คลังเก็บป้ายกำกับ: SMART_DEVICE

รู้จักแหวนแต่งงาน Smart Ring สุดโรแมนติก เชื่อมต่อด้วยบลูทูธ ให้ทั้งคู่ฟังเสียงเต้นของหัวใจของอีกฝ่ายได้

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามาแทรกซึมอยู่ในทุกมิติของชีวิตแบบนี้ มีสมาร์ทโฟนแล้ว สมาร์ทวอร์ชก็มีแล้ว ทำไมจะมีสมาร์ทริงบ้างไม่ได้เมื่ออยากใช้เทคโนโลยีแต่ยังอยากรักษาธรรมเนียมเดิมไว้

แทนที่จะใช้แหวนแต่งงานที่ทำจากทองหรือเพชรที่มักใช้กันโดยทั่วไป Jiri Vedral และ Ondrej Vedal คู่รักชาวเช็กเลือกที่จะใช้แหวนอิเล็กทรอนิกส์อย่างสมาร์ทริง (Smart Ring) ที่สามารถทำงานได้ด้วยการเชื่อมต่อผ่านบลูทูธ สามารถดูอัตราการเต้นของหัวใจ แถมจ่ายเงินออนไลน์และชาร์จแบตเตอรี่ได้แบบสมาร์ทวอร์ช

จุดเด่นที่สำคัญของแหวนแต่งงานของครอบครัว Vedral คือ การเพิ่มความโรแมนติกขึ้นอีกด้วยการที่ทั้งคู่สามารถรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจอีกฝ่ายได้ผ่านแหวน โดยแหวนทั้ง 2 วงเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน และภายในแอป สามารถเชื่อมต่อแหวนทั้งคู่เข้าด้วยกันได้ เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกดที่แหวน แหวนทั้ง 2 วงจะเต้นเป็นจังหวะการเต้นของหัวใจของฝ่ายตรงข้ามพร้อมแสดงแถบเคลื่อนไหวสีแดงตามการเต้นของหัวใจ

แหวนนี้มีชื่อว่า HB Ring คิดค้นขึ้นโดยบริษัทสัญชาติเช็กที่มีชื่อว่า The Touch แหวนในลักษณะนี้วางขายแบบจำกัดจำนวนมาตั้งแต่ปี 2016 แต่บริษัทนำกลับมาอีกครั้งเพราะสมาร์ทริงเริ่มได้รับความสนใจขึ้นทั่วโลก โดยรายงานเผยว่า มียอดขายทั่วโลกเพิ่มขึ้น 21% ต่อปี

The Touch ยังได้เปิดตัวสินค้าใหม่เป็นสร้อยคอที่ใช้เทคโนโลยีการทำงานแบบเดียวกับ HB Ring ด้วยโดยใช้ชื่อว่า The Touch Locket

The Touch Locket

บริษัทเปิดเผยว่ากลุ่มเป้าหมายของ HB Ring เป็นกลุ่มคู่หมั้นที่อาจจะชื่นชอบแนวคิดที่จะได้ยินเสียงเต้นของหัวใจของคนรักแต่ก็ยังไม่ต้องการละทิ้งธรรมเนียมการสวมแหวนแต่งงานที่เป็นธรรมเนียมดั้งเดิม

Zoe Burke หัวหน้าบรรณาธิการของ Hitched.co.uk เว็บไซต์วางแผนการแต่งงานของสหราชอาณาจักรเผยว่าเทรนด์การใช้เทคโนโลยีในการแต่งงานกำลังเติบโตขึ้นเนื่องจากคนใช้ชีวิตโดยพึ่งพาสมาร์ทโฟนมากขึ้น อย่างเช่น การใช้โดรนถ่ายรูปภายในงาน การใช้เทคโนโลยีช่วงจัดการงบประมาณและจัดการที่นั่ง

1 ใน 3 ของคู่รักในสหราชอาณาจักรเผยว่า พวกเขาใช้ WhatsApp เพื่อเชิญชวนแขกมางานแต่งงาน รวมทั้ง 60% ประกาศการหมั้นผ่านทางโซเชียลมีเดีย

นอกจากนี้ บางคนยังใช้ AI ในการเขียนคำกล่าวภายในงาน อย่าง Joy เว็บไซต์วางแผนการแต่งงานในสหรัฐอเมริกาก็ได้เปิดตัวเครื่องมือช่วยในการเขียนชื่อว่า “Wedding Writer’s Block Assistant” ที่ตั้งต้นมาจาก ChatGPT โดยบริษัทเผยว่ามีจุดประสงค์เพื่อช่วยให้คนสามารถเขียนความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้ง่ายขึ้น

ในยุคที่ค่าครองชีพแพงขึ้นเพราะเงินเฟ้อ เทคโนโลยีช่วยให้ผู้คนสามารถประหยัดเงินในการจัดงานแต่งงานได้ อย่างเช่นการส่งการ์ดเชิญผ่านทางออนไลน์ ซึ่งส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมที่คนเริ่มหันมาตระหนักกันด้วย ทั้งนี้ ผู้จัดงานแต่งงานก็จะต้องดูแลแขกที่ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและรักษาธรรมเนียมปฏิบัติดั้งเดิมบางอย่างไว้ด้วย

ที่มา – BBC, The Touch

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post รู้จักแหวนแต่งงาน Smart Ring สุดโรแมนติก เชื่อมต่อด้วยบลูทูธ ให้ทั้งคู่ฟังเสียงเต้นของหัวใจของอีกฝ่ายได้ first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/smart-ring-by-the-touch/

หัวเว่ยเตรียมประกาศความยิ่งใหญ่กับงาน HUAWEI APAC Smart Office Launch 2022 ยกขบวนดีไวซ์พลิกโฉมการทำงานและไลฟ์สไตล์สู่โหมดอัจฉริยะ 27 กรกฎาคม 2565 นี้!

หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป (ประเทศไทย) เปิดเกมรุกตลาดครึ่งปีหลังกับงานระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกกับ HUAWEI APAC Smart Office Launch 2022 เปิดตัวกลุ่มอุปกรณ์ครบจบอีโคซิสเต็มในตลาดประเทศไทย

ตั้งแต่ HUAWEI MateBook 16s ปลดล็อคทุกความสร้างสรรค์ บนหน้าจอใหญ่ 16 นิ้ว ตอบโจทย์การใช้งานอย่างมืออาชีพ HUAWEI MateBook D 16 อัปเกรดทุกประสิทธิภาพ หน้าจอใหญ่ 16 นิ้ว บางเบาแต่ทรงพลัง ปิดท้ายด้วย HUAWEI FreeBuds Pro 2 เข้าถึงคุณภาพเสียงทรงพลังผ่านลำโพงคู่ที่พัฒนาร่วมกับ Devialet พร้อมระบบลดเสียงรบกวนรอบข้างสูงสุด 47 เดซิเบล

นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เรือธงทั้งพีซีและแท็บเล็ตอีกด้วย เตรียมรับคลื่นดีไวซ์ครั้งใหญ่กับไลน์อัปมากมายจากหัวเว่ยที่จะประกาศในงานครั้งนี้ พบกับวันพุธที่ 27 กรกฎาคม 2565 เวลา 14:30 น. เป็นต้นไป ณ ฮอลล์ EH98 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค – BITEC บางนา หรือรับชมผ่าน Livestream พร้อมกันในเฟซบุ๊กแฟนเพจ HUAWEI Mobile TH เวลา 18.00 เป็นต้นไป

งานนี้หัวเว่ยจัดเต็มพาเหรดผลิตภัณฑ์มากมาย นำทีมโดยตระกูลแล็ปท็อปที่ขนมาตั้งแต่รุ่นเล็กไปจนถึงรุ่นใหญ่ ประกอบไปด้วย

  • HUAWEI MateBook 16s ปลดล็อคทุกความสร้างสรรค์ บนหน้าจอใหญ่ 16 นิ้ว ตอบโจทย์การใช้งานอย่างมืออาชีพ ลงตัวกับทุกงานออกแบบ ดีไซน์ หรือกราฟิกโปรดักชันด้วยหน้าจอทัชสกรีนความละเอียด 2.5K อัดแน่นด้วยขุมพลังจากชิปเซ็ตอัจฉริยะโปรเซสเซอร์ 12th Gen Intel® Core™ สะท้อนภาพสมจริงคมชัดทุกมิติ เชื่อมต่อการทำงานข้ามดีไวซ์ได้ผ่าน Super Device ตลอดจนสื่อสารตอบโต้กันทางไกลได้อย่างยอดเยี่ยมด้วย Smart Conference สอดรับเทรนด์การทำงานแบบ “Hybrid work” ยุคใหม่ ไม่ว่าจะทำงานที่ไหนก็สะดวกสบาย และเพิ่มประสิทธิภาพงานได้ดียิ่งกว่าที่เคย
  • HUAWEI MateBook D 16 รับมือทุกความท้าทายด้วยการอัปเกรดทุกประสิทธิภาพ มาพร้อมหน้าจอใหญ่ 16 นิ้ว บางเบาแต่ทรงพลัง พกพาง่ายด้วยน้ำหนักเบาเพียง 1.7 กิโลกรัม พร้อมความสามารถในการสร้างสรรค์การทำงานอันเป็นเลิศด้วยชิปเซ็ต 12th Gen Intel® Core™ อัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่อง 90% เห็นชัดทุกรายละเอียดในทุกสภาพแสง ประสานการทำงานได้อย่างอัจฉริยะผ่าน Super Device และการประชุมอัจฉริยะแบบ Smart Conference เปลี่ยนทุกพื้นที่ให้เป็นสมาร์ทออฟฟิศได้อย่างสะดวกสบายด้วยฟังก์ชัน Virtual Background, FollowCam และฟังก์ชัน Eye และอำนวยความสะดวกต่อการทำงานไปอีกขั้นด้วยแป้นพิมพ์ตัวเลขเต็มรูปแบบและคีย์ลัด ช่วยจัดการงานเอกสารให้ง่ายขึ้น
  • และเพื่อให้ครบจบอีโคซิสเต็มของหัวเว่ย การเปิดตัวในประเทศไทยครั้งนี้ ก็ยังมาพร้อมอุปกรณ์สวมใส่ยอดนิยมอย่าง HUAWEI FreeBuds Pro 2 เดินหน้าสู่มาตรฐานใหม่ของหูฟังไร้สายระดับเรือธงที่พัฒนาร่วมกับ Devialet เข้าถึงคุณภาพเสียงทรงพลังผ่านลำโพงคู่ Dual-Speaker True Sound ที่ประกอบด้วยไดนามิกไดรเวอร์ขนาด 11 มม. และ Planar diaphragm driver ผ่านการใช้เทคโนโลยี cross-over อันล้ำสมัย ที่พัฒนาซาวด์เอฟเฟ็คอัลกอริธึมขึ้นมาด้วยตัวเอง เพื่อประสานการทำงานระหว่าง 2 ไดรเวอร์ได้อย่างชาญฉลาด ส่งมอบประสบการณ์การฟังเพลงได้ครบทุกย่านเสียง นอกจากนี้ยังส่งมอบคุณภาพการระบบลดเสียงรบกวนรอบข้างสูงสุด 47 เดซิเบลด้วยเทคโนโลยี Intelligent Dynamic ANC 2.0 และยังมาพร้อมไมโครโฟนถึง 4 ตัว พร้อมระบบตัดเสียงรบกวนแบบไฮบริด ใช้งานได้นานสูงสุด 30 ชั่วโมง[1] ครั้งนี้มีให้เลือกด้วยกัน 3 สี ได้แก่ สีฟ้า Silver Blue, สีเงิน Silver Frost และสีขาว Ceramic White

ปักหมุดพร้อมตั้งแจ้งเตือนไว้ตั้งแต่วันนี้! จะได้ไม่พลาดงานเปิดตัวและประกาศราคาอย่างเป็นทางการระดับเอเชียแปซิฟิกที่ขนขบวนผลิตภัณฑ์มามากมายพร้อมเปิดตัวในไทย ผลิตภัณฑ์เรือธง พีซีและแท็บเล็ต รวมไปถึงจอมอนิเตอร์ HUAWEI MateView SE และเราเตอร์ HUAWEI AX3 Pro 

พร้อมข้อเสนอพิเศษมากมายในงาน HUAWEI APAC Smart Office Launch 2022 ณ ฮอลล์ EH98 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค – BITEC บางนา หรือรับชมภาพบรรยากาศงานไปพร้อมกันได้ผ่าน Livestream ในเฟซบุ๊กแฟนเพจ HUAWEI Mobile TH แล้วพบกันวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 เวลา 18:00 น. เป็นต้นไป

ติดตามอัปเดตข่าวสารล่าสุดก่อนใครได้ทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ HUAWEI Mobile TH

#SuperDeviceSuperCreativity #HUAWEISmartOffice

#HUAWEIMateBookD16 #บางเบาเต็มประสิทธิภาพ

#HUAWEIMateBook16s #หน้าจอใหญ่ใช้งานแบบมืออาชีพ

#HUAWEIFreeBudsPro2 #CoEngineeredwithDevialet

.fb-background-color {
background: #ffffff !important;
}
.fb_iframe_widget_fluid_desktop iframe {
width: 100% !important;
}

from:https://www.mobileocta.com/huawei-apac-smart-office-launch-2022/?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=huawei-apac-smart-office-launch-2022

Tips | หลับสบายด้วยเสียงฝนตก เสียงฟ้าร้อง เสียงคลื่นทะเล และอื่น ๆ แค่สั่งว่า Hey Google, Good Night!

ใครชอบนอนแล้วเปิดเสียงธรรมชาติจากมือถือประเภทเสียงชายหาด, เสียงฝนตก, เสียงฟ้าร้อง เสียงจิ้งหรีด ฟังไปด้วยบ้างยกมือขึ้นนนน…ปกติแล้วเราก็มักจะไปเปิดหาเสียงเหล่านี้จาก YouTube หรือ Spotify กันเพราะมันง่ายดีใช่มั้ยล่ะ แต่ถ้าใครอยากให้มันง่ายกว่านั้น เรามีวิธีตั้งค่าให้มือถือสามารถเล่นเสียงประเภทนี้ได้ทันที แค่ใช้คำสั่งว่า Hey Google, Good night เท่านั้นเอง!

ติดตั้ง Google Home ก่อน

เริ่มต้นถ้ามือถือของใครยังไม่มีแอป Google Home ก็ให้ไปดาวน์โหลดมาติดตั้งกันซะก่อนจาก Play Store นะครับ เนื่องจากเราต้องตั้งค่าผ่านแอปนี้นั่นเอง

วิธีตั้งค่า

เมื่อติดตั้งเรียบร้อยแล้วเข้ามาที่หน้าของ Google Home ก็จะเจอกับหน้าตาแบบนี้ ให้เรากดเลือกที่ Routines ซึ่งเป็นตัวเลือกสำหรับคำสั่งเสียงต่าง ๆ ที่เราสามารถพูดแค่ประเดียว จากนั้น Google Assistant ก็จะทำนู่นทำนี่ได้หลาย ๆ อย่างในครั้งเดียว ตามที่เราได้ตั้งค่าเอาไว้ครับ (หากหน้าจอนี้ของใครไม่มีตัวเลือก Routines ให้ลงไปดูวิธีแก้ด้านล่างครับ)


พอกดที่ Routines แล้วให้เลือกที่ Bedtime ก็จะเจอกับตัวเลือกแรกคือ How to start ก็คือคำสั่งที่เราจะใช้นั่นเอง โดยคำสั่งเริ่มต้นที่มีอยู่แล้วก็คือ Hey Google, Bedtime, Hey Google, Good night, Hey, Google Time to hit the hay และเราสามารถสร้างคำสั่งเสียงได้เองด้วย แต่ไม่รองรับคำสั่งภาษาไทยนะครับ


ส่วนตัวเลือกด้านล่าง This Routine will ก็คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราได้ใช้คำสั่งเสียงตามที่ตั้งเอาไว้ ในกรณีที่เรามี Smart Device ที่เชื่อมกับ Google Home ได้ก็จะมีทั้งคำสั่งปิดไฟ, ปิดปลั๊กไฟ (ตรงส่วนนี้ถ้าเราไม่มี Smart Device ก็ลบคำสั่งทิ้งได้ด้วยการเลือกที่เครื่องหมายดินสอทางด้านบนครับ) ปรับระดับเสียงของมือถือ และคำสั่งที่เราต้องการก็คือ Play sleep sounds ที่อยู่ด้านล่าง

Play sleep sounds เมื่อเรากดเข้าไป ก็จะมีตัวเลือกของเสียงให้เพียบเลยทั้ง Ocean (ทะเล), Nature (เสียงธรรมชาติ), Thunderstorm (ฟ้าคะนอง), Sleep (สุ่มเล่นเสียงในรายชื่อ) และอื่น ๆ อีกเพียบ แต่จะเสียอยู่อย่างเดียวคือเราไม่สามารถฟังตัวอย่างของเสียงที่เลือกได้จากตรงนั้น ต้องออกมาแล้วสั่งว่า Good night เพื่อให้มันเล่นเสียง Sleep sounds เอาเองครับ

เราสามารถปรับความดังของ Sleep sounds ได้จากตัวเลือก Adjust media volume ที่หน้า Bedtime ซึ่งมันจะเล่นเสียงในระดับที่เราตั้งเอาไว้ทุกครั้ง เมื่อเสร็จแล้วก็กด Done ออกมาได้เลย

ทีนี้พอถึงเวลานอนเมื่อไหร่ก็แค่ปิดไฟล้มตัวลงนอนแล้วพูดว่า OK Google, Good night ก็จะมีเสียงคลื่น เสียงฝน เสียงจิ้งหรีด ดังขึ้นมาขับกล่อมให้เราหลับกันได้สบาย ๆ เป็นเวลา 60 นาที จากนั้นเสียงจะหยุดเองโดยอัตโนมัติครับ

วิธีเปลี่ยน / เพิ่มภาษาให้กับ Google Assistant

สำหรับฟีเจอร์ Routines นี้ ต้องบอกก่อนเลยว่ามันยังไม่รองรับการสั่งเป็นภาษาไทยนะครับ หากว่ามือถือของใครที่ตั้งค่า Google Assistant เอาไว้เป็นภาษาไทยอย่างเดียว จะไม่มีตัวเลือก Routines ขึ้นมา ก็ให้ไปเพิ่มภาษาอังกฤษเข้ามาอีก 1 ภาษา ก็จะสามารถใช้ได้แล้ว เพียงเข้าไปที่หน้าแอป Google Home > กดตรงหน้า Profile ของเรา > Assistant Settings > Languages เลือกภาษา English ก็เรียบร้อยครับ




Routines ใน Google Home ยังมีความสามารถอื่น ๆ อีกเพียบ

จริงแล้วฟีเจอร์ Routines ใน Google Home ยังมีความสามารถที่น่าใช้อีกเยอะแยะเลยนะครับ ไม่ใช่จะมีแค่เอาไว้สั่งก่อนนอนเท่านั้น ยังมีคำสั่ง Good morning เพื่อบอกสภาพอากาศ และสภาพการจราจรของเส้นทางที่เราตั้งไว้, คำสั่ง I’m home เมื่อเราเดินทางถึงบ้านแล้ว และอื่น ๆ ซึ่งคำสั่งพวกนี้จะมีประโยชน์มาก ๆ หากในบ้านเรามี Smart Device อย่างเช่นหลอดไฟอัจฉริยะ, ปลั๊กไฟอัจฉริยะ, Android TV, Chromecast, เครื่องดูดฝุ่น ฯลฯ

ตัวอย่างเช่นเรากลับถึงบ้านแล้วบอกว่า Hey Google, I’m home หลอดไฟ, TV, พัดลม ก็จะเปิดโดยอัตโนมัติ ยังกับในหนัง Sci-Fi เลยล่ะ ซึ่งคาดว่าในอีกไม่กี่ปี Smart Device หลาย ๆ อย่างจะมีราคาที่ถูกลงและหาซื้อได้ง่ายกว่าเดิมจนหลาย ๆ คนน่าจะมีไว้ใช้กันได้ไม่ยากครับ

from:https://droidsans.com/hey-google-goonight-routine-setup/

Multifunctional Light 2 ไฟอัจฉริยะจาก Sony ให้แสงสว่าง, เสียงเพลง, เชื่อมกับ TV เพิ่มความกระหึ่ม หรือรักษาความปลอดภัยก็ได้

ทุกวันนี้หลอดไฟอัจฉริยะที่สามารถสั่งเปิด-ปิด หรี่แสง เปลี่ยนสี มีกันอยู่เยอะแยะหลายยี่ห้อไปหมด ซึ่งส่วนมากก็จะใช้ประโยชน์ได้แค่การให้แสงสว่างเท่านั้น แต่ถ้าใครที่อยากได้หลอดไฟอัจฉริยะที่มาพร้อมกับฟีเจอร์หลากหลายกว่านั้น ก็ต้องลองหันมาดูไฟเพดานอัจฉริยะจาก Sony ที่มาพร้อมกับความสามารถเพียบทั้งการให้แสงสว่างทั่วไป, เป็นได้ทั้งลำโพง แถมยังมากับเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวสำหรับรักษาความปลอดภัยในบ้านอีกด้วย

ไฟเพดานจาก Sony ตัวนี้ ดูเผินๆ มันก็แค่ไฟเพดานทั่วไปนี่แหละ แต่จริงๆ แล้วมันซ่อนความสามารถเจ๋งๆ เอาไว้เพียบ ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อกับผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Google Assistant หรือ Amazon Alexa เพื่อใช้ในการสั่งเปิด-ปิด หรือเปลี่ยนสี หรี่ไฟ ฯลฯ ด้วยคำสั่งเสียง

หรือจะสั่งงานให้เล่นเพลงออกมาจากลำโพงที่มีอยู่ในตัว ช่วยสร้างบรรยากาศให้เหมือนกับนั่งอยู่ในคาเฟ่ โดยเสียงจะถูกส่งออกมาจากทางด้านบนที่เราติดโคมไฟนี้ไว้ ทำให้เสียงกระจายออกไปรอบๆ ห้องแบบทั่วถึง ซึ่งเรายังสามารถใช้แอปจากมือถือในการตั้งค่าเสียงต่างๆ ได้เลย

และไม่ใช่ว่าจะใช้เล่นเพลงได้อย่างเดียว แต่มันยังเชื่อมต่อกับ Smart TV ที่รองรับ เพื่อเล่นเสียงออกมาจากลำโพงที่ตัวโคมไฟได้ด้วย ทำให้เราได้ยินเสียงจากทางด้านบนเพิ่มความกระหึ่ม และเพิ่มมิติให้กับการดูหนัง หรือเล่นเกมมากขึ้นไปอีกขั้น

ผู้ใช้งานยังสามารถใช้ไฟเพดานตัวนี้เป็นอินเตอร์คอมในบ้าน สำหรับส่งเสียงจากมือถือไปออกที่ตัวโคมไฟได้อีกต่างหาก เหมาะมากสำหรับการเรียกคนในบ้านมากินข้าว เรียกให้เตรียมตัวออกจากบ้านกันได้แล้ว หรือจะเรียกมาทำอะไรก็แล้วแต่

นอกจากนี้มันยังมีเซ็นเซอร์มากมายติดมาให้ ไม่ว่าจะเป็นเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว ทำให้เราสามารถตั้งค่าให้ไฟเพดานตัวนี้คอยสอดส่องในขณะที่เราไม่อยู่บ้าน หากพบการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นเมื่อไหร่มันก็จะส่งการแจ้งเตือนมาที่มือถือของเราทันที

และยังมีเซ็นเซอร์สำหรับตรวจวัดความชื้นในห้อง, เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิในห้อง และยังวัดระดับแสงสว่างในห้องได้อีกด้วย

ไฟเพดานอัจฉริยะตัวนี้มาพร้อมกับรีโมทคอนโทรล Smart Controller สารพัดประโยชน์ที่ควบคุมได้ทั้งไฟเพดาน, ระดับเสียงลำโพง, ควบคุมการเล่นเพลง, ควบคุมสมาร์ททีวี หรือเครื่องปรับอากาศได้อีกด้วย (อุปกรณที่จะใช้ควบคุมต้องรองรับการใช้งานกับรีโมท)

ไฟเพดานอัจฉริยะจาก Sony มีราคาอยู่ที่ 49,800 เยน หรือราวๆ 14,700 บาท น่าเสียดายที่ตอนนี้ไฟเพดานดังกล่าวยังจำกัดการขายอยู่เฉพาะในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้นเองครับ

 

ข้อมูลเพิ่มเติม : Sony JP 

from:https://droidsans.com/sony-multifunctional-light-2/

Samsung เปิดตัวเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ Connected Living อัพเกรดบ้านทั้งหลังให้กลายเป็น Smart Home

ยุคนี้สมัยนี้ไม่ว่าอะไรๆ ก็แทบจะกลายเป็น Smart Device เชื่อมต่อกับเน็ต + ใช้งานควบคู่ไปกับมือถือได้ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทวอทช์ สมาร์ททีวี เครื่องดูดฝุ่น กล้องวงจรปิด ฯลฯ ซึ่งตอนนี้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ในบ้านก็เริ่มทะยอยกลายเป็นอุปกรณ์อัจฉริยะกันมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างตอนนี้ทาง Samsung ก็เริ่มเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ๆ ที่สามารถใช้งานร่วมกับมือถือได้ไม่ว่าจะเป็น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า แอร์ เตาอบ ที่จะเข้ามาทำให้ชีวิตเราสะดวกขึ้นอีกเยอะเลย

สำหรับกองทัพเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะภายในบ้านที่ Samsung ยกโขยงรุ่นใหม่ๆ มาเปิดตัวให้คอเทคโนโลยีอย่างเราๆ ท่านๆ ได้ทึ่ง ได้ว้าว กันจนกระเป๋าตังค์สั่นงั่กๆ ก็มีมากมายหลายชนิด ซึ่งล้วนแต่เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เราไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะกลายเป็น Smart Device กับเค้าได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรับอากาศอัจฉริยะ Wind-Free plus Wi-Fi ที่มีทั้งฟีเจอร์ Wind – Free ให้ความเย็นสบายแบบไม่มีลมพัดมาโดนตัวให้หนาวเยือก หรือตาแห้งกันอีกต่อไป และยังสามารถกรองฝุ่นขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน ได้อีกด้วย (เหมาะกับสภาพแวดล้อมในบ้านเราตอนนี้สุดๆ) แน่นอนว่ามันเป็นเครื่องปรับอากาศอัจฉริยะ ทำให้มันสามารถใช้งานร่วมกับผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Bixby ทำให้เราสามารถสั่งการด้วยเสียงผ่านมือถือ Samsung Galaxy รวมถึงยังสามารถสั่งให้มันเปิด-ปิด เครื่องจากระยะไกลผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้อีก

ต่อด้วยตู้เย็น Family Hub ที่พึ่งจะได้รับรางวัลนวัตกรรมดีเด่นจากงาน CES 2019 ไปสดๆ ร้อนๆ กับเทคโนโลยีที่ทำให้มันสามารถบอกสถานะของอาหารที่อยู่ข้างในว่าจะบูดหรือจะหมดอายุวันไหน แถมยังมีหน้าจอสัมผัสอยู่ตรงหน้าตู้ให้เรากดเพื่อดูภาพภายในโดยไม่ต้องเปิดประตูตู้ หรือจะใช้หน้าจอดังกล่าวเป็นกระดานข้อความสำหรับเขียนบอกคนในบ้านได้อีก และแน่นอนว่ามันสามารถสั่งงานต่างๆ ผ่าน Bixby ได้ด้วย

หุ่นยนต์ดูดฝุ่น POWERbot อันนี้หลายๆ คนน่าจะคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ว่ามันเป็นแม่บ้านหุ่นยนต์ส่วนตัวสุดขยันที่จะดูแลให้พื้นบ้านเราสะอาดเอี่ยมตลอดเวลา เพราะเราสามารถตั้งเวลาให้มันดูดฝุ่นตามเวลาที่เราต้องการได้อบบอัตโนมัติ และเมื่อทำงานเสร็จมันก็จะกลับไปชาร์จไฟให้ตัวเองเพื่อเตรียมใช้งานในครั้งต่อไป หรือถ้าเราอยากจะดูดฝุ่นเฉพาะจุดก็สามารถบังคับได้ด้วยมือถือของเราเองด้วย

เครื่องซักผ้า Q-rator ที่สามารถเชื่อมกับแอป SmartThings เพื่อตั้งค่าการซัก และแจ้งเตือนได้ว่าผ้าซักเสร็จแล้ว

ส่วนสมาร์ททีวีที่จริงๆ สมัยนี้ดูเป็นของธรรมดาไปแล้ว แต่ว่า Samsung QLED TV 8K รุ่นนี้ก็มีดีตามชื่อรุ่นของมัน คือมีความคมชัดสูงลิ่วถึงระดับ 8K และยังใช้งานกับ Bixby สั่งการด้วยเสียงได้ ไม่ว่าจะเป็นการค้นหารายการ หรือพูดชื่อหนัง ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาในการพิมพ์อีกต่อไป และในอนาคต Bixby ยังจะรองรับการสั่งงานด้วยภาษาไทยได้อีกด้วย

เรียกได้ว่าตอนนี้เราแทบจะเข้าสู่โลกอนาคตที่เคยเห็นแค่ในหนัง Sci-Fi กันแล้วล่ะ เพราะอย่างที่บอกว่าตอนนี้อุปกรณ์ไฟฟ้าหลายๆ อย่าง มันเริ่มเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ตทำให้เราสามารถสั่งงาน หรือตั้งโปรแกรมให้มันทำงานต่างๆ แทนเราได้เองแบบอัตโนมัติ และถ้าใครอยากที่จะเปลี่ยนบ้านตัวเองให้กลายเป็นบ้านสุดล้ำแห่งอนาคตแล้วล่ะก็ อุปกรณ์สุดล้ำพวกนี้ก็รอให้เราไปเลือกสอยมาเป็นเจ้าของกันได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

from:https://droidsans.com/samsung-smart-devices-iot/

Google Assistant เตรียมฉลองการติดตั้งลงในอุปกรณ์ครบ 1,000 ล้านเครื่อง ในเดือนมกราคมนี้

ตั้งแต่ Google เปิดตัวระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ Assistant เมื่อปี 2016 ก็ทำเอาหลายๆ คน ทึ่งกับความอัจฉริยะของมันจริงๆ เพราะเราสามารถสั่งงานด้วยเสียงให้มันทำนู่นทำนี่ได้ และมันก็ไม่ได้มีอยู่เฉพาะในมือถือ แทบเล็ต หรือลำโพงอัจฉริยะเท่านั้น แต่ตอนนี้มันได้เข้าไปอยู่ในอุปกรณ์ IT หลายๆ อย่าง ซึ่ง Google คาดการณ์เอาไว้ว่าจะมีอุปกรณ์อัจฉริยะที่มี Google Assistant ถึง 1,000 ล้านชิ้น ในเร็วๆ นี้ 

สำหรับข้อมูลดังกล่าว ทาง Google เป็นคนเปิดเผยออกมาเองว่า ภายในสิ้นเดือนมกราคม 2019 จะมีอุปกรณ์อัจฉริยะที่มี Google Assistant ในตัว อยู่บนโลกนี้กว่า 1,000 ล้านชิ้น ซึ่งถือเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นมาแบบก้าวกระโดดจากปีที่แล้วเกิน 100% เลยทีเดียว เพราะเมื่อช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปี 2018 มีอุปกรณ์อัจฉริยะจำนวน 400 ล้านชิ้น ที่มี Assistant ฝังอยู่ในตัว

ในตอนแรกที่เราได้รู้จักเจ้า Google Assistant มันจะใช้งานได้เฉพาะกับมือถือ Pixel / Pixel XL เท่านั้น แต่ในปัจจุบัน มันได้แทรกซึมเข้าไปอยู่ในอุปกรณ์ IT ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทวอทช์, ทีวี, แทบเล็ตและมือถือ Android รุ่นใหม่ๆ ทุกรุ่น หรือแม้แต่อุปกรณ์ที่เราไม่คิดว่ามันจะมี Google Assistant อยู่ด้วย อย่างเช่นตู้เย็น เตาอบ เครื่องซักผ้า ฯลฯ

ใครจะไปรู้ว่าอุปกรณ์พวกนี้ก็ยังอัจฉริยะได้

ถึงแม้ว่า Google Assistant จะเข้าไปอยู่ในอุปกรณ์ต่างๆ เป็นพันล้านชิ้น แต่จำนวนของผู้ใช้งาน Google Assistant ก็ไม่ได้เยอะเท่ากับจำนวนอุปกรณ์หรอกนะ เพราะบางคนอาจจะเป็นเจ้าของอุปกรณ์ที่มี Google Assistant อยู่หลายชิ้น ภายในบ้านแค่หลังเดียวก็ได้ (ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะบางคนแค่เดินออกจากบ้านก็มีทั้งมือถือ, แทบเล็ต, สมาร์ทวอทช์, หูฟังไร้สาย ที่มี Assistant อยู่ในตัวแล้ว) ก็ไม่แปลกใจเลยที่ภายในสิ้นเดือนนี้ บนโลกเราจะมี Google Assistant อยู่ถึง 1,000 ล้านตัว แถมในอนาคต Google ยังมีแผนที่จะขยับขยายให้ Assistant เข้าไปอยู่ในฟีเจอร์โฟนที่มีอยู่อีกกว่า 100 ล้านเครื่อง ทั่วโลกอีกด้วย

 

ที่มา : Techcrunch

from:https://droidsans.com/google-says-assistant-will-be-on-a-billion-devices-by-the-end-of-the-month/

Home Alone feat. Google Assistant โดดเดี่ยวแต่ปลอดภัย โฆษณาไอเดียเก๋ที่จับเอาหนังดังเก่ามาเล่าใหม่อย่างลงตัว

เชื่อว่าทุกวันนี้หลายๆ คนต้องเคยใช้ผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Google Assistant มาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะใช้ไถ่ถามสภาพอากาศ สภาพจราจร สั่งให้ค้นหานู่นนี่ แต่จริงๆ แล้วความสามารถของ Google Assistant ยังมีอีกมากมายก่ายกอง หากใช้ร่วมกับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เป็น Smart Device ซึ่งมันสามารถเปลี่ยนให้บ้านของเรากลายเป็นบ้านสุดล้ำแห่งอนาคตได้เลย แถมยังสามารถดัดแปลงเอาไว้ไล่ขโมยได้ด้วยนะเออ!

ถ้าใครเกิดทัน หรือเคยดูหนังแนวครอบครัวเรื่อง โดดเดี่ยวผู้น่ารัก หรือ Home Alone (1990) ภาคแรกมาก่อน ก็น่าจะเก็ตมุขที่ Google เอามาพรีเซนต์การใช้งานของ Google Assistant ในสไตล์หนัง Home Alone ด้วยการให้ตัวเอกซึ่งเป็นนักแสดงคนเดียวกันกับในหนังภาคแรก (ซึ่งตอนนี้อายุอานามปาเข้าไป 38 ขวบแล้ว) ยังคงแสดงเป็นเด็กน้อยที่ต้องอยู่บ้านคนเดียวในคืนคริสต์มาส

แต่คราวนี้การอยู่บ้านคนเดียวจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ด้วยเหล่า Smart Device ในบ้านที่เชื่อมการทำงานเข้ากับ Google Assistant ทำให้สามารถสั่งงานได้ด้วยเสียง ไม่ว่าจะเป็นการสั่งให้ Assistant เตือนให้ซื้อของ, เตือนให้ซักผ้าปูที่นอน, ใช้งานร่วมกับกล้องวงจรปิด Nest เพื่อส่งเสียงเตือนว่ามีคนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน, สั่งให้ Assistant ปรับอุณหภูมิภายในบ้าน แถมยังใช้งานร่วมกับกลอนประตูอัจฉริยะเพื่อสั่งให้ล็อคบ้านผ่าน Assistant ได้ด้วย

นอกจากนี้ยังมีมุขคลาสสิกในหนัง Home Alone ภาคแรกที่เจ้าหนูน้อยใช้รูปคนขนาดเท่าตัวจริงติดเอาไว้กับรถไฟจำลองเพื่อให้เคลื่อนที่ไปมาเพื่อหลอกโจรว่ามีคนอยู่บ้าน แต่คราวนี้เปลี่ยนมาใช้หุ่นโชว์มาวางเอาไว้บนหุ่นยนต์ดูดฝุ่น เพื่อสั่งการให้มันทำงานผ่าน Assistant ให้เดินไปรอบๆ บ้านแทน

จะเห็นได้ว่าตอนนี้การใช้งาน Google Assistant ไม่ว่าจะใช้งานผ่านมือถือหรือผ่าน Google Home ก็สามารถสั่งงานเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะหลากหลายแบบได้แล้ว แถมถ้ามีไอเดียดีๆ ยังเอามาดัดแปลงแบบในคลิปวิดีโอได้อีกต่างหาก…ว่าแต่ ใครมีไอเดียดีๆ ในการดัดแปลงใช้อุปกรณ์อัจฉริยะแบบนี้บ้าง ก็อย่าลืมมาแบ่งกันมั่งล่ะ

ที่มา : Google 

from:https://droidsans.com/google-assistant-home-alone-again/

ชมก่อนใคร รีวิว “ซัมซุง กาแลคซี่ สตูดิโอ” รวมนวัตกรรมล้ำๆ จาก Samsung จัดแค่เดือนเดียวเท่านั้น

ซัมซุงประเทศไทย จัดสตูดิโอกลางใจเมือง นำนวัตกรรมของแบรนด์ในตระกูล “ซัมซุง กาแลคซี่” มาให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ มีตั้งแต่ Smartphone จนถึง Smart device โดยงานจะจัดถึงวันที่ 10 พฤศจิกายนนี้เท่านั้น

Brand Inside ได้โอกาสมางานเปิดตัว “ซัมซุง กาแลคซี่ สตูดิโอ” เลยขอนำมารีวิวให้ดูกัน แรกเริ่มเมื่อเดินลงมาจากรถไฟฟ้า BTS ทางออก 3 เดินออกมาก็จะพบกับสตูดิโอแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ลานพาร์ค พารากอน

ด้านหน้าของ “ซัมซุง กาแลคซี่ สตูดิโอ” ตั้งอยู่ที่ลานพาร์ค พารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน

เมื่อเดินเข้ามาข้างใน ตรงกลางของสตูดิโอ จะพบกับ Interactive Table เป็นโต๊ะแสดงฟีเจอร์การทำงานของ Samsung Galaxy Note 8 แบบอินเตอร์แอคทีฟ การแสดงผลทุกอย่างจะเกิดขึ้นบนโต๊ะที่ฝังจอเอาไว้

Interactive Table โต๊ะแสดงฟีเจอร์การทำงานของ Note 8 แบบล้ำๆ

จากนั้น ถ้าเดินไปด้านขวา จะพบกับ VR Sway Chair ที่เป็นเก้าอี้เชื่อมต่อกับเทคโนโลยี VR เพิ่มความสมจริง ทำให้การเล่นเกมสนุกสนานมากขึ้น ใครที่มาสตูดิโอก็มาลองเล่นกันได้

VR Sway Chair เก้าอี้เชื่อมต่อกับเทคโนโลยี VR

โซนต่อมาจะเป็นเหมือนกับพระเอกของงาน นั่นก็คือ Samsung Galaxy Note 8

วิชัย พรพระตั้ง รองประธานองค์กร ธุรกิจโทรคมนาคมและไอที บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด เล่าให้ฟังในขณะที่พาเดินชมสตูดิโอว่า “เราต้องการนำประสบการณ์นวัตกรรมระดับโลกมาให้ลูกค้าสัมผัส วันนี้เราต้องไปไกลกว่าคำว่าสมาร์ทโฟนแล้ว เพราะมันคือโลกของสมาร์ทดีไวซ์ ทุกอย่างเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวได้”

จากการสอบถามเรื่องงบประมาณ ซัมซุงประเทศไทย ระบุว่า “การจัดงานครั้งนี้เป็นการนำเอาเทคโนโลยีระดับโลกมาลงในไทย เพราะฉะนั้นงบประมาณต้องบอกเลยว่า มาจาก Global (เข้าใจว่าเป็นทางเกาหลีใต้ที่สนับสนุน) ไม่ใช่เงินทุนของซัมซุงประเทศไทยทั้งหมด เลยไม่รู้ว่าทั้งหมดเท่าไหร่ แต่บอกได้แค่ว่า เราจัดเต็ม”

วิชัย พรพระตั้ง รองประธานองค์กร ธุรกิจโทรคมนาคมและไอที บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด พาเดินชม “ซัมซุง กาแลคซี่ สตูดิโอ”

ในด้านของโซน Samsung Galaxy Note 8  ก็จะมีอุปกรณ์มาให้ทดลองใช้งาน พร้อมกับมีพนักงานที่คอยให้คำแนะนำการใช้งานยืนอยู่ตามแต่ละจุด ในโซนนี้ยังมี S Pen Gallery ที่ให้ลูกค้ามาตกแต่งภาพสไตล์ป๊อปอาร์ตด้วย S Pen 

โซน Samsung Galaxy Note 8

ต่อด้วยโซน Portrait Tool ที่โชว์การทำงานใต้น้ำของ Note 8 ด้วยการเขียนตัวอักษร ถ่ายภาพ หรือทำงานศิลป์ได้ในใต้น้ำ ด้วยมาตรฐานกันน้ำ IP68 ที่ซัมซุงบอกว่านี่คือรุ่นที่ดีที่สุด

โชว์เขียนตัวหนังสือใต้น้ำด้วย S Pen ใน Note 8

ภายในสตูดิโอแห่งนี้จะมีพื้นที่แสดงสินค้าอุปกรณ์ต่างๆ อยู่รอบ เช่น หูฟังบลูทูธ เกียร์ 360 นาฬิกาอัจฉริยะ ฯลฯ

Gadget ต่างๆ ของ Samsung

โซน Galaxy Fitness โซนนี้จะเป็นโซนที่ออกแบบมาสำหรับคนรักการปั่นจักรยาน โดยจะมีการแข่งขันพิสูจน์ทดสอบสมรรถนะร่างกายผ่านการปั่นจักรยาน พร้อมๆ กับสวมเกียร์ฟิต 2 โปร เพื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจ การเผาผลาญไขมันแบบเรียลไทม์

โซน Galaxy Fitness 

ที่พลาดไม่ได้คือ โซน Samsung DEX เพราะหลังจากที่ได้ทำการเปิดตัวอุปกรณ์ตัวนี้ไปในงาน Thailand Mobile Expo 2017 ที่ผ่านมา วันนี้ซัมซุงเลยเอาอุปกรณ์ตัวนี้มาให้สัมผัสกันในสตูดิโอแห่งนี้ด้วย

โซน Samsung DEX 

ส่วนถ้ารับชมนวัตกรรมล้ำๆ จากซัมซุงกันครบแล้ว ทางเชื่อมต่อจากสตูดิโอแห่งนี้ ด้านหลังจะเชื่อมต่อไปยังอีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน “นิทรรศการพระบรมฉายาลักษณ์และพระบรมสาทิสลักษณ์ พระบามสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” เพื่อเป็นที่ระลึกและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์

“ซัมซุง กาแลคซี่ สตูดิโอ” จะจัดเพียง 1 เดือนเท่านั้น คือเริ่มตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2560 จนถึงวันที่ 10 พฤศจิกายนนี้เท่านั้น ที่ลานพาร์ค พารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน ใครที่สนใจเดินทางมาได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 10.00 – 21.00

ซัมซุงประเทศไทย แอบกระซิบไว้ว่า เบื้องต้นมีการวางแผนที่จะเปิดสตูดิโอโชว์เคสแบบนี้อย่างเป็นหลักเป็นแหล่งที่ชัดเจนในอนาคต แต่ตอนนี้ยังไม่ลงตัวเรื่องสถานที่ ขอให้รอดูและติดตามกันต่อไป

 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/samsung-galaxy-studio-thailand-2017/

[PR] จีเอฟเค: Connected Consumers ขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดอุปกรณ์อัจฉริยะในเอเชียแปซิฟิก

แอคชั่นคาเมร่า (Action Camera) ทีวีจอแบน และอุปกรณ์สวมใส่จัดเป็นสินค้าเทคโนโลยีที่มีอัตราการเติบโตเร็วที่สุดในช่วงปีที่ผ่านมา

ตลาดเทคโนโลยีเพื่อผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิก (APAC) เติบโตอย่างรวดเร็วในปีที่ผ่านมา เพราะมีเทคโนโลยีใหม่เปิดตัวเข้าตลาด รวมทั้งเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วมีการพัฒนามากยิ่งขึ้น

สินค้านวัตกรรมตัวหนึ่งที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในตลาดคือแอคชั่นคาเมร่า (action camera) โดยมีแบรนด์ (จากที่เคยมี 2 แบรนด์เมื่อปี พ.ศ. 2558 มาเป็น 13 แบรนด์ในปี พ.ศ. 2559) ที่นำเสนอฟีเจอร์แบบ 360 องศาเปิดตัวเข้าตลาดมากขึ้นในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ตลาดเกิดใหม่ (emerging markets) ในเอเชียแปซิฟิก (APAC) คือปัจจัยเร่งการเติบโตของตลาดแอคชั่นคาเมร่า ด้วยยอดขายและมูลค่าที่เพิ่มขึ้น 57% และ 33% ตามลำดับ ขณะที่ตลาดที่พัฒนาแล้ว (developed markets) ในปีที่ผ่านมามียอดขายและมูลค่าที่ 9% และ 40% ตามลำดับ

แอคชั่นคาเมร่าที่มีฟีเจอร์ 4K ขายดีติดตลาด ด้วยอัตราการเติบโตของปริมาณและมูลค่าที่ 47% และ 52% ตามลำดับในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ขณะที่ตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคมีอัตราการเติบโตสูงถึง 46% ทั้งปริมาณและมูลค่า

“ผู้บริโภคทุกวันนี้นิยมแชร์วิดีโอ จึงทำให้ความนิยมของแอคชั่นคาเมร่าเพิ่มมากขึ้นไปด้วย” เจอราร์ด ตัน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท จีเอฟเค เอเชีย กล่าว “นอกจากจุดเด่นที่ดึงดูดใจผู้บริโภคที่สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้อย่างลื่นไหลแล้ว แอคชั่นคาเมร่ายังดึงดูดใจผู้บริโภคที่มีความกระตือรือร้น มองหาวิธีการใหม่ที่น่าสนใจเพื่อบันทึกกิจกรรมไลฟ์สไตล์ของพวกเขาด้วยคุณภาพระดับ full HD เพื่อเก็บไว้ดู หรือแชร์ต่อ” 

ประเภทสินค้าที่พ่วงระบบ 4K ด้วย ได้แก่ ทีวี โดยในช่วงปีที่ผ่านมา ทีวีแบบ 4K หรือที่รู้จักกันว่า Ultra High Definition (UHD) นั้นมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยจำนวนยอดขายในอัตราที่สูงกว่า 103% ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกใน 12 เดือนที่ผ่านมา  ความนิยมในตลาดด้านความละเอียดของการแสดงผลภาพได้ยกระดับจาก Full High Definition (FHD) มาเป็น UHD จึงคาดการณ์ความต้องการจะสูงขึ้นในอัตรา 42% ในปีพ.ศ. 2560  รวมทั้งเศรษฐกิจเกิดใหม่ (emerging economies) ส่งแนวโน้มการเติบโตสูงขึ้น (55%) อันเป็นผลจากการที่ราคา UHD ลดลง

“ทีวีแบบ 4K กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคหันมาเลือกใช้เทคโนโลยี UHD TV กันมากขึ้น ด้วยการออกแบบที่ทันสมัยและคุณภาพของการแสดงภาพที่เหนือกว่า” คุณเจอราร์ดได้ตั้งข้อสังเกตว่า “จากการที่ UHD เป็นที่นิยมนั้นทำให้คอนเท้นท์สตูดิโอผลิตงานที่มีคุณภาพดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีอุปกรณ์บันทึกภาพมากมายที่รองรับการบันทึกแบบ 4K ทำให้ผู้บริโภคได้ใช้คอนเท้นท์แบบ UHD ที่มีความพร้อมใช้งานอยู่เสมอ”

ตั้งแต่เปิดตัวสมาร์ททีวีในปี พ.ศ. 2554 นั้น โอกาสสำหรับบริษัทธุรกิจต่างๆ ที่จะพัฒนาทีวีซอฟท์แวร์สำหรับแพลตฟอร์มของตนเองก็เกิดขึ้นตาม ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ยอดจำหน่ายของสมาร์ททีวีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอัตรา 40% คิดเป็นจำนวนมากกว่า 5 ล้านหน่วย

หนึ่งในเทคโนโลยีล่าสุดที่เข้ามาในตลาดทีวีได้แก่ OLED TV — เทคโนโลยีการแสดงภาพของจอทีวีในแบบ organic light-emitting diodes จากผลการวิจัยของจีเอฟเค พบว่า OLED TV มีอัตราการเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญตั้งแต่เปิดตัวในเอเชียแปซิฟิกเมื่อปี พ.ศ. 2557 โดยความต้องการเพิ่มจาก 7,000 หน่วยในปี พ.ศ. 2557 มาเป็น 98,000 หน่วยในปี พ.ศ. 2559 ขณะที่มีแบรนด์มากมายเปิดตัวในตลาดอย่างต่อเนื่อง แต่คาดว่าตลาด OLED TV จะยังคงขยายตัวต่อไปในอัตราที่สูงกว่า 63% ในปี พ.ศ. 2560 โดยมีปัจจัยการเติบโตที่แข็งแกร่งเช่นนี้จากตลาดที่พัฒนาแล้วในภูมิภาค

ขณะเดียวกัน อุปกรณ์สวมใส่หลักๆ (wearables) ประกอบด้วย สมาร์ทวอทช์ (smart watches) และอุปกรณ์สายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพและการออกกำลังกาย (health and fitness trackers) นั้นยังคงต้องพยายามผลักดันกันต่อไปในหมวดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภค ยอดขายรวมปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 3.3 ล้านหน่วยของทั้งตลาดพัฒนาแล้วของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ขณะที่อัตราการการใช้จ่ายของผู้บริโภคแบบปีต่อปีของสินค้าในหมวดนี้เติบโตที่ 9%

“ตัวเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจและ GPS นั้นจัดเป็นตัวดึงดูดหลักที่ผู้บริโภคให้ความสนใจเวลาที่จะซื้ออุปกรณ์สวมใส่ ดังจะเห็นได้จากอุปกรณ์ที่มีฟีเจอร์เหล่านี้จะมีจำนวนยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น ยอดขายของอุปกรณ์สวมใส่เพื่อวัดอัตราการของหัวใจเพิ่มขึ้น 28% ภายในหนึ่งปี ขณะที่อุปกรณ์ที่มี GPS ฝังตัวมาในอุปกรณ์ด้วยนั้นขยายตัวเกือบจะเป็นเท่าตัว (98%) ระหว่างช่วงเวลาเดียวกัน” คุณเจอราร์ดกล่าว

จากการที่ผู้บริโภคหันมานิยมรูปแบบการดำเนินชีวิตแนวดิจิตอลไลฟ์สไตล์และใช้อุปกรณ์อัจฉริยะนั้น ทำให้ตลาดเทคโนโลยีเพื่อผู้บริโภคโดยรวมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มเชิงบวกในปีนี้ โดยคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของทีวี แอคชั่นคาเมร่า และอุปกรณ์สวมใส่ จะยังคงดำรงไปอย่างต่อเนื่อง

หมายเหตุ:

  • เอเชียแปซิฟิก ประกอบด้วย สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เมียนมาร์ กัมพูชา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
  • ช่วงเวลาการติดตามผล ณ จุดขายของจีเอฟเค: พฤษภาคม พ.ศ. 2559 – เมษายน พ.ศ. 2560 เปรียบเทียบกับ พฤษภาคม พ.ศ. 2558 – เมษายน พ.ศ. 2559
  • มูลค่าของการเติบโตที่ติดตามอิงค่าสกุลเงินท้องถิ่น แต่สกุลเงินที่ใช้ในการรวมการติดตามทั้งหมดจะอิงดอลล่าร์สหรัฐ

###

เกี่ยวกับ จีเอฟเค (GfK)

จีเอฟเค เป็นบริษัทข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจการตลาดและผู้บริโภคที่ได้รับความไว้วางใจ และช่วยให้ลูกค้าของบริษัทดำเนินการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จีเอฟเคมี ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยธุรกิจการตลาดมากกว่า 13,000 คน ที่พร้อมผนึกกำลัง ความสามารถผนวกกับประสบการณ์อันยาวนานและองค์ความรู้ด้านข้อมูลของบริษัท เพื่อผลิตข้อมูลเชิงลึกที่มีความสำคัญในระดับโลกพร้อมข้อมูลทางการตลาดจากมากกว่า 100 ประเทศ จีเอฟเคเปลี่ยนข้อมูลจำนวนมากเป็นข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ง่ายต่อการใช้งาน  โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ และองค์ความรู้ด้านข้อมูล ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถพัฒนา ข้อได้เปรียบในการแข่งขันและสร้างเสริมประสบการณ์และตัวเลือกของผู้บริโภคได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.gfk.com หรือติดตามทางทวิตเตอร์: https://twitter.com/GfK

from:https://www.techtalkthai.com/gfk-connected-consumer-through-the-growth-of-smart-devices-in-asia-pacific-market/

[PR] แคสเปอร์สกี้ แลป เผยรายงานล่าสุด ดีไวซ์ไร้การดูแล แอพทับถมจำนวนมากก่อให้เกิดภาวะ “ขยะดิจิตอลสะสม”

อาการ ขยะดิจิตอลสะสม (Digital clutter) นี้เป็นกันมากในหมู่ประชากรดิจิตอลทุกวันนี้ ด้วยความก้าวหน้าด้านการจัดเก็บข้อมูล ทำให้มีแอพพลิเคชั่นจำนวนมากมายที่ใช้งานกันแต่ละวัน แต่น้อยคนที่ใส่ใจดูแลแอพเหล่านี้ จึงกลายมาเป็นช่องโหว่ด้านความปลอดภัยบนอุปกรณ์ที่คุณใช้งานนั่นเอง รายงานล่าสุด โดยแคสเปอร์สกี้ แลปเปิดเผยถึงปัญหาการทับถมของขยะดิจิตอล (digital clutter) ในกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก

จากการสำรวจพบว่า โดยปกติยูสเซอร์จะลงแอพแอนดรอยด์ 12 แอพทุกเดือน แต่จะลบทิ้งเพียง 10 แอพเท่านั้น คงเหลือ 2 แอพบนเครื่องทุกเดือน ด้วยจำนวนที่เพิ่มขึ้น การบริหารจัดการแอพจึงเป็นเรื่องสำคัญในการป้องกันมิให้เกิด การทับถมของขยะดิจิตอล แต่ยูสเซอร์เพียงประมาณ 55% เท่านั้นที่รีเฟรชเครื่อง และใส่ใจตรวจดูคอนเท็นท์ ลบไฟล์ หรือแอพที่ไม่ใช้ทิ้งไป

การค้นพบนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายงานฉบับใหม่ที่รวบรวมขึ้นโดยแคสเปอร์สกี้ แลปเกี่ยวกับการทับถมของขยะดิจิตอลและอันตราย เรียกว่า “Digital clutter and its dangers” มาจากข้อมูลเชิงลึกจากการสำรวจออนไลน์ 17 ประเทศ การวิเคราะห์สถิติจากเครือข่ายความปลอดภัยของแคสเปอร์สกี้ แลปหรือ Kaspersky Security Network (KSN) และการทดลองประสิทธิภาพของแอพโดยผู้ทดสอบภายในแคสเปอร์สกี้ แลป

การที่ขยะดิจิตอลค่อยๆ ก่อตัวนั้นแสดงว่าอุปกรณ์นั้นต้องการรีเฟรช อัพเดทแอพต่างๆ เพื่อกันมิให้มัลแวร์ที่คอยจ้องอาศัยช่องโหว่ผ่านแอพเหล่านั้นเจาะเข้าอุปกรณ์มาได้ แต่การสำรวจกลับพบว่ายูสเซอร์จำนวนหนึ่งในสี่หรือ (28%) จะอัพเดทแอพบนเครื่องก็ต่อเมื่อโดนบังคับให้ต้องทำเท่านั้น และอีก 10% พยายามที่จะไม่อัพเดทเลย

อันตรายข้อใหญ่ประการหนึ่งคือแอพนั้นๆ จะเป็นตัวก่อความเสี่ยงต่อข้อมูลและอุปกรณ์โดยมาจากกิจกรรมที่ทำอยู่ประจำ นอกจากนี้ จากการวิเคราะห์เชิงเทคนิคัลโดยแคสเปอร์สกี้ แลปแสดงว่า ผู้ใช้แอพแอนดรอยด์จำนวน 100 รายสามารถบริหารจัดการแอพได้เอง เช่น ติดตั้งและลบออก ยูสเซอร์ 83 รายมีแอคเซสไปถึงข้อมูลที่มีความสำคัญส่วนตัว เช่น ที่ติดต่อ ข้อความและข้อมูลสำคัญ บางรายถึงกับต่อโทรศัพท์และส่งข้อความได้ด้วย

การค้นพบเพิ่มเติมจาก KSN ให้ความกระจ่างถึงวิธีการทำงานของแอพพลิเคชั่นโดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากยูสเซอร์ เฉลี่ยแล้ว ยูสเซอร์จะมี 66 แอพบนอุปกรณ์แอนดรอยด์ เมื่อทดสอบตัวอย่าง 66 แอพแอนดรอยด์ที่เป็นที่นิยม พบว่า 54 แอพจะทำงานอยู่ในแบ็กกราวน์โดยที่ยูสเซอร์ไม่ได้เปิดหรือรู้เรื่องด้วยเลย และใช้ทรัพยากรระบบประมาณ 22 Mb ต่อวัน เพื่อรองรับการสื่อสารที่ยูสเซอร์ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเลยสักนิดเดียว

การตั้งค่าแอพพลิเคชั่นช่วยให้ยูสเซอร์ควบคุมจัดการสิ่งที่แอพสามารถแอคเซสได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การสำรวจพบว่าเพียง 40% ของยูสเซอร์ที่ร่วมการสำรวจเท่านั้นที่ใส่ใจปรับค่าเซ็ตติ้งของแต่ละแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนของตน และ 32% ที่จะไม่ยอมติดตั้งโมบายแอพเลยหากรายละเอียดข้อตกลงในไลเซ่นส์ไม่เป็นที่พอใจ

อังเดร โมโคลา หัวหน้าฝ่ายธุรกิจคอนซูมเมอร์ แคสเปอร์สกี้ แลป กล่าวว่า “อุปกรณ์สื่อสาร รวมทั้งข้อมูลส่วนตัวของยูสเซอร์ทุกวันนี้ตกอยู่ในความเสี่ยงต่อการคุกคามด้านความปลอดภัย เพราะละเลยที่จะดูแลอุปกรณ์ของตน ทั้งที่ทำได้ง่ายๆ แต่มีความสำคัญอย่างมาก เช่น คลีน อัพเดทซอฟต์แวร์และแอพ ปรับตั้งค่าเซ็ตติ้ง และยกเลิกแอพที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว การทับถมของขยะดิจิตอลบนอุปกรณ์สื่อสารของคุณ แสดงถึงการจงใจมองข้ามการดูแลแอพพลิเคชั่น แต่กลับปล่อยปละละเลย และปล่อยให้ตัวเองเสี่ยงไปวันๆ จากความละเลยเช่นนี้นำไปสู่ปัญหาอีกมากมาย เช่น ใช้งานสะดุด ปัญหาอายุการใช้งานของแบตตารี่ หรือการแพร่ระบาดของมัลแวร์ แอพมีแอคเซสไปยังข้อมูลที่มีความสำคัญและข้อมูลส่วนตัวบางส่วนที่เก็บไว้บนอุปกรณ์สื่อสารที่ใช้งาน และยูสเซอร์เองก็มักลืมความจริงข้อนี้ไปว่า ข้อมูลดังกล่าวก็จะถูกแชร์ออกไปด้วย เราขอแนะนำให้รีบจัดการ จัดระเบียบปัดกวาดบ้านดิจิตอลของคุณให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ดังเช่นห้องที่ได้รับการดูแลให้สะอาด ไม่ยุ่งเหยิงก็จะเต็มไปด้วยพลังสดใสต่อชีวิตและที่อยู่อาศัยเป็นต้น เช่นเดียวกัน คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนที่สะอาดเป็นระเบียบก็จะให้ประสบการณ์ที่ทั้งปลอดภัยและเพลิดเพลินในการใช้งาน”

เพื่อต่อสู้กับความสับสนยุ่งเหยิง และป้องกันข้อมูลส่วนตัวที่มีความสำคัญ ยูสเซอร์ควรจะปฏิบัติตนตามขั้นตอนดังต่อไปนี้:

  • เข้าใจว่าอะไรเก็บที่ไหน – ให้เวลากับอุปกรณ์สื่อสารของตนเอง ไล่ดูว่ามีข้อมูลอะไรในนั้นบ้าง ข้อมูลใดควรเก็บไว้ มีแอพอะไร ไฟล์ใดอยู่บ้าง;
  • ‘ทำความสะอาดให้ใสแจ๋ว’ หมายถึงอุปกรณ์ของคุณนั่นเอง – ใช้เวลากับการจัดระเบียบอุปกรณ์ บ้านดิจิตอลหลังนีของคุณให้ดี ให้ทำเป็นประจำ หมั่นดูข้อมูลที่เก็บไว้อุปกรณ์ให้ใหม่เสมอ;
  • อัพเดทแอพและซอฟต์แวร์ – อัพเดทเป็นประจำ ทันทีที่มีเวอร์ชั่นใหม่ออกมา;
  • ใช้ซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ – ตัวอย่างเช่น ซอฟท์แวร์ทำความสะอาด อาทิ ที่ผนวกมาในซีเคียวริตี้โซลูชั่นเรือธงของแคสเปอร์สกี้ แลป เพื่อทำการสแกนแอพพลิเคชั่นทั้งหมดที่ติดตั้งอยู่บนอุปกรณ์ที่คุณใช้งาน และทำเครื่องหมายแอพพลิเคชั่นที่ทำท่าจะเป็นตัวเสี่ยง หรือนานๆ ใช้งานที

###

เกี่ยวกับแคสเปอร์สกี้ แลป

แคสเปอร์สกี้ แลปก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2540 เป็นบริษัทระดับโลกที่เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ หรือไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ซึ่งความชำนาญพิเศษด้านภัยคุกคามที่ใช้เทคนิคเชิงลึก (deep threat intelligence) และระบบการป้องกันรักษาความปลอดภัยของแคสเปอร์สกี้ แลปได้ถ่ายทอดออกมาเป็นโซลูชั่นและบริการเพื่อการรักษาความปลอดภัยที่คอยให้การปกป้ององค์กรธุรกิจ โครงสร้างที่มีความสำคัญ องค์กรภาครัฐและผู้บริโภคมากมายทั่วโลก ทั้งนี้พอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์เพื่อรักษาความปลอดภัยที่ครบถ้วนของบริษัทประกอบด้วยโซลูชั่นและบริการเพื่อการป้องกันเอนด์พอยนท์ รวมทั้งโซลูชั่นเฉพาะทางมากมายเพื่อรับมือภัยคุกคามทางดิจิตอลที่วิวัฒนาการขยายขีดความซับซ้อนยิ่งขึ้นทุกวัน ปัจจุบันเทคโนโลยีของแคสเปอร์สกี้ แลป สามารถปกป้องยูสเซอร์มากกว่า 400 ล้านคนทั่วโลก และเราได้ให้การช่วยเหลือลูกค้าองค์กรในการป้องกันสินทรัพย์ที่มีค่ายิ่ง อีกมากกว่า 270,000 แห่งทั่วโลก ท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.kasperesky.com

from:https://www.techtalkthai.com/ignored-device-causes-digital-clutter/