ปฏิเสธไม่ได้และยากที่จะปฏิเสธเหลือเกินว่า Galaxy Note 4 เป็นสมาร์ทโฟนที่มีจุดเด่นเหนือกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นที่มีอยู่ในท้องตลาด ไม่ใช่ว่า Note 4 บางกว่า หน้าจอคมที่สุด แต่เป็นเรื่องของสไตลัส
ผมมีโอกาสสัมผัสตระกูล Galaxy Note มาตั้งแต่รุ่นแรก ก่อนหน้าที่จะมาถึง Galaxy Note 4 ในความเห็นผมคิดว่า Galaxy Note 2 เป็นสมาร์ทโฟนตระกูล Note ที่ลงตัวที่สุด แต่เมื่อมาถึง Note 4 มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเปลี่ยนความคิดนี้เสียแล้ว ด้วยความลงตัวในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นในแง่การดีไซน์ที่ทำได้ดีขึ้น สวยขึ้น ดูน่าใช้ขึ้น ไปจนถึงคุณสมบัติอันเป็นเอกลักษณ์เช่น สไตลัส ที่มีฟังก์ชันใหม่ให้น่าลองใช้งานเยอะขึ้น ไปจนถึงการรองรับการเขียนที่เริ่มเข้าใกล้กับการเขียนบนกระดาษด้วยปากกาหรือดินสอ
แต่กว่าจะมาถึง Galaxy Note 4 ได้ อย่างแรกคงต้องขอบคุณภาษาดีไซน์อันเป็นรุ่นต้นแบบอย่าง Galaxy Alpha ก่อน จนทำให้เราได้มีโอกาสได้เห็น Note 4 ในแบบที่น่าใช้มากขึ้น อันที่จริงไม่ได้มีแค่ผมมองคนเดียวหรอกนะครับว่า Galaxy Note 4 น่าสนใจกว่าเดิม เพราะยังมีเสียงของผู้บริโภคที่อยู่ทางบ้านก็เห็นด้วยในแนวความคิดนี้ไม่น้อย โดยเสียงที่ว่านั้นมาจากเมื่อครั้งตอนเทปแรกของรายการ Hello Test EP1 ซึ่งผมรับผิดชอบอยู่ ลองดูในคลิปรายการ Hello Test ได้ครับ
VIDEO
ในความต่างที่เปลี่ยนไปของ Galaxy Note 4 ที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมาหยุดนิ่งในขนาด 5.7 นิ้ว ซึ่งเป็นขนาดที่ผมคิดว่า ค่อนข้างใหญ่ไม่น้อย แต่โดยภาพรวมนี่ยังเป็นสมาร์ทโฟนเฉียด 6 นิ้วที่ยังใช้งานได้ค่อนข้างคล่องมือเลยทีเดียว อาจด้วยการดีไซน์ที่เน้นทรงสูง และขยายตัวเครื่องออกด้านข้างเพียงเล็กน้อย จึงไม่ทำให้ Note 4 ไม่ได้มีตัวเครื่องขนาดใหญ่น่ากลัว กระทั่งเกิดความรู้สึกไม่อยากใช้ นับว่าเป็นสิ่งน่าสนใจไม่น้อย
ในแง่การดีไซน์ โดยเฉพาะรอบตัวเครื่องด้วย เพราะนี่น่าจะเป็นครั้งแรกๆ กระมังที่เราได้พบเห็นความหรูหรา น่าใช้ ในสไตล์ซัมซุง ความโดดเด่นของการดีไซน์อยู่ที่การนำเมทัลมาเป็นเฟรม กอปรกับความบางของตัวเครื่องที่แม้ยังบางแต่ยังจับตัวเครื่องได้กระชับ เพียงแต่ว่าผมไม่แน่ใจมากนักว่า เมื่อใช้งานไปสักระยะหนึ่งเมทัลเฟรมทีว่านี้ จะมีโอกาสถลอกลอกเป็นแผ่นหรือไม่ อันนี้คงต้องให้เวลาเป็นคำตอบครับ
อย่างไรก็ตามในการดีไซน์ของ Galaxy Note 4 ยังมีสิ่งหนึ่งซึ่งผมยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่า ในแฟลกชิปรุ่นก่อน เมื่อต้นปีอย่าง Galaxy S5 ซัมซุงเปิดศักราชใหม่ด้วยการนำ water-dust resistant เข้ามาใช้ แต่แฟลกชิปในช่วงปลายปีอย่างตระกูล Note กลับไม่ได้มาพร้อมกับความสามารถนี้ติดมากับการดีไซน์ของตัวเครื่องด้วย
ในส่วนอื่นๆ ที่ผมคิดว่า โอเคขึ้นก็คือ ช่องเก็บ/ใส่ S Pen ถอดออกมาง่าย เก็บง่าย แต่ยืนยันได้ว่า S Pen จะไม่หลุดระหว่างการใช้งานได้ง่ายๆ เว้นแต่ว่าจะถูกเกี่ยวด้วยวัตถุอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ส่วนฝาหลังของเครื่องที่เป็นหนังเทียมนั้น ผมคิดว่า ทำได้ดีขึ้นกว่า Note 3 ตรงที่มันลดความกระด้างในการสัมผัสลงไปพอสมควร และดูเหมือนว่า ฝาหลังหนังเทียม Note 4 จะมีความหยุ่นขึ้นเล็กน้อย
โดยภาพรวม Galaxy Note 4 ค่อนข้างสอบผ่านในแง่การดีไซน์ที่ทำให้ผู้ใช้น่าจะพึงพอใจในระดับที่ดี
สเปกเครื่องโดยคร่าว
หน้าจอ 5.7 นิ้ว (2560 x 1440 พิกเซล)
ชิปประมวลผล Exynos 5433 Quad-core 1.3 GHz Cortex-A53 & 1.9GHz quad-core Cortex-A57
RAM 3GB
แอนดรอยด์ 4.4 KitKat
หน่วยความจำ 32GB
กล้องหน้า 3.7 ล้านพิกเซล กล้องหลัง 16 ล้านพิกเซล
แบตเตอรี 3,220 mAh
สเปกอย่างละเอียดอ่านต่อได้ที่ Spec Galaxy Note 4 by Mobiledista
สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาใน Galaxy Note 4
หน้าจอแสดงผล (Display)
ดูเหมือนว่า เทรนด์สมาร์ทโฟนหน้าจอความละเอียด Full HD เริ่มเป็นเรื่องที่ล้าสมัยไปเสียแล้ว เนื่องจากว่าในปี 2014 อันเป็นปีที่เราได้เห็นความละเอียดหน้าจอสมาร์ทโฟนในระดับที่คมชัดขึ้น ซึ่ง Note 4 ไม่ตกเทรนด์ที่ว่า เพราะมาพร้อมกับหน้าจอความละเอียด 1440 x 256 พิกเซล ในแง่ของการมองเห็นด้วยตาหน้าจอ Note 4 คมจริง ชัดจริง ยิ่งเวลาดูผ่านคลิปวิดีโอความละเอียดสูงๆ หรือไฟล์ภาพคมๆ ยอมรับว่า หน้าจอไม่ธรรมดาจริงๆ ซึ่งนั่นคือข้อดีนะครับ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นข้อเสียเช่นกัน
ในความเห็นส่วนตัวคิดว่า ด้วยความละเอียดหน้าจอที่สูงละเอียดยิบเช่นนี้ จำเป็นที่จะต้องดึงพลังงานแบตเตอรีใช้งานในจำนวนที่ไม่น้อยเลย ส่งผลให้การประมวลผลระหว่างแบตเตอรีกับหน้าจอของ Note 4 ยังไม่มีความสมดุลที่ดีพอ จึงทำให้แบตเตอรีของ Note 4 เดรนเร็วกว่าที่คิด จนทำให้ผมคิดว่าแบตเตอรีของ Note 4 ยังไม่อึดเท่าที่ควรนั่นเอง อีกเหตุผลหนึ่งที่ต้องไม่ลืมว่า Galaxy Note 4 เป็นสมาร์ทโฟนขนาดเกือบ 6 นิ้ว ดังนั้นมันเลยเป็นแรงบวกที่ทำให้ผมคิดว่า แบตเตอรีของ Note 4 ยังไม่อึดเท่าที่คิด (หรือเท่าที่ผมต้องการ)
สไตลัส (S Pen)
อาจนับเป็นความโชคดีก็ได้นะครับที่ผมมีโอกาสได้ใช้งานตั้งแต่ Galaxy Note 1 มาจนถึง Galaxy Note 4 รุ่นล่าสุดนี้ ความแตกต่างที่เห็นเด่นชัดขึ้นนั่นคือ สิ่งที่เรียกว่า พัฒนาการ โดยพัฒนาการที่ว่านี้ คือ พัฒนาการของสไตตัสหรือ S Pen นั่นเอง จากประสบการณ์ในการใช้งานการเขียนผ่านสไตลัสมันช่างเป็นอะไรที่ใกล้เคียงกับการเขียนบนกระดาษด้วยปากกาหรือดินสอจริงๆ ทั้งการตอบสนอง ความฉับไหว ความลื่นไหล น้ำหนักในการเขียน ลายเส้น มันเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากๆ ราวกับว่า เราได้มีอิสระในการขีดเขียนที่มาจากความคิดในสมองได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องคำนึงถึงหน้ากระดาษ เพราะนี่คือหน้ากระดาษดิจิตอลที่ไม่มีขีดจำกัด และความน่าสนใจของ S Pen และ Galaxy Note 4 ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่การเขียนเท่านั้น แต่ยังตอบสนองในด้านการวาดได้อย่างเต็มที่ จนทำให้รู้สึกได้ว่า Galaxy Note 4 คืออาวุธคู่กายของศิลปินหรือคนที่ทำงานด้านศิลปะเลยทีเดียว
ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งนั่นคือ ฟังก์ชันเสริมที่เพิ่มเข้าในการเขียนผ่าน S Pen ทั้ง Action Memo, Smart Select, Image Clip รวมไปถึง Smart Screen เหล่านี้สามารถนำมาใช้ในรูปแบบงานที่หลากหลาย เช่น หากต้องการจดโน้ตแบบเร่งด่วนก็ทำได้ ผ่าน Action memo หรือจะเป็นการเลือกสิ่งที่อยู่บนหน้าจอแล้วเก็บลงใน My Scrapbook ผ่านฟังก์ชัน Smart Select หรือการเลือกคอนเทนต์ในลักษณะที่เป็นรูปทรงผ่าน Image Clip ส่วนฟังก์ชันที่ผมใช้งานบ่อยที่สุดเห็นทีจะเป็น Smart Screen เพราะสามารถเอาไปประยุกต์ในเหตุการณ์สมมติ เช่น ผมชอบอ่านหนังสือผ่าน eBook แล้วบังเอิญเจอนักเขียนคนนั้นพอดี เราก็สามารถใช้ Smart Screen จับหน้าจอแอป eBook แล้วให้นักเขียนเซ็นได้เลยเป็นต้น
นอกจากนี้แล้ว S Pen ยังมีความสามารถเช่นการแปลงข้อความ text เป็น digital ได้ด้วย
VIDEO
สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Sensor)
เมื่อครั้งรีวิว Galaxy S5 ผมรู้สึกว่า การสแกนลายนิ้วมือเพื่อเข้าสู่ตัวเครื่องของแฟลกชิปต้นปีรุ่นนั้นมันเป็นอะไรที่ยากลำบาก เพราะยังขาดความแม่นยำ และการจับลายนิ้วมือที่ค่อนข้างช้า แต่ใน Galaxy Note 4 ผมคิดว่า มันทำได้ดีขึ้น แม่นขึ้น และว่องไวขึ้นมาก จนทำให้ผมต้องเปลี่ยน Security Method ในการเข้าสู่ตัวเครื่องจากเดิมที่เป็นการใส่พิน (PIN) หรือรหัสผ่าน (Password) มาเป็นการใช้การสแกนลายนิ้วมือแบบเต็มตัว เพราะโอเคกับการว่องไวในการตอบสนองนั่นเอง
อย่างไรก็ดี แม้ว่าผมจะชอบการสแกนลายนิ้วมือของ Galaxy Note 4 ก็จริง แต่ Process ที่ต้องรูดนิ้วลงมันรู้สึกไม่สะดวกมากนักเมื่อเทียบกับ iPhone 5S หรือ iPhone 6 ที่ใช้การแตะที่นิ้วเพียงอย่างเดียว
Interface and Software
ในมุมอินเตอร์เฟส ถ้าให้เทียบกันระหว่าง Galaxy Note 4 และ Galaxy S5 ความแตกต่างของสองรุ่น ผมคิดว่าไม่มีความแตกต่างแบบเห็นได้ชัด แต่ถ้าสายตาผมไม่ผิดพลาดก็คือ Note 4 จะเน้นความแบนราบมากกว่า และสีของอินเตอร์เฟสจะสดใสกว่า แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังอยู่ภายใต้ TouchWiz UI เหมือนเดิมครับ
อย่างไรก็ตามผมยังคิดว่า TouchWiz บางส่วนเวลาใช้งานก็ชวนให้เกิดอาการ annoy บ้างเป็นบางครั้ง
ลูกเล่นประจำตัว Galaxy Note 4
selfie:
เวลานี้การถ่ายภาพของคนทุกคนบนโลกหมุนเวียนด้วยการถ่ายแบบ Selfie ซึ่งใน Galaxy Note 4 มีฟังก์ชัน Selfie ที่น่าสนใจให้มาถึงสองรูปแบบด้วยกัน ก็คือ
แตะจากเซ็นเซอร์ด้านหลัง: อันนี้เป็นวิธีการ Selfie ที่ให้นิ้วเราแตะไปที่เซ็นเซอร์ Heart Rate มันก็จะถ่าย Selfie ให้เราครับ
อีกวิธีเรียกว่า Wide Selfie ซึ่งเรียกจากกล้องหน้าในส่วนของ Mode ครับ
แอปพลิเคชัน S Note:
ภายในแอปนี้จัดว่ามีลูกเล่นน่าสนใจเยอะแยะครับ โดยหลักแล้วจะอยู่ที่การเขียนโน้ต ซึ่งจะมีหลากหลายรูปแบบเพราะภายในนี้จะมีสิ่งที่เรียกว่า template เข้ามาให้ Template มีประโยชน์มากๆ สำหรับการเขียนโน้ตที่จะเป็นไปตามรูปแบบที่ต้องการเช่น ถ้าผมต้องการรีวิวภาพยนตร์ S Note จะมี template ที่ชื่อว่า Movie Review หรือถ้าชอบท่องเที่ยวก็จะมี Travel Note เป็นต้น
ขณะเดียวกันภายใน S Note ก็จะมีอีกฟังก์ชันที่เรียกว่า Photo Note ซึ่งฟังก์ชันนี้จะเป็นฟังก์ชันที่ทำให้เราสามารถถ่ายภาพออกมาเป็นโน้ตได้ หรือจะเป็นการสแกนเนื้อหาในหนังสือจาก analog เป็น digital ก็สามารถทำได้ (ให้สังเกตที่วงกลมสีส้มครับ)
Seamless Multitasking:
กับความสามารถที่หลากหลายมากขึ้นในการใช้งานแบบ multitasking ในรูปแบบฟรีฟอร์มให้มีขนาดเล็กใหญ่แค่ไหนก็ได้ อีกทั้งยังรองรับกับหลายๆ แอปที่ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นแอปที่พัฒนาจากซัมซุงเพียงอย่างเดียว
กล้อง
กล้องของ Samsung Galaxy Note 4 พัฒนาขึ้นมาทิ้งห่างจากทั้ง Galaxy Note 3 และ Galaxy S5 ครับ ตัวกล้องหลักนั้นใช้ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล และเพิ่มระบบกันสั่น OIS (Optical Image Stabilization) ตามสมัยนิยม และภาพที่ได้จาก Samsung Galaxy Note 4 นั้นมีคุณภาพที่ดีกว่ารุ่นเดิมมากๆ นอกจากนี้ยังถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยได้ดีอีกด้วย เรียกได้ว่าดีที่สุดในสมาร์ทโฟนของ Samsung เลยก็ว่าได้ครับ นอกจากนี้ Galaxy Note 4 ยังปรับปรุงในเรื่องของ HDR ที่ประมวลผลการถ่ายภาพ HDR ได้รวดเร็ว ไม่ต้องรอโหลดแบบรุ่นเดิมๆอีกแล้วด้วย ในส่วนของกล้องหน้าของ Galaxy Note 4 มีการปรับปรุงเพิ่มความละเอียดจากเดิมที่เคยใช้ที่ 2 ล้านพิกเซลให้กลายเป็น 3.7 ล้านพิกเซล ปรับค่ารูรับแสงเป็น F/1.9 ช่วยรับแสงได้มากกว่าเดิมถึง 60 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ไฮไลท์ของกล้องหน้าของ Galaxy Note 4 คือนอกจากจะมีบิวตี้โหมดโหมดหน้าสวยใสตามสมัยนิยมแล้ว ยังมีโหมด wide selfie ที่สามารถถ่ายเซลฟี่ในแบบ 120 องศาได้ด้วย ซึ่งทำให้สามารถเก็บใบหน้าของเพื่อนของเราแบบเป็นหมู่คณะได้อย่างสบายๆ และ Galaxy Note 4 ยังสามารถใช้เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจมาแทนชัตเตอร์ของการถ่ายเซลฟี่ได้ด้วยครับ
หรือดูภาพเพิ่มเติมได้ที่ Note 4 Photos
แบตเตอรี
แม้ว่าประจุแบตเตอรีจะให้มาค่อนข้างเยอะก็จริง แต่ผมคิดว่าขนาดหน้าจอที่ค่อนข้างใหญ่ และความละเอียดหน้าจอที่ละเอียดมากๆ ก็มีผลต่อการใช้งานประจำวันอยู่ไม่น้อย เพราะในช่วงที่ใช้งาน Note 4 ช่วงนั้นผมใช้งานตัวเครื่องไม่หนักมากนัก Social Media แทบจะเปิดนับครั้งได้ ไปจนถึงการถ่ายภาพก็ไม่ได้ถ่ายบ่อยครั้ง มีเพียงแค่การเช็คอีเมล ตอบอีเมล ไปจนถึงการตระเวนหาร้านอาหารผ่านแอปแนะนำร้านอาหาร หรือการเรียกแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชันบริการแท็กซี่เท่านั้น แต่แบตค่อนข้างลดเยอะพอสมควร ซึ่งวันต่อมาผมได้ลบแอปพลิเคชันบางแอป ปรับความสว่างหน้าจอใกล้เคียงกับค่าต่ำสุด หรือจำกัดการใช้งานบางส่วนเช่น GPS ลง ซึ่งก็ช่วยให้แบตเตอรีอยู่นานขึ้นจนมีระยะเวลาการใช้งานได้ทั้งวันในที่สุด
บทสรุป
ตลอดเวลา 1 สัปดาห์กับการใช้งาน Galaxy Note 4 (ซึ่งจริงๆ มี Galaxy Gear S) ด้วย ผมคิดว่า นี่น่าจะเป็นสมาร์ทโฟนไม่กี่รุ่นในปี 2014 นี้ ที่ใช้งานแล้วรู้สึกดีมากๆ เพราะด้วยการดีไซน์ที่จับแล้วดูพรีเมียมขึ้น การใช้งานภายในก็ลื่นไหล พ่วงด้วยความสามารถอย่าง S Pen ที่มีอิสระในการขีด การเขียน การคิด ผ่านหน้ากระดาษดิจิตอลในแอปพลิเคชัน S Note หรือผ่านฟังก์ชันในปากกา S Pen เองก็ตาม รวมไปถึงความละเอียดหน้าจอที่คมชัดมากๆ อันเป็นการตอบสนองในแง่มัลติมีเดียที่ยอดเยี่ยม จึงทำให้ Galaxy Note 4 คือสมาร์ทโฟนสายแฟ็บเล็ต (Phablet) ที่สร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุด
ส่วนข้อเสียที่ไม่ชอบ มีแค่เรื่องแบตเตอรีกับจุดบอดในแง่ราคาเปิดหัวในช่วงแรกของการวางจำหน่ายที่ค่อนข้างสูงเอาเรื่องครับ
from:http://mobiledista.com/galaxy-note-4-review/