่อแน่นอน

หมายเหตุ – บาง Launcher นั้นก็เรียกร้องการใช้หน่วยความจำมาก ในขณะที่บาง Launcher ก็เรียกใช้น้อย ดังนั้นก่อนจะเลือกใช้ Launcher ใดควรอ่าน Review ที่มีผู้ใช้อื่นๆ Review เอาไว้ก่อน โดยส่วนตัวแล้วขอแนะนำ Nova Launcher ที่ทั้งเบาไม่กินสเปคเครื่องแถมยังปรับแต่งได้เยอะเอามากๆ


8. ปรับแต่ง Message Notifications

01r4g9x6I2XxDVHV2ZB5Kcz 3

ระบบปฏิบัติการ Android นั้นมีการพัฒนาในส่วนของเรื่องการแจ้งเตือนข้อความมาอย่างต่อเนื่องซึ่งต้องบอกเลยว่าบน Android 11 นั้นมีตัวเลือกการปรับแต่งการแจ้งเตือนข้อความที่เยอะเอามากๆ โดยสิ่งหนึ่งที่ทุกท่านจะเห็นได้ชัดเจนหากเครื่องของท่านใช้ Android 11 ก็คือการแจ้งเตือนข้อความสนทนานั้นจะถูกนำเอาขึ้นมาอยู่เป็นหัวข้อแรกของ Notifications Bars ทำให้เข้าถึงได้อย่างง่ายดาย(แยกกับแจ้งเตือนอื่นๆ เป็นกลุ่มไปเลย)

นอกไปจากนั้นแล้วบน Android 11 ยังมาพร้อมกับระบบการตอบข้อความแบบใหม่ที่เรียกว่า Bubble โดยเวลาที่มีข้อความเข้ามาแล้วนั้นมันจะทำการแจ้งเตือนมาในรูปแบบของ Chat head(คล้ายๆ กับของ Messengers) ทำให้เราสามารถที่จะเข้าถึงแชทของแต่ละคนแต่ละแอปพลิเคชั้นได้ง่ายกว่าเดิม แต่ทั้งนี้แล้วนั้นฟีเจอร์ Bubble นั้นยังคงจำกัดการใช้งานอยู่กับบางแอปพลิเคชันเท่านั้นเพราะต้องรอให้ทางผู้พัฒนาแอปพลิเคชันพัฒนาให้แอปของตัวเองรองรับฟีเจอร์นี้ก่อนถึงจะใช้งานได้(ตรงนี้นั้น Line ยังไม่รองรับซึ่งเป็นที่น่าเสียดายมาก)


9. ปรับแต่งหน้า Home และเพิ่ม Widgets

01r4g9x6I2XxDVHV2ZB5Kcz 4

ระบบปฏิบัติการ Android นั้นมาพร้อมกับฟีเจอร์การปรับแต่งหน้าจอที่หลากหลายอย่างการย้าย Icon การรวมกลุ่ม Icons รวมไปถึงการเพิ่ม Widgets(ที่ชาว iOS พึ่งจะมีให้ใช้งานกันก็ตอน iOS 14 ที่ผ่านมา) สิ่งที่น่าสนใจนั้นก็คือการเพิ่ม Widgets ต่างๆ เข้าไปบนหน้าจอไม่ว่าจะเป็นปฏิธิน, แผนที่ ฯลฯ จะทำให้การทำงานของท่านนั้นเร็วมากขึ้นกว่าเดิมแถมบาง Widgets นั้นก็สามารถสั่งการต่างๆ แบบสำเร็จรูปผ่านทาง Widgets ได้เลยไม่มีความจำเป็นต้องเปิดแอปพลิเคชันหลักขึ้นมาอีกต่อไป

หมายเหตุ – การเพิ่ม Widgets จะทำให้ตัวเครื่องใช้หน่วยความจำมากขึ้นดังนั้นแล้วก็ไม่ควรเพิ่มจนมากเกินไปเพราะบางแอปพลิเคชันนั้นตัว Widgets เขาก็ทำเป็นเสมือนแอปพลิเคชันหลักย่อๆ มาให้เราได้ใช้งานผ่านหน้าจอซึ่งแน่นอนว่ามันจะทำงานอยู่ตลอดเวลานั่นเอง


10. เพิ่มแหล่งเก็บข้อมูลผ่าน MicroSD Card

01r4g9x6I2XxDVHV2ZB5Kcz 5

ปัญหา Out of Storage นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่จัดการได้ยากหากคุณเป็นคนหนึ่งที่เก็บข้อมูลเอาไว้ในเครื่องมาก ดังนั้นแล้วสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต Android จึงมาพร้อมกับข้อดีบางอย่างนั่นก็คือการให้ Slot สำหรับเพิ่มแหล่งเก็บข้อมูลผ่านทาง MicroSD Card ได้ ซึ่งในปัจจุบันนั้นคงต้องยอมรับว่า MicroSD Card ความจุ 256 GB มีราคาถูกลงกว่าเดิมเป็นอย่างมาก ดังนั้นแล้วหากสมาร์ทโฟนของคุณสามารถที่จะเพิ่มแหล่งเก็บข้อมุลผ่านทาง MicroSD Card ได้ก็ให้ทำการซื้อ MicroSD Card มาเพิ่มดีกว่า(และมันยังช่วยทำให้ข้อมูลของคุณอย่างเช่นรูปภาพและวีดีโอต่างๆ นั้นเก็บไว้ใน Card ทำให้ไม่ว่าคุณจะเปลี่ยนเครื่องใหม่หรือเผลอทำเครื่องเดิมพังก็ยังมีข้อมูลสำรองเอาไว้ไม่ต้องเสียเงินง้อระบบ Cloud โดยใช่เหตุ


android versions hero 2

สำหรับ 10 เคล็ดลับแรกนี้นั้นอยากให้เพื่อนๆ ได้ลองไปทดสอบในการใช้งานกันก่อน และในอีกไม่ช้านี้อีก 10 เคล็ดลับที่เหลือนั้นจะติดตามมาให้ได้ใช้งานด้วยอย่างแน่นอน ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วบางเคล็ดลับนั้นอาจจะมีเฉพาะใน Android บางเวอร์ชัน(อย่างเช่น Android 10 ขึ้นไป) เท่านั้น ซึ่งทำให้บางท่านอาจจะไม่สามารถใช้งานเคล็ดลับที่มีดังกล่าวนี้ได้

อีกจุดหนึ่งที่ต้องบอกเอาไว้ก่อนเลยนั้นก็คือในเครื่องสมาร์ทโฟนบางยี่ห้อก็อาจจะให้ฟีเจอร์บางอย่างมาไม่ครบ รวมทั้งในบางยี่ห้อเองนั้นทางผู้ผลิตก็มีการปรับแต่งตัว Firmware ออกมาเป็นของตัวเองมากจนเกินไปทำให้การใช้งานบางอย่างนั้นไม่สามารถทำได้เต็ม 100%(ตัวอย่างเช่น MIUI ที่ถูกใช้งานบนเครื่องของ Xiaomi ที่ค่อนข้างมีการจำกัดการเข้าถึงการใช้งานแอปพลิเคชันค่อนข้างจะมาก)

สำหรับอีก 10 เคล็ดลับที่เหลือจะมีอะไรนั้นติดตามกันต่อได้เร็วๆ นี้อย่างแน่นอน


อ่านบทความเพิ่มเติม/เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Youtube download
แอพ VPN
ย้ายรูป iPhone
อัดหน้าจอคอม อัดวิดีโอหน้าจอ
ลบไฟล์ขยะ
Windows 10 แท้

from:https://notebookspec.com/web/597036-20-android-tips-and-tricks-for-phones

7 วิธีลบไฟล์ขยะใน Windows เครื่องลื่นดังเดิมได้พื้นที่เพิ่ม

ใช้งานโน๊ตบุ๊คหรือพีซีมานาน ๆ พื้นที่ว่างในเครื่องก็เริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ บางทีก็ทำงานช้าลงเพราะไม่ได้ลบไฟล์ขยะใน Windows ทิ้งไปแล้วปล่อยสะสมเอาไว้จนกินพื้นที่ในเครื่องไปจนเกือบหมด ซึ่งหลายคนก็เลือกวิธีง่าย ๆ อย่างการลง Windows ใหม่อีกรอบ แต่ก็มีข้อเสียคือต้องมาโอนไฟล์เข้าออกเครื่องและมานั่งลงโปรแกรมใหม่ให้เสียเวลาทำงานไปฟรี ๆ ซึ่งถ้าไม่จำเป็นจริงก็อยากแนะนำให้ทำเป็นวิธีสุดท้าย จะได้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งเซ็ตอัพเครื่องใหม่ตั้งแต่ต้น

สำหรับคนที่ไม่เคยทำหรือล้างไฟล์ขยะใน Windows มาก่อนก็ไม่ต้องกังวลเพราะวิธีการใน Windows 10 จัดว่าทำได้ง่ายขึ้นมากและบางฟังก์ชั่นยังสามารถตั้งค่าให้ทำงานได้โดยอัตโนมัติอีกด้วย ช่วยให้เราไม่ต้องแวะเวียนมาจัดการบ่อย ๆ ช่วยให้เราใช้พีซีทำงานได้ต่อเนื่องขึ้นมาก ๆ

ลบไฟล์ขยะใน Windows
ใช้ Windows มาเป็นปี ๆ ไม่รู้ไฟล์ขยะซ่อนเยอะแค่ไหน ถ้ามีเวลาว่าง ๆ ก็ล้างหน่อยเนอะ

ไฟล์ขยะใน Windows มาจากไหน?

laptop 3087585 1920

ไฟล์ขยะใน Windows เกิดขึ้นได้เสมอทุกเวลาที่เราใช้คอมพิวเตอร์ของเราทำงาน ไม่ว่าจะติดตั้งโปรแกรม, เข้าอินเตอร์เน็ต, โหลดไฟล์ต่าง ๆ จากอินเตอร์เน็ตเข้ามาในเครื่อง, ทิ้งไฟล์ไม่ใช้แล้วลง Recycle Bin แล้วไม่ได้ลบทิ้ง ฯลฯ ก็สร้างไฟล์ขยะขึ้นมาในเครื่องของเราได้เสมอ

นอกจากนี้ตอนเราเรียกใช้งานบางโปรแกรมขึ้นมา โปรแกรมนั้น ๆ ก็จะสร้าง Temporary file ขึ้นมาเพื่อช่วยในการทำงานและถ้าเราเรียกใช้โปรแกรมนั้นบ่อย ๆ Temporary file ก็จะค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพราะว่า Windows 10 จะไม่ได้ลบไฟล์นั้นทิ้งให้โดยอัตโนมัติ และเราต้องมาจัดการลบไฟล์เหล่านั้นด้วยตัวเอง โดยไฟล์ขยะใน Windows 10 ที่เราลบไปได้เลยและไม่มีปัญหากับเครื่องเราอย่างแน่นอนได้แก่

  1. Temporary File ที่เว็บบราวเซอร์สร้างขึ้นมา – เวลาเราเข้าเว็บไซต์ไหนบ่อย ๆ หรือโหลดไฟล์ต่าง ๆ เข้ามาในเครื่อง Temporary File ใน Windows 10 ก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเปลืองพื้นที่ในเครื่องมาก ๆ แต่ในบราวเซอร์แต่ละตัวก็มีฟีเจอร์ให้ลบไฟล์ประเภทนี้ทิ้งได้
  2. โปรแกรมไฟล์ที่โหลดมาและติดตั้งในเครื่องแล้ว – ไฟล์โปรแกรมต่าง ๆ ที่โหลดมาติดตั้งไว้ในเครื่องเสร็จแล้ว บางคนก็ปล่อยทิ้งเอาไว้เพราะลืมว่ามันเคยอยู่ตรงนั้นหรือบางคนก็เก็บเอาไว้เผื่อติดตั้งในภายหลัง ซึ่งถ้าไฟล์โปรแกรมนั้นสำคัญก็แนะนำให้โหลดไปเก็บใน Exterhal Harddisk หรือแฟลชไดรฟ์ก็จะช่วยประหยัดพื้นที่ให้เราอีกมาก
  3. หน้าเว็บไซต์ที่เซฟไว้อ่านออฟไลน์ – หน้าเว็บบางเว็บ เช่น บทความหรือข่าวสำคัญต่าง ๆ ก็เป็นไฟล์ขยะอีกประเภทที่เราสามารถลบมันทิ้งไปได้เลย แม้หน้าหนึ่งจะมีขนาดเล็กเพียงหลัก KB แต่ถ้าใครเป็นสายชอบโหลดมาทิ้งค้างไว้เยอะ ๆ ก็อาจจะใหญ่ขึ้นเป็นหลาย MB ก็ได้เช่นกัน ดังนั้นถ้ามีค้างในเครื่องเยอะ ๆ ก็เปลืองพื้นที่โดยไม่จำเป็นเช่นกัน
  4. Recycle Bin – เหล่าไฟล์ที่เราลบทิ้งไปแล้วก็จะโดน Windows ย้ายไปทิ้งไว้ใน Recycle Bin เป็นจุดสุดท้าย และถ้าเราสั่ง “Empty Recycle Bin” เมื่อไหร่ไฟล์เหล่านั้นก็จะหายไปและต้องเสียเวลากู้ไฟล์กลับมา ดังนั้นถ้าเป็นสายลบไฟล์แต่ลืมล้างถังขยะทิ้งก็จะเสียพื้นที่ในเครื่องไปโดยปริยายเช่นกัน
  5. Temporary files – เป็นไฟล์ที่โปรแกรมหรือ Windows สร้างขึ้นมาใช้ทำงานหนึ่ง ๆ ชั่วคราวและระบบไม่ได้ลบทิ้งให้ 
  6. Thumbnails – ไฟล์ประเภทรูปภาพที่ Windows สร้างขึ้นมาเพื่อให้แสดงภาพในเครื่องได้เร็วยิ่งขึ้น ส่วนนี้ก็เป็นไฟล์ขยะที่ลบทิ้งได้เช่นกัน
  7. โฟลเดอร์ Windows.old – เป็นไฟล์และโปรแกรมค้างจาก Windows ในไดรฟ์เดิม จะเจอในไดรฟ์ C:\ ของเราตอนเราล้างเครื่องลง Windows ใหม่ทับอันเก่าในไดรฟ์เดิม ถ้ามีไฟล์สำคัญที่เก็บเอาไว้ก็สามารถเข้าไปกู้ออกมาได้แล้วค่อยลบทิ้ง

windows old
โฟลเดอร์นี้ถ้าไม่มีไฟล์สำคัญค้างอยู่ก่อนลงวินโดว์ใหม่ก็ลบโลด

7 วิธีลบไฟล์ขยะใน Windows เพิ่มพื้นที่ให้เครื่องของเรา

วิธีลบไฟล์ขยะใน Windows 10 นอกจากไฟล์ขยะที่ Windows มักสร้างเป็นประจำแล้ว ยังมีส่วนเสริมและฟีเจอร์สำหรับแท็บเล็ต Windows ติดมาด้วย เนื่องจาก Windows 10 ถูกออกแบบมาใช้งานในโหมดแท็บเล็ตได้ด้วย ทำให้เวลาเราเอามาใช้ในพีซีก็จะมีส่วนเสริมเกินจำเป็นของแท็บเล็ตแถมมาพร้อมกัน ถ้าปล่อยทิ้งเอาไว้นอกจากไม่ได้ใช้ประโยชน์ยังเปลืองพื้นที่ฮาร์ดดิสก์เราแต่ก็สามารถจัดการเอาพื้นที่คืนมาได้ด้วย 7 ขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้

  1. ลบไฟล์ด้วย Disk cleanup ของ Windows 10
  2. ลบโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้แล้วในเครื่องทิ้งไป
  3. เปิด Windows Defender มาสแกนไวรัสในเครื่อง
  4. ไล่ลบโฟลเดอร์ของโปรแกรมที่ถอนการติดตั้งทิ้งไปแล้ว
  5. ใช้ Storage Sense ลบไฟล์ขยะทิ้ง
  6. ลบ Temporary file ในเว็บบราวเซอร์ทิ้ง
  7. ลบไดรเวอร์ของอุปกรณ์ที่ไม่ได้ใช้แล้วทิ้งไป
1. ลบไฟล์ด้วย Disk cleanup ของ Windows 10

disk clean up

วิธีลบไฟล์ขยะใน Windows อย่างแรกที่ทำได้ง่ายสุดและไม่ต้องเข้าไปยุ่งกับการตั้งค่าใด ๆ ในระบบปฏิบัติการเลยคือการเรียก Disk Cleanup ขึ้นมาแล้วให้โปรแกรมจัดการตัวเองได้เลย เพียงแค่กดปุ่ม Windows บนคีย์บอร์ดและพิมพ์ Disk Cleanup ลงไปแล้วกด Enter เพื่อเปิดฟังก์ชั่นนี้ขึ้นมาได้เลย

disk clean

โปรแกรมจะให้เราเลือกว่าจะให้สแกนเพื่อล้างไฟล์ขยะในไดรฟ์ไหน ถ้าในพีซีของเรามีมากกว่า 1 ไดรฟ์จะต้องเลือกส่วนนี้ด้วย และแนะนำให้เลือก C:\ ขึ้นมาล้างไฟล์ขยะทิ้งก่อนเป็นไดรฟ์แรก เพราะป็นไดรฟ์ที่ลง Windows 10 เอาไว้และจะมีไฟล์ขยะเยอะที่สุด

disk cleanup

Disk Cleanup จะคำนวนและสแกนไฟล์ขยะทั้งหมดในเครื่องแล้วแยกหมวดให้เราเลือกลบได้ตามต้องการ โดยปกติ Disk Cleanup จะตั้งให้ลบ Downloaded Program Files, Temporary Internet Files, Thumbnails เอาไว้อยู่แล้ว แต่ถ้าต้องการลบไฟล์ส่วนอื่นด้วยให้เราติ๊กเลือกในช่องด้านหน้านั้นตามต้องการแล้วกด OK ให้ Disk Cleanup ลบไฟล์เหล่านั้นทิ้งไป

2. ลบโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้แล้วในเครื่องทิ้งไป

uninstall1

โปรแกรมที่เราไม่ได้ใช้งานแล้วปล่อยทิ้งค้างไว้ในเครื่องก็เหมือนไฟล์ขยะประเภทหนึ่งที่ทำให้ไดรฟ์ C:\ เต็มได้ง่าย ๆ เช่นกัน ซึ่งวิธีการที่ดีสุดคือการลบมันทิ้งไปไม่ก็ย้ายไปไว้ในไดรฟ์สำรองแทน จะได้มีพื้นที่เอาไว้ใช้ติดตั้งโปรแกรมอื่น ๆ หรือเซฟงานสำคัญ ๆ ได้มากขึ้น

ถ้าพูดถึงการลบโปรแกรมในเครื่องทิ้ง ใคร ๆ ก็จะเปิด Control Panel ขึ้นมาใช้งาน แต่สำหรับ Windows 10 จะมีฟีเจอร์ย้ายโปรแกรมที่ติดตั้งจากไดรฟ์หนึ่งไปยังอีกไดรฟ์หนึ่งโดยไม่ต้องเสียเวลามาติดตั้งใหม่เลย โดยวิธีการให้เราเปิด Settings จากนั้นคลิ๊กคำว่า Apps เพื่อเรียกดูซอฟท์แวร์ต่าง ๆ ที่ติดตั้งอยู่ในเครื่องของเรา

move programs

เมื่อเข้าส่วนของ Apps แล้ว เครื่องจะเปิดรายชื่อโปรแกรมทั้งหมดในเครื่องขึ้นมาให้เราเลือกลบทิ้ง (Uninstall) หรือย้ายที่ติดตั้ง (Move) ได้ด้วย ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลานั่งไล่ลบลงโปรแกรมเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

move 2

ถ้าเราเลือก Uninstall ก็จะเหมือนกับการลบโปรแกรมด้วย Control Panel ทั้งหมด แต่ถ้าเลือก Move แล้วพีซีของเรามีฮาร์ดดิสก์มีไดรฟ์มากกว่าหนึ่งไดรฟ์ ก็สามารถเรียกใช้ฟีเจอร์นี้ได้ พอเรากด Move แล้วจะมีตัวเลือกว่าต้องการย้ายไปที่ไดรฟ์ไหนแทน เช่นในภาพมีไดรฟ์ D:\ ก็จะขึ้นมาให้เราเลือกในช่อง ถ้าเลือกไดรฟ์ที่ต้องการย้ายได้แล้วให้กด Move แล้วรอให้ระบบจัดการย้ายโปรแกรมให้เสร็จก็ใช้งานต่อได้ทันที

3. เปิด Windows Defender มาสแกนไวรัสในเครื่อง

security 1

ไฟล์ขยะใน Windows นอกจากไฟล์ที่ระบบสร้างขึ้นมาเองแล้ว บางคนที่ท่องเว็บแปลก ๆ อยู่บ่อย ๆ ก็อาจจะได้ของแถมอย่างไวรัสหรือมัลแวร์ต่าง ๆ แถมมาในเครื่องก็ได้ ซึ่งเราสามารถใช้ Windows Defender ใช้คอยไล่ลบไฟล์ขยะใน Windows ได้ด้วย โดยประสิทธิภาพของ Windows Defender เองก็ถือว่าทำงานได้ดีไม่แพ้กับโปรแกรมแอนตี้ไวรัสจากบริษัทอื่นเลย จะด้อยกว่าเพียงแค่โปรแกม Antivirus ดัง ๆ อย่าง Norton, Kaspersky, Avira เท่านั้น

Screenshot 2021 02 08 170535
security 1 1
security 22
security 3

ส่วนของขั้นตอนให้กดปุ่ม Windows ขึ้นมาพิมพ์คำว่า Windows Security แล้วกด Enter จากนั้นเลือกที่ Virus & threat protection จะเข้าสู่หน้าสแกนไวรัส แต่ปกติแล้วระบบจะตั้งเป็น Quick Scan ซึ่งจะสแกนไม่ทั่วถึงทั้งเครื่อง ดังนั้นให้เรากดเลือกที่ Scan options ก่อนเพื่อเปิดฟังก์ชั่นการสแกนอื่น ๆ ขึ้นมา แล้วให้เลือกที่ Full scan จากนั้นคลิ๊กคำว่า Scan now ที่อยู่ด้านล่างสุด

ระบบ Windows Defender จะเริ่มสแกนหาไฟล์แปลกปลอมในเครื่องแล้วไล่ลบให้กับเรา ซึ่งขั้นตอนนี้จะกินเวลาร่วมชั่วโมงหรือสองชั่วโมงทีเดียว ดังนั้นแนะนำให้กดตอนที่ว่างจริง ๆ เช่น สแกนทิ้งเอาไว้แล้วพักกินข้าวเที่ยงหรือกำลังจะนอนก็สแกนเครื่องทิ้งไว้แล้วกดดับหน้าจอ เป็นต้น

4. ไล่ลบโฟลเดอร์ของโปรแกรมที่ถอนการติดตั้งทิ้งไปแล้ว

old folder

หลายคนอาจจะคิดว่าลบโปรแกรมใน Control Panel หรือ Apps ทิ้งไปก็จบแล้ว ได้พื้นที่คืนแล้ว แต่จริง ๆ มันไม่จบแค่นั้นเพราะฟังก์ชั่นถอนการติดตั้งโปรแกรมไม่ได้ไปลบโฟลเดอร์ที่ติดตั้งโปรแกรมที่ตกค้างในในไดรฟ์ C:\ ออกไปให้เรานั่นเอง ดังนั้นเวลาเราลบโปรแกรมไหนทิ้งไปแล้วให้เราเปิดไดรฟ์ C:\Program Files หรือ C:\Program Files (x86) เข้ามาเปิดดูสักหน่อยว่าโปรแกรมไหนเราถอนการติดตั้งทิ้งไปแล้วยังมีโฟลเดอร์ตกค้างอยู่ ก็กด Delete หรือ Shift+Delete เพื่อลบโฟลเดอร์นั้นทิ้งไปก็เป็นอันครบจบกระบวนการลบโปรแกรมนั้นโดยสมบูรณ์

5. ใช้ Storage Sense ลบไฟล์ขยะทิ้ง

storage sense
storage sense 2
storage sense 3.png

ฟีเจอร์ Storage sense เป็นอีกฟีเจอร์ลบไฟล์ขยะใน Windows 10 ที่มีประโยชน์มากเช่นกัน ซึ่งซ่อนอยู่ใน Settings > System นั่นเอง และเมื่อเราเปิดขึ้นมาแล้วให้เราคลิกที่แถบซ้ายตรงตัวเลือก Storage แล้วระบบจะมีแถบตัวเลือก “Configure Storage Sense or run it now” ขึ้นมา ให้เราเปิดการทำงานของมันที่แถบเลื่อนด้านบนก่อนแล้วคลิกเข้าไปตั้งค่าการทำงานของมันเพิ่มเติมด้วย

เมื่อเข้ามาในส่วนตั้งค่าของ Storage Sense ให้เลื่อนมาที่แถบ Temporary Files แล้วติ๊กถูกในช่อง “Delete temporary files that my apps aren’t using” เอาไว้แล้วเลื่อนมาที่บรรทัดต่อมาตรงเลข 1 คือให้ Storage Sense ลบไฟล์ที่ทิ้งไว้ใน Recycle Bin ภายในกี่วัน ให้เราเลือกตั้งค่าได้ตามความสะดวกได้เลย ส่วนหมายเลข 2 จะเป็นการลบไฟล์ที่ไม่ได้ใช้ในแฟ้ม Downloads ออกไป ซึ่งถ้าเราไม่ได้เก็บไฟล์เอาไว้ใน Downloads เป็นที่หลักอยู่แล้ว ก็สามารถเปิดให้ลบไฟล์ได้เช่นกัน

แถบ OneDrive ระบบจะย้ายไฟล์ที่เราไม่ได้ใช้เลยขึ้นไป OneDrive Cloud แล้วลบที่อยู่ในเครื่องออกไปเมื่อครบวันที่กำหนด ซึ่งส่วนนี้สามารถเลือกเปิดได้ตามความสะดวกของแต่ละคน

6. ลบ Temporary file ในเว็บบราวเซอร์ทิ้ง

เว็บบราวเซอร์เองก็เป็นอีกโปรแกรมหลัก ๆ ที่สร้าง Temporary file ทิ้งไว้ในเครื่องมากไม่แพ้โปรแกรมอื่น ๆ แต่ข้อดีคือแต่ละบราวเซอร์ก็มีฟังก์ชั่นสั่งลบไฟล์ขยะที่สร้างขึ้นมาทิ้งไปได้เช่นกัน ซึ่งเปิดมาลบทิ้งได้ไม่ยากและทำไม่กี่ขั้นตอนก็เสร็จแล้ว โดยมีวิธีการทำตามดังนี้

Google Chrome

ตั้งค่า Chrome ให้เร็ว

สำหรับวิธีการลบไฟล์ขยะของ Google Chrome ให้ทำตามข้อที่ 3 ในบทความ “7 ขั้นตอน ตั้งค่า Chrome ให้เร็วทันใจด้วยตัวเองฉบับปี 2021” ได้เลย

Mozilla Firefox

firefox cache
firefox cache2.png

ขั้นตอนของ Mozilla Firefox ให้เรากดตรงคำสั่งเมนูตรงมุมบนขวามือแล้วกดตัวเลือก Options เพื่อเข้าส่วนของการตั้งค่าของตัวบราวเซอร์แล้วพิมพ์คำว่า Clear ลงไปในช่องค้นหา บราวเซอร์จะขึ้นหัวข้อ “Cookies and Site Data” ขึ้นมา ให้คลิกคำว่า “Clear Data…” ตรงมุมขวามือเพื่อลบไฟล์ขยะทิ้งไป

Microsoft edge

edge settings
cache 2

ขั้นตอนของ Microsoft Edge จะคล้ายกับ Firefox คือเปิดเมนูขึ้นมาแล้วกดที่ตัวเลือก Settings เพื่อเข้าส่วนตั้งค่าโปรแกรม จากนั้นในช่องค้นหาให้พิมพ์คำว่า cache แล้ว Edge จะให้เราเลือกเปิดได้ว่าจะให้บราวเซอร์ลบไฟล์ขยะอันไหนทิ้งบ้าง ให้เราสไลด์เปิดฟังก์ชั่นส่วนที่เราต้องการได้เลย

7. ลบไดรเวอร์ของอุปกรณ์ที่ไม่ได้ใช้แล้วทิ้งไป

device manager uninstall

สุดท้ายไดรเวอร์สำหรับฮาร์ดแวร์ที่ไม่ได้ใช้แล้วปล่อยทิ้งไว้ก็กินพื้นที่ของเครื่องเหมือนกัน โดยวิธีการลบไฟล์ขยะใน Windows ส่วนนี้จำเป็นต้องสังเกตเพิ่มเติมเล็กน้อย คือตัวไดรเวอร์ที่เราไม่ได้ใช้ และมักเป็นอุปกรณ์พกพาต่าง ๆ เช่น iPhone, iPod หรือสมาร์ทโฟนที่เราขายทิ้งไปแล้วนั่นเอง

วิธีการคือกดปุ่ม Windows พิมพ์คำว่า Device Manager ลงไปก่อนกด Enter จะขึ้นเป็นหน้าต่างแบบในภาพด้านบน ให้เราค่อย ๆ ไล่ดูทีละรายการว่ามีไดรเวอร์ไหนที่กลายเป็นสีเทาแบบในภาพตัวอย่างบ้าง ซึ่งถ้ามีก็สามารถคลิกขวาแล้วกด Uninstall device ทิ้งไปได้เลย

ใจความสำคัญของการลบไฟล์ขยะใน Windows 10 คือ เราต้องหมั่นเข้ามาไล่เช็คว่ามีโปรแกรมไหนลบไปแล้วยังไม่ได้เก็บงานในไดรฟ์ C:\ หรือใช้บราวเซอร์นานเกินไปแล้วคิดว่าควรล้างไฟล์ขยะทิ้งบ้าง ฯลฯ รวมถึงการตั้งค่าให้ตัวระบบ Windows คอยดูและเคลียร์ไฟล์เหล่านั้นด้วยตัวเองเช่นกัน ก็จะทำให้พีซีของเราไม่มีไฟล์ขยะทิ้งค้างเอาไว้และไม่ต้องเสียเวลาล้างเครื่องติดตั้ง Windows ใหม่ให้เสียเวลาด้วย

from:https://notebookspec.com/web/575354-7-step-to-clear-junk-file-in-windows-10

7 ขั้นตอน ตั้งค่า Chrome ให้เร็วทันใจด้วยตัวเองฉบับปี 2021

เชื่อว่าใคร ๆ ก็ใช้ Google Chrome เข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ และอาจใช้อ่านบทความนี้อยู่ด้วย แต่การตั้งค่า Chrome ให้เร็ว เปิดเว็บให้ไวทันใจไม่ต้องรอโหลดหน้าเว็บไซต์นานจนเสียอารมณ์นั้น เพียงแค่เรารู้ว่าต้องปรับแต่งตรงไหนก็สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการคลิกเพียงไม่กี่จุดเท่านั้น รวมทั้งช่วยลดการใช้แรมของพีซีลงไปพร้อม ๆ กันด้วย เหมือนในบทความ “7 ขั้นตอนแก้ปัญหา Google Chrome กินแรมแบบง่าย ๆ” ของผู้เขียนเมื่อก่อนหน้านี้

สำหรับวิธีการในบทความนี้จะมีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง แต่ก็มีเคล็ดลับใหม่ ๆ เพิ่มเติมเพื่อปรับแต่งให้ Google Chrome ทำงานได้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งแนะนำให้ปรับแต่งลดปัญหาการกินแรมรวมทั้งตั้งค่าตามในบทความนี้ด้วย จะทำให้ Chrome ทำงานได้เร็วยิ่งกว่าเดิม

ตั้งค่า Chrome ให้เร็ว
ข้อดีของ Chrome เด่น ๆ ก็คือโหลดเบราเซอร์ไว้เครื่องไหน การตั้งค่าก็ตามมาด้วย

สิ่งต้องทำคือลบส่วนเกินใน Chrome

จะพีซีหรือโปรแกรมไหนก็ตาม ยิ่งมีส่วนเสริมหรือไฟล์ขยะในตัวเองมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำงานช้าลงไปเรื่อย ๆ ซึ่ง Google Chrome ก็ไม่เว้นเช่นกัน เพราะวันหนึ่งเราเข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ มากมาย โหลดสิ่งต่าง ๆ มาไว้ในเครื่องและ Chrome โดยไม่ตั้งใจก็มี และถ้าเรายิ่งมีไฟล์ทับถมกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ปัญหา Chrome ทำงานช้าจน Crash ก็อาจเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ เช่นกัน

79Idnไฟล์ขยะเยอะ ปัญหาก็เยอะตาม

ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการเคลียร์ไฟล์ขยะทิ้ง ควบคู่กับการตั้งค่าบางส่วนใน Chrome ไปพร้อมกันและห้ามลืมอัพเดทให้เป็นเวอร์ชั่นใหม่เสมออย่างที่มีแนะนำในบทความเกี่ยวกับ Google Chrome ก่อนหน้านี้ เนื่องจาก Chrome ในเวอร์ชั่นใหม่ ๆ Google ก็ได้ปรับแต่งฟีเจอร์บางส่วนให้ดีขึ้นแล้วรวมเข้าไปในโปรแกรมทำงานส่วนหลักของเบราเซอร์ให้เรียบร้อยแล้ว

Screenshot 2021 01 25 145509

แต่อย่างไรก็ตาม Chrome ไม่สามารถปรับแต่งตัวเองได้อย่างอิสระหากขาดผู้ใช้เช่นเราเข้ามาช่วยจัดการ ดังนั้นเมื่อเบราเซอร์เริ่มทำงานช้าแล้ว เรากมีหน้าที่ต้องเข้ามาจัดการให้กลับมาทำงานดีเท่ากับตอนโหลดเบราเซอร์นี้มาติดตั้งใหม่ ๆ นั่นเอง

7 ขั้นตอนตั้งค่า Chrome ให้เร็วทันใจ

ขั้นตอนการตั้งค่า Chrome นั้น หลายคนอาจจะคิดว่ายาก แต่จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องพื้นฐานและเป็นฟีเจอร์คำสั่งในตัวเบราเซอร์เองซึ่งหลายคนอาจไม่ได้เข้าไปจัดการมันบ่อย ๆ นั่นเอง ซึ่งทั้ง 7 ขั้นตอนนี้สามารถทำได้ด้วยตัวเองง่าย ๆ ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็เพิ่มความเร็วให้ Chrome ได้มากแล้ว โดยวิธีการทั้งหมดมีดังนี้

  1. ลบแอพฯ และส่วนเสริมเกินจำเป็นทิ้ง
  2. ตั้งค่า Site access ให้ส่วนเสริมของ Chrome
  3. ล้าง Cache ทิ้งเป็นระยะ ๆ
  4. ใช้ Preload page ให้เปิดเว็บไซต์ได้เร็วขึ้น
  5. ลบมัลแวร์แฝงในเบราเซอร์ทิ้ง
  6. เปลี่ยน DNS ไปใช้ของ Google แทน
  7. เปิด Google Chrome Lite Mode ในมือถือ
1. ลบแอพฯ และส่วนเสริมเกินจำเป็นทิ้ง

chrome extension 2 e1611562655776

ขั้นตอนแรกของการตั้งค่า Chrome ให้เร็ว เริ่มต้นจากการลบแอพฯ และส่วนเสริมเกินจำเป็นทิ้งไปก่อน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ Chrome ไม่กินแรมมากแล้ว ยังทำให้ทำงานเร็วขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย นั่นเพราะเบราเซอร์ไม่จำเป็นต้องโหลดส่วนเสริมเกินจำเป็นขึ้นมาด้วยเมื่อเรียกใช้งาน

แต่ถ้าส่วนเสริมนั้น ๆ ยังมีความจำเป็นอยู่บ้างการลบทิ้ง (Remove) ก็ไม่แนะนำ ควรเลือกปิดการทำงานด้วยการเลื่อนสไลด์ปิดการทำงานตรงลูกศรขวามือแทน แล้วเปิดใช้เมื่อจำเป็นก็นับว่าใช้ได้เช่นกัน

extension enter

วิธีการเข้า Chrome Extension ให้พิมพ์คำว่า chrome:extensions เข้าไปใน Address bar หรือเข้าผ่านทางการคลิกจุด Settings แบบในภาพ เลือก More tools แล้วคลิกตรง Extensions ก็ได้เช่นกัน จากนั้นให้เลือกปิดหรือลบส่วนเสริมเกินจำเป็นออกไป

2. ตั้งค่า Site access ให้ส่วนเสริมของ Chrome

การตั้งค่า Site access ให้กับส่วนเสริมของ Google Chrome ก็เป็นอีกวิธีตั้งค่า Chrome ให้เร็วขึ้น และสำคัญไม่แพ้กับการปิดหรือลบส่วนเสริมออก เพราะว่าเมื่อเราเข้าเว็บไซต์ไหนก็ตาม ส่วนเสริมนี้จะถูกเบราเซอร์โหลดมาทำงานรออยู่เบื้องหลังเสมอ จึงกินทรัพยากรตัวเครื่องไปพร้อม ๆ กัน แต่อย่างไรก็ตามคำสั่ง Site access จะฝังอยู่กับส่วนเสริมบางตัวจาก Chrome Web Store เท่านั้น ขั้นตอนนี้จึงจำเป็นต้องเปิดเช็ค Details ของส่วนเสริมทีละตัว

Screenshot 2021 01 25 154426

หากเพิ่งทำขั้นตอนแรกไปอย่าเพิ่งปิด chrome:extensions ทิ้ง แต่ให้กดคำว่า Details แทนเพื่อเข้าไปดูรายละเอียดของส่วนเสริมนั้นในเบราเซอร์ Chrome ก่อน

site access

หากว่าส่วนเสริมนั้นมีฟังก์ชั่น Site access อยู่ด้วย จะอยู่ในรายละเอียดส่วนล่างสุด ทั่วไปแล้วส่วนเสริมทุกตัวจะถูกตั้งเป็น “On all sites” เอาไว้ ซึ่งจะทำการโหลดตัวเองทุกครั้งเมื่อเปิดเว็บไซต์ใหม่ ๆ ให้เราปรับเป็น “On click” หรือ “On specific sites” ก็ได้เพื่อหยุดการเรียกใช้งานส่วนเสริมทุกครั้ง จะช่วยให้ Chrome ทำงานได้เร็วขึ้น

3. ล้าง Cache ทิ้งเป็นระยะ ๆ

Cache ก็เป็นอีกสาเหตุของอาการ Chrome เปิดเข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้ช้าลงเช่นกัน เนื่องจากตัวเบราเซอร์เก็บข้อมูลเอาไว้ในตัวมากเกินไป สังเกตได้จากอาการพื้นที่ว่างในเครื่องเหลือน้อยก็เพราะ Chrome เก็บ Cache เป็นเหตุนั่นเอง

วิธีการเคลียร์ Cache เพียงพิมพ์คำว่า chrome://settings/clearBrowserData เข้าไปใน Address bar เช่นเดิม แล้วเบราเซอร์จะโหลดคำสั่งล้าง Cache ขึ้นมาให้เลือกลบได้ทั้งแบบพื้นฐาน (Basic) และขั้นสูง (Advanced)

clear cache basic

สำหรับผู้ใช้ทั่วไปแนะนำให้เลือกลบในส่วน Basic แล้วติ๊กเลือกถูกในช่อง Cached images and files อันเดียวเพื่อลบรูปภาพทิ้งก็ได้ หรือถ้าเลือกทั้งสามอันจะล้างประวัติการเข้าเว็บไซต์และ Cookies ออกไปด้วย ซึ่งไม่แนะนำให้ลบ Cookies เพราะจะเสียเวลาไล่ล็อคอินเข้าเว็บต่าง ๆ อีกครั้ง อย่างมากอาจลบ Browsing history อีกอย่างทิ้งไปก็ได้

advance browsing data

ส่วนแถบ Advanced จะเลือกตั้งค่าการล้าง Cache ได้ละเอียดขึ้นทั้งปรับตั้งเวลาลบในช่อง Time range ก็ได้ และลบรหัสผ่านที่เรากรอกเอาไว้ในเว็บไซต์ต่าง ๆ ทิ้งไปด้วย แม้จะล้างได้หมดจดกว่าแต่เสียเวลากลับมาล็อคอินเช่นกัน และถ้าไม่ได้บันทึกรหัสผ่านเอาไว้กับ Chrome จะสร้างความรำคาญมากกว่าผลดีเสียด้วย

อย่างไรก็ตามถ้าต้องการถอดการล็อคอินทุกเว็บทิ้งเพื่อเข้าใหม่หรือเปลี่ยนรหัสผ่านก็ใช้วิธีนี้เพื่อประหยัดเวลาได้เช่นกัน ดังนั้นผู้ใช้ทั่วไปเลือกเพียง Basic ก็เพียงพอแล้ว

4. ใช้ Preload page ให้เปิดเว็บไซต์ได้เร็วขึ้น

preload

ฟีเจอร์ Preload pages for faster browsing and searching เป็นการตั้งค่า Chrome ให้เร็วขึ้นด้วยระบบ predictions หรือการทำนายพฤติกรรมการเปิดเว็บไซต์ที่ผ่านมาของเรา แต่บางคนอาจเลือกปิดเพราะไม่อยากให้ Chrome เก็บข้อมูลส่วนตัว แต่ถ้าไม่ได้ยุ่งกับการตั้งค่าในเบราเซอร์ ฟีเจอร์นี้จะเปิดเอาไว้อยู่แล้ว

วิธีการเปิดฟีเจอร์นี้กลับมาใช้งานอีกครั้งให้กดปุ่มสามจุดมุมบนขวามือ คลิก Settings ก่อนเลื่อนลงมาตรงแถบ Cookies and other site data จะมีส่วน Preload page for faster browsing and searching ให้เลือกเปิดแบบในภาพด้านบน จะช่วยให้ Chrome เข้าเว็บไซต์และค้นหาข้อมูลได้เร็วขึ้น

5. ลบมัลแวร์แฝงในเบราเซอร์ทิ้ง

reset and clean upp

หลายคนอาจจะเข้าเว็บไซต์หลากหลายแห่ง โหลดไฟล์มากมายและอาจเผลอโหลดมัลแวร์เข้ามาทำร้ายเครื่องโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นการจัดการล้างมัลแวร์ทิ้งเสียบ้างจะทำให้ Chrome ทำงานได้เร็วยิ่งขึ้น และลดปัญหามัลแวร์ขโมยข้อมูลสำคัญและหมายเลขบัตรเครดิตของเราใน Google Chrome ได้ด้วย

clean up 1

วิธีการคือการเข้า Settings เลื่อนลงมาจนสุด คลิกคำว่า Advanced แล้วเลื่อนลงไปอีกครั้งจนสุด จะเห็นแถบ Reset and clean up ให้คลิก Clean up computer จะเข้าสู่หน้าต่าง Find harmful software ในภาพข้างบน คลิกคำว่า Find จากนั้น Chrome จะใช้เวลาค้นหามัลแวร์แฝงในเบราเซอร์สักพักหนึ่ง อาจจะกินเวลาราว 3-5 นาที ก่อนจะแสดงว่าตอนนี้มีมัลแวร์ไหนแฝงอยู่ในเบราเซอร์หรือไม่

clean up 2

ถ้าเบราเซอร์ของเราไม่มีมัลแวร์แฝงอยู่ก็จะขึ้นเป็นคำว่า No harmful software found อย่างในภาพนี้ สามารถปิดหน้าต่างไปได้เลย หากมีให้ทำตามขั้นตอนของ Chrome ต่อไป

6. เปลี่ยน DNS ไปใช้ของ Google แทน

DNS หรือ Domain Name System เป็นระบบจัดการบริหารข้อมูลชื่อโดเมน ใช้แปลงชื่อโดเมนเว็บไซต์ต่าง ๆ เป็นเลข IP Address เพื่อติดต่อกับ Server ของเว็บไซต์ต่าง ๆ เมื่อเราต้องการใช้บริการ เช่น เราจำชื่อเว็บไซต์ของ Google ได้และจะใช้บริการ เราจะพิมพ์คำว่า Google.com ลงไปใน Address bar ระบบ DNS จะแปลงคำว่า Google.com เป็นเลข IP Address ของ Google คือเลข 8.8.8.8 เพื่อติดต่อรับส่งข้อมูลระหว่างพีซีของเราและเซิร์ฟเวอร์ของ Google นั่นเอง

google dns

สำหรับการตั้งค่า Chrome ให้เร็วก็มีเรื่อง DNS เข้ามาเกี่ยวเช่นกันและตั้งค่าได้ง่าย ๆ ด้วยการเข้าส่วน Settings และคลิกเครื่องหมายแว่นขยายมุมบนขวามือ พิมพ์คำว่า DNS เบราเซอร์จะแรเงาสีเหลืองตรง Use secure DNS โดยปกติแล้ว Chrome จะตั้งค่ามาตรฐานเป็น “With your current service provider” ให้เปลี่ยนไปใช้ With และเลือกในช่องเป็น Google (Public DNS) จะเป็นการเชื่อมเข้ากับ DNS สาธารณะของ Google แทน ทำให้ Chrome เข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น

7. เปิด Google Chrome Lite Mode ในมือถือ

ฟีเจอร์ Google Chrome Lite Mode เป็นฟีเจอร์บีบอัดข้อมูลของแต่ละเพจและไฟล์วิดีโอให้เล็กลงผ่านทาง Server ของ Google ก่อนส่งมาแสดงผลบนเบราเซอร์ในสมาร์ทโฟน ซึ่ง Google ออกแบบมาเพื่อใช้แทนฟีเจอร์ Data Saver ช่วยให้สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์รุ่นราคาประหยัดหลายรุ่นเข้าเว็บไซต์ได้เร็วกว่าเดิม

ฟีเจอร์ Lite Mode เลือกเปิดใน Google Chome สำหรับสมาร์ทโฟนได้แล้ว ทว่าเวอร์ชั่นพีซียังเป็นฟีเจอร์ทดลองในฟังก์ชั่น Flags จึงต้องเลือกเปิดฟีเจอร์นี้และรับความเสี่ยงเอง ซึ่งปัญหาอาจมีเรื่องของหน้าเพจไม่โหลดจนกระทั่ง Crash ได้ ซึ่งถ้าต้องการทดสอบก็สามารถเปิดได้

lite 1

วิธีการเปิดในสมาร์ทโฟนให้เริ่มต้นเข้า Settings ของ Chrome เพื่อตั้งค่าเบราเซอร์

lite 2

เลื่อนลงมาล่างสุดจะเห็นคำว่า Lite mode ซึ่งถ้ายังไม่ได้ใช้งานจะเป็นคำว่า Off ให้แตะเข้าไป

lite 4

เข้ามาแล้วให้แตะเปิดฟีเจอร์ Lite mode เพื่อเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ เมื่อตั้งค่าเสร็จก็สามารถปิดหน้า Settings ไปได้เลย

lite pc

สำหรับ PC ต้องยอมรับความเสี่ยงว่า Google Chrome อาจเกิดปัญหาบ้างระหว่างใช้งานและอาจมีการ Crash ได้เพราะยังเป็นฟีเจอร์ทดสอบอยู่ ซึ่งถ้าไม่มีปัญหากับสิ่งนี้ ก็ตั้งค่า Chrome ให้เร็วด้วยวิธีนี้ได้เลย

วิธีการให้พิมพ์คำว่า chrome://flags/ ลงไปใน Address bar จะเข้าสู่หน้า Flags หรือฟีเจอร์ทดลองของ Google Chrome ให้พิมพ์คำว่า lite ลงไปในกรอบค้นหาด้านบน จากนั้นจะมีตัวเลือกสามตัว ได้แก่ “Enable Lite Videos” , “Lite Video: Adjust throttling downlink (in Kbps) , และ “Force LiteVideos decision” สามตัว ให้เปลี่ยนช่องทางขวาจาก Default และ Disable เป็นเป็น Enable ทั้งหมด ก็จะตั้งค่า Chrome ให้เร็วขึ้นได้แล้ว

สรุป – ตั้งค่า Chrome ให้เร็ว มีปัจจัยอื่นให้ช้าไหม?

Screenshot 2021 01 25 145343

นอกจากตั้งค่า Chrome ให้เร็วจากฝั่งเราแล้ว ยังมีปัจจัยสำคัญอื่น ๆ ทั้งความเสถียรของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต, แพ็คเกจอินเตอร์เน็ต, อุปกรณ์รับส่งสัญญาณไม่ว่าจะเป็นเสา Wi-Fi และสาย LAN รวมถึงเว็บไซต์ปลายทางที่เราเชื่อมต่อด้วยก็มีผลต่อความเร็วของ Google Chrome ทั้งนั้น ดังนั้นการตั้งค่า Chrome ให้เร็วก็เป็นหนึ่งในปัจจัยจากทั้งหมดเท่านั้น

สิ่งสำคัญอื่นนอกจากการตั้งค่า คือ การเช็คดูแลส่วนของฮาร์ดแวร์ในพีซีและโน๊ตบุ๊คของเราให้สมบูรณ์อยู่เสมอ ก็เป็นส่วนสำคัญมากให้รับส่งอินเตอร์เน็ตทำได้รวดเร็ว เราสามารถเลือกเพิ่มแพ็คเกจให้เร็วยิ่งขึ้น, ซื้อการ์ด Wi-Fi รุ่นใหม่ประสิทธิภาพดีและรองรับ Wi-Fi 6 หรือสาย LAN CAT6E มาใช้งานให้การรับส่งข้อมูลเร็วและเสถียรยิ่งขึ้นก็ทำให้เครื่องของเราใช้งานอินเตอร์เน็ตได้เร็วกว่าเดิมแล้ว

from:https://notebookspec.com/web/572174-7-step-to-make-google-chrome-faster

10 วิธียืดอายุแบตโน๊ตบุ๊ค ให้เสื่อมช้าลงด้วยตัวเอง

ไม่ว่าจะเป็นโน๊ตบุ๊คเครื่องเก่าหรือใหม่ก็จำเป็นต้องรู้เรื่องวิธียืดอายุแบตโน๊ตบุ๊คเอาไว้ เพื่อให้แบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คของเราเสื่อมช้าลง จะได้ไม่ต้องนำเครื่องเข้าศูนย์ไปเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้เสียเงินและความต่อเนื่องของงานอีกด้วย

สำหรับวิธียืดอายุแบตโน๊ตบุ๊คให้นานยิ่งขึ้นนั้นแบ่งเป็นวิธีการใช้งานส่วนตัวของผู้ใช้เองและวิธีการปรับแต่งในส่วนของซอฟท์แวร์ในตัวเครื่อง ซึ่งทำได้ไม่ยากและสามารถเปิดคอมพิวเตอร์ทำตามขั้นตอนที่ผู้เขียนนำเสนอในบทความนี้ได้ทีละขั้นตอนเลย

วิธียืดอายุแบตโน๊ตบุ๊ค

หลักการและวิธียืดอายุแบตโน๊ตบุ๊ค

ใจความของการยืดอายุแบตโน๊ตบุ๊คให้ยาวนานขึ้นทำได้ไม่ยากนัก ใจความหลักที่ทำให้แบตโน๊ตบุ๊คอายุการใช้งานยาวคือระวังไม่ให้ตัวเครื่องร้อนเกินไปก็ช่วยถนอมตัวเครื่องได้มากแล้ว และสามารถทำควบคู่กับวิธีปรับแต่งเครื่องในบทความ “10 วิธีแก้ปัญหาโน้ตบุ๊คแบตหมดเร็ว ทำได้ด้วยตัวเอง!” ได้เลย

เพราะเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีแบตเตอรี่ในเครื่อง จึงมีเรื่อง Battery cycle เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเทคนิคการชาร์จอย่างถูกต้องก็มีส่วนสำคัญในการถนอมอายุแบตเตอรี่ให้ทนทานยิ่งกว่าเดิม โดย Battery cycle นั้นนับจากการถอดปลั๊กออกหนึ่งครั้งและเสียบกลับไปชาร์จใหม่จนแบตเตอรี่กลับมาเต็มจะนับเป็น 1 cycle นั่นเอง เฉลี่ยแล้วแบตเตอรี่หนึ่งก้อนจะมีจำนวน 300-500 cycle ขึ้นอยู่กับคุณภาพของแบตเตอรี่

สำหรับขั้นตอนและข้อควรระวังเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คมีดังนี้

  1. อย่าให้มีอะไรขวางช่องระบายอากาศ
  2. ถอดอุปกรณ์เสริมเกินจำเป็นออกไป
  3. พกแบตเตอรี่เสริมหรืออะแดปเตอร์ติดตัวเสมอ
  4. ห้ามปล่อยโน๊ตบุ๊คแบตหมดจนดับ!
  5. อย่าเสียบปลั๊กค้างเอาไว้
  6. ใส่แรมให้เพียงพอและเปลี่ยนไปใส่ SSD
  7. ปิดโปรแกรมที่กินแบตเตอรี่เยอะ
  8. ปิด Wi-Fi, Bluetooth เมื่อไม่จำเป็น
  9. เปิดโหมด Best battery life เมื่อไม่ได้เสียบปลั๊ก
  10. ตั้งการจัดการพลังงานในส่วนของ Custom power plan
1. อย่าให้มีอะไรขวางช่องระบายอากาศ

เราจะเห็นว่าโน๊ตบุ๊คหลาย ๆ เครื่องมีช่องระบายอากาศอยู่รอบตัวทั้งด้านใต้และด้านข้างเครื่องเพื่อช่วยระบายความร้อนให้โน๊ตบุ๊ค แต่ถ้าช่องระบายอากาศเกิดอุดตันด้วยสิ่งแปลกปลอมก็เป็นสาเหตุให้ระบายความร้อนออกมาได้แย่ลงและส่งผลเสียไปถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในตัวเครื่อง รวมถึงแบตเตอรี่จะมีความร้อนสูงขึ้นให้เสื่อมง่ายยิ่งขึ้น

ปัญหานี้เกิดจากหลายสาเหตุ ได้แก่การใช้โน๊ตบุ๊คในพื้นที่ฝุ่นเยอะรวมทั้งการเอาโน๊ตบุ๊ควางเล่นบนเตียงหรือซองผ้าใส่โน๊ตบุ๊ค เพราะบนเตียงอาจมีฝุ่นต่าง ๆ และไรฝุ่นผสมกันอยู่ เวลาโน๊ตบุ๊คดูดอากาศเข้าไประบายความร้อนจากช่องใต้ตัวเครื่องก็อาจสิ่งเหล่านี้เข้าไปติดตันในส่วนต่าง ๆ ของเครื่องได้

moft
ขาตั้งโน๊ตบุ๊คนอกจากทำให้องศาการพิมพ์ดีขึ้น ถ้าติดถูกที่ก็ช่วยให้ระบบระบายอากาศดีขึ้นด้วย

ปัจจุบันโน๊ตบุ๊คบางเครื่องก็มีฟีเจอร์ดันฝุ่นค้างในตัวเครื่องออกมาได้ ถ้าไม่มีก็ควรเปิดฝาด้านใต้เครื่องแล้วใช้แปรงปัดฝุ่นสำหรับทำความสะอาดเป็นระยะ ๆ และเน้นส่วนของพัดลมระบายความร้อนให้ฝุ่นไม่จับ โดยสัญญาณเตือนคือตัวเครื่องของเราร้อนผิดปกติ 

ส่วนคนชอบเล่นโน๊ตบุ๊คบนเตียงอาจจะแก้ปัญหาด้วยการหาโต๊ะเล็กสำหรับวางบนเตียงมาใช้ก็จะช่วยจัดการปัญหานี้ได้ระดับหนึ่ง นอกจากนี้การใส่เคสให้กับโน๊ตบุ๊คก็เป็นอีกสาเหตุทำให้ตัวเครื่องอมความร้อน ถึงเคสจะเพิ่มความสวยงามและป้องกันการตกหรือกระทบกับสิ่งต่าง ๆ แต่ไม่คุ้มกับความร้อนสะสมที่ลดอายุการใช้งานลงไปอย่างรวดเร็วแน่นอน

2. ถอดอุปกรณ์เสริมเกินจำเป็นออกไป

wired
ต่อแต่พอดีเถอะนะ ถ้าเยอะไปเดี๋ยวดึงพลังจากแบตเตอรี่เยอะจนเสื่อมเอา

ถึงจะมีพอร์ตเชื่อมต่อให้ใช้เยอะก็ตามแต่สิ่งสำคัญ คือ เราควรต่ออุปกรณ์เสริมเข้ากับโน๊ตบุ๊คแต่เพียงพอดีและถอดอุปกรณ์ที่ไม่ใช้ออกไปเสมอ และไม่ควรปล่อยสายเชื่อมต่อต่าง ๆ ติดเอาไว้กับเครื่องเพราะจะกินแบตเตอรี่ของเราเป็นระยะ ๆ เช่นกัน

3. พกแบตเตอรี่เสริมหรืออะแดปเตอร์ติดตัวเสมอ

homemade media 6l5z2EPrnFc unsplash scaled

ขึ้นชื่อว่าโน๊ตบุ๊คยุคใหม่ ๆ พอผ่านมาตรฐาน Intel Evo หรือขึ้นชื่อว่าเป็นรุ่นประหยัดพลังงานเป็นพิเศษ หลายคนก็อาจจะย่ามใจและไม่พกอะแดปเตอร์และแบตเตอรี่สำรองติดตัวแล้วใช้งานต่อเนื่องนาน ๆ จนเครื่องสลับเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานเป็นพฤติกรรมลดอายุการใช้งานแบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คอย่างรวดเร็ว

การพกอะแดปเตอร์ติดตัวเอาไว้เสมอต่อให้ไม่ได้ใช้ก็ไม่เป็นไร นั่นเพราะว่าถ้าเราใช้งานต่อเนื่องจนโน๊ตบุ๊คแบตหมดจะทำให้ Battery cycle ของอุปกรณ์ชิ้นนั้น ๆ ลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นถ้าเราเห็นว่าแบตเตอรี่ของโน๊ตบุ๊คลดต่ำจนเกือบถึง 20% เมื่อไหร่ก็สามารถชาร์จแบตเตอรี่กลับไปจนเต็มได้ทันที นอกจากนี้โน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ ๆ ยังรองรับการชาร์จผ่าน USB Power Delivery นั้นสามารถชาร์จผ่านอะแดปเตอร์ของสมาร์ทโฟนหรือ Power Bank ได้อีกด้วย โดยต้องจ่ายกระแสได้สูงกว่า 65 วัตต์ขึ้นไป

4. ห้ามปล่อยโน๊ตบุ๊คแบตหมดจนดับ!

arnold francisca lz1MnBzCxLA unsplash 1 scaled
จะโน๊ตบุ๊ค สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต อย่าปล่อยจนเครื่องดับเดี๋ยวจะได้เปลี่ยนแบตเร็วกว่าที่คิด

ความเชื่อว่าใช้โน๊ตบุ๊คหรือสมาร์ทโฟนจนแบตเตอรี่หมดแล้วดับคามือไปเลย รวมทั้งความเชื่อว่าใช้ให้แบตเตอรี่เหลือ 0% แล้วชาร์จกลับไปจนเต็ม 100% ไม่ควรทำอย่างยิ่งและทำร้ายแบตเตอรี่ของเราอย่างร้ายแรงแล้วแบตเตอรี่จะเสื่อมเร็วยิ่งขึ้น วิธีที่ถูกต้องนั้นควรใช้งานให้แบตเตอรี่เหลือ 0% แล้วชาร์จกลับมาจนเต็ม 100% ควรทำเพียง 1 ครั้งในรอบหนึ่งถึงสามเดือน เพื่อให้ตัวควบคุมกระแสและเซลแบตเตอรี่คำนวนความจุได้ถูกต้องและแม่นยำเหมือนเดิม

จากการทดลองของสถาบันและสื่อต่างประเทศนั้น การชาร์จและเลี้ยงไฟในแบตเตอรี่ให้อยู่ในช่วงไม่ต่ำกว่า 20-90% นั้นจะช่วยให้ Battery cycle และอาการแบตเตอรี่เสื่อมเกิดขึ้นช้ากว่าการใช้งานจนเครื่องดับไปหรือเสียบปลั๊กทิ้งเอาไว้ตลอดเวลา

5. อย่าเสียบปลั๊กค้างเอาไว้

kelly sikkema fZirmwarM0E unsplash 1 scaled e1610355598649

เพราะโน๊ตบุ๊คถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้แบบไม่ต้องเสียบปลั๊กตลอดเวลาเหมือนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะจึงไม่จำเป็นต้องเสียบปลั๊กให้โน๊ตบุ๊คตลอดเวลาจะทำให้แบตเตอรี่ได้ใช้งานน้อยเกินไป ดังนั้นเราควรถอดปลั๊กและใช้งานโน๊ตบุ๊คด้วยแบตเตอรี่เป็นระยะ ๆ จะทำให้แบตเตอรี่มีการบริหารไฟฟ้าเข้าออก ช่วยให้ Battery cycle ลดช้าลง แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้แบตเตอรี่ต่ำกว่า 20% เช่นกัน

สำหรับเกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค การเล่นเกมหรือทำงานกราฟิกที่พึ่งการประมวลผลหนัก ๆ นั้นอาจจะเชื่อมต่อปลั๊กเอาไว้เพื่อให้ใช้งานต่อเนื่องได้นาน แต่เมื่อสลับไปใช้งานทั่วไปเช่นเล่นโซเชียลหรือดูหนังและพิมพ์งานนั้นก็ควรสลับมาใช้แบตเตอรี่บ้างเพื่อให้เซลแบตเตอรี่ได้คายประจุและชาร์จกลับเข้าไปใหม่บ้าง จะทำให้อายุการใช้งานทำได้นานยิ่งขึ้น

6. ใส่แรมให้เพียงพอและเปลี่ยนไปใส่ SSD

samsung ssd e1610356596259
สักอันไหมคุณ? แรงถึงใจจนลืม HDD จานหมุนแบบเก่าเลยนะ

อีกวิธียืดอายุแบตโน๊ตบุ๊ค คือ ติดตั้งแรมให้เพียงพอและใช้ฮาร์ดดิสก์แบบ SSD แทนฮาร์ดดิสก์จานหมุนแบบเดิม นั่นเพราะ SSD จะทำงานแบบเขียนอ่านไฟล์เข้าตัวชิปที่ติดตั้งอยู่บนแผงวงจรเท่านั้น ไม่ใช่การหมุนแผ่นจานบันทึกไฟล์แบบ HDD ทั่วไป ทำให้ใช้แบตเตอรี่ของโน๊ตบุ๊คน้อยลง งานและการประมวลผลต่าง ๆ ก็จะเสร็จเร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย

ในกรณีของแรมนั้นคือเมื่อเรามีพื้นที่สำหรับพักไฟล์สำหรับเขียนเข้าออกฮาร์ดดิสก์มากเพียงพอ จะทำให้โน๊ตบุ๊คของเราไม่ต้องดึงพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์บางส่วนมาช่วยแรมประมวลผล ทำให้แบตเตอรี่หมดช้าและช่วยลดจำนวนครั้งการชาร์จแบตเตอรี่ลงนั่นเอง

สำหรับการอัพเกรด SSD นั้น เราต้องเช็คก่อนว่าโน๊ตบุ๊ครองรับ SSD แบบไหน ซึ่งทั่ว ๆ ไปจะสามารถติดตั้งแบบ SATA แทนฮาร์ดดิสก์ลูกเก่าได้ทันทีเพราะมีขนาดและพอร์ตแบบเดียวกัน ส่วนแบบ M.2 NVMe ในภาพตัวอย่างจะต้องเช็คว่าเครื่องของเราสามารถใช้ได้หรือไม่

7. ปิดโปรแกรมที่กินแบตเตอรี่เยอะ

battery usage
ไม่มีเกมฟรีให้กดรับแล้วแถมกินแบต ลบทิ้งละกัน

การปิดโปรแกรมที่แอบทำงานเบื้องหลังและใช้แบตเตอรี่ทิ้งไปนั้นเป็นอีกวิธีช่วยยืดอายุแบตโน๊ตบุ๊คให้เสื่อมช้าและใช้งานได้นานขึ้น นั่นเพราะโปรแกรมเหล่านี้นอกจากจะไม่ได้ใช้งานแล้วยังทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วนั่นเอง โดยวิธีการปิดคือการกดปุ่ม Windows และพิมพ์คำว่า Battery ก่อนจะกด Enter ระบบปฏิบัติการจะแสดงโปรแกรมเหล่านั้นออกมาให้เราเลือกลบทิ้งได้

start up

นอกจากนี้การบล็อคโปรแกรมที่รันตัวเองโดยอัตโนมัติตอนเปิดเครื่องจะช่วยลดการทำงานตอนบูตเปิดเครื่องไปได้ ซึ่งในอดีตนั้นเราจะต้องเปิดผ่านทาง msconfig แต่ใน Windows 10 นั้นถูกปรับไปอยู่กับ Task manager แทนแล้ว 

เมื่อเราเรียก Task manager ขึ้นมา ให้เรากด More details ก่อนจะเลือกแท็บ Start-up เครื่องจะแสดงโปรแกรมที่จะรันการทำงานขึ้นมาพร้อม ๆ กับ Windows ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกปิดได้ง่าย ๆ ด้วยการเลือกโปรแกรมนั้น ๆ แล้วกดปุ่ม Disable ตรงมุมล่างขวา

การเลือกปิดให้เราดูช่อง Status ว่าโปรแกรมไหนเปิด Enabled เอาไว้ โปรแกรมนั้นจะรันขึ้นมาพร้อม ๆ กับ Windows 10 ซึ่งถ้าเห็นว่าโปรแกรมไหนไม่จำเป็นและจะเปิดขึ้นมาใช้งานในภายหลังเองก็สามารถกด Disable ทิ้งได้ และไม่มีผลต่อการเปิดโปรแกรมระหว่างใช้งานอีกด้วย

8. ปิด Wi-Fi, Bluetooth เมื่อไม่จำเป็น

no wifi

การเปิด Wi-Fi และ Bluetooth ทิ้งเอาไว้จะทำให้โน๊ตบุ๊คเปลืองแบตเตอรี่จนทำให้เราต้องชาร์จบ่อย ๆ และแม้จะยังไม่เชื่อมต่อก็ตาม ทั้งสองฟังก์ชั่นนี้ก็จะทำการสแกนหาการเชื่อมต่ออยู่เป็นระยะ ๆ อยู่แล้วซึ่งใช้งานแบตเตอรี่ของเราอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

stop wifi

ดังนั้นเมื่อไม่ใช้ก็ควรปิดทั้งสองฟีเจอร์นี้ทิ้งไปเมื่อไม่ต้องการใช้งาน โดยวิธีง่าย ๆ คือกดปุ่มกล่องคำพูดตรงมุมขวาล่าง (ตรงลูกศรชี้อยู่) และเปิดเป็น Flight mode จะหยุดการทำงานของทั้งสองฟังก์ชั่นนี้ไปโดยปริยาย และเมื่อต้องการใช้งานอีกครั้งให้กด Flight mode ซ้ำ จะสามารถใช้ Wi-Fi และ Bluetooth ได้ตามเดิม

9. เปิดโหมด Best battery life เมื่อไม่ได้เสียบปลั๊ก

battery saver

Performance Slider จะรวมอยู่กับไอคอนแบตเตอรี่ตรงมุมขวาล่าง ถ้าปรับไปเป็น Best battery life นอกจากจะทำให้แบตเตอรี่หมดช้าแล้ว ยังถนอมแบตเตอรี่ให้อายุใช้งานนานขึ้น เพราะตัวเครื่องจะอยู่ในโหมดจ่ายพลังงานน้อยและไม่ใช้ประสิทธิภาพสูงทำให้ไม่เร่งใช้พลังงานจากแบตเตอรี่จนเกิดการเสื่อมสภาพเร็ว ซึ่งสามารถเปิดได้ตั้งแต่แบตเตอรี่ 100% เลยก็ได้ถ้าเราไม่ได้ใช้งานหนัก

ส่วนผู้ใช้โหมด Balanced หรือ High performance มาก็ควรสลับไปใช้งานโหมดนี้เมื่อแบตเตอรี่เหลือ 20% จะช่วยให้เราใช้งานโน๊ตบุ๊คได้นานขึ้นอีกเล็กน้อย แต่แลกกับการที่ Windows 10 จะปิดการแจ้งเตือนออกไปด้วยเช่น Email และการ Sync ข้อมูลปฏิทิน

sync

นอกจากนี้การตั้งค่าการ Sync ให้น้อยลงก็ช่วยได้เช่นกัน โดยเราสามารถเข้าได้ผ่านทาง Settings กด Accounts และเลือก Email & accounts ระบบจะแสดงอีเมล์ที่เราใช้กับเครื่องนี้ให้เราเห็น เลือกตรงอีเมล์นั้น แล้วกดคำว่า Manage ตรงมุมล่างขวาจะขึ้นหน้าให้เลือกตั้งชื่อ Account นั้น ๆ ค่อยคลิก Change mailbox sync settings จะสามารถเลือกได้ว่าเราต้องการให้ Sync อีเมล์ในเครื่องกับ Outlook ทุก ๆ กี่นาทีหรือกี่ชั่วโมงได้

10. ตั้งการจัดการพลังงานในส่วนของ Custom power plan

นอกจากการตั้งค่า Power Options ให้เป็น Custom power plan แล้ว ถ้าเราเข้ามาปรับแต่งในส่วนของ Processor power management จะช่วยให้การใช้พลังงานน้อยลงและเป็นอีกวิธียืดอายุแบตโน๊ตบุ๊คที่ควรทำอีกด้วย 

ส่วนขั้นตอนการตั้ง Custom power plan สำหรับคนไม่เคยตั้งค่ามาก่อนให้ทำตามดังนี้

windows10 create power plan1

ให้เปิด Settings จากนั้นเลือก Additional power settings ตรงฝั่งขวาจะได้หน้าต่างแบบภาพด้านบนนี้ ให้เลือก Create a power plan 

create power plan windows10 cp2

ระบบจะเปิดให้เราตั้งค่าว่าโหมดการใช้งานแบบของเราจะให้เป็นแบบไหน ให้เราเลือก Balanced ก่อนจะตั้งชื่อโหมดการใช้พลังงานของเราให้เรียบร้อย

edit plan settings windows103

ตั้งค่าการปิดหน้าจอและตัดเข้าสู่โหมด Sleep ให้เรียบร้อยก่อนกด Create จากนั้นตัวเครื่องจะเปลี่ยนเป็นโหมดเฉพาะของเรา จากนั้นที่มุมล่างจะมีคำสั่ง Change advanced power settings ให้กด

windows 10 processor power management power plan

ให้กดเครื่องหมายบวกหน้าคำว่า Processor power management เพื่อแสดงประสิทธิภาพการทำงานของซีพียูและกราฟิกการ์ด โดยเลือกคำว่า Maximum processor state ในช่องคำว่า On battery (&) เราสามารถปรับตั้งค่าการใช้แสดงประสิทธิภาพของซีพียูและกราฟิกการ์ดได้อย่างอิสระ โดยผู้เขียนแนะนำให้ตั้งไว้แค่ 50% ตัวเครื่องจะทำงานได้ไม่ช้าเกินไป

windows 10 maxium battery life intel graphics

ส่วนช่องกราฟิกการ์ดจะอยู่ถัดลงมา ให้เราเลือกกราฟิกการ์ดตัวนั้น ๆ ก่อนจะกดที่ On battery เช่นเดิมแล้วเลือกเป็น Maximum Battery Life จะทำให้เครื่องจ่ายพลังงานน้อยลงและไม่เค้นประสิทธิภาพจากแบตเตอรี่เกินไป เมื่อเสร็จให้กด Apply แล้วตามด้วย OK

นอกจากการตั้งค่าตัวเครื่องแล้ว พฤติกรรมการของผู้ใช้ก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน ซึ่งถ้าเราปรับพฤติกรรมสักหน่อยก็จะช่วยให้อาการแบตเสื่อมเกิดขึ้นช้าลงและไม่ต้องไปเสียเงินเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่เร็วขึ้น นอกจากนี้เรื่องของการปรับแต่งหรือเปิดฝาเครื่องก็สามารถหาคลิป How to แล้วทำตามได้บน YouTube ถ้ามีเครื่องมือพร้อมก็สามารถทำเองได้ไม่ยาก

from:https://notebookspec.com/web/569268-10-step-to-make-your-battery-last-long

10 เคล็ดลับ เซ็ตโน๊ตบุ๊คใหม่ให้ลื่นและเซฟแบบง่ายๆ ด้วยตัวเอง

ได้โน๊ตบุ๊คใหม่กลับบ้านมาแล้ว ไม่ว่าจะเลือกซื้อตามบทความแนะนำโน๊ตบุ๊คที่ผู้เขียนได้ทำเอาไว้ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คงบสองหมื่น, เกมมิ่งโน๊ตบุ๊คงบสามหมื่นกลาง, โน๊ตบุ๊คทำงานราคาสองหมื่นกลาง หรือจะเลือกซื้อเลือกตามรสนิยมของตัวเองก็ตาม การเซ็ตเครื่องให้พร้อมใช้งานและล้างโปรแกรมเสริมเกินจำเป็นทิ้งและอื่น ๆ เป็นสิ่งแรก ๆ ที่ควรทำเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตามการตั้งค่าโน๊ตบุ๊คเครื่องใหม่ของเรานั้นเป็นเรื่องง่ายกว่าที่หลายคนกลัวกัน เพียงแค่เข้าใจวิธีจัดการ ใคร ๆ ก็ทำได้อย่างแน่นอน โดยวิธีการนั้นผู้อ่านสามารถเปิดในมือถือแล้วทำตามได้ง่าย ๆ เลย

โน๊ตบุ๊คใหม่
ได้โน๊ตบุ๊คเครื่องใหม่มาก็ตั้งค่าสักนิด จะได้ทำงานดีขึ้น

ต้องเซ็ตโน๊ตบุ๊คใหม่อย่างไร?

เมื่อเราแกะกล่องโน๊ตบุ๊คเครื่องใหม่ออกมาแล้วเปิดเครื่อง สิ่งแรกยังไม่ใช่การเปิดเครื่องหาโปรแกรมต่าง ๆ มาติดตั้งในเครื่องแต่เป็นการเช็คโปรแกรมและการดูรอบตัวเครื่องให้เรียบร้อยว่ามีร่องรอยความเสียหายหรือบกพร่องหรือไม่ ก่อนจะเปิดเครื่องมาตั้งค่าโปรไฟล์ของ Windows 10 ให้เรียบร้อย ก่อนจะเริ่มต้นจัดการกับโน๊ตบุ๊คของเราต่อไป

สำหรับ 10 ขั้นตอนต่อจากนี้เป็นสิ่งที่ผู้ใช้ควรทำกับโน๊ตบุ๊คเครื่องใหม่ รวมทั้งคนที่ซื้อโน๊ตบุ๊คหรือประกอบพีซีมาก่อนหน้านี้ก็สามารถทำตามได้เพื่อช่วยให้เครื่องของเราทำงานได้ดีขึ้น

  1. เช็คการอัพเดท Windows 10 ในเครื่อง
  2. เซ็ตการใช้งานแบตเตอรี่ให้เรียบร้อย
  3. ตั้งชื่อของโน๊ตบุ๊คให้เรียบร้อย
  4. สร้าง Recovery Drive ใช้กรณีฉุกเฉิน
  5. ลบโปรแกรมเกินจำเป็นออกไปและปิดระบบเกินจำเป็นทิ้ง
  6. สร้างบัญชีหลักของเราเพื่อแยกสัดส่วนการใช้พีซี
  7. ทำ System Restore Point เอาไว้
  8. เปิด Windows Security ไว้กันไวรัสและมัลแวร์
  9. แบ็คอัพเครื่องเป็นระยะ ๆ
  10. โหลดโปรแกรมที่ต้องใช้
1. เช็คการอัพเดท Windows 10 ในเครื่อง

โน๊ตบุ๊คในปัจจุบันนี้รวมทั้งพีซีแบบสำเร็จรูปจากผู้ผลิตมักติดตั้ง Windows 10 มาให้ในเครื่องอยู่แล้ว หรือถ้าไม่มีก็ควรซื้อ Windows 10 แท้มาติดตั้งให้เรียบร้อย เพื่อให้ได้รับอัพเดทแพทช์เวอร์ชั่นใหม่จาก Microsoft ได้อย่างต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มความปลอดภัยจากการเจาะระบบและลบจุดบอดและเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ ให้เครื่องของเราได้ด้วย

arnav singhal DbHcxJ tYNA unsplash1 scaled e1610179525281

การเลือกซื้อคอมพิวเตอร์จากร้านค้ามา แม้จะเปิดแล้วใช้งานได้ทันทีแต่ Windows 10 ในเครื่องก็อาจจะไม่ใช่เวอร์ชั่นล่าสุดของ Microsoft เพราะหลังจากที่โรงงานติดตั้งระบบปฏิบัติการและทดสอบความสมบูรณ์เสร็จแล้วก็จะใส่เข้าแพ็คเกจสำหรับขายไม่ได้เปิดมาอัพเดทเลยแน่นอน ดังนั้นเราควรทำสิ่งนี้ก่อนเริ่มใช้งานเสมอ

ส่วนคนที่หยุดการอัพเดทเพราะกลัวเจอบั๊กก็ไม่ต้องเป็นห่วง ส่วนตัวผู้เขียนอัพเดท Windows 10 ทั้งโน๊ตบุ๊คและพีซีเป็นประจำขอยืนยันว่าเวอร์ชั่นใหม่ ๆ นั้น Microsoft จัดการแพทช์ได้ดีและไม่เจอปัญหาจุกจิกระหว่างการใช้งานแม้แต่น้อย

update

เริ่มต้นโดยการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตก่อน แล้วกดปุ่ม Windows มาพิมพ์คำว่า Update เมื่อกด Enter จะทำให้ Windows 10 เปิดฟังก์ชั่นการอัพเดทขึ้นมา จากนั้นให้เรากดคำว่า Check for updates เพื่อค้นหาอัพเดทแพทช์ใหม่

windows update

ในขั้นตอนนี้เราสามารถทำขั้นตอนอื่นเพื่อรอให้อัพเดทจนเสร็จ หรือจะสลับไปจัดการขั้นตอนอื่นก่อนก็ได้และควรรีเซ็ตสักครั้งหลังอัพเดทเสร็จ ส่วนผู้ใช้ Windows 10 เวอร์ชั่นเก่าจะใช้ฟังก์ชั่นนอัพเดทไม่ได้ก็สามารถดาวน์โหลด Windows 10 Update Assistant มาช่วยอัพเดทเป็นเวอร์ชั่น 20H2 ให้ใช้งานได้ตามปกติ

2. เซ็ตการใช้งานแบตเตอรี่ให้เรียบร้อย

การตั้งค่าแบตเตอรี่ให้ดีจะช่วยให้เราใช้งานโน๊ตบุ๊คได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากบทความ “10 วิธีแก้ปัญหาโน้ตบุ๊คแบตหมดเร็ว ทำได้ด้วยตัวเอง!” ที่ผู้อ่านหลายคนได้อ่านไปก่อนหน้านี้แล้ว การเข้าไปปรับแต่งในส่วนของ Additional power settings ก็เป็นส่วนช่วยให้โน๊ตบุ๊คของเราใช้งานได้นานยิ่งขึ้นอีกด้วย

power plan

เริ่มต้นให้กดปุ่ม Windows แล้วพิมพ์คำว่า Power & sleep แล้วเลือก Additional power settings ฝั่งขวามือเพื่อเลือกตั้งค่าการใช้พลังงานของโน๊ตบุ๊คเรา

power plan2

เลือกคำสั่ง Create a power plan จะเข้าสู่หน้าเลือกตั้งค่าการดับหน้าจอและสั่งให้โน๊ตบุ๊คเข้าสู่โหมด sleep

power plan 3

เลือกคำสั่ง Change advanced power settings แล้วระบบจะเปิดให้เราตั้งค่าโดยละเอียดว่าต้องการให้ปิดฟีเจอร์ไหนเมื่อไม่ได้ใช้งานนานเท่าไหร่เมื่อใช้งานผ่านแบตเตอรี่ ในส่วนนี้สามารถปรับแต่งได้ตามความเหมาะสมของแต่ละคน ตัวอย่างเช่นให้เครื่องเข้าสู่โหมด Sleep และหยุดการทำงานของฮาร์ดดิสก์เมื่อผ่านไป 10 นาทีเช่นในภาพ

Screenshot 11

นอกจากนี้ถ้าโปรแกรมจากผู้ผลิตมีฟีเจอร์สำหรับตั้งค่าแบตเตอรี่ก็สามารถปรับแต่งผ่านส่วนนั้นเพื่อความสะดวกก็ดีเช่นกัน หรืออาจจะปรับแต่งด้วยการกดตรงไอค่อนแบตเตอรี่ตรง Taskbar เพื่อเลือกโหมดก็ได้ หากเป็น Best battery life จะช่วยเซฟอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้ดีขึ้น

3. ตั้งชื่อของโน๊ตบุ๊คให้เรียบร้อย

โน๊ตบุ๊คใหม่ของเราจะมีชื่อตาม User หลักของเครื่องเราและตามด้วยรหัสตัวเลขอีกหนึ่งชุด ซึ่งบางคนอาจจะปล่อยเอาไว้ ในทางกลับกันผู้เขียนจะแนะนำให้ตั้งชื่อเอาไว้เพื่อใช้บ่งบอกและแยกอุปกรณ์ของเราไปในกรณีต้องเชื่อมต่อ Bluetooth กับอุปกรณ์อื่น ๆ จะได้หาเครื่องเจอได้ง่าย

name

วิธีการเพียงแค่กดปุ่ม Windows ก่อนจะพิมพ์ About ลงไป จากนั้นให้เลือก Rename this PC เพื่อเปลี่ยนชื่อได้เลย

4. สร้าง Recovery Drive ใช้กรณีฉุกเฉิน

การทำ Recovery Drive เพื่อในกรณีจำเป็นหากว่าระบบปฏิบัติการเกิดมีปัญหาเพราะไวรัสบุกเข้ามาลบไฟล์สำคัญของตัวเครื่องหรือเผลอไปลบไฟล์ระบบสำคัญไป เราจะสามารถกู้ระบบของเครื่องกลับมาใช้งานได้โดยไม่ต้องติดตั้ง Windows 10 ใหม่อีกรอบให้เสียเวลา รวมทั้งเอาไว้เสริมในกรณีปรับแต่งตัวเครื่องผิดพลาดแล้วไฟล์หายได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม Recovery Drive จะไม่ได้แบ็คอัพโปรแกรมเอาไว้ด้วย ในขั้นตอนนี้ต้องใช้แฟลชไดรฟ์ความจุ 16GB ขึ้นไปสำหรับเซฟไดรฟ์เก็บเอาไว้ และควรแยกกับแฟลชไดรฟ์ชิ้นอื่นไม่ใช้ไปเซฟไฟล์งานอื่น ๆ เพิ่ม

recovery

เมื่อเตรียมของพร้อมและเชื่อมต่อแฟลชไดรฟ์เข้ากับโน๊ตบุ๊คใหม่ของเราแล้ว ให้กดปุ่ม Windows ขึ้นมาและพิมพ์คำว่า Recovery Drive ลงไปก่อนจะกด Enter ระบบปฏิบัติการจะถามเราว่าต้องการเรียกฟีเจอร์นี้ขึ้นมาหรือไม่ ให้ตอบ Yes และทำตามขั้นตอน เมื่อรอจนเครื่องทำงานเสร็จแล้วก็ถอดไดรฟ์ออกได้เลย

5. ลบโปรแกรมเกินจำเป็นออกไปและปิดระบบเกินจำเป็นทิ้ง

ในเครื่องของเรานอกจาก Windows 10 ก็จะมีโปรแกรมแถมมาจากผู้ผลิตมากมายไม่ว่าจะ Microsoft Office 365 หรือ Antivirus ฟรีแต่จำกัดระยะเวลาใช้งาน ผู้เขียนแนะนำว่าให้ถอนการติดตั้งทิ้งออกไปให้หมดไม่ให้มากวนใจเรา

สำหรับ Microsoft Office อาจจะหันไปใช้บริการของ Google หรือซื้อของแท้ขายขาดเช่น Microsoft Office Home & Student 2019 มาติดตั้งจะดีกว่า

Screenshot 2021 01 09 IObit Uninstaller Best Free Software Uninstall Tool for Your Windows XP 7 8 10 PC
โปรแกรมไหนเรื่องมาก เจอ IObit Uninstaller เข้าไปก็ร่วงทุกราย

โดยเฉพาะ Antivirus ซึ่งตอนนี้ฟังก์ชั่น Virus & threat protection ใน Windows Defender ก็ทำงานได้ดีไม่แพ้กัน และมีการอัพเดทการป้องกันดีขึ้นทุกแพทช์อีกด้วย แต่ Antivirus หรือโปรแกรมติดเครื่องบางตัวก็ลบด้วย Uninstaller ของ Windows 10 ไม่ได้ จนต้องพึ่งโปรแกรม Uninstaller เสริม โดยผู้เขียนแนะนำเป็น IObit Uninstaller จะช่วยลบโปรแกรมดังกล่าวพร้อมล้างโฟลเดอร์ของโปรแกรมนั้นในเครื่องออกไปให้อีกด้วย

disable show suggest

ด้านของฟีเจอร์ระบบบางส่วนก็ควรปิดทิ้งไปเช่น Show suggestions occasionally in Start ซึ่งมักแนะนำแอพฯ ใน Windows Store เข้ามาในหน้า Start Menu ของเรา ถ้าไม่จำเป็นก็สามารถปิดทิ้งไปได้เลยป้องกันการเผลอไปกดผิดได้

personalization

วิธีเข้าคือกดปุ่ม Windows และพิมพ์ Start เลื่อนไปเลือกคำสั่ง Start settings จะเข้าสู่หน้านี้แล้วปิดตรง Show suggestions occasionally in Start ทิ้งไป

lockscreen

ส่วนของ Lock screen ก็ควรปรับแต่ง ไม่ว่าจะเป็นภาพโปรดของเราตั้งเองหรือใช้ Windows spotlight ที่ดึงภาพพักหน้าจอสวย ๆ จาก Server ของ Microsoft พร้อมปักหมุดฟีเจอร์ใช้ประจำไว้ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของเรา

tips

นอกจากนี้ในส่วนของ Notifications & actions ก็ขอแนะนำให้ปิดทั้งสามช่องเพื่อลดการแจ้งเตือนจากระบบปฏิบัติการเพื่อลดความรำคาญระหว่างใช้งานทิ้งไปด้วย โดยกดปุ่ม Windows และพิมพ์ Notifications ลงไป จะเข้าสู่หน้านี้เพื่อเลือกตั้งค่าได้

6. สร้างบัญชีหลักของเราเพื่อแยกสัดส่วนการใช้พีซี

คอมพิวเตอร์ส่วนตัวของเราก็อยากให้มีความเป็นส่วนตัว เวลาใครยืมไปใช้งานชั่วคราวจะได้ไม่ต้องมาเห็นไฟล์ส่วนตัวให้อึดอัดหรือถ้าเป็นเครื่องแชร์กับคนอื่นก็แยกบัญชีผู้ใช้ของเราออกมาโดยเฉพาะไปเลย

user

สำหรับวิธีการทำให้กดปุ่ม Windows พิมพ์คำว่า other users ลงไปก่อนจะกด Enter จะเข้าสู่หน้าตั้งค่าบัญชีผู้ใช้ โดยเครื่องจะให้เราสมัครเมล์ของ Outlook เพื่อนำมาล็อคอินแยกเป็น User แต่ละคนในเครื่องนั้น

7. ทำ System Restore Point เอาไว้

ข้อนี้สำหรับคนชอบปรับแต่งในส่วนของการตั้งค่าในระบบปฏิบัติการแล้ว Windows เกิดทำงานผิดพลาดหรือไม่เหมือนเดิม การตั้ง System Restore Point เอาไว้จะช่วยดึงการตั้งค่าเก่ากลับมาให้เครื่องทำงานได้อีกครั้ง

restore point

เริ่มต้นด้วยการกดปุ่ม Windows และพิมพ์คำว่า Restore Point และกด Enter แล้วเครื่องจะเปิดหน้านี้ขึ้นมาให้ ในกรอบ Protection Settings เลือกเป็น C:\ แล้วกด OK และรอให้ Windows จัดการจนเสร็จ

8. เปิด Windows Security ไว้กันไวรัสและมัลแวร์

Windows Security เป็นส่วนสำคัญห้ามลืมและควรเปิดเอาไว้ตลอดเวลาเพื่อป้องกันไวรัสและมัลแวร์บุกเข้ามาในเครื่องของเรา ปกติแล้ว Windows 10 จะเปิดฟีเจอร์นี้เอาไว้ตลอดเวลา และ Antivirus บางตัวอาจจะปิดฟีเจอร์นี้ทิ้งไปเพื่อให้ไม่รบกวนการทำงานกัน ดังนั้นเมื่อเราลบ Antivirus แถมมาทิ้งไปแล้ว ให้เข้ามาเปิดฟีเจอร์นี้กลับมาด้วย

virus 11

เริ่มต้นโดยการกดปุ่ม Windows พิมพ์คำว่า virus เข้าไปแล้วเลื่อนลงมาตรงคำสั่ง Virus & threat protection settings คลิก Manage settings เพื่อเข้าสู่หน้าตั้งค่าการของการป้องกันไวรัสและมัลแวร์

virus 2

ให้เลือกเปิดทั้ง 4 ตัวเอาไว้เช่นในภาพเพื่อให้ Windows Security ทำงานได้อย่างเต็มที่ ช่วยป้องกันไวรัสและมัลแวร์ได้ ซึ่งผู้เขียนได้ใช้งานเช่นนี้มาตลอดโดยไม่ติดตั้ง Antivirus เลยถ้าไม่จำเป็นต้องการสแกนลบมัลแวร์เฉพาะทาง เพราะระบบป้องกันของ Windows 10 จัดว่าทำงานได้ดีมากแล้ว

ransom

นอกจากนี้ Ransomware protection ก็ควรเปิดเอาไว้ด้วย โดยกดปุ่ม Windows พิมพ์ Ransomware เข้าไป และเลือกเปิดตรง Controlled folder access เอาไว้ด้วย

app and browser
ถ้ามอะไรไม่โอเค ระบบจะแจ้งเตือนให้เราเข้าไปจัดการลบไฟล์เจ้าปัญหาทิ้ง

ส่วนของ App & browser control ก็เปิดด้วยวิธีการเดียวกัน ซึ่งระบบจะเปิดให้เราเข้าไปจัดการไฟล์เจ้าปัญหาเพื่ออุดช่องโหว่ช่วยลดปัญหาในภายหลังได้ ซึ่งฟีเจอร์นี้ก็ควรเปิดเอาไว้เช่นกัน

9. แบ็คอัพเครื่องเป็นระยะ ๆ

ได้โน๊ตบุ๊คใหม่มาแล้วก็ควรแบ็คอัพงานเอาไว้เสมอ ไม่ว่าจะเซฟขึ้น Google Drive หรือบันทึกเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ก็ตาม การแบ็คอัพจะช่วยให้ดึงไฟล์สำคัญกลับมาได้เสมอ ถ้าเป็นระบบออนไลน์จะมี Microsoft OneDrive ช่วยจัดการส่วนนี้ไว้ระดับหนึ่งแล้ว แต่ให้ดีคือควรแบ็คอัพแยกใส่ฮาร์ดดิสก์หรือแฟลชไดรฟ์แยกโดยเฉพาะก็ดีเช่นกัน

backup

ให้เรากดปุ่ม Windows และพิมพ์คำว่า Backup ลงไป จะเข้าสู่หน้าตั้งค่าการแบ็คอัพเครื่อง ซึ่งถ้าเรายังไม่ได้เริ่มต้นตั้งค่าอะไร ในช่อง Back up using File History จะมีเครื่องหมายบวกที่ Add a drive ให้เราเลือกไดรฟ์สำหรับแบ็คอัพ

backup 2

ก่อนเลือกไดรฟ์ ถ้าเราต้องการเซฟเก็บเอาไว้ใน External Harddisk ก็ควรต่อไดรฟ์นั้น ๆ เอาไว้กับเครื่องก่อนจะกดเครื่องหมายนี้ เมื่อกดแล้วให้เลือกฮาร์ดดิสก์แยกและรอสักครู่เครื่องจะจัดการตั้งค่าจนเสร็จและขึ้นเป็นสไลเดอร์เขียนว่า On แทน

backup 3

ต่อไปให้กด More options เข้ามาเพื่อตั้งค่าเวลาและโฟลเดอร์ที่ต้องการแบ็คอัพได้ ในส่วนนี้อาจจะเลือกตามค่าพื้นฐานของ Windows ก่อนก็ได้ หรือจะปรับแต่งอย่างไรก็ได้ตามต้องการ

10. โหลดโปรแกรมที่ต้องใช้

ขั้นตอนสุดท้ายก่อนจะเริ่มใช้งานโน๊ตบุ๊คใหม่ได้ตามต้องการคือการติดตั้งโปรแกรมจำเป็นเอาไว้ แต่จะไปโหลดทีละอันก็เสียเวลา ดังนั้นการโหลด Installer มาจากเว็บรวมโปรแกรมจะช่วยประหยัดเวลามาก และสะดวกอีกด้วย โดยผู้เขียนมักใช้ Ninite เว็บรวมโปรแกรมจำเป็นในเครื่องของเราเป็นประจำ ซึ่งโปรแกรมทั้งหมดนี้ฟรีอีกด้วย

ninite

วิธีใช้งานจัดว่าง่ายมากเพียงติ๊กช่องหน้าโปรแกรมจำเป็นใช้ของเราทั้งหมดแล้วเลื่อนมากดปุ่ม Get Your Ninite จากนั้นก็ดับเบิ้ลคลิกเพื่อให้โปรแกรมติดตั้งไฟล์ทั้งหมดได้ทันที ส่วนตัวผู้เขียนแนะนำให้เลือกโหลด Runtimes ให้ครบทุกตัวเสมอ

ninite2

โปรแกรมติดตั้งไฟล์เสร็จหมดแล้ว แถบสีเขียวจะขึ้นไปจนสุดและกดคำว่า Close เพื่อปิดได้เลย

หลังจากทำทุกขั้นตอนแล้ว เราก็สามารถใช้โน๊ตบุ๊คใหม่ได้ตามต้องการ และเมื่อมีปัญหาก็สามารถคืนการตั้งค่าทั้งหมดกลับมาได้และไฟล์งานก็ไม่หายอีกด้วย ซึ่งวิธีการทั้งหมดนี้ผู้เขียนแนะนำให้ทำเสมอกับโน๊ตบุ๊คและพีซีทุกเครื่องเสมอเพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัย และระวังการเข้าเว็บไซต์และโหลดโปรแกรมที่ไม่น่าเชื่อถือมาติดตั้งจะช่วยให้เราไม่ต้องเสียเวลาเซ็ตเครื่องใหม่บ่อย ๆ ทำให้เราใช้พีซีของเราทำงานได้อย่างต่อเนื่องไม่มีปัญหาจุกจิกมากวนใจ

from:https://notebookspec.com/web/568904-10-trick-before-use-new-laptop

7 ขั้นตอนแก้ปัญหา google chrome กินแรมแบบง่าย ๆ

ยุคนี้ใคร ๆ ก็ใช้ Google Chrome เพราะทำงานเร็วและมีฟีเจอร์เด่น ๆ อยู่เพียบจนไม่อยากเปลี่ยนเบราเซอร์ แต่ปัญหา Google Chrome กินแรมเองก็เป็นปัญหาสุดกวนใจที่หลาย ๆ คนอยากหาทางแก้ให้ได้ (ซึ่งผู้อ่านบางคนก็น่าจะอ่านบทความนี้ผ่าน Chrome อยู่) โดยวิธีการแก้ปัญหาถ้าเข้าใจเรื่องหลักการทำงานและปรับแต่งสักเล็กน้อยก็จัดการปัญหานี้ได้ไม่ยาก

เมื่อเราจัดการปัญหาทั้งหมดได้อย่างถูกต้องแล้ว นอกจากจะทำให้โปรแกรมทำงานได้เร็วเหมือนเดิมก็ยังทำให้ประสิทธิภาพของ Notebook ของเรายังดีเท่าเดิมได้ง่าย ๆ ซึ่งสามารถทำไปตามขั้นตอนในบทความนี้ได้เลย

Google Chrome กินแรม

ทำไม Google Chrome กินแรมเยอะ?

ทุกปัญหามีสาเหตุของมัน และสาเหตุของปัญหาประจำตัวของ Google Chrome มาจากหลักการทำงานของตัวโปรแกรมและส่วนเสริมที่มีให้เลือกมากมายเป็นสาเหตุหลัก โดยตัว Chrome จะรันการทำงานแต่ละแท็บแยกกันทั้งหมดไม่ได้รวมกันแบบเบราเซอร์อื่น ๆ เมื่อแท็บหนึ่งแครชเพราะทำงานผิดพลาดก็จะแครชแค่หน้านั้นหน้าเดียวและไม่ส่งผลกระทบต่อแท็บอื่น ทำให้โปรแกรมยังทำงานต่อไปได้เหมือนเดิมไม่ต้องมานั่งเปิดใหม่เหมือนเบราเซอร์อื่น

google chrome กินแรม

ดังนั้นถ้าเราเปิด Task Manager ออกมาดูแล้วดูในส่วนของ Background processes จะเห็นว่า Chrome แยกแต่ละแท็บออกจากกันเป็นอิสระ แล้วถ้ามีแท็บหลากหลายแบบไม่ว่าจะหน้าเว็บทั่วไปหรือวิดีโอ ก็จะยิ่งกินทรัพยากรมากขึ้นเรื่อย ๆ

chrome
ส่วนเสริมของ Chrome มีประโยชน์และสะดวกจริง แต่ก็กินแรมนะ

ส่วนเสริม (Extension) จาก Chrome Web Store ก็เป็นอีกสาเหตุของการกินแรมเช่นกัน นั่นเพราะเมื่อเปิด Chrome ก็จะรันการทำงานของส่วนเสริมนี้พร้อมกัน Chrome จึงต้องใช้แรมเพิ่มจนมีแรมเหลือไม่พอให้โปรแกรมอื่นใช้

นอกจากสองนี้โปรแกรมก็ยังรันการทำงานที่เราไม่รู้จักอยู่เบื้องหลังให้โปรแกรมสามารถทำงานได้อย่างราบลื่น ในทางกลับกันก็ทำให้ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ลดลงไปเพราะ Chrome ดึงไปใช้นั่นเอง

ข้อดีคือเมื่อมีแรมให้ Chrome มากพอ เบราเซอร์ก็จะโหลดหน้าเว็บไซต์ต่าง ๆ ขึ้นมาให้ใช้งานได้เร็วและต่อเนื่องยิ่งกว่าเดิม ต่อให้เราเห็นใน Task Manager ว่าโปรแกรมจะกินแรมไปมากแต่ทำให้งานหรือสิ่งที่เราต้องการทำนั้นเสร็จได้เร็วยิ่งขึ้นก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน

8 วิธีแก้ปัญหา Google Chrome กินแรม

เมื่อมีปัญหาก็ย่อมมีทางแก้เสมอ หลังรู้สาเหตุว่าทำไม Chrome ถึงใช้แรมในเครื่องไปเยอะจนไม่พอใช้ก็มีวิธีแก้ให้กินแรมน้อยลงเช่นกันด้วยวิธีการตั้งค่าและเลือกใช้งานแบบต่าง ๆ ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ตามความถนัดของแต่ละคนเช่นกัน โดยวิธีการทั้งหมดนี้ใช้งานได้ทั้ง Windows และ macOS โดยมีวิธีการดังนี้

  1. เช็คอัพเดทเวอร์ชั่นใหม่ของ Google Chrome
  2. เปิด Incognito Mode เพื่อบล็อคส่วนเสริมและการทำงานเบื้องหลังบางส่วนทิ้งไป
  3. ลบส่วนเสริมและปิดแท็บที่ไม่ใช้ทิ้ง
  4. ติดตั้งส่วนเสริมเพื่อปิดแท็บที่ไม่ใช้
  5. ปิด Chrome ทิ้งไปก่อน แต่แท็บที่เปิดไว้ไม่หาย
  6. ตั้งค่า Google Chrome กันใหม่
  7. แก้ปัญหาแบบคนรวยด้วยการซื้อแรมเพิ่ม
1. เช็คอัพเดทเวอร์ชั่นใหม่ของ Google Chrome

อาจจะดูเป็นวิธีพื้น ๆ แต่ก็สำคัญ บางทีเราปิด Google Chrome ไปแล้วแต่ Background processes ยังเห็นว่า Chrome ยังทำงานอยู่ นั่นอาจจะเป็นสัญญาณจากโปรแกรมว่าตอนนี้ระบบกำลังรออัพเดทโปรแกรมให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดอยู่ ให้พิมพ์คำว่า chrome://help ใน Address bar จะเข้าสู่หน้า About Chrome

chrome update

ถ้ามีอัพเดทใหม่มา ตัวโปรแกรมจะเริ่มทำการอัพเดทโดยอัตโนมัติและจะแจ้งให้เราปิดและเปิดโปรแกรมใหม่ โดยมีปุ่ม Relaunch อยู่ด้านขวามือของช่องอัพเดท Chrome ก็จะเป็นเวอร์ชั่นใหม่ ปัญหาปิด Chrome แล้วยังกินแรมอยู่ก็จะหายไป

chrome update done

2. เปิด Incognito Mode เพื่อบล็อคส่วนเสริมและการทำงานเบื้องหลังบางส่วนทิ้งไป

Capture

Incognito Mode ไม่ใช่แค่เรื่องรักษาความลับอย่างเดียวแต่รวมไปถึงการบล็อคการทำงานส่วนเสริมและระบบเบื้องหลังของ Google Chrome ทิ้งไปบางส่วนด้วย ได้แก่การบันทึกประวัติการเข้าเว็บ (browsing history), การเก็บ Cookies และข้อมูลเว็บที่เข้า (Cookies and site data), ไม่เก็บข้อมูลการกรอกแบบฟอร์ม (Information entered in forms) รวมทั้งปิดส่วนเสริม (Extension) ที่เราติดตั้งเอาไว้กับ Google Chrome แบบปกติอีกด้วย

extension gone
ส่วนเสริมถูกปิดทิ้ง มีแต่คำว่า Incognito

แต่เว็บไซต์ที่เราเข้า, ระบบของโรงเรียนและออฟฟิศรวมทั้งผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตก็ยังสามารถเช็คกิจกรรมของเราย้อนหลังได้อยู่เช่นเดิม ดังนั้นการใช้งานโหมดนี้จะไม่ใช่การทำให้เราไม่มีร่องรอยบนอินเตอร์เน็ตอย่างที่บางคนเข้าใจ เป็นเพียงการบล็อคการถูกเก็บข้อมูลของ Google เท่านั้น

3. ปิดแท็บที่ไม่ใช้และลบส่วนเสริมทิ้ง

tabs
เปิดแท็บค้างไว้เยอะขนาดนี้ก็ปิดบ้างนะ

การเปิดแท็บค้างมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ Google Chrome กินแรมมากขึ้นโดยไม่จำเป็น โดยวิธีการแก้นั้นคือการสร้างนิสัยส่วนตัวขึ้นมาว่าถ้าเราใช้แท็บนั้นเสร็จแล้วก็ควรปิดทิ้งไปไม่เปิดค้างเอาไว้อย่างนั้น และเพื่อแก้ปัญหานี้ก็มีผู้พัฒนาส่วนเสริมสำหรับคอยเช็คว่าเราเปิดแท็บไหนทิ้งค้างเอาไว้เป็นเวลานานแล้วไม่ได้ใช้งานก็จะปิดทิ้งให้เรา โดยส่วนเสริมทั้งหมดนั้นจะมียกตัวอย่างในหัวข้อต่อไป

chrome extension tab

ด้านของส่วนเสริมเกินจำเป็นและเราติดตั้งทิ้งไว้ใน Google Chrome ก็มีวิธีถอนออกเช่นกัน โดยพิมพ์คำว่า chrome://extensions ตรง Address bar ข้างบนก็จะเข้าสู่หน้าส่วนเสริมของ Chrome มีตัวเลือกให้กด Remove ส่วนเสริมออกไปในกรณีเลิกใช้แล้ว ส่วนการเลื่อนปุ่มสไลด์ด้านขวาเป็นการปิดการทำงานแค่ชั่วคราวเท่านั้น

4. ติดตั้งส่วนเสริมเพื่อปิดแท็บที่ไม่ใช้

ส่วนเสริมสำหรับแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะก็มีให้เลือกติดตั้งเช่นกัน โดยผู้เขียนเลือกส่วนเสริมช่วยหยุดการทำงานและปิดแท็บน่าสนใจมาให้ผู้ใช้เลือกไปติดตั้งใน Chrome ของเราด้วย ได้แก่

  • Tab Wrangler – ส่วนเสริมช่วยปิดแท็บที่ไม่ได้ใช้เมื่อเปิดทิ้งสักพักหนึ่ง แต่ยังเรียกกลับมาได้ง่าย ๆ และไมปิดแท็บที่เราปักหมุดเอาไว้อีกด้วย
  • OneTab – เปลี่ยนแท็บทั้งหมดให้รวมอยู่ในหน้าเดียวแบบรายการลิสท์ และมีแค่แท็บเดียว
  • The Great Suspender – ช่วยปิดแท็บที่เปิดค้างเอาไว้ โดยเก็บภาพหน้าจอแท็บนั้นเอาไว้ให้เราเพื่อช่วยเตือนว่าเราต้องทำอะไร และเปิดกลับมาได้ง่าย ส่วนแท็บเพลง, หน้ากรอกข้อมูลจะไม่ปิด
5. ปิด Chrome ทิ้งไปก่อน แต่แท็บที่เปิดไว้ไม่หาย

on startup

กรณีพีซีของเรามีแรมน้อยแล้วจำเป็นต้องเปิดโปรแกรมใหญ่ ๆ ขึ้นมาใช้งาน ก็จำใจจะต้องปิด Google Chrome ทิ้งเพื่อแก้ปัญหานี้ พอใช้โปรแกรมเสร็จก็ไม่ต้องเสียเวลาไล่เปิดแท็บทั้งหมดกลับมา เพียงเปลี่ยนไปตั้งค่าในส่วน On start-up เสียใหม่ก็ช่วยได้แล้ว

วิธีการให้เราพิมพ์คำว่า chrome://settings เข้าไปตรง Address bar ข้างบน จากนั้นจะเข้าสู่หน้าตั้งค่าของเบราเซอร์ บริเวณแถบด้านบนให้คลิกที่แว่นขยายแล้วพิมพ์คำว่า On start-up แล้ว Chrome จะดึงคำสั่งนี้ขึ้นมาให้เรา จากนั้นเลือก Continue where you left off ก็เสร็จแล้ว เท่านี้ก็ไม่เสียเวลาเปิดแท็บทั้งหมดใหม่อีกครั้งอย่างที่ผ่านมา

6. ตั้งค่า Google Chrome กันใหม่

Screenshot 2021 01 08 Google Chrome Download the Fast Secure Browser from Google1

วิธีนี้จะลบการตั้งค่าที่เราเซ็ตเอาไว้จะหายทั้งหมด ได้แก่ Search Engine, homepage, New Tab page, แท็บที่ถูกปักหมุดเอาไว้, ส่วนเสริมและ add-ons ทั้งหมดจะถูกปิดทิ้ง, Cookies, cache, Site data ก็จะถูกลบออกไปด้วย

ส่วนขั้นตอนจะซับซ้อนแต่สามารถทำตามไปทีละขั้นตอนได้เลย แต่ให้เปิด Task Manager มาปิดการทำงานเบื้องหลังทั้งหมดของ Google ทิ้งก่อน ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถทำตามขั้นตอนนี้ได้ หลังจากปิดคำสั่งทั้งหมดของ Google Chrome ทิ้งไปแล้ว ให้ทำตามขั้นตอนดังนี้

  • กดปุ่ม Windows+R เพื่อเปิดคำสั่ง Run
  • ให้พิมพ์ %USERPROFILE%\AppData\Local\Google\Chrome\User Data ลงไปในช่อง Run เพื่อเข้าสู่ Folder ติดตั้ง Chrome
  • เลือก Folder ชื่อ Default แล้วกดปุ่ม Shift+Delete เพื่อลบแฟ้มนี้ทิ้งไปและตอบ Yes เพื่อยืนยัน

chrome reinstall

  • หลังจากลบ Folder นี้ทิ้งแล้วให้เปิด Google Chrome อีกครั้ง คลิกที่ปุ่มจุดด้านข้างเลือก Settings เลื่อนมาล่างสุดกดคำว่า Advanced

advance

  • คลิกเลือก Restore settings to their original defaults เพื่อล้างการตั้งค่าทิ้งทั้งหมด ทำให้เหมือนเพิ่งติดตั้ง Chrome มาใหม่

Screenshot 1 1

7. แก้ปัญหาแบบคนรวยด้วยการซื้อแรมเพิ่ม

Screenshot 2021 01 08 โน้ตบุ๊ค NOTEBOOK2IN1NOTEBOOK GAMING Screenshot 2021 01 08 อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ COMPUTER HARDWARE DIY

ถึงจะเป็นวิธีกำปั้นทุบดินไปบ้าง แต่ถ้าเครื่องของเรามีแรมไว้ใช้ไม่พอก็ส่งผลให้โปรแกรมอื่นในเครื่องทำงานได้ช้าลงอยู่ดีเพราะมีพื้นที่พักไฟล์ไม่มากพอ ดังนั้นการเพิ่มแรมอีกนิดจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนขอแนะนำให้เพิ่มแรมไปที่ 16GB จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างแน่นอน

ram

สำหรับหลักการเลือกแรมโดยคร่าว ๆ ทำได้ไม่ยากนักโดยเราสามารถดูได้จากโปรแกรม CPU-Z ซึ่งจะโชว์ความจุแรมไว้ที่หน้า Memory ส่วนค่าบัสให้นำค่าที่ได้จาก DRAM Frequency ไปคูณด้วย 2 จะได้ค่าบัสที่เราควรซื้อ เช่นในภาพตัวอย่างเป็น 802.1*2 = 1604.2 ก็ให้เลือกซื้อบัส 1600 Mhz มาใช้ และดูที่ Type ว่าเป็น DDR3 ก็ต้องเลือกเป็น DDR3 มาด้วยไม่เช่นนั้นจะใช้งานไม่ได้

Screenshot 2021 01 08 โน้ตบุ๊ค NOTEBOOK2IN1NOTEBOOK GAMING 1

ในกรณี Notebook เมื่อเปิดหน้านี้แล้วที่ Channels แสดงเป็น Single ก็สามารถซื้อแรมอีก 8GB มาเพิ่มเป็น 16GB ได้เลย ส่วนถ้าเป็น 8GB และเต็มทั้ง 2 ช่อง อาจจะหาซื้อแบบที่ขายเป็นแพ็คเกจ 2 แถว 16GB มาเปลี่ยนเลยก็เป็นตัวเลือกที่ดีเช่นกัน สำหรับการซื้อขอให้เน้นโฟกัสที่บัสและ DDR ต้องเท่ากับชิ้นที่ติดตั้งไว้ในเครื่องเป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องแบรนด์มากนัก

สุดท้ายถึง Google Chrome กินแรมมากแต่ไม่ส่งผลกระทบต่อโปรแกรมหรือระบบปฏิบัติการจนทำงานได้ช้าลงก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก เพราะการมีแรมให้ทุกโปรแกรมใช้อย่างเพียงพอและมีพื้นที่เผื่อไว้เรียกใช้ฉุกเฉินบ้างนั้นหมายความว่าเราใช้งานแรมได้อย่างไม่สูญเปล่านั่นเอง หรือผู้อ่านเลือกอัพเกรดเครื่องเอาไว้รองรับโปรแกรมหรือเกมในอนาคตก็ถือเป็นการเตรียมตัวที่ดีเช่นกัน

from:https://notebookspec.com/web/568746-7-step-deduct-chrome-consume-ram

7 เคล็ดลับเลือก Notebook มือสอง ฉบับง่าย ๆ ได้ของดีกลับบ้าน

“จะซื้อ Notebook ใหม่ทั้งทีก็ซื้อมือหนึ่งไปเลย” น่าจะเป็นความคิดหลักในใจใครหลาย ๆ คน แต่ถ้างบประมาณไม่เอื้อ การเลือก Notebook มือสองมาใช้งานสักเครื่องก็เป็นวิธีประหยัดเงินในกระเป๋าได้ดี แต่ก็ไม่ควรจิ้มเลือกแบบขอไปทีไม่อย่างนั้นก็อาจจะได้เครื่องสภาพไม่ดีกลับบ้านมาให้ช้ำใจเล่นได้

ส่วนข้อโต้แย้งว่าผมไม่เลือกซื้อมือสองเพราะดูของไม่เป็นแถมไม่รู้ว่าต้องเช็คอะไรบ้างแล้วจะยากหรือเปล่า? ในบทความนี้ผู้เขียนได้รวบรวมวิธีการเช็คด้วยตัวเองฉบับง่าย ๆ มาให้ผู้อ่านได้ทำตามด้วย

Notebook มือสอง

เตรียมตัวจากบ้านก่อนไปซื้อ Notebook มือสอง

การเตรียมตัวให้พร้อมทั้งหาข้อมูลและเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นเอาไว้ใช้เป็นหัวใจสำคัญก่อนออกไปเลือกซื้อสินค้ามือสองใหม่ ๆ สักชิ้นมาเป็นของตัวเอง สำหรับ Notebook สักเครื่องนั้นถ้าเราเข้าใจพื้นฐานการเลือกซื้อสักนิดก็จะทำได้ไม่ยากแน่นอน

สำหรับเช็คลิสท์ง่าย ๆ ให้ผู้อ่านได้ทำตามมีดังนี้

1. หาข้อมูลและเช็คโปรแกรมว่าต้องใช้ Notebook สเปคไหน

เราซื้อ Notebook มาเพราะต้องใช้โปรแกรมทำงาน ดังนั้นการเริ่มเช็คว่าโปรแกรมเจ้าประจำในเครื่องเราใช้สเปคเครื่องระดับไหนเป็นสิ่งสำคัญที่ควรเริ่มหาข้อมูลเป็นอย่างแรก โดยผู้เขียนขอยกตัวอย่างเป็น Adobe Photoshop ซึ่งผู้ใช้หลายคนจำเป็นต้องใช้ว่าต้องใช้เครื่องสเปคไหนตามตารางสเปคด้านล่างนี้

Adobe Photoshop ขั้นต่ำ สเปคแนะนำ
ซีพียู Intel หรือ AMD แบบ 64 bit, รองรับชุดคำสั่ง SSE 4.2 มีความเร็วสูงกว่า 2 GHz ขึ้นไป
ระบบปฏิบัติการ Windows 10 (64 bit) อัพเดท 1809 หรือใหม่กว่า
แรม 8GB 16GB
กราฟิกการ์ด รองรับ DirectX 12 มีแรมการ์ดจอ 2GB ขึ้นไป รองรับ DirectX 12 มีแรมการ์ดจอ 4GB ขึ้นไป
ความละเอียดหน้าจอ 1280×800 พิกเซล 1920×1080 พิกเซล
ฮาร์ดดิสก์ HDD 4 GB ขึ้นไป SSD 4 GB ขึ้นไป
อินเตอร์เน็ต

อินเตอร์เน็ตเพื่อ Activate program และเข้าใช้บริการออนไลน์ของ Adobe

2. เช็คราคากับข้อมูลของ notebook รุ่นนั้น

ปัจจัยสำคัญอย่างเรื่องราคาว่าเงินในกระเป๋าเราพอซื้อหรือไม่ แล้วราคาเครื่องสูงใกล้เคียงกับ Notebook มือหนึ่งหรือเปล่า จึงควรสำรวจตลาดก่อนว่า Notebook รุ่นนั้นมีคนขายกี่คน ราคาเฉลี่ยราวกี่บาท เพื่อให้มีตัวเปรียบเทียบ

เมื่อรู้ราคาขายมือสองแล้วควรเช็คราคามือหนึ่งด้วยว่าตอน Notebook รุ่นนั้นเปิดตัวมาขายราคากี่บาท ให้ทราบเรทเสื่อมของเครื่องรุ่นนั้น ๆ ว่าถ้าราคามือหนึ่งกับมือสองแตกต่างกันมากเกินไปอาจสันนิษฐานได้ว่าเครื่องรุ่นนั้นอาจจะมีปัญหาซ่อนอยู่ก็เป็นไปได้ โดยราคามือหนึ่งผู้อ่านสามารถตรวจสอบได้กับระบบค้นหา Notebook ของ Notebookspec เพื่อดูราคาและช่วงที่ Notebook รุ่นนั้นเริ่มวางจำหน่ายได้ด้วย

find laptop
คลิกหรือพิมพ์หารุ่นในใจดูนะ

สำหรับความเก่าของ Notebook แต่ละรุ่น ผู้เขียนแนะนำให้ถือเกณฑ์โดยอิงจากซีพียูรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวของ Intel และ AMD และนับย้อนรุ่นกลับไปไม่ควรเกิน 5 รุ่น จะพอคาดหวังประสิทธิภาพและระยะเวลาใช้งานแบตเตอรี่ได้อยู่

ตัวอย่างเช่น ถ้าปัจจุบันนี้ Intel ติดตั้งซีพียูรุ่นที่ 11 เช่น Intel Core i7-1185G7 ไว้ใน Notebook รุ่นใหม่แล้ว ซีพียูรุ่นเก่าสุดที่ยังน่าใช้คือ Intel รุ่นที่ 6 เช่น Intel Core i7-6700HQ เป็นต้น โดยรหัสและรุ่นของซีพียู Intel สามารถเช็คได้ที่ลิ้งก์นี้

ในส่วนของซีพียู AMD อาจจะเช็ครุ่นได้ลำบากอยู่บ้าง เนื่องจากหน้าเว็บไซต์ของ AMD จะแสดงเพียงซีรี่ส์ Ryzen Mobile เท่านั้น จึงต้องเปลี่ยนไปเช็คจาก Wikipedia แทน

3. เตรียมอุปกรณ์ต่อพ่วงใส่กระเป๋าไปด้วย

Notebook ทุกเครื่องมีพอร์ตเชื่อมต่อต่าง ๆ ติดตั้งเอาไว้ให้ผู้ใช้ทำงานได้สะดวกขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าของเก่าใช้งานเครื่องอย่างไรบ้าง ดังนั้นการมีอุปกรณ์เชื่อมต่ออย่างเช่น MicroSD Card, แฟลชไดรฟ์ทั้งแบบ USB Type-A, Type-C, สายหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรและเม้าส์เตรียมเอาไว้ในกระเป๋าจะช่วยให้เราเช็คได้ว่าพอร์ตต่าง ๆ ยังทำงานได้สมบูรณ์หรือไม่ ส่วน HDMI อาจต้องหายืมหน้าจอเสริมแบบพกพาจากคนใกล้ตัวมาใช้ชั่วคราวหรือไปใช้บริการ Co-working space ที่มีหน้าจอทีวีแทน

alt

ASUS ZenScreen MB16AC Portable USB หน้าจอเสริมพกพาได้จาก ASUS

ส่วนตัวผู้เขียนจะมีแฟลชไดรฟ์หรือ External Harddisk ติดตัวเอาไว้เสมอเมื่อไปซื้อ Notebook มือสองกับเพื่อน พร้อมใส่โปรแกรมทดสอบและเช็คสเปคของเครื่องตัวอย่างเช่น CPU-Z, GPU-Z เอาไว้ ส่วน Cinebench จะเลือกต่อ Wi-Fi ของ Notebook เครื่องนั้นแล้วดาวน์โหลดผ่าน Microsoft Store เพื่อนำมาทดสอบการเรนเดอร์กับความร้อนของตัวเครื่องว่าถ้ารันโปรแกรมกินทรัพยากรหนัก ๆ แล้ว Notebook เครื่องนั้นยังทำงานได้ตามปกติหรือไม่

ส่วนการทดสอบฮาร์ดดิสก์แบบ SSD ขอแนะนำให้โหลด SSD Life ส่วนฮาร์ดดิสก์แบบปกติใช้โปรแกรม HD Tune สำหรับตรวจสอบว่าฮาร์ดดิสก์ลูกนั้นยังอยู่ในสภาพดีหรือไม่ ส่วนตัวผู้เขียนจะมีไฟล์วิดีโอขนาด 1-2GB เพื่อทดสอบโอนไฟล์จากแฟลชไดรฟ์เข้าสู่เครื่องด้วยว่ายังโอนไฟล์ได้ตามปกติหรือเปล่า

kingstonแฟลชไดรฟ์ทั้งแบบ Type-A, Type-C ใส่กระเป๋ารอไว้เลย

วิธีเช็คตัวเครื่อง Notebook มือสองที่หมายตาไว้

หลังจากเตรียมตัวและเลือก Notebook เครื่องใหม่พร้อมต่อรองราคากับผู้ซื้อเสร็จแล้ว วิธีการซื้อนั้นผู้เขียนขอแนะนำให้นัดเจอกับผู้ขายเพื่อตรวจสอบตัวเครื่องทุกครั้ง เพราะวิธีส่งพัสดุมาให้เราจะไม่มีโอกาสเช็คสภาพเครื่องและมีโอกาสถูกโกงได้ ทำให้เสียทั้งความรู้สึกรวมทั้งต้องไปแจ้งความไว้ด้วย

ดังนั้นควรนัดเจอผู้ขายตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น ร้านกาแฟหรือ Co-working space ให้มีเวลาเช็คสภาพ Notebook เครื่องนั้น ๆ โดยละเอียดพร้อมทั้งใช้รันโปรแกรมทดสอบในแฟลชไดรฟ์ของเราได้อีกด้วย

apple 1851464 1920

4. ถามผู้ขายเรื่องใบเสร็จกับประกันตัวเครื่อง

ใบเสร็จเป็นอีกสิ่งสำคัญที่ควรถามกับผู้ขายเพื่อป้องกันการรับของโจรและช่วยยืนยันด้วยว่า Notebook เครื่องนี้ซื้อมาโดยถูกกฏหมาย โดยในใบเสร็จจะบอกถึงรายละเอียดต่าง ๆ ของ Notebook เครื่องนั้นว่าเป็นแบรนด์ใด รุ่นไหน สเปคอะไรบ้าง รวมทั้งระบุระยะเวลารับประกันจากศูนย์ของยี่ห้อนั้น ๆ พร้อมวันซื้อเครื่อง ทำให้เราประมาณเวลาได้ว่าเหลือเวลารับประกันอีกนานเท่าไหร่ ซึ่งถ้าไม่มีก็อาจจะต้องประกันใจระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายแทน

หาก Notebook เครื่องนั้นยังมีประกันติดเครื่องอยู่จะเช็คได้ด้วย Serial number ของเครื่องตามวิธีการที่แต่ละแบรนด์รองรับ ซึ่งทางเว็บไซต์เคยทำบทความเช็คระยะประกัน Notebook แต่ละแบรนด์เอาไว้แล้วสามารถอ่านได้ที่นี่

invoice 3739354 1920

แต่ถ้าไม่มีใบเสร็จก็ควรให้เจ้าของเครื่องทดลองล็อคอินเครื่องให้เราดูว่าเป็นเครื่องของเขาจริงหรือไม่ ถ้าล็อคอินได้ก็ช่วยให้เราสบายใจไประดับหนึ่งว่า Notebook นี้เป็นของเขาจริง ๆ

5. เช็คสภาพตัวเครื่องโดยละเอียด

สภาพรอบตัวเครื่องของ Notebook เครื่องนั้น ๆ จะช่วยบอกใบ้เราว่าเจ้าของคนล่าสุดนี้ไม่ได้บอกปัญหาอะไรกับเราบ้าง ซึ่งรอยขีดข่วนและรอยขนแมวรอบ ๆ เครื่องอาจเกิดจากการใช้งานทั่วไปและอาจไม่ได้ส่งผลอะไรกับตัวเครื่องมากนัก โดยจุดที่ควรใส่ใจจะมีดังนี้

IMG 20210106 165611 scaledถ้ามีร่องรอยแบบในวงสีแดง ให้สันนิษฐานว่า Notebook มือสองเครื่องใหม่ของเราโดนแกะมาก่อน

  1. รอยกระแทกหรือแตกบริเวณขอบหน้าจอ หากเราพบรอยดังกล่าวในส่วนนี้อาจสันนิษฐานได้ว่าตัวจออาจเกิดความเสียหายได้ เป็นไปได้ว่าเมื่อเปิดแล้วตัวหน้าจอด้านในกรอบจอจะเลื่อนไปไม่อยู่ในแนวเดียวกับกรอบหรือเลวร้ายกว่านั้นก็คือเกิด dead pixel และพาเนลเสียหายเป็นแถบยาวได้
  2. คราบชากาแฟบริเวณคีย์บอร์ด หากพบก็เป็นไปได้ว่าเมนบอร์ดด้านในเครื่องจะถูกน้ำเข้าซึ่งทำให้ชิ้นส่วนไฟฟ้าด้านในเสียหายบางส่วนได้
  3. ฝาปิดใต้ตัวเครื่อง ให้เช็คว่าตามขอบหรือจุกยางและรูน็อตว่ามีร่องรอยความเสียหายหรือเปล่า จะทำให้เรารู้ว่าเจ้าของเครื่องเก่ามีการถอดเปลี่ยนชิ้นส่วนหรืออัพเกรดภายในเครื่องหรือไม่
  4. บานพับหน้าจอ ให้ทดลองดึงบานพับเปิดและปิดดูสัก 2-3 ครั้งว่าสามารถเปิดปิดได้ปกติหรือไม่ ถ้าตัวบานเปิดได้ยากหรือมีการยกเผยอตัวนั่นหมายความว่าตัวคานบานพับเกิดความเสียหาย
  5. หน้าจอ ให้เปิดเครื่องและเข้าเบราเซอร์เพื่อทดสอบการแสดงสีบนหน้าจอว่ายังแสดงสีได้ดีไม่มีรอยด่างหรือ dead pixel ติดอยู่บนหน้าจอ โดยเช็คได้โดยเว็บไซต์ LEDR
  6. คีย์บอร์ด ให้ดูว่ามีปุ่มเสียหรือไม่ เพราะปุ่มบนคีย์บอร์ด Notebook ไม่สามารถถอดเปลี่ยนแยกปุ่มได้ต้องยกเปลี่ยนทั้งแผงและมีราคาแพงด้วย ส่วนการทดสอบพิมพ์ให้ทดลองกดทีละปุ่มบนเว็บไซต์ Keyboard Checker ว่าแต่ละปุ่มขึ้นเป็นสีเขียวหรือเปล่าก่อนจะทดลองพิมพ์จริงกับโปรแกรมในเครื่องเช่น Notepad, Wordpad เป็นต้น
  7. ทัชแพดและปุ่มเม้าส์เช่น TrackPoint ถึงหลายคนจะต่อเม้าส์แยกก็ตามก็ให้ทดสอบลากนิ้วไปมาให้ทั่วทั้งผืนและลองคลิ๊กซ้ายขวาดูด้วยว่ายังทำงานตามปกติหรือไม่ และถ้ามีชิ้นส่วนพิเศษเช่น TrackPoint ก็ควรทดสอบด้วย
  8. พอร์ตต่าง ๆ ให้ใช้อุปกรณ์ต่อพ่วงที่เตรียมมาเสียบเช็คว่าทุกพอร์ตสามารถใช้งานได้ตามปกติหรือไม่
  9. ทดสอบเชื่อมต่อไร้สายด้วย Wi-Fi และ Bluetooth ว่าสามารถเชื่อมต่อได้ตามปกติและทำงานได้เสถียรหรือไม่ โดย Wi-Fi จะไม่เกิดอาการหาสัญญาณไม่เจอและยังเปิดหน้าเว็บไซต์ได้ตามปกติ ส่วน Bluetooth จะต้องสามารถสั่ง Pair กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ ซึ่งอาจทดสอบกับหูฟัง True Wireless ของเราก็ได้เช่นกัน
  10. แบตเตอรี่ของตัวเครื่อง สามารถทดสอบได้ด้วยการทดลองใช้สัก 5-10 นาทีดูก่อน ว่าแบตเตอรี่ลดเร็วผิดปกติหรือไม่ รวมทั้งเช็คได้ด้วยโปรแกรม BatterMon เช่นกัน โดยที่หน้าแรกสุดจะมีกรอบแสดงรายละเอียดของแบตเตอรี่ในเครื่องให้เราเห็นด้วย
  11. ฮาร์ดดิสก์และเสียงพัดลม โดยปัญหานี้อาจเกิดกับ Notebook รุ่นใช้ฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุน โดยปกติฮาร์ดดิสก์จะทำงานแล้วไม่มีเสียงดังออกมารบกวน ถ้ามีเสียงผิดปกติควรระวังเพราะอาจต้องเปลี่ยน ส่วน SSD เช็คด้วยโปรแกรมเช่น SSD Life ที่เตรียมไว้ในแฟลชไดรฟ์ ด้านพัดลมให้ทดลองจับและอังตามช่องระบายความร้อนดูว่ายังมีลมหรือไม่และถ้าไม่มีเสียงแปลกประหลาดจึงให้ผ่านไป
  12. ทดสอบ Webcam โดยเปิดที่แอพฯ ที่มาพร้อม Windows 10 เช่น Camera ว่ายังทำงานได้ตามปกติหรือไม่
  13. ลำโพงและช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ฟังก์ชั่นเรื่องเสียงผู้เขียนแนะนำให้ทดลองเปิดหนังดูผ่านลำโพงก่อนและทดลองเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรที่เตรียมมาเพื่อทดลองฟังว่าอุปกรณ์ทั้งสองชิ้นนี้ยังทำงานได้ตามปกติหรือไม่
  14. ทดสอบความร้อนของเครื่อง ให้โหลดโปรแกรม Cinebench จาก Microsoft Store มาติดตั้งและทดสอบรันเครื่องว่าเมื่อพัดลมทำงานเต็มที่แล้ว ให้ลองสัมผัสตัวเครื่องว่าเกิดความร้อนมากหรือไม่และพัดลมทำงานหนักหรือเปล่า 

laptop 1864126 1920TrackPoint เป็นปุ่มสีแดงใช้แทนเม้าส์ได้ เป็นเอกลักษณ์ของ IBM/Lenovo ThinkPad

6. ใช้คำสั่งเช็ค Windows ที่ติดตั้งมาในเครื่อง

โปรแกรมและระบบปฏิบัติการภายในเครื่องนั้น หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าไม่มีวิธีเช็ค แต่จริง ๆ แล้วถ้ารู้วิธีก็สามารถตรวจสอบได้ง่าย ๆ โดยคำสั่งต่าง ๆ ที่ควรพิมพ์เช็คใน Notebook มือสองมีดังนี้

  • เช็คว่า Windows ในเครื่องเป็นของแท้หรือไม่ – ให้กดปุ่ม Windows+R เพื่อเปิดคำสั่ง Run ขึ้นมาแล้วพิมพ์คำว่า slmgr.vbs /dli (ระหว่าง vbs กับ / ให้เว้นวรรคหนึ่งครั้ง) เครื่องแสดงว่า Windows นี้เป็นของแท้หรือไม่ ถ้าเป็นของแท้จะมีคำว่า Licensed แบบในภาพข้างล่าง

windows 10 check(ขอเซนเซอร์ส่วน Partial Product Key เพื่อความปลอดภัย)

  • วิธีเช็ค Windows แท้แบบไม่ต้องเปิดคำสั่ง Run – ให้กดปุ่ม Windows และพิมพ์คำว่า Settings แล้วกดคำว่า Update & security และเช็คส่วน Activation โดยถ้าโชว์ประโยคว่า “Windows is activated with a digital license” แสดงว่าเป็น Windows แท้
  • ตรวจสอบ DirectX – กดปุ่ม Windows และพิมพ์คำว่า dxdiag แล้วกดตกลง Windows จะแสดงหน้าต่างนี้ให้เราเช็คเวอร์ชั่นของ DirectX กับสเปคโดยรวมของตัวเครื่องทั้งซีพียู, แรมได้ ส่วนแท็บ Display ด้านบนจะแสดงรุ่นการ์ดจอในเครื่องนั้น

alt

  • กด Ctrl+Alt+Del เพื่อเปิด Task Manager ขึ้นมา หากเป็นหน้าจอเล็กแบบย่อ ให้คลิกตรง More details ด้านล่างแล้วเลือกแท็บ Performance ว่าในซีพียูและแรมถูกใช้งานผิดปกติหรือไม่ โดยปกติคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้เปิดโปรแกรมใด ๆ เลย ซีพียูจะทำงานไม่ควรเกิน 15% และแรมไม่ควรใช้งานเกินครึ่งหนึ่งของแรมทั้งหมดในเครื่อง

taskmgr

7. ก่อนจ่ายเงิน ถ้าผู้ขายลง windows เองควรขอชุดติดตั้งมาด้วย

หากการซื้อขายนี้ผู้ขายซื้อ Windows 10 แบบ OEM มาติดตั้งเองให้ขอคีย์และกล่องโปรแกรมมาด้วย เวลาเครื่องของเรามีปัญหาใช้งานไม่ได้แล้วต้องติดตั้ง Windows ใหม่ จะได้ใช้แผ่นหรือ USB Windows 10 กับคีย์ของเครื่องเพื่อติดตั้งใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ ยกเว้นถ้า Notebook เครื่องนั้นติดตั้ง Windows 10 มาจากโรงงานสามารถข้ามข้อนี้ได้ โดยสังเกตที่ตัวเครื่องจะมีสติกเกอร์โลโก้ Windows แบบในภาพด้านล่างติดอยู่จุดหนึ่งบนตัวเครื่อง

สำหรับการติดตั้ง Windows 10 เวอร์ชั่นละเมิดลิขสิทธิ์และใช้การ Crack เพื่อให้ใช้งานได้ ผู้เขียนไม่แนะนำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากอาจเกิดช่องโหว่และอัพเดทแพทช์ใหม่ไม่ได้อีกด้วย ซึ่งทำให้

IMG 20210106 173908 scaled

เมื่อได้ Notebook มือสองเครื่องใหม่สภาพน่าพอใจมาแล้ว ผู้เขียนแนะนำให้ทำ Factory Reset เพื่อล้างเครื่องและการตั้งค่าต่าง ๆ ที่ติดมาจากเจ้าของเก่าทิ้งด้วย โดย Windows 10 จะมีฟีเจอร์นี้ให้ใช้ด้วย แต่ระยะเวลาการรีเซ็ตเครื่องจะทำเสร็จช้าหรือเร็วนั้นขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของ Notebook เครื่องนั้น ๆ

วิธีการให้กดปุ่ม Windows แล้วพิมพ์คำว่า Settings > Update & Security ที่แถบซ้ายของหน้าต่างให้เลือกคำว่า Recovery ที่บรรทัด Reset this PC ให้กดที่คำว่า Get started แบบภาพด้านล่าง ระบบจะถามว่าต้องการให้ Windows เก็บไฟล์เอาไว้หรือไม่หรือลบทิ้ง ให้กด Remove evertthing เพื่อลบทุกสิ่งทิ้ง Windows จะเริ่มล้างเครื่องและกลับไปใช้ค่าตั้งต้นของระบบแต่ไม่ลบอัพเดทใหม่ ๆ ทิ้ง ทำให้ Notebook มือสองเครื่องใหม่ของเราทำงานได้เร็วเหมือนใหม่อีกครั้ง

Capture

ทั้ง 7 ขั้นตอนจากผู้เขียนนั้นเป็นวิธีที่ผู้อ่านสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง อาจพึ่งการสังเกตอาการตัวเครื่องบ้างจะยากง่ายก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคน ส่วนผู้อ่านที่เป็นมือใหม่เรื่องการเลือกซื้อ Notebook มือสองก็อาจจะพาเพื่อนที่มีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ไปช่วยกันดูช่วยกันสังเกตก็เป็นวิธีที่ดีเหมือนกัน เพื่อให้ Notebook ของเรามีสภาพที่สมบูรณ์ใกล้เคียงกับการซื้อมือหนึ่งจากร้านที่สุด

เวลาจ่ายเงินซื้อสินค้า ผู้เขียนไม่แนะนำให้พกเงินสดติดตัวไปทีละมาก ๆ และเปลี่ยนไปจ่ายด้วยวิธีการโอนเงินผ่าน QR Code หรือ PromptPay แทน ช่วยให้ซื้อขายสะดวกยิ่งขึ้นแถมไม่ต้องเสียเวลานั่งนับเงินล่อตาล่อใจมิจฉาชีพ แถมยังช่วยลดการเสี่ยงเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ได้อีกด้วย

from:https://notebookspec.com/web/568284-7-trick-to-choose-second-hand-notebook

7 วิธี แก้ปัญหาโน๊ตบุ๊คเปิดไม่ติดฉบับทำได้ด้วยตัวเอง

สำหรับคนใช้งานโน๊ตบุ๊คเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องหลักแล้ว ปัญหาโน๊ตบุ๊คเปิดไม่ติดนั้นเป็นหนึ่งในเรื่องสุดหัวเสียที่ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเจอทั้งนั้น และแม้จะมีประกันตัวเครื่องให้อุ่นใจเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ยังต้องเสียเวลารอการซ่อมและแก้ปัญหาตัวเครื่องอยู่ดี

ดังนั้นถ้าเราเข้าใจวิธีและหลักการแก้ปัญหาโน๊ตบุ๊คเสียโดยคร่าว ๆ เราก็อาจจะจัดการให้เครื่องประจำตัวของเรากลับมาใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียทั้งเวลาและอารมณ์และไม่เสียจังหวะทำงานอีกด้วย

โน๊ตบุ๊คเปิดไม่ติด
“ม่ายย ยังไม่ได้กดเซฟเลยยย”
(เครดิตภาพจาก pexels)

โน๊ตบุ๊คเปิดไม่ติดอย่าเพิ่งตกใจ 

ขึ้นชื่อว่าเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าและไอทียังไงก็มีโอกาสเสื่อมได้ตามอายุการใช้งานอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่เราต้องนึกให้ออกเสมอคืออาการของเครื่องและสิ่งสุดท้ายที่เราทำกับโน๊ตบุ๊คของเราก่อนเครื่องจะเปิดไม่ติด เพราะนั่นอาจเป็นสาเหตุของปัญหาก็ได้

สำหรับสาเหตุและความเป็นไปได้หลัก ๆ ของปัญหาโน๊ตบุ๊คเปิดไม่ติดสามารถคลิ๊กอ่านได้ตามหัวข้อข้างล่างนี้;

  1. เช็คอะแดปเตอร์ก่อนว่ายังสมบูรณ์หรือเปล่า
  2. เช็คว่าหน้าจอเริ่มเสื่อมสภาพหรือยัง
  3. ทดลองต่อหน้าจอเสริมแล้วสลับโหมดหน้าจอ
  4. บูตเครื่องเข้าสู่ Safe Mode เพื่อเช็คอาการเสีย
  5. ถ้าต่อไดรฟ์ USB อยู่ให้ดึงออกก่อน
  6. ถอดแรมมาทำความสะอาดสักหน่อย
  7. แบตเตอรี่เสื่อมอาจทำให้เครื่องเปิดไม่ติด

1. เช็คอะแดปเตอร์ก่อนว่ายังสมบูรณ์หรือเปล่า

Porsche Design Acer Book RS Review 2

ถึงจะเป็นขั้นตอนสุดแสนเรียบง่าย แต่ก็มีโอกาสพลาดได้เช่นกันเมื่อเราใช้โน๊ตบุ๊คของเราทำงานไปเรื่อย ๆ แล้วไม่ทันสังเกตว่าอะแดปเตอร์ของเรายังชาร์จไฟให้โน๊ตบุ๊คของเราอยู่หรือไม่ ซึ่งถ้าปัญหาเกิดจากจุดนี้ก็จะไม่ต้องลำบากมากนัก

วิธีการเช็คเริ่มต้นให้เราลองเสียบปลั๊กแล้วขยับให้แน่นดูก่อนว่ายังสามารถชาร์จได้หรือไม่ และทดลองยืมอะแดปเตอร์ของเพื่อนที่ใช้รุ่นเดียวกันหรือใกล้เคียงกันมาลองแลกกันชาร์จดูก่อน ซึ่งถ้าสามารถชาร์จได้ก็จะสามารถบ่งชี้อาการเสียหายได้ว่าเกิดจากอะแดปเตอร์ของเราเป็นอย่างแรก

laptop adapter 1 scaled

สำหรับวิธีการหาอะแดปเตอร์รุ่นใกล้เคียงกัน ให้เราดูจากสติกเกอร์ที่ปิดไว้บนอะแดปเตอร์ของเราตรงคำว่า Output (ในกรอบสีแดงตามตัวอย่าง) ว่าอะแดปเตอร์ของโน๊ตบุ๊คของเราต้องใช้แบบกี่โวลต์ (V) กี่แอมป์ (A) เช่นในตัวอย่างเป็นรุ่น 20V/3.25A ก็ควรหารุ่นใกล้เคียงกันมาทดสอบดู ตัวอย่างเช่น 19V/3A เป็นต้น

และถ้าอะแดปเตอร์ของเราใช้งานไม่ได้แต่รองรับการชาร์จผ่านพอร์ต USB-C Power Delivery เหมือนกับ MacBook รุ่นใหม่ก็ควรทดลองชาร์จผ่านพอร์ตนั้นดูก่อนว่าสามารถชาร์จได้หรือไม่ ซึ่งถ้าสามารถชาร์จแบตเตอรี่ของเราได้และอะแดปเตอร์ที่ทดลองแลกกับเครื่องของเพื่อนยังชาร์จไฟได้ปกติ นั่นหมายความว่าช่องชาร์จไฟของโน๊ตบุ๊คของเราเสียหายนั่นเอง

2. เช็คว่าหน้าจอเริ่มเสื่อมสภาพหรือยัง

luis villasmil 1HzaqbBpxBs unsplash scaled
(เครดิตภาพจาก Unsplash)

ปัญหาที่เราอาจนึกไม่ถึง เช่นหน้าจอโน๊ตบุ๊คของเราอาจเสียแล้วก็เป็นไปได้ เวลาเรากดเปิดโน๊ตบุ๊คแล้วได้ยินเสียงฮาร์ดดิสก์หรือพัดลมกำลังทำงานอยู่แต่หน้าจอยังดำ ให้ทดลองเร่งความสว่างหน้าจอให้สุดขึ้นมาก่อน

ถ้าหน้าจอยังไม่สว่างขึ้นมาอย่างที่ควร ให้ทดลองปิดไฟในห้องให้มืดสนิทเพื่อให้หน้าจอเป็นจุดสว่างที่สุดในห้อง ถ้ามีแสงราง ๆ จากหน้าจอให้สันนิษฐานได้เลยว่าหน้าจอของเราเสื่อมสภาพไปแล้ว ควรส่งเข้าศูนย์บริการเพื่อซ่อมเครื่อง โดยปัญหาดังกล่าวอาจเกิดจากการทำโน๊ตบุ๊คตกหรือการใช้งานต่อเนื่องมาหลายปีจนพาเนลหน้าจอหรือสายแพหมดสภาพก็เป็นไปได้

3. ทดลองต่อหน้าจอเสริมแล้วสลับโหมดหน้าจอ

บางทีปัญหาจอดับสุดกวนใจอาจจะเกิดจากการที่เราตั้งค่าหน้าจอตอนเชื่อมต่อหน้าจอเสริมแล้วเครื่องไม่คืนค่าก็เป็นไปได้เช่นกัน โดยอาการนี้จะคล้ายกับข้อที่แล้วแต่หน้าจอยังดำอยู่นั่นเอง ซึ่งวิธีการคือให้เราหาหน้าจอเสริมมาต่อแล้วกดปุ่ม Windows + Ctrl + Shift + B เพื่อรีเซ็ตไดรเวอร์และการเชื่อมต่อหน้าจอของเราก่อนเป็นอย่างแรก

Screenshot 20

จากนั้นให้เรากดปุ่ม Windows + P เพื่อเปิดโหมดตั้งค่าหน้าจอหลักและหน้าจอเสริมออกมา โดยให้ลองตั้งค่าเป็นแบบ PC screen only ดูก่อน ซึ่งถ้าหน้าจอโน๊ตบุ๊คของเรากลับมาใช้งานได้อีกครั้งแล้ว ทุกครั้งที่หยุดเชื่อมต่อหน้าจอเสริมก็อย่าลืมตั้งค่ากลับเป็น PC screen only เสมอด้วย

4. บูตเครื่องเข้าสู่ Safe Mode เพื่อเช็คอาการเสีย

Safe Mode ยุคก่อน Windows 10 นั้นอาจจะเป็นโหมดที่หลาย ๆ คนไม่ค่อยได้เข้าไปยุ่งนักและรู้สึกว่าไกลตัว แต่จริง ๆ แล้วเป็นโหมดที่เราสามารถเข้าไปจัดการกับระบบในส่วนลึกของ Windows ได้ โดย Safe Mode เราจะสามารถลบโปรแกรม, ไดรเวอร์ที่มีปัญหาหรือย้อนการตั้งค่ากลับไปก่อนเกิดปัญหาจนระบบไม่สามารถบูตตัวเองให้เริ่มทำงานได้ รวมทั้งสร้าง User ใหม่ขึ้นมาใช้หาก User หลักเกิดปัญหาจนไม่สามารถเข้าได้

safemode0

สำหรับวิธีการเข้ามาหน้า Safe Mode ใน Windows 10 นั้นถ้าระบบไม่เสียหายจนถูกบังคับบูต ก็สามารถทำได้บนหน้า Desktop ของเราด้วยการกดปุ่ม Windows พิมพ์คำว่า Settings และกด Enter จากนั้นเลือกคำว่า Update & Security

safe mode

เมื่อเข้ามาในหน้าต่างนี้ที่แถบซ้ายให้เลือกคำว่า Recovery ส่วนแถบฝั่งขวาจะมีคำสั่ง Advanced startup ให้เลือก จากนั้นกด Restart now ระบบจะเปลี่ยนเข้าสู่ Advanced Startup แบบใหม่เช่นในภาพข้างล่าง โดยตัวเลือกจะมีให้เราเลือกสามแบบ คือ Continue เลือกกลับไปใช้งาน Windows 10 ต่อ, Troubleshoot เป็นการบูตเข้าส่วนจัดการบั๊กและปัญหาของตัวเครื่อง รวมทั้งเลือกปิดเครื่องได้ด้วย

w10 safe mode 02 safe restore 02  1หน้าต่าง Advanced Startup ของ Windows 10
(เครดิตภาพจาก Tech Advisor)

เมื่อคลิ๊กที่คำสั่ง Troubleshoot แล้ว เลือกที่ Advanced options > Startup settings > Restart เมื่อบูตเสร็จตัวเครื่องจะตัดเข้าหน้าคำสั่ง Startup Settings จะมีรายชื่อคำสั่งให้เลือก ให้กดเลข 5 หรือ F5 บนแป้นคีย์บอร์ดเพื่อบูตเข้า Safe Mode ได้เลย

enable safemode networking(เครดิตภาพจาก Windows Central)

ส่วนวิธีเข้าสู่หน้า Advanced startup แบบทางลัดที่เรียกว่า “Three-fail boot” นั้น ให้เราเปิดเครื่องตามปกติ จากนั้นเมื่อโลโก้ Windows ติดขึ้นมาบนหน้าจอก็ให้กดปุ่ม Power จนเครื่องดับไป แล้วกดเปิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เมื่อครบสามครั้งติด ๆ กันก็จะเข้าสู่โหมดนี้ได้

5. ถ้าต่อไดรฟ์ USB อยู่ให้ดึงออกก่อน

wiredถ้าเชื่อมต่ออยู่เยอะ ลองดึงออกก่อน

หนึ่งในปัญหาพื้นฐานที่ทำให้โน๊ตบุ๊คเปิดไม่ติดผู้ใช้อาจจะลืมไป คือการต่อ USB หรือ MicroSD Card เอาไว้กับโน๊ตบุ๊คของเราแล้วมีข้อมูลอยู่ข้างในนั้น ก็อาจจะทำให้เครื่องของเราบูตไม่ติดหรือขึ้นข้อความว่า “Operating system not found” ก็ได้เช่นกัน ซึ่งวิธีการแก้ก็ให้เราถอดไดรฟ์ USB ทั้งหมดออกไปก่อน ก็จะทำให้เราบูตเข้าไปยัง Windows 10 ได้อีกครั้ง

aid40069 v4 728px Reset Your BIOS Step 6 Version 3(เครดิตภาพจาก wikiHow)

ส่วนวิธีการแก้ปัญหาไม่ให้ Windows 10 ของเราเลือกบูตจาก USB ก่อน คือให้เราเข้าไปที่หน้าไบออส (BIOS) ด้วยการรีเซ็ตเครื่องแล้วกดปุ่ม F2 และ Del จนกว่าหน้าจอจะบูตเข้าสู่หน้า BIOS แล้วให้เลือกหาคำสั่งว่า “Load Setup Defaults” ตอบ Yes และก็เซฟการตั้งค่าเอาไว้ด้วย

6. ถอดแรมมาทำความสะอาดสักหน่อย

ram 893259 1920
(เครดิตภาพจาก Pixabay)

จะโน๊ตบุ๊คหรือพีซีก็ตาม การถอดแรมของตัวเครื่องออกมาทำความสะอาดก็เป็นอีกวิธีสุดคลาสสิคที่ช่วยให้เครื่องกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง โดยให้เราเตรียมอุปกรณ์สามชิ้นไว้ใช้ ได้แก่ ไขควง, บัตรพลาสติกแข็งหรือปิ๊กกีตาร์ก็ได้ และก็ยางลบเพื่อขัดทำความสะอาด

เริ่มต้นโดยให้เรากลับเครื่องหงายขึ้นมาแล้วเอาไขควงจัดการไขน็อตทั้งหมดออก พยายามเช็คให้ครบทุกจุดรวมถึงที่อยู่ใต้จุกยางรองเครื่องด้วย เมื่อแกะน็อตครบทุกตัวให้เอาการ์ดไล่รอบ ๆ ตัวเครื่องตามขอบที่ว่างแล้วค่อย ๆ ดึงฝาใต้เครื่องออกมาก่อนจะถอดแรมออกมาถูด้วยยางลบแล้วประกอบกลับไปอีกครั้ง ซึ่งอาจจะทำให้ตัวเครื่องสามารถบูตกลับมาทำงานได้

7. แบตเตอรี่เสื่อมอาจทำให้เครื่องเปิดไม่ติด

Screenshot 3 1
(เครดิตภาพจาก PCMag)

อาการแบตเตอรี่เสื่อมก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้โน๊ตบุ๊คเปิดไม่ติดเช่นกัน ซึ่งอาการดังกล่าวนั้นเกิดจากการใช้งานและชาร์จจนเสื่อมตามอายุการใช้งาน ซึ่งเราสามารถสังเกตได้โดยสัญลักษณ์แบตเตอรี่ที่แถบ System tray ฝั่งขวามือของ Taskbar จะไม่สามารถชาร์จให้เต็ม 100% ได้ ซึ่งถ้าเราเห็นว่าแบตเตอรี่ของโน๊ตบุ๊คเราเริ่มชาร์จไม่เต็มและใช้งานได้ระยะเวลาสั้นกว่าเดิม

เช่นจากเมื่อก่อนนั้นเราสามารถใช้งานต่อเนื่องได้ 7 ชั่วโมง ตอนนี้กลับเหลือ 5 หรือ 4 ชั่วโมงนั้น แสดงว่าแบตเตอรี่ของโน๊ตบุ๊คเราเสื่อมแล้วควรส่งเครื่องเข้าศูนย์เพื่อซ่อมเปลี่ยนแบตเตอรี่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้

บทสรุป

อย่างไรก็ตาม ทั้ง 6 วิธีที่ผู้เขียนนำมาเสนอให้ทดลองทำตามนั้นเป็นเพียงการแก้ไขเบื้องต้นด้วยตัวเองเท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นการซ่อมเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ติดอยู่ภายในเครื่องบางชิ้นนั้น การส่งเข้าศูนย์เพื่อให้ช่างชำนาญการแก้ไขให้เรียบร้อยจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดเสมอ

from:https://notebookspec.com/web/555055-7-step-self-check-laptop-not-start-up

5 เว็บไซต์ แปลงไฟล์ pDF เป็น word ง่าย ๆ ไม่ต้องพึ่งโปรแกรม

บางครั้งเอกสารสำคัญที่เราต้องใช้อยู่ในรูปแบบไฟล์ PDF แล้วต้องการพิมพ์แก้ไขเนื้อหา การแปลงไฟล์ PDF เป็น Word นั้นก็ช่วยให้เราทำงานได้ง่ายและไม่ต้องเสียเวลามานั่งพิมพ์ใหม่ทั้งหมดหรือต้องติดต่อกลับไปขอไฟล์ Word ตั้งต้นมาจัดการเองด้วย

หากจำกันได้ ทางเว็บไซต์ Notebookspec เคยนำเสนอ “5 เว็บไซต์ แก้ไข PDF ง่าย ๆ ไม่ต้องง้อโปรแกรม” ไปแล้ว ซึ่งบทความนั้นจะเป็นการปรับแต่งในตัวเอกสาร PDF เท่านั้น ส่วนบทความนี้จะแนะนำเว็บไซต์ที่ให้บริการแปลงไฟล์ฟรีให้ผู้อ่านได้ใช้บริการกัน

รายชื่อเว็บไซต์ช่วยแปลงไฟล์ PDF เป็น Word
  1. Adobe.com
  2. Foxit Reader
  3. PDF Online
  4. iLovePDF
  5. PDF to DOC
  6. Export PDF ด้วย Adobe Acrobat 

1. Adobe.com

คนน่าจะรู้จักดีและใช้บริการ Adobe Acrobat โปรแกรมอ่านไฟล์ PDF ยอดนิยมอยู่เป็นระยะ ๆ ซึ่งทาง Adobe ก็มีให้บริการแปลง PDF เป็น Word ให้บริการอยู่เช่นกัน แต่คาดว่าบริการแปลงไฟล์บนเว็บไซต์น่าจะรองรับเฉพาะภาษาอังกฤษ เนื่องจากผู้เขียนได้ทดลองอัพโหลดไฟล์ PDF ภาษาไทยแล้วพบว่าตัวอักษรและสระจัดเรียงจนไม่สามารถอ่านได้ แต่ภาษาอังกฤษยังจัดเรียงให้อ่านได้เหมือนเดิม

แปลงไฟล์ด้วย Adobe.com

แปลงไฟล์ PDF เป็น Word
(เครดิตภาพจาก Adobe)

2. Foxit Reader

หนึ่งในโปรแกรมอ่านไฟล์ PDF ให้บริการฟรี ที่หลายคนน่าจะเลือกติดตั้ง และ Foxit ก็มีเว็บไซต์ให้บริการแปลงไฟล์ PDF เป็น Word รวมทั้งมีเป็นโปรแกรมแยกอย่าง PhantomPDF อีกด้วย ซึ่งเราสามารถดาวน์โหลดมาใช้ฟรีได้ 14 วัน ก่อนจะต้องจ่ายเงินซื้อลิขสิทธิ์มาใช้งาน

ส่วนการทดลองแปลงไฟล์บนเว็บไซต์ของ Foxit Reader นั้น ผู้เขียนได้ไฟล์ Word ที่จัดเรียงหน้ากระดาษได้ดีกว่า Adobe อยู่พอควร โดยสระและตัวอักษรยังอยู่ค่อนข้างครบและอ่านรู้เรื่อง ทว่าต้องมาปรับหน้าตาและการเรียงหน้ากระดาษเพิ่มเติมด้วย

แปลงไฟล์ด้วย Foxit Reader

alt(เครดิตภาพจาก Foxit)

3. PDF Online

PDF Online เป็นอีกเว็บไซต์ที่ผู้เขียนค่อนข้างแนะนำหากต้องการแปลงไฟล์ PDF เป็น Word แม้ว่าหน้าเว็บไซต์จะดูโบราณแต่เรียบง่ายและรองรับการแปลงเป็น .doc, .docx เท่านั้น อาจจะยุ่งยากอยู่บ้างเนื่องจากขั้นตอนการดาวน์โหลดมาใช้งานจะต้องทำถึง 3 ขั้นตอน แต่ชดเชยด้วยการที่เว็บไซต์นี้แปลงไฟล์แล้วค่อนข้างสมบูรณ์มากและไม่ต้องรอหรือมีเครดิตแปลงไฟล์อีกด้วย

แปลงไฟล์ด้วย PDFOnline

ขั้นตอนแรกเมื่อเราเข้าเว็บไซต์ที่ลิ้งก์นี้แล้ว ให้ลากไฟล์ที่ต้องการแปลงไปอยู่ที่พื้นที่สีส้มก่อน

pdfonline

เมื่อแปลงไฟล์เสร็จแล้ว เว็บไซต์จะตัดเข้าหน้าต่างที่สองพร้อมแสดงตัวอย่างไฟล์ที่แปลงให้เราดู ถ้าพอใจแล้วให้กดปุ่ม Download ที่อยู่ตรงแถบด้านบนที่วงกลมสีแดง

pdfonline2

หน้าต่างที่สามให้คลิกที่ตรงคำว่า Download Word file ในกรอบสีแดงเพื่อดาวน์โหลดไฟล์ .docx กลับมาใช้งานต่อได้ ซึ่งการจัดเรียงหน้ากระดาษและสระของ .docx ที่ PDFOnline ทำได้นั้นเรียกว่าปรับแต่งอีกเล็กน้อยก็สามารถใช้งานได้ทันที

pdfonline3
(เครดิตภาพจาก PDFOnline)

4. iLovePDF

เว็บไซต์ iLovePDF เป็นเว็บแปลงไฟล์ PDF เป็น Word และไฟล์นามสกุลอื่นได้ค่อนข้างหลากหลายไม่แพ้เว็บไซต์อื่น ๆ รวมทั้งปรับแต่ง, แยกหรือรวมไฟล์ PDF บนหน้าเว็บไซต์ได้อีกด้วย นับเป็นอีกเว็บไซต์ที่มีฟีเจอร์ให้เลือกใช้อย่างครบครัน ช่วยให้การแปลงไฟล์ทำได้ง่ายยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตามการแปลงไฟล์ผ่านเว็บไซต์นี้ยังพบปัญหาเรื่องตัวอักษรและสระจัดเรียงไม่เข้าที่และอ่านไม่รู้เรื่องอยู่บ้าง หลังแปลงไฟล์เสร็จแล้วต้องเปิดไฟล์มาจัดการคำและหน้ากระดาษเพิ่มเติมอยู่บ้าง

แปลงไฟล์ด้วย iLovePDF

ilovepdf

5. PDF to DOC

PDF to DOC เป็นเว็บไซต์แปลง PDF เป็น Word อีกเว็บที่แปลงแล้วจัดเรียงตัวอักษรได้ค่อนข้างสมบูรณ์ทีเดียว รองรับการแปลง PDF เป็นไฟล์หลายประเภท ไม่ว่าจะแปลง PDF เป็น Word, Jpg และแปลง JPG, PNG กลับเป็น PDF ได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ผสาน PDF หลายไฟล์เป็นอันเดียว (Combine PDF) ที่หลายคนจำเป็นต้องใช้งาน นอกจากนี้ยังรองรับการแปลง PDF เป็น DOCX, Text, SVG ได้อีกด้วย

ผลลัพธ์ของการแปลงไฟล์ด้วย PDF to DOC จัดว่าทำได้ค่อนข้างดี โดยตัวอักษรนั้นยังเรียงเป็นภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง อาจจะมีสระที่หายหรืออยู่ผิดที่บ้าง ซึ่งเจ้าของไฟล์ควรปรับแต่งและจัดหน้ากระดาษเพิ่มเติมด้วย ทว่ามีข้อสังเกตคือการแปลงไฟล์ในส่วนของ .doc, .docx นั้นจะอยู่แยกกัน ดังนั้นก่อนใช้งานควรดูที่แท็บต่าง ๆ บนหน้าเว็บไซต์ให้ดีด้วย

แปลงไฟล์ด้วย PDF to DOC

PDFtoDoc
(เครดิตภาพจาก PDF to DOC)

6. Export PDF ด้วย Adobe Acrobat

สำหรับคนที่ติดตั้งโปรแกรม Adobe Acrobat เอาไว้ในคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานอยู่แล้ว ก็สามารถแปลงไฟล์ PDF เป็น Word ได้ที่ตัวโปรแกรมโดยตรง ซึ่งวิธีการทำไม่ยากและมีตัวเลือกเซฟไฟล์เป็นนามสกุลอื่น ๆ ได้อีกด้วย

วิธีการให้เปิดไฟล์ที่ต้องการแปลงแล้วกดที่ File > Save As Other… > Microsoft Word แล้วเลือก Word Document จะได้เป็นไฟล์แบบ .docx หรือ Word 97-2003 Document จะได้เป็นไฟล์ .doc แทน ตามภาพด้านล่างนี้ 

แปลงไฟล์ PDF เป็น Word

อย่างไรก็ตาม เมื่อทดสอบเปิดไฟล์แล้ว ยังพบปัญหาเรื่องสระและวรรณยุกต์ของภาษาไทยอยู่พอสมควรแม้ว่าตัวอักษรจะยังอยู่ในตำแหน่งใกล้เคียงเดิมก็ตามที ส่วนภาษาอังกฤษไม่พบปัญหานี้ ซึ่งถ้าเป็นไฟล์ภาษาไทยก็ควรเปิดมาแก้ไขคำให้ถูกต้องเพิ่มเติมด้วย

Screenshot 18

อย่างไรก็ตาม ทั้ง 5 เว็บไซต์และวิธีการแปลงไฟล์ PDF ด้วย Adobe Acrobat ก็เป็นหนึ่งในหลายวิธีที่สะดวกและประหยัดเวลาผู้อ่านไปได้มาก แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องเข้ามาจัดการภาษาให้ถูกต้องอีกสักหน่อยเพื่อให้เอกสารที่เราใช้งานสมบูรณ์ที่สุด

from:https://notebookspec.com/web/554436-5-website-convert-pdf-to-word

Living Smart: ชอบดู Netflix และ Apple TV+ ควรเลือกทีวีแบบไหนดี…ที่นี่มีคำตอบ

ปัจจุบันนี้คงต้องพูดว่าเทรนด์การนอนอยู่บ้านดูหนังนั้นกำลังได้รับความนิยมจริงๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นจากบริการต่างๆ ที่มีให้เลือกใช้งานมากมาย ร่ายตั้งแต่ Netflix, Apple TV+, Disney Plus, Line TV หรือ HBO Go ไปจนถึงสถานการณ์การระบายของ COVID-19 ในปัจจุบันที่หลายๆ เลือกทางออกเป็นการเสพย์ความบันเทิงอยู่บ้านแทนดีกว่า แต่จะทำอย่างไรหากเราต้องการให้การชมภาพยนตร์อยู่บ้านนั้นสามารถมอบความบันเทิงให้กับเราได้อย่างเต็มที่ประหนึ่งนั่งชมในโรงภาพยนตร์ วันนี้อเล็กซ์และ APPDISQUS จะพาเพื่อนๆ มารู้จักกับระบบภาพและเสียงที่ควรลงทุนสำหรับการใช้งานบริการสตรีมมิ่งให้เต็มประสิทธิภาพอย่างในปัจจุบัน รวมไปจนถึงการเลือกซื้ออุปกรณ์ต่างๆ มาเนรมิตรความบันเทิงให้กับตัวเองได้ในราคาที่ไม่ไกลเกินเอื้อมกัน

ในบทความพิเศษนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปรู้จักและทำความเข้าใจเรื่องยากกันแบบง่ายๆ ไปเป็นเรื่องๆ จนครอบคลุมทุกสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการจัดเซ็ตอุปกรณ์ให้รองรับบริการสตรีมมิ่งอย่าง Netflix, Apple TV+ และอื่นๆ ในปัจจุบันนี้ โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ

  1. ระบบภาพ : มาดูเทคโนโลยีการแสดงผลภาพที่น่าสนใจที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในบริการสตรีมมิ่งในปัจจุบัน ทั้ง HDR, HDR10+ และ Dolby Vision และรู้จักกับจอโทรทัศน์ประเภทต่างๆ และความแตกต่างของมัน เพื่อการเลือกเซ็ตภาพได้ตามที่เพื่อนๆ ต้องการ (โดยจะโฟกัสที่จอทีวีเป็นสำคัญ ใครขาโปรเจคเตอร์อาจไม่ได้มีพูดถึงนะครับ)
  2. ระบบเสียง : อะไรคือ Dolby Atmos หรือ Dolby Digital 5.1 ที่เราเห็นอยู่บนปกหนังเวลาที่เลือกหนังบน Netflix หรือ Apple TV+ และจะทำอย่างไรให้ได้มาซึ่งระบบเหล่านั้นในราคาที่พอสู้ไหวกันนะ

ซึ่งในบทความตอนที่ 1 นี้เราจะเริ่มกันที่เรื่องของงานภาพกันก่อนเลยละกัน

How To Choose the Right Netflix TV

หากเป็นห้องโฮม ขนาดห้องไม่กว้าง กันแสงได้ดี ห้องมืดสนิท สนใจหน้าจอใหญ่ๆ 75 นิ้วขึ้นไป LED แบบ VA Panel Full Array ที่รองรับ Dolby Vision คือตอบโจทย์นี้มากที่สุดนั่นเองสำหรับคำแนะนำของผม ทั้งในแง่ของคุณภาพและงบประมาณ


ตอนที่ 1 : ระบบภาพ

สิ่งสำคัญที่สุดในห้องดูหนังสักห้องคือจอภาพแน่ๆ ครับ บางคนอาจจะเป็นสาย Projector บางคนอาจเป็นสายจอทีวี สำหรับตัวอเล็กซ์เองเป็นสายจอ เลยจะขออนุญาตแนะนำจากประสบการณ์โดยโฟกัสไปที่จอทีวีนะครับ

LED / LCD / QLED / OLED เรื่องมันเป็นยังไง ไหนลองเล่ามาสิ

TV In Hometheater Room

จอทีวีหลักๆ ปัจจุบันนี้แยกง่ายๆ ออกเป็น LED (ซึ่งเป็น LCD ชนิดหนึ่ง ซึ่ง QLED ของ Samsung นั้นก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้) และ OLED ที่เป็นเทคโนโลยีอีกประเภทไปเลย

สิ่งสำคัญที่สุดในห้องดูหนังสักห้องคือจอภาพแน่ๆ ครับ บางคนอาจจะเป็นสาย Projector บางคนอาจเป็นสายจอทีวี สำหรับตัวผมเองเป็นสายจอ เลยจะขออนุญาตแนะนำจากประสบการณ์โดยโฟกัสไปที่จอทีวีนะครับ

จอทีวีหลักๆ ปัจจุบันนี้แยกง่ายๆ ออกเป็น LED (ซึ่งเป็น LCD ชนิดหนึ่ง ซึ่ง QLED ของ Samsung นั้นก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้) และ OLED ที่เป็นเทคโนโลยีอีกประเภทไปเลย โดยลักษณะของการเปร่งแสงภาพของจอ 2 ประเภทนี้จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อธิบายง่ายๆ คือ LED เนี่ยจะประกอบด้วย LCD + Back Light (จำคำนี้ไว้นะครับ เดี๋ยวมีผลกับการเลือก) ส่วน OLED นั้นไม่จำเป็นต้องอาศัย LCD Panel แล้ว แต่หลอด Organic Light Emitting Diodes (OLED) นั้นมันมีความสามารถที่เก่งมากในตัวของมันเอง คือสามารถเปร่งแสงสว่างไปได้พร้อมๆ กับสี เลยทำให้ LCD Panel ไม่จำเป็นสำหรับมันอีกต่อไป

OLED and LED Different Placement

เพราะอย่างนี้ถ้าเราว่ากันตามเทคโนโลยีแล้ว OLED จะสามารถให้ค่าคอนทราสต์และสีสันที่สวยงามกว่า มีค่า Nit หรือค่าความสว่างที่ดีกว่า มืดก็มืดได้ดีกว่า (เพราะหลอดมันดับสนิทได้เป็นจุดๆ) แต่ข้อเสียของมันก็มีคือเรื่องภาพเบิร์นอินแบบที่เมื่อก่อน Plasma เป็น ในขณะที่ LED นั้นต้องอาศัย Back Light ในการช่วยเติมแสงและสี ทำให้ความคอนทราสต์และสีสันนั้นตามหลักการแล้วจะสู้ OLED ไม่ได้ และบ่อยครั้งจะมีแสงรอดสีเทาๆ ทั่วจอในฉากมืดๆ ดำๆ ที่ศัพท์ทีวีเรียกว่า Dirty Screen Effect และ Grey Uniformity โดยเฉพาะเวลารับชมในห้องมืดอย่างห้องดูหนัง แต่ทั้งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเรื่องจอเบิร์นอิน เพราะจอกลุ่ม LCD นั้นจะไม่เจอปัญหานี้


ภาพจาก Rtings.com

แล้วแบบนี้ OLED ก็ดีกว่าสิ? ก็ถ้าว่ากันตามหลักการก็ใช่ แต่อย่าลืมว่า OLED นั้นเป็นจอที่มีราคาสูงมาก ส่วนมากจะนิยมกันไม่เกิน 65 นิ้ว (แค่นี้ก็หลายหมื่นแล้ว) และหากใหญ่ไป 75 จะสิ้นเนื้อประดาตัวได้ ส่วนใหญ่กว่า 75 นั้นยังไม่เคยเห็นในคอนซูมเมอร์โปรดักส์เลย (ถ้ามีคงต้องขายบ้านซื้อ) นั่นเลยทำให้อาจจะยังไม่ตอบโจทย์ใครหลายๆ คนที่มีห้องโฮมสักเท่าไหร่นัก เพราะขึ้นชื่อว่าห้องดูหนัง จอใหญ่ๆ คงเป็นสิ่งที่หลายๆ คนฝันถึง

พอเห็นโจทย์แบบนี้ ใครสนใจจอใหญ่กว่า 65 นิ้วคงต้องพิจารณา LED เป็นตัวเลือกแทน ดังนั้นปัจจัยในการเลือกจอ LED เลยตามมาด้วย จำก่อนหน้านี้ที่ผมพูดถึง Back Light ได้ไหมครับ ที่บอกให้จำไว้ นั่นล่ะคือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เราจะนำมาเลือก LED ที่เหมาะกับเรา รวมถึงชนิดของจอ LED เองที่มีทั้ง IPS (In-Plane Switching) และ VA (Vertical Alignment) อีก ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญมากๆ

หากเรามีห้องโฮมเธียร์เตอร์ ไม่กว้างมาก เป็นห้องคุมแสงได้ และเราต้องการจอใหญ่ๆ ระยะการมองอาจจะครอบคลุมทั้งจอได้สบายๆ ไม่ว่าจะนั่งดูจากจุดไหน โดยส่วนตัวผมจะเชียร์ให้ไปทาง VA Panel แบบ Full Array ซึ่งจะตอบโจทย์การใช้งานด้านภาพเรามากที่สุดนั่นเอง

LED : IPS (In-Plane Switching) VS. VA (Vertical Alignment) ความ (เกือบจะ) เหมือนที่ (โคตรจะ) แตกต่าง

ก่อนไปไกล เรามาดูข้อดีขอเสียของ VA และ IPS กันก่อน


ภาพจาก Rtings.com

VA: Vertical Alignment

พวกนี้เป็นจอที่มีโครงสร้างพิกเซลแบบเป็นเส้นตรง ภาพที่ได้จะมีความสว่าง และดูใสมากทีเดียว นอกจากนี้ยังสามารถคุมความดำบนหน้าจอในฉากมืดได้ดีอีกด้วย แต่ก็ต้องแลกมาด้วยมุมมองการรับชมที่แคบลง

IPS: In-Plane Switching

จอพวกนี้จะจัดวางพิกเซลเป็นแบบหัวลูกศร ภาพที่ได้จะมีสีสันที่สดใสกว่า มุมมองการรับชมก็กว้างกว่า แต่ก็ต้องแลกด้วยความดำที่ไม่สนิท และมีโอกาสเจอ Dirty Screen Effect มากกว่า

ทีนี้ทั้งจอ VA และ IPS ก็ยังมีรูปแบบการจัดวาง Back Light ย่อยลงไปอีก 2 ชนิด คือ

Full Array : เป็นการจัดวาง Back Light แบบเต็มๆ ครอบคลุมทั้งจอ ซึ่งการจัดวางประเภทนี้จะมีข้อดีที่เห็นชัดมากๆ คือสามารถดับแสง Back Light ได้ทั่วทั้งจอ ทำให้ภาพนั้นดำสนิทกว่า และในหลายๆ รุ่นทำได้ดีถึงขั้นอาจไม่เจอปัญหา Dirty Screen Effect ที่เกิดกับ LCD เลย หรือเจอน้อยมาก และยังไม่เจอปัญหา Blooming Effect (สังเกตในฉากมืดๆ รอบๆ Subtitle จะสว่างเรืองแสง) หรือเจอน้อยมากในบางรุ่นอีกด้วย ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาสำคัญทั้งสิ้นเมื่อต้องรับชมในห้องมืด แต่ข้อเสียสำคัญของมันคือราคาที่แพงกว่า Edge Lit พอควร และมักจะอยู่ใน Premium LED ทั้งหลาย พวกนี้มักจะมาพร้อมฟังก์ชั่น Local Dimming ด้วย

นอกจาก Full Array แล้วก็ยังมีอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มีลักษณะการจัดวางแบบเดียวกัน แต่มีแถว LED ที่น้อยกว่า โดยจะเรียกว่า Direct Lit โดยจอประเภทนี้จะไม่มี Local Dimming และในปัจจุบันไม่ได้เป็นที่นิยมแล้วเนื่องจากคุณภาพของภาพที่ทำออกมาได้ด้อยกว่า Full Array มากนั่นเอง

Edge Lit : มีการจัดวาง Back Light ตามขอบหรือมุมจอ มำให้เวลาต้องดับจอมืดในฉากดำๆ จะดับได้เป็นจุดๆ เกิดปัญหาแสงรอดและอื่นๆ รวมถึงไม่สามารถแสดงผลสีดำได้ดี ไม่เหมาะกับการรับชมในห้องมืดเลย แต่ข้อดีคือราคาถูก และจะถูกใช้ใน LED ทั่วไปเป็นส่วนใหญ่

ทีนี้พอเห็นข้อแตกต่างก็จะทราบแล้วใช่ไหมว่า หากเรามีห้องโฮมเธียร์เตอร์ ไม่กว้างมาก เป็นห้องคุมแสงได้ และเราต้องการจอใหญ่ๆ ระยะการมองอาจจะครอบคลุมทั้งจอได้สบายๆ ไม่ว่าจะนั่งดูจากจุดไหน โดยส่วนตัวผมจะเชียร์ให้ไปทาง VA Panel แบบ Full Array ซึ่งจะตอบโจทย์การใช้งานด้านภาพเรามากที่สุดนั่นเอง

HDR10, HDR10+, Dolby Vision และ HLG ความแตกต่างของมาตรฐาน HDR ที่ควรรู้

Dolby Vision vs HDR 10

ทั้งนี้การพิจารณาด้วยข้อมูลเท่านี้ก็ยังไม่พออีก อย่าลืมว่า Streaming ในปัจจุบันนั้นรองรับระบบภาพความละเอียด 4k กันแล้วแทบทั้งนั้น แถมหลายๆ บริการยังเสริมทัพงานภาพด้วย HDR (High Dynamic Range) อีก ซึ่งก็มีให้เราปวดหัวมากมายหลายสแตนดาร์ด แต่หลักๆ ที่เห็นคงหนีไม่พ้น HDR10(+) กับ Dolby Vision (และบางคนอาจเคยเห็น HLG ด้วยซึ่งยังไม่จำเป็นในบ้านเรา) ดังนั้นหากเลือกได้ก็ให้โฟกัสไปที่ทีวีที่รองรับ Dolby Vision ไปเลย ซึ่งกลุ่มนี้จะรองรับ HDR พื้นฐานอยู่แล้ว ต่างกันตรงที่ Dolby Vision นั้นจะสามารถปรับ HDR ได้ในระดับจุดต่อจุด ในขณะที่ HDR ทั่วไป (ที่ไม่ +) นั้นจะปรับ HDR ได้เป็นฉากๆ เท่านั้น ทำให้การไกล่แสงและสีเทียบต่อฉากแล้ว Dolby Vision ทำได้ดีกว่านั่นเอง และ Netflix เองก็มีหลายเรื่องเลยที่รองรับ Dolby Vision ส่วน Apple TV+ นั้นต้องบอกว่าทุกเรื่องเลยด้วยซ้ำ

Dolby Vision: Single Layer VS. Dual Layer มันคืออะไรกัน?

Dolby Vision นั้นเป็นมาตรฐานด้าน HDR ที่เรียกได้ว่ามาแรงและน่าสนใจที่สุดแล้วในขณะนี้เมื่อว่ากันถึงจำนวนผู้เล่นในตลาดที่เอาด้วยกับเทคโนโลยีดังกล่าว แต่ทั้งนี้ Dolby Vision เองก็แบ่งออกเป็น 2 ประเภทย่อยที่คุ้นหูกันดี เอาล่ะ…เราลองมาดูความแตกต่างกัน

DV Single Layer: เจ้าตัวนี้คือ Dolby Vision ที่มีเพียงสัญญาณ HDR เท่านั้น โดยเป็น Dolby Vision แบบที่ใช้กันในบริการสตรีมมิ่งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น Netflix, Apple TV+, Disney+ หรือ Amazon Prime (และอื่นๆ อีกมากมาย) รวมไปจนถึงแอพที่นิยมใช้บน Apple TV อย่าง Infuse 6 Pro ด้วย

DV Dual Layer: เจ้าตัวนี้คือ Dolby Vision ที่มีทั้งสัญญาณ HDR และ SDR (Standard Dynamic Range) ซึ่งจะทำให้ไฟล์ Dolby Vision นั้นใหญ่ขึ้นมากถึง 30% จึงทำให้ไม่ถูกนำมาใช้ในบริการสตรีมมิ่ง แต่จะเป็นรูปแบบมาตรฐานสำหรับสื่อประเภท UHD หรือพวกอัดลงแผ่น BluRay แทน

สรุปสั้นๆ เกี่ยวกับการเลือกโทรทัศน์ที่เหมาะสมสำหรับห้องดูหนังส่วนตัวของเรา

Home Theater Room Built Alex

หากเป็นห้องโฮม ขนาดห้องไม่กว้าง กันแสงได้ดี ห้องมืดสนิท สนใจหน้าจอใหญ่ๆ 75 นิ้วขึ้นไป LED แบบ VA Panel Full Array ที่รองรับ Dolby Vision คือตอบโจทย์นี้มากที่สุดนั่นเองสำหรับคำแนะนำของผม ทั้งในแง่ของคุณภาพและงบประมาณ โดยส่วนตัวแล้วผมใช้ Sony 85X9000F ที่ซื้อมาได้ประมาณสองปีกว่าแล้ว และหากมองข้ามเรื่อง eARC ที่ตัวนี้ออกมาตอนช่วงที่ทีวียังนิยมรองรับกันแค่ ARC แล้ว เจ้า Sony Bravia 85X9000F ก็ถือว่ายังเป็นตัวเลือกที่ชอบมากจนถึงปัจจุบันและคงไม่คิดที่จะเปลี่ยนในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน

ส่วนใครที่กำลังมองหาทีวีใหม่ ตอนนี้คงต้องแนะนำให้เลือกเผื่อสเป็กที่รองรับ eARC เอาไว้ด้วยเลย ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะมาแน่ๆ เมื่อ PS5 พร้อมจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เพราะรองรับคุณสมบัติสำคัญอย่างการแสดงผลภาพ 4k ที่ค่าอัตราการกระพริบสูงถึง 120Hz เต็มประสิทธิภาพที่ PS5 จะทำได้ ซึ่งเมื่อพิจารณาว่า PS5 เองก็อยู่ไม่ไกลแล้ว ก็คิดว่าควรจ่ายเพิ่มอีกนิดเพื่อซื้ออนาคตไปเลยทีเดียวดีกว่าครับ โดยตัวเลือกที่น่าสนใจนั้นคงหนีไม่พ้น Sony Bravia x9000h ซึ่งรองรับทั้ง Dolby Vision และมีพอร์ต eARC มาให้พร้อมในสนนราคาตัว 85 นิ้วที่เห็นหาได้ไม่ถึงแสน ยังไงในวินาทีนี้ก็ถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มมากๆ ทีเดียว (ย้อนกลับไปเมื่อ 2 – 3 ปีก่อนนั้น 85X9000F ที่ผมใช้อยู่ราคาอยู่ที่ประมาณ 120,000 บาท)


ในบทความต่อไปเราจะมาว่ากันที่ระบบเสียงในปัจจุบันบ้าง อะไรคือ Dolby Atmos ที่เห็นบ่อยๆ  บนบริการสตรีมมิ่งอย่าง Netflix และ Apple TV+ อะไรคือ DTS-X ที่เค้าพูดว่าเป็นคู่แข่งของ Dolby Atmos หรืออะไรคือความหมายของสัญลักษณ์ 5.1 ที่แสดงบนหน้าปกหนังใน Netflix และ iTunes รวมไปจนถึงเราจะต้องจัดเครื่องเสียงอย่างไรให้ได้ตามมาตรฐานเหล่านี้ และต้องใช้งบประมาณทั้งหมดประมาณเท่าไหร่ ในบทความตอนต่อไป เราจะพาเพื่อนๆ ไปไขคำตอบร่วมกัน

และหากชอบก็อย่าลืมกดไลค์ กดแชร์บทความนี้ รวมถึงกดรับข่าวสารจาก APPDISQUS ไว้ เพื่อที่จะได้ไม่พลาดเมื่อตอนต่อไปพร้อมเสิร์ฟ หรือเวลาที่มีข่าวในแวดวงมือถือและ IT มาอัพเดตเพื่อนๆ กันนะครับ

ข่าว: Living Smart: ชอบดู Netflix และ Apple TV+ ควรเลือกทีวีแบบไหนดี…ที่นี่มีคำตอบ มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/2020/09/02/netflix-streaming-and-how-to-choose-the-right-tv.html