คลังเก็บป้ายกำกับ: ลบไฟล์ขยะ

เปลี่ยนภาษา เพิ่มภาษา Windows 10 และวินโดว์ 11 ล่าสุด 2023 อัพเดตใหม่ใช้ได้ ง่ายเหมือนเดิม

เปลี่ยนภาษา เพิ่มภาษาไทยบน Windows 11 และ Windows 10 เปลี่ยนปุ่มสลับภาษาง่ายๆ อัพเดต 2023 ก่อนไป Windows 12

เปลี่ยนภาษา

เปลี่ยนภาษา ในการตั้งค่าปุ่มหรือสลับปุ่มเปลี่ยนภาษา ไปใช้ปุ่มตัวหนอน หรือ “Grave Accent” เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้คนที่ต้องเปลี่ยนสลับภาษาหรือพิมพ์งานได้รับความสะดวกมากกว่า โดยเฉพาะหลังจากที่ลงวินโดว์เสร็จแล้ว ระบบจะให้ใช้ปุ่มอื่น ซึ่งจะเริ่มต้นเป็น Alt+Shift ทำให้การใช้งานไม่สะดวกนัก เพราะคุณจะต้องกดปุ่ม 2 ปุ่มพร้อมกัน แต่ก็สามารถสลับปุ่มเปลี่ยนได้ หรือบางทีต้องใช้มากกว่า 2 ภาษา เช่น ไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น ก็ต้องมีการเพิ่มภาษาเข้าไปในระบบ เพื่อให้ใช้งานได้ และถ้าได้ปุ่มสลับภาษาที่ไวขึ้น ก็จะช่วยให้ใช้งานได้ง่ายกว่าเดิม โดยในครั้งนี้ เราจะรวมการเปลี่ยนภาษาของระบบวินโดว์เอาไว้ให้ด้วย สำหรับคนที่อาจจะได้คอมมาใหม่ แต่เป็นภาษาที่คุณไม่สะดวก ก็สามารถเปลี่ยนไทยเป็นอังกฤษ ได้เช่นกัน เรามาลองดูกันว่าจะต้องมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง

เปลี่ยนภาษา เพิ่มภาษาอื่นใน Windows


เพิ่มภาษาบน Windows 11

โดยปกติเวลาที่เราลงวินโดว์ Install Windows หรือบางทีที่ร้านอาจจะติดตั้งประกอบคอมมาให้เราใหม่ๆ ระบบจะยังมีแค่ภาษาเดียว คือภาษาอังกฤษ ที่เป็นตัวหลักในระบบ ยกเว้นว่ามีการเพิ่มภาษาและคีย์บอร์ด เป็นภาษาอื่นมาให้ตั้งแต่ติดตั้ง แต่ในกรณีที่มีเพียงภาษาเดียว คุณจะต้องเพิ่มภาษา หรือ Add Language เข้าไป เช่น ภาษาไทย หรือถ้าคุณต้องการใช้ภาษาอื่นๆ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น ก็เพิ่มเข้าไปได้ครับ ด้วยวิธีการมีดังนี้

Advertisementavw
เปลี่ยนภาษา

ให้กดปุ่ม Win+i เพื่อเข้าสู่หน้าต่างระบบ System ให้กดปุ่มพร้อมกันครับ

เปลี่ยนภาษา

เลือกที่ Time & Language ที่อยู่ทางด้านซ้าย จะอยู่ด้านใต้หัวข้อ Account

เปลี่ยนภาษา

เลือก Language & region ที่อยู่แถบด้านขวา

เปลี่ยนภาษา

เมื่อเข้ามาแล้ว ให้เลื่อนลงมาที่ Preferred languages แล้วคลิ๊กที่ปุ่ม Add a language

เปลี่ยนภาษา

ในหน้าต่าง Choose a language to install เลือกภาษาที่คุณต้องการเพิ่มเข้าไป อย่างเช่น ญี่ปุ่น หรือเกาหลี

เปลี่ยนภาษา

วิธีที่ง่ายสำหรับการค้นหาภาษา เช่น Japanese หรือ Korean จากนั้นเลือกภาษาที่คุณต้องการ เช่น Korean จากนั้นคลิ๊ก Next

เปลี่ยนภาษา

คลิ๊กที่ Install เพื่อติดตั้งโปรแกรม

เปลี่ยนภาษา

รอจนกว่าจะติดตั้งภาษาเสร็จเรียบร้อย ในช่วงเวลาที่ติดตั้งนี้ จะรวมกับการดาวน์โหลดไปด้วย ดังนั้นจึงต้องต่ออินเทอร์เน็ตเอาไว้ตลอดเวลา เพื่อให้ระบบติดตั้งได้สมบูรณ์

เปลี่ยนภาษา

นอกจากนี้คุณยังสามารถปรับแต่ง หรือเพิ่มฟังก์ชั่นเสริมในการใช้งานจากภาษาที่คุณใช้ เช่น การพิมพ์ภาษา หรือใส่คีย์บอร์ดเข้าไปเพิ่ม รวมถึงการปรับเลย์เอาท์ หรือการสั่งงานด้วยเสียงเป็นภาษานั้นๆ ด้วยการ Speech นั่นเอง

กรณีที่ใช้กับภาษาจำนวนมาก คุณสามารถเรียงอันดับภาษาที่ใช้มากที่สุด หรือเป็นภาษาหลักบนคีย์บอร์ด เอาไว้ด้านบนสุด เพื่อให้การเรียกใช้เร็วมากขึ้นได้


เพิ่มภาษาบน Windows 10

เปลี่ยนภาษา

และหากคุณใช้ Windows 10 ก็สามารถ Add language ในการเพิ่มภาษาได้เช่นกัน รูปแบบจะค่อนข้างคล้ายกับวินโดว์ 11 แต่หน้าฟังก์ชั่นอาจจะแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย เริ่มด้วยการกดปุ่ม Win+i เพื่อเข้าไปอยู่ในหน้า Control panel ให้เลือกที่ Time & Language

เปลี่ยนภาษา

เลือกที่ Language ทางแถบซ้ายมือของหน้าต่าง

เปลี่ยนภาษา

จากนั้นเลื่อนลงมาที่ด้านล่าง จะเห็นว่ามี Add a language อยู่ใต้หัวข้อ Preferred languages ให้คลิ๊กที่เครื่องหมาย + Add a language

เปลี่ยนภาษา

เมื่อขึ้นหน้าต่างในการเพิ่มภาษาขึ้นมา ให้เลือกภาษาที่ต้องการเพิ่มเข้าไปในหัวข้อ Choose a language install

เปลี่ยนภาษา

ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการเพิ่มภาษาเกาหลีเข้าไปในระบบ ด้วยการพิมพ์ชื่อภาษา เช่น Japanese หรือ Korean เป็นต้น

เปลี่ยนภาษา

เมื่อได้ภาษาที่ต้องการ ให้คลิ๊กที่ตัวภาษา แล้วกดปุ่ม Next ด้านล่าง เพื่อไปยังขั้นตอนต่อไป

เปลี่ยนภาษา

ในตอนนี้ระบบจะทำการติดตั้งภาษาให้ ตรงนี้อาจจะใช้เวลาอยู่บ้าง เพราะจะต้องดาวน์โหลดและติดตั้งด้วย รอจนกว่าจะเสร็จสิ้น

เปลี่ยนภาษา

และเมื่อภาษาติดตั้งเสร็จแล้ว จะออกมาเป็นหน้าตาแบบนี้ แต่ถ้าหากต้องการฟังก์ชั่นในส่วนของการสั่งด้วยภาษาเสียง หรือเพิ่ม Language pack ก็ใส่เครื่องหมายด้านหลัง Option language feature จากนั้นกดที่ Install


เปลี่ยนปุ่มสลับภาษา Windows 11

วิธีการสั้นๆ ในการเปลี่ยนปุ่มสลับภาษา ที่เราจับลัดมาให้ Win+i > Time & Language > Advanced keyboard settings > Language Bar Options > Advanced Key Settings > Change Key Sequence… > ใส่เครื่องหมายหน้า Grave Accent ที่อยู่ใต้แถบ Switch Input Language ทางด้านซ้ายมือ > Ok > Apply และ Ok

หลังจากที่เราได้วิธีการเพิ่มภาษาอื่นๆ เข้ามาในระบบกันแล้ว การสลับใช้ภาษาให้ง่ายขึ้นก็สำคัญไม่แพ้กัน สำหรับคนที่ต้องการเปลี่ยนภาษาด้วยปุ่มตัวหนอน “Grave Accent” ที่อยู่มุมบนซ้ายของคีย์บอร์ดบน Windows 11 สามารถทำตามขั้นตอนเหล่านี้ได้เลยครับ ไม่ยากและสะดวกทีเดียว

เปลี่ยนภาษา

เริ่มต้นให้กดปุ่ม Win+i เช่นเดียวกับการที่เราจะเข้าไปเพิ่มภาษานั่นเอง จากนั้นเลือกที่หัวข้อ Time & Language ที่อยู่ทางเมนูด้านซ้าย แล้วเลือกที่หัวข้อ Typing ที่อยู่ทางขวามือ

เปลี่ยนภาษา

เมื่อเข้าไปยังเมนู Typing แล้ว ให้เลื่อนลงมาด้านล่าง มองหาหัวข้อ Advanced keyboard settings ให้คลิ๊ก เพื่อเข้าไปยังเมนูจัดการได้เลย

เปลี่ยนภาษา

เมื่อเข้ามาแล้ว ให้เลื่อนลงมาที่ด้านล่างเลยครับ จะเห็นเมนูที่เรียกว่า language bar options ตรงนี้จะให้เราจัดการเกี่ยวกับการทำงานของภาษาเกือบทั้งหมด ให้คลิ๊กไปที่หัวข้อนี้

เปลี่ยนภาษา

จากนั้นเราจะเข้ามายังหน้าต่าง Text Services and Input Languages ให้คลิ๊กไปที่แท็ป Advanced Key Settings

เปลี่ยนภาษา

เมื่อเข้ามาที่แท็ปนี้แล้ว ให้เลื่อนลงไปดูด้านล่างขวา จะเห็นปุ่ม Change Key Sequence… ให้คลิ๊กปุ่มนี้ครับ

เปลี่ยนภาษา

ในหน้าต่างเล็กๆ ด้านบนที่ปรากฏขึ้นนี้ ให้เข้าไปดูในหัวข้อของ Switch Input Language ที่อยู่ด้านซ้าย ตามในภาพนี้ จากนั้นใส่เครื่องหมายหน้า Grave Accent ย้ำว่าอยู่ทางด้านซ้าย ล่างสุดครับ จากนั้นคลิ๊กที่ปุ่ม Ok เพื่อยืนยัน

แล้วกดปุ่ม Apply และ Ok อีกครั้ง เท่านี้ ก็จะสลับปุ่มเปลี่ยนภาษาด้วยปุ่มตัวหนอนได้แล้วครับ สังเกตง่ายๆ คือ เมื่อคุณกดปุ่มสลับภาษา ตัวไอคอนเล็กๆ ที่บอกเมนูภาษา จะสลับให้ได้เห็นทันที เช่น EN > TH แต่ถ้ายังไม่สลับ เมื่อกดปุ่มตัวหนอน อาจจะต้องย้อนกลับมาเช็คอีกครั้ง ว่าติดในจุดใด


เปลี่ยนปุ่มสลับภาษา Windows 10

และสำหรับคนที่ใช้ Windows 10 อยู่ แล้วไม่แน่ใจว่า ยังคงใช้การสลับภาษาด้วยปุ่มตัวหนอนได้เหมือนเดิมหรือไม่ สามารถทำได้ตามขั้นตอนนี้เช่นกันครับ

เปลี่ยนภาษา

ให้เข้าไปที่ Time & Language ด้วยการกดปุ่ม Win+i บนคีย์บอร์ด จากนั้นจะเข้ามาสู่หน้า Settings ของระบบ ให้คลิ๊กไปที่เมนูดังกล่าวได้เลย

Windows 10 change language 2

แล้วระบบจะนำคุณมาที่ Date & Time ให้เลือกที่เมนู Language ที่อยู่ทางด้านซ้ายมือ

เปลี่ยนภาษา

ระบบจะเข้ามาที่หน้า Language ให้คุณคลิ๊กเลือกที่หัวข้อ Keyboard จะเป็นไอคอนรูปคีย์บอร์ดอย่างชัดเจน เพื่อจะเข้าไปสู่การตั้งค่าต่อไป

เปลี่ยนภาษา

เมื่อเข้ามาสู่หน้า Keyboard แล้ว ให้เลื่อนลงมาด้านล่าง สังเกตหัวข้อที่เขียนว่า Language bar options ให้คลิ๊กตรงเมนูนี้ครับ

เปลี่ยนภาษา

ระบบจะเข้าสู่หน้าที่จะให้คุณตั้งค่าภาษาในแบบต่างๆ ซึ่งในหน้านี้ คุณสามารถให้ระบบแสดงภาษาบนหน้าเดสก์ทอป เปิดเป็นไอคอนหรือโชว์แถบภาษาใน System tray ที่อยู่ด้านล่างขวาของหน้าจอได้อีกด้วย

ในหน้านี้ให้เลือกที่ Advanced Key Settings คลิ๊กไปที่แท็ปดังกล่าวนี้

เปลี่ยนภาษา

เมื่อเข้ามาในหน้านี้แล้ว จะเป็นหน้าต่าง Text Services and Input Languages โดยตรงนี้ จะคล้ายๆ กับบนการตั้งสลับภาษาของ Windows 11 ให้คุณคลิ๊กที่ Change Key Sequence…

เปลี่ยนภาษา

ระบบจะเปิดหน้าต่าง Change Key… มาให้ ตรงนี้ ให้คุณใส่เครื่องหมายหน้าคำสั่งด้านขวา ใต้หัวข้อ Switch Input Language ในส่วนของ Grave Accent

เปลี่ยนภาษา

เมื่อใส่เครื่องหมายเสร็จแล้ว ให้คลิ๊กที่ปุ่ม Ok จากนั้นหน้าต่างนี้จะปิด แล้วให้เลื่อนลงมากดที่ Apply และ Ok อีกครั้ง เพื่อเป็นการยืนยัน สลับปุ่มไปใช้ปุ่มตัวหนอน ที่น่าจะสะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น


ลบภาษาที่ไม่ต้องการ

เปลี่ยนภาษา

ในบางครั้งเราเพิ่มภาษา หรือ Add language เข้าไปแล้ว แต่ใช้ได้สักระยะ ก็อาจจะไม่ได้ใช้ต่อ หรือต้องเซ็ตเครื่องให้คนอื่นในออฟฟิศไป เราก็สามารถลบภาษาที่ไม่ได้ใช้เหล่านั้นได้ ด้วยวิธีการง่ายๆ ดังนี้ เริ่มแรกให้คลิ๊กขวาที่แถบภาษาด้านล่างซ้ายของหน้าจอ บริเวณ Taskbar จากนั้นจะมีเมนูภาษาที่เราติดตั้งไป ปรากฏขึ้น เช่นตัวอย่างมีทั้ง US / TH และ Korean เราต้องการจะลบภาษา Korean ออก ให้คลิ๊กไปที่เมนู More keyboard settings ด้านล่างได้เลย

เปลี่ยนภาษา

ระบบจะเข้ามาสู่หน้า Language & region ให้คลิ๊กไปที่สัญลักษณ์ … ที่อยู่ตรงด้านหลังภาษาที่ต้องการลบออก แล้วจะมีเมนูแสดงขึ้นมา ให้เลือกที่ Remove

เปลี่ยนภาษา

ระบบจะถามเราอีกครั้งว่า แน่ใจนะว่าต้องการจะลบภาษาดังกล่าวนี้ออก เราให้คลิ๊ก Yes เท่านี้ ระบบก็จะลบออกให้ทันที และให้ลองสลับปุ่มภาษา ด้วยการกดปุ่มตัวหนอน เพื่อเช็คอีกครั้งว่า ไม่มีภาษาที่เราลบไปแล้ว เท่านี้ก็เสร็จสิ้นครับ


เปลี่ยนภาษาของระบบ Windows

หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าคุณสามารถเปลี่ยนภาษาของระบบบน Windows ได้ ว่าอยากให้แสดงข้อมูลหรือเมนู เป็นภาษาไทยหรืออังกฤษได้ตามความสะดวก เพราะบางท่านก็ใช้งานภาษาอังกฤษมาตลอด พอมาเจอกับวินโดว์ที่อาจจะเป็นสำนักงานลงไว้ให้หรือไม่ได้สื่อสารกันชัดเจนว่า จะใช้ภาษาใด ก็ทำเอาหลายคน ถึงกับงงในชื่อของเมนูแต่ละอัน ซึ่งก็ไม่สะดวกต่อการใช้งาน สิ่งนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ แต่ก็มีเงื่อนไขบางอย่างที่คุณต้องทราบก็คือ

เปลี่ยนภาษา

หาก Windows ที่ใช้คุณเป็นแบบพื้นฐาน อย่างเช่น Windows 10 Home, Windows 10 Pro คุณจะสามารถเปลี่ยนภาษาของระบบ ที่จะให้แสดงผลขึ้นมา ในแบบที่ต้องการได้ทันที

แต่ถ้า Windows ของคุณ เป็นแบบที่เรียกว่า Single Language ก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ไม่ใช่ว่าจะทำได้เลย เพราะจะต้องลงวินโดว์ หรือติดตั้งใหม่เท่านั้น

เปลี่ยนภาษา

ดังนั้นจึงต้องตรวจเช็คกันให้ดีเสียก่อนว่า ระบบที่ผู้ใช้ต้องการหรือเวลาที่คุณใช้งาน อยากให้เป็นภาษาใด จะได้ไม่ต้องเสียเวลาในการแก้ไข อย่างที่ได้แนะนำไป หากเป็นแบบ Single Language แล้ว ก็จะยิ่งวุ่นวายมากขึ้น ส่วนวิธีการที่จะสลับภาษาที่ใช้ในการแสดงผล สามารถทำได้ดังนี้

ให้เข้าไปที่ Time & Language จากนั้น ดูที่เมนูด้านบน ที่บอกว่า Windows diaplay language ทางด้านขวามือ ระบบจะบอกเราว่าในเวลานั้น วินโดว์ใช้ภาษาใดเป็นหลักในการแสดงผล ในที่นี้แจ้งเป็น English ซึ่งตรงนี้จะเป็นการตั้งค่ามาตั้งแต่เราเริ่มต้นติดตั้งระบบในตอนแรก

เปลี่ยนภาษา

แต่ในส่วนของระบบที่นำมาเป็นตัวอย่างนี้ เป็นแบบ Windows Single Language เมื่อคลิ๊กดูแล้ว จะไม่มีภาษาอื่นใด ให้ปรับเปลี่ยนได้เลย ดังนั้นหากต้องการเปลี่ยน ต้องการเปลี่ยน ต้องลงวินโดว์ใหม่ หรือทำการ Reset PC ใหม่อีกครั้ง แล้วตั้งค่าการใช้งานตั้งแต่เริ่มต้น จึงจะสามารถใช้งานได้

ส่วนถ้าเป็น Windows ในแบบพื้นฐานตามที่แจ้งไปในตอนต้น ก็จะสามารถเลือกปรับเปลี่ยนได้ ตามความต้องการ ด้วยการเลือกภาษา แล้วรีสตาร์ทระบบใหม่อีกครั้ง เท่านี้เมื่อเข้าสู่ระบบ การแสดงผลในวินโดว์ ไม่ว่าจะเป็นเมนู คำสั่งและอื่นๆ ก็จะกลายเป็นภาษาที่คุณเลือกได้แล้ว


Conclusion

วิธีการเปลี่ยนปุ่มสลับภาษา หรือการเปลี่ยนไปใช้ปุ่มตัวหนอน Grave Accent ก็เพื่อที่จะช่วยให้ใช้งานคีย์บอร์ด และการพิมพ์งานที่มีตั้งแต่ 2 ภาษาขึ้นไป ทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งใน Microsoft ก็มีคำแนะนำในการใช้ Windows และการเปลี่ยน เพิ่มภาษา รวมไปถึงการเปลี่ยนภาษาของระบบ ที่สามารถเปลี่ยนให้เหมาะกับการใช้งานได้ ซึ่งคุณสามารถเข้าไปดูรายละเอียดในส่วนต่างๆ ได้ และทาง Notebookspec เองก็มีทิปเกี่ยวกับ Windows อยู่มากมาย เช่นกัน สามารถเข้าไปค้นรายละเอียดได้ หรือสอบถามกันในคอมเมนต์ของบทความนี้กันได้เลยครับ

เปลี่ยนภาษา

แต่ถ้าอยากลองประกอบคอมใหม่ จัดสเปคด้วยตัวเอง สามารถเข้าไปใช้งานระบบจัดสเปคของ Notebookspec กันได้ จัดสเปคคอมง่าย เปลี่ยนสเปคได้เอง มีสเปคคอมแนะนำอีกด้วยไปลองกัน ที่นี่

from:https://notebookspec.com/web/688883-tip-windows-change-language-2023

วิธีล้างเครื่อง โน๊ตบุ๊ค เคลียร์ไฟล์ขยะ ให้เครื่องลื่นเหมือนใหม่ อัปเดต 2022

แนะนำวิธีล้างเครื่อง โน๊ตบุ๊ค เคลียร์ไฟล์ขยะ ให้เครื่องลื่นเหมือนซื้อใหม่ อัปเดต 2022

ล้างเครื่อง โน๊ตบุ๊ค ลบไฟล์ขยะ

โน๊ตบุ๊คนั้น เมื่อเราใช้งานเป็นเวลานาน แน่นอนว่าย่อมผ่านการดาวน์โหลดไฟล์ เก็บไฟล์ ดาวน์โหลดข้อมูลต่างๆ มากมายม หรือดีไม่ดี บางทีเราดาวน์โหลดข้อมูลมา ก็ได้ของแถมอย่างพวก มัลแวร์ ไวรัส มาด้วย ทำให้เครื่องเราเกิดอาการหน่วง เครื่องช้า เครื่องอืด หรือบางทีไฟล์ขยะก็ทำให้พื้นที่ในเครื่องเราเหลือน้อยลงพอสมควร วันนี้ทีมงาน NotebookSPEC ก็เลยอยากมาแชร์วิธีการล้างเครื่อง โน๊ตุบุ๊ค ที่ไม่ใช่แค่การล้างเครื่อง แต่ยังรวมไปถึงการเคลียร์ไฟล์ จัดการกับไฟล์ขยะ ไฟล์แคช ให้คอมพิวเตอร์ของเรากลับมาลื่นปรื๊ด เหมือนใหม่ด้วย


ก่อนที่เราจะไปดูวิธีการล้างเครื่องกันนั้น ทีมงานก็อยากจะแนะนำตั้งแต่การเคลียร์ ลบไฟล์ขยะ บน Windows กันก่อน เพราะเราจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาในการตั้งค่า ลงโปรแกรมใหม่ การลบไฟล์ขยะ ก็ถือเป็นวิธีที่น่าสนใจ ช่วยให้เราได้กำจัดไฟล์แคช ไฟล์ขยะ แถมยังได้พื้นที่เพิ่มขึ้นด้วย

Advertisementavw

1. ตั้งค่า Storage Sense

c2 1

ต้องบอกก่อนเลยว่าใน Windows รุ่นใหม่ๆ นั้น ถือว่ามีระบบที่เข้ามาช่วยจัดการทำความสะอาด เคลียร์ไฟล์ที่ไม่จำเป็นออกไปได้มากยิ่งขึ้น ลดภาระให้กก่ผู้ใช้งาน แถมยังช่วยคืนพื้นที่ให้กับโน๊ตบุ๊ค หรือ PC ของเราอีกด้วย อย่างใน ระบบปฏิบัติการ Windows 10 หรือ Windows 11 นั้น ก็มีฟีเจอร์ที่ชื่อว่า Storage Sense ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการกำจัดไฟล์ขยะ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปดาวน์โหลดโปรแกรมอื่นๆ มาเพิ่มเลย

  • การเข้าไปยัง Storage Sense นั้นก็ง่ายมากๆ เพียงแต่เรา คลิกขวาที่ Start >> เลือก Settings >> จากนั้นเลือก System >> Storage >> Storage Sense
  • ในส่วนของ Storage Sense นี้เอง ที่เมื่อเราเปิดใช้งาน เราสามารถเลือกเปิดการทำงานของ Storage Sense ว่าให้ทำงาแบบ Every day, Every week, Every month หรือจนกว่าพื้นที่ของเราจะเหลือน้อย
    • โดยในส่วนของไฟล์ที่ Storage Sense จะทำการลบให้เรานั้น หลักๆ แล้ว ก็คือไฟล์ที่อยู่ใน Recycle Bin และ Downloads นั้นเอง
c3 1

นอกจากนี้ เวลาที่เราทำการอัพเดตวินโดวส์ หรือโปรแกรมต่างๆ รวมไปถึงการดาวน์โหลดไฟล์ ก็มักจะมีไฟล์ขยะหรือไฟล์แคชติดมา เราสามารถคืนพื้นที่ให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราได้

  • วิธีการก็ง่ายๆ เลย ให้เรา คลิกขวาที่ Start >> เลือก Settings >> จากนั้นไปที่ System >> เลือกที่ Storage
  • ระบบจะปรากฏข้อมูลของ Drive หลักๆ ที่เราใช้งานอย่าง Drive C, Apps & Features, Others ทั้งในส่วนที่ได้ใช้งานไปแล้ว และส่วนของหน่วยความจำที่ยังเหลืออยู่ ให้เราเลือกที่ Temporary files ซึ่งจะเป็นไฟล์จำพวกไฟล์ขยะ ไฟล์แคช ที่มาจากระบบ การอัพเดต Windows ถือว่าไม่มีความจำเป็นกับคอมพิวเตอร์ของเรา
  • เมื่อเราคลิกเข้าไป ระบบจะทำการโหลดข้อมูลครู่หนึ่ง แล้วจะปรากฏขนาดของไฟล์ทั้งหมดเมื่อเรากดลบ เราสามารถลบไฟล์ขยะ ได้โดยการกดที่ Remove Files เพียงเท่านี้ก็สามารถเคลียร์ไฟล์ขยะให้โน๊ตบุ๊คหรือคอมพิวเตอร์ของเราได้แล้ว

2. Disk Cleanup

มาต่อกันด้วย วิธีที่สามารถเคลียร์ไฟล์ขยะ ลบไฟล์แคชที่ไม่จำเป็นออกจาก Drive ของเราได้ง่ายๆ กันเลย วิธีการเข้าไปกด Disk Cleanup นั้น ก็สามารทำได้ดังนี้เลย

ล้างเครื่อง โน๊ตบุ๊ค
  • เริ่มต้นนั้น เราสามารถทำการค้นหาผ่านฟีเจอร์ Search ของ Windows ผ่านการกด Windows Key + Q หรือ Windows Key + S >> จากนั้น พิมพ์ Disk Cleanup แล้วตามด้วยปุ่ม Enter จะปรากฏ Disk Cleanup ขึ้นมา ในลักษณะเป็นแอพพลิเคชัน ซึ่งใน Disk Cleanup นี้ เราสามารถเลือกลบไฟล์ขยะ ไฟล์ระบบ ต่างๆ ได้เลย ไม่ว่าจะเป็น Cleanup, Windows upgrade log files, Language resource files, Recycle Bin และ Temporary files
  • อีกวิธีก็คือ ไปที่ This PC จากนั้นก็เลือกไดรฟ์ (Drive) ที่เราต้องการจะกำจัดไฟล์ขยะ >> คลิกขวาที่ไดรฟ์นั้นๆ แล้วเลือก Properties (ในส่วนของ Windows รุ่นใหม่ๆ อย่าง Windows 11 นั้น เมื่อคลิกขวาที่ Drive แล้ว ให้เราเลือก Show more options แล้วจึงเลือก Properties) >> ดูในส่วนของ General แล้วเลือก  Disk Cleanup ที่อยู่ทางขวาของกราฟวงกลมแสดงสถานะของ Storage จากนั้นก็ทำการลบไฟล์ขยะได้เลย (สามารถทำวิธีนี้กับไดรฟ์อื่นๆ ได้ด้วย แต่จะมองเห็นเพียงแค่ Recycle Bin เท่านั้น)

3. จัดการไฟล์ขยะ ใน Folder Temp

มาต่อกันด้วยวิธีที่จะทำให้เราจัดการกับไฟล์ขยะได้โดยง่าย คล้ายๆ กับการเคลียร์ Recycle Bin แต่วิธีนี้จะเป็นการจัดการกับไฟล์ขยะที่เกิดมาจากระบบของ Windows โดยเราจะเข้าไปเคลียร์ไฟล์เหล่านี้โดยตรง

c4 1
  • เริ่มจั้นนั้น ให้เราไปที่ This PC >> จากนั้น ให้เราคลิกเลือกที่ Drive ที่เราได้ติดตั้ง Windows เอาไว้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็คือ Drive C นั่นเอง >> จากนั้นให้เราเลือกที่โฟลเดอร์ Windows
  • เมื่อเราเข้ามาในโฟลเดอร์ Windows แล้ว ให้เรากดเลือกที่โฟลเดอร์ Temp หากมีข้อความเป็นเชิงอนุญาตการเข้าถึง ให้เราเลือก Continue ได้เลย
  • จากนั้น ให้เรา เลือกไฟล์ทั้งหมดที่อยู่ในโฟลเดอร์ Temp (หรือกด Ctrl + A) >>จากนั้นกด Shift + Delete เพื่อลบไฟล์ขยะ ทั้งหมดออกจากคอมพิวเตอร์ของเรา

อีกวิธีการที่ง่ายมากๆ ในการเข้าไปลบหรือเคลียร์ไฟล์ขยะใน โฟลเดอร์ Temp นั่นก็คือ

  • ให้เรากดปุ่ม Windows + R >> จากนั้นระบบก็จะปรากฏหน้าต่าง Run ขึ้นมา >> ให้เราพิมพ์ ‘ %temp% ‘ >> แล้วจึงกดปุ่ม Enter หรือคลิกที่ปุ่ม OK
  • จะมีหน้าต่างโฟลเดอร์ Temp ขึ้นมา >> ให้เรากด ‘Ctrl + A’ เพื่อทำการเลือกไฟล์ทั้งหมด >> จากนั้น กดปุ่ม ‘Shift + Delete’ บนแป้นพิมพ์ แล้วกดตกลง ก็จะเป็นการลบและเคลียร์ไฟล์ขยะในโฟลเดอร์ ออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราเรียบร้อยแล้ว

4. Reset this PC

c5 1

ถือเป็นเรื่องดีที่โน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบันนั้น เราไม่ต้องทำการหาตัว Windows แท้ มาลงเอง เพราะส่วนใหญ่ก็จะมีติดเครื่องมาให้อยู่แล้ว ทำให้เราล้างเครื่องได้อย่างไม่ต้องกังวล เมื่อเราทำการล้างเครื่อง ตัว Windows ก็จะติดตั้งให้เราโดยอัตโนมัติ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็น Windows 10 ซึ่งเราก็จะต้องทำการอัพเกรดตัววินโดวส์ ให้เป็น Windows 11 นั่นเอง

ในส่วนของวิธีการ Reset โน๊ตบุ๊ค/คอมพิวเตอร์ ที่เราเรียกกันติดปากว่า ล้างเครื่อง นั้น ใน Windows รุ่นใหม่ๆ ก็สามารถทำได้ง่ายๆ เลย

  • เริ่มต้นนั้นให้เรา คลิกว่าที่ปุ่ม Start >> จากนั้นเลือก Settings >> เลือกที่ System >> Recovery >> Reset This PC
  • หรืออีกวิธีก็คือการ กดปุ่ม Windows + S/Q เพื่อเปิดเครื่องมือสำหรับค้นหา >> จากนั้นพิมพ์ Reset This PC เพียงเท่านี้เราก็จะเข้าสู่หน้าสำหรับการรีเซ็ตเครื่องของเราเรียบร้อยแล้ว

สำหรับการล้างเครื่อง โน๊ตบุ๊ค/คอมพิวเตอร์ นั้น หลักๆ แล้วก็จะมีให้เราเลือกอยู่ 2 ตัวเลือก ก็คือ

  • Keep my files : จะเป็นการลบโปรแกรม รวมไปถึงการตั้งค่าต่างๆ ที่เราได้เคยตั้งค่าไว้ออกไป โดยจะกลับมาใช้งานค่าเริ่มต้นของ Windows แต่จะไม่ลบไฟล์ส่วนตัวที่เราได้ทำการเก็บไว้ในเครื่อง ข้อดีก็คือเราไม่ต้องสูญเสียไฟลืที่เราเก็บไว้ แต่อย่างไรก็ตาม หากเครื่องติดไวรัส วิธีนี้ก็อาจจะไม่ส่งผลดีเท่าไหร่ เนื่องจากว่าไวรัสอาจจะไปฝังตัวอยู่ในโฟลเดอร์ หรือไฟล์ส่วนตัวของเราได้
  • Remove Everything : ตัวเลือกนี้จะเป็นการลบข้อมูลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น โปรแกรม การตั้งค่า รวมไปถึงไฟล์ส่วนตัวของเราด้วย เรียกง่ายๆ ก็คือเป็นการ ลง Windows ใหม่นั่นเอง วิธีนี้จะมีข้อเสียก็คือ สำหรับโน๊ตบุ๊ครุ่นเก่าๆ ที่ไม่ได้มีคีย์ Windows ฝังมากับตัวเครื่อง ก็อาจจะต้องไปหาคีย์มาใส่ รวมถึงคอมพิวเตอร์แบบ PC ด้วยเช่นกัน

และทั้งหนดมนี้ก็เป็นวิธีการล้างเครื่อง เคลียร์/จัดการ กับไฟล์ขยะ ใน Windows 11, Windows 10 ที่เราสามารถทำได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ๆ ที่ปัจจุบันนั้นมีการฝังคีย์ Windows แท้ มาให้ผู้ใช้งานอย่างเราๆ เรียบร้อยแล้ว เราสามารถที่จะล้างเครื่องได้บ่อยตามที่เราต้องการ โดยไม่ต้องเสียเวลาไปหาคีย์ Windows แท้มาลง แต่ก็อาจจะเสียเวลาตรงที่ต้องควร Update ตัว Windows ให้เป็นเวอร์ชั่นใหม่อยู่เสมอๆ รวมไปถึงการอัปเกรดจาก Windows 10 เป็น Windows 11 ด้วย อย่างไรก็ตาม หากไม่ถึงขั้นติดไวรัส ก็อยากแนะนำให้ลองจัดการกับไฟล์แคช ไฟล์ขยะในเครื่องดูก่อนที่จะตัดสินใจล้างเครื่อง เพื่อไม่ต้องคอยมานั่งลงโปรแกรมต่างๆ ใหม่ด้วย


อ่านบทความเพิ่มเติม / เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

online photos editor website
หูฟัง เซเว่น
ลืมรหัส iCloud iPhone
กล้องวงจรปิดไร้สาย ดูผ่านโทรศัพท์
หูฟังไร้สายยี่ห้อไหนดี ราคาไม่แพง
คีย์บอร์ด บลูทูธ, Bluetooth Keyboard

from:https://notebookspec.com/web/648305-how-to-reset-this-pc-for-notebook

ไดร์ c เต็ม ทำไงดี? 7 วิธีคืนพื้นที่ว่างในฮาร์ดดิสก์ และ SSD บนวินโดว์ได้ง่ายๆ

ไดร์ c เต็ม ไม่ต้องตกใจ 7 วิธีคืนพื้นที่ว่างให้ HDD และ SSD วินโดว์ทำงานลื่นไหลได้

Disk full c cov1

ไดร์ c เต็ม น่าจะเป็นอาการที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์พีซี และโน๊ตบุ๊คเจอกันบ่อย ไม่ว่าจะเป็นพีซีทั่วไป จนถึงเกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น พื้นที่ฮาร์ดดิสก์ลูกเดิมมีความจุน้อย หรือ SSD ที่ใช้กับโน๊ตบุ๊คในช่วงแรกๆ อาจมีไม่เยอะนัก เมื่อเทียบกับขนาดไฟล์และการใช้งานซอฟต์แวร์ในปัจจุบัน อีกทั้งโปรแกรมหรือเกมที่ใช้งานกันส่วนใหญ่ ก็มีขนาดใหญ่ขึ้น บางเกมนั้นเมื่อติดตั้งแล้วมีมากกว่า 100GB ขึ้นไป ยิ่งรวมถึงบรรดา Patch หรืออัพเดตในแต่ละครั้ง ก็ยิ่งทำให้พื้นที่ที่มีน้อยอยู่แล้วเต็มเร็วมากขึ้น และปัญหาที่ตามมาก็คือ คอมช้า เปิดไฟล์นาน เก็บไฟล์ต่อไม่ได้ บูตเครื่องช้าลง ไปจนถึงแฮงก์หรือทำงานผิดปกติได้เช่นกัน ดังนั้นการเคลียร์พื้นที่ให้เหลือที่ว่างได้มากที่สุด ก็จะช่วยให้ระบบทำงานได้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าคุณยังไม่มีไอเดียในการจัดการ วันนี้เรามี 7 วิธีง่ายๆ ในการเพิ่มพื้นที่ว่างในไดร์ c แบบง่ายๆ ให้คุณได้ลองทำด้วยตัวเองในปี 2022 นี้

ไดร์ c เต็ม แก้ไขเพิ่มพื้นที่ว่างใน 7 ขั้นตอน

  1. ลบไฟล์ขยะใน Recycle Bin
  2. Uninstall หรือ Remove Program
  3. ลบไฟล์ซ้ำๆ
  4. Clear temp file
  5. จัดการไฟล์ใน Download
  6. ใช้ Storage Sense
  7. ใช้บริการ Cloud
  8. Conclusion

1.ลบไฟล์ขยะใน Recycle Bin

หลายคนอาจจะมองข้ามตรงจุดนี้ไปในการแก้ปัญหาไดร์ c เต็ม แต่เราอยากจะให้คุณเข้าไปดูใน Recycle Bin นี้ เป็นที่แรกๆ ก่อนจะไปจัดการยังจุดอื่นๆ นั่นก็เพราะตรงนี้เป็นพื้นที่รวมบรรดาไฟล์ต่างๆ ที่คุณลบทิ้งไป ทำให้เป็นไฟล์ขยะขนาดใหญ่ และยิ่งหากคุณไม่ได้ตั้งค่าจำกัดพื้นที่เอาไว้ ก็จะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนบางครั้งคุณจะคิดไม่ถึงกันเลยทีเดียว ซึ่งอาจมากกว่า 20GB ขึ้นไป แน่นอนว่า คุณจะยังไม่รู้ตัว จนกว่าระบบจะช้าลง หรือโอนถ่ายไฟล์ช้ากว่าปกติ และฮาร์ดดิสก์ใกล้เต็ม

Advertisementavw
ไดร์ c เต็ม

สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ การ Empty Recycle Bin ซึ่งเป็นวิธีที่ค่อนข้างง่ายดาย เพราะไม่มีขั้นตอนอะไรมากมายนัก ทำได้ตั้งแต่ในยุค Windows 7 มาจนถึงปัจจุบัน วิธีการคือ ปิดหน้าต่างโปรแกรมหรือคลิ๊กซ้ายที่มุมล่างขวาของหน้าจอ เพื่อเปิดหน้า Desktop ขึ้นมา จากนั้นไปที่ไอคอน รูปถังขยะ ที่มีชื่อบนไอคอน Recycle Bin จากนั้นคลิกขวาที่ไอคอน แล้วเลือก Empty เท่านั้นก็สามารถแก้ปัญหา ไดร์ c เต็มได้แล้ว

*Tips. แต่ถ้าบางครั้งคุณเบื่อกับการที่จะต้องมาคอยลบไฟล์แบบนี้บ่อยๆ ก็มีวิธีง่ายๆ 2 แบบคือ

  1. กดปุ่ม Ctrl+Del ทุกครั้งที่ลบ การกดปุ่ม 2 ปุ่มนี้พร้อมกัน จะเป็นการลบแบบถาวร และไม่เข้าไปอยู่ในถังขยะ เพื่อรอลบในภายหลัง ข้อควรระวังคือ ต้องมั่นใจว่าลบทุกตัว ถูกไฟล์ มิฉะนั้นจะต้องหาทาง Recovery file กลับคืน
  2. อีกแบบหนึ่งคือ การตั้งค่าให้ลบแล้วลบเลย ด้วยการคลิกขวาที่ Recycle Bin แล้วเลือก Properties > ในหน้า General เลือก Don’t move files to Recycle Bin. ไฟล์จะถูกลบออกจากระบบทันที ก็ต้องระวังเช่นกัน
ไดร์ c เต็ม

แต่จะใช้วิธีการใดในการลบไฟล์จาก Windows ก็ตามแต่ ก็ควรจะต้องใช้ความระมัดระวัง หากต้องการจะป้องกันความผิดพลาด การลบแล้วไปค้างใน Recycle Bin แล้วค่อยมาเคลียร์ในภายหลังทุก 2-3 เดือน ก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม และง่ายกว่าการลบไฟล์แบบไม่ตั้งใจ แล้วต้องหาโปรแกรมมากู้ไฟล์กลับคืน


2.Uninstall หรือ Remove Program

ทุกวันนี้บอกได้เลยว่าแอพพลิเคชั่นและเกมต่างๆ มีส่วนทำให้ ไดร์ c เต็ม เพราะมีให้เลือกใช้กันอย่างมากมาย สังเกตได้จากโปรแกรมพื้นฐานที่เราใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น โปรแกรมบีบอัดไฟล์ โปรแกรมเล่นวีดีโอ ตกแต่งภาพ ตัดต่อวีดีโอ ทำงานเอกสาร หรือการแปลงไฟล์และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้หลายคนชื่นชอบการลองใช้งาน เพื่อทดลองและดูว่ามีความเหมาะสมกับการใช้งานของตนมากน้อยเพียงใด ถูกใจถึงจ่ายเงินซื้อหรือเช่ากันเป็นรายเดือนหรือระยะยาว

ไดร์ c เต็ม

ซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้ ก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะโปรแกรมบางอย่าง ถ้าไม่ได้ลอง ก็จะไม่ได้รู้ถึงศักยภาพและฟีเจอร์ อินเทอร์เฟสหรือสิ่งที่คุณต้องการหรือไม่ เมื่อลองแล้วถูกใจ ก็ซื้อได้ แต่หลายครั้งเราจะเห็นว่า มีการติดตั้งลงบนระบบ แม้ว่าจะเป็น Demo, Trial หรือเกมบางเกม ที่เล่นแล้วเบื่อ กลับไม่ได้ถูกลบทิ้งไป จนกลายมาเป็นไฟล์ที่เบียดบังพื้นที่ทำงานในฮาร์ดดิสก์ SSD อย่าลืมว่าเกมเล็กๆ เล่นง่ายๆ บางทีก็หลักหลาย GB รวมๆ กันก็คิดเป็นหลายเปอร์เซนต์เลยทีเดียว ดังนั้นการลบโปรแกรมหรือเกมเหล่านี้ ก็เป็นทางออกที่ดีในการลดปัญหา ไดร์ c เต็ม ส่วนวิธีการก็สามารถทำได้โดย

  1. กดปุ่ม Win ที่คีย์บอร์ด จากนั้นพิมพ์ Control Panel > เข้าไปที่ Program > Uninstall Program แล้วเลือกโปรแกรมที่คุณต้องการลบหรือ Remove ออก จากนั้นคลิ๊กที่เมนูด้านบน เลือก Uninstall เป็นอันเสร็จสิ้น
  2. คลิ๊กขวาที่มุมล่างซ้ายของหน้าจอ > Settings > Apps >Apps & Feature จากนั้นเลือกโปรแกรมในหน้าต่างทางขวามือ ที่ต้องการจะลบออก ด้วยการกดที่เครื่องหมาย … จากนั้นเลือก Uninstall

*Tips แต่ในกรณีที่ไม่สามารถ Remove หรือ Uninstall Program ออกได้ ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ให้ลองทำตามขั้นตอนเหล่านี้ดูครับ

ไดร์ c เต็ม
  1. เข้าไปปิดการทำงาน หรือ End Process โปรแกรมเหล่านั้น ด้วยการเข้าไปที่ Process ในหน้า Task Manager หากเห็นโปรแกรมที่ต้องการกำลังรันอยู่ ให้กดเลือก แล้วคลิ๊กที่ปุ่ม End Process แล้วลอง Uninstall Program ใหม่อีกครั้ง
  2. วิธีต่อมา ให้ลองเข้าไปดูในแท็ปของเมนู ด้วยการกดปุ่ม Win บนคีย์บอร์ด จากนั้นไปที่ชื่อโปรแกรม แล้วใช้เครื่องมือการ Uninstall ที่บางค่ายจัดมาให้ใช้ในการ Remove โดยเฉพาะ
  3. อีกวิธีหนึ่งก็คือ การใช้โปรแกรมประเภท 3rd Party เช่น Your Uninstall หรือ Revo Uninstall เป็นต้น

3.ลบไฟล์ซ้ำๆ

เป็นเรื่องที่หลายคนได้เจอ แต่บางทีก็เผลอตัวไม่ทันได้ระวัง กับไฟล์จำนวนมาก ที่พรั่งพรูมาในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นไฟล์งาน เอกสาร ไฟล์ภาพถ่าย งานกราฟิกหรือวีดีโอก็ตาม โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้มีการจัดเก็บไฟล์ ลงในโฟลเดอร์ที่มีการจัดหมวดหมู่ให้เรียบร้อย หรือใช้คอมร่วมกันหลายๆ คน ก็อาจจะทำให้มีไฟล์ซ้ำซ้อน แต่อยู่ต่างที่ทางกัน การจัดระบบไฟล์ก็เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างหนึ่ง แต่ไฟล์ซ้ำที่บางครั้ง ซ้ำกันเยอะ และเป็นไฟล์ขนาดใหญ่ จำเป็นจะต้องลบออก เพื่อจะได้มีพื้นที่ว่างกลับคืนมา

ไดร์ c เต็ม

การลบไฟล์ซ้ำๆ เพื่อเพิ่มพื้นที่ว่างให้กับไดร์ c นั้น ไม่ได้วุ่นวายมากนัก เพียงแต่การตรวจเช็คค่อนข้างทำได้ยาก เพราะนอกจากจะต้องเช็คชื่อไฟล์ที่ถูกต้อง ขนาดไฟล์ที่ตรงกันแล้ว ก็ยังต้องดูให้มั่นใจว่าไฟล์นั้นเหมือนกันทุกประการ เพราะแค่การอัพเดตบางอย่างในไฟล์ เช่น Word, Excel หรือ PowerPoint แต่ใช้ชื่อเดิม ขนาดของไฟล์ก็อาจจะต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งหากลบผิดพลาดไป ก็อาจเกิดความเสียหายได้ แต่ถ้าเป็นไฟล์ภาพถ่ายหรือวีดีโอ อาจจะดูง่ายกว่า เพราะการเปลี่ยนแปลง ต้องอาศัยโปรแกรมในการแก้ไข หรือการเปิดไฟล์ขึ้นมาดูเทียบกันก็พอจะแยกออกแล้ว

ดังนั้นการเลือกใช้โปรแกรม ในการลบไฟล์ซ้ำ ก็ดูเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการแก้ไข ไดร์ c เต็มมากที่สุด ซึ่งในปัจจุบันก็มีโปรแกรมที่ช่วยในการลบไฟล์ซ้ำให้เลือกมากมาย เช่น

ไดร์ c เต็ม

Auslogics Duplicate File Finder รองรับ Windows 7 – Windows 10 เป็นโปรแกรมฟรี และแจ้งไว้ด้วยว่า ไม่มีลิมิตการใช้งานหรือตัดฟังก์ชั่น และนอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ในการล็อคไฟล์ เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการลบไฟล์สำคัญบางอย่างอีกด้วย สามารถดาวน์โหลดได้ ที่นี่

Duplicate Cleaner 5 โปรแกรมขนาดเล็ก แต่มีอินเทอร์เฟสน่าใช้ ดูไม่ซับซ้อน รองรับการค้นหาไฟล์ซ้ำได้ทั้ง เอกสาร ภาพ วีดีโอและดนตรี ค้นหาได้รวดเร็ว สามารถดาวน์โหลดได้ ที่นี่

Easy Duplicate Cleaner เครื่องมือในรูปแบบของ Wizard ที่ช่วยให้การค้นหาไฟล์ซ้ำสะดวกมากขึ้น ด้วยโหมดสแกนและเงื่อนไขที่ตั้งไว้มากกว่า 10 วิธี ให้ความแม่นยำ และการรองรับไฟล์ประเภทต่างๆ ได้ รวมถึงการจัดเก็บในระบบ Cloud อีกด้วย มีปุ่มสำหรับยกเลิก และกู้คืนแบบฉุกเฉิน เพื่อให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัย ดาวน์โหลดได้ ที่นี่


4.Clear temp file

เป็นวิธีการพื้นฐาน ที่อาจจะต้องยกไว้ในข้อแรกๆ แต่เพื่อให้หลายคนได้คุ้นเคยกับการจัดการไฟล์ที่ต่างออกไป รวมถึงปัจจุบันระบบมีการจัดการไฟล์เหล่านี้ได้ดีอยู่แล้ว และผู้ใช้ก็กำหนดเองได้ โดยเฉพาะบน Windows 11 จึงขอยกมาไว้ในข้อ 4 นี้ ซึ่งหากใครยังไม่เคยได้ทำ ก็สามารถลองดูจากวิธีที่แนะนำนี้กันได้เลย เริ่มต้นกันที่ Disk Cleanup

ไดร์ c เต็ม

Disk Cleanup เป็นวิธีที่ง่ายในการลบหรือ Clear file ที่เป็นไฟล์ขยะทั้งหมด ซึ่งถูกรวบรวมเอาไว้ในหัวข้อนี้ ทำให้จัดการได้ง่ายขึ้น วิธีการคือ กดปุ่ม Win บนคีย์บอร์ด จากนั้นพิมพ์ Disk Cleanup แล้วกด Enter ก็จะเข้าสู่หน้าต่าง ให้ใส่เครื่องหมายหน้าหัวข้อที่ต้องการลบไฟล์ที่ไม่จำเป็นออก เช่น Download, Temporary Internet files, Delivery Optimize หรือจะเป็น Temporary files ก็ตาม เมื่อเลือกได้ครบแล้ว ให้คลิ๊กที่ Ok แล้วรอจนเสร็จสิ้นกระบวนการ

ไดร์ c เต็ม

หรือถ้าอยากจะลบแค่ Temp file ที่เกิดขึ้นบน Web Browser ยังไม่อยากไปยุ่งกับไฟล์อื่นๆ เพราะใช้ร่วมกันหลายคน สามารเข้าไปที่เบราว์เซอร์แต่ละค่าย เช่น Google Chrome ให้คลิ๊กที่เครื่องหมาย จุด 3 จุดบริเวณด้านบนของหน้าต่าง จากนั้นเลือก More tools แล้วไปที่ Clear browsing data…


5.จัดการไฟล์ใน Download

ไฟล์ที่คุณดาวน์โหลดมาไว้ในเครื่อง ก็มีส่วนที่ทำให้ไดร์ c เต็มได้แบบไม่รู้ตัวเช่นกัน เพราะบางครั้ง ก็มีโปรแกรมที่คุณโหลดมาซ้ำๆ เก็บเอาไว้ในโฟลเดอร์นี้ เพราะเมื่อดาวน์โหลด เค้าจะไม่เตือนบอกว่า คุณมีไฟล์นี้อยู่แล้วนะ ไม่ต้องโหลดก็ได้ แต่จะบอกในรูปแบบของตัวเลข (1), (2), (3) … ไปเรื่อยๆ และคุณจะได้เห็นในโฟลเดอร์ได้ทันทีเมื่อเปิดเข้ามา และมีการจัดเรียงไฟล์ตามชื่อ แต่ถ้าเรียงตามวันเวลาที่ดาวน์โหลด ก็ยิ่งไม่มีทางทราบได้เลย

ไดร์ c เต็ม

แต่เมื่อดาวน์โหลดมาแล้ว เราก็ควรจะทำการ Clear หรือลบไฟล์ดาวน์โหลดที่ไม่จำเป็นเหล่านี้ออกไปบ้าง เพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่ในฮาร์ดดิสก์หรือ SSD อันน้อยนิดของเรา หากใช้วิธีแบบโหดๆ ลบโดยไม่สนใจว่าจะมีไฟล์ไหนที่จะยังเก็บไว้ใช้บ้าง ก็ให้เปิดโฟลเดอร์ Download ขึ้นมา จากนั้นกดปุ่ม Ctrl+A แล้วกดปุ่ม Shift+Del เพื่อลบแบบถาวร เพราะถ้ากด Del อย่างเดียว ก็จะลงไปที่ Recycle Bin อยู่ดี

ไดร์ c เต็ม

*Tips หากคุณไม่มั่นใจว่า ไฟล์หรือโปรแกรมที่อยู่ใน Download อันไหนควรลบหรือไม่ ให้จัดเก็บไว้ในไดรฟ์แยกต่างหากของคุณ ซึ่งอาจเป็นไดรฟ์ที่ต่อภายใน หรือต่อภายนอกผ่าน USB เป็นแบบ External Drive เพื่อความปลอดภัย จากนั้นลบไฟล์ Download ที่อยู่ภายในเครื่อง เมื่อคุณคิดว่าจะนำโปรแกรมหรือไฟล์ใดมาใช้ ก็ให้ต่อพ่วงไดรฟ์แล้วเลือกมาเฉพาะบางตัว จะได้ไม่รกเครื่องอีกต่อไป


6.ใช้ Storage Sense

ไดร์ c เต็ม

เป็นทางออกของคนที่เบื่อกับการที่ต้องจัดการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลในแบบ Manual เพราะฟีเจอร์นี้ จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถกำหนดขนาดของพื้นที่จัดเก็บข้อมูล ให้ระบบ Storage Sense นี้ทำงานทุกๆ วัน สัปดาห์หรือทุกเดือน รวมถึงการลบไฟล์ออกจาก Recycle Bin ในทุก 1, 14, 30 วันหรือ 60 วัน ตั้งได้ตามใจชอบ รวมถึงการ Delete file ที่อยู่ในโฟลเดอร์ Download ได้ ในทุกๆ รอบ เช่นเดียวกับ Recycle Bin

ไดร์ c เต็ม

วิธีการใช้งาน ให้เข้าไปที่ Storage > Storage Sense ในหัวข้อ Storage management แล้วเปิดการทำงาน Enable ในหัวข้อ Storage Sense

ไดร์ c เต็ม

นอกจากนี้ใน Storage ในระบบปฏิบัติการ Windows 11 ยังมีฟังก์ชั่นให้ได้งานกันอีกมากมาย ในจุดที่เป็น Advance Storage Settings: ไม่ว่าจะเป็น Storage Space, Disk & Volume หรือ Backup options ก็ตาม ล้วนแต่ช่วยให้คุณจัดการและจัดเก็บไฟล์ได้ดีขึ้น รวมถึงบางฟังก์ชั่น ยังช่วยให้คุณหาไฟล์ที่หายไป แค่จำให้ได้ว่าเป็นไฟล์อะไร ภาพ วีดีโอ เอกสาร หรืออื่นๆ ด้วยการใช้ Where New Content is Saved เป็นต้น


7.ใช้บริการ Cloud

อีกทางเลือกที่น่าสนใจในการแก้ปัญหา ไดร์ c เต็ม นั่นคือการใช้ระบบ Cloud มาช่วยในการจัดเก็บข้อมูลและใช้แอพพลิเคชั่น เพราะคุณแทบจะไม่ต้องไปหาพื้นที่ในการจัดเก็บในกรณีที่คุณเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่ได้ทั้งวัน ไม่ว่าจะทำงานที่บ้านหรือใช้งานที่ออฟฟิศ เพราะแค่หาบริการ Cloud storage ที่ให้ความจุมากพอ และบริการที่ตอบสนองได้ไว มีออพชั่นให้เลือก เท่านี้ก็สามารถใช้งานได้ยาวๆ แล้ว หรือจะไปข้างนอกก็แทบจะไม่ต้องพกพีซีหรือโน๊ตบุ๊คไปให้วุ่นวาย แค่ปลายทางมีคอมที่ต่ออินเทอร์เน็ตได้ ก็ใช้งานได้แล้ว อีกทั้งบรรดา Service ต่างๆ ที่มีในปัจจุบัน ก็เข้ามาแทนซอฟต์แวร์ที่ใช้งานในชีวิตประจำวันได้ โดยให้คุณใช้งานผ่านออนไลน์ ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมลงในเครื่องให้เสียพื้นที่อีกด้วย ประเภทที่เป็น Cloud service หรือ Cloud Application นั่นเอง

ไดร์ c เต็ม

Microsoft OneDrive ใช้ร่วมกับแอพบน iOS และ Android ได้ ให้พื้นที่จัดเก็บฟรี 5GB กำหนดขนาดไฟล์ไว้ที่ 15GB ซึ่งค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียว ในส่วนของ iDrive พื้นที่จัดเก็บฟรี 5GB เช่นเดียวกัน แต่รองรับไฟล์ขนาดใหญ่เพียง 2GB เท่านั้น มาดูที่ Google Drive ให้พื้นที่ฟรีถึง 15GB ด้วยกัน และรองรับไฟล์ขนาดใหญ่ได้ถึง 5TB ตามเงื่อนไข รองรับทั้ง iOS และ Android มากันที่ Dropbox ให้พื้นที่ฟรี 2GB และรองรับไฟล์ขนาดใหญ่ 2GB เช่นกัน

Dropbox

คงต้องบอกก่อนว่า เรื่องของ Limit และข้อจำกัดในบางด้าน ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ รวมถึงยังมีแพ็คเกจอีกมากมาย ซึ่งเป็นแบบการจ่ายเงิน เพื่อเช่าพื้นที่ให้มากขึ้น หรือมีบริการที่มากกว่าให้เลือก โดยในแต่ละที่อาจจะมีมากมาย ขึ้นอยู่กับการใช้งานของคุณ แต่แนะนำว่า ค่าใช้จ่ายในแต่ละปีไม่สูงมากมาย แต่คุ้มค่าสำหรับคนที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้สะดวกในทุกช่วงของวัน เพราะแทบจะไม่ต้องพกพีซี หรือโน๊ตบุ๊คไปเลย แค่มีสมาร์ทโฟน ก็ทำงานได้เช่นกัน

อัพเกรดหรือเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ และ SSD ใหม่

แต่ถ้าสุดท้ายแล้ว คุณไม่สามารถลบไฟล์ที่จำเป็นไปได้มากกว่านี้ การซื้อ Storage มาอัพเกรด ดูจะทางเลือกที่ง่ายที่สุด (ใช้เงินแก้ปัญหา) เพราะคุณสามารถเลือกอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลมาติดตั้งแทนตัวเดิม หรือเพิ่มเติมเข้าไปใหม่ แต่ก่อนจะซื้อฮาร์ดดิสก์หรือ SSD มาใช้ ก็ต้องพิจารณาตามการใช้งานในชีวิตประจำวันและพื้นฐานของคุณเอง เช่น พีซีเดสก์ทอปหรือโน๊ตบุ๊ค

ไดร์ c เต็ม

เน้นพื้นที่จัดเก็บข้อมูล: ไม่ได้เรียกใช้งานบ่อย ฮาร์ดดิสก์โดยทั่วไป เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะได้ความจุมหาศาลในราคาที่สบายกระเป๋า ตัวอย่าง HDD 1TB ราคาประมาณ 1,100 บาท หากเป็น SSD จะได้ประมาณ 240-256GB เท่านั้น แม้ความเร็วของ SSD จะสูงกว่า HDD อยู่ 3-4 เท่าก็ตาม ดังนั้น HDD จึงเหมาะกับคนที่มีข้อมูลปริมาณมากๆ เน้นการจัดเก็บเป็นหลัก

ถ้าใส่ใจในเรื่องความเร็วในการอ่าน-เขียนข้อมูล: SSD ในแบบ SATA3 เป็นทางเลือกที่เหมาะสม เพราะ ราคาไม่สูงมากนัก และยังใช้กับพีซีและโน๊ตบุ๊ครุ่นเก่าได้ รวมถึงเอามาแทนไดร์ c เพื่อติดตั้งวินโดว์ได้อีกด้วย สะดวกใช้งานง่าย

ส่วนคนที่มีงบประมาณสูง: และมีสเปคคอมเกมมิ่ง ที่อยากแรงหรือหา Storage มาทดแทนของเดิม อยากได้ทั้งความเร็วและความจุมากพอสำหรับการใช้งาน SSD ในแบบ M.2 NVMe PCIe Gen4 x4 คือคำตอบที่ใช่ กับความจุระดับ 1TB ขึ้นไป เพียงพอต่อการใช้งาน ลงโปรแกรม ติดตั้งเกม รวมถึงการใช้งานด้านซอฟต์แวร์เฉพาะทาง เพราะให้ความเร็วในการอ่าน-เขียนข้อมูลได้มากกว่า 5,000MB/s ซึ่งเร็วกว่าฮาร์ดดิสก์ทั่วไปเกือบ 20 เท่า และเร็วกว่า SSD SATA3 เกือบ 10 เท่าเลยทีเดียว

Kingston KC 3000
  • Samsung 980 PRO: เป็นแบบ PCIe 4.0 x4 ให้ความเร็วในการอ่าน/เขียน ที่ 6,400MB/s และ 2,700MB/s ตามลำดับ รับประกัน 5 ปี ความจุ 250GB อยู่ที่ 2,990 บาทเท่านั้น ส่วนในรุ่น 500GB จะอยู่ที่ 4,790 บาท แต่ความเร็วมากกว่า เพราะความเร็วในการอ่าน/เขียน ที่ 6,900MB/s และ 5,000MB/s เลยทีเดียว
Kingston KC 3000 1
  • Kingston KC3000: เป็นแบบ PCIe 4.0 x4 ให้ความเร็วในการอ่าน/เขียน ที่ 7,000MB/s และ 3,900MB/s ตามลำดับ รับประกัน 5 ปี ความจุ 512GB อยู่ที่ประมาณ 4,090 บาท ส่วนความจุ 1TB จะมีความเร็วที่เพิ่มขึ้น อยู่ที่ การอ่าน/เขียน ที่ 7,000MB/s และ 6,000MB/s เลยทีเดียว ส่วนราคาอยู่ที่ประมาณ 6,700 บาท
  • SEAGATE FIRECUDA 520: เป็นแบบ PCIe 4.0 x4 ให้ความเร็วในการอ่าน/เขียน ที่ 5,000MB/s และ 2,500MB/s ตามลำดับ รับประกัน 5 ปี ความจุ 512GB อยู่ที่ประมาณ 3,490 บาท

Conclusion

วิธีปัญหา ขั้นตอนการแก้ไข
1.ลบไฟล์ขยะใน Recycle Bin เปิดหน้า Desktop ขึ้นมา จากนั้นไปที่ไอคอน รูปถังขยะ ที่มีชื่อบนไอคอน Recycle Bin จากนั้นคลิกขวาที่ไอคอน แล้วเลือก Empty
2.Uninstall หรือ Remove Program คลิ๊กขวาที่มุมล่างซ้ายของหน้าจอ > Settings > Apps >Apps & Feature จากนั้นเลือกโปรแกรมในหน้าต่างทางขวามือ ที่ต้องการจะลบออก
3.ลบไฟล์ซ้ำๆ ใช้โปรแกรม Auslogics Duplicate File Finder, Duplicate Cleaner 5 หรือ Easy Duplicate Cleaner สแกนหาไฟล์ซ้ำแล้วลบ
4.Clear temp file กดปุ่ม Win บนคีย์บอร์ด จากนั้นพิมพ์ Disk Cleanup แล้วกด Enter ก็จะเข้าสู่หน้าต่าง ให้ใส่เครื่องหมายหน้าหัวข้อที่ต้องการลบไฟล์ที่ไม่จำเป็น
5.จัดการไฟล์ใน Download เปิดโฟลเดอร์ Download ขึ้นมา จากนั้นกดปุ่ม Ctrl+A แล้วกดปุ่ม Shift+Del เพื่อลบแบบถาวร
6.ใช้ Storage Sense Storage > Storage Sense ในหัวข้อ Storage management
7.ใช้บริการ Cloud เลือกบริการMicrosoft OneDrive, iDrive, Google Drive, Dropbox

สุดท้ายนี้กับการแก้ปัญหาไดร์ c เต็ม ด้วยวิธีต่างๆ เหล่านี้ ก็น่าจะช่วยให้หลายๆ คน พอมีแนวทางในการจัดการปัญหาได้ดียิ่งขึ้น และหากจำเป็นจะต้องซื้อฮาร์ดดิสก์หรือ SSD ใหม่ ก็อาจจะต้องเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานและงบประมาณที่คุณมีอยู่ด้วย อย่างไรก็ดีทั้งหมดนี้ หากคุณสามารถจัดการหรือเตรียมการด้วยการตั้งค่าให้เหมาะสมกับระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลบไฟล์ Recycle Bin หรือจะเป็นการตั้งค่าใน Storage Sense ก็จะช่วยให้คุณประหยัดเวลา และประหยัดพื้นที่บนไดร์ c ไปได้มาก รวมถึงช่วยให้ระบบปฏิบัติการของคุณทำงานได้ไหลลื่นมากขึ้นอีกด้วย

from:https://notebookspec.com/web/632802-7-step-clear-drive-c-full

ไดร์ C เต็ม Windows 10, Windows 8.1 และ Windows 7 ให้พื้นที่กลับคืน อัพเดต 2021

ไดร์ C เต็ม Drive C พื้นที่หาย ใครเคยเป็น ใช้คอมอยู่ดีๆ พื้นที่เต็ม เก็บข้อมูลไม่พอ ลงโปรแกรมเพิ่มไม่ได้ แก้ไขอย่างไร?

ไดร์ C เต็ม

ปัญหา ไดร์ C เต็ม ทั้งที่ใช้โปรแกรมก็ธรรมดา มีลงเกมไว้บ้าง แต่ข้อมูลอาจจะเยอะไปหน่อย ใช้งานแล้วไม่ค่อยได้ตรวจเช็ค เผลอๆ ระบบเตือน ฮาร์ดิสก์ SSD ใกล้เต็ม แถบ Properties บน File Explorer แดงเถือก แบบนี้จะทำอย่างไรดี วันนี้ทางทีมงานหาแนวทางแก้ปัญหา สำหรับคนที่เจอกับวิกฤตเช่นนี้ ด้วยวิธีนำพื้นที่ในไดรฟ์ C กลับคืนมา ได้ผลแบบง่ายๆ เริ่มตั้งแต่การสังเกตอาการ แนวทางแก้ไข และการปรับปรุงระบบให้ใช้งานได้ยาวนาน ไม่ต้องกังวลเรื่องฮาร์ดดิสก์เต็มง่าย ที่สำคัญไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกด้วย แถมยังเหลือพื้นที่ไว้สำหรับใช้งานอื่นได้อีก โดยวิธีเหล่านี้สามารถใช้ได้บน Windows 10, Windows 8.1 และ Windows 7

วิธีแก้ไข Windows 10 เนื้อที่ใน ไดร์ C เต็ม

เช็คอย่างไร? ว่า ไดร์ C เต็ม

localdisk disk cleanup

วิธีง่ายๆ ที่จะพอสังเกตได้ว่า ไดร์ C เต็ม Windows 10 ก็คือ คอมเริ่มทำงานช้าลง หรือเปิดโปรแกรมและไฟล์ใหญ่ๆ ไม่ค่อยได้ หรือมีหน้าต่างเตือนอยู่บ้าง ว่าไม่สามารถติดตั้งโปรแกรมได้ หรือพื้นที่ไม่พอย้ายไฟล์ แต่ที่เข้าไปดูได้ง่ายๆ เลยคือ เปิด File Explorer หรือ Windows Explorer แล้วให้คลิ๊กขวาที่ Drive C: ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไดร์สำหรับติดตั้ง Windows ไปที่แท็บ General

ให้สังเกตที่ Capacity จะมี 2 หัวข้อคือ Use space และ Free space

  • Use space: บอกถึงปริมาณข้อมูลในพื้นที่จัดเก็บ ว่าถูกใช้งานไปกี่ GB หรือ TB แล้ว ตัวเลขยิ่งมาก ก็หมายถึง ถูกใช้พื้นที่ไปเยอะ
  • Free space: บอกถึงพื้นที่ว่าง ที่เหลืออยู่ในฮาร์ดไดรฟ์หรือ SSD ตัวเลขมาก หมายถึง พื้นที่ว่างเยอะ

หรือถ้าง่ายๆ เลยก็คือ ในแถบวงกลมตามภาพ หากสีฟ้ามีเยอะ หรือเกือบเต็มวงจนเป็นสีแดง หมายถึงมีการใช้พื้นที่เกือบเต็มฮาร์ดดิสก์หรือ SSD แต่ถ้ามีแถบสีขาวเยอะ ก็หมายถึงเหลือพื้นที่ว่างมากนั่นเอง

ลบไฟล์ที่ไม่ได้ใช้ อยู่ตรงไหนบ้าง?

การทำความสะอาดหรือลบไฟล์ขยะที่ไม่ได้ใช้ เป็นสิ่งที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ ควรจะต้องทำ อย่างน้อยๆ ปีละครึ่ง หรือ 3-4 เดือนครั้ง ก็จะดีมาก เพราะนอกจากจะทำให้ระบบมีเสถียรภาพและประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น ก็ยังช่วย การลดข้อมูลที่ไม่จำเป็นไว้ในระบบ ซึ่งจะทำให้ฮาร์ดดิสก์หรือ SSD เต็มเร็ว เสียพื้นที่ไปโดยเปล่าประโยชน์ และระบบจะมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น ไม่ต้องเสียทรัพยากรไปเปล่าประโยชน์ ส่วนถ้าใครยังไม่ทราบว่าแหล่งที่มีไฟล์ ที่เรามักไม่ค่อยได้ใช้จัดเก็บอยู่ที่ไหนบ้าง? ลองมาดูในขั้นตอนนี้ จะให้คุณได้รู้จักกับวิธีจัดการไฟล์ แก้ปัญหา ไดร์ C เต็ม ด้วยขั้นตอนง่ายๆ จัดเป็นสิ่งแรกๆ ที่ผู้ใช้งานทำได้เอง ประกอบด้วย

ไดร์ C เต็ม

Empty Recycle Bin : ด้วยการลบไฟล์จากในถังขยะที่ค้างอยู่ ซึ่งบางคนไม่เคยได้ลบเลย สะสมไว้เป็นหลายสิบกิกกะไบต์ ซึ่งจะเกิดจากการที่ลบด้วยการ Delete ก็จะเข้ามาอยู่ใน Recycle Bin นี้ การจะลบข้อมูลในถังขยะนี้ ให้ใช้วิธีคลิกเมาส์ขวาที่ไอคอน แล้วสั่ง Empty

Clear Temp และ Cookie : เป็นการลบไฟล์ Temp ที่ตกค้างหลังการใช้อินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ ข้อมูลหรือบางครั้งเป็นไฟล์ติดตั้งบางอย่างที่เข้ามาใช้พื้นที่สำหรับการทำงาน สิ่งเหล่านี้สามารถลบได้ง่ายๆ ด้วยการไปที่ Internet Explorer > Option > General > Browsing History และกดที่ปุ่ม Delete

Disk Clean up : ด้วยการลบไฟล์ขยะภายในระบบ โดยการ เข้าไปที่ All Program > Accessories > System Tool จากนั้นคลิกที่ Disk Cleanup เลือกไดรฟ์ที่ต้องการ Clean เมื่อมีหน้าต่างที่ให้เลือกหัวข้อในการลบ

หากทำได้ตามนี้นอกจากจะได้พื้นที่ส่วนที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์กลับมาแล้ว ก็ยังได้ประสิทธิภาพกลับคืนมาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างคุ้มค่ามากทีเดียว

ลบไฟล์ Windows.old

เช็คไฟล์ Windows.old บน Windows 7 , Windows 8.1 และ Windows 10 เกิดขึ้นจากการอัปเดต Windows 7 > Windows 10 , Windows 8.1 > Windows 10 หรือจะเป็นการ Update Windows 10 > Windows 10 ที่เป็นคนละ Build กันเช่น 1709 > 1803 เป็นต้น โดยจะสังเกตเห็นโฟลเดอร์ Windows.old ก็แปลว่า Windows เราได้ถูกอัพเกรดเรียบร้อยแล้ว สำคัญมาก ห้ามลบโดยตรงเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้

AGI SSD PCIe Gen3 x4 512GB test 1

*การลบไฟล์ Windows.old ออก หมายความว่าเพื่อนๆจะไม่สามารถย้อนเวอร์ชันใน Windows 10 ได้

คนที่อัพเกรด Windows ในเวอรชั่นที่เก่ากว่า Windows 10 ให้ลองคลิ๊กที่ Drive C: ของคุณ จะเห็นโฟลเดอร์ Windows.old ไฟล์จะมีขนาดประมาณ 7GB ขึ้นไป ในกรณีที่คุณไม่ต้องการจะย้อนกลับไปในเวอร์ชั่นเก่าๆ สามารถลบไฟล์นี้ ย้ำ! เมื่อลบแล้วจะไม่สามารถย้อนคืนกลับ Windows เก่าที่คุณเคยอัพเดตมานะครับ “Windows.old ไม่สามารถลบได้ด้วยการกด Delete แต่ให้เข้าไปที่ Disk Cleanup จากนั้นคลิ๊กที่ Clean up system files ระบบจะทำการสแกนให้จนเสร็จสิ้น ในช่อง Files to delete: ให้ใส่เครื่องหมายหน้า Previous Windows installation จากนั้นเลือก Ok กดปุ่ม Delete files บนหน้าต่างเล็กๆ ที่เด้งขึ้นมา แล้วคลิ๊ก Yes เพื่อยืนยัน” เท่านี้ก็ช่วยแก้ ไดร์ C เต็มเพิ่มพื้นที่ว่าง ให้ไดรฟ์ของคุณได้ ไม่น้อยกว่า 5-10GB เลยทีเดียว

เกิดจากการอัปเดตแพทซ์ของ Windows

ไดร์ C เต็ม

เวลาที่เพื่อนๆอัปเดต Patch Windows 10 / 8.1 / 7 แล้วทาง Windows ไม่ทำการล้าง patch ให้ ทำให้เพื่อนๆมีพื้นที่ในการเก็บ Patch เยอะ ทำให้ Drive C เต็ม โดยสามารถทำการลบ History Patch ออกได้ เพราะเป็นแพทช์ที่ไม่ได้ใช้แล้ว โดยให้เพื่อนๆไปที่

C:\Windows\SoftwareDistribution\Download” และทำการลบไฟล์ทั้งหมดที่อยู่ใน Folders นี้

ลบด้วย Disk Cleanup

ไปที่ This PC > ทำการคลิกขวาที่ Drive C > ทำการเลือก Properties

ไดร์ C เต็ม

ให้เข้าไปที่ File Explorer หรือ Windows Explorer แล้วคลิ๊กขวาที่ Drive C: จากนั้นเลือก Properties ทำการคลิก Disk Cleanup และ System File

ไดร์ C เต็ม

จากนั้นไปที่แท็ป General แล้วคลิ๊กที่ Disk Cleanup เพื่อเริ่มต้นการทำงาน

ไดร์ C เต็ม

เลือก (/) Previous Windows installation จากนั้นทำการคลิก Delete Files

ไดร์ C เต็ม

จากนั้นระบบจะทำการลบ Folder Windows.old ออกจาก Drive C และเมื่อทำการลบข้อมูลใน Windows.old เสร็จหมดเรียบร้อย เราก็จะได้พื้นที่เพิ่มคืนมาใน Drive C จากนั้นให้รีสตาร์ทเครื่องให้เรียบร้อย

ไฟล์ขยะที่มีมากเกินไป สามารถลบด้วย วิธีการลบไฟล์ Temp ใน Windows บนคอมพิวเตอร์ของเรานั่นมีการลงโปรแกรมต่างๆทำให้มีไฟล์ Cache ต่างๆอยู่ในระบบบนเครื่องคอมพิวเตอร์ค้างอยู่เยอะมากหากไม่มีการลบ โดยเราสามารถทำการลบไฟล์ขยะออกไปจาก Windows ตามขั้นตอนด้านล่างนี้

ไดร์ C เต็ม

ไปที่ Start > คลิกขวาเลือก Run แล้วพิมพ์ %temp% และทำการ Enter

ไดร์ C เต็ม

จากนั้นจะเห็นไฟล์ขยะต่างๆ ที่ระบบ Windows สร้างให้ ให้เราลบทุกไฟล์ที่อยู่ในนี้ได้หมด โดยให้เราทำการไล่ลบไฟล์ต่างๆเหล่านี้ออกให้หมด ด้วยการกด Ctrl + A และทำการคลิกขวาแล้วเลือก Delete (ไม่มีปัญหากับ Windows)

ไดร์ C เต็ม

ไฟล์ไหนที่ลบไม่ได้จะขึ้นตามภาพด้านล่าง เพราะเป็นไฟล์ขยะที่ใช้อยู่ให้ทำการเลือก (/) Do this for all current items และเลือก skip

ไดร์ C เต็ม

โดยทีมงานแนะนำว่า เลือกตั้งการลบไฟล์เหล่าๆนี้ทุกๆเดือนก็เป็นสิ่งที่เหมาะสม


โปรแกรมอะไรที่ไม่ได้ใช้ก็ลบออก

หลายๆ ท่านชอบโหลดโปรแกรมต่างๆ มาลงในเครื่อง และก็ปล่อยมันอยู่ในเครื่องโดยที่ไม่ลบมันออกไป ซึ่งก็ทำให้ ไดร์ C เต็ม โปรแกรมสมัยนี้บางโปรแกรมกินพื้นที่ในฮาร์ดดิสก์ 2-4GB ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเกมเดี๋ยวนี้ ใช้พื้นที่ไปไม่น้อยกว่า 10-20GB รวมกันหลายเกม ก็ปาไปหลักร้อย GB

ไดร์ C เต็ม

สิ่งนี้สำคัญเสมอ ไม่ได้ช่วยแค่เรื่องของการเล่นเกมเท่านั้น แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบโดยรวมด้วย เพราะว่าโปรแกรมต่างๆ เหล่านี้ มักมีส่วนในการจับจองการทำงานของแรม และซีพียูไว้ด้วย การลบโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้ โปรแกรมที่ทำงานซ้ำๆ กัน รวมถึงโปรแกรมที่ Expire ใช้งานต่อไม่ได้ Demo หรือโปรแกรมทดลองใช้ เกมที่เล่นจบแล้ว ก็ควรจะ Remove ด้วยการ Uninstall ออกไป แล้วคุณจะพบว่า พื้นที่ SSD ตัวน้อยของคุณ เพิ่มพื้นที่ว่าง มากขึ้นกว่าเดิมไม่น้อยทีเดียว


จัดการด้วย Storage Sense

Storage Sense เป็นฟีเจอร์ในการจัดการไฟล์ขยะ ที่ไปแฝงตามจุดต่างๆ ซึ่งทำให้เครื่องช้าลง ไดร์ C เต็มเร็ว โดยในการลบนี้ การทำงานคล้ายกับ Disk Cleanup แต่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกัน ซึ่งถ้ามองแล้ว Storage Sense จะรายละเอียดน้อยกว่า อีกทั้งสามารถตั้งเวลาในการ Clean ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น วิธีง่ายๆ ในการเข้าใช้คือ กดปุ่ม Win บนคีย์บอร์ด แล้วคลิ๊กซ้ายรูปเฟืองที่มุมซ้ายล่างของหน้าต่าง จากนั้นเลือกที่ System แล้วคลิ๊กที่ Storage ทางแถบด้านซ้ายมือ และอีกวิธีหนึ่งก็คือ กดปุ่ม Win แล้วพิมพ์คำว่า “Storage”

ไดร์ C เต็ม

เมื่อเข้ามาสู่หน้า Windows Settings ให้เลือก System เพื่อเข้าไปยังหน้าต่างการตั้งค่าระบบ คลิ๊กเลือกที่ Storage ทางแถบเมนูซ้ายมือ จากนั้นจะปรากฏหน้าของ Storage ซึ่งมีฟีเจอร์ Storage Sense อยู่ในนั้น โดยหากไม่เคยได้เข้ามา ระบบจะอยู่ในสถานะ Off หรือปิดการทำงาน โดยฟังก์ชั่นนี้เป็นการคืนพื้นที่ว่างจากไฟล์ที่คุณไม่ต้องการใช้งาน เช่น Temp file, และบรรดาสิ่งต่างๆ ที่อยู่ใน Recycle bin นั่นเอง

กรณีที่คุณต้องการจะให้ Storage Sense ทำการลบไฟล์ที่ไม่ต้องการของคุณให้อัตโนมัติ ให้เลื่อนแถบสไลด์บาร์ จาก Off มาเป็น On และในหน้าของ Change how we free up space automatically จะมีตัวเลือกให้สำหรับการตั้งค่าแบบง่ายๆ 3 ส่วน

Storage Sense Win10 8
  • Run Storage Sense: เลือกให้ระบบ Storage Sense ทำงานเมื่อใด? มีให้เลือกแบบ ทุกวัน, ทุกสัปดาห์, ทุกเดือน หรือ เมื่อฮาร์ดดิสก์เริ่มเหลือพื้นที่น้อย
  • Temporary Files: เลือกให้ระบบลบใน 1 วัน, 14 วัน, 30 วัน, 60 วัน และไม่ต้องลบ
  • Delete Files in my download: การลบไฟล์ดาวน์โหลด ก็สามารถเลือกวันเวลาในการตั้งลบได้เช่นกัน แต่ถ้าคุณไม่ต้องการให้ไปยุ่งกับไฟล์เหล่านั้น ก็สามารถตั้งเป็น Never ได้

หลังจากที่เราตั้งค่าต่างๆ ตามความพอใจ หรืออยากจะให้ Storage Sense เคลียร์พื้นที่ให้เลย ก็สามารถคลิ๊กที่ Clean Now ได้ทันที


ไฟล์เก่า ไม่ได้ใช้บ่อย บีบอัดไฟล์ ช่วยได้เยอะ

ไดร์ C เต็ม

ถ้าคุณมีมากกว่า 1 Drive อาจย้ายพื้นที่ติดตั้งเกมไปลงได้ หรือถ้าให้ชัดเจน ก็อาจจะเลือกย้ายบรรดาไฟล์ข้อมูลพื้นฐาน ไปไว้อีกไดรฟ์หนึ่ง เพื่อให้ลงเกมในไดรฟ์ C: ได้ทั้งหมด เพื่อลดค่า Latency ลง ในการเข้าเกมได้เร็วขึ้น นอกจากนี้เพื่อ เพิ่มพื้นที่ว่าง ให้มากขึ้น ให้แยกไฟล์เก่าเก็บทำการบีบอัดหรือ Zip file จะใช้ WinZip, WinRAR หรืออื่นๆ ก็จะช่วยลดการ ไดร์ C เต็ม เสียพื้นที่ในไดรฟ์ไปไม่น้อยเลย


ฝากข้อมูลบน Cloud

เป็นอีกทางเลือกที่ดี หากเวลานั้นพร้อมทั้งเวลาและอินเทอร์เน็ต เพราะพื้นที่บน Cloud นั้น เป็นอะไรที่ง่ายและสะดวก ยิ่งเวลานี้มีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Dropbox, Google Drive หรือ IDrive, Backblaze และ pCloud เป็นต้น แค่ต่อเน็ตและคลิกลากไฟล์ก็ใช้งานได้แล้ว แต่มีข้อจำกัดในเรื่องของพื้นที่ ความเร็วและเวลาในการอัพโหลด เนื่องจากพื้นที่ของผู้ให้บริการส่วนใหญ่จะมีเพียงไม่กี่ GB รวมถึงถ้าอัพโหลดในความจุระดับนั้น หากอินเทอร์เน็ตไม่เร็วจริง ก็คงต้องเสียเวลากันไม่น้อยเลยทีเดียว

ไดร์ C เต็ม

ยิ่งมาถึงในยุคที่อินเทอร์เน็ตเร็วสูง Gigabit per second (Gbps) อย่างเช่นในปัจจุบันนี้ การเลือกใช้ Cloud storage ก็เป็นทางเลือกที่ดีในการ เพิ่มพื้นที่ว่าง ให้กับคอมของคุณ เพราะนอกจากจะให้พื้นที่ว่างแล้ว หลายที่ยังให้ใช้ฟรี แต่จำกัดปริมาณ หรือบางครั้งจ่ายแค่หลักร้อยบาทต่อเดือน หรือเริ่มสักพันต้นๆ ต่อปีเท่านั้น และแทบไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว เพราะคุณมั่นใจได้ในความปลอดภัยบนเซิร์ฟเวอร์ระดับโลก ที่สำคัญคุณยังสามารถเปิดดูไฟล์ได้จากทุกที่ที่ต้องการ ขอแค่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตในการเชื่อมต่อเท่านั้น ก็สามารถเข้าถึงบริการ Cloud ได้สะดวกแล้ว

google drive google one

ที่น่าสนใจคือ การซื้อพื้นที่เพิ่มก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่ช่วยให้การจัดเก็บเซฟไฟล์งานที่สำคัญเอาไว้ใช้งานได้ตลอด โดยไม่ต้องเคลียร์พื้นที่กันอยู่บ่อย ๆ โดยสามารถเลือกความจุเริ่มต้นที่ 100GB โดยเสียค่าใช้จ่ายเดือนละ 70 บาท และสามารถแชร์ให้คนในครอบครัวหรือเพื่อน ๆ ที่ต้องการเพิ่มพื้นที่ของ Google Drive ได้ด้วย ตัวอย่างเช่นการสมัครใช้งาน Google One นั้น เราสามารถแชร์พื้นที่ร่วมกันได้ 5 คน (รวมเจ้าของคนที่ซื้อพื้นที่เป็น 6 คน) ซึ่งถัวเฉลี่ยแล้วจะตกราวคนละ 12 บาทต่อเดือนเท่านั้น

เป็นยังไงกันบ้างกับการแก้ปัญหา Drive C เต็ม ไม่ได้ยากเกินไปเลยใช่ไหมครับ หากทำตามวิธีด้านบนมั่นใจได้เลยว่าเพื่อนๆจะได้พื้นที่กลับมาไม่มากก็น้อยแน่นอนครับ สำหรับใครที่สงสัยหรือติดปัญหาขั้นตอนไหนสามารถแสดงความคิดเห็นไว้ด้านล่างได้เลยครับ


Related Topics

7 วิธี เพิ่มพื้นที่ว่าง ลงเกมใหม่ แบบไม่ต้องลบเกมเก่า ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม

Related Increase Drive C 1

HD Tune โปรแกรมเช็ค HDD ตรวจฮาร์ดดิสก์ สเปคแบบ Easy

Related HDTune check HDD 2

หาที่ลง! 5 วิธี เก็บข้อมูลแบบด่วนๆ เมื่อฮาร์ดดิสก์เต็ม

Related Backup Data HDD 3

Format Harddisk คืนพื้นที่ เคลียร์ที่ว่าง เก็บงาน ลงเกม คอมลื่น 2021

Related Format HDD 4

from:https://notebookspec.com/web/447911-fix-drive-c-full-storage-windows-10

6 วิธี ลบไฟล์ขยะ Windows 10 ให้คอมฯ ลื่น หายหน่วง ไม่ต้องลงโปรแกรม

สำหรับใครที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ไปสักระยะแล้วรู้สึกว่าเครื่องอืด หน่วง อาจเป็นไปได้ว่ามีสาเหตุมาจากไฟล์ขยะ ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ ทีมงาน Notebookspec จะมาแนะนำ 6 วิธี ลบไฟล์ขยะ ทำให้คอมพิวเตอร์ของเรากลับมาลื่นปรื๊ดเหมือนดังเดิม ไม่หน่วง และที่สำคัญ วิธีเหล่านี้ไม่ต้องลงโปรแกรมอื่นเพิ่มเติมอีกด้วย มาดูกันเลย 

ลบไฟล์ขยะ Windows 10

ไฟล์ขยะ คืออะไร ?? 

ไฟล์ขยะ (Temp Files) คือ ไฟล์ไม่ได้ใช้ประโยชน์หรือไม่ได้ใช้งานแล้ว อาจเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติจากการทำงานของ Windows โดยเป็นไฟล์ที่ส่วนหนึ่งเกิดจากการใช้งานพื้นที่ Storage ไม่ว่าจะเป็น HDD หรือ SSD เพื่อการประมวลผลชั่วคราว (Cookie Temp) และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากการใช้งานอินเทอร์เน็ตหรือในตอนที่เราทำการติดตั้งโปรแกรม ซึ่งเมื่อนานไปไฟล์ขยะเหล่านี้ก็มีขนาดใหญ้ขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจจะมารบกวนพื้นที่ใน Storage ของเรา ส่งผลให้คอมพิวเตอร์มีอาการหน่วง อืด ขึ้นมาได้ การกำจัดไฟล์ขยะจึงทางเลือกหนึ่งที่ทำให้คอมพิวเตอร์ของเรากลับมาทำงานได้ไหลลื่นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มี Storage น้อย ๆ 


ไฟล์ขยะใน Windows เกิดขึ้นได้เสมอทุกเวลาที่เราใช้คอมพิวเตอร์ของเราทำงาน ไม่ว่าจะติดตั้งโปรแกรม, เข้าอินเตอร์เน็ต, โหลดไฟล์ต่าง ๆ จากอินเตอร์เน็ตเข้ามาในเครื่อง, ทิ้งไฟล์ไม่ใช้แล้วลง Recycle Bin แล้วไม่ได้ลบทิ้ง ฯลฯ ก็สร้างไฟล์ขยะขึ้นมาในเครื่องของเราได้เสมอ

นอกจากนี้ตอนเราเรียกใช้งานบางโปรแกรมขึ้นมา โปรแกรมนั้น ๆ ก็จะสร้าง Temporary file ขึ้นมาเพื่อช่วยในการทำงานและถ้าเราเรียกใช้โปรแกรมนั้นบ่อย ๆ Temporary file ก็จะค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพราะว่า Windows 10 จะไม่ได้ลบไฟล์นั้นทิ้งให้โดยอัตโนมัติ และเราต้องมาจัดการลบไฟล์เหล่านั้นด้วยตัวเอง โดยไฟล์ขยะใน Windows 10 ที่เราลบไปได้เลยและไม่มีปัญหากับเครื่องเราอย่างแน่นอนได้แก่

  1. Temporary File ที่เว็บบราวเซอร์สร้างขึ้นมา – เวลาเราเข้าเว็บไซต์ไหนบ่อย ๆ หรือโหลดไฟล์ต่าง ๆ เข้ามาในเครื่อง Temporary File ใน Windows 10 ก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเปลืองพื้นที่ในเครื่องมาก ๆ แต่ในบราวเซอร์แต่ละตัวก็มีฟีเจอร์ให้ลบไฟล์ประเภทนี้ทิ้งได้
  2. โปรแกรมไฟล์ที่โหลดมาและติดตั้งในเครื่องแล้ว – ไฟล์โปรแกรมต่าง ๆ ที่โหลดมาติดตั้งไว้ในเครื่องเสร็จแล้ว บางคนก็ปล่อยทิ้งเอาไว้เพราะลืมว่ามันเคยอยู่ตรงนั้นหรือบางคนก็เก็บเอาไว้เผื่อติดตั้งในภายหลัง ซึ่งถ้าไฟล์โปรแกรมนั้นสำคัญก็แนะนำให้โหลดไปเก็บใน Exterhal Harddisk หรือแฟลชไดรฟ์ก็จะช่วยประหยัดพื้นที่ให้เราอีกมาก
  3. หน้าเว็บไซต์ที่เซฟไว้อ่านออฟไลน์ – หน้าเว็บบางเว็บ เช่น บทความหรือข่าวสำคัญต่าง ๆ ก็เป็นไฟล์ขยะอีกประเภทที่เราสามารถลบมันทิ้งไปได้เลย แม้หน้าหนึ่งจะมีขนาดเล็กเพียงหลัก KB แต่ถ้าใครเป็นสายชอบโหลดมาทิ้งค้างไว้เยอะ ๆ ก็อาจจะใหญ่ขึ้นเป็นหลาย MB ก็ได้เช่นกัน ดังนั้นถ้ามีค้างในเครื่องเยอะ ๆ ก็เปลืองพื้นที่โดยไม่จำเป็นเช่นกัน
  4. Recycle Bin – เหล่าไฟล์ที่เราลบทิ้งไปแล้วก็จะโดน Windows ย้ายไปทิ้งไว้ใน Recycle Bin เป็นจุดสุดท้าย และถ้าเราสั่ง “Empty Recycle Bin” เมื่อไหร่ไฟล์เหล่านั้นก็จะหายไปและต้องเสียเวลากู้ไฟล์กลับมา ดังนั้นถ้าเป็นสายลบไฟล์แต่ลืมล้างถังขยะทิ้งก็จะเสียพื้นที่ในเครื่องไปโดยปริยายเช่นกัน
  5. Temporary files – เป็นไฟล์ที่โปรแกรมหรือ Windows สร้างขึ้นมาใช้ทำงานหนึ่ง ๆ ชั่วคราวและระบบไม่ได้ลบทิ้งให้ 
  6. Thumbnails – ไฟล์ประเภทรูปภาพที่ Windows สร้างขึ้นมาเพื่อให้แสดงภาพในเครื่องได้เร็วยิ่งขึ้น ส่วนนี้ก็เป็นไฟล์ขยะที่ลบทิ้งได้เช่นกัน
  7. โฟลเดอร์ Windows.old – เป็นไฟล์และโปรแกรมค้างจาก Windows ในไดรฟ์เดิม จะเจอในไดรฟ์ C:\ ของเราตอนเราล้างเครื่องลง Windows ใหม่ทับอันเก่าในไดรฟ์เดิม ถ้ามีไฟล์สำคัญที่เก็บเอาไว้ก็สามารถเข้าไปกู้ออกมาได้แล้วค่อยลบทิ้ง

1. ลบไฟล์ขยะ Windows 10 ด้วย Storage Sense

ในระบบปฏิบัติการ Windows 10 มีฟีเจอร์ใหม่ ๆ มากมายมาอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ หนึ่งในฟีเจอร์ที่ Windows 10 มี และดีมาก ๆ นั่นก็คือ Storage Sense ที่ทำให้เรากำจัดไฟล์ขยะในเครื่องได้โดยไม่ต้องไปหาดาวน์โหลดโปรแกรมอื่น ๆ เพิ่ม

วิธีการนั้นง่ายมาก ๆ โดยการเข้าไปที่ ‘Start >> Settings >> System >> Storage’ จากนั้นจะปรากฏข้อมูลของหน่วยความจำ พื้นที่ที่ถูกใช้ไปแล้ว และคงเหลืออยู่ จากนั้นจะมีส่วนที่เขียนว่า ‘Temporary files’ ซึ่งเป็นที่ไฟล์ขยะของเราอยู่นั่นเอง ให้เราทำการกดเข้าไปแล้วเลือกกำจัดไฟล์ขยะได้เลย

ลบไฟล์ขยะ Windows 10
ลบไฟล์ขยะ
ลบไฟล์ขยะ

หากเราไม่ต้องการเข้าไปลบไฟล์บ่อย ๆ ก็สามารถเลือกตั้งค่าให้วินโดวส์สามารถแสกนหาไฟล์ขยะได้โดยอัตโนมัติ โดยสามารถเลือกได้ว่า เราจะกำจัดไฟล์ขยะแบบ Every day, Every week, Every month หรือจนกว่าพื้นที่ของเราจะเหลือน้อยก็ได้ โดย

  • เข้าไปที่ ‘Storage
  • สังเกตข้อความที่เขียนไว้ว่า ‘Storage Sense can automatically free up space …’ จากนั้นจะมีพินให้เรากด ให้เราเลือก ‘On’ จะเป็นการตั้งค่าให้วินโดวส์แสกนหาไฟล์ขยะในเครื่องได้อัตโนมัติ
  • สำหรับการเข้าไปตั้งค่าให้แสกนเมื่อไรนั้น ให้เรา คลิกที่ ‘Configure Storage Sense or run it out’ จะมีรายละเอียดให้เรากดตั้งค่าได้ว่าจะแสกนเมื่อไหร่ และที่สำคัญยังเลือกได้ว่าจะให้ทางวินโดวส์กำจัดไฟล์ขยะที่แสกนตอนไหน
ลบไฟล์ขยะ
ลบไฟล์ขยะ

2. จัดการไฟล์ขยะ ด้วย Disk Cleanup

สำหรับวิธีนี้นั้น เป็นวิธีการลบและกำจัดไฟล์ขยะที่มีมานานและได้ผลมาก ๆ นั่นก็คือการจัดการกับไฟล์ขยะผ่าน Disk Cleanup นั่นเอง วิธีการก็ง่ายมาก ๆ เพียง

  • Search ด้วยการกด Windows Key + Q หรือ Windows Key + S >> พิมพ์ Disk Cleanup จากนั้นกด Enter เราสามารถเลือกลบไฟล์ขยะตามพื้นที่ต่าง ๆ บน Disk Cleanup ได้ ไม่ว่าจะเป็น Windows Update Cleanup, Windows upgrade log files, Language resource files, Recycle Bin และ Temporary files >> เมื่อเลือกไฟล์ขยะที่เราต้องการกำจัดแล้วก็กด OK >> ระบบจะทำการล้างไฟล์ขยะให้เราเรียบร้อยแล้ว 
ลบไฟล์ขยะ
  • อีกวิธีก็คือ ไปที่ This PC จากนั้นก็เลือกไดรฟ์ (Drive) ที่เราต้องการจะกำจัดไฟล์ขยะ >> คลิกขวาที่ไดรฟ์นั้น แล้วเลือก Properties >> ไปที่ Disk Cleanup ที่อยู่ทางขวาของกราฟวงกลมแสดงสถานะของ Storage >> จากนั้นก็ทำการลบไฟล์ขยะได้เลย (สามารถทำวิธีนี้กับไดรฟ์อื่น ๆ ได้ด้วย แต่จะมองเห็นเพียงแค่ Recycle Bin เท่านั้น)
ลบไฟล์ขยะ

3. จัดการไฟล์ขยะ ใน Folder Temp

วิธีการนี้จะเป็นการเข้าไปลบไฟล์ขยะจากในโฟลเดอร์ที่จัดเก็บไฟล์ขยะเหล่านี้ไว้โดยตรง วิธีการก็คือ

  • ไปที่ This PC >> เลือกไดรฟ์ที่เราทำการลง Windows ไว้ (ในที่นี้คือ Drive C ) ไปที่ >> Windows >> Temp แล้วเลือกไฟล์ทั้งหมดที่อยู่ในโฟลเดอร์ Temp จากนั้นกด Shift + Delete เพื่อลบไฟล์ขยะทั้งหมดในนี้ออกจากคอมพิวเตอร์ของเรา
ลบไฟล์ขยะ
ในกรณีที่ปรากฏหน้าต่างแบบนี้ให้กด Continue
ลบไฟล์ขยะ

4. ลบไฟล์ขยะ ใน Recycle Bin

เข้าไปที่ Recycle Bin ให้เราดูว่ามีไฟล์ในถังขยะไฟล์ไหนที่เราเคยกดลบแล้วต้องการ restore หรือไม่ หากไม่มีก็ให้ทำการลบออกให้หมด โดยการคลิกขวาที่ Icon ของโปรแกรม Recycle Bin แล้วเลือก Empty Recycle Bin 

ลบไฟล์ขยะ

5. ลบ Cache Files บน Windows Store

ใน Microsoft Store ของ Windows (ที่มีมาตั้งแต่ Windows 8) นั้น มี Cache Files หรือไฟล์ขยะ เป็นของตัวเองเช่นกัน ซึ่งก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คอมพิวเตอร์ของเราหน่วงและอืดได้ เราจึงต้องมีการล้างไฟล์ขยะเหล่านี้ออกไป รวมไปถึงการรีเซ็ตระบบของ Microsoft Store อีกด้วย โดยเฉพาะกับใครที่มีปัญหา Microsoft Store ค้างหรือไม่โหลด 

วิธีทำก็ง่าย ๆ เพียงแค่เข้าหน้า Run หรือกดปุ่ม Windows + R >> พิมพ์ ‘ WSReset.exe

ลบไฟล์ขยะ

จากนั้นจะมีหน้าต่าง ‘C:\WINDOWS\system32\WSReset.exe’ ขึ้นมา >> ให้รอสักครู่จนกว่า Microsoft Store จะปรากฏ เพียงเท่านี้ก็ทำการ Reset Windows Store และจัดการกับ Cache Files ใน Microsoft Store ได้แล้ว

ลบไฟล์ขยะ
ลบไฟล์ขยะ

6. ล้างบางไฟล์ขยะ ใน Temp

วิธีการที่ง่ายมาก ๆ และทำให้เราได้พื้นที่ในคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเลยก็คือ การเข้าไปลบไฟล์ขยะ ในโฟลเดอร์ Temp นั่นเอง วิธีการก็ง่ายมาก ๆ เลย

  • ให้เรากด ‘Windows + R’ >> จากนั้นจะปรากฏหน้าต่าง Run ขึ้นมา >> พิมพ์ ‘ %temp% ‘ >> จากนั้น กด OK
ลบไฟล์ขยะ Windows 10
  • จะมีหน้าต่างโฟลเดอร์ Temp ขึ้นมา >> ให้เรากด ‘Ctrl + A’ เพื่อทำการเลือกไฟล์ทั้งหมด >> จากนั้น กดปุ่ม ‘Shift + Delete’ บนแป้นพิมพ์ เพื่อทำการลบไฟล์ขยะทั้งหมดออกจากโฟลเดอร์
ลบไฟล์ขยะ Windows 10

และทั้งหมดนี้คือ 6 วิธีลบไฟล์ขยะ ที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ไม่ต้องดาวน์โหลดโปรแกรมให้ยุ่งยาก และที่สำคัญเราสามารถจัดการกับไฟล์ขยะที่เข้ามารกเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราได้ด้วยตัวเอง ให้คอมฯ กลับมาลื่นเหมือนเดิม ไม่หน่วง ไม่อืด อีกต่อไป 

อ่านบทความเพิ่มเติม/เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

แคปหน้าจอคอม
โหลดคลิปจากยูทูป
Youtube download
Google Translate
Facebook Live

from:https://notebookspec.com/web/535152-5-ways-to-delete-junk-files-windows-10

5 วิธี ลบไฟล์ขยะ Windows 10 ให้คอมฯ ลื่น หายหน่วง ไม่ต้องลงโปรแกรม

สำหรับใครที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ไปสักระยะแล้วรู้สึกว่าเครื่องอืด หน่วง อาจเป็นไปได้ว่ามีสาเหตุมาจากไฟล์ขยะ ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ ทีมงาน Notebookspec จะมาแนะนำ 5 วิธี ลบไฟล์ขยะ ทำให้คอมพิวเตอร์ของเรากลับมาลื่นปรื๊ดเหมือนดังเดิม ไม่หน่วง และที่สำคัญ วิธีเหล่านี้ไม่ต้องลงโปรแกรมอื่นเพิ่มเติมอีกด้วย มาดูกันเลย 

ลบไฟล์ขยะ

ไฟล์ขยะ คืออะไร ?? 

ไฟล์ขยะ (Temp Files) คือ ไฟล์ไม่ได้ใช้ประโยชน์หรือไม่ได้ใช้งานแล้ว อาจเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติจากการทำงานของ Windows โดยเป็นไฟล์ที่ส่วนหนึ่งเกิดจากการใช้งานพื้นที่ Storage ไม่ว่าจะเป็น HDD หรือ SSD เพื่อการประมวลผลชั่วคราว (Cookie Temp) และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากการใช้งานอินเทอร์เน็ตหรือในตอนที่เราทำการติดตั้งโปรแกรม ซึ่งเมื่อนานไปไฟล์ขยะเหล่านี้ก็มีขนาดใหญ้ขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจจะมารบกวนพื้นที่ใน Storage ของเรา ส่งผลให้คอมพิวเตอร์มีอาการหน่วง อืด ขึ้นมาได้ การกำจัดไฟล์ขยะจึงทางเลือกหนึ่งที่ทำให้คอมพิวเตอร์ของเรากลับมาทำงานได้ไหลลื่นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มี Storage น้อย ๆ 

ลบไฟล์ขยะ ด้วย Storage Sense

ในระบบปฏิบัติการ Windows 10 มีฟีเจอร์ใหม่ ๆ มากมายมาอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ หนึ่งในฟีเจอร์ที่ Windows 10 มี และดีมาก ๆ นั่นก็คือ Storage Sense ที่ทำให้เรากำจัดไฟล์ขยะในเครื่องได้โดยไม่ต้องไปหาดาวน์โหลดโปรแกรมอื่น ๆ เพิ่ม

วิธีการนั้นง่ายมาก ๆ โดยการเข้าไปที่ ‘Start >> Settings >> System >> Storage’ จากนั้นจะปรากฏข้อมูลของหน่วยความจำ พื้นที่ที่ถูกใช้ไปแล้ว และคงเหลืออยู่ จากนั้นจะมีส่วนที่เขียนว่า ‘Temporary files’ ซึ่งเป็นที่ไฟล์ขยะของเราอยู่นั่นเอง ให้เราทำการกดเข้าไปแล้วเลือกกำจัดไฟล์ขยะได้เลย

ลบไฟล์ขยะ

ลบไฟล์ขยะ

ลบไฟล์ขยะ

หากเราไม่ต้องการเข้าไปลบไฟล์บ่อย ๆ ก็สามารถเลือกตั้งค่าให้วินโดวส์สามารถแสกนหาไฟล์ขยะได้โดยอัตโนมัติ โดยสามารถเลือกได้ว่า เราจะกำจัดไฟล์ขยะแบบ Every day, Every week, Every month หรือจนกว่าพื้นที่ของเราจะเหลือน้อยก็ได้ โดย

  • เข้าไปที่ ‘Storage
  • สังเกตข้อความที่เขียนไว้ว่า ‘Storage Sense can automatically free up space …’ จากนั้นจะมีพินให้เรากด ให้เราเลือก ‘On’ จะเป็นการตั้งค่าให้วินโดวส์แสกนหาไฟล์ขยะในเครื่องได้อัตโนมัติ
  • สำหรับการเข้าไปตั้งค่าให้แสกนเมื่อไรนั้น ให้เรา คลิกที่ ‘Configure Storage Sense or run it out’ จะมีรายละเอียดให้เรากดตั้งค่าได้ว่าจะแสกนเมื่อไหร่ และที่สำคัญยังเลือกได้ว่าจะให้ทางวินโดวส์กำจัดไฟล์ขยะที่แสกนตอนไหน

ลบไฟล์ขยะ

ลบไฟล์ขยะ

จัดการไฟล์ขยะ ด้วย Disk Cleanup

สำหรับวิธีนี้นั้น เป็นวิธีการลบและกำจัดไฟล์ขยะที่มีมานานและได้ผลมาก ๆ นั่นก็คือการจัดการกับไฟล์ขยะผ่าน Disk Cleanup นั่นเอง วิธีการก็ง่ายมาก ๆ เพียง

  • Search ด้วยการกด Windows Key + Q หรือ Windows Key + S >> พิมพ์ Disk Cleanup จากนั้นกด Enter เราสามารถเลือกลบไฟล์ขยะตามพื้นที่ต่าง ๆ บน Disk Cleanup ได้ ไม่ว่าจะเป็น Windows Update Cleanup, Windows upgrade log files, Language resource files, Recycle Bin และ Temporary files >> เมื่อเลือกไฟล์ขยะที่เราต้องการกำจัดแล้วก็กด OK >> ระบบจะทำการล้างไฟล์ขยะให้เราเรียบร้อยแล้ว 

ลบไฟล์ขยะ

  • อีกวิธีก็คือ ไปที่ This PC จากนั้นก็เลือกไดรฟ์ (Drive) ที่เราต้องการจะกำจัดไฟล์ขยะ >> คลิกขวาที่ไดรฟ์นั้น แล้วเลือก Properties >> ไปที่ Disk Cleanup ที่อยู่ทางขวาของกราฟวงกลมแสดงสถานะของ Storage >> จากนั้นก็ทำการลบไฟล์ขยะได้เลย (สามารถทำวิธีนี้กับไดรฟ์อื่น ๆ ได้ด้วย แต่จะมองเห็นเพียงแค่ Recycle Bin เท่านั้น)

ลบไฟล์ขยะ

จัดการไฟล์ขยะ ใน Folder Temp

วิธีการนี้จะเป็นการเข้าไปลบไฟล์ขยะจากในโฟลเดอร์ที่จัดเก็บไฟล์ขยะเหล่านี้ไว้โดยตรง วิธีการก็คือ

  • ไปที่ This PC >> เลือกไดรฟ์ที่เราทำการลง Windows ไว้ (ในที่นี้คือ Drive C ) ไปที่ >> Windows >> Temp แล้วเลือกไฟล์ทั้งหมดที่อยู่ในโฟลเดอร์ Temp จากนั้นกด Shift + Delete เพื่อลบไฟล์ขยะทั้งหมดในนี้ออกจากคอมพิวเตอร์ของเรา
ลบไฟล์ขยะ

ในกรณีที่ปรากฏหน้าต่างแบบนี้ให้กด Continue

ลบไฟล์ขยะ

 

ลบไฟล์ขยะ ใน Recycle Bin

เข้าไปที่ Recycle Bin ให้เราดูว่ามีไฟล์ในถังขยะไฟล์ไหนที่เราเคยกดลบแล้วต้องการ restore หรือไม่ หากไม่มีก็ให้ทำการลบออกให้หมด โดยการคลิกขวาที่ Icon ของโปรแกรม Recycle Bin แล้วเลือก Empty Recycle Bin 

ลบไฟล์ขยะ

ลบ Cache Files บน Windows Store

ใน Microsoft Store ของ Windows (ที่มีมาตั้งแต่ Windows 8) นั้น มี Cache Files หรือไฟล์ขยะ เป็นของตัวเองเช่นกัน ซึ่งก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คอมพิวเตอร์ของเราหน่วงและอืดได้ เราจึงต้องมีการล้างไฟล์ขยะเหล่านี้ออกไป รวมไปถึงการรีเซ็ตระบบของ Microsoft Store อีกด้วย โดยเฉพาะกับใครที่มีปัญหา Microsoft Store ค้างหรือไม่โหลด 

วิธีทำก็ง่าย ๆ เพียงแค่เข้าหน้า Run หรือกดปุ่ม Windows + R >> พิมพ์ ‘ WSReset.exe

ลบไฟล์ขยะ

จากนั้นจะมีหน้าต่าง ‘C:\WINDOWS\system32\WSReset.exe’ ขึ้นมา >> ให้รอสักครู่จนกว่า Microsoft Store จะปรากฏ เพียงเท่านี้ก็ทำการ Reset Windows Store และจัดการกับ Cache Files ใน Microsoft Store ได้แล้ว

ลบไฟล์ขยะ

ลบไฟล์ขยะ

และทั้งหมดนี้คือ 5 วิธีลบไฟล์ขยะ ที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ไม่ต้องดาวน์โหลดโปรแกรมให้ยุ่งยาก และที่สำคัญเราสามารถจัดการกับไฟล์ขยะที่เข้ามารกเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราได้ด้วยตัวเอง ให้คอมฯ กลับมาลื่นเหมือนเดิม ไม่หน่วง ไม่อืด อีกต่อไป 

อ่านบทความเพิ่มเติม/เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

from:https://notebookspec.com/5-ways-to-delete-junk-files-windows-10/535152/