เรียกได้ว่ากำลังเป็นกระแสคร่กรุ่นกันเลยทีเดียวสำหรับการมาของซีพียูในตระกูลล่าสุดจากทาง Intel สำหรับการมาของ Kaby Lake ที่จะมีการเปิดตัวกันอย่างเป็นทางการในวันที่ 5 มกราคมนี้ในงาน CES 2017 ตามข้อมูลที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งแม้ว่าช่วงเวลาของการเปิดตัวยังจะห่างไกลอีกร่วมหนึ่งเดือนเต็ม แต่ทว่าการมาของ Kaby Lake ในครานี้เรามีผลการทดสอบแบบหลุด ๆ ออกมาให้ได้รับชมกันอยู่เนือง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผลการทดสอบเกี่ยวกับความสามารถในการโอเวอร์คล๊อก เรื่องของอุณหภูมิ เรื่องของประสิทธิภาพ แต่กระนั้นมันก็ยังเป็นเพียงผลที่มีการทดสอบมาให้ได้กันในแบบผ่าน ๆ เท่านั้นเอง โดยผลที่หลุดออกมาให้เห็นกันเป็นครั้งแรกก็ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กับข้อมูลการโอเวอร์คล๊อก Core i5-7600K ไปที่ความเร็ว 5.1GHz ในแบบ On-Air จากนั้นก็ต่อด้วยผลของ Core i7-7700K กับการทดสอบเรื่องของอุณหภุมิบนความเร็ว 4.9GHz กับการรัน Prime95 ซึ่งมันก็ทำให้เราได้เห็นตัวเลขในระดับ 100°C และตามมาติด ๆ ด้วยการทดสอบที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งที่ความเร็วเดิม ๆ และที่ความเร็ว 5GHz ในแบบ On-Air ซึ่งมันก็เป็นการเสริมข้อมูลที่ว่า Kaby Lake นั้น 5GHz น่าจะไม่ใช่เรื่องยาก
จากผลที่หลุดกันมาก่อนหน้าตามที่ได้ยกตัวอย่างไปนั้น มันก้ยังไม่มีความชัดเจนเท่ากับผลการทดสอบที่ทาง Tom’s Hardware ได้ทำการปล่อยออกมาให้เราได้รับชมกันในวันนี้ ซึ่งเรื่องราวการนำเสนอจาก Tomshardware ที่มีออกมานั้นจัดมาเก็บเต็มกันเลยทีเดียว ทั้งในเรื่องของความแรงในแบบเดิม ๆ วัดกันตรง ๆ กับ Core i7-6700K ที่ 7700K กำลังจะเข้ามาแทนที่ รวมทั้งการเปรียบเทียบผลหลังการทดสอบ แถมยังมีผลทดสอบในเชิ่งวิเคราะห์ทั้งในเรื่องของการใช้พลังงานและอุณหภูมิมาให้ได้รับชมกันแบบเน้น ๆ อีกด้วย ซึ่งถือได้ว่าเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจมาก ๆ เลยทีเดียว
ตรงนี้ผมขอเริ่มต้นจากสิ่งที่ทาง Tomshardware ได้บอกเล่าเอาไว้ในช่วงแรกก่อนสักหน่อยนะครับ โดยทางลุงทอมบอกว่า CPU ที่เขาทำการทดสอบนั้นจะเป็นตัว sample หรือมันคือตัวทดสอบที่เรียกกันว่า Engineering sample ไม่ใช่ซีพียูโมเดลตลาดที่วางขายจริง ดังนั้นจากสิ่งที่เขาได้ทดสอบออกไป ก็อาจจะไม่อาจยืนยันได้ 100% เต็มว่าผลที่ออกมานั้นจะมีความแตกต่างไปจากตัวขายจริงในท้องตลาดหรือไม่
สำหรับเรื่องแรกที่ขอหยิบยกมาพูดถึงกันสักหน่อย และดูแล้วเป็นสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง กับเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงจากยุค Skylake สู่ Kaby Lake ซึ่งตามที่เราทราบกันในยุคนี้ทาง Intel ได้มีการปรับเปลี่ยนช่วงเวลาในการทำการตลาดหรือการเปลี่ยนสถาปัตยกรรมออกไปเป็นสามปีหรือใช้กฏ PAO แทน Tick-Tock โดยในช่วงที่สามหรือช่วงของ O ที่หมายถึง Optimize นั้นมันจะยังคงเป็นการใช้สถาปัตยกรรมเดิม แต่มีการปรับปรุงเกี่ยวกับกระบวนการผลิตให้ดียิ่งขึ้นเท่านั้นเอง ซึ่งตรงนี้ให้เราย้อนกลับไปมองการขยับปรับเปลี่ยนขนาดของกระบวนการผลิตจาก 22nm มาสู่ 14nm ของ Intel นั้นทาง intel จะมีการลดจำนวน Fin ของทรานซิสเตอร์ให้น้อยงไป แต่จะไปเพิ่มความสูงและรักษาระยะห่างของตัวฟินหรือที่เรียกว่าระยะ Pitch จากเดิมที่ยอด Fin จะมีลักษณะเป็นเทเปอร์ หรือเป็นมุมป้านแต่สำหรับ 14nm ตัวฟินมันจะขนาดความกว้างที่คงที่ (ตามในภาพ)
ในส่วนของ Kaby Lake ตามที่ทราบกันว่ามันคือ Skylake Refresh ซึ่งตัว CPU ทาง Inte จะยังไม่มีการปรับเปลี่ยนสถาปัตยกรรมใด ๆ จาก Skylake แม้แต่น้อย ที่ไม่เปลี่ยนตรงนี้จะหมายถึง micro architecture หรือพูดให้มองง่าย ๆ ว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงตัวงจรใด ๆแต่สิ่งที่ปรับปรุงก็แค่กระบวนการผลิตที่จะปรับเปลี่ยนมาเป็น 14nm+ ซึ่งจากข้อมูลที่ทาง intel ได้เคยให้ไว้เมื่อช่วง IDF2014 ว่าในการเพิ่มความสูงของ Fin และมันมาระยะห่างที่คงที่จะช่วยให้มันมีความเร็วในการทำงานเพิ่มขึ้นมาอีกราว 300-400MHz ซึ่งในจุดนี้เองที่ถือว่าเป็นจุดที่ทาง intel ได้ทำการ Optimize หรือปรับปรุง ดังนั้นกับการแค่เพิ่มความสูงและเปลี่ยนรูปทรงของเกตทำให้ให้มีระยะห่างที่คงที่ แต่ได้ความเร็วเพิ่มมา 300-400MHz มันก็ถือว่าเป็นการเพิ่มขึ้นที่ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว
ไม่เพียงแค่เฉพาะการปรับเปลี่ยนการผลิตไปเป็น 14nm+ เท่านั้นสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของ Kaby Lake แต่ในส่วนของชิบกราฟิกหรือ iGFX เองทาง Intel ก็มีการปรับเปลี่ยนเช่นกัน ซึ่งสำหรับซีพียูในตระกูล Kaby Lake ตัวชิบ iGFX จะมีการใช้รหัสเป็น Intel HD Graphics 630 ในขณะที่ Skylake จะเป็น Intel HD Graphics 530 แต่ในขณะนี้เรายังจะไม่สามารถพูดอะไรได้มากนักเกี่ยวกับตัวชิบ iGFX ในรหัส 630 เพราะยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนใด ๆ ออกมาให้เห็น ซึ่งก็คงจะต้องรอให้ทาง Intel มีการเผยข้อมูลออกมาเสียก่อน
สำหรับบททดสอบตัวแรกที่ทาง Tomshardware ได้ทำการทดสอบนั้น จะเป็นการประเมินดูว่าทาง intel ได้มีการ optimize ซีพียูในยุค Kaby Lake มาดีเพียงไร ซึ่งแม้ว่าจะเป็นการทดสอบง่าย ๆ แต่มันก็พอที่จะบอกอะไรบางอย่างให้เราทราบได้เช่นกัน กับการที่ได้ทดลองก็สามารถยืนยันได้เลยว่าทาง Intel ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนสถาปัตยกรรมใด ๆ แม้แต่น้อย เพราะหลังจากที่สังเกตระดับการใช้ไฟเลี้ยงของตัว Core i7-7700K ที่ช่วงความเร็ว 4.5GHz ตัวซีพียูจะยังคงเรียกใช้ไฟเลี้ยงในช่วงสูงสุดราว 1.30V ที่สามารถอ่านได้จากตัวเมนบอร์ ซึ่งไฟเลี้ยงในช่วงดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นจุดเดียวกันกับที่ได้ทำการโอเวอร์คล๊อก Core i7-6700K ไปที่ความเร็ว 4.5GHz ด้วยนั่นเอง
จากกราฟด้านบนเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นกันระหว่าง การปรับตั้งซีพียูใช้งานในแบบ Auto และการปรับใช้งานในแบบ Manual และทำการปิด Turbo Boost เพื่อล็อคให้ความเร็วสูงสุดของ Core i7-7700K ทำงานที่ 4.2GHz (ส่วนตัว 6700K ไม่ได้ระบุว่าปิด Turbo Boost ด้วยหรือไม่ แต่คงไม่ปิด เพราะน้าทอมคงต้องการวัดการใช้พลังงานที่ช่วงความเร็วเดียวกันคือที่ 4.2GHz) โดยกราฟด้านล่างเมื่อได้ทำการปิด Turbo mode ของ 7700K ทำให้ระดับการใช้พลังงานในช่วง Idle ลดลงมาเหลือ 24W ส่วนการ Stress Test ด้วย Prime95 ทำให้มีการใช้พลังงานสูงสุดจาก 183W ลงมาเหลือเพียง 141W ซึ่งมันก็จะยังคงสูงกว่า 6700K ที่อยู่ในช่วง 133W เท่านั้น และสำหรับการทดสอบตรงนี้ก็ได้มีการขยายความว่า มันเป็นทางเดียวที่จะได้รู้ว่า ตัวซีพียูจะมีความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นไปขนาดไหนจากในช่วง 4.2GHz ไปจนถึง 4.5GHz ขณะเดียวกันก็ยังได้ขยายความเพิ่มเติมอีกด้วยว่า เมนบอร์ดรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับซีพียูตัวใหม่นี้น่าจะเป็นเมนบอร์ดที่ดีกว่าสำหรับใช้ในการทดสอบ
ต่อมาก็เป็นการทดสอบด้านการโอเวอร์คล๊อก ซึ่งได้มีการบังคับระดับการใช้ไฟเลี้ยงเอาไว้ที่ 1.3V และสำหรับ Core i7-7700K ก็จะสามารถทำได้สูงสุดที่ 4.8GHz ในขณะที่ 6700K จะทำได้สูงสุดเพียง 4.6GHz นอกจากนี้ก็ยังมีการทดสอบการใช้งานร่วมกับแรมจำนวน 2 แถวและ 4 แถวอีกด้วย ซึ่งผลที่ออกมานั้น การใช้แรมแบบ 4 แถวด้วยแรมจากทาง G.SKILL ในโมเดลความเร็ว 3600MHz มันจะสามารถปรับใช้งานได้เพียงในช่วงที่ไม่เกิน 3200MHz
ส่วนในการใช้งานแรมเพียง 2 แถวความเร็วที่ออกมานั้นก็สามารถทำได้ใกล้ได้ดีกว่า ซึ่งก็อยู่ในช่วงที่ใกล้เคียงกับสเป็ค ทั้งนี้ที่มันไม่เป๊ะก็เพราะว่าความเร็วจริงของ BCLK จากเมนบอร์ดที่ใช้มันจะทำงานที่ความเร็วเพียง 99.65MHz ดังนั้นความเร็วของ CPU ที่กล่าวว่า 4.8GHz และ 4.6GHz ความเร็วที่ทำงานอยู่จริง ๆ ก็จะเป็น 4.78GHz และ 4.58GHz ซึ่งจากนี้ไปเราก็มารับชมกันต่อว่าผลการทดสอบต่าง ๆ ที่มีการทดสอบมาให้ชมกันนั้น มันจะทำได้แตกต่างกันมากน้อยขนาดไหน
Synthetic Benchmarks : กับบทดสอบด้วยโปรแกรม Benchmark มาตรฐานที่นิยมใช้งานกันโดยทั่งไป ซึ่งผลจากตัวกราฟนั้น ชุดด้านบนก็เป็นการเปรียบเทียบกันที่การใช้งานที่ความเร็วเดิม ๆ ของตัวซีพียู ส่วนคู่ด้านล่างก็เป็นตามที่เห็นคือ ผลจากการโอเวอร์คล๊อกด้วยความเร็วที่ได้กล่าวถึงกันไปแล้วนั่นเอง
3D Games : คงจะเข้าใจไม่ยากละครับ กับบทดสอบในการเล่นเกม ซึ่งรูปแบบของการทดสอบก็จะยังคงเดิมตามที่ได้บอกเล่ากันไป
Timed Benchmarks : เป็นการทดสอบด้วยโปรแกรมการทำงานที่พบเจอได้ในชีวิตจริงเช่น MS Office, Adobe Photoshop เป็นต้น ซึ่งผลตรงนี้ก็สังเกตดูให้ดี ๆ ด้วยนะครับ เพราะการทดสอบจะใช้เวลาเป็นตัวอ้างอิง ดังนั้นหากให้เวลานี้น้อยกว่าก็จะถือว่าให้ผลที่ดีกว่า ดังนั้นกราฟสั้นก็จะให้ประสิทธิภาพดีกว่า อย่ามองแค่ว่าจะต้องมากกว่าแล้วดีกว่าเสมอไป
Heat And Efficiency : ประเด็นนี้ถือว่าค่อนข้างน่าสนใจมากอีกหนึ่งจุด กับเรื่องของประสิทธิภาพสุทธิที่ได้รับ และเรื่องของอุณหภูมิการทำงาน ซึ่งในจุดนนี้เดี๋ยวผมจะขายความแยกให้ในแต่ละจุดไปละกันนะครับ
ประเด็นแรกกับเรื่องของอุณหภูมิการทำงาน ซึ่งทางต้นขั้วก็สรุปมาแบบง่าย ๆ ว่าในเมื่อ Core i7-7700K มันก็คือ 6700K โอเวอร์คลีอกมา ดังนั้นแน่นอนว่าอุณหภูมิและระดับการใช้พลังงานก็ย่อมจะต้องสูงตามไปด้วย โดยในกราฟด้านบนจะเป็นอุณหภูมิในรูปของอุณหภุมิที่มีค่าสูงกว่าอุณหภูมิห้อง ทั้งนี้ก็ไม่ได้มีการระบุไว้ชัดเจนว่าอุณหภูมิห้องในระหว่างที่ทดสอบนั้นอยุ่ที่ช่วงประมาณไหน แต่บอกไว้เพียงอ้อม ๆ ว่าจากที่ได้ลองเปลี่ยนฮีตซิงก์จาก Noctua NH-U12S ไปเป็น NH-D14 ซึ่งมันช่วงลดอุณหภูมิลงไปได้อีกเพียง 3°C เท่านั้น ในขณะที่แม้ว่าจะต้องใช้อุณหภูมิห้องเพียง 15°C ก็ตามที และถ้ามองจากสันส่วนที่ออกมา ระหว่างความเร็วที่เพิ่มขึ้นมาอีกราว 7.2% ซึ่งประสิทธิภาพที่ได้เพิ่มมาสูงสุดก็อยู่ในช่วง 7.2% เช่นเดียวกัน (กราฟล่าง)
ส่วนจุดที่ดูจะน่าสนใจจริง ๆ ก็คงเป็นกราฟสุดท้าย สำหรับกราฟในแบบบทสรุปภาพรวมของเรื่องประสิทธิภาพต่อการใช้พลังงาน ซึ่งหากอิงจาก 6700K โดยที่ 7700K จะให้ความแรงที่เพิ่มขึ้นมาโดยรวมเพียงประมาณ 3% เท่านั้นแต่กลับใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นไปกว่า 28.8% ดังนั้นจึงทำให้ประสิทธิภาพต่อการใช้พลังงานติดลบหรือด้อยกว่า 6700K ด้วยซ้ำไปกับในช่วง -19.5%
สรุปสงส่งท้าย (ZoLKoRn Says)
คิดว่าเราน่าจะได้เห็นอะไรกันไปมากพอสมควรสำหรับบททดสอบที่แม้ว่าจะยังไม่เป็นทางการ แม้ว่าทาง Tomshardware จะพูดถึงหรือสรุปประเด็นต่าง ๆ ในแบบอ้อม ๆ เพราะครั้นจะให้พูดเต็ม ๆ ก็ยังไม่ได้เพราะว่ายังติดเรื่องของ NDA ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลแบบเต็ม ๆ ได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่เขานำเสนออกมาก็คงทำให้เราได้คลายข้อสงสัยกันได้หลายจุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความแตกต่างไปจาก Skylake ที่หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยกันอยู่ว่า Intel ได้ทำอะไรไปกับ Kaby Lake ไปบ้าง ทำไมถึงได้ความเร็วเพิ่มมาอีกตั้งเยอะแยะ และในเรื่องของความแรง ซึ่งบางท่านอาจจะมองกันว่า มันแรงขึ้นจากผลที่เคยหลุดมา แต่ก็อาจจะไม่ได้มองว่าที่มันแรงขึ้นเพราะตัว CPU มีความเร็วที่เพิ่มขึ้น ซึ่งในวันนี้ก็คงจะชัดเจนระดับหนึ่งแล้วละครับกับในเรื่องของ IPC หรือความแรงต่อ MHz ที่มันไม่ได้แตกต่างออกไปเลย ทุกอย่างที่ได้มาก็มาจากความเร็วที่เพิ่มขึ้นล้วน ๆ
นอกจากนี้จุดที่ทำให้เราต้องเริ่มพะวงก็คือเรื่องของอุณหภูมิ ซึ่งดูแล้วมันจะยังคงร้อน(แรง)เหมือนเดิม หรืออาจจะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ เพราะถ้ามองจากที่ทางน้าทอมทำกราฟมาแล้วบอกว่าสูงกว่าอุณหภูมิห้องไปเท่าไหร่ ซึ่งในจุดความเร็วเดิม ๆ จะเห็นว่ามันบวกไปอีก 76°C และหากว่าอุณหภูมิห้องในระหว่างทำการทดสอบอยู่ในช่วง 15°C นั่นก็หมายความว่าตัวเลขของอุณหภูมิที่ออกมาก็คือกว่า 91°C กันเลยทีเดียว
ทิ้งท้ายตรงนี้ สำหรับใครที่รอการมาของ Kaby Lake กันอยู่นั้น ผมมองว่าถ้ามี 6700K และ Z170 อยุ่ในมืออยู่แล้ว ไม่ต้องไปดิ้นรนอะไรหรอกครับ ปิดเนต ปิด 3G ไม่ต้องตามข่าวซะบ้างจะได้ไม่มีกิเลสแล้วจะได้ไม่ต้องมาอยากได้ของใหม่ และยิ่งถ้าไม่ได้เป็นคนที่คิดจะสนุกกับเรื่องของการโอเวอร์คล๊อก ซื้อมายังไงใช้อย่างนั้น ก็ยิ่งไม่จำเป็นเลย ส่วนใครที่จะจัดใหม่ยกเซ็ตอยู่แล้ว อันนี้ก็ให้รอดูท่าทีที่ชัดเจนอีกครั้ง เพราะไหน ๆ ก็รอมานานแล้วรอดูอีกนิด หากว่ามันไม่มีอะไรในกอไผ่ขึ้นมาจริง ๆ รอเก็บตก 6700K+Z170 ในราคาประหยัด ๆ จากกลุ่มที่ไล่ตามเทคโนโลยีก็ยังได้ หรือถ้าอยากลองอยากเล่น Kaby Lake จริง ๆ ก็คงไม่ว่ากัน แต่จุดหนึ่งที่ผมหวังไว้อย่างยิ่งคือเรื่องของ IMC แต่พอมาเห็นน้าทอมฯแกทดสอบเกี่ยวกับเรื่องแรม 2 แถว 4 แถวแล้ว รุ้สึกว่าท้อขึ้นมานิด ๆ จากที่เคยคิดว่า IMC มันน่าจะแข็งแรงขึ้น แต่ดู ๆ แล้วคงไม่มีอะไรแตกต่างไปจาก Skylake จริง ๆ ดังนั้นมันคงไม่ผิดละครับที่ Tomshardware จะเรียก Kaby Lake ว่ามันคือ Skylake ในเวอร์ชัน Overclock หรือถ้าย้อนกลับไปไกลหน่อยในยุคของ Nehalem มันก็อารมณ์ประมาณการเปลี่ยน Rev จาก C0 ไปเป็น D0 ที่สามารถลากได้ไกลขึ้นมากประมาณนั้นเลย !
from:http://feedproxy.google.com/~r/zolkorn/~3/9Cg10yCmywg/