คลังเก็บป้ายกำกับ: TECH_2019

iPhone – เป็นอุปกรณ์ที่มีการใช้เพื่อเข้าสู่ P..nh..b มากที่สุด พร้อมใช้งาน Chrome เป็นอันดับ 1 ในปี 2019 นี้

ไม่ว่าจะอย่างไรแล้วนั้นตัวเลขก็ไม่เคยโกหกใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องที่ว่าผู้ใช้งานในปัจจุบันนั้นนิยมใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่ในการเข้าถึงสื่อทางอินเตอร์เน็ตต่างๆ มากกว่าการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ล่าสุดนั้นทาง P..nh..b ได้มีการออกมาเผยข้อมูลเพิ่มเติมหลังจากที่ได้เผยข้อมูลของตัวเลขของคลิปและการสตรีมเพื่อดูคลิปต่างๆ ประจำปี 2019 ไปแล้วว่าในปี 2019 ที่กำลังจะหมดนี้นั้นจากสถิติที่ทาง P..nh..b เห็นเอาไว้พบว่ามีผู้ใช้ iPhone เข้าใช้งานผ่านทาง P..nh..b มากกว่าอุปกรณ์อื่นๆ เป็นอย่างมาก

เริ่มต้นกับที่จำนวนผู้เข้าใช้งานก่อนโดยทาง P..nh..b นั้นพบว่าในปี 2019 ที่ผ่านมานี้นั้นผู้ใช้เข้าสู่ Pornhub ผ่านสมาร์ทโฟนมากถึง 76.6% โดยตัวเลขนี้นั้นเพิ่มขึ้นจากในปี 2018 ที่ราวๆ 5% เลยทีเดียว(ในปี 2018 มีผู้ใช้สมาร์ทโฟนเข้าสู่ Pornhub ทั้งหมดที่ 71.6%) แถมในจำนวนดังกล่าวนั้นหากแตกย่อยไปดูในรายละเอียดต่างๆ แล้วยังพบอีกว่า iPhone นั้นเป็นสมาร์ทโฟนที่มีผู้ใช้ใช้งานเพื่อที่จะเข้าสู่ P..nh..b มากที่สุดซึ่งจากการตรวจสอบตัวระบบปฎิบัติการแล้วนั้นพบว่า 52.8% ของผู้ใช้ใช้ iOS เข้าสู่ P..nh..b

สำหรับผู้ที่ใช้ระบบปฎิบัติการ Android นั้นพบว่ามีอยู่ที่ราวๆ 46.6% ซึ่งถือว่าเป็นระบบปฎิบัติการอันดับที่ 2 ที่มีผู้ใช้ใช้ในการเข้าสู่ Pornhub ซึ่งทั้งหมดนั้นเมื่อเทียบกับในปี 2018 แล้วนั้นจะพบว่าในปี 2018 นั้นมีผู้ใช้ Android เข้าใช้งาน P..nh..b มากกว่า iOS โดยจะอยู่ที่ 54.4% ขณะที่ iOS นั้นมีผู้ใช้งานอยู่ที่ 44.4% ตัวเลขดังกล่าวของ iOS ที่เพิ่มขึ้นมากถึง 19% นี้นั้นอาจจะเป็นการระบุเหตุผลได้ว่าในปี 2019 นี้นั้นทาง Apple เริ่มคิดถูกแล้วที่แยกรุ่นของ iPhone ให้มีราคาที่ถูกกว่าปกติไปจนถึงรุ่นราคาระดับพรีเมียม

สำหรับในส่วนของเบราว์เซอร์นั้นจะพบว่า Chrome ยังคงเป็นเบราว์เซอร์หลักที่ผู้ใช้ใช้ในการเข้าสู่ P..nh..b มากที่สุดคืออยู่ที่ราวๆ 56.2% แตกต่างกับอันดับที่ 2 อย่าง Edge เป็นอย่างมากเพราะผู้ใช้ที่ใช้ Edge เข้า P..nh..bนั้นจะมีจำนวนอยู่ที่ 10.4% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวทั้ง 2 นี้นั้นเป็นการวัดถึงจำนวนผู้ใช้ที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการเช้าสู่ P..nh..b ทว่าสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่แล้วนั้นพบว่า Chrome เป็นเบราว์เซอร์ที่มีผู้ใช้ใช้เข้า Pornhub เป็นอันดับหนึ่งที่ 44.3% ตามมาด้วย Safari ที่ 41.6% และอันดับ 3 อย่าง Edge ที่ตามมาไกลๆ มากๆ ที่ 2.7%

ท้ายที่สุดและน่าจะเป็นสิ่งที่นักเล่นเกมที่เล่นเกมทั้งบนคอมพิวเตอร์และคอนโซลสนใจมากๆ นั้นก็คือตัวเลขจำนวนผู้เข้าถึง P..nh..b ที่ใช้เครื่องเล่นเกมคอนโซลในการเข้าโดยพบว่ามีผู้ใช้เครื่องเล่นคอนโซลจากทาง Sony อย่าง PlayStation อยู่ที่ 51.5% โดยในจำนวนดังกล่าวนี้พบว่า 60.5% ตกเป็นของเครื่องเกมแบบพกพาอย่าง PS Vita สำหรับเครื่องเกมจากฝั่ง Microsoft นั้นตามหลังมาอยู่ที่ 34.7% ปิดท้ายด้วยเครื่องเล่นของฝั่ง Nintendo ที่ตามมาไกลๆ กับตัวเลข 4.3%

ที่มา : thenextweb

 

from:https://notebookspec.com/the-iphone-is-now-the-internets-preferred-porn-streaming-device/506006/

Special Scoop – จัดอันดับ 84 เทคโนโลยีที่ถูกลืม / ล้มเหลว ในทศวรรษ 2010 ตอนที่ 1

มีเกิดก็ต้องมีดับ ประโยคดังกล่าวนี้ไม่ได้ใช้กันแค่ในการสนทนาทั้วไปเท่านั้นเพราะทางด้านเทคโนโลยีเองก็มีเกิดและดับไปเช่นเดียวกัน ล่าสุดนั้นทาง The Verge ได้รวบรวม 84 อันดับเทคโนโลยีที่ประกอบไปด้วยหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน, รถยนต์, กล้อง, สื่อสังคมออนไลน์และอีกหลายๆ อย่าง ไว้ เพื่อให้ทุกท่านได้ย้อนเวลากลับไปดูว่าในทศวรรษที่ 2010 ที่ผ่านมานั้นเราได้พบเจอและเห็นการตายจากของเทคโนโลยีใดๆ บ้าง เราจึงขอนำมานำเสนอต่อให้ทุกท่านได้ศึกษากัน ว่าแล้วก็ไปพบกับ 12 อันดับแรกกันเลย

84. GOOGLE NEXUS Q

ย้อนกลับไปในช่วงปี 2012 ที่ผ่านมานั้นทาง Google ทำการเปิดตัวอุปกรณ์ที่สร้างความสับสนให้กับผู้ติดตามว่าสรุปแล้วมันคืออะไรกันแน่กับ Google Nexus Q ซึ่งโดยสรุปแล้วนั้นคงต้องบอกว่าตามที่ Google นำเสนอมานั้นเจ้า Google Nexus Q นั้นก็คือกล้องสำหรับการทำ media streamer อย่างเช่น YouTube, Play Music, และ Play Video โดยราคาที่ทาง Google ตั้งเอาไว้นั้นจะอยู่ที่ $299 หรือประมาณ 9,010 บาท โดยหากเพิ่มเงินเป็น $399 หรือประมาณ 12,030 แล้วนั้น คุณจะได้รับลำโพงเพิ่มเข้ามา รวมทั้งยังมีอุปกรณ์เสริมอย่างสายเพิ่มระยะความยาวราคา $49 หรือประมาณ 1,480 บาท

หลังจากที่มีการเปิดตัว Nexus Q ออกมาแล้วนั้นทาง Google เองก็ได้มีการเผยวันวางจำหน่ายอย่างเป็นตามติดออกมา ทว่าการวางจำหน่ายนั้นจะอยู่ในรูปแบบของการ Pre-ordered เท่านั้น ทว่าหลังจากที่ผู้ใช้ตัวต้นแบบชุดแรกที่ได้มีการทดสอบใช้งานไปได้มีข้อเสนอแนะตอบกลับไปทาง Google อย่างมากมายว่าต้องการการพัฒนาหลายอย่างเพิ่มเติม ทำให้ทาง Google ตัดสินใจเลื่อนการวางจำหน่าย Nexus Q ออกไปอย่างไม่มีกำหนดสำหรับการวางจำหน่ายในตลาดสำหรับผู้ใช้ทั่วไป และในที่สุดนั้นก็ดูเหมือนกับว่าทาง Google เองนั้นได้ทำการพับโครงการดังกล่าวไปส่วนผู้ที่มีเครื่องตัวอย่างอยู่นั้นทาง Google เองก็ได้ให้ไปเก็บไว้เลยแบบฟรีๆ

83. LEECO (FORMERLY LETV)

LeEco หรือเดิมคือ LeTV นั้นเป็นบริษัทให้บริการสตรีมมิ่งสื่อวีดีโอออนไลน์ที่ให้บริการอยู่ในประเทศจีน อย่างไไรก็ตามแต่แล้วนั้นด้วยความที่ตัวบริษัทเติบโตขึ้นรวดเร็วเป็นอย่างมากในช่วงแรกทำให้ทางบริษัทนั้นเริ่มที่จะมีแนวคิดในการเข้าสู่การเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ทางด้านเทคโนโลยีอื่นๆ เพิ่มเข้ามาตามซึ่งทาง LeEco นั้นได้ตัดสินใจในการทำเรื่องที่เซี่ยงอยู่ด้วยกัน 2 ประการคือการเข้าซื้อบริษัทผู้ผลิตสื่ออย่าง Vizio และเข้าซื้อบริษัทผลิตรถยนต์คู่แข่ง Tesla อย่าง Faraday Future โดยหวังให้การเข้าซื้อบริษัททั้ง 2 ดังกล่าวนี้นั้นจะสามารถช่วยให้ LeEco สามารถที่จะเข้าไปทำตลาดในสหรัฐอเมริกาได้ ทว่าเรื่องจริงมันโหดยิ่งกว่าที่ทาง LeEco คิดเอาไว้

ปัญหาเกิดขึ้นตั้งแต่ในการเข้าซื้อ Vizio ซึ่งทาง LeEco ไม่สามารถที่จะเข้าซื้อได้อย่างที่ได้ทำการตกลงกันไว้แถมยังโดนทาง Vizio ฟ้องร้องกลับด้วย ส่วนการเข้าซื้อ Faraday Future นั้นก็กลายเป็นว่ามีปัญหาเกิดขึ้นมาเนื่องจากว่าผู้ก่อตั้งของ LeEco อย่าง Jia Yueting ซึ่งเป็นผู้ให้ทุนและช่วยเหลือในการเข้าซื้อนั้นได้พยายามใช้การเข้าซื้อดังกล่าวนี้เพื่อที่จะเป็นเส้นทางในการหลบหนีหนี้หลายพันล้านในประเทศจีนแล้วเข้าไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกาแทนซึ่งสามารถทำได้สำเร็จแต่ทว่าทางบริษัท LeEco นั้นรู้ตัวก่อนก็เลยทำให้ทาง Yueting นั้นโดนถอนจากการเป็น CEO อาจจะต้องรับกรรมกลับไปจ่ายหนี้หลายพันล้านในจีนอีกด้วย

82. APPLE WATCH EDITION

จริงๆ แล้วนั้นต้องบอกว่า Apple Watch นั้นถือได้ว่าเป็นสมาร์ทวอช์ทที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นในความนิยมก็มี Apple Watch รุ่นหนึ่งที่ถูกเมินและลืมไปตามกาลเวลาซึ่งนั้นก็คือ APPLE WATCH EDITION ที่มาพร้อมกับการใช้วัสดุเป็นทองขนาด 18 กะรัต ทว่าด้วยราคาที่แพงแสนแพงแถม ณ เวลานั้น Apple Watch ก็ไม่ได้เป็นที่นิยมมากนักสักเท่าไรสำหรับผู้ใช้นาฬิกาในระดับบน ดังนั้นแล้วในตอนหลังนั้นทาง Apple เองจึงได้ทำการยกเลิกการผลิต APPLE WATCH EDITION ไปโดยปริยาย

หมายเหตุ – ทว่า APPLE WATCH EDITION นั้นก็ยังมีดาราดังๆ ของสหรัฐอเมริกาได้เป็นเข้าของอยู่อย่างเช่น Beyoncé เป็นต้น

81. JOOJOO

JOOJOO หรือเดิมกับชื่อ CrunchPad ซึ่งถือว่าเป็นแท็บเล็ตหนึ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่ทาง Apple นั้นจะเปิดตัว iPad อย่างเป็นทางการ โดยในตอนแรกนั้นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง TechCrunch อย่าง Michael Arrington ซึ่งได้ทำการพูดคุยกับนักอ่านให้ช่วยตัวเขาในการผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่(ในรูปแบบแท็บเล็ต) ในราคาไม่เกิน $200 ทว่าเมื่อคุยกับทาง Fusion Garage(บริษัทที่อยู่เบื้องหลังในส่วนของฮาร์ดแวร์ของ JOOJOO) แล้วนั้นกลับหลายเป็นว่าราคาท้ายสุดนั้นก็ยังคงมากถึง $500 โดยที่ทาง Arrington นั้นได้ทอนตัวไปแล้วและการเริ่มส่งสินค้านั้นก็เกิดขึ้นเพียงแค่ 2 วันก่อน Apple ทำการเปิดตัว iPad เท่านั้นทำให้ JOOJOO ไม่ได้เกิดตามระเบียบ

หมายเหตุ – อีกสาเหตุหนึ่งที่ JOOJOO ไม่เกิดนั้นก็เนื่องมาจากว่ามันเป็นเครื่องที่เอาไว้ใช้ทำการเปิดเว็บไซคต์ได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นดังนั้นเมื่อเทียบกับ iPad ที่ฟังก์ชันการใช้งานมากกว่าเป็นอย่างมากก็เลยทำให้ JOOJOO หมดอนาคตนั่นเอง

80. GOOGLE READER

Google graveyard นั้นเป็นป่าช้าของผลิตภัณฑ์จากทาง Google ที่จริงๆ แล้วทาง Google เองไม่ค่อยจะอยากให้มีหลุมศพเพิ่มมากในสุสานสักเท่าไร อย่างไรก็ตามแต่นั้นคงปฎิเสธไม่ได้เลยว่าถึงแม้จะเป็น Google เองก็ยังคงมีหลายๆ อย่างที่ไม่ได้รับความนิยมและในท้ายที่สุดก็ต้องลงหลุมไปในที่สุด ล่าสุดนั้นก็เป็นคิวของ Google Reader ที่พึ่งจะมีหลุมเป็นของตัวเองในช่วงต้นๆ ปี 2019 ที่ผ่านมา ซึ่งจริงๆ หากจะว่าไปแล้วนั้นตัว Google Reader มีอะไรที่น่าสนใจเอามากๆ เมื่อเทียบกับคู่แข่งในการเป็น RSS reader ทว่าในท้ายที่สุด RSS เองก็ไม่สามารถที่จะอยู่ในโลกได้เช่นกันเพราะไม่สามารถสู้กับคู่แข่งอย่าง Facebook’s News Feed ได้

79. SECRET

ย้อนกลับไปในปี 2014 นั้นเรามีสื่อสังคมออนไลน์ใหม่อย่าง Secret เกิดขึ้นมาในโลกสื่อสังคมออนไลน์ โดยฟีเจอร์ที่น่าสนใจของเจ้า Secret นั้นก็คือการโพสข้อความต่างๆ ลงไปจะไม่มีการเปิดเผยชื่อผู้ใช้ของผู้ที่ทำการโพสข้อความนั้นๆ ถึงแม้ว่าตัวคุณเองจะเป็นเพื่อนอยู่กับผู้โพสก็ตามทำให้ Secret นั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในการใช้เพื่อพูดถึงเรื่องทางเพศรวมไปถึงสิ่งผิดกฎหมายอย่างเช่นยาเสพติดเป็นต้น มีผู้ใช้ Secret ที่ราวๆ 15 ล้านรายและยังสามารถที่จะทำรายได้ให้กับบริษัทได้มากถึง $35 ล้านอีกต่างหาก

ทว่าในทศวรรษที่ 2010 นั้นปฎิเสธไม่ได้เลยว่าไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ตามในโลกต่างก็ไม่ยอมรับการโพสที่ไม่แสดงตัวตนของผู้โพสโดย แน่นอนว่าด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เองนั้นเจ้าของบริษัทจึงไม่สามารถที่จะต่อสู้กับกระแสดังกล่าวได้ทำให้ Secret เองนั้นสุดท้ายก็ต้องตายตามไปเป็นระเบียบโดยมีระยะเวลาให้ผู้ใช้ได้ซ่อนตัวตนกันเพียงแต่ 16 เดือนเท่านั้น(แน่นอนว่าหลายๆ สื่อสังคมออนไลน์ที่มาพร้อมกับความสามารถในการปิดบังตัวตนที่ไม่ปรากฎตัวก็ตายไปด้วยเช่นเดียวกันอย่างเช่น Yik Yak, Ask.fm, Formspring และอื่นๆ อีกมากมาย)

78. MAGIC LEAP

จริงๆ แล้ว Magic Leap น่าจะเป็นบริษัทหนึ่งที่สามารถประสบความสำเร็จในทศวรรษที่ 2010 ได้ ด้วยความที่ทางบริษัทเองนั้นก็ได้รับเงินทุนจากทาง Google ไปไม่มากไม่น้อยแค่ประมาณ 500 ล้านเหรียญในการพัฒนาอุปกรณ์สำหรับเติมความเสมือนจริงที่อยู่ในรูปแบบของแว่นตา ทว่า Magic Leap ก็ไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ในวงการได้ถึงแม้ว่าจะมีลักษณะในการทำงานหลายๆ อย่างเหมือนกับทาง Apple อย่างการปล่อยข้อมูลของผลิตภัณฑ์ออกมาน้อยเป็นอย่างมากรวมไปถึงการจดสิทธิบัตรนั้นก็ยังไม่ได้ใช้ชื่อบริษัทเองด้วย

แต่ด้วยการที่ปิดเป็นความลับมากไปหน่อยนั้นเลยทำให้แม้กระทั่งผู้ลงทุนเองหลายๆ รายไม่พอใจแถมไม่รู้อีกด้วยว่าสรุปแล้วนั้นอุปกรณ์ของทาง Magic Leap จะเปลี่ยนโลกได้อย่างไร แถมการเปิดตัวอุปกรณ์รุ่นแรกของ Magic Leap ออกมานั้นมันก็ดันไปเหมือนกันกับ HoloLens ของทาง Microsoft เข้าให้อีก ทำให้ในการวางจำหน่ายจริงนั้น Magic Leap รุ่นแรกสามารถจำหน่ายไปได้เพียง 6,000 กว่าชิ้นเท่านั้น เมื่อเทียบกับเงินลงทุนกว่า $2.6 พันล้านแล้วก็ไม่แปลกใจเลยที่ Magic Leap เข้าสู่หลุมไปเป็นที่เรียบร้อย

77. GOOGLE FIBER

Google Fiber นั้นถือว่าเป็นอีกบริการหนึ่งที่น่าเสียดายเป็นอย่างมากเพราะการเข้ามาถึงของการให้บริการอินเตอร์เน็ตแบบ Fiber ที่ทาง Google เป็นผู้ให้บริการเองนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยในช่วงแรกนั้น Google ได้ออกมาเผยตัวเลขว่า Google Fiber ได้มีการให้บริการแล้วในนครใหญ่ๆ กว่า 18 มหานครในสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นตัวเลขดังกล่าวนี้ไม่ได้มีการอัพเดทเลยตั้งแต่ในปี 2016 ที่ผ่านมา แถมในช่วงที่ผ่านมานั้นทาง Google ก็ได้มีการเริ่มนำสายสัญญาณ Fiber ออกจากท้องถนนอีกโดยการให้เหตุผลว่าจะมีการซ่อมถนนเกิดขึ้นในหลายๆ รัฐที่ทาง Google Fiber ให้บริการ ท้ายที่สุดแล้วนั้น Google Fiber ก็ไม่ได้ถูกพูดถึงจากทาง Google อีกเลย

76. JUSTICE LEAGUE

จริงๆ แล้วจะว่าไปภาพยนตร์นั้นก็ดูจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับด้านเทคโนโลยีสักเท่าไรนัก ทว่าหากจะไม่พูดถึง Justice League เลยนั้นก็ดูเหมือนจะไม่ได้ โดยถึงแม้ว่าในท้ายที่สุดแล้วนั้นรายได้รวมทั่วโลกของ Justice League ก็ไม่ได้ต่ำอะไรมากนักเพราะมากถึง $660 ล้านเลยทีเดียวทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นถือว่าเป็นกระแสอย่างรุนแรงสำหรับภาพยนตร์ยอดมนุษย์เป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นกลุ่มแฟนๆ ตัวยงที่รวมกันเรียกร้องให้ทาง Warner Bros ปล่อยเวอร์ชันที่ทำการตัดต่อใหม่ของ Justice League ออกมา

ถามว่าเรื่องดังกล่าวนี้น่าสนใจอย่างไรคงต้องบอกว่ามันเป็นกระแสที่น่าสนใจเอาเป็นอย่างมาก มากพอที่จะทำให้กลุ่มแฟนๆ ซึ่งรวบรวมเงินกันได้มากกว่า 10 ล้านเหรียญเพื่อนำเอาไปปลดภาพโฆษณาของตัวภาพยนตร์จากสถานที่สำคัญต่างๆ ลงเอาได้ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเกิดขึ้นมากเท่าไรนักในวงการภาพยนตร์

75. MICROSOFT BAND

ความพยายามของ Microsoft ที่จะเข้าสู่ตลาดอุปกรณ์เคลื่อนที่นั้นมีมากจริงๆ ทว่าไม่ว่าจะทำการปล่อยผลิตภัณฑ์อะไรออกมาที่อยู่ในกลุ่มนี้ก็ไม่ปังสักอัน อย่างล่าสุดกับ Microsoft Band ที่ดูเหมือนว่าจะดูดีในตอนแรกๆ นั้นทว่าเมื่อมีผู้ใช้งานหลายรายต่างก็บอกออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่างานประกอบและวัสดุที่ใช้บน Microsoft Band นั้นไม่เหมาะสมกับราคาที่ต้องจ่ายออกไป แถมฟีเจอร์บางอย่างที่ควรจะใช้ได้แต่ไม่สามารถทำได้จริงอย่างเช่นใช้ในการจ่ายเงินใน Starbucks ก็ไม่สามารถที่จะทำได้อีกเป็นต้น งานนี้นั้นสุดท้ายทาง Microsoft แพ้ไปเองโดยการปิดเครื่อง Server สำหรับการเชื่อมต่อของ Microsoft Band รวมทั้งยังทำการยินยอมคืนเงินให้กับลูกค้าอีกด้วยต่างหาก

74. SOLYNDRA

Solyndra นั้นอาจจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในเมืองไทยเท่าไรนัก ทว่าในสหรัฐอเมริกานั้น Solyndra ถือว่าเป็นบริษัททางด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาดที่มีชื่อเสียงมากเลยทีเดียว ชื่อเสียงของ Solyndra นั้นดังจนถึงขั้นประธานาธิบดีโอบามาให้ความสนใจเลยทีเดียว ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อย่างแผงโซลาร์เซลล์แบบใหม่ที่ทางบริษัทยืนยันว่าประสิทธิภาพในการเก็บแสงนั้นดีมากกว่าของผู้ผลิตรายอื่น อีกทั้งดีไซน์ของตัวแผงนั้นก็ยังมีความสวยงามเป็นอย่างมากอีกด้วยต่างหาก

ข้อเสียของบริษัทนั้นมีอยู่แค่อย่างเดียวจริงๆ นั่นก็คือแผนการดำเนินงานทางด้านธุรกิจที่อ่อนเอามากๆ จนทำให้หลังจากที่บริษัทก่อตั้งมาในปี 2009 ได้เพียง 3 ปี ในปี 2011 นั้นทางบริษัทเองก็ถังแตกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยถึงแม้ว่าจริงๆ แล้วนั้นทางบริษัทจะได้รับเงินร่วมทุนมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากทางรัฐบาลในสมัยนั้นทว่าการขาดแผนการดำเนินงานทางธุรกิจนั้นก็ทำให้บริษัทเจ๊ง หลังจากที่พอจะเริ่มฟื้นตัวมาได้บ้างแต่ทว่าพอเจอกระแสกระหน่ำรอบที่ 2 จากการเข้ามาของแผงโซลาร์เซลล์ราคาถูก(กว่ามาก) จากทางจีนสุดท้าย Solyndra ก็ต้องปิดตัวลงไปตามระเบียบ

73. VALVE’S ARTIFACT

โดยปกติแล้วนั้นเกมที่พัฒนาโดยทาง Valve เองนั้นมักจะได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทว่านั่นไม่ได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเกม Artifact เกมแนว Card game ที่ทาง Valve เป็นผู้พัฒนาเองโดยได้มีการซื้อตัว Richard Garfield ผู้ออกแบบเกม Magic: The Gathering มาเป็นผู้ออกแบบให้กับเกม Artifact โดยเฉพาะ ทว่าผู้เล่นเกมนั้นเรียกได้ว่าน้อยมากถึงแม้ว่าตัวเกมจะวมีให้เล่นผ่านทาง Steam ซึ่งมีจำนวนผู้ใช้มาก แต่ 2 เดือนหลังจากเปิดตัวก็มีผู้เล่นอยู่ที่ราวๆ 60,000 รายทั่วโลกเท่านั้น แถมอีก 2 เดือนต่อมาตัวเกมมีผู้เล่นเพิ่มขึ้นแค่เพียงไม่กี่ร้อย ท้ายที่สุดแล้วตัวเกมก็ได้ยุติการให้เล่นไปตามระเบียบ

ที่มา : theverge

from:https://notebookspec.com/the-84-biggest-flops-fails-and-dead-dreams-of-the-decade-in-tech/506172/

Tech 2019 – ศูนย์วิจัยของทาง IBM เผยแบตเตอรี่แบบใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ธาตุหนักในการผลิตอีกต่อไป

ในปัจจุบันนั้นเรียกได้ว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ รวมไปถึงรถยนต์กระทั่งเครื่องบินต่างก็เริ่มเปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น แน่นอนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้เองนั้นทำให้ความต้องการของแบตเตอรี่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเป็นอย่างมาก ทว่าด้วยข้อจำกัดหลายๆ อย่างของแบตเตอรี่ในปัจจุบันอย่างเช่น Li-Ion นั้นทำให้การออกแบบดีไซน์ของแบตเตอรี่อยู่ที่เดิมมาหลายยุดหลายสมัย ทว่าทาง IBM เองนั้นได้เห็นข้อจำกัดดังกล่าวจึงได้ทำการศึกษาวิจัยแบตเตอรี่แบบใหม่จนสามารถที่จะผลิตแบตเตอรี่ที่ใช้ธาตุที่สกัดจากน้ำทะเลแทนที่ธาตุหนักขึ้นมา

ปัจจัยใหญ่อย่างหนึ่งที่ทำให้ทาง IBM ตัดสินใจในการวิจัยแบตเตอรี่ที่ใช้ธาติซึ่งมาจากการสกัดน้ำทะเลนั้นก็เนื่องมาจากการต้องการลดมลภาวะทางด้านอากาศให้กับโลกของเรา เนื่องจากปฎิเสธไม่ได้เลยว่าการใช้ธาติหนักต่างๆ ในการผลิตแบตเตอรี่ Li-Ion อย่างเช่น cobalt, manganese และ nickel นั้นก่อให้เกิดมลภาวะกับโลกตั้งแต่ขั้นตอนของการสกัดธาตุดังกล่าวจากเหมืองแล้ว นอกไปจากนั้นแล้วธาติต่างๆ เหล่านั้นก็ถือว่าเป็นทรัพยากรที่มีจำนวนจำกัดซึ่งไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรถึงจะหมดลงไปจากโลกเรา

ทางศูนย์วิจัย IBM จึงได้ทำการคิดใหม่ทำใหม่ในการใช้ธาติที่สกัดจากน้ำทะเลแทนธาติหนักโดยที่เริ่มต้นตั้งแต่การออกแบบดีไซน์ตัวแบตเตอรี่ใหม่ทั้งหมดโดยเริ่มที่ของเหลวอิเล็กโทรไล(ส่วนประกอบในแบตเตอรี่ที่จะช่วยให้ไอออนสามารถเดินทางจากขั้วหนึ่งไปยังอีกขั้วหนึ่ง) ที่มาพร้อมกับ high flash point อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนธาติสำหรับขั้วลบของแบตเตอรี่จากเดิมที่เป็นธาติหนักไปเป็นธาติเบาอีกด้วย แน่นอนว่ากระบวนการทั้งหมดนี้นอกจากจะลดมลพิษจากการผลิตอุตสาหกรรมธาติหนักแล้วยังเป็นการนำน้ำทะเลที่มีอยู่จำนวนมากในโลกมาใช้งานให้เป็นประโยชน์ด้วยอีกต่างหาก

แบตเตอรี่แบบใหม่ที่ทาง IBM วิจัยขึ้นมานั้นยังมีข้อดีอีกอยู่หนึ่งอย่างนั่นก็คือการลดการสูญเสียของไอออนในแบตเตอรี่ลงทำให้แบตเตอรี่นั้นมีอายุการใช้งานมากขึ้น, มีความปลอดภัยมากขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งยังสามารถที่จะชาร์จใหม่จาก 0 ไปยัง 80% ได้ในระยะเวลารวดเร็วเพียงแค่ประมาณ 5 นาทีเท่านั้น สำหรับข้อดีที่เราๆ ท่านๆ จะได้รับกันอย่างแน่นอนหากงานวิจัยนี้สามารถเริ่มนำมาใช้งานได้จริงก็คือราคาของแบตเตอรี่ที่จะถูกลงเป็นอย่างมากเพราะกระบวนการผลิตแบตเตอรี่ดังกล่าวนี้มีขั้นตอนไม่มากเหมือนกับการใช้ธาติหนักมาทำขั้วลบของแบตเตอรี่ ทว่าจะได้ใช้กันเมื่อไรนั้นก็คงต้องคอยดูกันต่อไป

หมายเหตุ – ณ เวลานี้นั้นทางทีมวิจัยของ IBM ได้มีการร่วมงานกับทีมวิจัยของทาง Mercedes-Benz เพื่อที่จะขยายการใช้งานแบตเตอรี่ดังกล่าวอย่างจริงจังแล้ว โดยทาง IBM เองนั้นคาดว่าในระยะเวลา 2 – 3 ปีนี้เราจะได้เห็นแบตเตอรี่แบบใหม่นี้กัน

ที่มา : gizmodo

from:https://notebookspec.com/ibm-research-created-a-new-battery-that-outperforms-lithium-ion-no-problematic-heavy-metals-required/505573/

Tech 2019 – อย่าได้กังวลกับคลื่นอินเตอร์เน็ต 5G เพราะมีการศึกษาแล้วว่ามันไม่ได้อันตรายอย่างที่คิด

ในยุคที่เรากำลังเข้าสู่คลื่นโทรศัพท์มือถือแบบ 5G นั้นเชื่อว่ามีหลายๆ อาจจะเป็นกังวลเหมือนที่ผ่านๆ มาว่าเจ้าคลื่นความที่ที่ใช้งานบนเครือข่าย 5G นั้นมันปลอดภัยหรือเปล่า จะมีปัญหาอย่างไรบ้างกับสุขภาพผู้ใช้ ฯลฯ ซึ่งปัญหาดังกล่าวนี้นั้นเป็นมีผู้คนที่เป็นห่วงกันทั้งโลก โดยจะเห็นได้จากหลายๆ ประเทศที่เริ่มมีการทดลองใช้งานเครือข่าย 5G กันแล้ว

อย่างเช่น Oregon ในสหรัฐอเมริกาที่ทางสภาเทศบาลเมืองได้มีการยื่นไปยัง Federal Communications Commission หรือ FCC เพื่อที่จะให้ทาง FCC นั้นทำการอัพเดทว่าคลื่นเครือข่าย 5G นั้นจะส่งผลอย่างไรบ้างกับสุขภาพของผู้ใช้งานเป็นต้น ทว่าหลายๆ หน่วยงานนั้นก็ได้ทำการศึกษาเรืิ่องดังกล่าวนี้และพบว่ามันไม่มีอันตรายแต่อย่างใด

ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานั้นทางสภาผู้แทนราษฎรแห่งรัฐลุยเซียนาได้มีการติดต่อไปยังกรมคุณภาพสิ่งแวดล้อมและกรมอนามัยให้ทำการศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ต่อคลื่่น 5G เพราะหลักการวางเสาสัญญาณ 5G นั้นจะต้องมีการวางเสากระจายสัญญาณเป็นพันๆ เสาในละแวกใกล้เคียงกับชุมชนทั่วประเทศเพื่อเพิ่มความแรงของความถี่สัญญาณคลื่นวิทยุให้สามารถรองรับกับการใช้งานให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ซึ่งถือว่าเป็นการวางเสาสัญญาณจำนวนที่เยอะมากๆ หากเทียบกับคลื่นในยุคก่อนๆ อย่าง 3G หรือ 4G

ไม่เพียงแค่เรื่องของเสากระจายความถี่คลื่นสัญญาณเครือข่าย 5G เท่านั้นที่เป็นที่กังวลของประชาชนเนื่องจากในสหรัฐอเมริกาเองนั้นประชาชนในหลายๆ พื้นที่ต่างก็เป็นห่วงในเรื่องของความปลอดภัยเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุผลทั้งหมดดังกล่าวเองทำให้การกระจายเสาร์สัญญาณ 5G เป็นไปอย่างเชื่องช้ากว่าที่ทาง FCC ได้มีการคิดเอาไว้ อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นคลื่นสัญญาณ 5G กับเรื่องสุขภาพที่ผู้คนกังวลมากที่สุดนั้นก็คือเรื่องของการเป็นต้นเหตุโรคมะเร็งซึ่งจริงๆ แล้วนั้นความกังวลดังกล่าวนี้นั้นไม่ได้แตกต่างไปจากการใช้งานเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์ในสมัยก่อนๆ แต่อย่างใด

จุดที่น่าสนใจและเป็นต้นเหตุของการกลัวการใช้เครือข่าย 5G ทั้งหมดนั้นคงหนีไม่พ้นการที่เครือข่าย 5G ใช้คลื่นความถี่ที่มีความสูงมากกว่าเดิม(แต่คลื่นความถี่ต่ำๆ เองนั้นก็มีเช่นเดียวกันตัวอย่างเช่นเครือข่าย T-Mobile ในสหรัฐอเมริกาก็ใช้คลื่นความถี่ต่ำเพื่อที่จะให้บริการสัญญาณเครือข่าย 5G) ด้วยความที่เครือข่าย 5G นั้นใช้ความถี่การส่งสัญญาณที่สูงนี้เองทำให้ผู้คนกลัวว่าตัวคลื่นความถี่ที่เข้าใกล้รังสีแม่เหล็กไฟฟ้าเช่นแสงที่มองเห็นได้นั้นอาจจะสร้างอันตรายให้กับผู้ใช้งานขึ้นได้เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถมองเห็นได้บางคลื่นนั้นสามารถกระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็งขึ้นได้(เช่นรังสี UV เป็นต้น)

อย่างไรก็ตามแล้วนั้นยังมีความจริงอีกอย่างหนึ่งที่ผู้หวาดกลัวสัญญาณเครือข่าย 5G ไม่ค่อยจะทราบกันก็คือว่าหลายๆ ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือนั้นบางบริษัทก็ใช้คลื่นความถี่ที่ใกล้เคียงกับเครือข่ายสัญญาณ 4G เพื่อนำเอามาใช้งานในการให้บริการเครือข่าย 5G แต่นั่นก็ทำให้ทางผู้ให้บริการเครือข่ายไม่ปลื้มมากเท่าไรนักเพราะทำให้พวกเขามีช่องสัญญาณสำหรับเครือข่าย 4G ลดลงแถมยังเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการติดตั้งเสาร์สัญญาณจำนวนมากอีกด้วยต่างหาก

ทั้งนี้ในนั้นความกังวลเรื่องดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่กังวลเกินกว่าเหตุด้วยความจริงข้อหนึ่งที่ว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่อยู่ในระดับที่คนสามารถมองเห็นได้นั้นหลายๆ ความถี่ก็ไม่ได้เป็นอันตรายต่อมนุษย์อย่างเช่นคลื่นวิทยุ,แสงที่มองเห็นและแสงอัลตราไวโอเลต ต่างก็เป็นแสงที่มองเห็นได้และไม่ได้เป็นอันตรายต่อผู้คนทั่วไป สิ่งที่น่ากลัวมากกว่าก็คือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอื่นๆ อย่างเช่นรังสีเอกซ์และรังสีแกมม่าที่หากได้รับเป็นเวลานานๆ แล้วนั้นสามารถที่จะก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ ซึ่งคลื่นที่ใช้ในเครือข่าย 5G นั้นไม่ได้มีสเปกตรัมแสงใกล้เคียงกับคลื่นดังกล่าวเลยถึงแม้ว่ามันจะมีความถี่สูงมากก็ตาม

นักวิจัยจากหลายๆ มหาวิทยาลัยชื่อดังต่างออกมาให้ความเห็นว่าคลื่นความถี่สำหรับเครือข่าย 5G นั้นไม่ได้ส่งผลใดๆ ต่อการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพของมุนษย์เราเลยเนื่องจากว่ามันเป็นเพียงแค่คลื่นสั้นๆ ที่ไม่มีพลังงานมากพอที่จะสามารถทำให้สภาวะทางชีวภาพของมนุษย์สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้ นอกไปจากนั้นแล้วยังมีงานวิจัยที่ถูกรองรับโดยทางสถาบันการประชุมทางวิชาการชื่อดังอย่าง IEEE ให้การสนับสนุนเรื่องดังกล้าวนี้อีกมากมายโดยงานวิจัยที่ศึกษาแล้วผ่านการรับรองว่าคลื่นเครือข่าย 5G ไม่เป็นอันตรายนั้นก็มีมากกว่า 1,300 งานวิจัยเลยทีเดียว

จนถึง ณ ปัจจุบันนี้นั้นยังคงไม่มีงานวิจัยไหนที่สามารถรองรับได้อย่างเป็นทางการว่าคลื่นเครือข่ายไม่ว่าจะเป็นยุคใดก็ตามสร้างผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ใช้งานโดยตรง(โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งที่หลายๆ คนกลัวกัน) ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าในความเป็นจริงแล้วนั้นคลื่นความถี่สำหรับสัญญาณมือถือถึงแม้จะมีความถี่สูงมากแต่ก็ไม่ได้มีพลังงานมาก ที่มันทำได้นั้นอย่างมากก็แค่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าอุณหภูมิของตัวเองเพิ่มขึ้นซึ่งงานวิจัยได้เผยว่าอุณหภูมที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่ถึง 1 องศาเซลเซียสด้วยซ้ำไป

อีกจุดหนึ่งที่ทำให้เราไม่ต้องกังวลไปนั้นก็คือทาง FCC ได้มีการตั้งขีดจำกัดของหลังงานที่อุปกรณ์มือถือจะสามารถรับได้จากคลื่นเครือข่ายต่างๆ เอาไว้แล้วด้วยอีกต่างหากว่าไม่ให้สูงมากพอที่จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาทีหลังได้ ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ตามทว่าด้วยการพูดกันแบบปากต่อปากมาอย่างยาวนานว่าคลื่นมือถือสามารถที่จะก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้นั้นก็ยังคงอยู่ถึงแม่ว่าจริงๆ แล้วทาง WHO เองก็เคยได้ออกมาบอกแล้วด้วยซ้ำว่ามันไม่มีปัญหา

ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วก็ยังคงมีการศึกษากันอย่างกว้างขวางในเรื่องของผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์จากคลื่นมือถือนี้ ทว่าตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมานั้นก็ยังคงไม่มีงานวิจัยใดสามารถที่จะรองรับได้อย่างจริงจังว่าคลื่นมือถือนั้นก็ให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์จริงๆ โดยผลการทดสอบในงานวิจัยหลายๆ งานนั้นต่างก็ออกมาตรงกันว่ามันทำได้อย่างมากก็แค่เพิ่มอุณหภูมิให้กับร่างกายผู้ใช้ในระดับที่ไม่เกิน 1 องศาเซลเซียสเท่านั้น ดังนั้นแล้วนี่จึงเป็นข้อยืนยันได้อย่างหนึ่งว่าเครือข่ายสัญญาณมือถือ 5G จะไม่ได้สร้างปัญหากับผู้ใช้อย่างแน่นอน

สำหรับเมืองไทยเราเองนั้นเรื่องดังกลาวนี้อาจจะไม่ได้เป็นที่ให้ความสนใจกันมากเท่าไรนัก ทว่ามันก็ยังคงมีข่าวออกมาต่อต้านเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น FW mail ในสมัยก่อนจนกระทั่งการแชร์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นขอให้ทุกท่านไว้วางใจได้ว่าคลื่นมือถือจะไม่ก่อให้เกิดปัญหากับสุขภาพของท่านๆ อย่างแน่นอนแต่จุดที่จะเป็นปัญหานั้นก็คงอยู่ที่นับวันในโลกเรานี้กลายเป็นสังคมก้มหน้ากันมากขึ้น ดังนั้นแล้วหากมีเวลาก็วางมือถือในมือของท่านแล้วใส่ใจกับคนรอบข้างด้วยวิธีการอื่นๆ จะดีกว่า

ที่มา : wired

from:https://notebookspec.com/worried-about-5gs-health-effects-dont-be/505487/

Tech 2019 – สุขภาพแนวใหม่เข้าใจนักดื่ม …. เบียร์วันละแก้วอาจช่วยให้คุณไกลจากหมอ

จริงๆ แล้วนั้นจะว่าไปเราๆ ท่านๆ ก็น่าจะเคยได้ยินกันมาแล้วว่าการดื่มแอลกอฮอลวันละนิดหน่อยนั้นช่วยทำให้สุขภาพของเราๆ ท่านๆ นั้นจะดีมากขึ้น อย่างไรก็ตามคำกล่าวนี้นั้นในอดีตดูเหมือนจะไม่ได้มีการรองรับทางการแพทย์มากสักเท่าไรนัก(นอกเหนือไปจากไวน์) ทว่าล่าสุดจากการศึกษามาอย่างยาวนานหลายปีของนักวิจัยนาม Eric Claassen จาก University of Amsterdam ได้มีการเผยออกมาว่าการดื่มเบียอย่างเป็นประจำนั้นจะช่วยทำให้สุขภาพของคุณดีขึ้นจนไม่มีความจำเป็นต้องไปหาหมอให้ไม่สบายใจอีกต่อไป(หากไม่ได้เป็นโรคอื่นๆ ที่ร้ายแรง)

คุณ Eric ได้เผยไว้ในงานวิจัยว่าการดื่มเบียร์วันละหนึ่งแก้วนั้น(ไม่ว่าจะเป็นเบียร์อ่อนหรือเบียร์แรง) จะช่วยให้สุขภาพของคุณนั้นดีกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเบียร์ที่ผ่านกระบวนการหมักมาอย่างยาวนาน(หรือเบียร์แรง) นั้นจะยิ่งดีมากขึ้นเนื่องจากเบียร์ต่างๆ นั้นจะผ่านการหมักถึง 2 ครั้งเป็นอย่างน้อยเพื่อเป็นการกำจัดน้ำตาลที่อยู่ในข้าวที่ใช้ในการหมัก แถมในกระบวนการหมักขั้นที่ 2 ที่ต้องมีการใช้ยีสต์ช่วยนั้นยังจะมีการเพิ่มกรดที่ยีสต์เป็นผู้ผลิตออกมาในตัวเบียร์อีกซึ่งเจ้ากรดนี้เองนั้นมีประโยชน์ในการที่จะเข้าไปฆ่าแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดอาการป่วยหลายๆ ชนิดในลำไส้ของคุณได้

แต่อย่าพึ่งได้ใจว่าการดื่มเบียร์แรงนั้นจะดีต่อร่างกายคุณเสมอไปเพราะทางคุณ Eric ได้บอกเอาไว้ในงานวิจัยว่าหากคุณดื่มเบียร์(แรง) แบบกระหน่ำมากกว่า 1 แก้วแล้วนั้นนอกเหนือไปจากกรดที่มากจนเกินไปที่คุณจะได้รับจนไปทำให้มันไปกัดอวัยวะอื่นๆ อย่างเช่นกระเพาะของคุณทะลุได้แล้ว เบียร์(แรง) ยังคงเป็นอันตรายต่อตับซึ่งเป็นอวัยวะที่จะต้องทำหน้าที่ในการขับแอลกอฮอลออกจากร่าวกายของคุณอยู่ดี

ซึ่งหากคุณดื่มเบียร์(แรง) มากเกินไปในแต่ละวันแล้วนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าตับของคุณจะเสียขึ้นมาจนเป็นตับแข็งหรืออาจจะหนักกว่านั้นคือมะเร็งตับหรือหากดื่มครั้งเดียวมากๆ แล้วนั้นอาจจะทำให้คุณถึงขั้นตับวายจนต้องไปหาแพทย์ก่อนกำหนดก็เป็นได้

ทั้งนี้สำหรับผู้ที่ไม่ได้ดื่มแอลกอฮอลนั้นก็ใช่ว่าตัวคุณจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองมาทำการดื่มเบียร์วันละแก้วแต่อย่างใดเพราะทางคุณ Eric นั้นได้บอกเอาไว้ว่าอาหารอื่นๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้นก็มีผลในการช่วยกำจัดแบคทีเรียในลำไส้ด้วยเช่นเเดียวกันไม่ว่าจะเป็นกิมจิ, โยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวที่ได้จากการหมักก็ให้ผลดีเช่นเดียวกันทว่าผู้ที่เป็นโรคแพ้น้ำตาลแลคโตสนั้นอาจจะไม่สามารถทำการทานอาหารดังกล่าวนี้ได้ ดังนั้นการดื่มเบียร์(แรง) นั้นก็ถือได้ว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน(แต่ควรดื่มวันละแก้วตามคำแนะนำเท่านั้น)

ที่มา : interestingengineering

from:https://notebookspec.com/a-strong-beer-a-day-keeps-the-doctor-away-may-be-the-new-health-kick/504643/

Toyota – กำลังพัฒนารถยนต์นวัตกรรมใหม่ที่วิ่งได้ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ … วิ่งได้ตลอดไม่ง้อการชาร์จอีกต่อไป

ถึงแม้ว่ารถยนต์ที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการขับเคลื่อนนั้นอาจจะฟังดูเป็นไปไม่ได้มากไปหน่อย ทว่าก็ไม่เหนือความสามารถของมนุษย์เราที่ในสักวันหนึ่งจะสามารผลิตรถยนต์ในรูปแบบดังกล่าวนี้นั้นขึ้นมาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการประกาศร่วมงานของทาง Toyota, Sharp, และ NEDO (New Energy and Industrial Technology Development Organization of Japan) ที่จะทำให้การผลิตรถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์ที่ไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงอย่างอื่นเป็นจริงขึ้นมา

คุณ Koji Makino ผู้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการโครงการของทาง Toyota นั้นได้บอกกับทาง Bloomberg เอาไว้ว่าข้อดีของรถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์ก็คือการที่มันสมารถที่จะขับเคลื่อนได้โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องเติมเชื้อเพลงจะช่วยให้ผู้ขับขี่นั้นมีอิสระมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งนั้นถือได้ว่าเป็นการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นจากรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพราะมันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าปั้มเพื่อชาร์จไฟฟ้าหรือเติมน้ำมันอีกต่อไป แถมนั่นทำให้ยังเป็นการประหยัดพื้นที่และงบประมาณในการตั้งสถานีเติมเชื้อเพลงไปอีกด้วย

อย่างไรก็ตามเพื่อให้การขับขี่รถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์สามารถที่จะทำได้ทั้งกลางวันและกลางคืนนั้น สิ่งหนึ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือแบตเตอรี่สำหรับจัดเก็บพลังงานที่ต้องมีขนาดใหญ่มากพอซึ่งนั่นถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายทาง Toyata และผู้ร่วมพัฒนาเป็นอย่างยิ่งที่จะทำการออกแบบตัวรถยนต์ให้สามารถที่จะรองรับการขับขี่ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืนได้

ทั้งนี่ ณ ปัจจุบันการพัฒนารถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์นั้นถือว่าเป็นก้าวเริ่มต้นแรกๆ ในการพยายามที่จะร่วมนำเอาพลังงานแสงอาทิตย์มาไว้บนยานพาหนะที่สามารถใช้งานได้อย่างจริงจัง ปัญหาที่ทาง Toyata จะต้องทำการแก้ไขให้ได้เพื่อที่จะสามารถทำการพัฒนารถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นจริงได้นั้นก็คือเรื่องของน้ำหนักของเซลล์รับพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะไปเพิ่มน้ำหนักให้กับตัวรถยนต์เป็นอย่างมากจนอาจจะทำให้ความเร็วในการขับเคลื่อนนั้นน้อยกว่ารถยนต์ที่ใช้พลังงานในรูปแบบอื่นๆ

ด้วยการนี้นั้นทาง Toyota เองจึงได้มีการร่วมกับคู่ข้าที่จะพัฒนาเซลล์รับพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีความหนาเพียงแค่ 0.03 mm ซึ่งสามารถที่จะวางไว้บนตัวรถยนต์ได้ในทุกๆ ด้านรวมถึงส่วนที่เป็นช่วงโค้งบนบริเวณหลังคารถยนต์, กระโปรงหน้ารถและส่วนกระโปงหลังของตัวรถยนต์ ทว่านั่นก็ไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่มากนักเพราะปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นก็คือการทำให้ตัวรถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์นั้นสามารถที่จะทำการชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอรี่ได้ในขณะเดียวกันกับที่กำลังมีการขับเคลื่อนอยู่มากซึ่งถือว่าในปัจจุบันนั้นยังคงไม่สามารถที่จะทำการพัฒนาในจุดดังกล่าวนี้ได้

อ้างอิงจากตัวแทนของทาง NEDO อย่างคุณ Mitsuhiro Yamazaki แล้วนั้นพบว่าขณะนี้รถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์รุ่นทดสอบสามารถที่จะวิ่งได้ยยาวนานถึง 4 วันที่ระยะทางไม่เกิน 50 กิโลเมตรโดยที่ไม่จำเป็นจะต้องทำการชาร์จพลังงานเพิ่มแต่อย่างใด

เพื่อทำให้รถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์สามารถที่จะใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันนั้นถือว่ายังต้องมีการพัฒนาอีกเป็นอย่างมาก รวมทั้งต้องคำนึงถึงการใช้งานรถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศที่มีแสงน้อยไม่มากเหมือนกับในทะเลทรายด้วยอีกต่างหาก ดังนั้นแล้วนี่อาจจะไม่ได้เป็นเทคโนโลยีที่เราจะสามารถเห็นกันได้ในทศวรรษนี้ โดยทางคุณ Takeshi Miyao นักวิเคราะห์ด้านเทคโนโลยีของรถยนต์ได้บอกกันทาง Bloomberg เอาไว้ว่ากว่าที่เราจะได้เห็นรถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์ที่สามารถใช้งานได้จริงนั้นน่าจะต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนาอีกยาวนาน

ที่มา : businessinsider

from:https://notebookspec.com/toyota-is-working-on-innovating-a-solar-powered-electric-car-that-can-run-forever-and-never-needs-charging/503964/

Tech 2019 – Toshiba เปิดตัวเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่สามารถตรวจสอบโรคมะเร็งพร้อมแยกชนิดได้ถึง 13 ชนิดโดยจากเลือดเพียงหยดเดียว

ใช่ว่าบริษัททางด้านเทคโนโลยีใหญ่ๆ นั้นจะมีผลิตภัณฑ์เฉพาะในส่วนของเครื่องคอมพิวเตอร์ อย่างเช่นทางบริษัท Toshiba เองนั้นก็มีแผนกที่พัฒนาเทคโนโลยีทางด้านการแพทย์โดยเฉพาะเช่นเดียวกัน ล่าสุดนั้นทาง Toshiba เองได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทางด้านการแพทย์ใหม่ที่น่าสนใจเป็นอย่างมากและถือได้ว่ามันน่าจะเป็นการปฎิวัติวงการการแพทย์ได้เป็นอย่างดีเพราะเทคโนโลยีที่ทาง Toshiba เปิดตัวออกมานั้นก็คือผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการตรวจสอบโรคมะเร็งที่สามารถแยกชนิดได้(ทั้งหมด 13 ชนิด) โดยการใช้เลือดเพียงหยดเดียวเท่านั้นในการตรวจสอบ

อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะให้เทคโนโลยีใหม่นี้มีการรองรับทางการแพทย์ที่เหมาะสมทำให้ในขั้นตอนของการพัฒนานั้นทาง Toshiba ได้ร่วมงานกับทาง National Cancer Center Research Institute และ Tokyo Medical University ซึ่งผลของการทดสอบตัวเครื่องที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีนี้นั้นมีความแม่นยำที่สูงมากคืออยู่ที่ 99% เลยทีเดียว(ในห้องปฎิบัติการที่ทำการทดสอบ)

ทางคุณ Koji Hashimoto ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้านักวิทยาศาสตร์วิจัยที่ห้องปฏิบัติการวิจัยของ Toshiba นั้นได้เผยออกมาว่าด้วยเทคโนโลยีดังกล่าวนี้นั้นนอกจากที่มันจะมาพร้อมกับความแม่นยำที่มากกว่าวิธีการตรวจหามะเร็งในรูปแบบอื่นแล้วมันยังใช้เวลาและต้นทุนในการทดสอบที่น้อยกว่าเทคโนโลยีอื่นๆ อีกด้วย

สำหรับโรคมะเร็งทั้ง 13 ชนิดที่เทคโนโลยีดังกล่าวนี้สามารถทำการตรวจจับได้นั้นจะประกอบไปด้วย gastric, esophageal, lung, liver, biliary tract, pancreatic, bowel, ovarian, prostate, bladder and breast cancers, sarcoma และ glioma ซึ่งถือว่าเป็นชนิดมะเร็งหลักๆ ที่พบได้ในผู้ป่วยมะเร็งทั่วไป เวลาที่เทคโนโลยีนี้ใช้ในการตรวจสอบต้องบอกว่าเร็วมากๆ เพราะมันใช้เวลาในการตรวจสอบประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้นแถมต้นทุนในการตรวจสอบต่อครั้งก็อยู่ที่ $180 หรือประมาณ 5,440 บาทเท่านั้น

ทั้งนี้ทาง Toshiba ได้วางแผนที่จะนำเอาตัวเครื่องทดสอบนี้ไปทำการทดสอบในโรงพยาบาลจริงๆ ในช่วงปี 2020 ที่จะถึงนี้ เชื่อว่าเมื่อมีการรองรับอย่างเป็นทางการแล้วว่าเทคโนโลยีนี้สามารถใช้งานได้จริงมันน่าจะช่วยชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งได้เป็นจำนวนมากเลยทีเดียว

ที่มา : interestingengineering

from:https://notebookspec.com/toshibas-newly-developed-technology-can-detect-13-cancers-with-one-drop-of-blood/503401/

Tech 2019 – Cerebras CS-1 คอมพิวเตอร์มหาเทพที่มาพร้อมกับหน่วยประมวลผล 400,000 แกน เน้นงาน AI

ในปัจจุบันนี้ที่ระบบปัญญาประดิษฐ์มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญที่สุดเลยนั้นเพื่อที่จะทำให้ปัญญาประดิษฐ์มาพร้อมกับความฉลาดแบบสุดๆ นั้นจำเป็นที่จะต้องใช้การประมวลผลของหน่วยประมวลผลอย่างมาก เพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าวนี้นั้นทาง Cerebras Systems จึงได้ออกมาทำการเปิดตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ระดับเทพในชื่อรุ่น Cerebras CS-1 ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อที่จะเอาไว้ใช้ในการประมวลผลของปัญญาประดิษฐ์โดยเฉพาะ

ถ้ามนุษย์มีสมองไว้ใช้ในการประมวลผล ระบบ AI นั้นก็มีหน่วยประมวลผลเอาไว้ใช้ในการประมวลเช่นเดียวกัน เพื่อที่จะให้ปัญญาประดิษฐ์นั้นสามารถประมวลผลได้เร็วและถูกต้องมากขึ้น Cerebras CS-1 นั้นจึงมาพร้อมกับหน่วยประมวลผลที่มีแกนการประมวลผลมากถึง 400,000 แกน เรียกได้ว่าบนเครื่องคอมพิวเตอร์เล็กๆ อย่าง Cerebras CS-1 ที่มีความสูงเพียง 26 นิ้วนั้นเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ก้าวไปไกลกว่าคอมพิวเตอร์แบบธรรมดาที่เราๆ ท่านๆ ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นด้วยความที่มันเกิดขึ้นมาเพื่อใช้งานในด้านการประมวลผลปัญญาประดิษฐ์โดยเฉพาะนั้นทำให้มันไม่สามารถที่จะเอามาเล่นเกมหรือใช้งานตามปกติได้เหมือนคอมพิวเตอร์ทั่วไป ณ ปัจจุบันนี้นั้น Cerebras CS-1 ได้ถูกนำไปใช้ที่ Argonne National Laboratory ซึ่งงานที่เจ้า Cerebras CS-1 รับผิดชอบอยู่นั้นก็น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากว่าในปัจจุบันนั้นมันกำลังประมวลผลเพื่อพัฒนาทางด้านการแพทย์อย่างการตรวจสอบอาการบาดเจ็บของสมองมนุษย์และยังมีการประมวลผลเพื่อพัฒนางานจิจัยทางด้านอวกาศอย่างการประมวลผลด้านการเกิดหลุมดำอีกด้วย

Cerebras CS-1 นั้นมาพร้อมกับหน่วยประมวลผลที่มีชื่อว่า Wafer Scale Engine (WSE) ซึ่งภายใน WSE นั้นประกอบไปด้วยทรานซิตเตอร์กว่าล้านล้านตัว ทำให้หากมองโดยรวมแล้วนั้น WSE จะมีขนาดที่ใหญ่มากกว่าหน่วยประมวลผลของทั้งทาง AMD และ Intel อยู่หลายเท่าด้วยขนาด 46,225 ตารางมิลลิเมตร อย่างไรก็ตามด้วยขนาดที่ใหญ่ของตัวหน่วยประมวลผล WSE นั้นทำให้มันสามารถมาพร้อมกับหน่วยความจำในตัวมากถึง 18 GB(SRAM) ซึ่งตัวแกนการประมวลผลทั้ง 400,000 แกนนั้นจะสามารถรับข้อมูลจาก SRAM ได้ที่ระดับ Petabits/s

ที่มา : wccftech

from:https://notebookspec.com/the-cerebras-cs-1-is-a-computer-that-houses-a-400000-core-processor/503503/

Tech 2019 – Segway เปิดตัว eBike รถจักรยานแบบไฮบริดสำหรับขาลุยสุดคูล ราคาเริ่ม 90,000 บาท

Segway นั้นถือได้ว่าเป็นผู้ผลิตจักรยานสำหรับขาลุยที่มีชื่อเสียงบริษัทหนึ่ง โดยล่าสุดนั้นทาง Segway ก็ได้ออกมาทำการเปิดตัว eBike ของตัวเองรุ่นแรกในชื่อรุ่น X160 และ X260 ซึ่งจักรยานทั้ง 2 รุ่นดังกล่าวนั้นจะมาในรูปแบบไฮบริดที่ผู้ใช้สามารถสลับไปมาระหว่างการใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อปั่นมอเตอร์หรือจะทำการขี่เองก็ได้ตามสะดวก โดยถึงแม้ว่าจะเป็นจักรบานแบบไฮบริดทว่าตัวถังของจักรยานทั้ง 2 รุ่นนั้นก็มีความบางและเบาทำให้ผู้ขี่ยังคงสามารถรู้สึกสบายเมื่อทำการขี่

ตัวจักรยานทั้ง 2 รุ่นนั้นจะมาพร้อมกับล้อที่มีความหนาเพียง 1 นิ้ว โดยทั้ง 2 รุ่นนั้นจะมีข้อแตกต่างกันตรงที่แบตเตอรี่ดังนี้

  • รุ่น X160 จะมาพร้อมกับแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานได้ยาวนาน 65 กิโลเมตรต่อเนื่องโดยความเร็วสูงสุดนั้นจะอยู่ที่ 50 km/hr
  • รุ่น X260 จะมาพร้อมกับแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานได้ยาวนาน 120 กิโลเมตรต่อเนื่องโดยความเร็วสูงสุดนั้นจะอยู่ที่ 75 km/hr

ทาง Segway จะพร้อมวางจำหน่ายจักรยานทั้ง 2 รุ่นภายในปี 2020 ที่จะถึงนี้ สนนราคานั้นรุ่น X160 จะอยู่ที่ $3,000 หรือประมาณ 90,000 บาท ส่วนรุ่น X260 จะอยู่ที่ $4,500 หรือประมาณ 136,000 บาท

ที่มา : tweaktown

from:https://notebookspec.com/segways-first-ebikes-only-travel-40-74-miles-but-are-30004500/501547/

EV Car – รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสามารถทำยอดขายใน EU ได้ดีเฉพาะแค่เฉพาะในประเทศที่มีจำนวนคนรวยมากๆ เท่านั้น

เชื่อว่าหลายๆ ท่านน่าจะคิดเหมือนๆ กันครับว่าในประเทศทางโซนยุโรปหรืออเมริกานั้นรถยนต์พลังงานสะอาดหรือในที่นี้ก็คือรถยนต์พลังงานไฟฟ้าน่าจะได้รับความนิยมเป็นอย่างมากโดยเฉพาะกับประเทศที่เน้นเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ทว่าในความเป็นจริงแล้วนั้นจากการสำรวจล่าสุดพบว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น โดยทาง European Automobile Manufacturers’ Association(ACEA) ได้มีการเผยข้อมูลออกมาว่า ในบรรดา 28 ประเทศที่อยู่ใน EU นั้นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสามารถทำยอดขายได้ดีเฉพาะในประเทศที่มีคนรวยอยู่มากเท่านั้น

จากการสำรวจยอดจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของทาง ACEA นั้นพบว่าในปี 2018 ที่ผ่านมานั้นรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามียอดจำหน่ายสูงขึ้นกว่าเดิมจากในปี 2017 อยู่ที่ราวๆ 2% ซึ่งเมื่อดูข้อมูลแล้วนั้นจะพบว่าประเทศที่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสามารถที่จะจำหน่ายได้มากๆ นั้นจะเป็นประเทศที่ GDP หรือ Gross Domestic Products ต่อประชากรสูงมากดังเช่นตัวอย่างดังต่อไปนี้

  • Sweden มี GDP ต่อหัวอยู่ที่ 47,900 euros โดยรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสามารถที่จะทำยอดส่วนแบ่งในตลาดไปได้ 8.0%
  • Netherlands มี GDP ต่อหัวอยู่ที่ 46,600 euros โดยรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสามารถที่จะทำยอดส่วนแบ่งในตลาดไปได้ 6.7%
  • Finland มี GDP ต่อหัวอยู่ที่ 42,200 euros โดยรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสามารถที่จะทำยอดส่วนแบ่งในตลาดไปได้ 4.7%

ยอดดังกล่าวนั้นจะตกลงมาเรื่อยๆ เช่น Belgians มี GDP ต่อหัวอยู่ที่ 39,600 euros โดยรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสามารถที่จะทำยอดส่วนแบ่งในตลาดไปได้ 2.4%, Germany รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสามารถที่จะทำยอดส่วนแบ่งในตลาดไปได้ 2.0%, UK รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสามารถที่จะทำยอดส่วนแบ่งในตลาดไปได้ 2.5% และ France รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสามารถที่จะทำยอดส่วนแบ่งในตลาดไปได้ 2.1% ซึ่งจากอัตราดังกล่าวนั้นจะเห็นได้ว่าถึงแม้ประเทศใหญ่ๆ จะใช้กฎหมายการเก็บภาษีค่ารถยนต์ตามมลพิษที่ปล่อยออกมานั้นบางแล้วก็ไม่ได้ช่วยกระตุ้นตลาดมากเท่าไรนักหากผู้ใช้งานไม่มีความพร้อมครับ

แต่หากจะว่าไปแล้วการเรียกเก็บภาษีรถยนต์ตามมลพิษที่ปล่อยออกมานั้นก็ใช่ว่าจะกระตุ้นได้มากครับ โดยในประเทศที่มีน้ำมันจำนวนมากและประชากรค่อนข้างรวยคือมี GDP สูงถึง 73,200 euros ทว่ากลายเป็นว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ปล่อยมลพิษน้อยกลับไม่ได้รับความนิยมมากเท่าไรนัก งานนี้ก็คงต้องย้อมกลับมาดูเมืองไทยเรากันครับว่าหลังจากที่เริ่มใช้กฎหมายเรียกเก็บภาษีการซื้อรถเป็นเก็บเพิ่มขึ้นตามเปอร์เซ็นต์การปล่อยมลพิษออกมาซึ่งจะเริ่มต้นตั้งแต่ 1 มกราคม 2020 นี้เป็นต้นไปจะสามารถเพิ่มยอดส่วนแบ่งรถยนต์พลังงานสะอาดได้มากน้อยเพียงใด

ที่มา : brusselstimes

from:https://notebookspec.com/electric-cars-only-booming-in-the-richest-eu-countries/500107/