คลังเก็บป้ายกำกับ: พรรคก้าวไกล

เท่าพิภพ ถกสุราก้าวหน้า ดีลไม่ลับกับ ต๊อดปิติ แห่ง “บุญรอด”

เท่าพิภพ ถกนโยบายสุราก้าวหน้า ดีลไม่ลับกับ ต๊อดปิติ แห่ง “บุญรอด” ชี้รัฐออกกฎเองและบังคับใช้เอง-พร้อมลั่น “นี่มันประเทศอะไรวะเนี่ย”

กระแสนโยบายสุราก้าวหน้ากลายเป็นที่พูดถึงมาตลอดตั้งแต่พรรคก้าวไกลได้รับคะแนนเสียงจำนวนมากจากประชาชน กระทั่งกลายประเด็น “สุราก้าวหน้า” เป็นกระแสช่วงข้ามวันเมื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อและแคนดิเนตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล ออกรายการข่าวเช้าของ สรยุทธ และพูดถึงสุราพื้นบ้านหลากหลายยี่ห้อ ส่งผลให้สุราพื้นบ้านในหลายพื้นที่ไม่พอจำหน่าย

ไม่เพียงเท่านั้น วันนี้(7 มิ.ย.2566) นาย เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล ผู้ขับเคลื่อนนโยบายสุราก้าวหน้า ได้เข้าพบปะพูดคุยกับผู้บริหารบริษัท บุญรอด พร้อมถกประเด็นปัญหาเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่จำหน่ายในเมืองไทย 

โดย นาย เท่าพิภพโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ระบุว่า 

หากท่านได้ติดตามผมมาก่อน จะเห็นว่าในการดำเนินนโยบาย #สุราก้าวหน้า ผมมีความพยายามที่จะวางตัวเป็นคนกลางระหว่าง กลุ่มรณรงค์ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอลฮอล์ และกลุ่มผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยผมเริ่มตะเวนพบปะตัวแทนของทั้งสองฝั่งอยู่บ่อยครั้ง หรือก่อนหน้านี้ก็ได้มีการพูดคุยของเหล่า brewer เพื่อหาข้อสรุป “ตรงกลาง” ของสายพานธุรกิจ #สุรา #คราฟท์เบียร์ #ไวน์ #สุราแช่ และครั้งนี้ ก็เป็นคิวของ #บุญรอด เป็นเพราะผมจะได้ทราบว่าเขาคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับ กฎของบ้านเก่าหลังนี้

ซึ่งเนื้อหาการพูดคุยสรุปได้ดังนี้

บทสนทนาเริ่มขึ้นถึงเรื่องของหน่วยงานบางหน่วยงานทันที หน่วยงานที่ออกกฎมาด้วยตัวเองและตั้งให้ตัวเองเป็นผู้บังคับใช้กฎนั้น หลังจากสิ้นสุดการกล่าวถึงนั้น เราต่างสบถออกมาพร้อมเพรียงกันว่า “นี่มันประเทศอะไรวะเนี่ย” เพราะมันเป็นเรื่องแปลกมาก ๆ ไม่มีที่ไหนเขาทำกัน

การพูดคุยจุดประสงค์คือการแลกเปลี่ยนจากมุมมองที่ต่างกัน โดยที่ทั้งคู่มาเพื่อจะรับฟังและโต้แย้งกันด้วยเหตุผล เพราะเราทั้งคู่เริ่มเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในอนาคต อาจเป็นเพราะพวกเราไม่ใช้กำแพง แต่คือกังหันลม ที่พร้อมโอบรับความเปลี่ยนแปลง

การบริหารหลังบ้าน จากมุมมองนักธุรกิจอย่างพี่ต๊อด เขามองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญและเป็นสิ่งที่ควรปรับเปลี่ยนเป็นอันดับแรก ๆ ถ้าหากมีไอเดียดีแค่ไหน ถ้าคนทำไม่ทำ ค่าก็เท่าเดิม

ต่อมาเรื่องผลิตภัณฑ์ของ SME เรามองตรงกันว่าควรมีการควบคุมคุณภาพ ด้วยกฎเกณฑ์ที่จำเป็นและไม่ยากจนเกินไป แต่ต้องสามารถบังคับใช้ได้จริง เพื่อควบคุม “ความปลอดภัย” ของผลิตภัณฑ์ เพราะนั่นคือสิทธิขั้นพื้นฐานที่ผู้บริโภคควรได้รับ

ต่อมาในระดับผู้บริโภค ปัญหาที่คนธรรมดาไม่ได้มีผลประโยชน์โดนฟ้อง เพราะเผยแพร่สิ่งที่ตนเองชอบและให้ความสนใจ ซึ่งมันควรเป็นสิทธิของบุคคลนั้น ๆ มากกว่า

สุดท้ายนี้ผมขอเปรียบพี่ต๊อด เป็นหนึ่งในผู้อาศัยที่อยู่บ้านหลังนี้มานานตั้งแต่รุ่นพ่อ และรับรู้ถึงปัญหามาอย่างยาวนาน

พี่ต๊อดจึงเป็น “หนึ่งคน” ที่สามารถชี้จุดปัญหาใหญ่ ๆ ในวงการนี้ได้เป็นอย่างดีและสมควรที่เราจะต้องรับฟัง

ผมก็คือผู้รับเหมา ที่หวังจะมาปรับปรุงบ้านเก่าหลังนี้ให้ทันสมัยขึ้น เหมาะสมกับการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและมีวุฒิภาวะ การที่ผมได้มาถามข้อมูลจากผู้ที่เคยอาศัยอยู่มาก่อน ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี ที่จะเข้าใจถึงปัญหาต่าง ๆ ภายในบ้านที่สมควรได้รับการปรับปรุงหลังนี้

ที่ผมเลือกที่จะเดินเข้าไปหาที่ต๊อดและบุญรอดในวันนี้ เพราะผมอยากแสดงให้เห็นว่า ผมไม่ได้ตั้งใจมาเพื่อทุบบ้านหลังนี้ทิ้ง แต่ไม้เก่าผุพัง ถึงเวลารื้อ เราก็ต้องทำ รีบปรับเปลี่ยนเป็นวัสดุอย่างอื่น ก่อนที่มดปลวดจะกัดกินจนบ้านนี้ไม่เหลืออะไร

เพื่อความโปร่งใส และตรวจสอบได้ ผมอยากจะขอยืนยันว่าบทสนทนาระหว่างเราในวันนี้ ไม่มีคำว่า “ขอ” ออกจากปากใครสักครั้ง เพราะจุดประสงค์ในการพูดคุยครั้งนี้ ไม่มีสิ่งที่เราต้องร้องขอกันเลย และคำพูดที่ถูกใช้มากที่สุดคือ “ผมเจอแบบนี้ คุณเจอมาแบบไหน? เพื่อนผมเจอมาแบบนี้ เพื่อนคุณเจอมาแบบไหน?” ซะมากกว่า โดยผมยืนยันได้ว่าพวกเราไม่ได้มีผลประโยชน์ ใต้โต๊ะ มอบให้แก่กันแต่อย่างใด แต่สิ่งที่มอบให้กันคือมุมมองของแต่ละคนเสียมากกว่า

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post เท่าพิภพ ถกสุราก้าวหน้า ดีลไม่ลับกับ ต๊อดปิติ แห่ง “บุญรอด” first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/thao-phiphob-discusses-liquor-in-progress-a-no-secret-deal-with-todpiti-of-boon-rawd/

8 พรรคเพื่อประชาธิปไตย 313 ที่นั่ง แถลงจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย รัฐบาลของประชาชน

แถลงผลเจรจา จัดตั้งรัฐบาลจาก 8 พรรค 313 ที่นั่ง จัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย รัฐบาลของประชาชน 

พรรคก้าวไกล 152 ที่นั่ง พรรคเพื่อไทย 141 ที่นั่ง พรรคประชาชาติ 9 ที่นั่ง พรรคไทยสร้างไทย 6 ที่นั่ง พรรคเพื่อไทยรวมพลัง 2 ที่นั่ง พรรคเสรีรวมไทย 1 ที่นั่ง พรรคเป็นธรรม 1 ที่นั่ง พรรคพลังสังคมใหม่ 1 ที่นั่ง

รัฐบาลใหม่

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์แถลง กราบสวัสดีพ่อแม่พี่น้องประชาชนและเพื่อนๆ สื่อมวลชนที่เคารพรัก สำหรับวันนี้เป็นการแถลงจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชน วันนี้ พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อไทยรวมพลัง พรรคเป็นธรรม และพรรคสังคมใหม่

จากผลการเลือกตั้งที่ไม่เป็นทางการ มีจำนวนผู้แทนราษฎรรวมกันทั้งสิ้น 313 คน พวกเราทุกพรรคขอขอบคุณเทุกสียงของประชาชน คือเสียงแห่งความหวัง เสียงแห่งความเปลี่ยนแปลง รัฐบาลชุดใหม่จะทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ต่ออำนาจของประชาชน และเราจะเป็นรัฐบาลของคนไทยทุกคน

ทุกพรรคประกาศจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชนร่วมกัน ดังต่อไปนี้

หนึ่ง ทุกพรรคเห็นชอบสนับสนุนหัวหน้าพรรคก้าวไกล พิธา ลิ้มเจริญรัตน์เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ตามเสียงข้างมากจากผลการเลือกตั้งของประชาชน


สอง ทุกพรรคจะร่วมกันจัดทำข้อตกลงร่วม (MoU) ในการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อทำงานร่วมกัน จะแถลงต่อสาธารณชน วันที่ 22 พฤษภาคม เพื่อแก้ไขวิกฤตทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม

สาม ทุกพรรคจะจัดตั้งทีมงานเพื่อเปลี่ยนผ่านรัฐบาลเพื่อเตรียมความพร้อมให้สามารถบริหารราชการแผ่นดินต่อจากรัฐบาลชุดเดิมได้อย่างไร้รอยต่อ ด้วยความเคารพในเสียงข้างมากของประชาชน

รัฐบาลใหม่
ช่วงถามตอบ

จุดยืนมาตรา 112?

พิธาระบุว่า จุดยืนมาตรา 112  มีการพูดคุยตั้งแต่ดีเบตเยอะแล้ว แต่ละพรรคมีความชัดเจนในเรื่องนี้ พื้นที่นี้ยังไม่เหมาะที่จะแถลงเรื่องนี้ ส่วนเรื่องจุดยืนพรรคภูมิใจเป็นเรื่องของพรรคภูมิใจไทย ทางพรรคก้าวไกลและพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 8 พรรคมีจุดยืนในการจัดตั้งรัฐบาล มีความชัดเจน มีเอกภาพ มีความคืบหน้าเป็นที่หน้าพอใจ สำหรับตอนนี้กำลังจัดทำคณะทำงานและทีมเปลี่ยนผ่านอำนาจ ตอนนี้ยังมีเวลา ส่วนเนื้อหา MoU จะแถลงรายละเอียดวันที่ 22 พฤษภาคม

ถ้าจัดตั้งรัฐบาล โหวตและไม่ได้ จะทำอย่างไร?

ทั้งคณะเจรจาและคณะเปลี่ยนผ่าน วางแผนหลายรูปแบบเพื่อรับมือหลายฉากทัศน์เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล ไม่ได้กังวลอะไร ปล่อยให้คณะทำงานที่จัดตั้งเพื่อบริหารทั้งจำนวนเสียงที่เหมาะสมและการสานต่อนโยบายตามที่สัญญากับประชาชน ยืนยันว่าโหวตผ่านแน่นอน ตอนนี้ไม่มีความกังวล มีโรดแมป มีคณะกรรมการ และมีเป้าหมายที่ชัดเจน 

วิธีการชี้แจง ผมคิดว่า 313 เสียง ณ วันนี้เป็นความปกติของระบบประชาธิปไตยที่เพียงพอ ถ้าเรามานั่งคิดให้ได้ 376 เสียงโดยการตามหาเพิ่มเติมยังไม่ได้เป็นประเด็นสำคัญในตอนนี้ อย่างที่เรียนไปแล้ว อาจมีหลายฉากทัศน์ที่อาจจะคาดไม่ถึง ก็กำลังหากรอบเจรจาหาจุดตัวเลขที่สมดุล ส่วนเรื่องการแบ่งกระทรวงนั้น ขอยืนยันว่าใช้ปัญหาประชาชนเป็นตัวตั้ง มากกว่าจะแบ่งกระทรวงว่าพรรคใดจะนำ หลายปัญหาต้องใช้หลายกระทรวงร่วมกันแก้ไข

ไม่กังวลเรื่องการตรวจสอบ ถ้ามีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองก็พร้อมที่จะรับผลกระทบที่เกิดขึ้น สำหรับเสียงตอบรับจาก ส.ว. เป็นเรื่องที่น่ายินดีกับระบบประชาธิปไตยถือเป็นอาณัติหมายที่ดี เข้าสู่ระบบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีอำนาจสูงสุด

นพ. ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย

นพ. ชลน่านระบุว่า ในนามเพื่อไทย เรามี 141 เสียง ขออนุญาตยืนยัน พรรคเพื่อไทยยืนยันจะสนับสนุนคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ขอยืนยันครั้งที่ร้อย ห้าร้อย หกร้อยก็ยอม เพราะกระแสปั่นเยอะ ขอกราบเรียนพื่น้องสื่อมวลชนในประเด็นนี้ก่อน จะได้ไม่มีข้อสงสัย เรื่องที่สองคือการประกาศเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล เราไม่ได้เป็นผู้เสนอเงื่อนไข เรายกให้เป็นหน้าที่ของพรรคแกนนำ ซึ่งข้อเท็จจริงก็ผ่านกระบวนการจัดทำร่าง MoU มาให้ทุกพรรคช่วยกันดู เพื่อดูว่าอะไรรับได้ อะไรสมควรปรับแก้ อะไรที่ไปไม่ได้ด้วยกันก็พูดคุยและเสนอกัน เนื้อหา MoU ก็จะถูกพิจารณา

สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ พรรคไทยสร้างไทย

ทุกคนมีจุดยืนเรื่อง 112 อย่างแรกเลยหน้าที่ของพรรคการเมือง หน้าที่รักษาชาติ ศาสน์ กษัตริย์ไว้ การจะทำอะไรที่จะกระทบให้สถาบันฯ เกิดความเสื่อมเสีย หน้าที่ของพรรคการเมืองทุกพรรคต้องปกป้อง การที่ผู้มีอำนาจใช้มาตรา 112 ในการกลั่นแกล้ง ทำร้ายประชาชน ต้องพิจารณาและตามดู และการใช้มาตรา 112 ต้องไม่เป็นเครื่องมือให้ใครมาทำร้ายกัน นี่เป็นหลักการ เรายืนยันปกป้องสถาบันฯ และไม่ใช้มาตรา 112 มาทำร้ายกัน ต้องคุยกันในมาตรานี้และทุกนโยบาย ปัญหาประเทศมีมากมายหลายเรื่องที่ต้องคุยกัน

เสรีพิศุทธ์ พรรคเสรีรวมไทย

เวลาผมไปหาเสียง ให้คนเลือกตั้งคนทั้งพรรค ผลการเลือกตั้งออกมาแล้ว พี่น้องประชาชนสนับสนุนพรรคก้าวไกลให้บริหารประเทศเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ยืนยันตามเจตนารมของผมและพี่น้องประชาชนให้พรรคที่มีเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลและหัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี ผมยืนยันให้พรรคก้าวไกลและคุณพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี เรามาประกาศรวมกันเพื่อยืนยันให้คุณพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น ประเด็นอื่นยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดตอนนี้ ถ้ามีประเด็นใดก็พร้อมสนับสนุนเต็มที่ ถ้ามีปัญหาก็ทบทวนอีกครั้ง

วันนอร์ พรรคประชาชาติ

เรียนท่านสื่อมวลชนที่เคารพรักทุกท่านรวมทั้งพี่น้องคนไทยที่เคารพทุกท่าน พรรคประชาชาติเคารพในระบอบประชาธิปไตยขอพี่น้องทุกคน 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา พี่น้องประชาชนมอบความไว้วางใจให้พรรคก้าวไกลมากที่สุด แสดงให้เห็นว่าพี่น้องประชาชนต้องการผู้นำรัฐบาลที่มาจากพรรคก้าวไกล ด้วยความเคารพในเสียงของพี่น้องประชาชน พรรคประชาชาติขอสนับสนุนคุณพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกลในการจัดตั้งรัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนครั้งนี้ให้สำเร็จ และอยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายรวมทั้งสื่อมวลชนโปรดให้ความเคารพ การตัดสินใจของประชาชนในประเทศนี้ ถ้าเราไม่เคารพเสียงประชาชนเราจะพบกับปัญหาเดิมๆ ที่ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างสง่างามได้ ขอให้ทุกฝ่ายคำนึงถึงพี่น้องประชาชนให้มากที่สุดว่า พี่น้องประชาชนตัดสินใจอย่างไร ต้องการอะไร เพื่อจะเดินไปข้างหน้าด้วยกัน ปัญหาวิกฤตของประเทศมากมายพอสมควรแล้ว ปัญหาทั้งในระดับภูมิภาค ระดับโลก เราจะชอบ จะรักใครไม่ว่า แต่เราต้องรักประชาชนก่อน ถ้าเราไม่รักประชาชน ปัญหาเดิมๆ จะกลับมา ผมยืนยันสิ่งที่หัวหน้าพิธาพูดเป็นการตัดสินใจร่วมกัน วันที่ 22 พฤษภาคม ท่านจะเห็นแสงของความก้าวไปข้างหน้าจะมาถึง เราตั้งใจ ขอขอบคุณ ขอฝากความหวังให้ทุกคนด้วยความจริงใจ

ปิติพงษ์ พรรคเป็นธรรม

พรรคเป็นธรรมเป็นพรรคใหม่ นำเสนออุดมการณ์หาเสียง พรรคใหม่ คนใหม่ การเมืองใหม่ เราเน้นทำการเมืองสร้างสรรค์ ขอขอบคุณทุกเสียงที่มอบให้เป็น 1 เสียงที่มีค่าของท่าน จะแสดงให้เห็นการเมืองใหม่ผ่านตัวแทนของพรรคในสภาจะทำอย่างไร พรรคสนับสนุนมติมหาชนมอบให้พรรคก้าวไกล นำเสนอคุณพิธาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จะไม่เปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ ไม่มีข้อต่อรองทางการเมือง เรายึดมั่นในอุดมการณ์ที่พี่น้องประชาชนมอบให้ มีหลายเรื่องที่ต้องคุยในคณะทำงาน เช่นเรื่อง 112 ซึ่งเคยประกาศจุดยืนไปแล้ว ทุกอย่างก็จะตกผลึกเป็น MoU ถกแถลงร่วมกัน เรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติว่าที่นายกฯ ผมเชื่อว่าคุณพิธาสามารถผ่านวิกฤตได้ ถ้ามีความเป็นธรรมให้เขา ให้ กกต. พิจารณาตามหลักเกณฑ์สากลที่คนเขายอมรับกัน ให้มีความเป็นธรรม ส.ว. ทุกท่านเป็นผู้มีคุณวุฒิและมีวุฒิภาวะ ท่านรู้ว่าใช้เสียงของท่านไปทางใด ให้ช่วยตระหนักลงลึก คำถามสังคมคือเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลเดิมเป็นรัฐบาลใหม่ รัฐบาลแห่งความหวัง รัฐบาลประชาชน ส่วนความขัดแย้งขอให้ไปว่ากันในสภา ผม คุณพิธา และพรรคร่วมพร้อมที่จะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน

เชาวลิต พรรคพลังสังคมใหม่

ระบบประชาธิปไตย ผมได้เข้ามา 1 เสียงก็ไม่สามารถนำนโยบายพรรคให้นำไปใช้กับพี่น้องประชาชนได้ ผมมองเห็นความศรัทธาและประชามติที่พี่น้องประชาชนเลือกพรรคก้าวไกล 14 ล้านเสียง แสดงให้เห็นว่าอยากให้คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์เป็นนายกรัฐมนตรี ผมในนามพรรคเล็ก พรรคใหม่ ผมอยากให้การเมืองเดินด้วยระบอบประชาธิปไตย พรรคที่ได้เสียงข้างมากสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ พรรคเสียงข้างมากสองพรรคคึอพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล สังคมมีความเหลื่อมล้ำมาก เรามาสร้างสังคมใหม่กันไหม ลดความขัดแย้ง จากทุกคนที่มีอคติ สร้างประเทศไทยและสังคมใหม่ด้วยกัน ให้คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์เป้นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30

วสวรรธน์ พวงพรศรี
พรรคเพื่อไทยรวมพลัง

เรามีอุดมการณ์ทางการเมืองประชาธิปไตยตั้งแต่ก่อตั้งพรรค รณรงค์หาเสียงสอดคล้องกัน เป็นพรรคอุบลราชธานีที่ได้มา 2 เขต 2 เสียง สนับสนุนคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ตั้งรัฐบาลได้

สุดท้ายหมอชลน่าน ระบุว่า 
วันนี้เรามาแถลงเจตนารมเพื่อจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน กลไกสำคัญที่สุดคือข้อตกลงร่วม MoU หลายเรื่องอยู่ในนี้ วันที่ 22 จะเป็นวันที่เราจะบอกว่าเราจะร่วมมือกันอย่างไร อะไรเป็นเงื่อนไข เป็นข้อจำกัด ต้องให้จบใน MoU ถ้าไม่จบต้องมีทางออก เราจะแถลงว่าทำเรื่องนั้นได้อย่างไร เช่น มาตรา 112 อะไรที่เห็นร่วมกันไปได้เร็ว อะไรที่เห็นต่างก็ตกลงใน MoU เราจะหาทางออกที่จะร่วมมือกันในฐานะที่เป็นรัฐบาลของประชาชน เพื่อไทยก็จะมีคำตอบในวันนั้นเช่นกัน

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post 8 พรรคเพื่อประชาธิปไตย 313 ที่นั่ง แถลงจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย รัฐบาลของประชาชน first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/democracy-government-in-thailand/

เพื่อไทยแสดงความยินดีกับก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ยืนยันไม่คิดตั้งรัฐบาลแข่ง

พรรคเพื่อไทยนำโดยนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประเสริฐ จันทรรวทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย

แพทองธาร ชินวัตร

พร้อมด้วยชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย  เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะทำงานด้านนโยบาย พรรคเพื่อไทย นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ปรธานคณะกรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่ กรุงเทพมหานคร (กทม.) สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำพรรคเพื่อไทย ร่วมแถลงข่าวผลการเลือกตั้งและการเตรียมความพร้อมหลังการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย

อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ระบุว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายรัฐมนตรี พรรคก้าวไกลได้โทรศัพท์มาหา และแพทองธารได้แสดงความยินดีกับพิธาที่ชนะเลือกตั้งเสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาล ต่างคนต่างแสดงความยินดีซึ่งกันและกัน

พรรคเพื่อไทยพร้อมสนับสนุนพรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาล เนื่องจากเคยทำงานในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้านกัน ได้แจ้ง Contact person ของพรรคกับพิธาแล้ว เพื่อพูดคุยประสานงานต่อไป พร้อมยืนยันว่า พรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งได้เป็นพรรคอันดับหนึ่ง พรรคเพื่อไทยยืนยันจะยกมือสนับสนุนพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีแน่นอน

จุดยืนการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112

แพทองธารระบุว่า เรามีความชัดเจนว่าไม่สนับสนุนให้ยกเลิกมาตรา 112 และยังยืนยันใช้ช่องทางสภาในการสนับสนุนเรื่องกฎหมายต่างๆ เช่น กรณีที่น้องๆ ติดคุก เราพร้อมพูดคุยกันและรับฟังกันกับพรรคก้าวไกล แต่ยังไม่ได้พูดคุยกันเรื่องนี้ในช่วงเช้า ขอคุยทั้งพรรคก่อนเพื่อให้เป็นข้อความเดียวกัน

เรื่อง MoU

แพทองธารยืนยัน ยังไม่ได้คุยกัน เพราะทุกเวทีที่พรรคเพื่อไทยไป เรามีข้อตกลงกันว่าจะรวมกันกี่พรรค เงื่อนไขของแต่ละพรรคเป็นอย่างไรขอให้ประชาชนรออีกหน่อย

พรรคเพื่อไทยเข้าใจสิ่งที่ต้องการเปลี่ยนแปลง ต้องขอขอบคุณประชาชนที่เลือกพรรคเพื่อไทยในทุกพื้นที่ ขอแสดงความยินดีกับ สส. พรรคเพื่อไทยที่ได้เข้าสภา ส่วน สส. ที่ไม่ได้เข้าสภา พรรคต้องขอขอบคุณด้วยเช่นกัน เพราะที่ผ่านมาลงพื้นที่อย่างหนัก การเลือกตั้งก็เหมือนกีฬา มีผู้ที่แพ้หรืออันดับ 2 ถามว่ามีความผิดหวังไหม ก็มีบ้าง เราก็ยอมรับ เพราะมันเป็นน้ำใจนักกีฬา เมื่อพรรคก้าวไกลได้อันดับ 1 เราแสดงความยินดีด้วย และเราก็เชียร์เพื่อประชาธิปไตย เพื่อประเทศชาติที่จะไปต่อได้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องส่วนตัว มันเป็นเรื่องการเมือง ทุกคนต้องก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน

ขณะที่นายแพทย์ชลน่าน ระบุว่า พรรคเพื่อไทยมีความชัดเจนว่า ระยะเวลาในการจัดตั้งรัฐบาล ต้องให้พรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการ พรรคเพื่อไทยยินดีและพร้อมสนับสนุน การพูดคุยในเบื้องต้นได้ประสานกัน ส่วนการพูดคุยในรายละเอียดเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารพรรค

นอกจากนี้ ยังมีคำแถลงจากทางพรรคเพื่อไทย ระบุคำขอบคุณต่อพี่น้องประชาชนที่เลืกพรรคเพื่อไทย พร้อมแสดงความยินดีที่พรรคก้าวไกลได้รับเลือกเป็นพรรคอันดับหนึ่ง สะท้อนความต้องการของประชาชนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตย พร้อมยืนยันไม่มีแนวความคิดที่จะจัดตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคก้าวไกล

ขณะที่เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ระบุว่า ดีใจที่เห็นคนออกมาใช้สิทธิเยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ คิดเป็นกว่า 75% สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยกำลังตื่นตัวกับอำนาจประชาธิปไตย ในฐานะคนที่เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยคนหนึ่ง ขอขอบคุณประชาชนคนไทยผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณประชาธิปไตยของประเทศไทย

ขอบคุณแพรทองธาร ชัยเกษม กรรมการบริหารพรรค ผู้สมัคร สส. ทั้ง 500 ท่าน คณะทำงาน ผู้ช่วยหาเสียงและผู้มีส่วนร่วมทุกคนที่ทำงานอย่างหนัก เดินทางทุกภูมิภาคทั่วประเทศ จัดปราศรัยในช่วงหาเสียง พบเจอพี่น้องประชาชนหลายแสนคน นักธุรกิจ ผู้นำชุมชนอีกนับพัน ขอบคุณที่ร่วมเดินทางมาในเส้นทางประชาธิปไตย เพื่อประชาชนคนไทย และร่วมกันสานต่อประวัติศาสตร์กว่า 20 ปีของพรรคเพื่อไทย

ผลการเลือกตั้งเมื่อวานนี้ก็เห็นได้ชัดเจนว่า พรรคฝั่งประชาธิปไตยได้รับคะแนนจากพี่น้องประชาชนจำนวนมาก ผมมีความยินดีกับพี่น้องประชาชนทุกคน พวกเราพรรคเพื่อไทย กรรมการบริหารและ ส.ส. จะยังคงทำงานหนัก เพื่อพี่น้องประชาชนต่อไป เราจะไม่จัดตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคก้าวไกล และยินดีสนับสนุนพรรคก้าวไกลและพิธาในการจัดตั้งรัฐบาล

พรรคเพื่อไทยมีประวัติศาตร์มายาวนาน ยึดโยงกับประชาชนมาโดยตลอด และครั้งนี้ เราจะทำตามฉันทามติประชาชน เป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนไทย ทำงานเพื่อประเทศไทยจนสุดความสามารถของเรา เพื่อประชาชนคนไทย “ทุกคน”

PheuThai Party announcement

ที่มา – พรรคเพื่อไทย, แถลงฯ, เศรษฐา ทวีสิน, แพทองธาร ชินวัตร

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post เพื่อไทยแสดงความยินดีกับก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ยืนยันไม่คิดตั้งรัฐบาลแข่ง first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/pheuthai-party-announcement-after-election/

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ประกาศน้อมรับมติมหาชน พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีของทุกคน

ถ้อยแถลงจากพิธา 1 วันแรกหลังการเลือกตั้ง ดังนี้ 

กราบสวัสดี พ่อแม่พี่น้องประชาชน คนไทยทั้งประเทศ ผม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนต่อไปของประเทศไทย วันนี้ขอใช้โอกาสในการสื่อสารไปยังพ่อแม่พี่น้องประชาชนผ่านพี่น้องสื่อมวลชนที่ทำข่าวอยู่ที่พรรคก้าวไกล ณ วันนี้ครับ

เป็นที่ประจักษ์แล้วนะครับ ว่าพี่น้องประชาชนคนไทยได้แสดงเจตจำนงผ่านคูหาการเลือกตั้งให้พรรคก้าวไกลได้คะแนนมาเป็นอันดับ 1 ของการเลือกตั้งที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นผมขอประกาศในที่นี่ครับว่า พรรคก้าวไกลพร้อมที่จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลต่อไปนะครับ นี่คือการน้อมรับฉันทามติจากพี่น้องประชาชน พลิกขั้วเปลี่ยนข้างจากฝ่ายค้านเดิม ในการจัดตั้งรัฐบาล

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

ผมพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน พร้อมที่จะฟังความคิดเห็นที่แตกต่างและความคิดเห็นที่แตกต่างจะทำให้ผมเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีขึ้นในอนาคต ตอนนี้เราพร้อมที่จะเคารพและให้เกียรติต่อยอดจากการต่อสู้ทุกฝ่ายที่ผ่านมาเพื่อประชาธิปไตย และในขณะเดียวกันเราก็พร้อมครับที่จะคืนศรัทธาให้กับระบบประชาธิปไตย ระบบรัฐสภา สร้างความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพให้กับระบบการเมืองไทยและผู้แทนราษฎรทุกคน

มได้มีโอกาสโทรศัพท์ติดต่อไปหาแกนนำทั้งหมดห้าพรรคด้วยกัน มีทั้งที่ผมติดต่อไปและแกนนำของพรรคได้ติดต่อมาทางพรรคก้าวไกล มีโอกาสได้ติดต่อหาคุณแพทองธาร ชินวัตร และแสดงความยินดีกับเธอกับความมุ่งมั่นตั้งใจในการเดินทางหาเสียง ถึงแม้ว่าจะต้องมีบทบาทความเป็นแม่ แต่เธอก็ทำได้อย่างดีเยี่ยมไร้ที่ติ และก็ได้เชิญชวนพรรคเพื่อไทยในการร่วมจัดตั้งรัฐบาลก้าวไกล-เพื่อไทย และพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมตามที่เคยได้สัญญาไว้กับพี่น้องประชาชน

ห้าพรรคที่ได้พูดถึงก็จะมีพรรคก้าวไกล เพื่อไทย ประชาชาติ ไทยสร้างไทย และเสรีรวมไทย ณ ปัจจุบัน ถ้ารวมกันตอนนี้ก็ 308 เสียง กำลังติดต่อไปยังพรรคเป็นธรรมอีกหนึ่งพรรคก็จะรวมเป็นทั้งหมด 309 เสียง ซึ่งคิดว่าเพียงพอแล้วในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก ถือว่าทุกฝ่ายต้องน้อมรับฉันทามติจากพี่น้องประชาชนมาปฏิบัติ และชัดเจนว่าเป็นการปิดประตูการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยเป็นที่แน่แท้แล้ว

ต่อไป การทำงานของเราจะมีอยู่ 2-3 ส่วนด้วยกัน

หนึ่ง การเจรจาในการจัดตั้งรัฐบาล พรรคก้าวไกลจะนำ Roadmap ที่ได้สัญญากับพี่น้องประชาชนก่อนการเลือกตั้งเพื่อที่จะคุยกับพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาเก่า เผชิญปัญหาใหม่ และพร้อมที่จะพาประเทศไทยไปสู่อนาคต ทำประชามติให้มี สสร. แก้ไขรัฐธรรมนูญ และพัฒนาเศรษฐกิจซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในเรื่องปากท้อง ในการสร้างความเจริญเติบโตให้เศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำไปในทางเดียวกัน (Inclusive Growth)

ในขณะเดียวกัน ผมพร้อมที่จะตั้งทีมงานในการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องมีทีมงานในการทำงานตรงนี้ ร่วมกับทุกพรรค ในการที่จะให้เกิดการเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างมีรูปธรรม อย่างมีประสิทธิภาพ จะมีการเดินสายพบกับพี่น้องประชาชน ภาคประชาสังคม พี่น้องข้าราชการและผู้นำภาคธุรกิจและทุกภาคส่วน เป็นส่วนที่จะดำเนินการจากต่อนี้

สุดท้ายก็พร้อมที่จะเดินหน้าทำความเข้าใจกับคนที่ยังไม่เข้าใจนโยบายพรรคก้าวไกลหรือคนที่เห็นต่าง เพื่อให้ผลการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นฉันทามติที่มาจากพี่น้องประชาชนและพวกเราน้อมรับและพร้อมที่จะสามารถทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนได้ เพื่อให้เห็นผลดีของความตั้งใจในการทำงานของพรรคก้าวไกลและพาประเทศไทยไปสู่อนาคต สู่ความเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพ ที่มีอุดมการณ์ และเป็นสิ่งที่พวกเราถวิลหาทุกคน ตอนนี้ก็คงเป็น Key Message ในการแถลงข่าวที่นี่

จากนี้ก็จะมีการประชุม บกบห. พรรคตอนบ่ายนี้ และเดินทางขอบคุณพี่น้องประชาชน วันนี้ก็ที่กรุงเทพมหานครก่อนที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จากนั้นก็จะเดินทางทั่วทุกภูมิภาค

จะรีบเร่งตั้งรัฐบาลให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้มีสุญญากาศทางการเมืองและเศรษฐกิจในช่วงระหว่างรออยู่นี้ เพื่อให้ไม่มีความไม่แน่นอน ขอให้พี่น้องประชาชนทุกภาคส่วนมั่นใจการทำงานของพรรคก้าวไกล เราจะทำงานอย่างละเอียด รอบคอบ และรวดเร็วเพื่อพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนแน่นอนครับ ขอบคุณมากครับ

กรณี สว.

ไม่กังวล สว. เพราะเป็นฉันทามติจากพี่น้องประชาชนแล้ว ทุกฝ่ายควรที่จะน้อมรับตรงนี้ การฝืนฉันทามติจากพี่น้องประชาชน คงจะไม่มีประโยชน์กับฝ่ายใดเลย แม้แต่ สว. ด้วย ตอนนี้สิ่งที่เราสัญญากับประชาชนว่า การพลิกขั้วจากฝ่ายค้านมาตั้งรัฐบาล เพื่อเป็นรัฐบาลแห่งความหวังของประชาชน รวมกัน 300 กว่าเสียงในระบบการเมืองปกติก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เราไม่คิดว่าจะมีใครที่จะกล้าฝืนฉันทามติและทุกฝ่ายควรน้อมรับ เพราะว่าพี่น้องประชาชนทั่วประเทศไทยได้ออกมาแสดงเจตจำนงของเขาแล้ว ว่าเขาต้องการที่จะเห็นอะไร

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

เสียงตอบรับทั้งห้าพรรค

พร้อมที่จะพูดคุยกัน และตั้งใจที่จะตั้งทีมทำงานเพื่อพูดคุยรายละเอียดทั้งคน ทั้งนโยบาย แผนการทำงาน ความคาดหวังซึ่งกันและกัน ซึ่งได้เรียนกับพี่น้องประชาชนตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าเราจะต้องมี MoU (บันทึกทำความเข้าใจ) เหมือนกับการเมืองสากลเพื่อให้เห็นความคาดหวังในการทำงาน ให้พี่น้องประชาชนสามารถมองเห็นได้ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วง 100 วัน 1 ปี หรือสมัยแรกจะมีอะไรเกิดขึ้น เพราะผมคิดว่าการที่จะเป็นรัฐบาลที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ต้องมีส่วนร่วมจากพี่น้องประชาชนและภาคธุรกิจด้วย เพราะฉะนั้นผมคิดว่า MoU ที่เรากำลังจะทำกันจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่รัฐบาลอย่างเดียว

มั่นใจ 309 เสียงจะเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก มีน้ำหนักพอจะเป็นรัฐบาลต่อไป

พิธาเล่า อุ๊งอิ๊งแสดงความยินดีกับพรรคก้าวไกล แสดงความยินดีกับประชาชนและฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกัน คิดว่ามีโอกาสที่จะทำงานร่วมกันในอนาคต

พรรคเป็นธรรมมีที่มาอย่างไร?

พรรคเป็นธรรมคือพรรคที่เราเห็นถึงความตั้งใจในการทำงานเพื่อสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เราลงพื้นที่ไปและได้แลกเปลี่ยนกับแกนนำและว่าที่ผู้สมัครอยู่บ้าง คิดว่ามีความคิดตรงกันในการกำหนดอนาคตของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เชื่อในเรื่องของการกระจายอำนาจเหมือนกัน เชื่อในเรื่องของความมั่งคั่งทางอาหารมากกว่าความมั่นคงทางทหาร ให้พลเรือนนำทหารในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้น่าจะเป็นคำตอบ เพราะฉะนั้น คิดว่าน่าจะมีส่วนช่วยทำให้เสถียรภาพรัฐบาลและการแก้ไขปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นรูปธรรมมากขึ้นร่วมกับพรรคประชาชาติรวมถึงทีมงานพรรคก้าวไกลที่ตั้งใจทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนในสามจังหวัด

ตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมจะเป็นของก้าวไกลหรือเพื่อไทย?

ตอนนี้พรรคก้าวไกล 151 ที่นั่ง พรรคเพื่อไทย 141 ที่นั่ง แต่ก็อย่างที่ได้เรียนกับพี่น้องสื่อมวลชนตั้งแต่เมื่อวานว่าสิ่งที่สำคัญคือนโยบาย การปฏิรูปกองทัพและการเกณฑ์ทหารไม่ได้อยู่ที่ตัวกระทรวงเท่าไรนัก ตรงนี้เป็นหลักการในการเจรจาของเรา ก็จะใช้หลักการนี้ในการเจรจาว่าแต่ละคนเห็นด้วยหรือเห็นต่างอย่างไร คงต้องรอคณะกรรมการทั้งในเรื่องการเจรจาการฟอร์มรัฐบาลรวมถึงคณะกรรมการที่จะทำเป็นทีมในการเปลี่ยนผ่านอำนาจหรือเปลี่ยนผ่านรัฐบาลหรือเรียกว่า Transition Team

ตอนนี้พิธามีความพร้อมทั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและถ้าหากต้องควบตำแหน่งเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก็พร้อมในทุกตำแหน่ง แต่ในทางกลับกัน ถ้ามีคนเชี่ยวชาญในการปฏิรูปกองทัพ เข้าใจในเรื่องการทำกองทัพจิ๋วแต่แจ๋ว ทันสมัย ดูแลสวัสดิการทหารชั้นผู้น้อย ทำให้ปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนในกองทัพไม่มี ก็ไม่มีปัญหาเช่นเดียวกัน

ย้ำอีกครั้ง เรื่อง สว.

ท่าทีของวุฒิสภา พูดกันหลายครั้ง หลายคน แต่ละคนก็ต่างคำพูดไป แต่ก็อย่างที่บอกฉันทามติของประชาชนมาแล้ว ทุกฝ่ายต้องน้อมรับฉันทามติที่มาจากพี่น้องประชาชน การฝืนฉันทามติของประชาชนไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย รวมถึงคนที่คิดจะฝืนด้วย

มีคนตั้งคำถามเรื่องรัฐประหารกับพลเอกประวิตรฯ พิธา คิดเห็นอย่างไร?

ก็คิดว่า หมดเวลาของการทำรัฐประหารในประเทศไทยแล้วครับ ผลของการเลือกตั้ง ชัยชนะครั้งนี้ไม่ใช่เป็นชัยชนะของประเทศไทยอย่างเดียว แต่เป็นชัยชนะของพี่น้องประชาชนด้วย ที่เขาเห็นแล้วว่าอยากให้ประเทศไทย การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต และต้องการรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องการเห็นประชาธิปไตยที่ไม่สะดุดลงเพราะการทำรัฐประหารโดยค่าเฉลี่ยแล้วทุกๆ 7-8 ปีในช่วงเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่มีระบอบประชาธิปไตยที่ผ่านมา ก็คิดว่าไม่มีพื้นที่ตรงนั้นเหลืออยู่ในประเทศไทย

เรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าจังหวัดฯ

เป็นเรื่องสำคัญแต่ต้องมีการทำประชามติก่อนและการกระจายอำนาจ ส่วนใหญ่ทุกพรรคก็เห็นด้วย ซึ่งรายละเอียดก็มีอยู่ว่ามากหรือน้อยแค่ไหน น้ำหนักทางการเมืองออกมาแล้ว ก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทีมเจรจาของแต่ละพรรคพูดคุยกันว่าจะสามารถดำเนินเรื่องนี้ไปได้อย่างไร การทำงานของส่วนกลางระหว่างมหาดไทยไปถึงการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นควรมีกระบวนการอย่างไรให้การเปลี่ยนผ่านราบรื่นขึ้น ต้องคุยรายละเอียดกันต่อไป

ให้ความสำคัญกับกระทรวงใดเป็นพิเศษ?

อย่างที่บอกจะทำตามโรดแมปตามนโยบายที่ได้เสนอไว้ แต่ละนโยบายไม่ใช่เป็นของกระทรวงเดียว ตัวอย่าง การแก้ไขปัญหาที่ดิน ต้องใช้ 8 กระทรวง ไม่ใช่กระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง ดังนั้น ถ้าจะเอานโยบายไหน เรียงลำดับความสำคัญผ่านคณะกรรมการที่จะมีการพูดคุยกัน ถึงจะลงกระทรวงได้ว่าจะทำอย่างไรให้เกิดขึ้นจริงเพราะต้องบริหารกันหลายกระทรวง ทั้งปัญหา PM2.5 ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งในปีที่ผ่านมา ก็อาศัย 7-8 กระทรวง มี พ.ร.บ. เยอะแยะเต็มไปหมด

ควรเอาเป้าหมายเป็นตัวตั้ง จากนั้นดูว่าต้องใช้ทรัพยากรใดบ้าง ใช้กระทรวงใดบ้าง มันถึงจะทำงานได้มีประสิทธิภาพจริงๆ กลับกัน ถ้าแค่เอากระทรวงเป็นตัวตั้ง แต่ลืมไปแล้วว่าเคยสัญญาอะไรกับพี่น้องประชาชน แล้วเกิดทำไม่ได้จริงๆ จะทำให้เสียทั้งประชาชนที่รออยู่และเสียทั้งฝั่งรัฐบาลด้วย

มาตรา 112

ทุกเรื่องยังไม่มีการพูดคุยรายละเอียดกับแต่ละพรรคในแต่ละนโยบาย แต่ที่ได้เคยยืนยันไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าการแก้ไข ไม่ใช่ยกเลิก การแก้ไข ม.112 ทำได้ในสภาและต้องใช้ สส. จำนวนหนึ่ง ตอนนี้พรรคก้าวไกลได้มา 151 ที่นั่งแล้ว ก็เกินแล้ว สามารถที่จะให้เกิดการพูดคุยอย่างมีวุฒิภาวะเสียทีหนึ่งในรัฐสภา ทำอย่างละเมียดละไม รอบคอบ ฟังความคิดที่เห็นต่าง ใช้สภาเป็นตัวแก้ไข แต่ในขณะเดียวกัน ผมคิดว่าที่มากกว่าในเรื่องของการแก้ไข ม.112 ก็คือการทบทวนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากคดีทางการเมืองทั้งหมดและมีการพูดคุยถึงโอกาสในการนิรโทษกรรมทั้งหมด เพราะผมรู้สึกเป็นห่วงความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่

ถ้าจำไม่ผิดก็ประมาณ 10 กว่าคนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี อย่างคุณหยกที่ได้พูดถึงไปนี่ก็อายุ 14 ขึ้นเป็น อายุ 15 ปี อยู่ในพื้นที่กักขัง เรื่องพวกนี้ถ้าไม่รีบพูดคุยกัน ไม่รีบทบทวนคดีกันก็อาจจะกลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหม่ของการเมืองไทยที่ผมไม่ปรารถนาที่จะเห็นแบบนั้นครับ

คิดเห็นอย่างไร กรณีถือครองหุ้นไอทีวีหรือคดีต่างๆ ที่อาจจะเข้ามาแล้วทำให้เกิดอุปสรรค?

พิธายืนยัน ไม่กังวลใดๆ เราได้เตรียมตัวและชี้แจงไปหลายรอบ ก็คงต้องรอคำร้องจาก กกต. ว่ามีอย่างไรบ้าง ถ้ามีก็จะมีทั้งหลักฐาน หลักกฎหมาย และทีมงานกฎหมายที่เข้มข้นในการชี้แจงกับพี่น้องประชาชน ดังนั้นก็ขอเรียกความเชื่อมั่นกับพี่น้องประชาชนว่าไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้

ส่วนเรื่องความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติของสังคม ระบบที่แก้ไขความขัดแย้งได้ดีที่สุดก็คือระบบประชาธิปไตย ดังนั้นจึงต้องเรียกคืนศรัทธาจากระบบรัฐสภาให้มีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ ทำหลักนิติรัฐ นิติธรรมให้เข้มข้น ถ้าระบบดี การแก้ไขความขัดแย้งต่างๆ ในสังคม มันมีกระบวนการของมันอยู่ เพียงแต่ที่ผ่านมา เราไม่ยึดมั่นในระบบเดิมและบางครั้งก็รู้สึกว่า เราต้องเรียนทางลัดในทางการเมืองและหาวิธีอื่น จนเปิดโอกาสให้มีการรัฐประหารทุกๆ 7-8 ปีที่ผ่านมา ทำให้เศรษฐกิจไปต่อไม่ได้ ทำให้เราไม่มีสมาธิในการแก้ปัญหาการศึกษา สิ่งแวดล้อม เรื่องเกี่ยวกับ Digital disruption ที่เป็นปัญหาใหม่ๆ ของไทย ที่ยังไม่มีสมาธิในการแก้

เพราะฉะนั้นก็ยืนยันว่า เรื่องของความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติ เรื่องของเสรีภาพในการแสดงออกเป็นเรื่องปกติ เราต้องสามารถที่จะรวบรวมความหลากหลายของพี่น้องประชาชนให้เป็นจุดแข็งของประเทศนี้ให้ได้ ด้วยความอดทนอดกลั้น ด้วยความมีวุฒิภาวะในการพูดจา ให้เวลาทำงานไป เพื่อที่จะให้ประเทศไทยมีสมาธิกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของศตวรรษที่ 21 ตอนนี้เรื่องปัญหาจากทั่วโลกค่อนข้างเข้มข้น ประเทศยังไม่มีโอกาสได้ฉวยโอกาสหรือทำศักยภาพของไทยให้ไปฉวยโอกาสเหล่านั้น และไม่สามารถที่จะป้องกันความท้าทายที่ถาโถมเข้ามาในประเทศไทยในช่วงสิบปีที่ผ่านมาได้

กรณีที่อีกฝั่งหนึ่งจะเป็นฝ่ายค้านและกลับมาซักฟอกเรา?

มันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ไม่ใช่เรื่องของผม ไม่ใช่เรื่องของพรรคก้าวไกล แต่มันเป็นเรื่องของระบบที่แน่นอนว่ามันต้องมีการตรวจสอบ ก็พิสูจน์แล้วว่าเมื่อมีการยึดอำนาจและเป็นเผด็จการในช่วงที่ไม่มีการตรวจสอบใดๆ เลย ดัชนีคอรัปชั่นของไทยแย่ลงแค่ไหน เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีระบบการตรวจสอบ ระบบ Check & Balance เพราะฉะนั้นก็ยินดีได้รับการตรวจสอบในทุกกรณี

พร้อมดูแลประชาชนทั้งคนที่เห็นด้วยและเห็นต่าง

พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีที่เข้าใจทุกคนรวมถึงน้องๆ ช่วงปฐมวัยด้วย เรื่องการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ การทำให้ประเทศไทยมีอนาคตต่อไปได้ ถ้าเราไม่ลงทุนในมนุษย์ ไม่ลงทุนในคนไทยด้วยกันเองตั้งแต่วัยปฐมวัย ก็ชัดเจนว่าการทำให้เศรษฐกิจเข้มแข็ง ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขัน ให้สามารถกลับไปสู่เวทีโลกได้ ต้องเริ่มตั้งแต่ช่วงปฐมวัย ซึ่งนโยบายการศึกษาเราก็มีอยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคืนครูให้ห้องเรียน ให้มีสิทธิมนุษยชนในโรงเรียนเพราะว่าสิ่งที่เราบ่มเพาะในโรงเรียนทำให้เขาเป็นพลเมืองต่อมาในอนาคตของไทย เพราะฉะนั้นเขาเป็นกำลังสำคัญของชาติครับ

คิดว่าการกำลังจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคือความสำเร็จสูงสุดแล้วหรือยัง?

ความสำเร็จสูงสุดของผมวัดได้เมื่อเราทำตามสัญญากับพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นนโยบาย กฎหมายที่พยายามจะผลักดัน เพราะเราเชื่อว่าเป็นทางรอดของประเทศไทยจริงๆ ไม่ใช่ทางเลือก เพราะประเทศไทยจะกระจุกตัวไม่ใช่กระจายออก จะเอาเศรษฐกิจแบบน้ำหยดจากบนลงล่าง ไม่ได้เข้มแข็งจากล่างขึ้นบนอีกต่อไปไม่ได้ เราจะหนีตัวออกจากระบบโลกไม่ได้ เราต้องเป็นส่วนหนึ่งของระบบโลกที่มีสิทธิมนุษยชนที่เท่าเทียม มีวิธีคิดการทำงานที่ทำให้เราสามารถได้ประโยชน์จากโลกาภิวัตน์ใหม่ เพราะฉะนั้น 3-4 อันนี้จะสำเร็จได้เมื่อผมทำสิ่งเหล่านี้สำเร็จ

ก้าวไกลจะทำให้อนุรักษ์นิยมอ่อนแรงลงหรือแข็งแกร่งขึ้น?

ผมคิดว่าประชาชนได้แสดงออกอย่างชัดเจนแล้วนะครับว่าเขาต้องการที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันผมก็ไม่ได้เชื่อว่าทางฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมต่อไป ก็มีโอกาสที่ได้ทำงานทางความคิด มีโอกาสที่จะรับฟังพูดคุยแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ผมก็คิดว่า หลายคนที่เราอาจจะเคยคิดในเรื่องการเมืองแบบง่ายเกินไปด้วยการเติมนามสกุลให้คนแต่ละคนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความแตกแยกมากมาย

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าการเมืองในโลกใบใหม่เป็นของอนุรักษ์นิยม หรือเสรีนิยม หรือซ้ายกับขวาต่อไป มันกลายเป็นเรื่องของ 1% กับ 99% แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเราโฟกัสในลักษณะแบบนั้น โดยไม่ป้ายสีหรือถึงนามสกุลก่อนว่า ฝ่ายนี้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แต่พูดกันด้วยการมีวุฒิภาวะ อดทนอดกลั้น ให้เวลาในการทำงาน ผมก็คิดว่าคนที่อยู่ใน 99% ของประเทศไทย อดทนมานานกับปัญหาเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ ทั้งในช่วง 17 ปี หรือ 10 ปีสุดท้ายก็ดี น่าจะสามารถที่จะพูดคุยกันได้และทำให้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกันครับ

พร้อมทำงานกับพี่น้องข้าราชการทุกคน

พิธายืนยันว่า ระบบราชการ ทุกคนที่ตั้งใจทำงานให้ประชาชนมีเยอะ ในการเป็น ส.ส. ตลอด 4 ปีในรัฐสภา ไม่ว่าจะเป็นกรรมาธิการ หรือกรรมาธิการงบประมาณก็ดีที่ได้เจอพี่น้องข้าราชการเกือบทุกหน่วยงานที่จะต้องมาเข้าสู่กรรมาธิการงบประมาณ ทุกคนก็ต้องการที่จะเห็นความหวังในประเทศนี้และต้องการทำงานเต็มที่อย่างที่เขาหวังไว้จะเป็นราชการ ไม่คิดว่าการทำงานกับพี่น้องข้าราชการจะเป็นปัญหาเลย เมื่อได้รัฐบาลที่ให้เกียรติเขาที่เข้าใจถึงความเสียสละและข้อจำกัดในการทำงานของเขา และสามารถที่อนุญาตให้เขาเป็นข้าราชการเพื่อพี่น้องประชาชนได้จริงๆ

ในส่วนของกองทัพ แน่นอนว่าเราเห็นผลการเลือกตั้งในเกือบทุกๆ ครั้ง ว่าถ้าเป็นพื้นที่ของพี่น้องทหาร เราไม่สามารถที่จะอนุมานเอาได้ ว่าถ้าเป็นฝั่งข้าราชการหรือกองทัพก็ดีก็จะกลายเป็นฝั่งตรงข้าม ผมเชื่อว่าเขาเป็นฝ่ายที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงมาก ไม่แพ้ใครในประเทศไทยและพร้อมที่จะอธิบายในสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ พร้อมทำงานร่วมกับพี่น้องข้าราชการในทุกกระทรวง ทบวง กรม อธิบายให้เห็นความตั้งใจในการทำงาน รวมถึงพี่น้องทหารด้วยครับว่าเราอยากเห็นทหารทันสมัย กองทัพที่จิ๋วแต่แจ๋ว สามารถปกครองประเทศไทยจากอริราชศัตรูจากต่างประเทศ แต่ไม่แทรกแซงกิจการภายในประเทศครับ

ที่มา – Move Forward Party 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ประกาศน้อมรับมติมหาชน พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีของทุกคน first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/pita-limjaroenrat-ready-to-be-prime-minister/

เปิดข้อสรุป ITV หลังผู้สมัคร สส. ปาร์ตี้ลิสต์พลังประชารัฐร้อง: เลิกกิจการแล้ว แต่ยังมีเรื่องฟ้องร้องค้างอยู่

เปิดข้อสรุปเรื่อง ITV หรือบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน)

หลังจากเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร สส. บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ พรรคที่ประยุทธ์ จันทร์โอชาเคยอยู่มาก่อน หลังทำรัฐประหารเมื่อปี 2557 และขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี จากนั้นได้ยุบสภาและเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคเดียวกันนี้มีประวิตร วงษ์สุวรรณเป็นหัวหน้าพรรค

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

เรืองไกรยื่นคำร้องให้ กกต. ตรวจสอบพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ผู้สมัคร สส. บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ลำดับที่ 1 และเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนเดียวของพรรค

เรืองไกรระบุว่าประเด็นหุ้นไอทีวีอาจเข้าข่ายขัดคุณสมบัติการสมัครรับเลือกตั้ง เรื่องนี้ อนุพงษ์ ไชยฤทธิ์ รองผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือ ThaiPBS สรุปสาระสำคัญภาพรวมการประกอบธุรกิจของ ITV ดังนี้

1. หยุดประกอบกิจการสถานีโทรทัศน์ไอทีวีตั้งแต่ 24.00 น.วันที่ 7 มีนาคม 2550 สืบเนื่องจากการบอกเลิกสัญญาร่วมงานของสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

2. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย delist ถอดหุ้นไอทีวีจากการซื้อขายตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.2557

3. ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการฟ้องร้องพิพาททางกฏหมายกับสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สืบเนื่องจากกรณีที่อนุญาโตตุลาการวินิจฉัยชี้ขาดว่า

-การบอกเลิกสัญญาของ สปน. ไม่ชอบด้วยกฏหมาย
-ให้ สปน.ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 2,890 ล้านบาท

3.1 ต่อมา สปน. ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยชี้ขาดของอาณุญาโตตุลาการ ซึ่งศาลปกครองมีคำสั่งยกคำร้องของ สปน.

3.2 มกราคม 2564 สปน.ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองกลาง ต่อศาลปกครองสูงสุด คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา

4. ปีบัญชี 2565 ไอทีวี มีรายได้จากการลงทุนและดอกเบี้ยรับ 20.5 ล้านบาท (ผลตอบแทนจากตราสารหนี้และตราสารทุน) กำไรสุทธิ 8.5 ล้านบาท

5. ไอทีวี มีบริษัทย่อย 1 บริษัท คือบ.อาร์ตแวร์มีเดีย ให้เช่าอุปกรณ์ผลิตรายการวิทยุโทรทัศน์ ผลิตรายการโทรทัศน์ ซื้อขายลิขสิทธิ์ภาพยนต์และรายการโทรทัศน์ และกิจกรรมการตลาดอื่นๆ สถานะปัจจุบันของบริษัท คือ หยุดประกอบกิจการ

6.กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ที่โดยพฤติการณ์มีอิทธิพบต่อการกำหนดนโยบายและการดำเนนิงานบ.ไอทีวีในปัจจุบัน คือบ.อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)

7.การรักษาสถานะความเป็นนิติบุคคลของ บ.ไอทีวี เพื่อดำเนินการฟ้องร้องกับ สปน. (ความเห็นผู้เขียน)

หมายเหตุ ข้อ 7 เป็นความเห็นส่วนตัว / ส่วนข้อ 1-6 เป็นข้อมูลจากรายงานประจำปี 2565 ของ ITV

ITV ไอทีวี
สรุปความเป็นมาและภาพรวมของ ไอทีวี

📍 บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) เดิมชื่อบริษัทสยามอินโฟเทนเมนท์ จำกัด ก่อตั้ง 9 พฤษภาคม 2538 ด้วยทุนจดทะเบียน 250 ล้านบาท และเพิ่มทุนเป็น 1,000 ล้านบาทในปีเดียวกัน

📍 บริษัทสยามทีวีแอนด์คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด นำโดยธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้รับอนุมัติจาก สปน. (สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) ให้เป็นผู้ดำเนินงานสาถานีโทรทัศน์ภายใต้สัญญาเข้าร่วมมงานดำเนินสถานีวิทยุโทรทัศน์ระบบยูเอชเอฟ (UHF Ultra High Frequency) เป็นระยะเวลา 30 ปี สิ้นสุด 3 กรกฎาคม 2568 ภายใต้ชื่อสถานีโทรทัศน์ไอทีวี

📍 สถานะปัจจุบัน จำเป็นต้องหยุดประกอบธุรกิจ เนื่องจากการบอกเลิกสัญญาเข้าร่วมงานของ สปน. และ ตลาดหลักทรัพย์มีมติเพิกถอนหุ้นสามัญของบริษัทจากการจดทะเบียน มีผลตั้งแต่ 24 กรกฎาคม 2557 เป็นต้นไป (เหตุเกิดขึ้นหลังรัฐประหาร รัฐประหารเกิดขึ้นเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา)

📍 มีบริษัทในเครือ บริษัทอาร์ตแวร์ มีเดีย จำกัด
ประกอบธุรกิจให้เช่าอุปกรณืผลิตรายการวิทยุโทรทัศน์ ผลิตรายการโทรทัศน์ ซื้อ/ขายลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ และจัดกิจกรรมตลาดอื่นๆ *สถานะปัจจุบัน* หยุดการดำเนินธุรกิจ

📍4 มกราคม 2550 บริษัทได้ยื่นข้อพิพาทเรื่องค่าปรับจากการปรับผังรายการและดอกเบี้ยในค่าอนุญาตให้ดำเนินการส่วนต่างต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการเป็นข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 1/2550 ส่วนเรื่องค่าอนุญาตให้ดำเนินการส่วนต่างจำนวน 2,210 ล้านบาทนั้น เพื่อเป็นการประนีประนอมให้ดำเนินการตามสัญญาเข้าร่วมงานฯ เป็นไปโดยราบรื่น มิให้ สปน. บอกเลิกสัญญาเข้าร่วมงานฯ อันจะมีผลกระทบต่อกิจการของบริษัท บริษัทจึงเสนอเงื่อนไขขอประนีประนอมโดยเสนอแนวทางจ่ายเงิน 2,210 ล้านบาท ซึ่ง สปน. ปฏิเสธเงื่อนไขการให้สถาบันอนุญาโตตุลาการชี้ขาดหนี้ และปฏิเสธแนวทางการชำระเงินค่าอนุญาต ให้ดำเนินการดังกล่าวทุกแนวทางการประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2550

📍1 กุมภาพันธ์ 2559 บริษัทได้รับสำเนาคำชี้ขาดจากสถาบันอนุญาโตตุลาการ ได้วินิจฉัยชี้ขาดคดีข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 46/2550 สาระสำคัญคือ
– การบอกเลิกสัญญาของ สปน. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
-ให้ สปน. ชดใช้ความเสียหายแก่บริษัท รวมจำนวน 2,890,345,205.48 บาท

– ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้ปรับลดค่าตอบแทนตามสัญญาเข้าร่วมงานเมื่อ 13 ธันวาคม 2549 บริษัทจึงต้องชำระค่าตอบแทนส่วนต่าง จำนวน 2,886,712,328.77 บาทให้แก่ สปน. โดยถือว่าบริษัทผิดนัดชำระนับตั้งแต่ 4 มีนาคม 2550 จนถึงวันที่ 7 มีนาคม 2550 คิดเป็นดอกเบี้ยจำนวน 3,632,876.77 บาท รวมเป็นเงินที่บริษัทต้องชำระให้แก่ สปน. เป็นเงินจำนวน 2,890,345,205.48 บาท บริษัท และ สปน. ต่างมีหน้าที่จะต้องชำระหนี้ให้แก่กันในจำนวนเงินเท่ากันคือ 2,890,345,205.48 บาท ซึ่งหักกลบลบกันแล้วต่างฝ่ายจึงไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระแก่กันและกัน

*ปัจจุบัน*: คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด

ด้านพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ชี้แจงว่า ไม่ใช่หุ้นของตนเอง เป็นของกองมรดกและมีฐานะเป็นผู้จัดการมรดก เขาได้ชี้แจงต่อ ป.ป.ช. ไปนานแล้ว

“กรณีบุคคลเตรียมยื่นคำร้องต่อ กกต. ให้ตรวจสอบการถือหุ้นสื่อมวลชน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) กรณีที่กล่าวหาว่าผมถือหุ้น ITV ทำให้มีคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามไม่ให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.”

“ต่อกรณีนี้ ผมไม่มีความกังวลเพราะ เพราะไม่ใช่หุ้นของผม เป็นของกองมรดก ผมเพียงมีฐานะเป็นผู้จัดการมรดก และได้แจ้งต่อ ป.ป.ช. ไปนานแล้ว ทีมกฎหมายพร้อมชี้แจงอยู่แล้วเมื่อ กกต. ส่งคำร้องมา เรื่องนี้ อยากฝากให้ทุกคนตั้งใจดูให้ดี เพราะอาจมีเจตนาสกัด #พรรคก้าวไกล เพราะเรากำลัง #ทลายทุนผูกขาด ในประเทศนี้”

“ขณะนี้พรรคก้าวไกลมาแรงที่สุด ย่อมเป็นธรรมดาที่จะถูกสกัด แต่ขอให้ผู้สมัคร ทีมงาน หัวคะแนนธรรมชาติ และประชาชนผู้สนับสนุนทุกคน อย่าหวั่นไหว อย่าเสียสมาธิกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ผมขอให้ทุกคนมุ่งหน้าสู่การเลือกตั้งอย่างเต็มที่ ไม่มีอะไรจะมาขัดขวาง #ก้าวไกล เราได้อีกแล้วครับ”

ที่มา – FB Anupong Chaiyariti, Tim Pita, Intouch Company, PPTV, BBC

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post เปิดข้อสรุป ITV หลังผู้สมัคร สส. ปาร์ตี้ลิสต์พลังประชารัฐร้อง: เลิกกิจการแล้ว แต่ยังมีเรื่องฟ้องร้องค้างอยู่ first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/itv-case-on-pita-limjaroenrat/

นอท กองสลากพลัส ขอเปลี่ยนโลโก้พรรคเปลี่ยน เหตุซ้ำกับพรรคก้าวไกลมากไป

นอท กองสลากพลัส ขอเปลี่ยนโลโก้พรรค เหตุซ้ำกับพรรคก้าวไกล

ล่าสุด นอท กองสลากพลัส โพสต์ขออภัยพรรคก้าวไกล หลังจากที่โลโก้เดิมคล้ายพรรคก้าวไกลมากเกินไป ยืนยันว่า ตอนที่ออกแบบไม่ได้คิดถึงพรรคก้าวไกลเลย แต่หัวลูกศรและปอปลา มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ยอมรับว่าเป็นความบกพร่อง โดย ส.ส. รังสิมันต์ โรม ได้ออกมาติงเรื่องนี้ จึงได้กลับไปคิดและเห็นด้วยว่าไม่ควร

จากนั้น จึงตัดสินใจออกแบบใหม่ทันทีพร้อมขอบคุณรังสิมันต์สำหรับคำแนะนำดังกล่าว โลโก้พรรคที่ออกใหม่นี้จะเริ่มใช้หลังจากประชุมใหญ่ในสัปดาห์หน้า

พรรคเปลี่ยน

ที่มา – นอท กองสลากพลัส 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post นอท กองสลากพลัส ขอเปลี่ยนโลโก้พรรคเปลี่ยน เหตุซ้ำกับพรรคก้าวไกลมากไป first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/not-kong-salak-plus-change-party-logo/