คลังเก็บป้ายกำกับ: TRUE_WIRELESS_EARPHONES

เปิดตัว Jabra Elite 7 Active และ Elite 7 Pro หูฟังไร้สาย TWS มากับระบบตัดเสียง ANC และแบตใช้ยาว 8 ชม.

Jabra เปิดตัวหูฟังไร้สาย True Wireless รุ่นใหม่อย่าง Jabra Elite 7 Pro และ Elite 7 Active ไปเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา และหากว่าใครที่สนใจหรือเล็ง ๆ หูฟังรุ่นนี้อยู่ ตอนนี้มันก็ได้เดินทางมาถึงประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว อัดแน่นมาด้วยฟีเจอร์ล้ำ ๆ เพียบ ไม่ว่าจะเป็นระบบตัดเสียงรบกวน ANC, ดีไซน์ทนทานกันน้ำกันเหงื่อ, แบตอึด ๆ ใช้งานได้ทั้งวัน และอื่น ๆ อีกเพียบ

Jabra Elite 7 Active

เริ่มต้นด้วยหูฟังไร้สายรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อเอาใจสายสุขภาพ อย่าง Jabra Elite 7 Active ที่เหมาะกับการออกกำลังกายสุด ๆ ด้วยดีไซน์พิเศษแบบ Jabra ShakeGrip ที่สามารถเกาะอยู่กับหูได้อย่างแน่นหนา แต่ไม่สร้างความล้าหรือความอึดอัดให้กับหูเลย ไม่ว่าจะออกกำลังหนักสะบัดหัวสะบัดหูแรงแค่ไหน ก็มั่นใจได้เลยว่า Jabra Elite 7 Active ไม่มีหลุดแน่นอน

หากต้องการออกกำลังกายในโลกส่วนตัวอยากฟังแต่เพลงโปรดของตัวเอง Jabra Elite 7 Active ก็มากับระบบตัดเสียงรบกวน ANC ที่สามารถเลือกระดับการตัดเสียงได้จากภายในแอป และหากต้องการรับเสียงจากภายนอกโดยไม่ต้องถอดหูออกก็มีโหมด HearThrough มาให้ด้วย

ระบบเสียงที่ทรงพลังด้วยไดรเวอร์ขนาด 6 มม. ที่ให้เสียงเบสตึ้บ, เสียงกลางและเสียงสูงที่ใสปิ๊ง ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับแต่งเสียงให้ออกมาตามต้องการได้จากแอป Jabra Sound+ ส่วนแบตเตอรี่ในตัวหูฟังที่สามารถใช้ต่อเนื่องได้สูงสุด 8 ชม. และเอาไปชาร์จกับเคสเพื่อใช้ได้สูงสุดถึง 30 ชม.

Jabra Elite 7 Pro

มาถึงตัวท็อปของซีรีส์อย่าง Jabra Elite 7 Pro ที่แน่นอนว่ามากับคุณภาพเสียงในระดับสูงด้วยไดรเวอร์ขนาด 6 มม. พร้อมระบบ AI ที่จะช่วยปรับแต่งเสียงย่านต่าง ๆ ให้ออกมาสุดยอดกว่าเดิม

ระบบตัดเสียง ANC ที่สามารถกรองเสียงรบกวนรอบข้างออกได้หลายระดับผ่านแอป Jabra Sound+ พร้อมโหมด HearThrough รับเสียงจากภายนอกเข้ามาโดยไม่ต้องถอดหูฟังออก

นอกจากนี้ยังใช้งานเป็นหูฟังสำหรับคุยโทรศัพท์ได้อย่างดี เพราะมีระบบไมโครโฟนที่สามารถตัดเสียงลม หรือเสียงรบกวนอื่น ๆ ออกไปได้จนปลายสายได้ยินเสียงของเราแบบชัดเจนแจ่มแจ๋ว โดยหูฟังจะใช้เซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของกรามที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ด้วย Bone Conduction และจะช่วยปรับค่าให้เสียงระหว่างสนทนาออกมาอย่างชัดเจนสุด ๆ ส่วนแบตเตอรี่ก็สามารถใช้งานได้ยาวนานสูงสุดถึง 8 ชม. และเมื่อชาร์จกับเคสอีกก็จะใช้ได้ยาวนานถึง 30 ชม.

หูฟัง Jabra Elite 7 Active มีราคาอยู่ที่ 6,790 บาท ส่วนรุ่นท็อปอย่าง Jabra Elite 7 Pro มีราคาอยู่ที่ 7,790 บาท เริ่มวางขายแล้วตามร้านค้าที่เป็นตัวแทนจำหน่ายของ Jabra ครับ

from:https://droidsans.com/jabra-elite-7-pro-jabra-elite-7-active-thailand-launch/

OnePlus Buds Pro หูฟังไร้สายแบบ True Wireless เตรียมวางจำหน่ายในประเทศไทย 10 ตุลาคมนี้

หูฟังไร้สายระดับพรีเมี่ยม OnePlus Buds Pro เปิดตัวและวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาไปเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ซึ่งหากว่าใครกำลังเล็ง ๆ หูฟังไร้สายแบบ TWS ที่มากับฟีเจอร์ครบ ๆ เสียงดี ๆ เบสสะใจอยู่ล่ะก็…ไม่ต้องรอกันนานแล้ว เพราะล่าสุด OnePlus ประเทศไทยได้ออกมาประกาศว่าหูฟังรุ่นดังกล่าวกำลังจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในบ้านเรา พร้อมกับวางจำหน่ายในวันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม 2564

สำหรับสเปค + ฟีเจอร์ของหูฟัง OnePlus Buds Pro เรียกว่าจัดมาให้คอเพลงแบบเต็มเอี๊ยด ไม่ว่าจะเป็น Dynamic Driver ขนาด 11 มม.ให้เสียงเบสตึ้บ ๆ สะใจ แถมยังใช้คู่กับแอป OnePlus Audio ID ที่มีอยู่ในมือถือ OnePlus หรือดาวน์โหลดแอป HeyMelody มาใช้สำหรับมือถือรุ่นอื่น ๆ เพื่อตั้งค่าเสียงต่าง ๆ ได้อย่างละเอียดยิบตามที่เราชอบ

มากับระบบตัดเสียงรบกวน Smart Adaptive Noise Cancellation ที่สามารถบล็อคเสียงภายนอกได้สูงสุดถึง 40 เดซิเบล โดยมีให้เลือกปรับได้ 3 แบบ คือ Faint ตัดเสียงรบกวน 15 เดซิเบล, Extreme ตัดเสียงรบกวนเต็มที่ 40 เดซิเบล และ Smart ตัดเสียงรบกวนอัตโนมัติตามสภาพแวดล้อม ระหว่าง 15 – 40 เดซิเบล

นอกจากจะตัดเสียงรบกวนออกไปจากการฟังเพลงได้แล้ว OnePlus Buds Pro ยังมากับความสามารถในการพูดคุยโทรศัพท์ได้แบบชัดเจนเสียงใสปิ๊งทั้งฝั่งคนพูดและคนฟังด้วยระบบแยกเสียงสนทนาออกจากเสียงรอบข้าง Calibrated Voice Isolation แถมยังได้รับมาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP55 กันฝน กันน้ำหกใส่ หรือกันเหงื่อก็ได้ ใส่ออกกำลังกันแบบสบาย ๆ

แบตเตอรี่อึด ๆ ที่ใช้ฟังเพลงต่อเนื่องได้สูงสุดถึง 7 ชั่วโมง เมื่อปิดระบบ ANC หรือใช้ได้ 5 ชั่วโมง เมื่อเปิด ANC และสามารถชาร์จแบตเตอรี่จากเคสได้ทำให้รวม ๆ แล้วใช้ได้ยาวถึง 38 ชั่วโมง นอกจากนี้ตัวเคสยังรองรับการชาร์จแบบไร้สายอีกด้วย

OnePlus Buds Pro จะมีการประกาศราคาพร้อมวางจำหน่ายแบบออนไลน์วันที่ 10 ตุลาคม 2564 ผ่าน OnePlus Official Store ใน Shopee และ Lazada ส่วนค่าตัวจะออกมาอยู่ที่เท่าไหร่…ต้องมารอลุ้นกันครับ

ที่มา : อีเมลประชาสัมพันธ์

from:https://droidsans.com/oneplus-buds-pro-thailand-coming-october-10th/

Sennheiser CX Plus True Wireless หูฟังไร้สายพรีเมี่ยม พร้อมระบบตัดเสียง ANC และแบต 8 ชม. เปิดราคา 6,390 บาท

ใครกำลังมองหาหูฟังไร้สายแบบ True Wireless ระดับพรีเมี่ยมเสียงเบสทรงพลัง, กันเหงื่อใส่ออกกำลังสบาย, มากับระบบตัดเสียงรบกวนแบบ ANC และแบตเตอรี่อึด ๆ แบบใช้ได้ทั้งวัน ก็ไม่ต้องไปมองหาที่ไหนไกล เพราะตอนนี้ Sennheiser CX Plus True Wireless ได้เดินทางมาถึงประเทศไทยเตรียมให้จับจองเป็นเจ้าของกันได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป โดยมีราคาอยู่ที่ 6,390 บาท

Sennheiser CX Plus True Wireless เป็นหูฟังไร้สายประเภท True Wireless ขนาดเล็กกระทัดรัด ออกแบบมาให้สามารถใส่ไว้ในรูหูได้นาน ๆ แบบไม่เจ็บ ไม่เกิดอาการล้า และยังมากับจุกหูฟัง 4 ขนาด ให้เลือกใช้ได้เหมาะกับหูของแต่ละคน นอกจากนี้ยังสามารถใส่ออกกำลังเบา ๆ ได้ เพราะตัวหูฟังมีมาตรฐานกันน้ำ IPX4 ที่กันเหงื่อกันฝนและกันน้ำกระเซ็นได้จากรอบทิศทาง

ระบบเสียงที่ไว้ใจได้จากแบรนด์ Sennheiser ด้วยเทคโนโลยี TrueResponse Transducer และกระหึ่มโยกหัวกันได้มัน ๆ ด้วย Bass Boost เพิ่มความบึ้มบั้มให้กับเบสได้ลึกขึ้นกว่าเดิม ผ่านการปรับแต่งจากแอป Smart Control ในมือถือ

ดำดิ่งเข้าสู่โลกของเสียงเพลงด้วยระบบตัดเสียงรบกวน ANC (Active Noise Cancellation) แต่หากต้องการฟังเสียงจากภายนอกเพื่อพูดคุยกับคนอื่น หรือต้องใช้ความระมัดระวังในการข้ามถนน ก็มีโหมด Transparent ให้ใช้เพื่อรับเสียงจากภายนอกเข้ามาได้โดยไม่ต้องถอดหูฟังออก

แบตเตอรี่อึดแบบพอใช้งานได้ทั้งวัน โดยการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง Sennheiser CX Plus True Wireless จะสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องสูงสุดถึง 8 ชั่วโมง บวกกับการชาร์จแบตเตอรี่ผ่านเคสอีก รวม ๆ แล้วจะใช้งานได้ยาวถึง 24 ชั่วโมงเลยทีเดียว

Sennheiser CX Plus True Wireless มีให้เลือก 2 สี คือสีดำ และสีขาว มีราคาอยู่ที่ 6,390 บาท โดยจะเริ่มวางขายกับตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยทั้งแบบหน้าร้านและแบบออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไปครับ

from:https://droidsans.com/sennheiser-cx-plus-true-wireless-thailand-launched/

เปิดตัว OnePlus Buds Pro หูฟัง TWS ระดับพรีเมี่ยม ไดรเวอร์ 11 มม., ตัดเสียง ANC, กันน้ำ IP55 พร้อมแบตอึด 7 ชม.

นอกจาก OnePlus จะเปิดตัวมือถือรุ่นใหม่อย่าง OnePlus Nord 2 ไปแล้ว ภายในงานยังมีการเปิดตัวหูฟังไร้สาย OnePlus Buds Pro ซึ่งเป็นหูฟังระดับพรีเมี่ยมรุ่นแรกของค่ายซะด้วย โดย OnePlus Buds Pro มากับจุดเด่นทั้งดีไซน์ที่ดูหรูหราฟู่ฟ่า, Dynamic Driver ขนาด 11 มม., ระบบตัดเสียงรบกวน ANC, มาตรฐานกันน้ำ IP55 และอื่น ๆ เรียกว่าเป็นหูฟังที่น่าใช้ตัวนึงเลยล่ะ

OnePlus Buds Pro เป็นหูฟังไร้สายแบบ In-ear ที่ใช้ดีไซน์พิมพ์นิยมแบบมีก้านยื่นมาด้านล่าง โดยบริเวณหูฟังด้านบนใช้พื้นผิวแบบด้าน ส่วนบริเวณก้านที่เป็นส่วนควบคุมฟังค์ชั่นต่าง ๆ มีพื้นผิวแบบโลหะสีเงินผิวมันดูสวยหรูน่าใช้ และจะมีให้เลือกทั้งหมด 2 สี คือสีขาว Glossy White และสีดำ Matte Black


 

หูฟังรุ่นนี้ให้พลังเสียงได้อย่างทรงพลังสุด ๆ ด้วย Dynamic Driver ขนาด 11 มม.ให้เสียงเบสตึ้บ ๆ สะใจ แถมยังใช้คู่กับแอป OnePlus Audio ID ที่มีอยู่ในมือถือ OnePlus หรือดาวน์โหลดแอป HeyMelody มาใช้สำหรับมือถือรุ่นอื่น ๆ เพื่อตั้งค่าเสียงต่าง ๆ ได้อย่างละเอียดยิบตามที่เราชอบ

มากับระบบตัดเสียงรบกวน Smart Adaptive Noise Cancellation ที่สามารถบล็อคเสียงภายนอกได้สูงสุดถึง 40 เดซิเบล โดยมีให้เลือกปรับได้ 3 แบบ คือ Faint ตัดเสียงรบกวน 15 เดซิเบล, Extreme ตัดเสียงรบกวนเต็มที่ 40 เดซิเบล และ Smart ตัดเสียงรบกวนอัตโนมัติตามสภาพแวดล้อม ระหว่าง 15 – 40 เดซิเบล

นอกจากจะตัดเสียงรบกวนออกไปจากการฟังเพลงได้แล้ว OnePlus Buds Pro ยังมากับความสามารถในการพูดคุยโทรศัพท์ได้แบบชัดเจนเสียงใสปิ๊งทั้งฝั่งคนพูดและคนฟังด้วยระบบแยกเสียงสนทนาออกจากเสียงรอบข้าง Calibrated Voice Isolation

จะน้ำหกใส่ จะฝนตก หรือจะเหงื่อออกจนท่วมตัวก็ไม่มีปัญหา ด้วยมาตรฐานกันน้ำระดับ IP55

มากับแบตเตอรี่อึด ๆ ที่ใช้ฟังเพลงต่อเนื่องได้สูงสุดถึง 7 ชั่วโมง เมื่อปิดระบบ ANC หรือใช้ได้ 5 ชั่วโมง เมื่อเปิด ANC และสามารถชาร์จแบตเตอรี่จากเคสได้ทำให้รวม ๆ แล้วใช้ได้ยาวถึง 38 ชั่วโมง นอกจากนี้ตัวเคสยังรองรับการชาร์จแบบไร้สายอีกด้วย

OnePlus Buds Pro เปิดราคาในสหรัฐอเมริกามาที่ 149.99 ดอลลาร์ (ไม่รวมภาษี) หรือประมาณ 4,930 บาท วางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นไป ส่วนในบ้านเราจะมาวันไหน และจะมีราคาอยู่เท่าไหร่…คาดว่าอีกไม่นานเกินรอได้รู้กันแน่นอนครับ

from:https://droidsans.com/oneplus-buds-pro-officially-announced/

เปิดตัว Redmi AirDots 3 Pro หูฟังไร้สาย True Wireless พร้อมระบบตัดเสียงรบกวน ANC ราคาไม่ถึง 2,000 บาท

Xiaomi พึ่งเปิดตัวหูฟัง Redmi AirDots 3 ไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ล่าสุดก็ได้มีรุ่นอัปเกรดตามออกมาแล้วในชื่อ Redmi AirDots 3 Pro ซึ่งคราวนี้มันเป็นหูฟังไร้สายแบบ True wireless ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวน ANC (Active Noise Cancellation) ซะด้วย ส่วนราคาก็เปิดมาได้น่าสนใจสุด ๆ ที่ 299 หยวน หรือประมาณ 1,700 บาทเท่านั้นเอง

รูปร่างหน้าตาของหูฟัง Redmi AirDots 3 Pro ดูเผิน ๆ ก็แทบจะไม่ต่างกับ Redmi AirDots 3 ซักเท่าไหร่ ด้วยสไตล์แบบมินิมอลเรียบ ๆ ใช้ผิวสัมผัสแบบด้าน มีจุกหูฟังแบบ In-ear แต่ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นว่ามันมีขนาดที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย เนื่องจากต้องยัดเทคโนโลยี ANC เข้าไปด้วยนั่นเอง

ส่วนเคสสำหรับชาร์จแบตเตอรี่ก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเช่นกัน และคราวนี้เปลี่ยนมาใช้ดีไซน์แบบแนวตั้งกลม ๆ มน ๆ ดูพรีเมี่ยมมากกว่า AirDots 3 รุ่นธรรมดา

ระบบ ANC ของ Redmi AirDots 3 Pro จะใช้ไมโครโฟนที่ติดอยู่กับหูฟังข้างละ 3 ตัว สำหรับการตัดเสียงรบกวนจากภายนอก ซึ่งเคลมว่าสามารถลดระดับเสียงรบกวนลงไปได้ถึง 35 เดซิเบล

คุณภาพเสียงก็จัดเต็มไม่แพ้กันด้วยไดรเวอร์ขนาด 9 มม. ที่ปรับแต่งเสียงโดย Xiaomi Sound Lab และยังมีความหน่วงที่ต่ำมาก ๆ หากเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่รองรับ BT 5.2 จะมีความหน่วงเพียง 69 มิลลิวินาที ทำให้ใช้เล่นเกมหรือดูหนังได้แบบไม่เสียอารมณ์เพราะภาพกับเสียงจะมาพร้อม ๆ กันเลย

แบตเตอรี่ของ Redmi AirDots 3 Pro ใช้งานต่อเนื่องได้สูงสุด 6 ชม. และชาร์จกลับด้วยเคสรวม ๆ แล้วได้อีกกว่า 28 ชม. ส่วนการชาร์จแบตกลับไปที่เคสจะใช้พอร์ต USB-C หรือจะชาร์จแบบไร้สายก้ได้

Redmi AirDots 3 Pro ยังสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ 2 ชิ้นพร้อมกันได้ เช่นใช้กับมือถือ และโน้ตบุ๊ค ซึ่งหากต้องการจะให้เสียงออกมาจากอุปกรณ์ชิ้นไหนก็เลือกเอาจากหน้าต่าง Pop-up บนมือถือที่ใช้ระบบ MIUI ได้เลย

Redmi AirDots 3 Pro จะเริ่มขายในจีนวันที่ 11 มิถุนายน 2564 โดยมีราคาอยู่ที่ 299 หยวน หรือประมาณ 1,700 บาท สำหรับใครที่ชอบของสเปคคุ้ม ๆ แบบนี้ก็ต้องรอกันไปก่อนนะครับ ว่ามันจะเข้ามาในบ้านเราเมื่อไหร่

 

ที่มา : sohu (China), Mi (China)

from:https://droidsans.com/redmi-airdots-3-pro-tws-noise-cancellation/

REVIEW | รีวิว OPPO Enco X หูฟังไร้สายเรือธงคุณภาพเสียงระดับ Hi-Fi จูนเสียงโดย Dynaudio มากับแบตอึด ๆ สูงสุด 5.5 ชม.

ในช่วง 2 – 3 ปีมานี้หูฟังไร้สายเริ่มได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก (น่าจะเพราะมือถือหลายรุ่นเริ่มตัดรูหูฟัง 3.5 มม. ออก) ทำให้แต่ละแบรนด์ต่างก็เริ่มเข้าสู่ตลาดหูฟังไร้สายกันมากขึ้น รวมถึงแบรนด์มือถืออย่าง OPPO ด้วยเช่นกัน วันนี้ DroidSans จะมารีวิว OPPO Enco X ให้ดูกันครับว่าหูฟังไร้สายราคา 5,999 บาท จะมีสเปค + ฟีเจอร์เหมาะสมกับค่าตัวขนาดไหน

สเปค OPPO Enco X

ขนาดไดรเวอร์ 11 มม. dynamic driver (ขับย่านกลาง/ต่ำ) + 6 มม. balanced membrane driver (ขับย่านสูง)
ย่านความถี่ 20Hz ~ 20kHz
ฟอร์แมตเสียงที่ซัพพอร์ต SBC, AAC, LHDC
Active Noise Cancelation (ระบบตัดเสียงรบกวน) ✔
Ambient Sound Mode (ระบบเร่งเสียงภายนอก) ✔
แบตเตอรี่ ใช้งานต่อเนื่องได้ 4 ชั่วโมง/ชาร์จหนึ่งครั้ง และรวมเป็น 20 ชั่วโมงเมื่อรวมกับการชาร์จผ่านเคส (เปิด ANC)

แบตเตอรี่

ใช้งานต่อเนื่องได้ 5.5 ชั่วโมง/ชาร์จหนึ่งครั้ง และรวมเป็น 25 ชั่วโมงเมื่อรวมกับการชาร์จผ่านเคส (ไม่เปิด ANC)

ระบบชาร์จไฟ USB-C / Wireless
Bluetooth 5.2
ระยะการเชื่อมต่อ 10 เมตร
น้ำหนัก ตัวหูฟัง 4.8g(±0.2g

เคส 42.5(±0.5g)

มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP54

ของในกล่อง



  • หูฟังพร้อมเคสชาร์จ
  • สาย USB-C
  • จุกหูฟัง 3 ขนาด
  • คู่มือ

ดีไซน์พรีเมี่ยม สวมใส่สบาย

ตัวหูฟัง OPPO Enco X เป็นรูปแบบ In-ear ที่มีดีไซน์แบบพิมพ์นิยม คือมีก้านห้อยลงมาด้านล่างสำหรับใช้ควบคุมการทำงานต่าง ๆ ด้วยระบบสัมผัส โดยแถบก้านด้านนอกดูเหมือนจะใช้วัสดุประกอบคนละแบบกับส่วนอื่น ๆ จุกหูฟังใส่ง่ายไม่เจ็บหูแม้จะเสียบไว้เป็นเวลานาน มีขนาดเล็กกะทัดรัด น้ำหนักเบาเพียง 4.8 กรัม พกพาง่าย 

OPPO Enco X มาพร้อมกับเคสรูปร่างกลม ๆ มน ๆ มีขนาดเล็กน้ำหนักเบาพกพาสะดวก มีจุดไฟ LED เล็ก ๆ เพื่อแสดงผลการเชื่อมต่อ และสถานะแบตเตอรี่อยู่ที่ด้านหน้า บริเวณขอบโค้ง ๆ ของตัวเคสก็จะมีเป็นวัสดุเหมือนเป็นโลหะคลุมรอบ ๆ ให้ความรู้สึกการจับถือพรีเมียมขึ้น ถัดมาด้านล่างจะเป็นช่องชาร์จ USB-C พร้อมปุ่ม Pairing ที่อยู่ข้างขวาเอาไว้สำหรับเชื่อมต่อกับมือถือ 

ถัดมาด้านหลังตรงฝาพับจะเห็น เป็นตรา Co-created with Dynaudio ที่ทาง OPPO ได้เข้าไปร่วมมือกับแบรนด์เครื่องเสียงระดับโลกอย่าง Dynaudio มาช่วยจูนเพื่อให้ได้เสียงคุณภาพระดับ Hi-Fi ได้เนื้อเสียงรู้สึกพรีเมียมไม่เหมือนใคร

คุณภาพเสียง

OPPO Enco X มี Driver เสียงแบบ Coaxial Dual-Driver (วางไดรเวอร์ 2 ตัว) ประกอบไปด้วย Balanced Membrane Driver ขนาด 6 มม. เป็นตัวขับเสียงย่านสูงที่ให้รายละเอียดครบถ้วน คู่กับ Dynamic Driver ขนาด 11 มม. เพื่อขับเสียงย่านเบส และกลาง แถมยังได้ Dynaudio เข้ามาช่วยจูนเสียง และออกแบบ Acoustic Chamber ทำให้เนื้อเสียงโดยรวมของ OPPO Enco X มีความสมบูรณ์แบบ คุณภาพเยี่ยมระดับใกล้เคียงหูฟังระดับ Audiophile เลยทีเดียว 

แต่ด้วยความที่ OPPO Enco X ถูกออกแบบมาเพื่อให้คนทั่วไปใช้งาน ตัวหูฟังยังคงถูกจูนเสียงให้ฟังง่าย โดยเน้นเบสย่านต่ำมาก ๆ เช่น เบสพวกกระเดื่อง, Kick,หรือ Sub-bass จะมาเยอะ และให้ความรู้สึกที่ Deep มีอิมแพค แต่ถ้าเป็นกลองที่มีความถี่สูงขึ้นมาหน่อย จะไม่ค่อยจัดจ้าน ทำให้ผู้ฟังสามารถแยกเสียงเบสออกจากกันได้ อาจจะมีความอื้ออึงบ้างบางเพลงเพราะเป็นเบสที่เก็บตัวช้า ส่วนเสียงกลางมีรายละเอียดดี ไม่ได้ถูกปรุงแต่ง อยู่ในจุดที่ควรจะเป็น ไม่เด่นหรือดังเกินไป และไม่กลืนไปกับเนื้อเสียงอื่น ๆ  

เสียงสูงเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก ๆ เพราะใช้ Balanced Membrane Driver ในการขับเสียงสูง ทำให้เสียง Treble มีความโดดเด่น มีรายละเอียด เป็นเสียงสูงที่ไม่เสียดหู Imaging ดี จะสังเกตได้ชัดเจน ถ้าฟังเพลง Acoustic ที่มี Guitar เพราะเสียงที่ขับออกมา จะเอาเสียงของนิ้วตอนเสียด ๆ กับกีต้าร์ติดเข้ามาด้วย แต่ถ้าฟังนาน ๆ ด้วยความที่เสียงสูงเด่น เวลาเปิดเสียงดังมาก ๆ จะให้ความรู้สึกที่แห้งไปบ้าง ซึ่งก็แล้วแต่ความชอบของผู้ฟังครับ

 

ฟีเจอร์

Ambient Sound รับเสียงภายนอกโดยไม่ต้องถอดหูฟังออก

OPPO Enco X มากับโหมด Ambient Sound ช่วยให้ผู้ใช้งานได้ยินเสียงรอบข้างได้โดยไม่ต้องถอดหูฟังออก ให้ความรู้สึกเหมือนใส่หูฟังระบบเปิดเลย มีความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติไม่ได้เร่งเสียงรอบข้างให้ดังกว่าเดิมแต่อย่างใด แต่จะมีจุดสังเกตตรงที่เมื่อใส่หน้ากากอนามัย เวลาลมหายใจลอดออกจากหน้ากากมากระทบกับหูฟัง จะทำให้เราได้ยินเสียงเหมือนคนเป่าไมค์ได้ครับ 

 

Active Noise Cancellation ระบบตัดเสียงรบกวน

ถัดมาในเรื่องของฟีเจอร์เสียง OPPO Enco X ก็ให้มาครบครันมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบตัดเสียงรบกวน ANC (Active Noise Cancelling) ที่จะใช้ไมค์ 2 ตัวที่อยู่บนหูฟังเพื่อจับเสียงและลบเสียงรบกวนนั้นทิ้งไป มีให้เลือก 2 ระดับ คือเป็นตัดเสียงปกติ Noise Cancellation และตัดเสียงขั้นสุด Max Noise Cancellation จากการทดลองพบว่าสามารถตัดเสียง White Noise ได้ดีมาก ๆ พวกเสียงแอร์ หรือเสียงรบกวนอื่น ๆ ที่เป็นเสียงในย่านเดียวกัน คือลบหายเกือบหมดจดเลย โดยเราได้ทดสอบในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่พบเจอได้ในชีวิตประจำวัน

  1. รถไฟฟ้า – เสียงรถไฟฟ้าจะประกอบไปด้วยเสียงอื้ออึงจาก แอร์ไปจนถึงเสียงรางรถไฟ ซึ่งระบบ ANC ทำได้ดีพอสมควรเลยทีเดียว แต่เสียงจำพวกคนคุย หรือเสียงประกาศก็ยังพอเข้ามาบ้าง ถ้าเปิดเพลงคลอไปด้วยต้องบอกเลยว่าแทบไม่ได้ยินเสียงด้านนอกเลยครับ 
  2. รถเมล์ – ต่างกับรถไฟฟ้าหน่อยตรงที่รถเมล์ถ้าไม่มีแอร์ จะมีเสียงลมกับเสียงการจราจรค่อนข้างมาก ซึ่งเสียงพวกนี้ก็ไม่ใช่จุดเด่นของการตัดเสียงรบกวนด้วย ANC อยู่แล้ว แต่การเปิดใช้งาน ANC ก็ช่วยให้เสียงเงียบขึ้นกว่าปกติมาก ๆ 
  3. เดินริมถนน – เสียงรถผ่านไปมามีความเงียบลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เสียงจำพวกแตรรถ หรือมอเตอร์ไซค์ท่อดัง ๆ ก็ยังสามารถเข้ามาได้บ้าง
  4. เดินในห้าง – ห้างประกอบไปด้วยเสียงคนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเมื่อพูดพร้อมกันเยอะ ๆ จะกลายเป็นเสียงอื้ออึงที่ทำให้ ANC ช่วยตัดเสียงเหล่านั้นออกไปได้เยอะพอสมควรเลย ยิ่งเปิดเพลงไปด้วยก็คือไม่ได้ยินอะไรเลยครับ

ทั้งหมดทั้งมวลที่บอกมาได้มีการทดสอบทั้งแบบเปิดเพลง และไม่เปิดเพลงในเวลาเดียวกัน แต่บอกเลยว่าในทุก ๆ สถานการณ์ ถ้าเปิดเพลงราว ๆ 70% คลอไปด้วยเสียงภายนอกจะเงียบมาก ๆ แทบไม่มีเสียงเล็ดรอดเข้ามาเลยครับ 

Noise Cancellation และ Max Noise Cancellation มีความต่างกันเล็กน้อย ถ้าใครอยากได้เงียบมาก ๆ ก็เลือก Max ไปเลย แต่สำหรับโหมด Max ถ้าเปิดใช้งานแต่ไม่ได้เปิดเพลงฟังไปด้วยจะได้ยินเสียง Static เล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้น่ารำคาญเท่าไหร่นัก

 

การเชื่อมต่อ

ตามสูตรเลยหูฟังที่ผลิตโดยแบรนด์มือถือมักจะใช้งานได้ดีกับมือถือของค่ายตัวเอง ซึ่ง OPPO Enco X ก็เหมาะกับการใช้งานร่วมกับมือถือ OPPO เป็นที่สุด เพราะเพียงแค่เปิดฝาขึ้นมา มือถือ OPPO ที่อยู่ใกล้ ๆ ก็จะแสดงเมนูขึ้นมาให้เชื่อมต่อทันที ไม่ต้องเข้าไปกด Pair ให้วุ่นวายครับ

ส่วนมือถือ Android ทั่ว ๆ ไปก็จะสามารถกดปุ่ม Pairing เพื่อเชื่อมต่อหูฟังตามปกติ แต่ถ้าต้องการใช้งานฟีเจอร์อื่น ๆ ให้สมบูรณ์ขึ้นจำเป็นต้องโหลดแอปพลิเคชั่น HeyMelody เพื่อมาปรับแต่งการควบคุม และอัปเดตเฟิร์มแวร์ด้วยนะ

OPPO Enco X มาพร้อมกับระบบเสียง DBEE 3.0 ช่วยให้สามารถใช้งาน CODEC เสียงความละเอียดสูงได้ (SBC, AAC, LHDC) แถมใช้งานเป็นระบบ Bluetooth 5.2 การเชื่อมต่อเสถียร ระยะสูงสุดถึง 10 เมตร (ในกรณีที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง)

 

แบตเตอรี่สูงสุด 5.5 ชม. 

OPPO Enco X มีแบตเตอรี่ขนาด 44 mAh ในหูฟังทั้ง 2 ข้าง บวกกับในตัวเคสอีก 535 mAh ซึ่งสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องสูงสุด 4 ชั่วโมง/ชาร์จหนึ่งครั้ง และเพิ่มเป็น 20 ชั่วโมงเมื่อชาร์จผ่านเคส (เปิดโหมด ANC) และหากปิดระบบ ANC จะใช้ได้ 5.5 ชั่วโมง/ชาร์จหนึ่งครั้ง และรวมเป็น 25 ขั่วโมงหากรวมการชาร์จจากเคส หากแบตหมดก็สามารถชาร์จผ่านสาย USB-C ได้ นอกจากนี้ยังรองรับชาร์จไร้สายผ่านแท่นชาร์จ หรือ Reverse Charge จากมือถือก็ได้เช่นเดียวกัน

การควบคุม

OPPO Enco X มีฟีเจอร์การควบคุมที่ครบครันผ่านแถบสัมผัสตรงก้านหูฟัง ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งการควบคุมเพลง หรือรับสาย โดยผู้ใช้งานก็สามารถเข้าไปปรับได้ที่แอป HeyMelody ส่วนผู้ใช้งานมือถือ OPPO ก็ไม่จำเป็นต้องโหลดแอป HeyMelody แต่สามารถไปปรับแต่งโดยตรงจากหน้า Settings ได้เลย ซึ่งมีคำสั่งรวม ๆ ดังนี้

  • แตะ 2 ครั้ง – เล่น/หยุด เปลี่ยนเพลง สามารถเลือกได้ว่าข้างไหนจะทำอะไรได้ (ปรับแต่งผ่านแอป)
  • แตะ 3 ครั้ง – เรียกผู้ช่วยอัจฉริยะ
  • สไลด์ขึ้น หรือลง – สามารถเอาไว้เพิ่มเสียงลดเสียงได้ หรือจะสลับให้ข้างใดข้างหนึ่งเป็นเปลี่ยนเพลงก็ทำได้เช่นเดียวกัน
  • แตะค้างไว้ (1 วินาที) เปลื่ยนโปรไฟล์ตัดเสียงรบกวน
  • แตะค้างไว้ (3 วินาที) – สลับไปเชื่อมต่ออีกอุปกรณ์ที่เคยเชื่อมต่อไว้ล่าสุด

**OPPO คิดมาดีแล้วที่ไม่ใส่คำสั่งแตะ 1 ครั้งมาด้วย เพราะเวลาใส่ หรือปรับหูฟังมีโอกาสพลาดไปเล่นหรือหยุดเพลงได้

 

กันน้ำกันฝุ่น IP54

OPPO Enco X เป็นหูฟังที่ได้รับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP54 ทำให้สามารถใช้ใส่ออกกำลังกายได้โดยไม่ต้องกลัวว่าเหงื่อจะเข้าเครื่อง หรือวิ่งมาเหนื่อย ๆ อยากเอาน้ำราดหัวก็ทำได้เลยไม่ต้องถอดหูฟังออกก่อน และหากต้องการวิ่งออกกำลังกลางสายฝนก็ทำได้เช่นกัน (แต่ระวังลื่นล้มนะครับ)

 

สรุป

OPPO Enco X ได้ทำสินค้าที่เหนือความคาดหมายมาอีกครั้งในตลาดที่เต็มไปด้วยคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็น Huawei Free Buds Pro, Galaxy Buds Pro หรือ AirPods Pro ซึ่ง OPPO สร้างความโดดเด่นให้กับตนเองด้วยการออกแบบตัวหูฟังให้มีความเรียบง่าย แต่มีประสิทธิภาพ มาพร้อมเนื้อเสียงที่โดดเด่นไปด้วยรายละเอียด และสีสัน เหมาะกับการฟังเพลงทุกรูปแบบ สำหรับใครที่กำลังหาหูฟังไร้สายเสียงเทพระดับ Audiophile ที่มีฟีเจอร์ครบ ๆ ล่ะก็ สามารถไปลองฟัง OPPO Enco X ได้ที่ช็อป OPPO หรือร้านตัวแทนจำหน่ายกันได้เลยครับ

from:https://droidsans.com/oppo-enco-x-true-wireless-review/

HUAWEI FreeBuds 4i หูฟัง True Wireless พร้อมระบบตัดเสียง ANC และแบตใช้ยาว 10 ชม. เคาะราคาศูนย์ไทย 2,799 บาท

ใครที่กำลังมองหาหูฟังไร้สายแบบ True Wireless ที่มากับฟีเจอร์ครบ ๆ ทั้งระบบตัดเสียงรบกวน ANC, กันน้ำกันฝุ่นได้ดีพอจะใส่ออกกำลังกายให้เหงื่อท่วมได้ แถมยังมีแบตเตอรี่อึด ๆใช้งานได้เป็น 10 ชม. ก็ต้องหันมามอง HUAWEI FreeBuds 4i ไว้เป็นตัววเลือกกันแล้วล่ะครับ เพราะหูฟังรุ่นนี้เรียกว่ามีสเปคทั้งหมดที่บอกมาเลย แถมยังมีค่าตัวที่เป็นมิตรอีกต่างหาก เพราะเปิดมาเพียง 2,799 บาท เท่านั้นเอง

HUAWEI FreeBuds 4i ใช้ดีไซน์แบบ 3D Bionic ที่ออกแบบมาให้สามารถใส่เข้าไปในรูหูได้แบบไม่อึดอัด ด้วยรูปแบบหูฟัง In-Ear Design และตรงก้านหูฟังก็ยังมีแถบสัมผัสสำหรับควบคุม อย่างเช่นแตะส 2 ครั้งเพื่อรับสาย/ตัดสาย หรือ เล่น/เปลี่ยนเพลง, แตะค้างเพื่อเปิด-ปิดระบบตัดเสียง ANC หรือเปิด Transparent Mode สำหรับฟังเสียงภายนอกโดยไม่ต้องคอยถอดหูฟังออก (ฟีเจอร์ดังกล่าวจะต้องใช้งานร่วมกับแอป AI Life)

นอกจากนี้ยังมากับฟีเจอร์ Wear Detection ที่จะหยุดเพลงอัตโนมัติเมื่อมีการถอดหูฟังออกจากหู ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องคอยกดหยุดเพลงให้วุ่นวาย

แบตเตอรี่ใช้งานได้แบบจุใจสูงสุดถึง 10 ชั่วโมงต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง (ถ้าเปิด ANC จะเหลือ 7.5 ชั่วโมง) และเคสสามารถชาร์จไฟให้กับหูฟังต่อได้อีก รวม ๆ แล้ว FreeBuds 4i จะใช้งานได้ยาว ๆ ถึง 22 ชั่วโมง โดยตัวหูฟังใช้เวลาชาร์จเต็มได้ในเวลาประมาณ 60 นาที ส่วนเคสหูฟังจะชาร์จเต็มได้ภายในเวลา 90 นาที

ส่วนใครที่เป็นสายรักสุขภาพก็ต้องถูกใจแน่นอน เพราะหูฟังรุ่นนี้ได้รับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP54 ทำให้มันสามารถทนทานต่อเหงื่อ หรือฝนได้สบาย ๆ จะออกไปวิ่งท่ามกลางฝนโปรยปราย หรือจะออกกำลังจนเหงื่อแตกเหงื่อแตนแค่ไหนก็ไม่มีปัญหา

สเปค HUAWEI FREEBUDS 4I

  • ประเภทหูฟัง: True Wireless In-Ear
  • ระบบตัดเสียงรบกวน : Active Noise Cancellation (ANC)
  • ฟีเจอร์ : Wear Detection (เวลาถอดหูฟังแล้วจะเพลงจะหยุดเล่นแบบอัตโนมัติ)
  • แบตเตอรี่ : ข้างละ 55 มิลลิแอมป์
  • แบตเตอรี่เคสหูฟัง : 215 มิลลิแอมป์
  • พอร์ตชาร์จ : USB-C
  • การเชื่อมต่อ : Bluetooth 5.2
  • มาตรฐานกันน้ำ / กันฝุ่น : IP54
  • รองรับระบบ : Android และ iOS ผ่านแอปพลิเคชั่น AI Life

ราคา และวันวางจำหน่าย

HUAWEI FreeBuds 4i เปิดราคาศูนย์ไทยออกมาที่ 2,799 บาท มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี คือ สีดำ Carbon Black, สีขาว Ceramic White และสีแดง Red Edition โดยจะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปตามร้านค้าที่เป็นตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศครับ นอกจากนี้ผู้ที่ซื้อ HUAWEI FreeBuds 4i ภายในวันที่ 24 มีนาคม – 4 เมษายน 2564 ยังจะได้รับเคสสำหรับกล่องชาร์จมูลค่า 299 บาทไปด้วยเลยฟรี ๆ ครับ

from:https://droidsans.com/huawei-freebuds-4i-thailand-price/

OnePlus Buds Z วางขายในไทยอย่างเป็นทางการ เคาะราคา 1,999 บาท

OnePlus Buds Z หูฟังไร้สาย TWS (true wireless stereo) ในรูปแบบอินเอียร์ เผยโฉมเป็นครั้งแรกพร้อม ๆ กับ OnePlus 8T เมื่อช่วงกลางเดือนตุลาคมที่มาผ่านมา มาพร้อมกับความสามารถในการกันน้ำและแบตเตอรี่ที่ใช้ได้ยาวนาน เดินทางมาวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ววันนี้ที่ราคา 1,999 บาท

OnePlus Buds Z มีไดรเวอร์ขนาด 10 มม. มีฟีเจอร์ Bass Boost เสริมความกระหึ่มให้เสียงเบส ตึ้บตั้บสะใจแน่นอน อีกทั้งยังรองรับระบบเสียงสเตอรีโอแบบ Dynamic 3D ด้วยเทคโนโลยี Dolby Atmos ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มอรรถรสในกลางฟังเพลงไปอีกระดับ เชื่อมต่อได้รวดเร็วและเสถียรด้วย Bluetooth 5.0

หูฟังไร้สายหน้าตาดีรุ่นนี้ มีความสามารถในการกันน้ำตามมาตรฐาน IP55 ซึ่งเป็นระดับที่ใส่ออกกำลังกายได้แบบชิว ๆ เลยล่ะครับ โดยแต่ละข้างมีน้ำหนักเบาเพียง 4.35 กรัม และถูกออกแบบโดยคำนึงถึงหลักสรีรศาสตร์ มีจุกหูฟังมาให้เปลี่ยนด้วยกัน 3 ขนาด จึงทำให้มั่นใจได้ว่า OnePlus Buds Z นั้นสวมใส่ได้กระชับและสบาย ไม่หลุดง่าย ๆ

อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง สามารถใช้ได้ติดต่อกันสูงสุด 5 ชั่วโมง หรือเพิ่มขึ้นเป็น 20 ชั่วโมง หากชาร์จกับเคส (5 ชั่วโมง × 3 ครั้ง) แถมยังรองรับการชาร์จไวด้วย ซึ่ง OnePlus เคลมว่า ชาร์จทิ้งไว้เพียง 10 นาทีก็สามารถเอามาฟังเพลงต่อกันได้ยาว ๆ ถึง 3 ชั่วโมงเลยทีเดียว

ค่าตัวของ OnePlus Buds Z ในประเทศไทยนั้นมีราคาอยู่ที่ 1,999 บาท มีให้เลือกเพียงสีเดียว คือ สีขาว วางจำหน่ายแล้ววันนี้ที่ร้านค้าออนไลน์และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศครับ

 

ที่มา : อีเมลประชาสัมพันธ์

from:https://droidsans.com/oneplus-buds-z-officially-launched-thailand/

เปิดตัว OnePlus Buds Z หูฟัง TWS แบบ in-ear น้ำหนักเบา แบต 20 ชม. มี IP55 เคาะราคาราว 1,500 บาท

นอกจากจะเปิดตัว OnePlus 8T แล้ว ทาง OnePlus ยังถือโอกาสนี้ เปิดตัวหูฟังไร้สาย True Wireless ตัวใหม่ในชื่อ OnePlus Buds Z อีกด้วย โดยรอบนี้จะมาพร้อมดีไซน์แบบ in-ear ใส่สบาย แบตอึด มีชาร์จไว

OnePlus Buds Z มาพร้อมกับดีไซน์จุกหูฟังแบบ in-ear ใส่สบาย น้ำหนักสุดเบาเพียงแค่ 4.35 กรัมเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าสามารถใส่ได้ต่อเนื่องได้แบบไม่เมื่อยหู นอกจากนี้ยังมีมาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP55 ใส่ออกกำลังกายได้ ทนต่อเหงื่อ หรือละอองฝนเป็นอย่างดี

มาพร้อม Dynamic Driver ขนาด 10 มม. พ่วงด้วยระบบ Bass Boost ที่จะเข้ามาช่วยขับเสียงย่านเบสให้ชัดกว่าเดิม อีกทั้งยังมี Gaming Mode ที่จะช่วยลดความหน่วงในการใช้งานทำให้ค่า Latency นั้น เหลือเพียงแค่ 103 ms เท่านั้น แน่นอนว่าจะเอาหูฟังรุ่นนี้ไปดูหนังหรือเล่นเกม ก็ไม่เจอกับปัญหาเสียงหน่วงอย่างแน่นอน เสียงพูดและภาพ sync กัน

ในส่วนของการควบคุมการใช้งาน ตัว OnePlus Buds Z ก็มาพร้อมกับแถบสัมผัสด้านข้างตัวหูฟัง สามารถแตะหนึ่งทีสำหรับการ Play/Pause หรือเรียกใช้งานผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Google Assistant ก็ได้ นอกจากนี้ยังมากับฟีเจอร์ Wear Detection ที่สามารถตรวจจับได้ว่าหูฟังนั้นถูกสวมใส่อยู่หรือเปล่า ถอดปุ๊บ เพลงหยุด สำหรับการประหยัดแบตนั่นเอง

สำหรับคนใช้งานมือถือ OnePlus ก็เตรียมเฮกันได้เลยเพราะ OnePlus Buds Z ตัวนี้ก็มาพร้อมกับฟีเจอร์ Seamless Connection แบบที่เคยเห็นกันในหูฟัง Buds Live หรือ AirPods โดยตัวมือถือ OnePlus จะสามารถตรวจจับตัวหูฟังได้ทันทีเมื่อเปิดเคสหูฟัง OnePlus Buds Z ทำให้เชื่อมต่อหูฟังได้อย่างง่ายดายไม่ต้องกดปุ่ม Pairing เลย

OnePlus Buds Z สามารถใช้งานได้สูงสุด 20 ชั่วโมง (รวมชาร์จกับตัวเคส) อีกทั้งยังมีระบบชาร์จไว ที่ชาร์จทิ้งไว้ 10 นาที ก็สามารถนำตัวหูฟังมาใช้งานแบบเพลินๆ ได้แล้ว 3 ชั่วโมง

ตอนนี้ OnePlus Buds Z เปิดตัวมาด้วยกัน 2 สีได้แก่สีเทา และสีขาว สนนราคาอยู่ที่ 49.99 ดอลล่าร์สหรัฐฯ (ราว ๆ 1,500 บาท) อีกทั้งในงาน ก็ยังได้ประกาศเปิดตัวดีไซน์พิเศษของ OnePlus Buds Z ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก ศิลปินชื่อดังอย่าง Steven Harrington ที่มาช้วยออกแบบสี และลายพิเศษของหูฟัง OnePlus Buds Z ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Street Art ใน California ส่วนจะเปิดตัววันไหน และเข้าไทยเมื่อไหร่ก็ต้อวรอลุ้นกันต่อไปครับ

 

from:https://droidsans.com/oneplus-annouced-new-oneplus-buds-z/

Nokia เปิดตัวหูฟัง True Wireless รุ่น E3500 มากับแบต 7 ชม. และระบบ Ambient Sound เคาะราคาราว 1,500 บาท

เรียกว่าช่วงนี้เทรนด์หูฟังไร้สายกำลังมาแรงสุดๆ เพราะมือถือระดับกลางไปจนถึงระดับเรือธงต่างก็ตัดรูหูฟัง 3.5 มม. ทิ้งกันไปหมดแล้วนั่นเอง ทำให้หลายๆ แบรนด์ต่างผลิตหูฟังไร้สายของตัวเองออกมาสู่ตลาดมากขึ้นโดยมีให้เลือกตั้งแต่ราคาหลักร้อยไปจนถึงหลักหมื่นบาท และล่าสุด Nokia ก็ได้เปิดตัวหูฟังไร้สายแบบ True Wireless รุ่น E3500 ออกมาแล้ว โดยอัดฟีเจอร์มาให้แน่นเอี๊ยดในราคาเบาๆ ประมาณ 1,500 บาทเท่านั้นเอง

Nokia E3500 เป็นหูฟังไร้สาย True Wireless แบบ In-ear ที่มาในดีไซน์พิมพ์นิยม (มีก้านยื่นลงมาด้านล่าง) ตัวหูฟังแต่ละข้างจะมีปุ่มสำหรับบังคับการใช้งาน เล่นเพลง, เปลี่ยนเพลง, เรียกผู้ช่วยอัจฉริยะ Google Assistant หรือ Siri ก็ได้

หูฟังรุ่นนี้มีแบตเตอรี่ที่เรียกว่าค่อนข้างอึดเลยทีเดียว เพราะจากการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง จะสามารถฟังเพลงได้นานสูงสุดถึง 7 ชม. และยังชาร์จกลับผ่านเคสเพื่อฟังต่อได้รวมๆ แล้วถึง 25 ชม. เลยทีเดียว

Nokia E3500 มากับไมโครโฟนคู่ ที่จะทำงานร่วมกับเทคโนโลยี Qualcomm cVc ในการตัดเสียงรบกวนเวลาใช้งานสนทนา ทำให้เสียงจากต้นสาย และปลายสาย ใสปิ๊งแม้อยู่ในที่ชุมชน นอกจากนี้ยังมีระบบ Ambient Sound สำหรับรับเสียงภายนอกเผื่อไว้ใช้เวลาวิ่งออกกำลัง, ข้ามถนน, ขี่จักรยาน เพื่อความปลอดภัยเวลาใช้งานในสถานที่ที่มีรถวิ่งไปมา หรือกลัวว่านั่งรถไฟฟ้าแล้วจะไม่ได้ยินเสียงบอกสถานี

ระบบเสียงก็ไม่ใช่เล่นๆ เพราะหูฟังรุ่นนี้มี Dynamic driver ขนาด 10 มม. ที่ Nokia เคลมว่าให้เสียงเบสที่ตึ้บ และมีเสียงกลางกับเสียงสูงที่นุ่มไม่บาดหู แถมยังใช้เทคโนโลยี Qualcomm aptX เพื่อความเสถียรในการเชื่อมต่อที่ไม่ติดขัดอีกด้วย

จะใส่ออกกำลังกายจนเหงื่อท่วม หรือจะวิ่งตากฝนก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะ Nokia E3500 ได้รับมาตรฐานกันน้ำ IPX5 ด้วยนั่นเอง

หูฟังไร้สาย Nokia E3500 ในตอนนี้วางจำหน่ายที่ประเทศจีนเท่านั้น โดยมีราคาอยู่ที่ 329 หยวน หรือราวๆ 1,500 บาท เท่านั้น ส่วนหลังจากนี้จะมีวางจำหน่ายตามประเทศอื่นๆ ด้วยหรือเปล่า…ต้องรออัปเดตข้อมูลกันอีกรอบครับ

 

ข้อมูลเพิ่มเติม : Nokia

from:https://droidsans.com/nokia-true-wireless-e3500-earphones/