คลังเก็บป้ายกำกับ: IPHONE_SE_2

เปรียบเทียบ iPhone SE รุ่นที่ 3 แตกต่างจาก iPhone SE รุ่นที่ 2 อย่างไรบ้าง ?

หลังจากเปิดตัว iPhone SE รุ่นที่ 3 ในงาน Apple Event […] More

from:https://www.iphonemod.net/compare-iphone-se-3-and-iphone-se-2-mar-2022.html

เปรียบเทียบ OnePlus Nord กับ iPhone SE 2 และ Galaxy A71 5G เลือกซื้อรุ่นไหนคุ้มกว่ากัน?

หลังจากเปิดตัวไปเมื่อคืนก่อนสำหรับ OnePlus Nord ที่บอกเลยว่ารอบนี้อัดสเปคมาแบบน่าสนใจมากๆ ทั้งหน้าจอ 90Hz, RAM 12GB, กล้องหลัง 4 ตัว และระบบชาร์จไว ในราคาเริ่มต้นเพียงแค่หมื่นนิดๆ เท่านั้น ว่าแต่..หากเอาเจ้า OnePlus Nord ไปเทียบสเปคแบบตัวต่อตัวกับ iPhone SE 2 จาก Apple หรือมือถือ Android ที่ราคาใกล้ๆ กันอย่าง Galaxy A71 5G เนี่ย จะมีอะไรที่แตกต่างกันแค่ไหน หรือรุ่นไหนจะคุ้มค่าต่อการเสียเงินมากกว่ากัน?

ตารางเปรียบเทียบสเปค OnePlus Nord กับ iPhone SE 2 และ Galaxy A71 5G

OnePlus Nord Galaxy A71 5G iPhone SE 2
หน้าจอ Fluid AMOLED 6.44″ FHD+ 90Hz sAMOLED 6.7″ FHD+ 60Hz Retina IPS LCD 4.7″ HD
ชิปเซ็ต Snapdragon 765G Exynos 980 Apple A13 Bionic
RAM 6GB/8GB/12GB 6GB/8GB 3GB
ความจุ 64GB/128GB/256GB 128GB (รองรับ microSD Card) 64GB/128GB/256GB
กล้องหลัง Wide: 48MP f/1.8 PDAF OIS

Ultra-Wide: 8MP f/2.3 FoV 119 องศา

Depth: 5MP f/2.4

Macro: 2MP f/2.4

Wide: 64MP f/1.8 PDAF

Ultra-Wide: 12MP f/2.2

Macro: 5MP f/2.4

Depth: 2MP f/2.2

12MP f/1.8 PDAF, OIS
กล้องหน้า Wide: 32MP f/2.5 

Ultra-Wide: 8MP f/2.5

32MP f/2.2 7MP f/2.2 EIS
การถ่ายวิดีโอ  4K 30FPS 4K 30FPS 4K 60FPS
เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ใต้หน้าจอ ใต้หน้าจอ Touch ID
5G รองรับ รองรับ ไม่รองรับ
การเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot/ Bluetooth 5.1, A2DP, LE, aptX HD Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot/ Bluetooth 5.0, A2DP, LE
Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, dual-band, hotspot/ Bluetooth 5.0, A2DP, LE
WiFi 6 ไม่รองรับ ไม่รองรับ รองรับ
ระบบเสียง ลำโพงเดี่ยว, ไม่มีรูหูฟัง 3.5 มม. ลำโพงเดี่ยว, ไม่มีรูหูฟัง 3.5 มม. ลำโพงสเตอริโอคู่, ไม่มีรูหูฟัง 3.5 มม.
แบตเตอรี่ 4115 mAh 4500 mAh 1821 mAh
ระบบชาร์จไว Warp Charge 30T Fast Charging 25W Fast Charging 18W
ระบบชาร์จไร้สาย ไม่รองรับ ไม่รองรับ รองรับ
มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น ไม่รองรับ ไม่รองรับ IP67

 

หน้าจอ

หากพูดถึงเรื่องหน้าจอ ดูเหมือนว่า OnePlus Nord จะเป็นต่อทั้ง Galaxy A71 5G และ iPhone SE 2 อยู่หน่อยๆ เพราะสมาร์ทโฟนรุ่นนี้มาพร้อมกับค่ารีเฟรชเรท 90Hz ตรงนี้ใครที่ไม่เคยจับมือถือจอรีเฟรชเรทสูงๆ มาก่อน ต้องบอกเลยว่ามันมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดจริงๆ ถ้าจะพูดให้เห็นภาพที่สุดก็คงต้องบอกว่า ถ้าได้เล่นจอ 90Hz แล้ว กลับไปเล่นมือถือจอปกติ มีหงุดหงิดแน่นอน

ประสิทธิภาพการใช้งาน

ทั้ง OnePlus Nord และ Galaxy A71 5G มาพร้อมกับชิปเซ็ตระดับกลางอย่าง Snapdragon 765G และ Exynos 980 ตามลำดับ แถมยังรองรับการใช้งาน 5G ทั้งคู่อีกด้วย ทว่า.. iPhone SE 2 ได้เปรียบสุดๆ เพราะได้ชิประดับท็อปตัวแรงอย่าง Apple A13 Bionic มาให้ ซึ่งเป็นชิปรุ่นเดียวกับที่ใช้ในซีรีส์เรือธงปีที่แล้วอย่าง iPhone 11 ซึ่งเอาจริงๆ หากไม่ได้เอามาเล่นเกมแบบโหดๆ ปรับกราฟิกสุดๆ ใช้ชิประดับกลางๆ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่ใครอยากสุดจริงๆ ในส่วนนี้บอกได้เลยว่าถ้าเรื่องความแรง iPhone SE 2 ชนะขาด

นอกจากนี้เรื่องความไวในการเปิด-ปิดแอป หรืออ่าน-เขียนข้อมูลอื่นๆ ตรงนี้ต้องบอกว่า iPhone SE 2 กินขาดอีกแล้ว เพราะหน่วยความจำแบบ NVMe นั้น ประสิทธิภาพแรงกว่า UFS 2.1 ที่อยู่บน OnePlus Nord และ Galaxy A71 5G แบบเห็นได้ชัดเลย

กล้องถ่ายภาพ

ถ้าพูดกันเรื่องกล้องถ่ายภาพ ก็บอกเลยว่า OnePlus Nord นั้น ไม่ได้เป็นสองรองใครเลย ด้วยกล้องหลังให้มาถึง 4 ตัว เท่ากับ Galaxy A71 5G (แต่จะด้อยกว่าเรื่องสเปคความละเอียดนิดหน่อย) ส่วน iPhone SE 2 ดูเหมือนจะด้อยที่สุด เพราะใส่กล้องหลังมาให้เพียงแค่ 1 ตัวเท่านั้น แต่เรื่องการถ่ายวิดีโอ iPhone SE 2 ถือว่าอัดได้ความละเอียดสูงสุดถึง 4K@60FPS ขณะที่ตัว OnePlus Nord และ Galaxy A71 5G ถ่าย 4K ได้เหมือนกัน แต่แค่ 30FPS เท่านั้น

ขณะที่กล้องหน้า OnePlus Nord จะมีภาษีดีกว่าทั้ง Galaxy A71 5G และ iPhone SE 2 อย่างชัดเจน เพราะมีกล้องเซลฟี่ถึง 2 ตัว มีทั้งเลนส์ Wide 32MP และเลนส์ Ultra-Wide 8MP รับรองว่าถ่าย Group Shots แบบไม่ทิ้งเพื่อนคนไหนเอาไว้ข้างหลังแน่นอน ส่วนการถ่ายเซลฟี่แบบหน้าชัดหลังเบลอก็เนียนเป็นธรรมชาติกว่า แถมยังถ่ายวิดีโอได้แบบ 4K @60FPS ด้วย

มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น

ในบรรดามือถือ 3 รุ่นที่เอามาเปรียบเทียบสเปคครั้งนี้ จะมีเพียงแค่ iPhone SE 2 เท่านั้น ที่มีมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP67 มาให้ นั่นแปลว่าหากเกิดอุบัติเหตุพลาดทำมือถือตกส้วม หรือตกน้ำ iPhone SE 2 ก็จะมีแนวโน้มที่จะมีชีวิตรอดมากกว่า OnePlus Nord และ Galaxy A71 5G นั่นเอง

ทว่า..ในส่วนนี้ทาง OnePlus เคยออกมาเปิดเผยว่า พวกเขาได้มีการทดสอบมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นของพวกเขาเองในบริษัท แต่ทั้งนี้ ส่วนตัวก็ไม่แนะนำให้ไปลองของนะครับ เพราะเราไม่รู้เลยว่าน้ำมันจะเข้าไปเมื่อไหร่

แบตเตอรี่

OnePlus Nord มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 4115 มิลลิแอมป์ ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขกลางๆ ไม่มากไม่น้อย ถ้าพิจารณาจากสเปค ก็คาดว่าเจ้า OnePlus Nord น่าจะอยู่ได้ครบวันแบบสบายๆ (หรือถ้าใครไม่ค่อยได้เล่นก็น่าจะมีลากได้เกิน 1 วัน) เปิด Spotify ฟังเพลง ดู Netflix/YouTube แบบเพลินๆ แต่ถ้าใครอยากได้แบตที่อึดกว่านี้ ก็น่าจะต้องไปมอง Galaxy A71 5G เพราะเจ้านั้นให้แบตมามากถึง 4500 มิลลิแอมป์เลยทีเดียว

ส่วน iPhone SE 2 นี้เรื่องแบตถือว่าเป็นจุดด้อยเลยก็ว่าได้ เพราะจากที่พี่กิมของเราได้ลองทดสอบใช้งานเจ้าเครื่องนี้ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือ..ดีหมดทุกอย่าง ยกเว้นแบต ชนิดที่ว่าต้องพกพาวเวอร์แบงค์ออกนอกบ้านไปด้วย ไม่งั้น iPhone SE 2 ตายกลางทางไม่รอดเข้าฝั่งแน่นอน

ขณะที่เรื่องระบบชาร์จไว OnePlus Nord ก็น่าจะไม่เป็นรองสองใครอีกเช่นเคย เพราะมากับ Warp Charge 30T ที่เสียบชาร์จทิ้งไว้แค่ประมาณ 30 นาที ก็ได้แบตมาใช้งานแบบเพลินๆ แล้วประมาณ 70% แต่ตรงนี้ทาง Galaxy A71 5G ก็ไม่ได้แย่ไปกว่ากันซักเท่าไหร่นะ เพราะรองรับระบบ Fast Charging 25W เหมือนกัน ส่วนที่ดูน่าเป็นห่วงก็คือ iPhone SE 2 นี่แหละ ที่รองรับชาร์จไวช้ากว่าชาวบ้านอยู่ที่ 18W เท่านั้น แถมในกล่องยังแถมที่ชาร์จแบบ 5W มาให้อีกต่างหาก

 

สรุป

มาถึงตรงนี้ หลายคนก็น่าจะพอเห็นภาพแล้วว่าเมื่อนำ OnePlus Nord มีประสิทธิภาพเป็นยังไงบ้าง ไปเทียบกับ Galaxy A71 5G และ iPhone SE 2 แต่ถ้าใครยังตัดสินใจไม่ได้ ผมก็สรุปมาสั้นๆ ดังนี้แล้วครับ

  • OnePlus Nord: จอรีเฟรชเรท 90Hz, รองรับ 5G, กล้องหน้าคู่, กล้องหลัง 4 ตัว, ระบบชาร์จไว 30W และราคาจับต้องได้
  • Galaxy A71 5G: จอใหญ่สุด 6.7 นิ้ว, รองรับ 5G, กล้องหลัง 4 ตัว, แบตใหญ่ และศูนย์บริการเยอะ
  • iPhone SE 2: ระบบปฏิบัติการ iOS, ชิป Apple A13 Bionic ตัวแรง, กันน้ำกันฝุ่น IP67 และเป็น iPhone ที่ราคาเริ่มต้นถูกที่สุด

แต่บอกเลยว่า จะเลือกซื้อสมาร์ทโฟนแต่ละที ดูสเปคอย่างเดียวมันก็เป็นไปไม่ได้ ทางที่ดีคือต้องไปจับตัวเครื่องจริงๆ ดูงานประกอบ ดูฟิลลิ่งการใช้งานก่อน เพราะตรงนี้ส่วนตัวมองว่ามีผลเหมือนกัน ต่อให้สเปคดีแค่ไหน แต่ถ้าจับแล้วไม่ถูกชะตา มันก็เท่านั้น..

from:https://droidsans.com/oneplus-nord-specs-compare-to-iphone-se-2-galaxy-a71-5g/

สื่อเผย iPhone SE เป็นตัวดึงยอดขาย iPhone ในไตรมาส 2 ปี 2020

ในสถานการณ์ที่ยอดขายสมาร์ตโฟนซบเซา Counterpoint Researc […] More

from:https://www.iphonemod.net/iphone-se-drive-iphone-sales-us-q2-2020-report.html

Apple ส่งออก iPhone SE (2020) ไปได้มากกว่า 10 ล้านยูนิตใน Q2 ที่ผ่านมา แม้จะเจอวิกฤต COVID-19

หลังจากเปิดตัว iPhone SE (2020) มือถือสเปคเรือธงในราคาหมื่นกลางๆ ไปเมื่อช่วงกลางเดือนเมษายน ล่าสุดก็มีตัวเลขสถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ออกมาแล้ว โดยมีรายงานเผยว่า Apple ได้ส่งออก iPhone SE (2020) รุ่นนี้ไปได้มากกว่า 10 ล้านยูนิต ในช่วงไตรมาสที่สองของปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียวในท่ามกลางวิกฤตการระบาดของ COVID-19 ตอนนี้

Taiwan Economic Daily ได้รายงานว่า Apple ได้ส่งออกมือถือสเปคเทพชิป Apple A13 Bionic นี้ไปได้ราวๆ 12 – 14 ล้านเครื่อง ในช่วงไตรมาสที่สองของปีที่ผ่านมา ซึ่งสาเหตุของการขายดีแบบนี้ ก็คาดว่าน่าจะมาจากการที่ Apple ได้อัดสเปคใส่เข้ามาไว้ใน iPhone SE (2020) แบบจัดเต็มสุดๆ แต่ตั้งราคาเริ่มต้นเพียงแค่หมื่นกลางๆ เท่านั้น โดยในบ้านเรา iPhone SE (2020) เคาะราคาเริ่มต้นแค่เพียง 14,900 บาทเท่านั้น สำหรับรุ่นความจุ 64GB

นอกจากนี้ ยังมีรายงานเพิ่มเติมอีกว่า Apple อาจจะเปิดตัว iPhone รุ่นกลางในอนาคตอันใกล้นี้ โดย iPhone รุ่นประหยัดนี้ จะมีราคาอยู่ที่ราวๆ $200 – $300 หรือประมาณ 6,300 – 9,400 บาท ซึ่งหาก Apple ตัดสินใจทำแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ ก็ต้องบอกเลยว่าตลาดสมาร์ทโฟนในย่านราคานี้สนุกแน่ๆ ต่อสู้กับมือถือค่ายจีนแบบสะบั้นหั่นแหลก และแน่นอนว่าหากมีการแข่งขันแบบนี้ คนที่ได้รับผลประโยชน์ไปแบบตรงๆ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากผู้บริโภคอย่างพวกเรานั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ข่าว Apple จะเปิดตัว iPhone รุ่นกลางนี้ ยังคงมีสถานะเป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น ทำให้ตอนนี้ต้องรอติดตามกันต่อไปว่าสุดท้ายแล้ว iPhone รุ่นกลางราคาประหยัดนี้ จะมีตัวตนจริงๆ หรือไม่ อีกทั้งจะอยูในซีรีส์ iPhone SE ไหม หรือว่าจะแยกซีรีส์เป็นรุ่นใหม่ไปเลย

 

ที่มา: gizmochina

from:https://droidsans.com/apple-iphone-se-2020-shipments-over-10-million-units-amidst-pandemic/

iPhone SE (รุ่นที่ 2) ใช้ QuickTake ได้เลย ไม่ต้องรออัปเดตเป็น iOS 14

ผู้ใช้ iPhone SE (รุ่นที่ 2) บางรายอาจไม่ทราบว่าสามารถใ […] More

from:https://www.iphonemod.net/iphone-se-gen-2-support-quicktake.html

รายชื่อมือถือใหม่ผ่าน กสทช. นำโดย iPhone SE2, P40 Pro+ 5G, Mate Xs, Mi 10 Lite 5G และ Xperia 10 II [พ.ค. 2020]

สำหรับรายชื่อมือถือที่เข้ามาใหม่ประจำเดือน พฤษภาคม 2020 ครั้งนี้ถือว่าน้อยกว่าหลายๆ เดือนกว่าที่ผ่านมา เพราะถือเป็นช่วงกลางปีที่ไม่ค่อยมีแบรนด์ไหนเปิดตัวกันเท่าไรนัก หลักๆ แล้วที่น่าสนใจก็คือ iPhone SE2, Huawei P40 Pro+ 5G และมือถือจอพับได้อย่าง Mate Xs รวมถึงมี Mi 10 Lite 5G, Redmi Note 9 และ Xperia 10 II เข้ามาอีกด้วย ส่วนรายละเอียดแต่ละรุ่นจะเป็นยังไงบ้างไปดูกันครับ

หมายเลข

ตราอักษร

แบบ/รุ่น

B38247-20 Apple iPhone SE2
B38248-20 Xiaomi Redmi Note 9
B38240-20 SONY Xperia 10 II
B38270-20 HUAWEI HUAWEI MatePad T8
B38277-20 HUAWEI Mate Xs
B38278-20 POCO POCO F2 Pro
B38284-20 Xiaomi Mi 10 Lite 5G
B38298-20 vivo vivo 1913 (NEX3 5G)
B38333-20 HUAWEI P40 Pro+ 5G

Apple

หลายคนน่าจะทราบพอกันดีอยู่แล้วว่า iPhone SE2 นี้คือ iPhone ที่เปิดตัวมาราคาถูกที่สุด โดยมีราคาเริ่มต้นเพียง 14,900 บาทเท่านั้น แถมมาพร้อมกับชิป A13 สุดแรงตัวท็อปที่อยู่ในจำพวก iPhone 11 Series อีกด้วย เรียกว่าใครกำลังอยากหาซื้อ iPhone ในงบประหยัดหมื่นกลางๆ ไม่ต้องซื้อมือสอง จัด iPhone SE2 รุ่นนี้ไปเลยดีกว่า เบื้องต้นจะมีให้เลือกด้วยกัน 3 สีคือ สีขาว, ดำ และแรง

ราคา iPhone SE2

  • iPhone SE2 ความจุ 64GB ราคา 14,900 บาท
  • iPhone SE2 ความจุ 128GB ราคา 16,900 บาท
  • iPhone SE2 ความจุ 256GB ราคา 20,900 บาท

HUAWEI

หลังจากที่เปิดตัวไปตั้งแต่เดือน ก.พ. ที่ผ่านมาในที่สุดก็เข้าผ่าน กสทช. มาแล้วเสียทีกับมือถือจอพับได้อย่าง Huawei Mate Xs ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้รับการปรับปรุงจากเดิมทั้งเรื่องของหน้าจอและแกนฝาพับแข็งแรง รวมถึงเรื่องของสเปคก็แรงขึ้น เข้ามาลบจุดด้อยของ Mate X รุ่นแรกออกไป โดยจะพร้อมกับหน้าจอที่กางแล้วกว้างสุดอยู่ที่ 8 นิ้ว ความละเอียด 2480 x 2200 ใช้ชิป Kirin 990 กล้องหลังสี่ตัวความละเอียดสูงสุด 40MP ด้วยกัน แต่แอบเสียดายที่ใช้ GMS ไม่ได้

ถัดมาคราวนี้ก็เป็นรุ่นเรือธงประจำต้นนี้ของแบรนด์ Huawei กับเจ้า P40 Pro+ 5G ซึ่งล่าสุดเข้าผ่าน กสทช. ไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าจะเตรียมเปิดตัวภายในวันที่ 4 มิ.ย. นี้ เบื้องต้นจะมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.8 นิ้ว OLED ความละเอียด 2640 x 1200 ใช้ชิป Kirin 990 มี Ram 8GB Rom 512GB จัดเต็ม แน่นอนว่าพร้อมรองรับ 5G เลยโดยไม่ต้องอัปแพทซ์ใหม่ ส่วนราคาจะเปิดตัวเท่าไรต้องรอติดตามกันครับ

ต่อมาจะเป็นแทบเล็ต Huawei MatePad T8 รุ่นน้องเล็กสุดราคาประหยัดสบายกระเป๋า ซึ่งเปิดตัวไปในราคาเพียง 3,690 บาทเท่านั้น โดยหน้าจอจะใช้เป็นแบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว ความละเอียด 1280 x 800 (189 ppi) ใช้ชิปเป็น MediaTek MT8768 พร้อม Ram 2GB มี Rom ให้เลือก 2 ขนาดคือ 16GB และ 32GB  แบต 5100 mAh ใช้งานสบายๆ ได้ตลอดทั้งวันแน่นอน

ราคา Huawei MatePad T8 

  • Huawei MatePad T8 ความจุ 16GB (WiFi) ราคา 3,690 บาท
  • Huawei MatePad T8 ความจุ 32GB (4G/LTE) ราคา 4,690 บาท

Xiaomi

ตามมาติดๆ กันเลยทีกับ Redmi Note 9 ที่คราวนี้ขนสเปคมาจัดเต็มในราคาประหยัดอีกเช่นเคย โดยจะมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.53 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ ย้ายตำแหน่งกล้องหน้าจากตรงกลางไปด้านข้าง สเปคเครื่องมาพร้อมกับชิป MediaTek Helio G85 ใส่ Ram มา 3/4GB มี Rom 64/128GB กล้องหลัง 4 ตัว กล้องหลักความละเอียดสูงสุด 48MP  รวมถึงใส่แบตมา 5020 mAh ชาร์จไว 18W อีกด้วย

ราคา Redmi Note 9

  • Redmi Note 9 (3GB + 64GB) ราคา 4,999 บาท (ขายเฉพาะช่องทางออนไลน์)
  • Redmi Note 9 (4GB + 128GB) ราคา 6,499 บาท (ซื้อผูกโปรกับ AIS เหลือ 2,999 บาท)

คราวนี้มาดูทางด้าน Mi 10 Lite 5G ซึ่งถือเป็นมือถือที่รองรับสัญญาณ 5G ที่ถูกที่สุดรุ่นหนึ่ง ณ เวลานี้เลยทีเดียว ด้วยการเปิดราคามาเพียง 349 ยูโร หรือราวๆ 12,500 บาทเท่านั้น ซึ่งก็ผ่าน กสทช. เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยเช่นกัน สเปคเบื้องต้นจะมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.57 นิ้ว Full HD+ ชิป Snapdragon 765G มี Ram 6/8GB Rom 64/128GB กล้องหลัง 4 ตัวความละเอียดสูงสุด 48MP แบต 4160 mAH ชาร์จไว 20W และคาดว่าคงเตรียมเปิดราคาไทยเร็วๆ นี้ครับ

เขากลับมาอีกกับครั้ง POCO ที่คราวนี้มาในรุ่น F2 Pro ที่ถือเป็นนักฆ่าเรือธงตัวจริงเสียงจริง หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด FHD+  การแสดงผล HDR10+ สเปคมาพร้อมกับชิป Snapdragon 865 ใส่ Ram มา 6/8GB, Rom 128/256GB กล้องหลัง 4 ตัว 64MP, รองรับ 5G, WiFi 6 แบต 4700 mAh ชาร์จไว 30W ซึ่งจะมีขาย 2 รุ่นด้วยกันคือ

  • POCO F2 Pro (6+128GB) ราคา 499 ยูโร หรือราว 17,400 บาท
  • POCO F2 Pro (8+256GB) ราคา 599 ยูโร หรือราว 20,900 บาท

SONY

ปิดท้ายด้วย Sony Xperia 10 II ที่ทางโซนี่ประเทศไทยเปิดตัวมาแบบเซอร์ไพรส์มากๆ วางจำหน่ายราคาอยู่ที่ 12,990 บาท จุดเด่นของรุ่นนี้เลยคือมาพร้อมกับจอขนาด 6.0 นิ้ว FHD+ อัตราส่วน 21:9 เต็มตา สเปคใช้ชิปเป็น Snapdragon 665 ใส่ Ram มา 4GB Rom 128GB กล้องหลังสามตัว ความละเอียดสูงสุด 12MP กันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP65/68 แบต 3600 mAh พร้อมเปิดให้จองตั้งแต่ 27 พ.ค. นี้เป็นต้นไป บอกเลยว่าเหล่าสาวก Sony ห้ามพลาด

 

ที่มา :  nbtc

from:https://droidsans.com/nbtc-new-phone-may-2020/

รีวิว iPhone SE คุ้มและน่าซื้อขนาดไหน? บอกเล่าให้ฟังหลังใช้งานมาเกือบเดือน

หลังจากที่เราได้ลองเล่นเครื่อง iPhone SE รุ่นที่ 2 หรือที่หลายคนจะเรียกเป็นปีว่า iPhone SE 2020 มาร่วมเดือน และทดสอบหลายอย่างที่เพื่อน ๆ น่าจะอยากรู้กันไปพอสมควร ซึ่งจะขอประสบการณ์ที่ได้มาแชร์ให้อ่านกันว่ารุ่นนี้มันจะดีคุ้มค่าราคา 14,900 บาท อย่างที่หลายคนคาดหวังขนาดไหน มันน่าซื้อเอาไปใช้รึเปล่ากับ iPhone หน้าตาเดิมๆ แค่เปลี่ยนชิปเซตเป็น Apple A13 Bionic แล้วเปลี่ยนชื่อให้ดูใหม่เท่านั้น มาลองอ่านไปพร้อมๆกันเลยครับ

สำหรับการรีวิวครั้งนี้ จะพยายามเขียนให้กระชับ ตอบเป็นคำถามที่หลายคนน่าจะอยากรู้ โดยแบ่งออกเป็นหัวข้อต่างๆ ตามด้านล่างนี้ สามารถจิ้มข้ามไปดูเรื่องที่สนใจ หรือไล่อ่านทีละหัวข้อก็ได้ล่ะ

ถ้าขี้เกียจอ่านเอง เรามีทำคลิปรีวิวเรื่องนี้เอาไว้ให้เรียบร้อย ไปดูกันได้นะ

ดีไซน์ หน้าตาเดิมๆ ที่ก็มีดี

เรื่องเบสิคอย่างดีไซน์เก่า หน้าตาแบบนี้เห็นครั้งแรกตั้งแต่ iPhone 6 เป็นต้นมา มีขยับนิดๆหน่อยๆใน iPhone 7 และ iPhone 8 ซึ่งจะชอบไม่ชอบอันนี้แล้วแต่คนจะมองนะ ซึ่งมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียในความที่มันเดิมๆแบบนี้อยู่ รวมถึง Touch ID ที่หลายคนยังติดใจและอยากใช้โดยเฉพาะในสภาวการณ์ที่พวกเราต้องใส่หน้ากากตลอดเวลา

  • หน้าตาเดิมๆ ใช้ไปคนไม่รู้ว่าเป็นรุ่นใหม่ เหมือนถือรุ่นเก่าเก็บหลายปี
  • มีเคสและอุปกรณ์เสริมให้เลือกใช้มากมาย ในราคาที่แสนจะถูก
  • iPhone SE 2 สามารถใช้งานเคสร่วมกับ iPhone 7 และ iPhone 8 ได้เลย
  • ไม่สามารถเอาเคสของ iPhone 6 / 6s มาใช้งานได้เพราะรูกล้องไม่ตรงกัน
  • เครื่องเบาดีถือสบาย
  • Touch ID ที่สุดแสนจะคิดถึง ปลดล็อคเร็วดี และใช้ง่ายเหมือนเดิม

เปรียบเทียบน้ำหนัก iPhone SE 2 และ iPhone 11 ซีรีย์

โดยเฉลี่ย สมาร์ทโฟนสมัยนี้ โดยเฉพาะที่แบตเยอะหน่อยน้ำหนักจะทะลุขึ้นไปเกือบ 200 กรัม ไปละ แต่ว่า iPhone SE 2020 นี่เบาลงมา 50 กรัม ถ้าถือในมือก็บอกเลยว่ารู้สึกถึงความต่างอย่างเห็นได้ชัดแหละ มีผลกับการนอนเล่นกลิ้งไปมามากๆ

iPhone SE 148 g
iPhone 11 194 g
iPhone 11 Pro 188 g
iPhone 11 Pro Max 226 g

หน้าจอขนาดกำลังดีที่ดูจิ๋วในปัจจุบัน

หน้าจอ iPhone SE 2020 มีขนาดเพียง 4.7 นิ้ว และยังคงใช้เป็นจอ IPS LCD ที่ปัจจุบันด้วยราคาระดับนี้มักจะเลือกใช้เป็น OLED ที่สีสันสดสวยกว่า มี contrast ratio ที่สูงกว่ากันหมดแล้ว พื้นที่ด้านบนและล่างจะมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่จนอาจจะดูขัดตาสำหรับหลายคนที่ชินกับดีไซน์จอเต็มขอบกันพอสมควร ซึ่งต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่ใครจะซื้อเอา iPhone SE 2 ไปใช้ก็ต้องยอมรับกับข้อจำกัดส่วนนี้ให้ได้ก่อนจะซื้อนะ แต่ส่วนตัวไม่ติดปัญหาอะไรกับจอขนาดนี้ ไม่ได้รู้สึกเล็กจนอึดอัด เพียงพอสำหรับงานทั่วไปอยู่

  • ขนาดหน้าจอนี้ สำหรับเด็กไม่ใช่ปัญหา แต่ไม่ค่อยแนะนำสำหรับคนสูงวัย
  • ความละเอียดแค่ HD (750 x 1334) แต่ก็เพียงพอ มองแทบไม่เห็นพิกเซล
  • สัดส่วนจอ 16:9 ก็ไม่ได้แย่ ดูคลิปทั่วไปและ YouTube เต็มจอดี หน้าจอใหญ่กว่าก็อาจจะเห็นเยอะกว่าไม่ได้มากนัก
  • แคปหน้าจอได้ไม่ยาวดูประหลาด
  • จอสู้แสง ออกแดดจ้าได้
  • สีสันไม่จัดจ้านเกิน ส่วนตัวมองว่าตรงกว่า OLED อีก


ซ้าย : เอาเคส iPhone 6 มาใส่ รูกล้องไม่ตรง, ขวา : เคส iPhone 7 ใส่ได้พอดีเป๊ะ

เปรียบเทียบขนาดเครื่องต่อหน้าจอและความละเอียดที่ได้ของสมาร์ทโฟนในช่วงราคาเดียวกัน

ถ้าจะถือเครื่องเดียวจบ เหมาะสำหรับดูเนื้อหาต่างๆได้อย่างเต็มตากว่า iPhone SE อาจจะสู้รุ่นอื่นในท้องตลาดไม่ได้นัก

iPhone SE 4.7″ HD 750 x 1334 138.4 x 67.3 x 7.3
Galaxy A71 6.7″ FHD 1080 x 2400 163.6 x 76.0 x 7.7
OPPO Reno 3 Pro 6.4″ FHD 1080 x 2400 158.8 x 73.4 x 8.1
Mi Note 10 Pro 6.47″ FHD 1080 x 2340 157.8 x 74.2 x 9.7

ประสิทธิภาพใช้งานอย่างว่อง

ด้วย Apple A13 Bionic รุ่นเดียวกับที่ใช้ใน iPhone 11 ทั้งสามรุ่น รวมถึงหน่วยความจำที่ยังเป็นโปรโตคอล NVMe ทำให้การใช้งานบน iPhone SE 2 หายห่วงเรื่องประสิทธิภาพ และความรวดเร็วไปได้อีกนาน ส่วนแรมที่แม้ว่า iPhone SE จะให้มาเพียง 3GB น้อยกว่า iPhone 11 Pro แต่ด้วยหน้าจอที่ความละเอียดน้อยเพียง HD ก็ลดความต้องการใช้ RAM ลงไปเยอะพอสมควร

  • โหลดแอปอย่างไว เข้าใช้งานต่างๆได้รวดเร็วมาก

เล่นเกมไร้ปัญหา กินสเปคแค่ไหนก็สู้

iPhone SE 2 ยังคงรักษาชื่อเสียงอันดีงามของการเล่นเกมบน iPhone เอาไว้ได้ดี เท่าที่ลองแต่ละเกม สามารถเล่นได้เนียนดีไม่มีปัญหา เปิดกราฟิกและเอฟเฟกต์ต่างๆได้สุดหมดเท่าที่เกมจะรองรับได้ ซึ่งก็ไม่ค่อยอยากจะแนะนำให้เปิดเท่าไหร่ เพราะสูบแบตมาก ส่วนปัญหาเรื่องความร้อนที่หากชาร์จไปเล่นไปจะเจออาการกระตุกอย่างในรุ่น iPhone X และ Xs ก็ไม่เจอใน iPhone SE 2 แต่อย่างใด เข้าใจว่าเป็นที่ชิปเซต A13 ซึ่งแก้ปัญหานี้มาแล้ว เพราะบน iPhone 11 ทั้งซีรีย์ก็เล่นได้พลิ้วดีเช่นกัน

แต่ด้วยความที่หน้าจอเป็นแบบ 16:9 จึงทำให้พื้นที่แสดงผลตอนเล่นเกมแคบกว่ารุ่นอื่นๆอยู่เล็กน้อย รวมถึงมีโอกาสที่มือจะไปบังพื้นที่บนหน้าจอไม่น้อยเหมือนกัน ถ้าไม่ซีเรียสกับส่วนนี้ที่อาจจะเล็กน้อยก็พอจะมองข้ามได้อยู่

กล้องเลนส์เดียว ไร้โหมดกลางคืน

ข้อด้อยในเรื่องกล้องของ iPhone SE 2 หลักๆก็จะเป็นที่มีกล้องหลักมาให้เพียงตัวเดียว ต่างจากสมาร์ทโฟนในตลาดที่ช่วงราคาเดียวกันอย่างน้อยต้องมีเลนส์ Ultrawide มาให้อีกตัว และกล้องหลักนี้ก็จะไม่มีโหมดถ่ายภาพกลางคืนมาให้อีกด้วย โดยภาพที่ได้จากเลนส์หลักก็ได้ตามมาตรฐาน iPhone ไม่ได้มีความฉูดฉาด แต่งสีจนเว่อร์วังอะไร จะไปใส่ฟิลเตอร์เพิ่มก็ดูดีอยู่

  • ถ้าแสงดีภาพก็โอเค ใกล้เคียงกับ iPhone 11
  • มี Quicktake ให้ใช้เหมือนกัน
  • ไม่มีฟีเจอร์เท่ากล้องหลัก iPhone 11
    • Night Mode
    • Capture Outside the Frame
    • Deep Fusion
  • เลนส์ Wide แคบกว่า iPhone 11 นิดหน่อย
  • ไม่มี Animoji เพราะไม่มี Face ID

มีภาพเทียบกับ iPhone 11 Pro Max เอาเฉพาะกล้องหลัก มาให้ดูกันว่ามันจะต่างขนาดไหน





















ขาด Night Mode ไป เจอแสงน้อยๆก็มีจอดได้ แต่ถ้าแบบสลัวๆ ก็ยังพอถูไถไปได้เหมือนเดิม





กล้องหน้ายังคงคาแรคเตอร์ของ iPhone เน้นจริง ไม่มีฟิลเตอร์ ซึ่งถ้าใครชอบโทนแบบนี้และหนังหน้าดีเป็นทุนเดิม ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร




ถ่ายวิดีโอกันสั่นนิ่งกริ๊บ

ในช่วงราคาระดับนี้หาตัวจับ iPhone SE 2 ได้ยากมาก สำหรับคุณภาพการถ่ายวิดีโอ ที่แม้ว่าจะไม่มีเลนส์ Ultrawide แต่ก็สามารถทำกันสั่นได้อย่างเทพ รวมถึงรองรับการถ่ายวิดีโอที่ระดับ 4K 60fps กันไปเลย คุณภาพโดยรวมใกล้เคียงกับ iPhone 11 แต่จะต่างที่ฟีเจอร์มาไม่ครบ เพราะด้วยข้อจำกัดของเซนเซอร์ที่ใช้ใน iPhone SE 2 นั่นเอง และสิ่งที่ทำได้ด้อยกว่ารุ่นพี่มันอีกเรื่องก็คือการที่มีไมค์ที่น้อยกว่าก็จะทำให้ฟิลเตอร์เสียงรบกวนได้ไม่ดีนักนั่นเอง

  • ถ่ายวิดีโอ 4K 60fps
  • กันสั่นนิ่งกริ๊บ
  • ไม่มี Audio zoom เสียงเข้ารอบด้าน
  • Video EDR @ 30fps only

ดูตัวอย่างได้จากในคลิปรีวิวข้างต้นเลยนะครับ ส่วนกล้องหน้าก็สามารถถ่ายวิดีโอได้เนียนดีไม่ต่างกันด้วยนะ

แบตน้อยที่ยังต้องเป็นห่วง

แบตของ iPhone SE 2 ให้มาเท่ากับ iPhone 8 ที่ 1821 mAh ซึ่งถ้าใครได้ใช้ iPhone 8 มาก่อนก็น่าจะบอกได้ว่ามันไม่พอแน่ๆ แม้ว่าตัวเครื่องจะพยายามทำมาให้ประหยัดพลังงานแค่ไหน โดยถ้าเอามาใช้ทั้งวันแบบหนักๆก็อยู่ไม่ถึงกลางคืน ถ้าเบาๆหน่อยหัวค่ำก็มีเสียวแบตไม่พอ ทางที่ดีที่สุดคือพก Powerbank เพื่อความสบายใจ แค่ก้อนเล็กๆ 1000- 1500 mAh ก็น่าจะต่อชีวิตให้ใช้งานทั้งวันได้สบายๆ

  • ใช้งานได้ทั้งวันแบบไม่หนัก ไม่ได้เล่นตลอดหรือเล่นเกมแบบเปิดสุด
  • แต่ถ้าเอาไปเล่นเกม แล้วเปิดเอฟเฟกต์สุด แบตไหลเป็นน้ำ
  • ประหยัดแบตได้มากถ้าลดเอฟเฟกต์ลงให้เหลือกลางๆ
  • แม้จะแบตไม่เยอะมากแต่ถ้าเทียบความอึดต่อปริมาณแบตแล้ว iPhone SE ไม่แพ้ใคร
  • ต้องทำใจกลับสู่ยุคพกแบตเตอรี่แพ็กอีกครั้ง
  • ที่น่ากังวลคือหลังจาก 1-2 ปี แบตน่าจะเสื่อม และต้องเปลี่ยน เพราะชาร์จวันนึง 1-2 ครั้ง

ไปดูการทดสอบแบต iPhone SE 2 เทียบกับสมาร์ทโฟนในราคาใกล้ๆกัน ว่าจะทำได้ดีขนาดไหน ซึ่งผลออกมาว่า iPhone SE 2 ใช้งานแบบต่อเนื่องได้ไม่ถึง 5 ชม. เท่านั้น ต้องชาร์จต่ออีกราว 30 นาที เพื่อให้สามารถใช้งานได้เทียบเท่ากับรุ่นอื่นๆ

หัวชาร์จไวที่ต้องซื้อเพิ่มพร้อมสาย

iPhone SE 2 มาพร้อมกับฟีเจอร์ชาร์จเร็ว 18W แต่ว่าหัวชาร์จที่แถมมาให้ในกล่องจะเป็น 5W เท่านั้น ซึ่งถ้าต้องการใช้งานชาร์จเร็ว ต้องซื้อหัวชาร์จเพิ่มพร้อมกับสาย USB Type C to Lightning รวมเป็นเงิน 1,880 บาท (Adapter 1,190 + USB Cabel 690) แต่ว่าจะคุ้มค่าซื้อมาเพิ่มมั้ย เรามีกราฟเปรียบเทียบมาให้ดูกัน

สิ่งที่คุณจะได้เพิ่มจากการเสียเงินเกือบ 2,000 บาท เพื่อระบบการชาร์จไว ก็คือการชาร์จแค่ 30 นาที ก็จะมีแบตให้ใช้มากกว่า 50% และเพียงชม.เดียวก็มีแบตให้มากกว่า 80% ซึ่งก็เพียงพอที่จะใช้งาน iPhone SE 2 ต่อได้อีกหลายชั่วโมง อย่างไรก็ดีตามที่บอกไปว่าถ้าใช้งาน iPhone SE 2 ค่อนข้างแนะนำให้พก Powerbank ติดตัวเอาไว้หน่อย ทำให้การซื้อ Quickcharge Adapter ก็อาจไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น รวมถึงการชาร์จไวก็มีผลต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่อยู่บ้างไม่มากก็น้อยอีกต่างหาก ดังนั้นถ้าอยากประหยัดเงินเกือบสองพันก็ไม่เสียหายแต่อย่างใด

iPhone SE 2 ยังรองรับการชาร์จไฟแบบไร้สาย ซึ่งรองรับมาตรฐานกลาง สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อื่นในท้องตลาดได้เลยด้วยนะ ลองชาร์จด้วย Wireless Charger ของ Samsung ก็ใช้ได้

ลำโพงสเตอริโอและการเชื่อมต่อที่ครบถ้วน แค่ไม่มี 5G

แม้ว่า iPhone SE 2 จะไม่มี 5G แต่ว่าในรุ่นราคาใกล้ๆกัน รวมถึง iPhone 11 เองก็ยังไม่มี 5G ให้ใช้งาน แต่ในทางกลับกัน iPhone SE 2 เองกลับมีการเชื่อมต่ออื่นๆ ที่ให้มาอย่างรบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเน็ต 4G ระดับ Gigabit รวมถึง Wi-Fi 6 ที่เป็นการเชื่อมต่อ Wi-Fi ของอนาคตอีกด้วย

  • Gigabit LTE Cat16 รองรับได้สูงสุด 5CA ที่ความเร็ว 1024/150 Mbps
  • Wi-Fi 6
  • Wi-Fi Calling, VoLTE

แต่ถ้าถามว่าการเชื่อมต่อที่ขาดหายไปที่สุดก็คงเป็นช่องหูฟัง 3.5 mm ซึ่งมันก็โดนตัดทิ้งไปนานมากแล้ว แต่แอนดรอยด์รุ่นราคาใกล้เคียงกันยังคงให้มาอยู่ แต่สิ่งที่ได้มาทดแทนใน iPhone SE ก็คือลำโพงสเตอริโอแยกซ้ายขวาชัดเจน เสียงดังโอเค แม้จะไม่มี Dolby Atmos เหมือน iPhone 11 Pro แต่มันก็ยังถือว่าได้ดีในระดับนึง

ปัญหาของ iPhone SE 2 ที่พบ

เรื่องสัญญาณยังไม่ชัวร์เท่าไหร่ แต่รู้สึกได้คือการจับสัญญาณ 3G/4G ไม่ดีเท่า iPhone 11 หรือรุ่นอื่นๆที่ขายตามท้องตลาด หลายแห่งที่ปกติสัญญาณจะต้องขึ้น 3-4 ขีด ของ iPhone SE กลับขึ้นแค่ขีดเดียวเท่านั้น ทำให้มีปัญหาติดขัดบ้าง แต่ไม่มากนัก และยังเจอบั๊ก iOS 13 ที่ทำให้ต้องรีเครื่องอยู่เนืองๆ แม้ว่าจะอัพเดทเป็นตัวใหม่แล้วก็ตาม

สรุปรีวิว iPhone SE 2020

จากการใช้งานมาร่วมเดือน ส่วนตัวที่เป็นคนที่ชอบสมาร์ทโฟนขนาดพอดีมือเป็นทุนเดิม ทำให้ iPhone SE 2 เป็นรุ่นที่ชอบใช้งานมากๆ ตัวนึง แต่ถ้าซื้อให้คนสูงวัย ไม่แนะนำเท่าไหร่ เรื่องกล้องก็ดีไปวัดไปวาได้ ถ้าได้เอาไปเที่ยวก็คงมีคิดถึงเลนส์มุมกว้างอยู่บ้าง กับแอบเซ็งที่ยังไม่มีโหมดกลางคืนมาให้เหมือนใครเขา และแบตเตอรี่ที่ต้องบอกเลยว่ายังไงก็ไม่เพียงพอใช้งานทั้งวัน แนะนำพกแบตเตอรี่แพคอยู่ตลอดเพื่อความปลอดภัย ซื้อเป็นเครื่องสำรองจึงไม่ค่อยแนะนำนักเพราะเรื่องแบตนี่แหละ ส่วนตัวคิดว่าเครื่องสำรองมันต้องแบตอึดนะ กล่าวคือ ถ้ายอมรับได้กับข้อด้อยของมัน ที่เหลือมันก็เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่น่าใช้รุ่นนึง แต่ถ้าอยากได้ทั้งจอใหญ่ แบตอึด กล้องครบๆ บอกเลยยังไงก็ต้องผ่าน iPhone SE ไป

สเปค iPhone SE 2 ที่เหนือกว่าแอนดรอยด์ราคาใกล้เคียงกัน

  • Apple A13 เล่นเกมลื่นปรื้ด ไร้ปัญหาเฟรมเรตตก
  • กันน้ำกันฝุ่น IP67 ลงได้ 1 เมตร ฝนตก-น้ำหก มั่นใจว่ารอด
  • ลำโพงสเตอริโอซ้ายขวา แยกชัดเจน
  • ถ่ายวิดีโอ 4K 60fps, กันสั่นนิ่งกริ๊บ
  • Wireless Charge ชาร์จได้ไม่ต้องเสียบสาย
  • Gigabit LTE จับคลื่นโทรศัพท์พร้อมกันได้มากกว่า
  • WiFi 6 เทคโนโลยีเชื่อมต่อไวไฟที่ทันสมัยกว่า
  • หน่วยความจำสุดเร็วโปรโตคอล NVMe เทียบเท่า UFS 3.0
  • เคสที่มีให้เลือกอย่างมหาศาล และราคาไม่แพง
  • Ecosystem ที่ไม่ต้องเปลี่ยน
  • มันคือ Apple, มันคือ iPhone, มันคือ iOS

สิ่งที่คุณจะได้จากสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นที่ราคาใกล้เคียง iPhone SE

  • หน้าจอใหญ่ 6 นิ้วขึ้นไป
  • กล้องหลายระยะ
  • แบตที่มากกว่า อยู่ได้ทั้งวันสบายๆ
  • ช่องเสียบหูฟัง
  • อุปกรณ์มาตรฐาน : ที่ชาร์จเร็ว, ฟิล์มกันรอย, เคสแถมมาให้ในกล่อง ไม่ต้องซื้อเพิ่มอีกกว่า 3,000 บาท
  • หน่วยความจำที่เยอะกว่า และเติมเมมได้
  • หัวชาร์จ USB Type C ที่เอาของคนอื่นมาใช้ร่วมกันได้
  • โปรโมชั่นหลากหลายมากมาย รอตกที่ราคาพิเศษกันได้

from:https://droidsans.com/iphone-se-2-review-worth-buying/

Belkin x Linksys แนะนำผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานร่วมกับ iPhone SE รุ่นที่ 2 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

แนะนำผลิตภัณฑ์อุปกรณ์เสริม Belkin x Linksys ที่ใช้งานร่ […] More

from:https://www.iphonemod.net/belkin-x-linksys-accessories-for-iphone-se-gen-2-2020.html

พบปัญหาแล้ว!! Haptic Touch ไม่ทำงานบนหน้าจอ Lock Screen ใน iPhone SE 2020

ไม่กี่วันที่ผ่านมา ภายหลังจากการเริ่มวางจำหน่าย iPhone SE 2020 ในต่างประเทศนั้น ก็ได้มีผู้ใช้ได้ออกมาร้องเรียนถึงเรื่องการทำงานของ Haptic Touch ใน iPhone SE 2020 โดยพบว่า ฟีเจอร์นี้ไม่ทำงานในหน้าจอ Lock screen หรือ Notification Center ซึ่งก็ทำให้ผู้ใช้ประสบปัญหาในการที่เราจะกดเพื่ออ่านข้อความแบบเต็ม โดยไม่ต้องกดเข้าแอพพลิเคชั่น หรือ การที่จะตอบกลับแบบทันทีก็ไม่สามารถทำได้ แต่อย่างไรก็ตาม Haptic Touch ยังคงทำงานได้ดีในหน้าจอ Home

Credit: Engadget

ทาง Macrumors ได้ทำการทดสอบและพบว่าฟีเจอร์ Haptic Touch นี้ไม่สามารถที่จะกดค้างตรงการแจ้งเตือน เพื่อที่จะดูตัวเลือกในการตอบกลับข้อความหรือตัวเหลืออื่น ๆ ได้ เนื่องจากฟังก์ชั่น Haptic Touch ไม่ทำงาน และทาง Macrumors ได้ลองใช้ ‌iPhone 8 ซึ่งมีดีไซน์เดียวกันกับ ‌iPhone SE 2020 ผลปรากฏว่าสามารถรับการแจ้งเตือน และสามารถใช้ทางลัดในการตอบกลับ, mute ฯลฯ ได้ผ่าน ‌3D Touch

Credit: macrumors

ทางผู้ใช้ที่พบปัญหาเองนั้นก็ได้แจ้งกับทาง Apple Support ไปแล้วแต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีการอัพเดพซอฟต์แวร์เพื่อมาแก้ไขปัญหาในส่วนนี้ และจากข้อมูลของ Matthew Panzarino จาก TechCrunch เขาได้กล่าวว่า การขาด ‌Haptic Touch‌ ในหน้า่จอ Lock screen หรือ Notification Center ของ ‌iPhone‌ SE 2020 นั้นไม่ใช่ข้อผิดพลาดและเป็นคุณสมบัติที่ทำงานได้ตามที่ Apple ตั้งใจ

อย่างไรก็ตามปัญหานี้อาจจะต้องแก้ไขเฉพาะหน้ากันไปก่อนด้วยการ สไลด์การแจ้งเตือนไปด้านซ้าย แล้วเลือก “View” ไปก่อน และปัญหานี้จะได้รับการอัพเดตแก้ไขในอนาคตหรือไม่นั้นก็ยังคงต้องติดตามกันต่อไป

 

ที่มา: macrumors

from:https://notebookspec.com/no-haptic-touch-notifications-on-iphone-se-2020/519262/

ชำแหละให้เห็นกันชัด ๆ iPhone SE 2020 เทียบกับ iPhone 8 มีคลิป !!

ภายหลังการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ New iPhone SE 2020 นั้นเราก็จะเห็นได้ว่า iPhone SE 2020 มีรูปร่างหน้าตา การออกแบบภายนอกที่แทบจะเหมือนกับ iPhone 8 ทุกประการ ด้วยขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้วเท่ากัน มาพร้อมปุ่ม Home ที่มี Touch ID ในตัว การวางองค์ประกอบต่าง ๆ อย่าง ปุ่ม Power, ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง, ตำแหน่งกล้อง และที่สำคัญ iPhone SE 2020 กับ iPhone 8 มีขนาดและน้ำหนักเท่ากัน จะต่างกันก็แค่การวางตำแหน่งของโลโก้ Apple ที่ iPhone SE 2020 วางตำแหน่งโลโก้ด้านหลังเหมือนกับ iPhone 11 เท่านั้น

credit: macrumors

เมื่อภายนอกเหมือนกันขนาดนี้แล้ว ภายในจะเหมือนกันด้วยหรือไม่นั้น ได้รับการพิสูจน์แล้วโดย Youtuber ชาวจีน ซึ่งเขาได้อัพโหลดคลิปวิดีโอการชำแหละ iPhone SE 2020 ให้เราได้ชมกัน

จากคลิปเราจะเห็นได้ว่า นอกจากภายนอกที่แทบจะไม่แตกต่าง ภายในก็เช่นกัน โครงสร้างภายในของ iPhone SE 2020 มีการประกอบฮาร์ดแวร์แต่ละชิ้นคล้ายคลึงกับ iPhone 8 อย่างมาก แต่กระนั้นบางอย่างก็แตกต่างกัน ได้แก่ Modem , Wi-Fi chip, ขั้วต่อแบตเตอรี่ ที่ iPhone SE 2020 จะใช้ขั้วต่อแบตเตอรี่แบบเดียวกับ iPhone 11, flashlight ด้านหลัง และที่สำคัญเลยชิปประมวลผลที่แตกต่างกัน เนื่องจาก iPhone SE 2020 ใช้ชิปประมวลผล A13 Bionic เช่นเดียวกับชิปประมวลผลที่อยู่ใน ‌iPhone 11‌ และ 11 Pro

จากคลิปข้างต้นเราจะเห็นได้ว่า ส่วนประกอบหลายอย่างของ iPhone SE 2020 นั้นสามารถนำชิ้นส่วนของ iPhone 8 มาทดแทนกันได้ โดยเฉพาะในส่วนของจอแสดงผล ที่สามารถสลับกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ และสำหรับใครที่กำลังสนใจ iPhone SE 2020 ที่เปิดตัวออกเรียบร้อย ในราคาที่ถูกลงกว่าเดิมมาก ๆ แต่ได้สเปคที่เร็วและแรง เริ่มต้น 14,900 บาท ก็สามารถเข้าไปสั่งจองกันได้แล้วทั้งตามค่ายมือถือต่าง ๆ และที่เว็บไซต์ Shopping สินค้าไอทีต่าง ๆ กันได้แล้ววันนี้นะจ๊ะ

 

 

ที่มา: macrumors

from:https://notebookspec.com/teardown-compares-new-iphone-se-2020-to-iphone-8/518815/