คลังเก็บป้ายกำกับ: SANSIRI

[PR] แสนสิริ เปิดตัว Property Technology เต็มรูปแบบ รายแรกของไทย สร้างนวัตกรรมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ในที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน ดึงไทยพาณิชย์เสริมแกร่งผ่าน “สิริ เวนเจอร์” ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท

แสนสิริ (SIRI) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดตัว “สิริ เวนเจอร์” (SIRI VENTURE) บริษัทร่วมทุนในรูปแบบ Corporate Venture Capital ทำการวิจัยและลงทุน เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ (R&D) ด้าน Property Technology อย่างเต็มรูปแบบเป็นรายแรกของไทย เน้นเปิดโอกาสสำคัญให้กลุ่มสตาร์ทอัพพัฒนาแนวคิดนวัตกรรมเกี่ยวกับการใช้ไลฟ์สไตล์ในที่อยู่อาศัยจนสำเร็จใช้งานจริงและสนับสนุนให้เข้าถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรง โดยมีไทยพาณิชย์ร่วมสนับสนุนในฐานะผู้มีประสบการณ์ด้านการลงทุนด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ รวมถึงการนำเทคโนโลยีทางการเงิน หรือ FinTech เข้าร่วมพัฒนานวัตกรรมไปพร้อมกัน เผย สิริ เวนเจอร์ ใช้ทุนจดทะเบียนในช่วงเริ่มต้น 100 ล้านบาท ลงทุนสร้างสรรค์เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ร่วมกับกลุ่มนักวิจัย, นักประดิษฐ์, ผู้ผลิตและธุรกิจสตาร์ทอัพ ตั้งเป้าสร้างเครือข่ายกับผู้พัฒนานวัตกรรมใหม่ด้าน Property Technology อย่างน้อย 300 รายภายในปี 2020 เชื่อมั่น สิริ เวนเจอร์ จะช่วยส่งให้นวัตกรรมเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยไทยไปได้ไกลในระดับโลก รวมทั้งเสริมการเติบโตให้กับธุรกิจหลักอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ร่วมทุนกับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ก่อตั้ง Venture Capital ในชื่อ บริษัท สิริ เวนเจอร์ จำกัด SIRI VENTURE โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นระหว่างแสนสิริ และธนาคารไทยพาณิชย์  90:10 ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ลงทุนและพัฒนาในนวัตกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่ออนาคต และการใช้ชีวิตในที่อยู่อาศัยหรือ “พร็อพเพอร์ตี้ เทคโนโลยี” (Property Technology) อย่างเต็มรูปแบบรายแรกของไทย

“แสนสิริได้ศึกษาและตัดสินใจจัดตั้ง Corporate Venture Capital หรือ “ธุรกิจร่วมลงทุน” ขึ้น เพื่อมองหาโอกาสในการลงทุนธุรกิจประเภท Property Technology ที่มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทแสนสิริ และจะมีส่วนช่วยผลักดันธุรกิจหลักของแสนสิริให้มีประสิทธิภาพและมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น รวมถึงมองหาโอกาสและ Innovation ทางธุรกิจและกระบวนการธุรกิจใหม่ๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง ประกอบกับการที่แสนสิริมีพันธมิตรทางธุรกิจอย่างธนาคารไทยพาณิชย์ ที่มีความเข้าใจและมองเห็นโอกาสใหม่ๆ ของการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจในโลกดิจิตัลและให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมด้านการเงินหรือ FinTech ทำให้บริษัทร่วมลงทุนกับธนาคารไทยพาณิชย์ ก่อตั้ง สิริ เวนเจอร์ ขึ้นเพื่อเป็น Corporate Venture Capital ด้าน Property Technology อย่างเต็มรูปแบบรายแรกของไทย ซึ่งประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นอย่างชัดเจนคือ แสนสิริจะมีหน่วยงานเฉพาะที่รับผิดชอบเรื่องของการสรรหาและลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทางด้าน Property Technology เหล่านี้เข้ามาใช้เป็นรายแรก ทั้งเพื่อการดำเนินธุรกิจ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ สำหรับลูกค้า หรือสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ จากนวัตกรรมบริการที่สามารถนำไปขายให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่น หรือแม้แต่กับธุรกิจอื่น ๆ เกิดเป็นช่องทางรายได้ใหม่ที่จะผลักดันวงจรการเติบโตแบบก้าวกระโดดครั้งใหม่ซึ่งจะส่งผลประโยชน์สูงสุดคืนให้แก่ลูกค้าจากการที่ แสนสิริจะมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ ทั้งเพื่อการดำเนินธุรกิจ พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ สำหรับลูกค้าตลอดเวลา อาทิ การนำระบบ Smart Home Integration เปิดตัวใช้ที่โครงการ 98 Wireless และโครงการ The XXXIX ทั้งโครงการเป็นครั้งแรก” นายอภิชาติกล่าว

นายอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การร่วมลงทุนใน สิริ เวนเจอร์ กับแสนสิริในครั้งนี้ เกิดขึ้นจากการที่ ดิจิทัล เวนเจอร์ส ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ทำหน้าที่เป็นผู้พัฒนานวัตกรรมทางการเงินและดูแลการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีของธนาคาร เห็นว่าเป็นโอกาสที่เราจะได้ขยายขีดความสามารถในการเข้าถึงสตาร์ทอัพและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อทำงานร่วมกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า มุมมองทางด้านเทคโนโลยีของไทยพาณิชย์นั้น ไม่หยุดอยู่แค่การพัฒนาผลิตภัณฑ์การเงินเท่านั้น แต่ต้องการสร้างสรรค์เทคโนโลยีทางการเงินที่เข้าถึงหรือผสานอยู่ใน Ecosystem ต่างๆ ในชีวิตประจำวันของลูกค้าได้อย่างกลมกลืนและสมบูรณ์แบบ ทำให้ธนาคารสามารถนำ FinTech เข้ามาทำงานร่วมกันกับ Property Technology เกิดเป็น Living Ecosystem ที่สมบูรณ์ และนำมาซึ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการร่วมกันได้อย่างครบวงจร อาทิ การซื้อของ และการปล่อยสินเชื่อผ่านช่องทางออนไลน์ โดยมีเป้าหมายในการร่วมสร้างประสบการณ์ทางการเงินและการอยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า การทำงานร่วมกันเช่นนี้จะทำให้เรามองเห็นภาพผู้บริโภคได้กว้างมากขึ้น สามารถนำนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ไปวางในจุดที่ถูกต้องแม่นยำ รวมทั้งเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ มากยิ่งขึ้นตามเป้าหมายและวิสัยทัศน์ของธนาคาร โดยธนาคารมีความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการเงินที่ทันสมัยและตอบโจทย์ลูกค้าทั้งระดับองค์กรที่เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หรือลูกค้าเอสเอ็มอีซึ่งดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้บริโภคซึ่งเป็นผู้ซื้ออสังหาฯ รวมทั้งยังเป็นโอกาสดีที่จะได้แลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญและนวัตกรรมสำหรับการบริหารงานด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้าน Digital Payment, Blockchain, Big Data ซึ่งธนาคารฯ กำลังมุ่งพัฒนาศักยภาพของเทคโนโลยีอยู่”

นายชาคริต จันทร์รุ่งสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิริ เวนเจอร์ จำกัด กล่าวว่า “แสนสิริคือผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่บุกเบิกและเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีมานานหลายปีแล้ว โดยเริ่มนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการทำ Marketing ตั้งแต่ปี 2552 ด้วยการทำ Digital Sales Kit บนหน้าจอ Multitouch เป็นรายแรกของไทย ช่วยให้การขายโครงการสะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น  รวมทั้งพัฒนา Home Service โมบายแอพพลิเคชั่นสำหรับให้บริการลูกบ้านแสนสิริ ตั้งแต่ปี 2555 วันนี้แสนสิริก้าวสู่อีกระดับด้วยการก่อตั้ง สิริ เวนเจอร์ เพื่อมุ่งพัฒนาและลงทุนใน Property Technology ซึ่งเป็นนวัตกรรมเพื่ออนาคตของการใช้ชีวิต ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น เร็วขึ้น และประหยัดยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาวงการอสังหาริมทรัพย์ให้เกิดความยั่งยืนในอนาคต นวัตกรรมเป็นได้ทั้งผลิตภัณฑ์ ผลงานวิจัย งานดีไซน์ใหม่ ๆ หรือโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาวงการอสังหาริมทรัพย์ให้เกิดความยั่งยืน นวัตกรรมสร้างได้ทั้งผลิตภัณฑ์ ผลงานวิจัย งานดีไซน์ใหม่ ๆ หรือโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ที่ครอบคลุมเทคโลยีสำหรับการทำธุรกิจด้านที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจร (Holistic Property Technology Landscape) ตั้งแต่การบริหารระบบข้อมูล การออกแบบโครงการ การก่อสร้าง การสนับสนุนการซื้อขาย การบริหาร และให้บริการภายในโครงการ ไปจนถึงเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ในการอยู่อาศัยแบบองค์รวม การสร้างนวัตกรรม ซึ่งผ่านขั้นตอนจากไอเดีย สู่สตาร์ทอัพ จนธุรกิจสามารถอยู่รอดได้นั้น จะกลายเป็นสิ่งที่ผลักดันให้เกิดวงจรการเติบโตแบบก้าวกระโดด นอกจากนั้น เราจะมีแผนดำเนินธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property Management) เพื่อสร้างรายได้ต่อยอดสู่ระดับนานาชาติ”

ภารกิจสำคัญของ สิริ เวนเจอร์ มี 3 ส่วน ประกอบด้วย 1. ร่วมลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัย ด้วยลงทุน 100 ล้านบาท เริ่มจากในประเทศไทยและสิงคโปร์  2. ร่วมทุนและยกระดับศักยภาพของ Home Service โมบายแอพพลิเคชัน สำหรับลูกบ้านแสนสิริ เพื่อบริการรูปแบบใหม่ที่ครอบคลุมทุกมิติของการใช้ชีวิต และสามารถขยายขอบข่ายบริการในตลาดที่กว้างขึ้น และ 3. จัดตั้งโครงการผลักดันสตาร์ทอัพด้าน Property Technology โดยเฉพาะครั้งแรกในประเทศไทย (Property Technology Accelerator) เพื่อเฟ้นหาสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัยที่มีศักยภาพในการลงทุน

สำหรับการลงทุนและยกระดับศักยภาพของ Home Service โมบายแอพพลิเคชั่นสำหรับลูกบ้านแสนสิริ ซึ่งเริ่มพัฒนามาตั้งแต่ปี 2555 มีผลตอบรับที่ดีมากด้วยจำนวนผู้ใช้จากหลักร้อยเพิ่มเป็นหลักหมื่นในเวลาเพียง 3 ปี จึงมีศักยภาพที่จะปฏิรูปให้เป็นนวัตกรรมบริการดิจิทัลที่อำนวยความสะดวกในทุกมิติของการใช้ชีวิตประจำวันอย่างสมบูรณ์แบบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในแวดวง Property Technology ตั้งแต่ ระบบส่งข้อความ แจ้งข่าวสาร เรียกใช้บริการซ่อมแซมภายในบ้าน ไปจนถึงการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการ ระบบควบคุมสั่งการอัจฉริยะภายในบ้าน รวมทั้งการเพิ่มเติมบริการอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการใหม่ ๆ ที่เปลี่ยนไปของผู้คนในอนาคต และเป็น Property Technology ปฏิวัติวงการตัวเด่นที่สามารถขยายขอบข่ายตลาดผู้ใช้สู่วงกว้าง ไม่จำกัดเฉพาะโครงการแสนสิริ ไม่ว่าจะเป็นการนำไปเสนอกับโครงการอสังหาฯ ของผู้พัฒนาอื่น ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบัน  Home Service มีจำนวนผู้ใช้ซึ่งเป็นลูกบ้านของแสนสิริแล้วจำนวนถึงกว่า 13,000 ราย ใน 135 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียม

ด้านโครงการ Property Technology Accelerator จะมีการวางเป้าหมายอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม ซึ่งจะเริ่มในไตรมาส 2 ของปีนี้ โดยรับสมัครทีมสตาร์ทอัพจำนวน 100 ทีม จากนั้นในไตรมาสมาส 3 จะคัดเลือกที่มีศักยภาพ 15 ทีมมาเข้าร่วม Business Incubation เพื่อการบ่มเพาะธุรกิจ พร้อมคอร์สติวเข้มกับผู้บริหารและนักธุรกิจซึ่งมีความเชี่ยวชาญ ก่อนที่จะมาคัดเลือกสตาร์ทอัพที่สามารถต่อยอดทางธุรกิจได้ประมาณ 8-10 ทีมอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเราจะผลักดันนวัตกรรมที่เราพัฒนาให้ได้รับการจดสิทธิบัตรต่อไป

“จากฐานข้อมูลการวิจัยและพัฒนาของเรา เทรนด์การพัฒนาเทคโนโลยีกำลังก้าวจาก Formless สู่ Borderless และ Limitless ข้อจำกัดต่าง ๆ จะค่อย ๆ ลดหายไป Property Technology ที่มาแรงในช่วงอนาคตอันใกล้ซึ่งเราสนใจลงทุน จึงได้แก่เทคโนโลยีโมบิลิตี้ที่นำมาการใช้งานในรูปแบบใหม่ ๆ ที่หลากหลายขึ้น เทคโนโลยีด้านสมาร์ทโฮม ไม่ว่าจะเป็นด้าน Home Automation, Security หรือ Home AI หรือระบบสั่งการด้วยเสียง ระบบ Preventive Maintenance ภายในบ้าน และเทคโนโลยีโรโบติกส์ หรือหุ่นยนต์ ซึ่งสามารถพัฒนามาเป็นหุ่นยนต์ส่งของถึงห้องพักภายในอาคารคอนโดมิเนียมเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้พักอาศัย และเทคโนโลยี Exoskeleton  ซึ่งเป็นชุดหุ่นยนต์ที่สวมใส่ได้เพื่อเป็นอุปกรณ์เพิ่มขีดความสามารถของมนุษย์ เช่น ความแข็งแกร่ง เคลื่อนไหวได้รวดเร็วยิ่งขึ้น สามารถนำมาใช้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในส่วนของงานก่อสร้าง เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพและความรวดเร็ว และลดต้นทุนในการทำงาน ตลอดจนเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”

###

from:https://www.techtalkthai.com/sansiri-open-property-technology-siri-venture-in-collab-with-scb/

ฟัง “ชาคริต จันทร์รุ่งสกุล” กับภารกิจสร้างบ้านที่อัปเกรดได้ให้ “แสนสิริ”

 


ซื้ออสังหาริมทรัพย์อย่างรถยนต์ยังมีอัปเกรด อสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่กว่าอย่างเช่น “บ้าน” จึงมีแนวโน้มจะถูกพัฒนาไปในทิศทางดังกล่าวเช่นเดียวกัน และนี่คือภารกิจที่ Siri Venture ภายใต้การกุมบังเหียนของ “ชาคริต จันทร์รุ่งสกุล” เข้ามารับหน้าที่สร้างให้สำเร็จ

โดยย้อนหลังความเป็นผู้นำในวงการ PropTech ของคุณชาคริตนั้นเกิดขึ้นในปี 2009 กับการผุดโปรเจ็ค Digital Sales Kit แบบ Multi-Touchให้แสนสิริใช้ขายคอนโดมิเนียม ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีและสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว ต่อมาในปี 2010 สตีฟ จ็อบส์ เปิดตัว iPad ก็เป็นคุณชาคริตอีกเช่นกันที่ดึง iPad มาทำ iPad Sales Kit ให้กับแสนสิริเป็นรายแรกของไทย โดยทุกวันนี้ก็ยังใช้อยู่

แต่ภารกิจที่เขาจะต้องมีต่อ SIRI Venture ในปัจจุบันและอนาคตเบื้องหน้านั้นต่างออกไป (อ่าน แสนสิริเปิดตัว SIRI Venture VC ด้าน PropTech รายแรกของไทย) เพราะวิสัยทัศน์ของเขาบอกว่า โลกเรากำลังเข้าสู่ยุค “Formless, Borderless และ Limitless” แล้วนั่นเอง

“เมื่อก่อนเราจับเงินเป็นธนบัตร จนกระทั่งวันหนึ่งมันเปลี่ยนไปอยู่ในรูปของบัตรเครดิต ก่อนจะเปลี่ยนมาสู่รูปแบบดิจิทัล ลูกค้าจีนมาไทยวันนี้สามารถจ่ายเงินผ่าน WeChat เหล่านี้จะเห็นว่าฟอร์มมันเริ่มหายไป ดังนั้น คำถามสำคัญของปีนี้คือ  ธุรกิจต้องถามตัวเองว่าพร้อมแล้วหรือยังที่จะรับเงินจากฟอร์มอื่น”

“การที่มัน Formless มันนำไปสู่ Borderless ไร้รูป ไร้พรมแดน และนำไปสู่การไร้ขีดจำกัดหรือ Limitless นี่คือสิ่งที่สตาร์ทอัปมองอยู่ นี่คือ New Economy ถ้าธุรกิจจะต้องแข่งขันใน New Economy ทุกธุรกิจต้องปรับตัว นี่คือที่มาของ Digital Transformation ถ้าคุณไม่เข้าใจเรื่องนี้ภายในปี 2017 โอกาสที่จะถูก Disruption มีสูง”

ที่สำคัญ คุณชาคริตยังมองว่า นี่ก็อาจเป็นที่มาของ S-Curve ตัวใหม่ของวงการอสังหาริมทรัพย์ได้ด้วย

“เพื่อรองรับการเปลี่ยนถ่ายไปสู่ยุคดิจิทัล สิ่งสำคัญที่ธุรกิจต้องมองหาก็คือ New Research, New Product, New Design, New Services, New Business Model ไปจนถึงการเป็น New Company ดังนั้นสิ่งที่ SIRI Venture จะทำมีสามเรื่องคือ Research, Develop และ Partner ความตั้งใจของเราก็คือจะพาสตาร์ทอัปที่มีเข้าตลาดหลักทรัพย์ให้ได้”

“ตัวอย่างแรกที่เราทำอยู่ก็คือสิ่งที่บริษัท HomeService Technology ของผมเอง Siri Venture ถือหุ้นอยู่ 51% เป็นบริษัทพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับติดต่อสื่อสารระหว่างผู้พักอาศัยในคอนโดมิเนียมกับฝ่ายนิติบุคคล ให้อยู่ใน Digital Form โดยเริ่มต้นเมื่อสี่ปีที่แล้ว ตอนนี้ เรามีแอปพลิเคชันสำหรับบ้าน ที่ลูกบ้านสามารถแจ้งซ่อมได้ผ่านแอปพลิเคชัน และเรามีการจับเวลาเลยว่า โครงการใช้เวลาซ่อมกี่นาที อยากจะจองสปา จองห้องประชุมก็ทำได้ผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งทำให้เราสร้างเซอร์วิสใหม่ ๆ ได้เต็มไปหมด”

คุณชาคริตได้ยกตัวอย่าง Smart Home ที่สามารถใช้แอปพลิเคชันสั่งเปิดปิดไฟ แอร์ ในบ้านได้ล่วงหน้า

แต่ความอัจฉริยะของระบบยังไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะเฟสต่อไปก็คือการนำ “ปัญญาประดิษฐ์” (AI) มาใช้งานร่วมด้วย ซึ่งความเป็นไปได้ที่ AI จะมาให้บริการแก่ลูกบ้านแสนสิริ รวมถึงลูกค้ารายต่าง ๆ นั้นอาจอยู่ในรูปแบบเช่น AI ตรวจจับได้ว่า รถกำลังแล่นเข้ามาในถนนหมู่บ้าน AI จะถามเลยว่า ให้เปิดไฟ เปิดแอร์ในบ้านไว้รอเลยไหม หรือถ้านอนอยู่ในบ้านสองคนบนเตียง และคนหนึ่งลุกจากเตียงตอนตีสาม เซนเซอร์ต้องจับได้เลยและเปิดไฟห้องน้ำให้โดยอัตโนมัติ

“นี่คือ AI เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะต้องสร้างต่อไปมีอีกเยอะ เราจะสร้างไปถึง Preventive Maintenance ที่ระบบอัตโนมัติสามารถเข้าไปช่วยลูกบ้านในการบำรุงรักษาได้ ไม่ต้องรอให้อุปกรณ์เสียก่อนจึงค่อยซ่อม เช่น ติดเซนเซอร์ตรวจจับความชื้นไว้ใต้พื้นบ้าน ถ้าตรวจจับได้ก็แจ้งเตือน ไม่ต้องรอให้พื้นบวมเสียก่อนจึงจะค่อยซ่อม เหล่านี้คือสิ่งที่เทคโนโลยีดิจิทัลสามารถเข้าไปช่วยได้”

แต่เมื่อมีสิ่งที่อยากทำมหาศาล การจะลดความยุ่งยากลงจึงต้องเปลี่ยนให้ทั้งหมดอยู่ในรูปแบบของแพลตฟอร์ม เพื่อที่ว่าใครมีเซอร์วิสใหม่่ ๆ ดี ๆก็สามารถนำมา Plug-in เข้าด้วยกันได้ หรือสามารถอัปเกรดได้ไม่ต่างจาก OS บนสมาร์ทโฟน

“ใครที่ซื้อรถ Tesla เมื่อสามปีที่แล้ว ไม่มีหรอก AutoPilotแต่เทสล่าอัปเดตซอฟต์แวร์เมื่อต้นปีที่แล้ว เท่านี้คนที่ซื้อรถก็ได้ลองขับแล้ว ผมถึงบอกว่านี่คือการเปลี่ยนแปลง ฉะนั้น บ้านที่ซื้อไปก็ควรอัปเกรดได้เช่นกัน”

เชื่อว่าหลังจากจบงานนี้แล้ว งานของคุณชาคริตที่รออยู่ข้างหน้า อาจไม่ใช่แค่การสร้างบ้านที่อัปเกรดได้ให้แสนสิริ แต่บางทีอาจเป็นการอัปเกรดคุณภาพชีวิตครั้งใหญ่ของสังคมไทยทั้งหมดเลยก็เป็นได้

 
Source: thumbsup

from:http://thumbsup.in.th/2017/02/shakrit-chanrungsakul-with-mission-for-siri-venture/

แสนสิริเปิดตัว “SIRI Venture” VC ด้าน PropTech รายแรกของไทย

(ซ้ายไปขวา) คุณอาทิตย์ นันทวิทยา, คุณชาคริต จันทร์รุ่งสกุล และคุณอภิชาติ จูตระกูล

ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวที่น่าจับตามองของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เมื่อยักษ์ใหญ่ของวงการอย่าง แสนสิริ (SIRI) เปิดตัว SIRI Venture บริษัทร่วมทุนในรูปแบบ Corporate Venture Capital เพื่อทำการวิจัย และลงทุนเพื่อสร้างนวัตกรรมด้าน Property Technology อย่างเต็มรูปแบบรายแรกของไทย โดยในงานมีธนาคารไทยพาณิชย์ร่วมสนับสนุนในฐานะผู้มีประสบการณ์ด้านการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีและสตาร์ทอัป รวมถึงกลุ่ม FinTech เข้าร่วมพัฒนานวัตกรรมในครั้งนี้ด้วย 

สำหรับทุนจดทะเบียนของ SIRI Venture นั้นเริ่มต้นอยู่ที่ 100 ล้าน สัดส่วนการถือหุ้นระหว่างแสนสิริกับธนาคารไทยพาณิชย์อยู่ที่ 90 : 10 ซึ่งทางแสนสิริตั้งเป้าว่าจะสามารถสร้างเครือข่ายกับผู้พัฒนานวัตกรรมด้าน Property Technology ได้อย่างน้อย 300 รายภายในปี 2020 (พ.ศ. 2563) รวมถึงแสดงความเชื่อมั่นว่า SIRI Venture จะช่วยส่งให้นวัตกรรมเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยไทยไปได้ไกลในระดับโลก รวมทั้งเสริมการเติบโตให้กับธุรกิจหลักอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

คุณอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นอย่างชัดเจนคือ แสนสิริมีหน่วยงานเฉพาะที่รับผิดชอบเรื่องการสรรหาและลงทุนในนวัตกรรมด้าน Property Technology ใหม่ ๆ เพื่อการดำเนินธุรกิจ และสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ สำหรับลูกค้า รวมถึงสามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ จากนวัตกรรมที่คิดค้นขึ้น ทำให้แสนสิริมีบริการใหม่ ๆ สำหรับลูกค้าตลอดเวลา เช่น การนำระบบ Smart Home Integration มาใช้กับโครงการ 98 Wireless และโครงการ The XXXIX”

ด้านคุณอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การร่วมลงทุนใน SIRI Venture กับแสนสิริในครั้งนี้ เกิดขึ้นจากการที่ ดิจิทัล เวนเจอร์ส ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ทำหน้าที่เป็นผู้พัฒนานวัตกรรมทางการเงินและดูแลการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีของธนาคาร เห็นว่าเป็นโอกาสที่เราจะได้ขยายขีดความสามารถในการเข้าถึงสตาร์ทอัปและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อทำงานร่วมกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า มุมมองทางด้านเทคโนโลยีของไทยพาณิชย์นั้น ไม่หยุดอยู่แค่การพัฒนาผลิตภัณฑ์การเงินเท่านั้น แต่ต้องการสร้างสรรค์เทคโนโลยีทางการเงินที่เข้าถึงหรือผสานอยู่ใน Ecosystem ต่างๆ ในชีวิตประจำวันของลูกค้าได้อย่างกลมกลืนและสมบูรณ์แบบ ทำให้ธนาคารสามารถนำ FinTech เข้ามาทำงานร่วมกันกับ Property Technology เกิดเป็น Living Ecosystem ที่สมบูรณ์ และนำมาซึ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการร่วมกันได้อย่างครบวงจร”

ส่วนคุณชาคริต จันทร์รุ่งสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท SIRI Venture จำกัด กล่าวว่า “แสนสิริคือผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่บุกเบิกและเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีมานานหลายปีแล้ว โดยเริ่มนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการทำ Marketing ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 ด้วยการทำ Digital Sales Kit บนหน้าจอ Multitouch เป็นรายแรกของไทย ช่วยให้การขายโครงการสะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น  รวมทั้งพัฒนา Home Service โมบายแอปพลิเคชั่นสำหรับให้บริการลูกบ้านแสนสิริ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 วันนี้แสนสิริก้าวสู่อีกระดับด้วยการก่อตั้ง SIRI Venture เพื่อมุ่งพัฒนาและลงทุนใน Property Technology ซึ่งเป็นนวัตกรรมเพื่ออนาคตของการใช้ชีวิต ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น เร็วขึ้น และประหยัดยิ่งขึ้น”

แต่นอกจากการสร้างนวัตกรรมเพื่อต่อยอดเข้าสู่ภาคธุรกิจแล้ว SIRI Venture ยังมีแผนดำเนินธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property Management) เพื่อสร้างรายได้ต่อยอดสู่ระดับนานาชาติอีกด้วย โดยคุณชาคริตตั้งเป้าไว้ว่า ภายในปี 2020 จะต้องมีสิทธิบัตรให้ถือครองไม่ต่ำกว่า 10 สิทธิบัตรเลยทีเดียว

ทั้งนี้ ภารกิจสำคัญของ SIRI Venture มี 3 ส่วน ประกอบด้วย
1. ร่วมลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัย ด้วยเงินลงทุน 100 ล้านบาท เริ่มจากในประเทศไทยและสิงคโปร์ 
2. ร่วมทุนและยกระดับศักยภาพของ Home Service โมบายแอปพลิเคชัน สำหรับลูกบ้านแสนสิริ เพื่อบริการรูปแบบใหม่ที่ครอบคลุมทุกมิติของการใช้ชีวิต และสามารถขยายขอบข่ายบริการในตลาดที่กว้างขึ้น
3. จัดตั้งโครงการผลักดันสตาร์ทอัพด้าน Property Technology โดยเฉพาะครั้งแรกในประเทศไทย (Property Technology Accelerator) เพื่อเฟ้นหาสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัยที่มีศักยภาพในการลงทุน

 

ด้านโครงการ Property Technology Accelerator จะมีการวางเป้าหมายอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม ซึ่งจะเริ่มในไตรมาส 2 ของปีนี้ โดยรับสมัครทีมสตาร์ทอัปจำนวน 100 ทีม จากนั้นในไตรมาสมาส 3 จะคัดเลือกทีมที่มีศักยภาพ 15 ทีมมาเข้าร่วม Business Incubation เพื่อการบ่มเพาะธุรกิจ พร้อมคอร์สติวเข้มกับผู้บริหารและนักธุรกิจซึ่งมีความเชี่ยวชาญ ก่อนที่จะมาคัดเลือกสตาร์ทอัปที่สามารถต่อยอดทางธุรกิจได้ประมาณ 8-10 ทีมอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเราจะผลักดันนวัตกรรมที่เราพัฒนาให้ได้รับการจดสิทธิบัตรต่อไป

“จากฐานข้อมูลการวิจัยและพัฒนาของเรา เทรนด์การพัฒนาเทคโนโลยีกำลังก้าวจาก Formless สู่ Borderless และ Limitless ข้อจำกัดต่าง ๆ จะค่อย ๆ ลดหายไป Property Technology ที่มาแรงในช่วงอนาคตอันใกล้ซึ่งเราสนใจลงทุน จึงได้แก่เทคโนโลยีโมบิลิตี้ที่นำมาการใช้งานในรูปแบบใหม่ ๆ ที่หลากหลายขึ้น เทคโนโลยีด้านสมาร์ทโฮม ไม่ว่าจะเป็นด้าน Home Automation, Security หรือ Home AI หรือระบบสั่งการด้วยเสียง ระบบ Preventive Maintenance ภายในบ้าน และเทคโนโลยีโรโบติกส์ หรือหุ่นยนต์ ซึ่งสามารถพัฒนามาเป็นหุ่นยนต์ส่งของถึงห้องพักภายในอาคารคอนโดมิเนียมเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้พักอาศัย และเทคโนโลยี Exoskeleton  ซึ่งเป็นชุดหุ่นยนต์ที่สวมใส่ได้เพื่อเป็นอุปกรณ์เพิ่มขีดความสามารถของมนุษย์ เช่น ความแข็งแกร่ง เคลื่อนไหวได้รวดเร็วยิ่งขึ้น สามารถนำมาใช้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในส่วนของงานก่อสร้าง เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพและความรวดเร็ว และลดต้นทุนในการทำงาน ตลอดจนเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น” คุณชาคริตกล่าวปิดท้าย

 
Source: thumbsup

from:http://thumbsup.in.th/2017/02/sansiri-sets-full-scale-proptech-in-thailand-by-launching-siri-venture/

ต่างชาติยังเชื่อมั่นธุรกิจอสังหา หลังอัดเงินซื้อคอนโดใน-นอกเมือง เครือแสนสิริ แตะ 5,600 ล้านบาท

แม้กระแสอสังหาริมทรัพย์ปีนี้จะหดตัวลงไปบ้าง ผ่านปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ รวมถึงระบบขนส่งสาธารณะที่ยังไม่เรียบร้อยดี แต่นั่นกระทบแค่ผู้ซื้อในประเทศ เนื่องจากต่างชาติยังเชื่อมั่นในประเทศไทย และพร้อมที่จะลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อหวังผลตอบแทนอีกทาง นอกจากการลงทุนรูปแบบอื่นๆ

ต่างชาติปั้นยอดขายแตะ 5,600 ล้านบาท

อุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจ และพัมนาคอนโดมิเนียม บมจ.แสนสิริ บอกว่า ด้วยการที่บริษัทเริ่มออกไปทำตลาดในต่างประเทศมากขึ้น เช่นการจัด Road Show สินค้า รวมถึงการเปิดจองคอนโดมิเนียมโครงการต่างๆ พร้อมกันกับประเทศไทย ทำให้บริษัทเริ่มเป็นที่รู้จักในต่างประเทศ และสร้างยอดขายในปี 2558 ได้ถึง 3,500 ล้านบาท แต่ด้วยปีนี้โครงการเริ่มมีความหลากหลาย และผลตอบแทนจากการลงทุนปล่อยเช่า 5-7% ยอดขายจากต่างชาติในปีนี้จึงทะลุเป้าหมาย 5,000 ล้านบาท และน่าจะจบที่ 5,600 ล้านบาทได้

“โครงการ The Line อโศก-รัชดา คือโครงการที่ได้ผลตอบรับจากต่างชาติมากที่สุด อาจเพราะเรื่องทำเลที่ตั้ง รวมถึงราคาที่ไม่สูงเมื่อเทียบกับ Location เดียวกันในต่างประเทศ ทำให้ต่างชาติที่เข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมตัวนี้ซื้อเพื่อลงทุนถึง 80% และอยู่พักอาศัยเองเพียง 5% เท่านั้น ของยอดขายทั้งหมด 1,300 ล้านบาท ดังนั้นการทำตลาดในต่างประเทศก็ยังคงมีต่อไป เพื่อรักษาอีกช่องทางรายได้ที่สำคัญของบริษัท ส่วนตอนนี้ยอดขายจากชาวต่างชาติอยู่ที่ 5,200 ล้านบาท (ม.ค.-พ.ย. 2559) และถ้าแตะ 5,600 ล้านบาท ก็เท่ากับเพิ่มจากปีก่อนถึง 60%”

อุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจ และพัมนาคอนโดมิเนียม บมจ.แสนสิริ

ฮ่องกงแชมป์ซื้อคอนโดเพื่อลงทุน

สำหรับกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์กับแสนสิริมากที่สุดคือชาวฮ่องกง รองลงมาคือกลุ่มชาวจีน กับไต้หวัน และสุดท้ายคือชาวสิงคโปร์ กับมาเลเซีย ที่สำคัญไม่ใช่แค่คอนโดมิเนียมในเมืองเท่านั้นที่ต่างชาติสนใจ แต่ย่านชานเมือง และบริเวณที่ไม่ได้ติดรถไฟฟ้ามากก็เป็นอีกจุดที่ต่างชาติให้ความสนใจเช่นกัน อาทิ The Line สุขุมวิท 101 ก็สามารถขายได้ 800 ล้านบาท และ Mori Haus กับ The Base Garden พระราม 9 ก็ขายได้กว่า 700 ล้านบาท รวมถึง The Base พัทยากลาง ก็มียอดขายกว่า 700 ล้านบาทเช่นกัน

สรุป

เมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศไทยยังไม่ฟื้นตัวนัก ทำให้กำลังซื้อภายในประเทศไม่ได้อยู่ในสภาวะปกติ ดังนั้นการบุกต่างประเทศเพื่อสร้างรายได้อีกทางจึงเป็นรื่องจำเป็น และหากเดินหน้าไปด้วยดี โอกาสที่จะสร้างรายได้แบบยั่งยืนผ่านตลาดใหม่ก็น่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/foreigner-invest-in-real-estate/

BTS – แสนสิริ ผู้ปิ่นโตยาวๆ พร้อมปูพรมคอนโด และบ้านแนวราบใกล้รถไฟฟ้า

เมื่อชาวกรุงเทพมีวิถีชีวิตเป็นคนเมืองมากขึ้น ดังนั้นแนวโน้มการพักอาศัยก็ต้องเปลี่ยนแปลง และหากพื้นที่เหล่านั้นอยู่ใกล้รถไฟฟ้าสายต่างๆ ก็จะเป็นที่สนใจมากกว่าที่อื่น ดังนั้นกลุ่ม BTS กับแสนสิริ ที่เป็นพันธมิตรกันมากว่า 2 ปี ก็เตรียมร่วมลงทุนกันยาวๆ เพราะต้องการเป็นผู้นำที่อยู่อาศัยแนวรถไฟฟ้า

จากสายสีเขียว สู่ชมพู และเหลือง

ตอนนี้ตัวอักษร BTS กลายเป็นคำจำกัดความของรถไฟฟ้าไปแล้ว เพราะเป็นผู้ให้บริการรายแรก เริ่มต้นจากสายสีเขียว (สายสุขุมวิท และสายสีลม) ดังนั้นไม่ว่าจะมีรถไฟฟ้าสายใหม่เกิดขึ้น ตัวอักษร BTS ก็ยังเป็นคำจำกัดความของรถไฟฟ้าเหมือนเดิม ซึ่งตอนนี้ BTS ได้ชนะประมูลสายสีชมพู (แคราย – มีนบุรี) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว – สำโรง) เรียบร้อย แต่ BTS จะไม่ได้พัฒนาแค่รถไฟฟ้า เนื่องจากเตรียมจับมือกับกลุ่มแสนสิริเพื่อพัฒนาโครงการที่พักอาศัยทั้งแนวดิ่ง และแนวราบที่ใก้ลรถไฟฟ้าทั้งสองสาย เพื่อต่อยอดกลยุทธ์ที่ทำมาก่อนหน้านี้

คีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ BTS เล่าให้ฟังว่า ด้วยความร่วมมือกันมากว่า 2 ปีในการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยกับกลุ่มแสนสิริ ภายใต้แบรนด์ The Line ก็สร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภคในการใช้ชีวิตในเมือง เพราะทุกโครงการของ The Line จะห่างจากรถไฟฟ้าไม่เกิน 500 เมตร และจุดนี้เองทำให้ 4 โครงการที่เปิดตัวไปเมื่อ 2 ปีก่อน เช่น The Line อโศก – รัชดา และจตุจักร – หมอชิต ก็จำหน่ายได้ทั้งหมดภายในช่วง Presale ดังนั้นกลยุทธ์กว้านซื้อที่ดิน และพัฒนาโครงการที่พักอาศัยใกล้รถไฟฟ้าจึงมีต่อไป

คีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์

เตรียมเงิน 20,000 ล้านกว้านซื้อที่ดิน

“เมื่อรถไฟฟ้าพาดผ่านตรงไหน โอกาสที่ความเจริญก็จะเข้าไปถึง และยิ่งความสะดวกเข้าไป คอนโดมีเนียมก็ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของพวกเขาได้ ทำให้เราเตรียมเงินทุนกว่า 20,000 ล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินบริเวณที่รถไฟฟ้าสายสีชมพู และสีเหลืองพาดผ่าน เพื่อร่วมกันพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งคอนโดมีเนียม และบ้านแนวราบ กับกลุ่มแสนสิริ เพราะทางนั้นก็เชี่ยวชาญเรื่องนี้ โดย BTS จะเป็นผู้จัดหาที่ดิน เพื่อคงจุดเด่นเรื่องโครงการใกล้รถไฟฟ้า 500 เมตรไว้เหมือนเดิม และคาดว่าทุกโครงการจะได้ผลตอบรับที่ดีเหมือนกับทุกโครงการที่ผ่านมา”

สำหรับการร่วมมือระหว่าง BTS กับกลุ่มแสนสิรินั้น ปัจจุบันมีทั้งหมด 8 โครงการ ประกอบด้วย The Line จตุจักร-หมอชิต, ราชเทวี, อโศก-รัชดา, สุขุมวิท 101, พหลฯ-ประดิพัทธ์, The Base การ์เดน-พระราม 9 และ Khun by Yoo ทองหล่อ รวมถึงโครงการแรกที่สร้างเสร็จอย่าง The Line สุขุมวิท 71 มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท จำหน่ายหมดแล้ว แต่ยังเหลือรอโอนอีก 20% ราคาเริ่มต้น 3.9 ล้านบาท และคาดว่าสิ้นปีนี้จะโอนได้ครบทั้งหมด แต่ถ้านับมูลค่าทั้ง 8 โครงการจะอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท และมียอดขาย 70% ของมูลค่านี้ หรือ 21,000 ล้านบาทแล้ว

บรรยากาศภายใน Lobby ของ The Line สุขุมวิท 71

ต่างชาติกลายเป็นอีกตลาดสำคัญ

เศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ เสริมว่า ตอนนี้ชาวต่างชาติกลายเป็นอีกเป้าหมายที่สำคัญของการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะพวกเขาชื่นชอบในการลงทุนที่ประเทศไทย ดังนั้น แสนสิริ เข้าไปรุกตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้เปิดการจองอสังหาริมทรัพย์พร้อมกัน 4 ประเทศ คือไทย, ฮ่องกง, สิงคโปร์ และไต้หวัน จนกลายเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้โครงการต่างๆ จำหน่ายได้หมดอย่างรวดเร็ว เช่นโครงการ The Line สุขุมวิท 71 ก็มีผู้ซื้อเป็นชาวต่างชาติถึง 48% หรือครบโควต้าที่ให้ชาวต่างชาติซื้อได้

ส่วนรายได้ของ แสนสิริ ในปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 20,000 ล้านบาท และถึงปัจุบันก็ทำได้แล้ว 15,000 ล้านบาท มาจากการทยอยโอนคอนโดมีเนียมในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด

สรุป

อย่างที่รู้กันว่า BTS และกลุ่มแสนสิริ เป็นอีกนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมีเนียมที่เก่งในกรุงเทพ และน่าจะพัฒนาได้อีกยาว เพราะมี BTS เป็นแหล่งทุน และรู้ว่ารถไฟฟ้ามีโอกาสพาดผ่านไปบริเวณไหน ดังนั้นการโดดออกมาทำบ้านแนวราบ ก็น่าจะเป็นไปได้ และคิดว่าคงอีกไม่นานจะได้เจอบ้านแนวราบที่อยู่ติดรถไฟฟ้ากันตามชานเมืองบ้างแน่ๆ

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/sansiri-bts-real-estate-around-mass-transit/

ต่างประเทศคืออีกทางออกของธุรกิจอสังหาฯ เมื่อสถานการณ์ในประเทศไม่มั่นคง

การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยของชาวต่างชาติมีมาระยะหนึ่งแล้ว แต่หลังจากนี้จะมีมากขึ้นแน่นอน เพราะเจ้าของโครงการต่างต้องการเงินสดจาการซื้อของชาวต่างชาติมาหมุนในช่วงก่อสร้าง ยิ่งช่วงสถานการณ์ในประเทศยังไม่นิ่ง เงินสดยิ่งจำเป็น

ภาพจาก pixabay.com
ภาพจาก pixabay.com

ต่างชาติยังชอบลงทุนในไทย

ก่อนหน้านี้ ธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรส์ เอสเตท จำกัด เจ้าของโครงการ RISE Rama 9 บอกว่า หลังเริ่มวางแผนโครงการ และเปิดจองรอบวีไอพีเมื่อกลางปี 2559 ก็มีเอเยนซี่ที่ดูแลเรื่องการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติในสิงคโปร์ และฮ่องกงติดต่อเข้ามาเป็นจำนวนมาก จนปัจจุบันสามารถจำหน่ายห้องให้กับชาวต่างชาติแล้ว 40% ของทั้งหมด และสิ้นปีนี้น่าจะครบโควต้าต่างชาติ

“49% ที่เป็นโควต้าต่างชาติจะครบแน่นอน และถึงต่างชาติจะเข้ามาซื้อเราเยอะ แต่ RISE Rama 9 ก็จัดให้ชาวต่างชาติไปอยู่รวมกัน 2 ตึก จากทั้งหมด 4 ตึก เพื่อแยกแต่ละวัฒนธรรม และจริงๆ เราอยากขายคนไทยก่อน เพราะถ้าขายคนไทยเยอะ มันก็ว้าวในสายตาผู้บริโภค ในทางกลับกันกลุ่มต่างชาติเราไม่ต้องกังวลว่าเข้าจะกู้ไม่ผ่าน เนื่องจากพวกเขาซื้อสดอยู่แล้ว ช่วยป้องกันการโอนไม่ผ่านเมื่อโครงการเสร็จอีกด้วย”

_อุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บมจ.แสนสิริ
อุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บมจ.แสนสิริ

วัดใจกำลังซื้อใน – นอกประเทศพร้อมกัน

อุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บมจ.แสนสิริ ยืนยันว่า เพื่อส่งเสริมการขายทั้งใน และต่างประเทศ บริษัทจึงวางแผนเปิดจองโครงการคอนโดมีเนียมใหม่พร้อมกันในไทย และอีก 4 ประเทศคือ ฮ่องกง, สิงคโปร์, ไต้หวัน และจีน ภายใต้งาน Sansiri  Life  Comes Home 2016 ระหว่างวันที่ 4 – 6 พ.ย. ถือเป็นครั้งแรกของอสังหาฯ ไทยที่ทำแบบนี้

สำหรับโครงการใหม่ที่เปิดจองประกอบด้วย 3 โครงการคือ The Line สุขุมวิท 101, The Line พหลฯ – ประดิพัทธ์ และ KHUN by YOO นอกจากนี้ภายในงานยังนำคอนโดมีเนียม และบ้านแนวราบโครงการอื่นๆ เข้ามาจัดแคมเปญเพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ โดยตั้งเป้าเงินสะพัดของงานนี้ไว้ที่ 10,000 ล้านบาท มาจากชาวไทย 8,500 ล้านบาท และอีก 1,500 ล้านบาทมาจากการซื้อของชาวต่างชาติ

ภาพโครงการ KHUN by YOO แล้วเสร็จปี 2563
ภาพโครงการ KHUN by YOO แล้วเสร็จปี 2563

ดึงมือออกแบบระดับโลกช่วยพัฒนาโครงการ

“KHUN by YOO คือหนึ่งในโครงการเรือธงของแสนสิริ เพราะเราได้ร่วมมือกับ YOO Group ที่เป็นบริษัทออกแบบโรงแรม และอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก มาช่วยออกแบบภายใต้คอนเซ็ป Industrail Heritage พร้อมกับที่ตั้งโครงการบริเวณถนนทองหล่อ ผ่าน 148 ยูนิตในโครงการ ราคาเริ่มต้นที่ 15 ล้านบาท แล้วเสร็จปี 2563 และหลังจากนี้อยู่ระหว่างวางแผนหาพาร์ทเนอร์ในการพัฒนาโครงการให้แตกต่างจากตลาด”

ทั้งนี้ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในประเทศไทยครึ่งปีหลังค่อนข้างมีบรรยากาศดีกว่าครึ่งแรก เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มดีขึ้น ประกอบกับการเปิดตัวของโครงการต่างๆ ทำให้ตลาดนี้กลับมาคึกคักอีกครั้ง แต่ถึงอย่างไรช่วง 3 เดือนสุดท้ายก็ยังมีปัจจัยลบอยู่บ้าง แต่ แสนสิริ ยังมอนิเตอร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัท โดยปีนี้ตั้งเป้ารายได้ที่ 27,000 ล้านบาท จาก 9 เดือนแรกทำได้ 13,000 ล้านบาท

สรุป

การเข้าไปบุกตลาดต่างประเทศของอสังหาฯ หลายรายในประเทศไทย เป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจที่ดี และหลังจากนี้น่าจะเห็นความเข้มข้นของการทำตลาดกับลูกค้าต่างชาติแน่นอน ซึ่ง แสนสิริ ถือเป็นรายแรกที่ทำให้การทำตลาดต่างชาติกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องทำ และคาดว่าอสังหาฯ รายใหญ่ต้องลงมาเล่นตลาดนี้มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสธุรกิจใหม่

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/realestate-go-out-thailand/

ครั้งแรกของวงการอสังหาฯ แสนสิริจับมือ FireOneOne เปิดตัว Home Service Application

ด้วยไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของสังคมในปัจจุบัน รวมถึงสมาร์ทโฟนที่เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมากในชีวิตประจำวันของคนทุกเพศทุกวัย ทำให้เราเห็นหลายธุรกิจมุ่งแข่งขันพัฒนาแอปพลิเคชันที่เป็น Mobile Centric มากขึ้น รวมถึงแสนสิริ ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน

Sansiri joins FireOneOne aiming to be Mobile Centric Company
นับว่าเป็นครั้งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ก็ว่าได้ที่มีการพัฒนา Home Service Application เพื่อตอบโจทย์การใช้งานในยุคดิจิทัลให้กับลูกบ้าน ผู้เช่า รวมถึงผู้ลงทุน โดยแสนสิริจับมือกับ FireOneOne ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมทางด้านซอฟแวร์และเป็นอันดับหนึ่งในด้าน Transformation to Mobile ภายใต้คอนเซปคอนเซ็ปต์ Mobile Centric Company แห่งแรกของตลาดอสังหาฯที่มีการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าผ่านทางสมาร์ทโฟนและแก็ดเจ็ตอื่นๆ อย่างเต็มรูปแบบ

คุณอุทัย อุทัยแสงสุข คุณอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัทแสนสิริ

จากการร่วมทำการตลาดกว่า 5 ปี และได้เล็งเห็นพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไป อันเนื่องจากมีเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามา ร่วมกับการมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น มีเครือข่ายของสังคมผู้บริโภคเกิดขึ้นบนโซเชียลมีเดีย ทำให้แสนสิริและ FireOneOne นำโอกาสนี้มอบบริการโฮมเซอวิสผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือให้กับลูกบ้าน ทั้งในส่วนของคอนโดมีเนียม บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม

คุณชาคริต จันทร์รุ่งสกุลคุณชาคริต จันทร์รุ่งสกุล ซีอีโอ บริษัท FireOneOne

 

ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานบริการด้าน Announcement เพื่อให้นิติสามารถติดต่อสื่อสารกับลูกบ้าน หรือคอยแจ้งเตือนกิจกรรมต่างๆที่เกิดขึ้น เช่น การประชุมประจำปี การเรียกเก็บค่าส่วนกลาง แจ้งเตือนค่างวดในรายบุคคล การโอนกรรมสิทธิ์ว่าต้องมีเอกสารอะไรบ้าง ฯลฯ ทำให้สามารถส่งข้อมูลได้รวดเร็วและถึงมือผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น บริการ Mailbox ที่จะคอยแจ้งลูกบ้านหากมีพัสดุหรือจดหมายลงทะเบียนมาส่ง บริการ My Account ที่จะช่วยจัดการบัญชีของลูกบ้านในแต่ละห้องของคอนโด

home service app1

บริการ Home Care ที่จะเป็นช่องทางในการแจ้ง defect ของบ้านและคอนโด โดยผู้บริหารระดับสูงสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้จากลูกบ้าน เพื่อตรวจสอบว่าตรงไหนยังไม่มีการแก้ไข และนำไปพัฒนาบริการให้ดีที่สุด บริการ Messaging แจ้งข้อมูลแก่นิติบุคคล ซึ่งเป็นแบบ one on one บริการ Lifestyle ที่จะเป็น directory รวบรวมข้อมูลร้านอาหาร โรงพยาบาลใกล้เคียง มี QR code ประจำตัวสำหรับลูกค้าแสนสิริในการใช้บริการ Sansiri Lounge และในสิ้นปีจะเพิ่มบริการ Live Chat ลงไปด้วย เพื่อเพิ่มช่องทางการติดต่อกับ Sansiri Call Centre อีกทั้งในอนาคตยังรองรับโครงการที่เป็น Home Automation ที่สามารถลิงค์กับอุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมระบบไฟฟ้าต่างๆ เพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกบ้าน

home service app2
โดยรูปแบบหน้าตาของแอปพลิเคชันก็จะเป็น user friendly เพื่อให้ลูกบ้านทุกเพศทุกวัยสามารถใช้งานได้โดยง่าย รองรับทุกระบบปฏิบัติการและทุก device เหมาะกับลูกบ้านที่อยู่อาศัยเอง รวมถึงผู้เช่าและนักลงทุน

จะเห็นได้ว่าบริการนี้ ทั้งลูกบ้านและแสนสิริเองต่างก็ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์การใช้งานของลูกบ้านอย่างไร้รอยต่อที่ได้รับจากบริการบนแอปพลิเคชัน ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านเอกสาร ลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน และยังช่วยลดระยะเวลาในการทำงานอีกด้วย ซึ่งขณะนี้แสนสิริเปิดตัวให้ลูกบ้านได้ใช้งานแอปพลิเคชันแล้วกว่า 117 โครงการ มีจำนวน monthly active user คิดเป็น 43% และในอนาคตจะขยายให้รองรับทุกโครงการ ทั้งโครงการเก่าและโครงการใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น

 
Source: thumbsup

from:http://thumbsup.in.th/2016/07/sansiri-joins-fireoneone-aiming-to-be-mobile-centric-company/

Digital Transformation ของ แสนสิริ ด้วย Home Service Application

digital sansiri

เรื่องของ Mobile Centric เกิดขึ้นมาได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว และกำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนหลายๆ ธุรกิจต้องนำเรื่องของ Mobile และ Digital เข้ามาผนวกในธุรกิจของตัวเอง แม้แต่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดย แสนสิริ ได้ทำการ Digital Transformation ด้วยการใช้แอปพลิเคชั่น Home Service Application มาสื่อสารกับลูกค้าเมื่อหลายปีก่อน

ผลคือ ทำให้สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้รวดเร็ว ลดงานเอกสาร ข้อมูลจะอยู่บนสมาร์ทโฟนและสามารถตอบโต้กันได้ทันที และด้วยสมาชิกที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การมีระบบ Digital มาบริหารจัดการทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยในเรื่องการรับความคิดเห็น เรื่องร้องเรียน, ช่องทางรับสิทธิพิเศษสำหรับลูกบ้านแสนสิริ, แสดงรายละเอียดของโครงการ และการแจ้งข่าวสาร การโพสต์ข้อความต่างๆ เป็นต้น

Sansiri HSA_02.
อุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ของ แสนสิริ (ขวา) และ ชาคริต จันทร์รุ่งสกุล ผู้ก่อตั้งและประธานอำนวยการ FireOneOne

ขั้นตอนทำงานเมื่อลูกบ้านมีการแจ้งข้อความเข้ามา ระบบจะส่งไปที่นิติบุคคลเพื่อติดต่อฝ่าย Home Care เพื่อติดต่อกลับและดำเนินการนัดหมายเพื่อแก้ไขปัญหา บริการแจ้งเตือนค่าใช้จ่ายรายเดือนต่างๆ เช่น ค่าน้ำค่าไฟค่าส่วนกลาง และค่างวดผ่อนชำระบ้าน

sansiri1

ครั้งนี้ แสนสิริ ได้พัฒนา Home Service Application ให้สามารถติดต่อได้ใน 4 ภาษาหลัก คือ ไทย อังกฤษ จีน และญี่ปุ่น ดังนั้นลูกค้าไทย หรือต่างชาติ ก็สามารถใช้งานได้ และเป็นครั้งแรกที่ให้ลูกค้าไทยและต่างชาติที่อยู่ในฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน ญี่ปุ่น และจีน สามารถใช้บริการระบบการจัดการที่อยู่อาศัยแบบรีโมตได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส

sansiri2

สำหรับคุณสมบัติที่เพิ่มขึ้นของ Home Service Application มีการปรับหน้าตาใหม่ และเพิ่มเติมระบบรองรับกลุ่มลูกบ้านซื้อทำสัญญาให้สามารถใช้งานแอปฯได้ตั้งแต่เริ่มต้นของ process

  1. QR code : ระบุตัวตนเข้าใช้บริการที่ Sansiri lounge ได้ง่ายและสะดวกขึ้น
  2. Mobile coupon for privilege : เพิ่มเติมการใช้สิทธิพิเศษด้วย mobile coupon ที่ลูกบ้านสามารถใช้งานได้ทันที
  3. Event & Activity : ช่องทางการเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษที่แสนสิริมอบให้เฉพาะลูกบ้าน
  4. งานก่อนโอน
    • ช่องทางการติดต่อเจ้าหน้าที่ CR
    • ค่างวดดาวน์ : การแจ้งเตือนข้อมูลค้าใช้จ่ายตั้งแต่การจอง, ค่างวด จนไปถึงค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์
    • ความคืบหน้าโครงการ : แสดงความคืบของหน้าโครงการที่ลูกบ้าน
    • โอนกรรมสิทธิ์ : แสดงข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการโอนกรรมสิทธิ์ นัดหมายการตรวจห้อง การสรุปค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในวันโอน
  5. Survey : แบบประเมินผ่านแอปฯ ช่วยลดปริมาณประดาษที่ใช้
  6. Live chat : ช่องทางการติดต่อกับ Sansiri Call Centre แบบ live chat

การติดต่อสื่อสารคือหัวใจสำคัญของแบรนด์และลูกค้า แสนสิริ เลือกเพิ่มช่องทางโมบายขึ้นมา เป็นการตอบโจทย์พฤติกรรมการชอบแชทผ่านสมาร์ทโฟน ซึ่งเป็น Insight ของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน อาจไม่ได้ผลในด้านยอดขายของอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น แต่นี่คือ กระบวนการสร้าง Brand Love ที่น่าสนใจมาก

from:https://brandinside.asia/digital-transformation-sansiri-home-service-application/