คลังเก็บป้ายกำกับ: ZFEATURED

ความรู้สึกหลังใช้งาน Galaxy S6 edge Black Sapphire (1)

Galaxy S6 edge Cover

ครึ่งปีแรกของปี 2015 เรามีโอกาสได้เห็นสมาร์ทโฟนที่น่าสนใจจากฝั่งเกาหลีพร้อมกันถึงสองรุ่น ที่เปิดตัวก่อนคือ Galaxy S6 และ Galaxy S6 edge กับอีกรุ่นคือ LG G4 ที่มาพร้อมกับฝาหลังแบบหนัง

กระนั้นในบทความนี้มิได้ตั้งใจพูดถึง LG G4 เนื่องจากว่า ไม่มีเครื่องให้ทดสอบเป็นกิจลักษณะ จะมีก็เพียงแต่ Galaxy S6 edge ซึ่งมีโอกาสได้ใช้งาน และซื้อหามันมาเป็นกรรมสิทธิ์ถาวรเรียบร้อย ซึ่งผมมีข้อสังเกตอย่างหนึ่งของซัมซุงในช่วงเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา นั่นคือ แฟลกชิปช่วงต้นปี และปลายปี ทั้ง S Series และ Note Series ต่างถูกบดด้วยรัศมีกิมมิคที่เน้นความโค้งเข้าให้แล้ว

ใช่ครับ! เพราะ Galaxy Note 4 มีแฝดที่คลอดคลานตามกันมาคือ Galaxy Note edge ส่วน Galaxy S6 มี Galaxy S6 edge ร่วมตีขนาบข้าง อันที่จริงก็พูดยากอยู่เหมือนกัน เพราะตระกูล edge มันมีความน่าสนใจในตัว โอเคครับว่า ระหว่าง Galaxy Note 4 กับ Galaxy Note Edge อาจไม่เห็นความแตกต่างกันมากนัก หากแต่เป็น Galaxy S6 และ Galaxy S6 edge ผมคิดว่า มันมีความต่างอย่างน่าสนใจ ชนิดคาดไม่ถึง

s6 edge of edge 4
s6 edge of edge 3

ประการแรกต้องบอกอย่างจริงใจครับว่า Galaxy S6 edge น่าจะเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของซัมซุงที่รู้สึกว่า “สวย” งามมาก โดยเริ่มจากด้านหน้าของตัวเครื่องที่บริเวณสองขอบซ้าย-ขวา เพิ่มมิติมุมมอง และการใช้งานอย่างน่าสนใจ ซึ่งขอบด้านซ้าย-ขวา ตรงนี้ยังช่วยทำให้ “ความบาง” ของ Galaxy S6 edge บางได้ใจ อีกทั้งความบางดังกล่าวยังไปสมทบกับขอบทั้ง 4 ด้าน ทำให้ตัวเครื่องมีทรวดทรงน่าใช้งาน

อย่างไรก็ตามเพื่อแสดงความจริงใจ ผมคงต้องบอกอีกว่า งานดีไซน์ Galaxy S6 edge เป็นไปในรูปแบบ Inspried and Developed เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า Galaxy S6 edge ได้แรงบันดาลใจจาก iPhone 6 เป็นแน่แท้ ทั้งจากสีของขอบด้านข้าง และด้านล่าง การจัดวางของลำโพง คล้ายคลึงกันมาก ซึ่งระหว่างการใช้งานในขณะที่หลงละเมออยู่กับความสวยงามของขอบ เกิดข้อสงสัยบางประการในเชิงวิศวกรรมว่า ด้วยเหตุอันใดตัวเครื่องถึงมีอุณหภูมิที่สูงมากระหว่างการใช้งาน (เป็นไปได้หรือไม่ว่า ด้วยงานออกแบบที่เน้นความบางนี้ ส่งผลเกี่ยวเนื่องไปกับการจัดการความร้อนหรือไม่ ถ้าใครมีคำตอบรบกวนอธิบายด้วยครับ ขอบคุณล่วงหน้า)

จะว่าไป “ความร้อน” ของตัวเครื่องเป็นอุปสรรคการใช้งานไม่น้อยครับ เนื่องจากว่า ผมเป็นคนที่ชอบอ่านอีบุ๊กบนสมาร์ทโฟนเป็นระยะเวลานานๆ ซึ่งระยะเวลานั้น ก็สร้างความระอุขึ้นที่มือทั้งสองข้าง จึงทำให้เหตุนี้เป็นหนึ่งในข้อเสียของรุ่นนี้โดยปริยาย

นอกเหนือจากเรื่องความร้อนแล้ว “ความบาง” ที่ทำให้เกิดความสวยงาม แต่ก็ก่อให้เกิดอุปสรรคบางประการเช่นกัน ทั้งนี้ผมคงต้องบอกก่อนว่า Galaxy S6 edge ที่ผมใช้งานอยู่นั้น มิได้ใส่เคสตกแต่งเพิ่มความสวยงามแต่อย่างใด (เพราะยังหาที่ถูกใจไม่ได้) จึงทำให้ขณะใช้เป็นการใช้ตัวเครื่องแบบตัวเปล่าเล่าเปลือย ทำให้มีโอกาสเกิดการลื่นที่พร้อมไหลหลุดมือ (แม้แต่ iPhone 6 Plus ก็เป็นครับ) ผมเดาเอาว่า ตัวดีไซน์ยังขาดจุดพักมือเพื่อให้สอดรับเข้ากับอุ้งมืออยู่บ้าง ทำให้การใช้งานต้องใช้อย่างระมัดระวังพอสมควร

จุดสุดท้ายที่อยากพูดถึงก่อนจะจบบทความ Galaxy S6 edge ในพาร์ทแรก นั่นคือ การอัปเกรดระบบสแกนลายนิ้วมือ เมื่อครั้งที่ Galaxy S5 เปิดตัวขึ้นมานั้น เป็นการเปิดตัวที่มาพร้อมกับระบบสแกนลายนิ้วมือ แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ใช้ Galaxy S5 เกิดความฉงนอยู่ตรงที่ การสแกนเครื่องจะต้องรูดจากด้านบนของปุ่ม “Home” ลงมายังเซ็นเซอร์ ซึ่งเป็นประสบการณ์ในการใช้งานที่แปลกประหลาดไม่น้อย เพราะโดยปกติเราเข้าใจกันเองว่า เพียงแค่แตะนิ้วครั้งเดียวก็น่าจะเพียงพอต่อการปลดล็อก

S6 edge home

แต่ใน Galaxy S6 edge ปัญหาที่มีมาแต่ครั้งก่อน ได้รับการแก้ไข ระบบการสแกนลายนิ้วมือ อ่านได้อย่างรวดเร็ว มิต้องใช้การรูดจากด้านบนลงหาเซ็นเซอร์เหมือนรุ่นก่อนอีก พร้อมกันนี้ตั้งค่าระบบสแกนลายนิ้วมือ ยังออกแบบมาให้ตั้งค่านิ้วได้มากกว่าหนึ่งนิ้ว ซึ่งน่าจะสอดรับกับทุกๆ อิริยาบทในการใช้งานที่บางคราวอาจไม่สามารถใช้นิ้วมือข้างที่ถนัดได้

อย่างไรก็ดี ฟังก์ชันสแกนลายนิ้วมือของ Galaxy S6 edge ยังไม่อาจใช้ได้หลากหลาย อีกทั้งความสามารถนี้ก็เริ่มดาษเดื่อนในวงการเต็มที แต่เมื่อมีการใช้กันมากขึ้น มูลค่าทางเทคโนโลยีน่าจะลดต่ำลง และได้เห็นมากขึ้นในสมาร์ทโฟนรุ่นระดับกลางในอนาคตอันใกล้

from:http://mobiledista.com/archives/84871

เก็บตกงานเปิดตัว AIS Fibre อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง 1Gbps พร้อมกล่องความบันเทิง AIS Playbox

หลังจากที่ AIS ได้ประกาศวิสัยทัศน์ประจำปี 2558 ว่าด้วยเรื่องของการตั้งเป้าเพื่อก้าวสู่การเป็น Digital Life Service Provider ผู้สร้างสรรค์บริการดิจิทัลเพื่อคนไทยในทุกๆด้าน ล่าสุด AIS ได้ประกาศเปิดตัว AIS Fibre ซึ่งเป็น Broadband อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านโครงข่ายใยแก้วนำแสง (Fibre optic) ที่ใช้งานได้จริง ใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดในโลก และมีความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุดถึง 1Gbps  ซึ่งการให้บริการ AIS Fibre นี้ก็เข้าถึงผู้พักอาศัยตามบ้านและคอนโดได้เป็นอย่างดี

เก็บตกงานเปิดตัว AIS Fibre อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง 1Gbps พร้อมกล่องความบันเทิง AIS Playbox

จุดเด่นของ AIS Fibre 

• ไม่มีปัญหาเรื่องความชื้นและฝน เพราะเป็น Pure Fibre (ไม่มีการใช้สายทองแดงภายนอกอาคาร)รายแรกและรายเดียวในประเทศไทยทำให้การใช้งานมีคุณภาพและเสถียรมากเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นมั่นใจได้เลยว่าเล่นเกมออนไลน์, ดูทีวี ดูซีรีส์ออนไลน์ หรือตรวจสอบความปลอดภัยรอบบ้านและคอนโดด้วยกล้องวงจรปิดผ่านอินเตอร์เน็ตได้อย่างมีเสถียรภาพ ลื่นไหล ไร้ความกระตุกแน่นอน

• มีค่าอัพโหลดสูงสุดในตลาด Broadband ผู้ใช้จึงอัพโหลดข้อมูลต่างๆได้อย่างรวดเร็ว

• เช็คพื้นที่ให้บริการ และเลือกวันติดตั้งได้เอง โดยสามารถเข้าไปเช็คได้ทั้งทางแอพ AIS Fibre บนสมาร์ทโฟน หรือเช็คผ่านเว็บไซต์ที่ http://www.ais.co.th/fibre หรือจะเช็คผ่านทางคอลเซ็นเตอร์ 1185 ก็สามารถทำได้สะดวกสบาย

• บริการหลังการขายระดับคุณภาพ AIS ที่หลายครัวเรือนเชื่อใจ

ราคาเริ่มต้นแค่ 590 บาท

AIS Fibre มีราคาเริ่มต้นที่ 590 บาท ได้ความเร็วเริ่มต้น 15/5 Mbps สำหรับคอนโด และราคาเริ่มต้นที่ 750 บาท ได้ความเร็วเริ่มต้น 20/7 Mbps สำหรับบ้าน และมีราคาแพ็คเกจความเร็วสูงสุด 1Gbps/200 Mbps ที่ 19,900 บาท (ราคาลดพิเศษจากปกติ 27,990 บาท – มีผลตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายนเป็นต้นไป) ราคาแพ็คเกจเพิ่มเติมสามารถตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ http://www.ais.co.th/fibre

เก็บตกงานเปิดตัว AIS Fibre อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง 1Gbps พร้อมกล่องความบันเทิง AIS Playbox

พื้นที่ที่ให้บริการ AIS Fibre

เก็บตกงานเปิดตัว AIS Fibre อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง 1Gbps พร้อมกล่องความบันเทิง AIS Playbox

ในช่วงแรกของการเปิดให้บริการนั้นในช่วงแรก AIS Fibre ครอบคลุม 7 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล, เชียงใหม่, โคราช, อุดรธานี, ขอนแก่น, ภูเก็ต และหาดใหญ่ โดยครอบคลุมมากกว่า 130,000 หลังคาเรือน 500 หมู่บ้าน และ 700 อาคาร สามารถตรวจสอบพื้นที่ที่คุณอยู่ว่าสามารถติดตั้ง AIS Fibre ได้หรือไม่ที่ http://www.ais.co.th/fibre

AIS Playbox

นอกจาก AIS Fibre ซึ่งเป็น Broadband อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง มาตรฐานระดับโลกจาก AIS แล้ว ยังมีอีกหนึ่งบริการที่เผยโฉมมาพร้อมกันด้วย นั่นก็คือ AIS Playbox กล่องความบันเทิงรูปแบบใหม่ ซึ่ง AIS บอกว่านี่เป็นธุรกิจใหม่ที่สำคัญระดับ ‘flagship’ ของค่ายเลยทีเดียว เพราะ AIS ได้วางเป้าหมายไว้ให้เกิด Digital Smart Home อย่างสมบูรณ์แบบกับลูกค้าของ AIS 

เก็บตกงานเปิดตัว AIS Fibre อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง 1Gbps พร้อมกล่องความบันเทิง AIS Playbox

โดยกล่อง AIS Playbox นั้นจะแจกฟรีทันทีให้กับลูกค้าที่สมัคร AIS Fibre ตั้งแต่แพคเกจเริ่มต้นก็จะได้รับไปใช้งานฟรีทันที ภายในนั้นมีคอนเทนต์ความบันเทิงระดับคุณภาพ คมชัดในระดับสูงสุดถึง Ultra HD (4K) เช่น หนังฮอลลีวูดจาก HOOQ , หนังไทยจาก GTH, ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกจาก CTH และ AIS Playbox ยังเป็นกล่องความบันเทิงกล่องแรกในประเทศไทยที่มีคาราโอเกะให้ร้องจากบรรดาค่ายเพลงดังในไทย, มีฟรีทีวีกว่า 100 ช่อง ดูสด และดูย้อนหลังได้ 

นอกจากนี้ AIS Playbox ยังสามารถเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์อื่นๆของคุณได้ผ่านทาง Miracast และ AirPlay ซึ่งสามารถสตรีมมิ่งคอนเทนต์ความบันเทิงไปยัง AIS Playbox ได้ทันทีเพียงสั่งงานแค่ปลายนิ้ว

เก็บตกงานเปิดตัว AIS Fibre อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง 1Gbps พร้อมกล่องความบันเทิง AIS Playbox

from:http://mobiledista.com/archives/84420

Samsung Galaxy S6 Part 3: แบตเตอรีที่น้อยลง และความร้อนที่เพิ่มขึ้น

Samsung Galaxy S6 Part 3: แบตเตอรีที่น้อยลง และความร้อนที่เพิ่มขึ้น

ในพาร์ทที่ 3 นี้ หลังจากที่สองพาร์ทแรกได้พูดถึงงานดีไซน์ และฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ Galaxy S6 ไปแล้ว

อ่านต่อได้ที่ Part 1: Galaxy S6 Review Part 1: วิพากษ์งานดีไซน์และอินเตอร์เฟส
Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers

สำหรับ Galaxy S6 เป็นรุ่นแรกๆ ของซัมซุงเลยทีเดียว ที่แบตเตอรีของเครื่องจะไม่สามารถถอดออกได้ (Removable) ซึ่งถือว่า เป็นเรื่องที่ผิดธรรมเนียมที่เป็นมาของซัมซุงเลยทีเดียว หากเรายังจำกันได้ ความที่สมาร์ทโฟนซัมซุงสามารถถอดแบตเตอรีออกได้ ถือเป็นความสามารถเด่นที่ซัมซุงชูธงมาโดยตลอด และเริ่มเปลี่ยนไปหลังจาก A Series ได้ถูกเปิดตัวและทำตลาดขึ้นมานั่นเอง

แต่เอาเข้าจริง เท่าที่ผมได้สัมผัสกับสาวกซัมซุง ซึ่งขอเรียกแบบรวมๆ เช่นนี้ เพราะว่า คนรอบข้างที่ผมรู้จักมีสาวกซัมซุง แบบที่ซื้อสมาร์ทโฟนซัมซุงแทบทุกรุ่น โดยเฉพาะแฟลกชิปโฟน เท่าที่พูดคุยผมก็ไม่เคยเห็นเขาซื้อแบตเตอรีก้อนที่สองไว้สำรองเผื่อแบตเตอรีก้อนแรกที่ติดมากับตัวเครื่องหมดสักเท่าไหร่ ที่เห็นจริงๆ จะเป็นในแง่ของการดึงแบต (Pull Battery) ในกรณีเครื่องค้างมากกว่า

ตัวเลขแบตเตอรีในแฟคชีตระบุว่า Galaxy S6 มาพร้อมกับแบตเตอรีขนาด 2,550 mAh บอกตามตรงถ้าดูจากตัวเลขอย่างเดียว ผมถือว่าค่อนข้างน้อย เพราะด้วยขนาดจอ ความละเอียด ตัวเลขแบตเตอรี 2,550 mAh อาจไม่เพียงพอต่อการใช้งานของหลายคน ด้วยไลฟ์สไตล์การใช้งานที่เปลี่ยนไป การใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ ที่เริ่มทวีความสำคัญ นอกเหนือจากไป Social Media

น่าเสียดายว่า ผมไม่มีตัวเลข Benchmark ชัดๆ ถึงการใช้งาน Galaxy S6 ของผม ดังนั้นสิ่งที่เขียนจึงเป็นไปตามความรู้สึกล้วนๆ

Samsung Galaxy S6 Part 3: แบตเตอรีที่น้อยลง และความร้อนที่เพิ่มขึ้น

ผมถอดปลั๊กชาร์จ Galaxy S6 ราวหกโมงเช้า หรือตีห้าครึ่งในบางวัน และกับมาชาร์จอีกครั้งราวสองทุ่มโดยประมาณ พบว่าแบตเตอรีค่อนข้างลดเร็วพอสมควร แม้ว่าจะไม่ได้ใช้งานหนักมากนัก ซึ่งปกติแล้วผมมักใช้สมาร์ทโฟนในการอ่าน e-Book แต่ใน Galaxy S6 ผมไม่ได้ใช้อ่าน e-Book แม้แต่เล่มเดียวเลย ซึ่งต่อวันผมก็ดูคลิปผ่าน YouTube ด้วย S6 ไม่มากนัก ประมาณแค่ 3 คลิป ความยาวก็ไม่เกิน 20-25 นาที

ผมอนุมานว่า ถ้าหากไม่ได้ใช้งานมัลติมีเดียแบบหนักๆ เช่น ดูวิดีโอเยอะๆ หรือถ่ายภาพบ่อยๆ แต่เน้นหนักไปที่การเล่น Social Network ในปริมาณ 4 ชม.ต่อวัน คิดว่า แบตเตอรีน่าจะเพียงพอต่อการใช้งานหนึ่งวัน

แต่ถ้าหากกังวลถึงปริมาณแบตเตอรีที่ลดค่อนข้างเร็ว ข้อดีบางอย่างที่พอจะหักล้างได้อยู่บ้าง นั่นคือ การชาร์จแบตเตอรีทำได้ค่อนข้างเร็ว อย่างที่บอกไว้ข้างต้นผมไม่ได้จับเวลาการชาร์จเอาไว้ ตามความรู้สึกคือ การชาร์จแบตเตอรีจากจุดที่ต่ำกว่า 20% จนถึง 100% ใช้เวลาไม่ถึง 1 ชม. แบตเตอรีก็เต็มเรียบร้อยแล้ว หรือการเลือกใช้โหมด Power Saving ที่จะเปลี่ยนหน้าจอเป็นขาวดำ

อย่างไรก็ดี ปัญหาที่ผมคิดว่า เหนือไปกว่า ปริมาณแบตเตอรีที่ไม่ได้เยอะ ไปจนถึงการบริโภคแบตเตอรี อยู่ที่การใช้งานแต่ละวัน ไม่ว่าจะใช้แอปพลิเคชันมากน้อยแค่ไหน ตัวเครื่อง Galaxy S6 ค่อนข้างร้อนอย่างมาก โดยเฉพาะบริเวณด้านหลังตัวเครื่อง ซึ่งผมได้ลองพูดคุยกับเพื่อนฝูงที่ได้สัมผัส Galaxy S6 พร้อมๆ กันต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า Galaxy S6 น่าจะมีปัญหาเรื่องความร้อน

from:http://mobiledista.com/archives/81618

Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers

Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers

อย่างที่ทราบกันครับว่าสมาร์ทโฟนระดับแฟลกชิปทุกแบรนด์ต่างต้องมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่หลากหลาย บางรุ่นจะมีความสามารถเฉพาะที่รุ่นอื่นจะไม่มี ในไลน์ซัมซุงผมคิดว่า รุ่นที่มีความโดดเด่นในแง่นี้มากที่สุด คงต้องยกให้กับ Galaxy Note ซึ่งมาพร้อมกับปากกา S Pen

อ่านรีวิว Galaxy S6 Part 1 ที่นี่

ในขณะเดียวกันตั้งแต่ซัมซุงเพิ่มไลน์อัปสมาร์ทโฟนที่มีปากกา จุดเด่นของตระกูล Galaxy S เหมือนจะมีความชัดเจนน้อยลง กระทั่งเอาเข้าจริงๆ แล้วในแง่สิ่งที่แปลกใหม่จริงใน Galaxy S6 เป็นในลักษณะภายนอกมากกว่า เช่น งานดีไซน์ที่สวยและหรูหราเอามากๆ จากกระจกด้านหลังที่ล้อมกรอบดูอลูมิเนียม

 

Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers

แต่ในด้านฟังก์ชันการใช้งานแล้ว ผมยังจับสัมผัสฟีเจอร์ที่เพิ่มเติมแบบก้าวกระโดดไม่ได้มากนัก แต่ยอมรับว่า ฟีเจอร์ที่ควรจะมีก็ถูกเพิ่มเติมขึ้นมาในรุ่นนี้จริง เช่น การพัฒนาด้านการสแกนลายนิ้วมือ หากยังจำกันได้ Galaxy S5 การสแกนลายนิ้วมือนั้น จะเริ่มจากการตั้งค่าก่อน จากนั้นเมื่อใช้งานจริงจะต้องรูดจากหน้าจอลงมายังปุ่มโฮม ซึ่งใน Galaxy S6 เปลี่ยนการสแกนแบบใหม่โดยการแตะที่ปุ่มโฮมตรงๆ ที่ดีงามไปกว่านั้นคือ ระหว่างการตั้งค่าเราสามารถตั้งค่าจำนวนนิ้วที่หลากหลายได้มากกว่าหนึ่งนิ้ว พร้อมกันนั้นเพื่อความสะดวกหากบางช่วงเวลาไม่อาจใช้นิ้วมือเพื่อปลดล็อกเครื่องได้ จะมีระบบให้กรอกรหัสผ่านเป็นอีกหนึ่งช่องทางของการปลดล็อกเข้าสู่ตัวเครื่อง

นอกเหนือจากนั้นฟีเจอร์สแกนลายนิ้วมือได้ถูกบูรณาการเข้ากับโหมดความเป็นส่วนตัว (Private Mode) ทำให้เราสามารถย้ายข้อมูลสำคัญๆ เช่น ภาพถ่าย ไฟล์วิดีโอ เพลง ข้อความเสียง เข้าสู่โหมดนี้ได้ ซึ่งการที่จะเข้าถึงข้อมูลพวกนี้ได้ จำเป็นต้องใช้การสแกนลายนิ้วมือของเรา (หรือพิน (PIN) รหัสผ่าน หรือแพทเทิร์น) เท่านั้น

Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers

ขณะเดียวกัน Galaxy S6 ได้เพิ่ม infared เข้ามา ซึ่งวางตัวอยู่ด้านบนสุดของตัวเครื่อง จุดประสงค์หลักๆ ของความสามารถนี้เป็นการสร้างมาเพื่อเสิร์ฟกับสมาร์ททีวีของซัมซุงในการแสดงจากหน้าจอบนสมาร์ทโฟนมายังบนทีวีนั่นเอง

อีกหนึ่งความน่าสนใจที่ถูกเพิ่มเติมเข้ามา แม้จะไม่ใหม่มากนัก คือ ทางลัดเข้าสู่แอปพลิเคชันกล้อง โอเคครับว่า ถ้าเราตั้งค่าล็อคเครื่องเอาไว้ จะมีทางลัดเข้าสู่แอปกล้อง และหากปลดล็อกเรียบร้อยแล้วก็จะมีแอปกล้องวางไว้อยู่หน้าโฮมสกรีนบริเวณใด บริเวณหนึ่ง Galaxy S6 เพิ่มทางลัดเข้ามาอีกทางหนึ่งนั่นคือ การกดปุ่มโฮมติดกันสองครั้ง ซึ่งสามารถเรียกแอปกล้องได้แม้ว่าหน้าจอจะล็อคหรือไม่ล็อคก็ตาม

Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers

ต่อมาคือธีม หากผมจำไม่ผิดเข้าใจว่า Galaxy A5 คือสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของซัมซุงที่เพิ่มธีมเข้ามา จากนั้นก็เริ่มทยอยเพิ่มในไลน์อัปของซัมซุง ทั้งนี้ผมมองว่า การที่ซัมซุงเพิ่มธีมเข้ามาอาจเพราะด้วยต้องการสร้างคอมมิวนิตี้ใหม่ๆ ให้แก่ผู้ใช้ด้วย อีกทั้งอาจต้องการสร้างความหลากหลายให้แก่ผู้บริโภคที่คงอาจมีรู้สึกเบื่อๆ อยู่บ้างกับหน้าตาที่ไม่โดนใจ

Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers

โดยวิธีการเรียกเมนูธีมทำได้แค่ง่ายๆ แค่จีบหน้าจอเข้าหากัน หรือแตะหน้าจอโฮมสกรีนบริเวณพื้นที่ว่างๆ ไว้ก็จะเรียกใช้งานธีมได้แล้ว ซึ่งค่าเริ่มต้นของธีมจะมีสามแบบด้วยกัน มีสีฟ้า สีชมพู และสีดำ (Space)

พิเศษมีธีม The Avengers: Age of Ultron. ด้วยครับ แต่ต้องล็อกอินด้วย Samsung Account ซึ่งจะสมัครใหม่เลยก็ได้ หรือล็อกอินผ่าน Google ID

Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers

Smart Manager เป็นอีกหนึ่งแอปพลิเคชันที่เพิ่มเติมเข้ามา ด้วยความสามารถที่จะแสดงการบริโภคแบตเตอรีของเครื่อง แสดงข้อมูลของ RAM ที่ถูกใช้ ไปจนถึงหน่วยความจำเครื่อง และการสแกนเพื่อเป็นเกราะป้องกันความปลอดภัยของตัวเครื่องจากการถูกโจมตีจากผู้ไม่หวังดี ทั้งทางตรงและทางอ้อมด้วย KNOX

Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers

จะว่าไป Galaxy S6 อาจไม่มีฟังก์ชันที่เรียกว่าใหม่จริงๆ มีค่อนข้างจำกัด แต่การปรับปรุงฟังก์ชันเดิมที่มีมาให้น่าใช้ขึ้นก็ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพูดถึง ประการแรกๆ ที่จะพูดถึงคงเป็น Multi Window หรือฟังก์ชันการใช้งานสองแอปพลิเคชันในหนึ่งหน้าจอที่ทำให้ใช้งานง่ายขึ้น จากการกดปุ่ม recent เพียงปุ่มเดียวแล้วเลือกสัญลักษณ์ใกล้เครื่องหมาย X เมื่อเลือกแอปเสร็จแล้ว อินเตอร์เฟสจะนำเสนอแอปที่ใช้งาน Multi Window ได้จาก recent app หรือปาดขวาเพื่อเปิดแอปใหม่ก็ได้

นอกจากนี้ฟังก์ชันพื้นฐานที่มีมาอยู่แล้วในสมาร์ทโฟนทุกๆ รุ่นของซัมซุง ได้มีการปรับหน้าตาใหม่ให้ดูสวยงามขึ้น (สวยจริงๆ) เช่น แอปนาฬิกา สีของโฟลเดอร์ในหน้าโฮมสกรีน S Health หน้า Setting ที่ทำให้คลีนขึ้น เป็นต้น

สำหรับฟังก์ชันที่มาแต่เดิมแต่ไม่ได้อัปเดทมากนัก ดูได้จากภาพสกรีนช็อตด้านล่างได้เลยครับ

Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers
Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers
Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers
Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers
Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers
Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers
Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers
Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers
Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers
Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers
Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers
Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers
Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers
Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers
Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers
Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers
Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers
Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers
Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers
Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers
Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers
Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers
Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers
Galaxy S6 Review Part 2: สแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่าเดิม และธีม Avengers
from:http://mobiledista.com/archives/81495

Galaxy S6 Review Part 1: วิพากษ์งานดีไซน์และอินเตอร์เฟส

Galaxy S6 Review Part 1: วิพากษ์งานดีไซน์และอินเตอร์เฟส

ก่อนเปิดตัวผมติดตามข่าว Galaxy S6 ค่อนข้างต่อเนื่องมากกว่าทุกๆ ปี อาจเพราะด้วย Galaxy S5 ค่อนข้างน่าผิดหวัง อย่างน้อยๆ ก็ผมละคนหนึ่ง ทำให้การติดตามข่าวเกี่ยวกับแฟลกชิปรุ่นนี้ถือเป็นเรื่องน่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อยว่าจะมีสิ่งที่น่าสนใจใดเพิ่มบ้าง

สำหรับ Galaxy S6 เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่หกในซีรีส์ Galaxy S ซึ่งเป็นรุ่นชูโรงให้แก่ซัมซุงอย่างต่อเนื่อง ตลอดหกปี ผมคิดว่าซัมซุงต้องเผชิญกับเรื่องน่ายินดีจาก Galaxy S, Galaxy S II หรือ Galaxy S III และอาจเฟลที่สุดจาก Galaxy S5 ฉะนั้นสเปกเครื่องที่มาใหม่ ฟีเจอร์การใช้งาน Galaxy S6 สำคัญพอๆ กับการลุ้นว่า จะกู้ชื่อเสียง
ไดอย่างไร

บทความ Samsung Galaxy S6 ผมจะเขียนเป็นตอนเพื่ออธิบายถึงแฟลกชิปรุ่นใหม่นี้ในหลากมิติที่สุด เพื่อหาข้อสรุปว่า Galaxy S6 เป็นของจริงหรือไม่ในปี 2015

Galaxy S6 เป็นรุ่นแรกในตระกูล Galaxy S ที่มาพร้อมกับวัสดุที่พรีเมียมที่สุด อานิสงส์หลักคิดว่าคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ความพรีเมียมได้ประเดิมถือกำเนิดจาก Galaxy Alpha ก่อนที่จะค่อยๆ ปรับรูปทรงและหน้าตาในรุ่นถัดมา เช่น Galaxy Note 4 และ Galaxy A Series

Galaxy S6 Review Part 1: วิพากษ์งานดีไซน์และอินเตอร์เฟส
Galaxy S6 Review Part 1: วิพากษ์งานดีไซน์และอินเตอร์เฟส
Galaxy S6 Review Part 1: วิพากษ์งานดีไซน์และอินเตอร์เฟส
Galaxy S6 Review Part 1: วิพากษ์งานดีไซน์และอินเตอร์เฟส
Galaxy S6 Review Part 1: วิพากษ์งานดีไซน์และอินเตอร์เฟส

ผมหยิบ Galaxy S6 ออกมาจากกล่องสิ่งที่สัมผัสได้เป็นอย่างแรกนั่นคือ ความน่าใช้ ทันทีที่มันถูกหยิบออกมาจากกล่องได้สูดสัมผัสกับอากาศอันร้อนระอุของเมืองไทย ความน่าใช้ของ Galaxy S6 ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันมาจากความพรีเมียมของชิ้นงานเอง งานอลูมิเนียมที่อยู่รอบกรอบตัวเครื่อง เล่นความสวยงามด้วยความเว้าความโค้งจากทั้งสี่มุม แอบมีลูกเล่นนิดๆ ตรงด้านข้างซ้ายและขวา ที่ขัดผิววัสดุให้เรียบยาว ขณะเดียวกันด้านหน้าและด้านหลังของตัวเครื่องซัมซุงได้เลือกใช้กระจกเพื่อให้สัมผัสของมือจากด้านหลังและตัวเครื่องกับความรู้สึกของผู้ใช้ดีที่สุด

อย่างไรก็ดีเพื่อซื่อสัตย์ต่อความคิด ผมรู้สึกว่า Galaxy S6 มีกลิ่นอายที่คล้ายคลึงกับสมาร์ทโฟนในตลาดที่เคยเปิดตัวก่อนหน้านี้อย่างน้อยสองรุ่นด้วยกัน นั่นคือ iPhone 6 จากบริเวณด้านล่างของตัวเครื่อง ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อกับพอร์ทไมโครยูเอสบี ลำโพง และช่องเสียบหูฟัง เท่าที่ผมลองพูดคุยกับคนนอกวงการ กล่าวคือเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้สันทัดทางเทคโนโลยีหรือแก๊ดเจ๊ตมากนัก แน่นอนว่าไม่อาจนำไปอ้างอิงจริงได้ ค่อนข้างออกมาตรงกันว่า มีจุดที่ไม่ชอบ Galaxy S6 ตรงที่รุ่นนี้ไม่สามารถถอดฝาหลังได้อีกต่อไปแล้ว อีกทั้งยังไม่คุ้นชินกับการถอดใส่ซิมด้วยเข็มจิ้มซิม ไปจนถึงขนาดของตัวเครื่องที่ถูกจำกัดด้วยขนาดที่กำหนดโดยพื้นฐานจากโรงงาน 32GB 64GB และ 128GB ทำให้ขนาดความจุของตัวเครื่องที่ใช้งานจริงจะถูกจำกัด ไม่อาจเพิ่มด้วยการ์ดไมโครเอสดีการ์ด

Galaxy S6 Review Part 1: วิพากษ์งานดีไซน์และอินเตอร์เฟส
Galaxy S6 Review Part 1: วิพากษ์งานดีไซน์และอินเตอร์เฟส

ส่วนเส้นสีขาวขุ่นที่ถูกบากเอาไว้ ก็คล้ายกับลายด้านหลังของ iPhone 6 ส่วนด้านหลังตัวเครื่องอาจไม่เหมือนเสียทีเดียว แต่สัมผัสคล้ายกับ Nexus 4 สมาร์ทโฟน Pure Google อีกรุ่นหนึ่งที่ใช้วัสดุที่เป็นกระจก แต่ผมก็คงต้องดีเฟนด์ Galaxy S6 เหมือนกันตรงที่ว่า แม้ตัวเครื่องจะเป็นสีขาวแต่เพราะความเงา และคุณภาพกระจกจึงทำให้แทบไม่เห็นเป็นรอยนิ้วมือเท่าใดนัก ซึ่งต่างจาก Nexus 4 ที่มีรอยนิ้วมือให้เห็นค่อนข้างง่าย

เมื่อผมสำรวจโดยรอบของตัวเครื่องแล้ว สิ่งที่ผมคิดประการต่อมาว่า เมื่อเทียบระหว่าง Galaxy S5 และ Galaxy S6 มีสิ่งใดที่เหมือนกันบ้าง แล้วสิ่งใดคือสิ่งที่ผมชอบในรุ่นนั้น สิ่งที่เหลือผมคิดว่า คงเป็นขนาดหน้าจอ 5.1 นิ้ว ที่ถือว่าเป็นขนาดหน้าจอที่น่าจะพอเหมาะกับผู้ใช้ทุกกลุ่ม กล่าวคือ ขนาด 5.1 นิ้ว (ความละเอียด QHD, 1440 x 2560 พิกเซล) ไม่ใหญ่มากนักหากเทียบกับไซส์สมาร์ทโฟนในตลาดปัจจุบัน อีกอย่างคือการออกแบบที่ปรับให้ช่วงบนและช่วงล่างไม่ใหญ่เกินไป ทำให้ตัวเครื่องดูมีความสูงไม่มากนัก เช่นกันกับด้านขอบจอทางซ้ายและขวาที่เกือบจะติดกับขอบตัวเครื่องแล้ว นั่นจึงทำให้ Galaxy S6 ไม่ดูใหญ่เกินมือหากเป็นสุภาพสตรี

Galaxy S6 Review Part 1: วิพากษ์งานดีไซน์และอินเตอร์เฟส
Galaxy S6 Review Part 1: วิพากษ์งานดีไซน์และอินเตอร์เฟส
Galaxy S6 Review Part 1: วิพากษ์งานดีไซน์และอินเตอร์เฟส
Galaxy S6 Review Part 1: วิพากษ์งานดีไซน์และอินเตอร์เฟส
Galaxy S6 Review Part 1: วิพากษ์งานดีไซน์และอินเตอร์เฟส
Galaxy S6 Review Part 1: วิพากษ์งานดีไซน์และอินเตอร์เฟส
Galaxy S6 Review Part 1: วิพากษ์งานดีไซน์และอินเตอร์เฟส

และเพื่อให้บทความชิ้นแรกที่จะเขียนถึง Galaxy S6 ไม่ยาวไปกว่านี้ ผมขอพูดถึงอินเตอร์เฟสเป็นอย่างสุดท้าย อย่างที่ทราบโลกแห่งแอนดรอยด์เวลานี้ขยับมาที่หมายเลขที่ 5 พร้อมรหัสส่วนตัว Lollipop ซึ่งระยะหลังกูเกิลเองค่อนข้างที่จะวางมาตรการและมาตรฐานของแอนดรอยด์ให้มีความกระชับมากขึ้น ดังนั้นจึงทำให้สิ่งที่เห็นใน Galaxy S6 เป็นไปในทรงที่กูเกิลต้องการ เช่น อินเตอร์เฟสแบนๆ สไตล์ material ไอคอนของแอปพลิเคชันที่พัฒนาโดยซัมซุงและกูเกิลจะเป็นไปในแบบไม่มีขอบ เน้นให้ไอคอนกลืนไปกับพื้นหลัง พร้อมการตอบสนองที่ค่อนข้างลื่นไหล

ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือใน Galaxy S6 มีการปรากฏผลิตภัณฑ์จากไมโครซอฟท์ถึงสองชิ้น (ประกอบไปด้วย OneDrive และ Skype) อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมประหลาดใจที่สุด นั่นคือการหายไปของคำสั่งในการจัดเรียงแอปพลิเคชันในหน้า App Drawer เหลือเพียงแค่คำสั่ง uninstall app เท่านั้น

และทั้งหมดนี้คือ บทรีวิว Galaxy S6 ในส่วนแรกครับ รอติดตามชมตอนต่อไปครับ

from:http://mobiledista.com/archives/81459

HTC Desire 620G Review: สมาร์ทโฟนสองสี ราคา 6,990 บาท

HTC Desire 620G

ครั้งก่อนโน้นเราได้พูดถึง HTC 620G กันไปแล้ว จากการใช้งานในช่วงเวลาที่ผ่านมาถือว่า รู้สึกดีทีเดียวกับสมาร์ทโฟนรุ่นนี้

อ่านต่อ HTC Desire 620G Preview: ทูโทนสองสีสมาร์ทโฟน

Design

HTC Desire 620G -6
HTC Desire 620G -3
HTC Desire 620G -5
HTC Desire 620G -2
HTC Desire 620G -4

ในแง่ประสบการณ์การใช้งาน สมาร์ทโฟนขนาดหน้าจอ 5 นิ้วมิใช่เป็นสิ่งที่ใหญ่เกินไปแล้ว ทุกๆ แบรนด์ต่างใช้ประโยชน์จากสมาร์ทโฟนจอใหญ่เหมือนกันหมด จนแทบไม่มีช่องว่างเหลือไว้สำหรับสมาร์ทโฟนต่ำกว่า 5 นิ้วอีกเลยความรู้สึกระหว่างวันในการใช้ HTC 620G ผมคิดว่า พอใช้ไปสักพัก มันเกิดความรู้สึกไม่มั่นคงในการใช้งานอยู่สักหน่อย เพราะตัวเครื่องที่เป็นพลาสติก มีความลื่นมาก การสัมผัสและการจับในแต่ละครั้งจะต้องระวังอยู่เสมอ

ด้านวัสดุประกอบงาน โดยธรรมชาติแล้ว HTC เป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนที่ถนัดในการใช้วัสดุจำพวกโลหะเป็นอย่างมาก แต่นั่นมิได้หมายความว่า HTC ไม่เคยทำ แต่ทำมาหลายรุ่นแล้ว โดยมี HTC Butterfly รุ่นแรก เป็นตัวชูโรงความสำเร็จ

สำหรับ HTC Desire 620G ด้วยความที่กลุ่มเป้าหมายของรุ่น คือ เป็นสมาร์ทโฟนจับตลาดล่าง ดังนั้นวัสดุคงไม่ใช่เกรดเดียวกับที่ทำในรุ่น Butterfly ดังนั้นการสัมผัสระหว่างมือกับ HTC Desire 620G จากที่ใช้งานมาผมรู้สึกกระด้างสักหน่อย เพราะด้านหลังตัวเครื่องไม่ได้มี texture เสริมเติมแต่งบริเวณด้านหลัง 

ส่วนการจัดวางปุ่ม ต้องปรับความคุ้นชินสักหน่อย เนื่องจากปกติสมาร์ทโฟนที่ผมใช้งานประจำจะมีปุ่ม Power กับปุ่ม Rocker คนละด้าน แต่ในรุ่นนี้ทั้งสองปุ่มที่ว่าถูกปรับเข้าหากัน โดยมีปุ่ม Power ที่ร่นต่ำลงไปกว่าปกตินิดหน่อย นึกออกใช่ไหมครับ ปกติปุ่ม Rocker จะอยู่ด้านบนตัวเครื่องหรือไม่ก็อยู่บนๆ ด้านข้าง ส่วนพวกซิมการ์ดหรือไมโครเอสดีจะอยู่ด้านในตัวเครื่อง ซึ่งต้องแกะฝาหลังออกมา โดยวิธีการแกะให้เราแกะที่ช่องของพอร์ทไมโครยูเอสบี 

Display

อย่างที่บอกไปในยุคนี้การจะหาสมาร์ทโฟนขนาดเล็กกว่า 5 นิ้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป เพราะกระแสหลักของโลกสมาร์ทโฟนกลายเป็นจอใหญ่เรียบร้อยแล้ว HTC Desire 620G มาพร้อมกับขนาดหน้าจอ 5 นิ้ว ความสูง 150 มม. ไดเมนชันนี้เรายังสามารถใช้งานสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ได้ด้วยมือเพียงข้างเดียวได้ครับ แต่นั่นมิได้หมายความว่า เราจะใช้ HTC Desire 620G ได้สะดวกด้วยมือเพียงข้างเดียวไปตลอด 

สมมติว่า ผมถนัดมือซ้ายแล้วผมต้องการใช้มือข้างเดียวในการลาก notification bar ลงมาด้านล่างสุด ผมจะต้องเลื่อนมือขึ้นไปจับ ซึ่งรวมกับความลื่นของด้านหลังตัวเครื่อง จึงทำให้รู้สึกไม่มั่นคงในการใช้งาน ขณะเดียวกันการใช้งานโดยเฉพาะความละเอียดหน้าจอสัมผัสของ HTC Desire 620G มาพร้อมกับความละเอียด 1,280×720 พิกเซล ซึ่งเป็นตัวเลขที่โอเคมากแล้วสำหรับสมาร์ทโฟนราคาต่ำหมื่น หน้าจอความละเอียด 720p สามารถดู YouTube ได้คมกริบจนน่าประทับใจ

Software

Desire 620G

ถ้าผมจำไม่ผิด ตั้งแต่ที่เคยใช้ HTC มา ผมจำได้ว่า สมาร์ทโฟนแต่ละรุ่นของไต้หวันแบรนด์นี้ มักไม่มีลูกเล่นแบบหวือหวาสักเท่าไหร่ ธรรมชาติแล้วมักเป็นฟังก์ชันการใช้งานที่สามารถใช้งานได้จริง และเสริมศักยภาพในการทำงานให้ได้อย่างดี เช่น ฟังก์ชันการปรับเสียงเรียกเข้า 

ขณะเดียวกันฟังก์ชันอย่าง BlinkFeed ตั้งแต่สามารถปิดการใช้งานได้ก็ถือว่า โอเคแล้ว แต่หากเป็นคนนิยมการติดตามเรื่องราวบนโลกโซเชียลฟังก์ชัน BlinkFeed ยังคงตอบสนองได้ดีอยู่ พร้อมๆ ไปกับการเพิ่มคอนเทนต์ที่เป็นข่าวสารตามไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้

Desire-620g--2

พร้อมกันนี้ software ที่เสริมเข้ามาใน HTC Desire 620G จะยังมีแอปพลิเคชันจำ Easy Mode หรือโหมดสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่ชินกับสมาร์ทโฟน เช่น คนที่ใช้ฟีเจอร์โฟนมาตลอดแล้วเพิ่งมาเปลี่ยนสมาร์ทโฟน โหมดนี้จะเป็นโหมดอย่างง่ายต่อการใช้งาน หรืออาจเป็นผู้ใช้ที่เคยชินสมาร์ทโฟนมาแล้ว แต่ยังไม่ชินกับ HTC ก็ใช้ Easy Mode นี้ได้

Desire-620G--3

  ที่ผมชอบอีกอย่างหนึ่งใน software ที่ให้มาของ HTC นั่นคือ Audio Profiles ที่มีหน้าที่ในการปรับเสียงให้เหมาะกับสถานการณ์ เช่น ตอนนี้ผมกำลังใช้ HTC Desire 620G ตอนเวลา 23.00 น. ผมก็อาจเลือกเป็น Silent Mode หรือถ้าเป็น 9.00 น.เป็นห้วงเวลาประชุมเราเลือกโหมด Meeting ได้หรือแม้แต่เวลาพักเที่ยงที่เหล่ามนุษย์ต่างต้องหาพลังงานให้แก่ร่างกาย ซึ่งเป็นเวลาที่เต็มไปด้วยการพูดคุย พบปะ เป็นไปได้ว่าอาจมีคนคิดถึง หรือติดต่อธุระจนทำให้เราไม่ได้ยินเสียงเรียกเข้า การตั้งค่าเสียง outdoor จะช่วยได้อย่างดี

  Android 5.0 Lollipop ?

HTC Desire 620G ทำงานภายใต้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.4 KitKat ความคืบหน้าของฝั่งแอนดรอยด์ในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนตัวเลขแบบ Major Change แล้ว แน่นอนย่อมต้องเกิดคำถามขึ้นมาว่า หากเป็นเจ้าของ HTC Desire 620G จะได้รับการอัปเดทไหม แน่นอนว่า คงเป็นไปได้ยาก เพราะขนาดรุ่นไฮเอนด์หลายรุ่นกว่าจะได้อัปเดทยังกินเวลานานใช่เล่น 

 

 

Camera

Desire-620g-401
Desire-620G-402
Desire-620g-403
Desire-620G-404

 กล้อง 8 ล้านพิกเซล และกล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล นี่คือ คุณสมบัติสำคัญของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ จากการใช้งานผมยังไม่ค่อยชอบภาพ HDR ของรุ่นนี้มากนัก แต่โดยรวมก็ให้ได้ภาพที่โอเคในระดับหนึ่งเลยทีเดียว อินเตอร์เฟสของแอปพลิเคชันกล้องก็ดูเข้าใจไม่ยาก เพราะกระจายอยู่รอบมุมของหน้าจอ ส่วนความสามารถการเซลฟี่ก็ถือว่า พอกล้อมแกล้ม

Desire-620G-camera-1
Desire-620G-camera-2
Desire-620G-camera-3
Desire-620G-camera-4
Desire-620G-camera-5
Desire-620G-camera-6

Battery

แบตเตอรีตามสเปกชีตของรุ่นนี้ให้มา 2100 mAh อาจเพราะด้วย resolution ที่ไม่ได้สูงมากนัก จึงทำให้ไม่ได้กินทรัพยากรโดยเฉพาะแบตเตอรีมากนัก ถ้าหากไม่ได้ใช้งานแบบหนักจริงๆ ในหนึ่งวันรุ่นนี้ถือว่า พอเหมาะ

Conclusion

อย่างที่บอกไว้ HTC อาจไม่ใช่แบรนด์ที่อัดแน่นฟีเจอร์จนล้นปรี่ แต่แค่ที่ ‘พอมี’ มันพอใช้งานชีวิตประจำวันแล้ว จุดขายหลักของรุ่นนี้อยู่ที่การตั้งราคาที่ไม่สูงมากนัก ตัดกับดีไซน์ที่สวยสบายตาน่าใช้ไม่น้อย อาจมีข้อจำกัดทางกายภาพอยู่บ้าง เช่น ตัวเครื่องค่อนข้างลื่นมือ กับข้อเสียด้านซอฟต์แวร์และอินเตอร์เฟสที่ดูทื่อๆ จำเจสักหน่อย

แต่ถ้ากำลังมองหาสมาร์ทโฟนที่ simple ใช้งานไม่ยาก สวยภายนอก ภายในก็โอเคกับการใช้งานที่ไหลลื่น Desire 620G ถือว่าโอเคเลยครับ 

from:http://mobiledista.com/htc-desire-620g-review-two-tone-and-budgetphone/

ก้าวต่อไปของ Wearable Devices ?

อุปกรณ์สวมใส่หรือ Wearable Device กลายเป็นเทรนด์ที่ผู้ผลิตอุปกรณ์ไฮเทคมากหน้าหลายตาขนยุทโธปกรณ์ร่วมชิงชัยในตลาดนี้เป็นจำนวนมาก เพราะไม่ว่าจะเป็นแบรนด์จากฝั่งเอเชีย ทั้งเอซุส (ASUS), เอเซอร์ (Acer) หรือพรีเมียมแบรนด์อย่างซัมซุง (Samsung) หรือแอปเปิล (Apple) ต่างทยอยเปิดตัวออกมายั่วน้ำลาย หรือให้สัมผัสกันแล้ว

ถึงกระนั้นคำถามที่น่าสนใจสำหรับอุปกรณ์สวมใส่ (Wearable Device) ยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นเครื่องหมายคำถามในเวลานี้ นั่นคือ ความสำคัญของอุปกรณ์ชิ้นนี้ต่อมนุษย์ และการใช้งานในชีวิตประจำวัน ?

เราต้องไม่ลืมว่า แม้อุปกรณ์สวมใส่จะเป็นเทรนด์ใหม่ที่หลากหลายแบรนด์กำลังก้าวเข้ามาร่วมเล่นในตลาดก็จริง แต่เอาเข้าจริงก็ยังไม่มีเจ้าไหนที่พูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า เทรนด์นี้กำลังจะมาอย่างแน่นอน ถ้าหากเราลองแยกย่อยมองถึงคุณสมบัติที่จำเป็น และน่าใช้งานของอุปกรณ์สวมใส่พวกนี้มีอะไรบ้าง ก็คงจะมีไม่มาก เช่น ดูการแจ้งเตือน (Notifications) แทนการควักสมาร์ทโฟนออกจากกระเป๋ากางเกง เป็นนาฬิกา เป็นเครื่องมือวัดการออกกำลังกาย หรือถ้าจะให้เพิ่มอีกนิดนึงก็คือ การรับสาย-โทรออก และด้วยการที่อุปกรณ์สวมใส่มันผูกติดกับข้อมือจึงมีบางคนนำมาเทียบกับนาฬิกาไฮโซเรือนแสน ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงมันไม่อาจนำมาเทียบกันได้ โดยเฉพาะในแง่ของคุณค่า รสนิยม รวมถึงการใช้เป็นบัตรผ่านในการเข้าสังคมของผู้สวมใส่เอง

ที่ผ่านมาอุปกรณ์สวมใส่ ค่อนข้างถูกจำกัดวงในการใช้งานอย่างมาก เพราะเมื่อดูความสามารถจริงๆ แล้ว สิ่งที่พอจะเรียกว่า เป็น Killing Feature ของบรรดาอุปกรณ์สวมใส่ น่าจะเป็นพวกฟังก์ชันเกี่ยวกับการออกกำลังกาย ในฐานะที่ออกกำลังกายมาบ้าง ผมคิดว่า พวกนักกีฬาหรือคนที่ชอบการออกกำลังกายนั้น ต่างก็ต้องการทราบสถิติเกี่ยวกับตัวเองบางอย่าง เพราะด้วยสถิติเหล่านั้นสามารถนำมาเป็นข้อมูลสำหรับการพัฒนาขีดความสามารถของตัวเองได้ ยกตัวอย่างเช่นนักฟุตบอลในสนาม ตำแหน่งมิดฟิลด์ ต่างก็ต้องการทราบว่า ในแมตช์หนึ่งๆ พวกเขาได้เคลื่อนไหวอย่างไร อัตราการเร่งสปีด สปีด การวิ่งโดยรวมทำได้กี่กิโลเมตร หรือจำนวนการผ่านบอลเป็นอย่างไร เหล่านี้ถ้าถูกนำไปผนวกกับอุปกรณ์สวมใส่ก็จะเป็นเรื่องที่น่าสนใจ 

จากตัวอย่างที่ยกมา ทำให้นึกไม่ออกจริงๆ นะครับว่า ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับด้านการออกกำลังกายแล้ว ยังมีเหตุผลใดที่พอจะชวนเชื่อได้ว่า อุปกรณ์สวมใส่มีความจำเป็น

Android-Wear3

อย่างไรก็ตามถ้าเรามองในปริบทไม่ว่า อุปกรณ์สวมใส่จะเป็นเทรนด์ในเวลานี้หรือไม่ในอนาคตอันใกล้ก็ตามที คำถามคือ แล้วอุปกรณ์สวมใส่จะเป็นอย่างอื่นไปได้ไหมนอกเหนือจากอุปกรณ์สวมใส่บนข้อมือ?

ผมก็คิดนะครับว่าเป็นไปได้อย่างแน่นอน เพราะด้วยกระบวนการความคิด และความฉลาดของมนุษย์มีอย่างไม่จำกัด คงไม่มีใครที่จะพัฒนาเพียงแค่จุดๆ เดียว แต่จะต้องเป็นการต่อยอดออกไปเรื่อยๆ ซึ่งหมายความว่า อุปกรณ์สวมใส่จะถูกพัฒนาเป็นอย่างอื่น เช่น เสื้อ รองเท้า หมวก กางเกง หรือแม้แต่เข็มขัดแน่ๆ 

ralph-lauren-polo-tech-1

อันที่จริงอุปกรณ์สวมใส่ที่นอกเหนือจากข้อมือ มีให้เห็นมาบ้างแล้วเหมือนกันในปีที่ผ่านมา เช่น Polo Tech Smartshirt  ของค่าย  Ralph Lauren ก็ออกมานำร่องใช้งานตั้งแต่ช่วงเทนนิสแกรนด์สแลม US Open เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยความสามารถของเสื้อสุดไฮเทคนี้ก็จะคล้ายๆ กับที่ผมยกตัวอย่างไป เช่น การฝังเซ็นเซอร์ไว้ในเสื้อสำหรับการตรวจวัดสุขภาพ อย่างการเต้นของหัวใจ การหายใจ การเผาผลาญแคลอรี การเคลื่อนไหวของร่างกาย การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ และส่งข้อมูลเข้าแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ทำให้โค้ชหรือเทรนเนอร์ทราบข้อมูลดังกล่าวของนักกีฬา 

ตรงนี้ต้องบอกว่า ตัดประเด็นเรื่องแม่น/ไม่แม่นออกไปก่อน ถ้าให้ผมเดาก็คงค่อนข้างเที่ยงตรงระดับหนึ่ง เพราะพวกเซ็นเซอร์นี้มันอยู่ติดแนบชิดกับร่างกาย

ทั้งนี้เชิร์ตสวมใส่ของ Rapph Lauren ก็เป็นเพียงอุปกรณ์นำร่องเท่านั้น แต่แม้จะเป็นเพียงอุปกรณ์นำร่อง แต่เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นลึกๆ ว่า ในอนาคตเราจะได้เห็นอะไรที่แปลกใหม่ขึ้น และภายใต้ความแปลกใหม่ที่ว่า ก็ยังเกิดคำถามเดิมโพล่พรวดขึ้นมาสุดท้ายแล้วพวกอุปกรณ์สวมใส่ก็จะยังเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็น จำกัดวงเฉพาะนักกีฬารึเปล่า? หรือในอีกทางหนึ่งที่เป็นไปได้คือ เป็นอุปกรณ์ที่ดังแว่บเดียวแล้วดับไป 

อย่างไรก็ดีอุปกรณ์สวมใส่ประเภทอื่นๆ ที่ไม่ใช่นาฬิกา ซึ่งรวมหมายถึงเสื้อเชิร์ตที่บอกไปเมื่อครู่ ยังคงมีข้อจำกัดบางอย่างที่ใหญ่มากๆ คือ อุปกรณ์เหล่านี้ ยังต้องผ่านกระบวนการทำความสะอาด นั่นหมายความว่า อัตราหรือขีดความสามารถในการทนต่อแรงซัก หรือการสัมผัสกับน้ำ ความชื้น มันมีขอบเขตในการดูแลเพื่อคงสภาพของอุปกรณ์ไฮเทคพวกนี้ได้มากสักเพียงไหน ไปจนถึงราคาที่ในปกติแล้ว สินค้าเครื่องกีฬาก็จัดเป็นสินค้าที่มีราคา ‘ไม่ถูก’ อยู่แล้ว ยิ่งนำเทคโนโลยีเข้ามาย่อมการันตีถึงราคาค่างวดที่จะถูกอัปสูงขึ้น ในที่สุดแล้วเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า อุปกรณ์สวมใส่หรือ Wearable Device อาจเป็นอุปกรณ์ที่ complimentary ให้กับแบรนด์ผู้ผลิต และอาจไม่ได้จำเป็นต้องบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้มีสถานะเป็นนักกีฬา

from:http://mobiledista.com/next-step-in-wearable-devices/

Samsung Gear S Review: อุปกรณ์เสริมออกกำลังกาย

Samsung Gear S Review: อุปกรณ์เสริมออกกำลังกาย

ซัมซุงเป็นอีกแบรนด์หนึ่งที่พยายามออกอุปกรณ์สวมใส่หรือ Wearable Device ออกมาต่อเนื่อง ซึ่งรุ่นที่ออกมาก่อนหน้านี้ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก หากเทียบกับ Samsung Gear S

ทำไม Samsung Gear S จึงแตกต่างกว่ารุ่นที่ผ่านมา ?

นั่นเป็นเพราะว่า Samsung Gear S เป็นรุ่นแรกที่มาพร้อมกับการดีไซน์ที่แตกต่างออกไปจากเดิมพอสมควร กอปรกับการรองรับ data sim เพื่อมุ่งสู่การเป็น Wearable Device ที่สามารถคอนเน็ตสู่อินเทอร์เน็ตได้ ทำให้ Samsung Gear S กลายเป็นอุปกรณ์ที่ standalone ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว

การออกแบบ

Samsung Gear S Review: อุปกรณ์เสริมออกกำลังกาย
Samsung Gear S Review: อุปกรณ์เสริมออกกำลังกาย
Samsung Gear S Review: อุปกรณ์เสริมออกกำลังกาย

ผมค่อนข้างมึนงง (Stun) กับการออกแบบ Gear S ไม่น้อยครับ คือ รูปลักษณ์หน้าตามันดูชวนพิลึกว่า ตกลงแล้ว Gear S จะเป็นนาฬิกา หรือกำไล ด้วยการดีไซน์หน้าตาหน้าปัดที่ใหญ่บิ๊กเบิ้ม  จนน่าจะเรียกว่ามันเป็นกำไลได้อย่างไม่เคอะเขิน แต่ในการดีไซน์ตรงนี้ทำให้เราเข้าใจได้ว่า ซัมซุงสามารถผลิตหน้าจอแบบโค้งได้ และนำมาอวดให้ได้เห็นใน Gear S นั่นเอง

เรื่องหน้าจอเราคงไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะซัมซุงค่อนข้างขึ้นชื่อเรื่องการผลิตหน้าจออยู่แล้ว ซึ่งหน้าจอ OLED ใน Gear S นี้ถือว่า คมชัดพอตัว  สีสันสวยงาม แถมมีดีที่ใช้งานได้ทั้งในเวลากลางวันและเวลากลางคืน

สายรัดข้อมือ ใน Gear S จะมาพร้อมกับสายยาง โดยรุ่นที่ผมสวมใส่อยู่นี้เป็นสีขาว ซึ่งการทำความสะอาดก็ไม่ยากครับ พวก ขัดออกได้สบาย เช่นเดียวกันถ้าหากสายสีขาวมันสกปรกง่ายไป ก็สามารถถอดเปลี่ยนสายได้ อีกเรื่องหนึ่งที่ผมค่อนข้างโอเคก็คือ Gear S มาพร้อมกับมาตรฐาน IP67 ทำให้อย่างน้อยๆ มันกันละอองน้ำได้

อย่างไรก็ดีผมคิดว่า Gear S ในรุ่นที่ผมทดสอบ มีปัญหาในการดีไซน์อย่างหนึ่งซึ่งผมสัมผัสมันได้จาก Gear S ก็คือ การสวมใส่ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะตรงแป๊กเหมือนว่าจะทำร่องมาไม่ตรง ขณะเดียวกันผมก็ไม่มั่นใจว่า ด้วยขนาดหน้าปัดที่ใหญ่จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการเป็นรอยขีดข่วนจากการสวมใส่ที่เลินเล่อเป็นครั้งคราวหรือไม่

สเปก Gear S

  • ชิปดูอัลคอร์
  • หน้าจอ 2 นิ้ว 480×360 พิกเซล
  • หน่วยความจำ 4GB
  • แรม 512MB
  • แบตเตอรี 300 mAh
  • รองรับ gyroscope  มีเข็มทิศ S Health การเต้นหัวใจ และวัดรังสี UV
  • รองรับซิมการ์ด

Gear S ทำอะไรได้บ้าง ?

ติดตั้งแอปพลิเคชัน: 

Gear S สามารถติดตั้งแอปพลิเคชันเพิ่มได้ครับ ผ่าน Gear Manager ซึ่งจะทำให้ความสามารถของ Gear S หลากหลายขึ้น แต่จะว่าไปแล้วแอปพลิเคชันใน Gear ค่อนข้างเฉพาะทางทำให้ความหลากหลายของ Gear S ไม่อาจจะเรียกว่าเป็นความหลากหลายได้เต็มปาก เพราะยังไม่มีแอปดังๆ มาลงใน Gear S ให้ใช้งานสักเท่าไร ซึ่งหนึ่งในคำตอบก็คือ Gear S รันด้วย Tizen นั่นเอง

พิมพ์ได้: 

แม้ว่าจะถูกออกแบบมาให้สามารถพิมพ์ได้บนหน้าจอ แต่ผมคิดว่า หน้าจอที่มีขนาดเล็ก คงไม่อาจเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการพิมพ์เท่าไร จึงทำให้ฟังก์ชันการใช้งานนี้ไม่ค่อยจะคุ้มค่ามากนัก ขณะเดียวกัน Gear S มาพร้อมกับความสามารถในการสั่งการด้วยเสียง แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์มากนัก

ระบบสุขภาพ:

ผมคงต้องบอกก่อนนะครับว่า ระบบสุขภาพที่ว่านี้หมายรวมถึง S Health และ Nike Running จากการทดลองการใช้งานด้วย Gear S ผ่านการวิ่งบนถนน สิ่งที่ผมมีปัญหานิดหน่อย ตรงที่ว่าข้อมือของผมนั้น ค่อนข้างเล็ก ถ้าหากเป็นคนที่มีข้อมือค่อนข้างใหญ่ก็คงใส่วิ่งได้พอดิบพอดี ซึ่งผมคิดว่า พวกแอป S Health หรือ Running ใช้รวมกันกับพวกอุปกรณ์ Wearable Device ค่อนข้างดี เพราะมันสะดวกกว่าการเปิดแอปออกกำลังกายผ่านสมาร์ทโฟน 

Galaxy Gear S จำเป็นไหม ?

Samsung Gear S Review: อุปกรณ์เสริมออกกำลังกาย

นอกเหนือจากการใช้งานด้านการออกกำลังกาย ผมแทบยังไม่เห็นความจำเป็นในการใช้งานสักเท่าไหร่ เพราะด้วยขีดการใช้งานของ Gear S ยังค่อนข้างจำกัด ทั้งจากแอปพลิเคชันและตัว Gear S เอง ซึ่งผมคิดว่า Gear S ยังคงไม่อาจไปเทียบกับนาฬิกาได้ ตรงนี้อาจเป็นเพราะรูปลักษณ์ที่ยังไม่สวยเท่า แถมยังมีลักษณะหน้าจอ/หน้าปัดที่ค่อนข้างใหญ่ ทำให้ดูแล้วมันคล้ายกำไลมากกว่านาฬิกา และเมื่อนำมาเทียบกับนาฬิกาแล้ว ความสามารถของ Gear S ก็ยังไม่ฉีกหนีหรือมี Killing Feature ให้ชวนใช้งานมากนัก 

แบตเตอรี

ค่อนข้างน่าสนใจครับ แบตเตอรีของ Gear S จากการใช้งานในระยะประมาณหนึ่ง ผมคิดว่า มันค่อนข้างอึดในระดับที่น่าสนใจเลยทีเดียว อย่างไรก็ดีผมคงต้องเน้นย้ำว่า การที่จะทำให้แบตเตอรีของ Gear S อึดได้นั้น เราจำเป็นต้องปิดการแจ้งเตือนบางอย่างออก ให้เหลือเฉพาะเท่าที่จำเป็นจะช่วยยืดการใช้งานได้จริงๆ เช่น ตัดการแจ้งเตือนของ LINE ออกเป็นต้น 

โดยภาพรวมแบตเตอรีของ Gear S จะอยู่ได้ราวๆ วันครึ่งเกือบๆ สองวัน ส่วนการชาร์จก็ใช้เวลาไม่นานนัก

บทสรุป

เราไม่อาจคาดเดาได้ว่า กระแส Wearable Device จะยังคงอยู่ได้อีกนานแค่ไหน แม้ว่าจะผ่านการใช้งานอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยมาหลายรุ่นแล้ว แต่ก็ยังมีคำถามมากมายที่ถูกถาโถมเข้ามา ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Wearable Device มีความจำเป็นต่อชีวิตยังไง ในเมื่อมันยังไม่ได้เข้ามาเพิ่มความสะดวกให้แก่ชีวิตชวนให้รู้สึกจำเป็นสักเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับการปฏิวัติจากฟีเจอร์โฟนสู่สมาร์ทโฟน 

ถึงกระนั้นถ้าพูดถึงเฉพาะในแง่ Gear S เท่านั้น ประโยชน์จริงๆ ของรุ่นนี้อยู่ที่การนำไปผนวกใช้กับการออกกำลังกาย เช่น การวิ่ง การเดิน ซึ่งนำไปใช้ได้จริง นอกเหนือจากนี้แล้ว ตัว Gear S ยังรองรับการโทรเข้า-รับสาย เพราะตัวมันเองมีพื้นที่ให้เราใส่ซิมการ์ด ทำให้บางครั้งบางคราวอาจไม่จำเป็นต้องพกโทรศัพท์ติดตัวออกจากบ้าน 

ส่วนข้อเสียของรุ่นนี้ ผมมองว่าอยู่ที่ขนาดที่ค่อนข้างใหญ่จนเกินพอดีทำให้การสวมใส่จะไม่ fit (พอดี) กับข้อมือของคนทุกประเภท ถ้าผู้สวมใส่เป็นคนที่มีข้อมือเล็กจะเกิดอาการหลวมโพรกให้เห็นทันทีครับ

from:http://mobiledista.com/samsung-gear-s-review/

Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา

Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา

ปฏิเสธไม่ได้และยากที่จะปฏิเสธเหลือเกินว่า Galaxy Note 4 เป็นสมาร์ทโฟนที่มีจุดเด่นเหนือกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นที่มีอยู่ในท้องตลาด ไม่ใช่ว่า Note 4 บางกว่า หน้าจอคมที่สุด แต่เป็นเรื่องของสไตลัส

ผมมีโอกาสสัมผัสตระกูล Galaxy Note มาตั้งแต่รุ่นแรก ก่อนหน้าที่จะมาถึง Galaxy Note 4 ในความเห็นผมคิดว่า Galaxy Note 2 เป็นสมาร์ทโฟนตระกูล Note ที่ลงตัวที่สุด แต่เมื่อมาถึง Note 4 มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเปลี่ยนความคิดนี้เสียแล้ว ด้วยความลงตัวในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นในแง่การดีไซน์ที่ทำได้ดีขึ้น สวยขึ้น ดูน่าใช้ขึ้น ไปจนถึงคุณสมบัติอันเป็นเอกลักษณ์เช่น สไตลัส ที่มีฟังก์ชันใหม่ให้น่าลองใช้งานเยอะขึ้น ไปจนถึงการรองรับการเขียนที่เริ่มเข้าใกล้กับการเขียนบนกระดาษด้วยปากกาหรือดินสอ

แต่กว่าจะมาถึง Galaxy Note 4 ได้ อย่างแรกคงต้องขอบคุณภาษาดีไซน์อันเป็นรุ่นต้นแบบอย่าง Galaxy Alpha ก่อน จนทำให้เราได้มีโอกาสได้เห็น Note 4 ในแบบที่น่าใช้มากขึ้น อันที่จริงไม่ได้มีแค่ผมมองคนเดียวหรอกนะครับว่า Galaxy Note 4 น่าสนใจกว่าเดิม เพราะยังมีเสียงของผู้บริโภคที่อยู่ทางบ้านก็เห็นด้วยในแนวความคิดนี้ไม่น้อย โดยเสียงที่ว่านั้นมาจากเมื่อครั้งตอนเทปแรกของรายการ Hello Test EP1 ซึ่งผมรับผิดชอบอยู่ ลองดูในคลิปรายการ Hello Test ได้ครับ

ในความต่างที่เปลี่ยนไปของ Galaxy Note 4 ที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมาหยุดนิ่งในขนาด 5.7 นิ้ว ซึ่งเป็นขนาดที่ผมคิดว่า ค่อนข้างใหญ่ไม่น้อย แต่โดยภาพรวมนี่ยังเป็นสมาร์ทโฟนเฉียด 6 นิ้วที่ยังใช้งานได้ค่อนข้างคล่องมือเลยทีเดียว อาจด้วยการดีไซน์ที่เน้นทรงสูง และขยายตัวเครื่องออกด้านข้างเพียงเล็กน้อย จึงไม่ทำให้ Note 4 ไม่ได้มีตัวเครื่องขนาดใหญ่น่ากลัว กระทั่งเกิดความรู้สึกไม่อยากใช้ นับว่าเป็นสิ่งน่าสนใจไม่น้อย

Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา
Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา
Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา
Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา
Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา

ในแง่การดีไซน์ โดยเฉพาะรอบตัวเครื่องด้วย เพราะนี่น่าจะเป็นครั้งแรกๆ กระมังที่เราได้พบเห็นความหรูหรา น่าใช้ ในสไตล์ซัมซุง ความโดดเด่นของการดีไซน์อยู่ที่การนำเมทัลมาเป็นเฟรม กอปรกับความบางของตัวเครื่องที่แม้ยังบางแต่ยังจับตัวเครื่องได้กระชับ เพียงแต่ว่าผมไม่แน่ใจมากนักว่า เมื่อใช้งานไปสักระยะหนึ่งเมทัลเฟรมทีว่านี้ จะมีโอกาสถลอกลอกเป็นแผ่นหรือไม่ อันนี้คงต้องให้เวลาเป็นคำตอบครับ

อย่างไรก็ตามในการดีไซน์ของ Galaxy Note 4 ยังมีสิ่งหนึ่งซึ่งผมยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่า ในแฟลกชิปรุ่นก่อน เมื่อต้นปีอย่าง Galaxy S5 ซัมซุงเปิดศักราชใหม่ด้วยการนำ water-dust resistant  เข้ามาใช้ แต่แฟลกชิปในช่วงปลายปีอย่างตระกูล Note กลับไม่ได้มาพร้อมกับความสามารถนี้ติดมากับการดีไซน์ของตัวเครื่องด้วย

Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา

ในส่วนอื่นๆ ที่ผมคิดว่า โอเคขึ้นก็คือ ช่องเก็บ/ใส่ S Pen ถอดออกมาง่าย เก็บง่าย แต่ยืนยันได้ว่า S Pen จะไม่หลุดระหว่างการใช้งานได้ง่ายๆ เว้นแต่ว่าจะถูกเกี่ยวด้วยวัตถุอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ส่วนฝาหลังของเครื่องที่เป็นหนังเทียมนั้น ผมคิดว่า ทำได้ดีขึ้นกว่า Note 3 ตรงที่มันลดความกระด้างในการสัมผัสลงไปพอสมควร และดูเหมือนว่า ฝาหลังหนังเทียม Note 4 จะมีความหยุ่นขึ้นเล็กน้อย

โดยภาพรวม Galaxy Note 4 ค่อนข้างสอบผ่านในแง่การดีไซน์ที่ทำให้ผู้ใช้น่าจะพึงพอใจในระดับที่ดี

สเปกเครื่องโดยคร่าว

  • หน้าจอ 5.7 นิ้ว (2560 x 1440 พิกเซล)
  • ชิปประมวลผล Exynos 5433 Quad-core 1.3 GHz Cortex-A53 & 1.9GHz quad-core Cortex-A57
  • RAM 3GB
  • แอนดรอยด์ 4.4 KitKat
  • หน่วยความจำ 32GB
  • กล้องหน้า 3.7 ล้านพิกเซล กล้องหลัง 16 ล้านพิกเซล
  • แบตเตอรี  3,220 mAh

สเปกอย่างละเอียดอ่านต่อได้ที่ Spec Galaxy Note 4 by Mobiledista

สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาใน Galaxy Note 4

หน้าจอแสดงผล (Display)

ดูเหมือนว่า เทรนด์สมาร์ทโฟนหน้าจอความละเอียด Full HD เริ่มเป็นเรื่องที่ล้าสมัยไปเสียแล้ว เนื่องจากว่าในปี 2014 อันเป็นปีที่เราได้เห็นความละเอียดหน้าจอสมาร์ทโฟนในระดับที่คมชัดขึ้น ซึ่ง Note 4 ไม่ตกเทรนด์ที่ว่า เพราะมาพร้อมกับหน้าจอความละเอียด 1440 x 256 พิกเซล ในแง่ของการมองเห็นด้วยตาหน้าจอ Note 4 คมจริง ชัดจริง ยิ่งเวลาดูผ่านคลิปวิดีโอความละเอียดสูงๆ หรือไฟล์ภาพคมๆ ยอมรับว่า หน้าจอไม่ธรรมดาจริงๆ ซึ่งนั่นคือข้อดีนะครับ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นข้อเสียเช่นกัน

ในความเห็นส่วนตัวคิดว่า ด้วยความละเอียดหน้าจอที่สูงละเอียดยิบเช่นนี้ จำเป็นที่จะต้องดึงพลังงานแบตเตอรีใช้งานในจำนวนที่ไม่น้อยเลย ส่งผลให้การประมวลผลระหว่างแบตเตอรีกับหน้าจอของ Note 4 ยังไม่มีความสมดุลที่ดีพอ จึงทำให้แบตเตอรีของ Note 4 เดรนเร็วกว่าที่คิด จนทำให้ผมคิดว่าแบตเตอรีของ Note 4 ยังไม่อึดเท่าที่ควรนั่นเอง อีกเหตุผลหนึ่งที่ต้องไม่ลืมว่า Galaxy Note 4 เป็นสมาร์ทโฟนขนาดเกือบ 6 นิ้ว ดังนั้นมันเลยเป็นแรงบวกที่ทำให้ผมคิดว่า แบตเตอรีของ Note 4 ยังไม่อึดเท่าที่คิด (หรือเท่าที่ผมต้องการ)

สไตลัส (S Pen)

Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา

 

Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา
Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา
Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา

อาจนับเป็นความโชคดีก็ได้นะครับที่ผมมีโอกาสได้ใช้งานตั้งแต่ Galaxy Note 1 มาจนถึง Galaxy Note 4 รุ่นล่าสุดนี้ ความแตกต่างที่เห็นเด่นชัดขึ้นนั่นคือ สิ่งที่เรียกว่า พัฒนาการ โดยพัฒนาการที่ว่านี้ คือ พัฒนาการของสไตตัสหรือ S Pen นั่นเอง จากประสบการณ์ในการใช้งานการเขียนผ่านสไตลัสมันช่างเป็นอะไรที่ใกล้เคียงกับการเขียนบนกระดาษด้วยปากกาหรือดินสอจริงๆ ทั้งการตอบสนอง ความฉับไหว ความลื่นไหล น้ำหนักในการเขียน ลายเส้น มันเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากๆ ราวกับว่า เราได้มีอิสระในการขีดเขียนที่มาจากความคิดในสมองได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องคำนึงถึงหน้ากระดาษ เพราะนี่คือหน้ากระดาษดิจิตอลที่ไม่มีขีดจำกัด และความน่าสนใจของ S Pen และ Galaxy Note 4 ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่การเขียนเท่านั้น แต่ยังตอบสนองในด้านการวาดได้อย่างเต็มที่ จนทำให้รู้สึกได้ว่า Galaxy Note 4 คืออาวุธคู่กายของศิลปินหรือคนที่ทำงานด้านศิลปะเลยทีเดียว

Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา
Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา
Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา
Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา
Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา
Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา

ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งนั่นคือ ฟังก์ชันเสริมที่เพิ่มเข้าในการเขียนผ่าน S Pen ทั้ง Action Memo, Smart Select, Image Clip รวมไปถึง Smart Screen เหล่านี้สามารถนำมาใช้ในรูปแบบงานที่หลากหลาย เช่น หากต้องการจดโน้ตแบบเร่งด่วนก็ทำได้ ผ่าน Action memo หรือจะเป็นการเลือกสิ่งที่อยู่บนหน้าจอแล้วเก็บลงใน My Scrapbook ผ่านฟังก์ชัน Smart Select หรือการเลือกคอนเทนต์ในลักษณะที่เป็นรูปทรงผ่าน Image Clip ส่วนฟังก์ชันที่ผมใช้งานบ่อยที่สุดเห็นทีจะเป็น Smart Screen เพราะสามารถเอาไปประยุกต์ในเหตุการณ์สมมติ เช่น ผมชอบอ่านหนังสือผ่าน eBook แล้วบังเอิญเจอนักเขียนคนนั้นพอดี เราก็สามารถใช้ Smart Screen จับหน้าจอแอป eBook แล้วให้นักเขียนเซ็นได้เลยเป็นต้น

นอกจากนี้แล้ว S Pen ยังมีความสามารถเช่นการแปลงข้อความ text เป็น digital ได้ด้วย

สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Sensor)

เมื่อครั้งรีวิว Galaxy S5 ผมรู้สึกว่า การสแกนลายนิ้วมือเพื่อเข้าสู่ตัวเครื่องของแฟลกชิปต้นปีรุ่นนั้นมันเป็นอะไรที่ยากลำบาก เพราะยังขาดความแม่นยำ และการจับลายนิ้วมือที่ค่อนข้างช้า แต่ใน Galaxy Note 4 ผมคิดว่า มันทำได้ดีขึ้น แม่นขึ้น และว่องไวขึ้นมาก จนทำให้ผมต้องเปลี่ยน Security Method ในการเข้าสู่ตัวเครื่องจากเดิมที่เป็นการใส่พิน (PIN) หรือรหัสผ่าน (Password) มาเป็นการใช้การสแกนลายนิ้วมือแบบเต็มตัว เพราะโอเคกับการว่องไวในการตอบสนองนั่นเอง

อย่างไรก็ดี แม้ว่าผมจะชอบการสแกนลายนิ้วมือของ Galaxy Note 4 ก็จริง แต่ Process ที่ต้องรูดนิ้วลงมันรู้สึกไม่สะดวกมากนักเมื่อเทียบกับ iPhone 5S หรือ iPhone 6 ที่ใช้การแตะที่นิ้วเพียงอย่างเดียว

Interface and Software

Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา
Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา
Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา
Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา
Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา

ในมุมอินเตอร์เฟส ถ้าให้เทียบกันระหว่าง Galaxy Note 4 และ Galaxy S5 ความแตกต่างของสองรุ่น ผมคิดว่าไม่มีความแตกต่างแบบเห็นได้ชัด แต่ถ้าสายตาผมไม่ผิดพลาดก็คือ Note 4 จะเน้นความแบนราบมากกว่า และสีของอินเตอร์เฟสจะสดใสกว่า แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังอยู่ภายใต้ TouchWiz UI เหมือนเดิมครับ

อย่างไรก็ตามผมยังคิดว่า TouchWiz บางส่วนเวลาใช้งานก็ชวนให้เกิดอาการ annoy บ้างเป็นบางครั้ง

ลูกเล่นประจำตัว Galaxy Note 4

selfie:

เวลานี้การถ่ายภาพของคนทุกคนบนโลกหมุนเวียนด้วยการถ่ายแบบ Selfie ซึ่งใน Galaxy Note 4 มีฟังก์ชัน Selfie ที่น่าสนใจให้มาถึงสองรูปแบบด้วยกัน ก็คือ

แตะจากเซ็นเซอร์ด้านหลัง: อันนี้เป็นวิธีการ Selfie ที่ให้นิ้วเราแตะไปที่เซ็นเซอร์ Heart Rate มันก็จะถ่าย Selfie ให้เราครับ

Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา

อีกวิธีเรียกว่า Wide Selfie ซึ่งเรียกจากกล้องหน้าในส่วนของ Mode ครับ

แอปพลิเคชัน S Note:

Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา

ภายในแอปนี้จัดว่ามีลูกเล่นน่าสนใจเยอะแยะครับ โดยหลักแล้วจะอยู่ที่การเขียนโน้ต ซึ่งจะมีหลากหลายรูปแบบเพราะภายในนี้จะมีสิ่งที่เรียกว่า template เข้ามาให้ Template มีประโยชน์มากๆ สำหรับการเขียนโน้ตที่จะเป็นไปตามรูปแบบที่ต้องการเช่น ถ้าผมต้องการรีวิวภาพยนตร์ S Note จะมี template ที่ชื่อว่า Movie Review หรือถ้าชอบท่องเที่ยวก็จะมี Travel Note เป็นต้น

Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา

ขณะเดียวกันภายใน S Note ก็จะมีอีกฟังก์ชันที่เรียกว่า Photo Note ซึ่งฟังก์ชันนี้จะเป็นฟังก์ชันที่ทำให้เราสามารถถ่ายภาพออกมาเป็นโน้ตได้ หรือจะเป็นการสแกนเนื้อหาในหนังสือจาก analog เป็น digital ก็สามารถทำได้ (ให้สังเกตที่วงกลมสีส้มครับ)

Seamless Multitasking:

Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา

กับความสามารถที่หลากหลายมากขึ้นในการใช้งานแบบ multitasking ในรูปแบบฟรีฟอร์มให้มีขนาดเล็กใหญ่แค่ไหนก็ได้ อีกทั้งยังรองรับกับหลายๆ แอปที่ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นแอปที่พัฒนาจากซัมซุงเพียงอย่างเดียว

กล้อง

กล้องของ Samsung Galaxy Note 4 พัฒนาขึ้นมาทิ้งห่างจากทั้ง Galaxy Note 3 และ Galaxy S5 ครับ ตัวกล้องหลักนั้นใช้ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล และเพิ่มระบบกันสั่น OIS (Optical Image Stabilization) ตามสมัยนิยม และภาพที่ได้จาก Samsung Galaxy Note 4 นั้นมีคุณภาพที่ดีกว่ารุ่นเดิมมากๆ นอกจากนี้ยังถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยได้ดีอีกด้วย เรียกได้ว่าดีที่สุดในสมาร์ทโฟนของ Samsung เลยก็ว่าได้ครับ นอกจากนี้ Galaxy Note 4 ยังปรับปรุงในเรื่องของ HDR ที่ประมวลผลการถ่ายภาพ HDR ได้รวดเร็ว ไม่ต้องรอโหลดแบบรุ่นเดิมๆอีกแล้วด้วย ในส่วนของกล้องหน้าของ Galaxy Note 4 มีการปรับปรุงเพิ่มความละเอียดจากเดิมที่เคยใช้ที่ 2 ล้านพิกเซลให้กลายเป็น 3.7 ล้านพิกเซล ปรับค่ารูรับแสงเป็น F/1.9 ช่วยรับแสงได้มากกว่าเดิมถึง 60 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ไฮไลท์ของกล้องหน้าของ Galaxy Note 4 คือนอกจากจะมีบิวตี้โหมดโหมดหน้าสวยใสตามสมัยนิยมแล้ว ยังมีโหมด wide selfie ที่สามารถถ่ายเซลฟี่ในแบบ 120 องศาได้ด้วย ซึ่งทำให้สามารถเก็บใบหน้าของเพื่อนของเราแบบเป็นหมู่คณะได้อย่างสบายๆ และ Galaxy Note 4 ยังสามารถใช้เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจมาแทนชัตเตอร์ของการถ่ายเซลฟี่ได้ด้วยครับ

Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา
Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา
Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา
Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา
Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา
Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา
Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา
Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา
Galaxy Note 4 Review: อิสรภาพของการคิดและการเขียนบนปลายปากกา

หรือดูภาพเพิ่มเติมได้ที่ Note 4 Photos

แบตเตอรี

แม้ว่าประจุแบตเตอรีจะให้มาค่อนข้างเยอะก็จริง แต่ผมคิดว่าขนาดหน้าจอที่ค่อนข้างใหญ่ และความละเอียดหน้าจอที่ละเอียดมากๆ ก็มีผลต่อการใช้งานประจำวันอยู่ไม่น้อย เพราะในช่วงที่ใช้งาน Note 4 ช่วงนั้นผมใช้งานตัวเครื่องไม่หนักมากนัก Social Media แทบจะเปิดนับครั้งได้ ไปจนถึงการถ่ายภาพก็ไม่ได้ถ่ายบ่อยครั้ง มีเพียงแค่การเช็คอีเมล ตอบอีเมล ไปจนถึงการตระเวนหาร้านอาหารผ่านแอปแนะนำร้านอาหาร หรือการเรียกแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชันบริการแท็กซี่เท่านั้น แต่แบตค่อนข้างลดเยอะพอสมควร ซึ่งวันต่อมาผมได้ลบแอปพลิเคชันบางแอป ปรับความสว่างหน้าจอใกล้เคียงกับค่าต่ำสุด หรือจำกัดการใช้งานบางส่วนเช่น GPS ลง ซึ่งก็ช่วยให้แบตเตอรีอยู่นานขึ้นจนมีระยะเวลาการใช้งานได้ทั้งวันในที่สุด

บทสรุป

ตลอดเวลา 1 สัปดาห์กับการใช้งาน Galaxy Note 4 (ซึ่งจริงๆ มี Galaxy Gear S) ด้วย ผมคิดว่า นี่น่าจะเป็นสมาร์ทโฟนไม่กี่รุ่นในปี 2014 นี้ ที่ใช้งานแล้วรู้สึกดีมากๆ เพราะด้วยการดีไซน์ที่จับแล้วดูพรีเมียมขึ้น การใช้งานภายในก็ลื่นไหล พ่วงด้วยความสามารถอย่าง S Pen ที่มีอิสระในการขีด การเขียน การคิด ผ่านหน้ากระดาษดิจิตอลในแอปพลิเคชัน S Note หรือผ่านฟังก์ชันในปากกา S Pen เองก็ตาม รวมไปถึงความละเอียดหน้าจอที่คมชัดมากๆ อันเป็นการตอบสนองในแง่มัลติมีเดียที่ยอดเยี่ยม จึงทำให้ Galaxy Note 4 คือสมาร์ทโฟนสายแฟ็บเล็ต (Phablet) ที่สร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุด

ส่วนข้อเสียที่ไม่ชอบ มีแค่เรื่องแบตเตอรีกับจุดบอดในแง่ราคาเปิดหัวในช่วงแรกของการวางจำหน่ายที่ค่อนข้างสูงเอาเรื่องครับ

from:http://mobiledista.com/galaxy-note-4-review/

โปรเจ็ค Sesame กับความก้าวหน้าของสมาร์ทโฟนโดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ

โปรเจ็ค Sesame กับความก้าวหน้าของสมาร์ทโฟนโดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกวันนี้สมาร์ทโฟนเป็นอีกหนึ่งปัจจัยความสะดวกของผู้คนยุคใหม่ชนิดหลีกเลี่ยงไม่ได้ และไม่มีใครคิดหลีกเลี่ยง แต่ยังมีข้อสังเกตบางจุดที่เราต้องคำนึงอยู่บ้างว่า สมาร์ทโฟนยังมิได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานสำหรับทุกๆ คน

ในช่วงต้นของคลิปที่อยู่ด้านบน ได้มีการสัมภาษณ์ถึงบุคคลทั่วไปว่า ถ้าคุณต้องมีชีวิตอยู่ แต่ไม่มีสมาร์ทโฟนจะเป็นอย่างไร ซึ่งคนทั่วไปที่อยู่ในยุคสมาร์ทโฟนครองเมือง ล้วนแต่ตอบใกล้เคียงกันว่า คงไม่อาจทำได้ เพราะมันมีความจำเป็นต่อชีวิตและยากจะถอนตัวจากสมาร์ทโฟนไปเรียบร้อยเสียแล้ว

แต่เหมือนที่บอกไปผู้คนที่ให้สัมภาษณ์ในคลิปต่างเป็นบุคคลปกติ ที่มิได้มีความพิการส่วนหนึ่งส่วนใด จึงสามารถเข้าถึงและใช้งานสมาร์ทโฟนได้อย่างปกติ แต่คนที่ไม่ได้มีความสมบูรณ์ทางร่างกายคนเหล่านี้แทบจะไม่มีโอกาสเข้าถึงหรือใช้งานสมาร์ทโฟนได้เลย

กระทั่งได้เห็นโปรเจ็คระดมทุนชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นของชาวอิสราเอลสองคนใน Indiegogo มีชื่อว่า Sesami คอนเซปต์ของโปรเจ็คชิ้นนี้ผมว่าค่อนข้างน่าสนใจมากครับ เพราะจะเปิดโอกาสให้ผู้พิการ โดยเฉพาะมือ หรือคนเป็นอัมพาต สามารถใช้งานสมาร์ทโฟนได้เอง โดยมิจำเป็นต้องสัมผัสหน้าจอแต่ประการใด

โดยหลักการใช้งานมีลูกเล่นเพื่อปลดล็อกโดยพูดว่า Open Sesami จากนั้นก็เข้าสู่ระบบการทำงานภายใน ซึ่งจะมีซอฟต์แวร์สำหรับจับการเคลื่อนไหวของศีรษะ ผ่านกล้องหน้าของสมาร์ทโฟน ตรงนี้ให้ลองคิดว่าเหมือนกับกำลังมีเมาส์อยู่บนหน้าจอสมาร์ทโฟนเลยครับ ซึ่งเมาส์ที่อยู่บนหน้าจอนี้จะเป็นเคอร์เซอร์คอยรับคำสั่งซึ่งจะสั่งมาจากการเคลื่อนไหวด้วยคอนั่นเอง จึงทำให้ผู้ใช้งานสามารถที่จะใช้ Sesami เล่นเกมได้เลย ซึ่งในวิดีโอคลิปบอกชัดเจนว่า รองรับเกมดังๆ อย่าง Angry Birds หรือ Candy Crush สบายๆ

ส่วนอีกฟังก์ชันหนึ่งของ Sesami ก็คือ การสั่งการด้วยเสียงก็เป็นข้อดีครับ เพราะคนที่ไม่สามารถใช้มือในการสั่งการสมาร์ทโฟน ก็สามารถใช้คำสั่งเสียง เช่น การตั้งสเตตัสบน Facebook หรือคุยแชตผ่าน Whatsapp เป็นต้น

ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ โปรเจ็คระดมทุน Sesami มีเจ้าของโปรเจ็คสองคน คนหนึ่งเคยทำเกมที่ใช้การเคลื่อนไหว ส่วนผู้ก่อตั้งโปรเจ็คนี้อีกคนนึงเป็นผู้พิการเป็นอัมพาตต้องใช้ชีวิตบนรถเข็นนานนับสิบปี ถือว่าโปรเจ็คนี้เป็นโปรเจ็คเฉพาะทางที่เปิดโอกาสให้สมาร์ทโฟนได้ทำความสมาร์ทของมันจริงๆ ที่สุดอีกโปรเจ็คหนึ่งเลยครัย

และระหว่างที่เขียนบทความขนาดย่อนี้อยู่ โปรเจ็คนี้ยังต้องการเงินระดมทุนอีกจำนวนมาก เพราะโปรเจ็คนี้ตั้งงบประมาณก้อนแรกที่ 3 หมื่นเหรียญ แต่จนถึงตอนนี้ยังได้ไม่ถึงครึ่งเลย อย่างไรก็ดีโปรเจ็ค Sesami ยังพอมีเวลาเหลืออีกพอสมควรสำหรับการรอระดมทุนจากผู้มีกำลังทรัพย์ ซึ่งถ้าระดมทุนตอนนี้เป็นจำนวน 350 เหรียญก็รอรับ Sesami ได้ในมีนาคมปีหน้า

สำหรับผู้ที่สนใจโปรเจ็ค Sesami เข้าไประดมทุนได้ที่ indegogo (คลิกลิ๊งก์) ครับ

ที่มา: Indiegogo

from:http://mobiledista.com/sesame-touch-free-smartphone/