คลังเก็บป้ายกำกับ: TQPR

[PR] จูนิเปอร์ เน็ตเวิร์คส์สู่การเป็นผู้สนับสนุนระดับโลกของการแข่งขันโอลิมปิกหุ่นยนต์

Credit: ShutterStock.com

เวทีการแข่งขันระดับโลกที่เปิดโอกาสให้เยาวชนนับหมื่นคนจากทั่วโลกมาประชันทักษะการพัฒนาจักรกลอัตโนมัติและการเขียนโปรแกรม พร้อมชิงรางวัล Engineering Simplicity อวอร์ด

กรุงเทพมหานคร – 19 มิถุนายน 2561 – จูนิเปอร์ เน็ตเวิร์คส์ (NYSE: JNPR) ผู้นำอุตสาหกรรมด้านนวัตกรรมเครือข่ายอัตโนมัติที่มีความปลอดภัยสูงและวัดผลได้จริง ประกาศการร่วมเป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยีระดับโลกกับสมาคมการแข่งขันโอลิมปิกหุ่นยนต์ (World Robot Olympiad™ Association (WRO®) ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงผลกำไรที่มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์แบบใช้งานได้จริงภายในระบบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ หรือ STEM (Science, Technology, Engineering, Math) ภายใต้ข้อตกลงระยะยาว โดยจูนิเปอร์จะทำงานใกล้ชิดกับ WRO เพื่อช่วยส่งเสริม จัดสรร และพัฒนาการแข่งขันระดับโลกที่ดึงดูดเยาวชนที่มีพรสวรรค์จากทุกทิศทั่วโลก

ส่วนหนึ่งของบทบาทในการแข่งขันนี้ จูนิเปอร์จะเป็นผู้สนับสนุนถ้วยรางวัลใหม่ในปีนี้สำหรับผู้แข่งขันที่เข้ารอบชิงชนะเลิศ ในการแข่งขัน WRO 2018 ได้แก่ รางวัล The Juniper Networks’ Engineering Simplicity Honors Award โดยจูนิเปอร์จะทำการตัดสินทีมผู้เข้าแข่งขันประเภททั่วไปที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศในทุกรุ่นอายุ จากความกล้าคิด ความคิดสร้างสรรค์และความเรียบง่ายของโซลูชั่นส์ที่ใช้หุ่นยนต์ การแข่งขัน WRO เกิดขึ้นเพื่อช่วยส่งเสริมทีมผู้เข้าแข่งขันให้รู้จักการแก้ปัญหาความท้าทายที่ซับซ้อนโดยใช้หลักคณิตศาสตร์ การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และการเขียนรหัส รวมทั้งการปรับใช้หลักการของจักรกลอัตโนมติ นอกจากนี้ การแข่งขันยังช่วยส่งเสริมทักษะการใช้ชีวิตที่สำคัญๆ ได้แก่ การทำงานเป็นทีม ความเพียรพยายาม การเรียนรู้จากความผิดพลาด และความคิดสร้างสรรค์

ปัจจุบัน จูนิเปอร์ สนับสนุนการจัดทำภาพยนตร์สารคดีสั้นเพื่อเล่าเรื่องราวเบื้องหลังของเหล่าทีมงานผู้เข้าแข่งขัน และการเตรียมตัวสู่การแข่งขัน WRO 2018 โดยกำลังทำงานร่วมกับผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่าง เจมส์ เรดฟอร์ด ที่มีชื่อเสียงด้านการผลิตภาพยนตร์สารคดีบุคคลที่เน้นการบอกเล่าเรื่องราวอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับการแก้ปัญหาความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งทางสังคมและจากสิ่งแวดล้อม

เหตุการณ์สำคัญ:

  • ในแต่ละปี มีผู้เข้าร่วมการแข่งขัน WRO กว่า 23,000 ทีมจากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก ประกอบด้วยเยาวชนผู้เข้าแข่งขันเป็นจำนวนกว่า 100,000 คน ที่มีอายุระหว่าง 6 – 25 ปี
  • การแข่งขันประกอบไปด้วยหลายประเภทตามช่วงอายุผู้เข้าแข่งขัน ได้แก่ กลุ่มปกติทั่วไป หรือ Regular (ประเภทตามหัวข้อที่กำหนด), แบบเปิด หรือ Open (เน้นนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์), ทัวร์นาเมนต์หุ่นยนต์เตะฟุตบอล (robotic football tournament) ,  การแข่งขันหุ่นยนต์ชั้นสูง (Advanced Robotics Challenge) สำหรับนักเรียนอายุระหว่าง 19-25 ปี และ WeDo, ชั้นเรียนขั้นแรกสำหรับเด็กอายุระหว่าง 6-10 ปี
  • หัวข้อการแข่งขันจะมีการกำหนดให้เหมาะกับปัญหาที่โลกเผชิญอย่างกว้างขวางในปัจจุบันโดยปีนี้เป็นหัวข้อเกี่ยวกับอาหาร โจทย์ความท้าทายได้ถูกคัดเลือกมาเพื่อให้เหมาะสมกับหัวข้อ ทำให้ผู้เข้าแข่งขันสามารถพัฒนาโซลูชั่นอัตโนมัติที่สมบูรณ์แบบแต่เรียบง่ายได้
  • WRO ก่อตั้งขึ้นในปี ..2547 โดยเป็นเจ้าภาพการแข่งขันรอบสุดท้ายทุกๆ ปีในหลายประเทศ สำหรับในปี ..2561 รอบชิงชนะเลิศระดับโลกจะจัดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย ระหว่างวันที่ 16-18 พฤศจิกายน และปี ..2562 ที่ประเทศฮังการี

คำกล่าวสนับสนุน

ในการแข่งขัน WRO เราเห็นว่าหุ่นยนต์เป็นเวทีการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมที่จะช่วยเปิดโอกาสให้เยาวชนจากทั่วโลกได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาด้าน STEM โดยเราได้เห็นทีมผู้เข้าแข่งขันได้นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาหุ่นยนต์อัตโนมัติและสามารถใช้กระบวนการทางวิศวกรรมมาปรับใช้เพื่อออกแบบจักรกลต้นแบบตามโจทย์ที่ได้รับ ผู้เข้าแข่งขันจะมุ่งมันค้นหาโซลูชั่นใหม่ๆ เพื่อนำมาใช้แก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้

การที่จูนิเปอร์เน็ตเวิร์คส์เข้าเป็นผู้สนับสนุนระดับโลกแบบพรีเมียมช่วยให้เราสามารถเข้าถึงความรู้และประสบการณ์ขององค์กรในฐานะผู้บุกเบิกด้านวิศวกรรมและจักรกลอัตโนมัติ จูนิเปอร์จะให้การสนับสนุน พร้อมสร้างแรงบันดาลใจแก่เยาวชนผู้เข้าแข่งขัน ภายใต้การเรียนรู้ในสาขาวิชา  STEM เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จในอาชีพต่อไป

คลอส ดิทลีย์ คริสเตนเซน (Claus Ditlev Christensen), เลขาธิการสมาคมการแข่งขันโอลิมปิกหุ่นยนต์

งานของผมคือการค้นหาและบอกเล่าเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจจากการนำเสนอความสุดยอดของผู้คน เมื่อผมได้ยินเกี่ยวกับการแข่งขัน WRO จากจูนิเปอร์ ซึ่งเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ ความมุ่งมั่น และความตั้งใจของคนหนุ่มสาว ผมก็อดตื่นเต้นไม่ได้ หลายๆ ทีมที่เข้าแข่งขันไม่ได้มีพื้นฐานการศึกษาตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น ดังนั้น ความสำเร็จของพวกเขาจึงเป็นสิ่งที่น่าทึ่งและน่าประทับใจมาก นอกจากนี้ ยังเป็นการดีมากที่ผมได้ทำงานกับผู้สร้างนวัตกรรมทางเทคโนโลยีอย่างจูนิเปอรเพื่อช่วยให้เด็กรุ่นใหม่ได้คิดพิจารณาเกี่ยวกับการศึกษาด้าน STEM ของพวกเขาอย่างสร้างสรรค์

เจมส์ เรดฟอร์ด (James Redford) ผู้ผลิตภาพยนตร์และสารคดี

ในยุคดิจิทัล เครือข่ายเป็นหัวใจสำคัญของทุกชุมชน ทุกรัฐบาลและทุกระบบเศรษฐกิจ จักรกลอัตโนมัติกลายเป็นกุญแจสำคัญของเทคโนโลยีดังกล่าว ที่ทำงานควบคู่ไปกับมนุษย์เพื่อสร้างสรรค์และบริหารจัดการเครือข่ายที่สามารถขยายตัว มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วระดับเสี้ยววินาที เพื่อนำเสนอบริการที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม ปัญหาด้านการขาดแคลนผู้มีทักษะด้านเทคโนโลยีมีแนวโน้มขยับตัวสูงขึ้นในอนาคต ซึ่งจะก่อให้เกิดผลกระทบด่อศักยภาพในการพัฒนาเครือข่ายอัจฉริยะ

สิ่งสำคัญสำหรับคนรุ่นต่อไปคือการทำความเข้าใจถึงความสำคัญของจักรกลอัตโนมัติ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ การเรียนรู้ด้วยเครื่อง (Machine Learning), การแปลงเป็นภาพ (visualization) เพื่อนำเทคโนโลยีไปสู่อนาคต จูนิเปอร์เน็ตเวิร์คส์มีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยีระดับโลกของการแข่งขัน WRO รอบชิงชนะเลิศ ในปี ..2561 และต่อไปในอนาคต เพราะการแข่งขันดังกล่าวนับเป็นสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้คิดค้นจักรกลอัตโนมัติในอนาคต

ไมค์ มาร์เซลลิน (Mike Marcellin) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการตลาดของจูนิเปอร์เน็ตเวิร์คส

ข้อมูลเพิ่มเติม

###

เกี่ยวกับจูนิเปอร์เน็ตเวิร์คส

จูนิเปอร์เน็ตเวิร์คส์ช่วยลดความซับซ้อนของเครือข่ายโดยใช้ผลิตภัณฑ์ โซลูชั่นส์ และการบริการในยุคเทคโนโลยีคลาวด์ (cloud) ที่ปรับเปลี่ยนวิธีการที่มนุษย์เชื่อมต่อกัน  ทำงานและดำเนินชีวิต เราได้ลดข้อจำกัดเดิมๆ ของระบบเครือข่ายเพื่อทำให้ลูกค้าและพันธมิตรของเราสามารถนำเสนอระบบเครือข่ายที่เชื่อมต่อบนโลก ซึ่งทำงานได้โดยอัตโนมัติ วัดค่าได้ และมีความปลอดภัย ท่านสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ จูนิเปอร์เน็ตเวิร์คส (www.juniper.net) หรือติดต่อจูนิเปอร์ผ่านทาง Twitter, LinkedIn and Facebook

จูนิเปอร์เน็ตเวิร์คส์ จูนิเปอร์เน็ตเวิร์คส์โลโก้ และ Junos เป็นเครื่องหมายการค้าที่ได้รับการจดทะเบียนโดยบริษัท จูนิเปอร์ เน็ตเวิรค์ส์ จำกัด และ/หรือ บริษัทในเครือในประเทศสหรัฐอเมริกาและในประเทศอื่นๆ ชื่ออื่นๆ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของเจ้าของลิขสิทธิ์ที่เกี่ยวข้อง

from:https://www.techtalkthai.com/juniper-networks-announces-sponsorship-wro-2018/

[PR] เวสเทิร์น ดิจิตอล แนะนำการ์ดความจำเพื่อการรักษาความปลอดภัยโดยเฉพาะ รองรับการบันทึกวีดีโอรุ่นใหม่ตลอด 24 ชั่วโมงได้อย่างน่าเชื่อถือ

Western Digital Purple microSD เติมเต็มกลุ่มอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล “ระดับรักษาความปลอดภัย” (Surveillance-Class) แบบ Edge-to-Core มอบโซลูชั่นส์การบันทึก เปลี่ยนแปลง จัดเก็บรักษา และเข้าถึงข้อมูลวีดีโอเพื่อการรักษาความปลอดภัยได้แบบเรียลไทม์

กรุงเทพฯ ประเทศไทย — 24 เมษายน 2561 — การเริ่มบันทึกภาพวีดีโอความคมชัดสูงตามมาตรฐาน 4K Ultra HD ทำให้การใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการวิเคราะห์ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตและพัฒนาการที่รวดเร็วของการบันทึกข้อมูลเพื่อการรักษาความปลอดภัย เวสเทิร์น ดิจิตอล คอร์ปอเรชั่น (NASDAQ: WDC) จึงประกาศเปิดตัวการ์ดความจำ Western Digital® Purple microSD™ card ที่ผลิตขึ้นโดยเฉพาะเพื่อรองรับความต้องการการใช้งานข้อมูลแบบมีพลวัตและซับซ้อนของกล้องวงจรปิดยุคใหม่และระบบที่ขอบเครือข่าย

ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งกล้องวงจรปิดในองค์กรธุรกิจเพื่อรักษาความปลอดภัยของทรัพย์สินหรือการติดตั้งกล้องในร้านค้าเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการจับจ่ายซื้อสินค้าอย่างถูกต้องผ่านการจดจำใบหน้า การบันทึกภาพและประเมินทุกช่วงเวลาถือว่ามีความสำคัญ  เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบันทึกวีดีโอเพื่อการรักษาความปลอดภัย ผู้ใช้งานระบบกล้องวงจรปิดสามารถไว้วางใจในคุณภาพของการ์ดความจำ Western Digital Purple microSD ที่รองรับการใช้งานตลอดเวลาของกล้องวงจรปิด การ์ดความจำรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพโดดเด่นนี้จะสามารถบันทึกและจัดเก็บรักษาภาพวีดีโอความละเอียดสูงได้หลายมาตรฐานและด้วยฟอร์แมตรุ่นใหม่หลายรูปแบบ รวมถึงวีดีโอมาตรฐานความละเอียดสูง 4K Ultra HD พร้อมกับสนับสนุนการเคลื่อนย้ายข้อมูลไปสู่ระบบข้อมูลหลักเพื่อทำการวิเคราะห์และประเมินข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจอย่างรวดเร็ว การออกแบบที่แข็งแรงและทนทานต่อความชื้นของการ์ดความจำรุ่นใหม่นี้สร้างความเชื่อมั่นในการบันทึกวีดีโอภายใต้สภาพแวดล้อมที่หลากหลาย รวมถึงการบันทึกกลางแจ้งท่ามกลางหิมะที่ตกหนักในฤดูหนาวและการบันทึกในร่มภายในโรงงานที่ร้อนและมีความชื้น

“ทั้งข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ข้อมูลที่มีความเร็ว (Fast Data) และการใช้งานที่มุ่งเน้นข้อมูลเป็นหลักอย่างกล้องวงจรปิด คุณสมบัติของข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดทั้งในด้านปริมาณ ความเร็ว ความหลากหลายและมูลค่า ด้วยการใช้ศักยภาพขั้นสูงของเราในด้านการพัฒนานวัตกรรมการ์ดความจำสำหรับผู้บริโภคและอุตสาหกรรม การ์ดความจำ Western Digital Purple microSD คือโซลูชั่นในอุดมคติสำหรับการใช้งานข้อมูลเพื่อการรักษาความปลอดภัยเพื่อการพาณิชย์ในวงกว้างที่ขอบปลายของเครือข่าย” คริสโตเฟอร์ เบอร์กีย์ รองประธานฝ่ายโซลูชั่นแบบฝังและผสมผสานของเวสเทิร์น ดิจิตอลกล่าว “ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกวีดีโอมาตรฐาน 4K ในกล้องเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือการเป็นส่วนหนึ่งของระบบข้อมูลขนาดใหญ่กว่าที่รองรับการใช้งาน ‘กล้องวงจรปิดที่ชาญฉลาด’ การ์ดความจำที่มีความแข็งแรงและอัจฉริยะรุ่นนี้มอบความทนทานใน ‘ระดับรักษาความปลอดภัย’ และประสิทธิภาพที่เป็นเลิศเพื่อรองรับการบันทึกภาพวีดีโอที่เชื่อถือได้ในสถานการณ์ที่ท้าทายที่สุด เมื่อผนวกรวมกับฮาร์ดดิสก์ที่ได้รับความนิยมอย่าง Purple และ Ultrastar เพื่อการจัดเก็บรักษาข้อมูลและการวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ เวสเทิร์น ดิจิตอลสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์การจัดเก็บข้อมูลเพื่อการรักษาความปลอดภัยที่ครอบคลุมที่สุดในอุตสาหกรรมตั้งแต่ปลายขอบสู่ใจกลางเครือข่าย”

มีประสิทธิภาพตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มขึ้นในการใช้ข้อมูลเพื่อการรักษาความปลอดภัย

นอกจากการออกแบบเพื่อรองรับวีดีโอที่มีความละเอียดหลายระดับและการบันทึกภาพวีดีโอเพื่อการรักษาความปลอดภัย การ์ดความจำ microSD รุ่นใหม่ยังมีคุณสมบัติดังนี้

  • ความแข็งแรงทนทานเพื่อการบันทึกได้อย่างต่อเนื่อง: รองรับวงจรการเขียนและลบข้อมูลสูงสุด 1,000 ครั้ง
  • มีฟังก์ชั่นการตรวจสอบสถานะการใช้งานการ์ดความจำเพื่อการดูแลรักษาที่ง่ายดาย: เมื่อใช้งานกับกล้องที่รองรับการ์ดความจำนี้ การตรวจสอบสถานะที่มีลักษณะเฉพาะสามารถมอบข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพการใช้งานที่มีความสำคัญให้ผู้ใช้งานและผู้ติดตั้งระบบได้รับทราบ ไม่ว่าจะเป็นความทนทานของการ์ด สถานะด้านความจุ การคาดการณ์อัตราความเสื่อม และขจัดการ ’คาดเดา’ ออกจากกระบวนการดูแลรักษาการ์ด
  • มีประสิทธิภาพสูงสำหรับวีดีโอรุ่นใหม่: มีความเร็วในการอ่านต่อเนื่องสูงสุด 80 MB ต่อวินาที และการเขียนต่อเนื่อง 50 MB ต่อวินาที พร้อมรองรับความเร็วระดับ Speed Class 10 และ UHS Speed Class 11
  • การบันทึกวีดีโอที่เชื่อถือได้ในสภาพอากาศที่หลากหลาย: ออกแบบมาเพื่อใช้งานในอุณหภูมิตั้งแต่ -25 องศาเซลเซียสถึง 85 องศาเซลเซียส ไว้วางใจได้ในการบันทึกข้อมูลทั้งในร่มและกลางแจ้ง
  • มีหน่วยความจำสูงเพื่อการบันทึกและจัดเก็บรักษาวีดีโอ ถ้าการเชื่อมต่อเครือข่ายมีปัญหา: มีศักยภาพความจุสูงสุด 64GB22

ระบบการตรวจตราเฝ้าระวังในปัจจุบันมีพัฒนาก้าวล้ำหน้าเกินกว่าการบันทึกข้อมูลความละเอียดต่ำแบบเดิมๆ แต่เป็นการบันทึกวีดีโอมาตรฐาน 4K และการใช้ซอฟต์แวร์เพื่อการวิเคราะห์รุ่นใหม่ที่มีความล้ำสมัยเพื่อปลดล็อกมูลค่าทางธุรกิจของการบันทึกภาพวีดีโอ” ไมเคิล พัลมา ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีกึ่งเหนี่ยวนำและเทคโนโลยีเสริมของไอดีซี รีเสิร์ช กล่าว “ผลลัพธ์ก็คือการเพิ่มขึ้นของปริมาณข้อมูลและความเร็วการไหลของข้อมูลเพื่อการรักษาความปลอดภัยที่ปลายขอบเครือข่าย และทำให้เกิดความต้องการโซลูชั่นส์จัดเก็บข้อมูลที่สนับสนุนการใช้วีดีโอ 4K ที่มีการทำงานตลอดเวลา 24 ชั่วโมง รวมถึงการเคลื่อนที่ของวีดีโอเพื่อข้อมูลเชิงลึกที่ชาญฉลาด”

Western Digital Purple ช่วยให้กลุ่มผลิตภัณฑ์เก็บข้อมูลเพื่อการรักษาความปลอดภัยมีการเติบโต

การ์ดความจำ Western Digital Purple microSD รุ่นใหม่เติมเต็มกลุ่มอุปกรณ์การจัดเก็บข้อมูลที่ผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการอย่างเฉพาะเจาะจงในด้านการรักษาความปลอดภัยในปัจจุบัน ซึ่งครอบคลุมทั้งฮาร์ดดิสก์ Western Digital Purple Surveillance HDD สำหรับการใช้งานความจุสูงในระบบบันทึกวิดีโอแบบดิจิตอล (Digital Video Recorder หรือ DVR) และระบบบันทึกและจัดการกล้องวงจรปิดในระบบ IP (Network Video Recorder หรือ NVR) และฮาร์ดดิสก์ Ultrastar® HDD สำหรับการใช้งานในเซิร์ฟเวอร์จัดการเว็บไซต์เพื่อวิเคราะห์ความปลอดภัย เมื่อผนวกรวมกันทำให้เกิดเป็นโซลูชั่นที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้รวมระบบและผู้ติดตั้งระบบให้สามารถบันทึก จัดเก็บรักษา เข้าถึง และปรับเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการรักษาความปลอดภัย นอกจากนี้ เวสเทิร์น ดิจิตอลยังนำเสนอ SanDisk® Industrial โซลูชั่นส์การ์ดจัดเก็บข้อมูลให้แก่ผู้รับจ้างผลิตสินค้าเพื่อใช้กับกล้องที่มีระบบการวิเคราะห์ภายในตัว และการใช้งานที่หลากหลายของกล้องวงจรปิดที่มีการเชื่อมต่อ

ราคาและการจัดจำหน่าย

การ์ดความจำ microSD รุ่นใหม่นี้จะพร้อมจัดจำหน่ายตั้งแต่กลางพฤษภาคมเป็นต้นไป สามารถหาซื้อได้ที่ซินเน็ค ประเทศไทย ในขนาด 32GB (WDD032G1P0A) ราคา 790 บาท และขนาด 64GB (WDD064G1P0A) ราคา 1,190 บาท การ์ดหน่วยความจำรุ่นนี้มีจำหน่ายทั้งแบบเดี่ยวและแบบแพ็คเกจ 25 ชิ้นสำหรับผู้รวมระบบและผู้ติดตั้งระบบเพื่อการรักษาความปลอดภัย

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมของการ์ดความจำ Western Digital Purple microSD และกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อการรักษาความปลอดภัยของเวสเทิร์น ดิจิตอล เข้าชมได้ที่บูธของเวสเทิร์น ดิจิตอลที่งาน ISC West International Security Conference & Exposition (บูธหมายเลข 2089) หรือเข้าชมเว็บไซต์ https://www.wdc.com/edge-to-core

###

เกี่ยวกับเวสเทิร์น ดิจิตอล

เวสเทิร์น ดิจิตอล สร้างสภาพแวดล้อมสำหรับข้อมูลเจริญเติบโต บริษัทได้ผลักดันนวัตกรรมที่จำเป็นเพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถเก็บ รักษา เข้าถึง และแปลงความหลากหลายของข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้น ข้อมูลมีอยู่ทุกที่ ตั้งแต่ศูนย์ข้อมูลขั้นสูงไปเซ็นเซอร์มือถือไป จนถึงอุปกรณ์ส่วนบุคคล โซลูชันชั้นนำในอุตสาหกรรมของเราได้ส่งมอบความเป็นไปได้ของข้อมูล

โซลูชันข้อมูลเป็นศูนย์กลางของ Western Digital® วางตลาดภายใต้แบรนด์ G-Technology™, HGST, SanDisk®, Tegile™, Upthere™ และ WD®

เวสเทิร์น ดิจิตอล (Western Digital), โลโก้ Western Digital, Ultrastar และ WD Purple เป็นเครื่องหมายจดทะเบียน หรือเป็นเครื่องหมายการค้าของเวสเทิร์น ดิจิตอล คอร์ปอเรชั่น หรือบริษัทในเครือในประเทศสหรัฐอเมริกาและ/หรือประเทศอื่นๆ microSD เป็นเครื่องหมายการค้าของ SD-3C, LLC เครื่องหมายอื่น ๆ ทั้งหมดเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่เกี่ยวข้อง รูปภาพที่แสดงอาจแตกต่างจากผลิตภัณฑ์จริง ข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

© 2018 Western Digital Corporation หรือเครื่องหมายของบริษัทในเครือทั้งหมดเป็นเครื่องหมายการค้าของเจ้าของนั้นซึ่งสงวนลิขสิทธิ์ทั้งหมด

1 – เมกาไบต์ (MB) ต่อวินาทีหรือเท่ากับ 1 ล้านไบต์ต่อวินาที จากการทดสอบภายในองค์กร ประสิทธิภาพอาจมีความแตกต่าง ขึ้นอยู่กับส่วนประกอบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ รวมถึงการกำหนดค่า

2 – ตามที่ถูกใช้ในความจุหน่วยความจำ โดย 1 กิกะไบต์ (GB) เท่ากับ 1 พันล้านไบต์ การใช้งานความจุทั้งหมดอาจมีความแตกต่าง ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมการปฏิบัติงาน

แถลงการณ์การคาดการณ์ ในอนาคต

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้มีแถลงการณ์การคาดการณ์ในอนาคตบางประการ ซึ่งรวมถึงวันที่คาดว่าจะวางจำหน่าย ราคาและประสิทธิภาพการทำงานของ Western Digital Purple microSD card มีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวกับการแถลงการณ์ ในอนาคตนี้ที่อาจเกิดความคลาดเคลื่อน ซึ่งรวมไปถึง การเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดจากองค์กรมาตรฐาน ความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจโลก สภาพธุรกิจและการเติบโตในระบบนิเวศของระบบจัดเก็บข้อมูล ผลกระทบจากราคาและสินค้าคู่แข่ง การยอมรับในตลาดและราคาวัตถุดิบของสินค้าโภคภัณฑ์และชิ้นส่วนเฉพาะของสินค้า การกระทำจากคู่แข่งทางการค้า การแข่งขันทางด้านเทคโนโลยีที่ไม่คาดคิด การพัฒนาของเราและการแนะนำผลิตภัณฑ์ซึ่งใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ และการขยายตัวเพื่อเข้าสู่ตลาดด้านการจัดเก็บใหม่ๆ การควบกิจการและการร่วมทุน ความยุ่งยากหรือความล่าช้าด้านการผลิต ปัจจัยด้านความเสี่ยงอื่นๆ และความไม่แน่นอน ตามรายงานจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (เรียกว่า “SEC”) รวมถึงรายงานตามช่วงเวลาล่าสุดซึ่งต้องการให้คุณได้ศึกษา เวสเทิร์น ดิจิตอล ไม่มีความตั้งใจใดๆ ในการปรับปรุงข้อมูลที่ปรากฏในข่าวประชาสัมพันธ์นี้

from:https://www.techtalkthai.com/western-digital-purple-microsd/

[PR] เวสเทิร์น ดิจิตอล ขยายโซลูชันฮาร์ดไดรฟ์ระดับองค์กรขนาดกลาง รองรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมข้อมูลขนาดใหญ่ภายในองค์กร

กรุงเทพฯ ประเทศไทย – 29 มกราคม 2561 – หลังจากประสบความสำเร็จกับการยกระดับความคุ้มค่าด้านต้นทุนการเป็นเจ้าของ (Total Cost of Ownership หรือ TCO) ด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีฮาร์ดไดรฟ์แบบฮีเลียม เฮลิโอซีล (HelioSeal®) และเป็นผู้นำไดรฟ์ความจุสูงชั้นนำในอุตสาหกรรม เวสเทิร์น ดิจิตอล คอร์ปอเรชั่น (Western Digital Corporation) (NASDAQ: WDC) เดินหน้าขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้าระดับองค์กรด้วยฮาร์ดไดรฟ์ที่ใช้เทคโนโลยีระบบอากาศซีรีส์ขนาดกลางความจุ 4 เทราไบต์ (TB) 6 เทราไบต์ และ 8 เทราไบต์ ผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่นี้ช่วยให้ศูนย์ข้อมูลระดับองค์กรต่างๆ สามารถกำหนดชุดข้อมูลที่มีขนาดเล็กกว่าในสภาพแวดล้อมไฮเปอร์สเกลเพื่อใช้ประโยชน์จากความสามารถของข้อมูลทั่วทุกขอบเขตการใช้งานข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น การวิเคราะห์และระบบไฟล์แบบกระจาย

เวสเทิร์น ดิจิตอล เป็นผู้นำตลาดฮาร์ดไดรฟ์ระดับองค์กรความจุสูงสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมไฮเปอร์สเกลและแบบคลาวด์ ด้วยไดรฟ์ความจุ 10TB 12 TB และ 14TB ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีเฮลิโอซีล ซึ่งเป็นการฝังฮีเลียมในไดรฟ์ทำให้เกิดความจุและความหนาแน่นระดับสูงสุดเพื่อให้มีต้นทุนการเป็นเจ้าของต่ำที่สุด (หรือดีที่สุด) อย่างไรก็ตาม การใช้งานหลายรูปแบบมีชุดข้อมูลขนาดเล็กหรือสามารถใช้ประโยชน์จากการแบ่งส่วนหน่วยความจำที่มีความจุต่ำกว่าของฮาร์ดไดรฟ์เทคโนโลยีระบบอากาศ ระบบศูนย์ข้อมูลแบบดั้งเดิมหลายแห่งยังคงใช้งานไดรฟ์ความจุปานกลางสำหรับระบบ RAID ที่จัดเก็บข้อมูลแบบบล็อกและแบบไฟล์ 

“ความสำคัญของบิ๊กดาต้ากำลังขับเคลื่อนความต้องการใช้งานไดรฟ์ที่มีความจุสูงขึ้นในทุกขอบเขตการใช้งานที่กว้างขวาง” นายเบรนแดน คอลลินส์ รองประธานฝ่ายการตลาด หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์ของเวสเทิร์น ดิจิตอล กล่าว “ปัจจุบัน การใช้งานระดับกลางกำลังพัฒนาขึ้นจาก 1TB และ 2TB เทราไบต์ไปสู่หน่วยความจำที่สูงขึ้น โซลูชันใหม่ระดับองค์กรของเราผสมผสานความเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีและความคุ้มค่าต่อการเป็นเจ้าของในกลุ่มผลิตภัณฑ์การจัดเก็บข้อมูลระดับองค์กรของเวสเทิร์นดิจิตอลเข้ากับการออกแบบฮาร์ดไดรฟ์เทคโนโลยีระบบอากาศที่มีความหนาแน่นสูง เปิดโอกาสให้บริษัทผู้รับจ้างผลิต (OEM) สามารถนำเสนอศูนย์ข้อมูลให้เป็นโซลูชันสำหรับการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ภายในองค์กรแทนที่จะต้องโอนถ่ายไปสู่ระบบคลาวด์ทั้งหมด”

ระบบไฟล์แบบกระจาย เช่น อาปาเช่ ฮาดูป® (Apache Hadoop®) มักมีปริมาณการเวิร์กโหลดที่ต้องมีความหนาแน่นสูงกว่าเพื่อรักษาประสิทธิภาพเมื่อต้องวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ความจุที่ “เหมาะสมที่สุด” สำหรับการใช้งานเหล่านี้ คือ 4TB 6TB และ 8TB โซลูชันรุ่นใหม่ระดับองค์กรของเวสเทิร์น ดิจิตอลได้รับการออกแบบเพื่อเติมเต็มช่องว่างนี้ พร้อมกับนำเสนอประสิทธิภาพระดับองค์กรและมีข้อกำหนดทางเทคนิคที่เหมาะสมกับหุ้นส่วนที่รับจ้างผลิต (OEM) เพื่อตอบสนองลูกค้าด้วยความจุและราคาจำหน่ายที่หลากหลาย รวมถึงการรักษาความเชื่อมั่นขององค์กรซึ่งเป็นสิ่งที่สถาปนิกผู้พัฒนาศูนย์ข้อมูลในปัจจุบันต้องการ

เวสเทิร์น ดิจิตอล พร้อมตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าวได้ทันทีด้วยฮาร์ดไดรฟ์ อัลตราสตาร์ 7เค6 (Ultrastar® 7K6) ตัวใหม่ระดับองค์กร เทคโนโลยีระบบอากาศและใช้ดีไซน์ที่ผนวกการใช้จานแม่เหล็ก 4 ดิสก์ มีความจุ 4TB และ 6TB ผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่นี้มาพร้อมประสิทธิภาพการทำงานเร็วขึ้นถึง 12 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับอัลตราสตาร์ 7เค6000 (Ultrastar 7K6000) รุ่นก่อนหน้า และยังได้รับการออกแบบเพื่อการจัดเก็บข้อมูลแบบดั้งเดิมและการใช้งานกับเซิร์ฟเวอร์ รวมถึงการประมวลผลแบบกระจายและยืดหยุ่น และโครงสร้างการจัดเก็บข้อมูลแบบบล็อกและแบบไฟล์ ภายในช่วงปลายไตรมาสนี้ บริษัทฯ จะนำเสนอโซลูชันอัลตราสตาร์ 7เค8 (Ultrastar 7K8) ความจุ 8TB ซึ่งพัฒนาบนดีไซน์เทคโนโลยีระบบอากาศ และนับเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 9 ของแพลทฟอร์มจานแม่เหล็ก 5 ดิสก์ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Ultrastar 7K6 และ 7K8 เข้าชมได้ที่เว็บไซต์

โซลูชันความจุ 4TB 6TB และ 8TB จะผลิตและพร้อมจำหน่ายในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีปฏิทินพ.ศ. 2561 เวสเทิร์น ดิจิตอลใช้เทคโนโลยีหน่วยความจำแบบชั่วคราว (Media cache) และหน่วยความจำถาวรแบบแฟลช (NVC) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเขียนข้อมูล ไดรฟ์ระดับองค์กรรุ่นใหม่เหล่านี้มาพร้อมอินเตอร์เฟซระบบ SATA หรือ SAS ตลอดจนอายุใช้งานเฉลี่ย (MTBF) ระดับองค์กรที่ 2 ล้านชั่วโมง

###

เกี่ยวกับเวสเทิร์น ดิจิตอล

เวสเทิร์น ดิจิตอลสร้างผลิตภัณฑ์และการบริการเพื่อรองรับข้อมูลที่มีการเติบโต บริษัทได้ผลักดันนวัตกรรมที่จำเป็นเพื่อช่วยทำให้ลูกค้าสามารถจับข้อมูล รักษาข้อมูล เข้าถึงและแปลงความหลากหลายของข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้น ข้อมูลนั้นมีอยู่ทุกที่ตั้งแต่ศูนย์ข้อมูลขั้นสูงไปจนเซ็นเซอร์ในโทรศัพท์จนถึงอุปกรณ์ต่างๆ ส่วนตัว โซลูชันที่เป็นผู้นำของอุตสาหกรรมของเรานำเสนอความเป็นไปได้ของข้อมูล โซลูชันที่มีข้อมูลเป็นศูนย์กลางของเวสเทิร์น ดิจิตอล® วางตลาดภายใต้แบรนด์ G-Technology™ HGST SanDisk® Upthere™ และ WD®

from:https://www.techtalkthai.com/wd-low-cap-enterprise-hdd/

[PR] เวสเทิร์น ดิจิตอล เร่งเดินหน้าสู่อนาคตของสถาปัตยกรรมการประมวลผลรุ่นใหม่ เพื่อรองรับสภาพแวดล้อมสำหรับ Big Data และ Fast Data

บริษัทมีการเปลี่ยนการใช้งานซีพียูกว่า 1 พันล้านชุดต่อปีให้เป็นสถาปัตยกรรม RISC-V เพื่อขับเคลื่อนโปรเซสเซอร์แบบโอเพ่นซอร์ส (Open Source Processors) สำหรับศูนย์ข้อมูล (Data Center) และการประมวลผลส่วนปลายเครือข่าย (Edge Computing)

Circuit board with CPU. Motherboard system chip with glowing processor. Computer´s technology and internet concept. 3d illustration

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 6 ธันวาคม 2560 – เวสเทิร์น ดิจิตอล คอร์ป (NASDAQ: WDC) ประกาศที่งาน ประชุมเชิงปฏิบัติการ RISC-V Workshop ครั้งที่ 7 ว่าจะก้าวเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมสู่การใช้สถาปัตยกรรมการประมวลผลแบบเปิดกว้างที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะทางเพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้นในโลกที่มีข้อมูลเป็นศูนย์กลาง คุณมาร์ติน ฟิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของเวสเทิร์น ดิจิตอลเผยถึงความมุ่งมั่นของบริษัทที่จะเป็นผู้นำความก้าวหน้าของสภาพแวดล้อมการประมวลผลข้อมูลบนพื้นฐาน RISC-V (RISC-V Foundation) RISC-V คือสถาปัตยกรรมการประมวลผลแบบเปิดและมีความยืดหยุ่นที่ตอบสนองต่อการใช้งานที่มีความหลากหลายของข้อมูลขนาดใหญ่หรือบิ๊กดาต้า (Big Data) และข้อมูลที่รวดเร็วหรือฟาสท์ดาต้า (Fast Data) รวมถึงการขยายตัวของปริมาณงานในศูนย์ข้อมูลคลาวด์ส่วนกลางและในระบบระยะไกลและระบบเคลื่อนที่ที่ปลายขอบเครือข่าย บทบาทผู้นำของเวสเทิร์น ดิจิตอลในการริเริ่มใช้ RISC-V ถือว่ามีความสำคัญเนื่องจากบริษัทฯ มุ่งเร่งการพัฒนาความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องด้วยการปรับเปลี่ยนการใช้งานซีพียูมากกว่า 1 พันล้านชุดต่อปีไปเป็น RISC-V

สภาพแวดล้อมสำหรับบิ๊กดาต้าและฟาสท์ดาต้าขยายตัวมากขึ้นจนเกินกว่าขอบเขตของสถาปัตยกรรมระบบและโครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิม สถาปัตยกรรมและเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อ “จุดประสงค์ทั่วไป” ซึ่งใช้งานมานานหลายทศวรรษกำลังถึงขีดจำกัดทั้งด้านขนาด ประสิทธิภาพ และสมรรถนะ โดยปกติแล้ว การใช้งานตามจุดสงค์ทั่วไปในสถาปัตยกรรมที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานทั่วไปจะมีทรัพยากรการประมวลผลที่มีอัตราส่วนคงที่ อาทิ ระบบประมวลผลปฏิบัติการ (โอเอส หรือ OS) การประมวลผลโอนถ่ายเฉพาะทาง หน่วยความจำ การจัดเก็บข้อมูล และการเชื่อมต่อเครือข่าย เนื่องจากบิ๊กดาต้ามีขนาดใหญ่ขึ้นและรวดเร็วมากขึ้น เช่นเดียวกับฟาสท์ดาต้าก็มีความเร็วสูงขึ้นและมีขนาดใหญ่ขึ้น ระบบการประมวลผลเพื่อการใช้งานทั่วไปแบบ “ระบบเดียวใช้ได้ทั้งหมด” ไม่สามารถตอบสนองต่อการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้นในโลกของเราที่ให้ความสำคัญกับข้อมูล

สภาพแวดล้อมที่มีข้อมูลเป็นศูนย์กลาง

เมื่อความหลากหลายในการใช้งานบิ๊กดาต้าและฟาสท์ดาต้าขยายตัวเพิ่มขึ้น สถาปัตยกรรมการประมวลผลที่มีข้อมูลเป็นศูนย์กลางจำเป็นต้องมีความสามารถในการแยกทรัพยากรให้เป็นอิสระจากกัน สถาปัตยกรรมแห่งอนาคตจะต้องมีความสามารถเหนือกว่าสถาปัตยกรรมการประมวลผลที่มีอัตราส่วนมาตรฐานเพื่อการใช้งานทั่วไปอย่างมีขีดจำกัดและรองรับโซลูชั่นส์ที่ตอบสนองการใช้งานอย่างเฉพาะเจาะจงด้วยการประมวลผลระบบปฏิบัติการ การประมวลผลเฉพาะทาง หน่วยความจำ การจัดเก็บข้อมูล และการเชื่อมต่อเครือข่ายที่สอดคล้องตามข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อมูลแบบสุดขั้วและการประมวลผลสำหรับการวิเคราะห์ การเรียนรู้ของเครื่องจักร ปัญญาประดิษฐ์ และระบบอัจฉริยะล้วนต้องใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ออกแบบมาอย่างเฉพาะเจาะจง

“เวสเทิร์น ดิจิตอลเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูล และเรากำลังขยายจุดยืนความเป็นผู้นำไปสู่สถาปัตยกรรมการประมวลผลแบบเปิดที่มีข้อมูลเป็นศูนย์กลาง” คุณไมค์ คอร์ดาโน่ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการบริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอลกล่าวและเสริมอีกว่า “RISC-V จะเปิดโอกาสให้ทั้งอุตสาหกรรมได้ตระหนักถึงประโยชน์ของสถาปัตยกรรมรุ่นใหม่และยังช่วยให้เราสามารถสร้างสรรค์อุปกรณ์ แพลตฟอร์ม และระบบจัดเก็บข้อมูลที่รองรับการใช้งานเฉพาะทางสำหรับบิ๊กดาต้า และฟาสท์ดาต้าได้ เรากำลังก้าวข้ามขอบเขตของการจัดเก็บข้อมูลไปสู่การสร้างสภาพแวดล้อมขึ้นมาใหม่ทั้งหมดที่จะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์และโอกาสใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นจากข้อมูลของพวกเขา”

ยกระดับการประมวลผลเข้าใกล้ข้อมูลมากขึ้น

เวสเทิร์น ดิจิตอลเป็นผู้นำการให้บริการโซลูชั่นส์การยึดจับ รักษา เข้าถึง และเปลี่ยนแปลงข้อมูล สถาปัตยกรรม RISC-V จะช่วยให้บริษัทฯ สามารถมีส่วนร่วมและยกระดับชุมชนของนักประดิษฐ์ที่กว้างขวางโดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มพลังการประมวลผลให้ใกล้เคียงกับปริมาณข้อมูลมากขึ้น เมื่อบริษัทฯ นำพลังการประมวลผลเข้าใกล้กับข้อมูลมากขึ้น ลูกค้าจะสามารถลดการเคลื่อนที่ของข้อมูลที่ขอบเครือข่ายและภายในศูนย์ข้อมูล พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลบนพื้นฐานของตำแหน่ง ปริมาณงาน หรือความต้องการตามเวลา

เดินหน้าเร่งระบบนิเวศ RISC-V

เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าและความสำเร็จของระบบนิเวศ RISC-V เวสเทิร์น ดิจิตอลวางแผนเปลี่ยนแปลงการพัฒนาแกนซีพียู โปรเซสเซอร์ และคอนโทรลเลอร์ให้เป็นสถาปัตยกรรม RISC-V บริษัทฯ ใช้งานแกนซีพียูโปรเซสเซอร์ในผลิตภัณฑ์มากกว่า 1 พันล้านชุดต่อปี การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเมื่อเสร็จสมบูรณ์ เวสเทิร์น ดิจิตอลคาดว่าจะสามารถจัดส่งซีพียู RISC-V ได้ที่ 2 พันล้านชุดต่อไป บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยี RISC-V สำหรับการใช้งานในระบบหลัก เพื่อให้สามารถใช้งานในผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ได้

เวสเทิร์น ดิจิตอลยังมีพันธมิตรและมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องกับหุ้นส่วนในระบบนิเวศ RISC-V บริษัทฯ เพิ่งเสร็จสิ้นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ร่วมกับเอสเพอรานโต เทคโนโลยีส์ (Esperanto Technologies) ผู้พัฒนาโซลูชั่นส์การประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงานบนพื้นฐานของสถาปัตยกรรม RISC-V แบบเปิด เอสเพอรานโตมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองเมาเทนวิว รัฐแคลิฟอร์เนีย ประกอบด้วยวิศวกรโปรเซสเซอร์และซอฟต์แวร์ที่มีประสบการณ์สูง มีเป้าหมายสร้าง RISC-V ให้เป็นสถาปัตยกรรมที่ดีที่สุดสำหรับการใช้งานเชิงประมวลผลขั้นสูง อย่างการเรียนรู้ของเครื่องจักร

“การดำเนินการแบบเปิดได้แสดงให้โลกเห็นว่า นวัตกรรมจะเกิดขึ้นได้ดีที่สุดด้วยการทำงานร่วมกันของชุมชนขนาดใหญ่ที่มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน” ฟิงค์กล่าว “ด้วยสาเหตุนี้ เราจึงเปิดโอกาสให้ชุมชนได้ทำงานกับสถาปัตยกรรม RISC-V ของเรา เรายังสนับสนุนให้มีความร่วมมือที่เปิดกว้างสำหรับทุกฝ่ายในอุตสาหกรรม รวมถึงลูกค้าและหุ้นส่วนของเราเพื่อช่วยผลักดันและเร่งความพยายามของเราให้เกิดผล ด้วยการผนึกกำลังกันเช่นนี้ เราสามารถขับเคลื่อนนวัตกรรมที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลและสร้างความเชื่อมั่นว่า RISC-V จะประสบความสำเร็จเหมือนที่ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์เคยทำได้”

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมของการประกาศเกี่ยวกับ RISC-V สามารถเข้าชมการเผยแพร่การนำเสนอของมาร์ติน ฟิงค์ได้ที่เวิร์กช็อป RISC-V ครั้งที่ 7 ที่เว็บไซต์ http://innovation.wdc.com

ชมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ RISC-V Foundation และการเวิร์กช็อป RISC-V Workshop ครั้งที่ 7 ได้ที่เว็บไซต์ https://riscv.org

เกี่ยวกับเวสเทิร์น ดิจิตอล

เวสเทิร์น ดิจิตอลสร้างผลิตภัณฑ์และการบริการเพื่อรองรับข้อมูลที่มีการเติบโต บริษัทได้ผลักดันนวัตกรรมที่จำเป็นเพื่อช่วยทำให้ลูกค้าสามารถจับข้อมูล รักษาข้อมูล เข้าถึงและแปลงความหลากหลายของข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้น ข้อมูลนั้นมีอยู่ทุกที่ตั้งแต่ศูนย์ข้อมูลขั้นสูงไปจนเซ็นเซอร์ในโทรศัพท์จนถึงอุปกรณ์ต่างๆ ส่วนตัว โซลูชั่นที่เป็นผู้นำของอุตสาหกรรมของเรานำเสนอความเป็นไปได้ของข้อมูล โซลูชั่นที่มีข้อมูลเป็นศูนย์กลางของเวสเทิร์น ดิจิตอล วางตลาดภายใต้แบรนด์ G- Technology, HGST, SanDisk, Upthere และ WD

แถลงการณ์การคาดการณ์ในอนาคต

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้มีแถลงการณ์การคาดการณ์ในอนาคตบางประการ ซึ่งรวมถึงแถลงการณ์เกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลบนพื้นฐาน RISC-V (RISC-V Foundation) และความคิดริเริ่มต่างๆ การมีส่วนร่วมของเราและการลงทุนในระบบนิเวศ RISC-V การเปลี่ยนอุปกรณ์ แพลตฟอร์ม และระบบของเราให้เป็นสถาปัตยกรรม RISC-V การจัดส่งแกนประมวลผล RISC-V การกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ กลยุทธ์ทางธุรกิจและความพยายามในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โอกาสในการเติบโต แนวโน้มของตลาดและการเติบโตของข้อมูลและไดรเวอร์ของบริษัท มีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวกับการแถลงการณ์ ในอนาคตนี้ที่อาจเกิดความคลาดเคลื่อน ซึ่งรวมไปถึงและยังมีสิ่งอื่นๆ ด้วย ซึ่งรวมถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจกับพันธมิตรร่วมทุนของบริษัท ความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจโลก สภาพธุรกิจและการเติบโตในระบบนิเวศของระบบจัดเก็บข้อมูล ผลกระทบจากราคาและสินค้าคู่แข่ง การยอมรับในตลาดและราคาวัตถุดิบของสินค้าโภคภัณฑ์และชิ้นส่วนเฉพาะของสินค้า การกระทำต่างๆ จากคู่แข่งทางการค้า การแข่งขันทางด้านเทคโนโลยีที่ไม่คาดคิดในเรื่องการแข่งขันด้านเทคโนโลยี การพัฒนาของเราและการแนะนำผลิตภัณฑ์ซึ่งใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ และการขยายตัวเพื่อเข้าสู่ตลาดด้านการจัดเก็บใหม่ๆ การควบกิจการและการร่วมทุน ความยุ่งยากหรือความล่าช้าด้านการผลิต ปัจจัยด้านความเสี่ยงอื่นๆ และความไม่แน่นอน ตามรายงานจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (เรียกว่า “กลต.”) รวมถึงรายงานประจำปีในแบบฟอร์ม 10-K ของบริษัทที่ยื่นต่อกลต. เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2560 ซึ่งต้องการให้คุณได้ศึกษา คุณไม่ควรเชื่อมั่นในแถลงการณ์ที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้ ซึ่งได้กล่าวไว้ ณ วันที่ออกแถลงการณ์ เวสเทิร์น ดิจิตอล ไม่มีภาระผูกพันธ์ในการปรับปรุงความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ในกรณีที่เหตุการณ์ หรือสถานการณ์เปลี่ยนไปหลังจากวันที่เผยแพร่นี้

###

from:https://www.techtalkthai.com/western-digital-cpu-risc-v-change/

[PR] เวสเทิร์น ดิจิตอล เปิดตัวเทคโนโลยีรุ่นต่อไปที่ช่วยเก็บรักษาข้อมูลและเข้าถึงบิ๊กดาต้าในอีก 10 ปีข้างหน้า

บริษัทฯ ตอกย้ำความเป็นผู้นำอุตสาหกรรมการส่งมอบฮาร์ดดิสก์ที่มีขนาดความจุสูงสุดโดยการนำนวัตกรรมอันล้ำสมัยมาใช้กับเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลบนจานแม่เหล็ก

กรุงเทพฯ ประเทศไทย6 พฤศจิกายน 2560 เวสเทิร์น ดิจิตอล คอร์ปอเรชั่น (NASDAQ: WDC) ประกาศเปิดตัวนวัตกรรมอันล้ำสมัยเพื่อนำมาใช้ในการผลิตฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟความจุสูงขึ้นเป็นพิเศษที่งาน “Innovating to Fuel the Next Decade of Big Data” เพื่อรองรับความต้องการในอนาคตเกี่ยวกับบิ๊กดาต้าที่มีความเชื่อถือได้ในระดับศูนย์ข้อมูลที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ซึ่งงานนี้จัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทฯ ที่ ซิลิคอนแวลลีย์ นอกจากนี้ ยังมีการตัดแสดงฮาร์ดดิสก์ตัวแรกของโลกที่จัดเก็บข้อมูลบนจานแม่เหล็ก (MAMR) การนำเสนอจากผู้บริหารของบริษัท และศาตราจารย์ จิมมี่ ซู จากมหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน ซึ่งเป็นผู้คิดค้นเทคโนโลยี MAMR นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าที่มีในไมโครแอคซูเอเตอร์และเทคโนโลยีหัวอ่าน Damascene เวสเทิร์น ดิจิตอลคาดว่าจะวางจำหน่ายฮาร์ดดิสก์ความจุสูงเป็นพิเศษที่ใช้เทคโนโลยี MAMR ในปี พ.ศ. 2562 เพื่อไว้ใช้กับดาต้าเซ็นเตอร์ที่สนับสนุนแอพพลิเคชั่นที่ใช้ข้อมูลแบบบิ๊กดาต้าในอุตสาหกรรมต่างๆ

“เนื่องจากมีปริมาณ ความเร็ว ความหลากหลาย ความคุ้มค่าและอายุของทั้งบิ๊กดาต้าและข้อมูลที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลรุ่นใหม่มีความจำเป็นที่จะไม่เพียงแค่รองรับในเรื่องการขยายพื้นที่ความจุให้มากขึ้นกว่าที่เคยมีเท่านั้น แต่เราต้องช่วยลูกค้าวิเคราะห์และรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเข้าไปยังคลังข้อมูลที่เชื่อมต่อกันมากขึ้นของเรา” ไมค์ คอร์ดาโน ประธานและหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของเวสเทิร์น ดิจิตอล กล่าวและกล่าวเสริมว่า “ความก้าวหน้าที่ก้าวล้ำในด้านเทคโนโลยี MAMR ของเราจะช่วยให้เวสเทิร์น ดิจิตอล สามารถรองรับอนาคตของพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่มีความจุสูง ด้วยการกำหนดความหนาแน่นของพื้นที่จัดเก็บข้อมูลของฮาร์ดดิสก์และนำเสนออีกระดับของ “พื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่สูง” ที่มีความน่าเชื่อถือสูง เรามีข้อมูลที่สามารถติดตามได้สำหรับการระบุ การลงทุน และการส่งมอบเทคโนโลยีขั้นสูงที่สร้างประเภทผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และช่วยให้โลกตระหนักถึงความเป็นไปได้ของข้อมูล เมื่อห้าปีก่อนเราได้นำเทคโนโลยีเฮลิโอซีล (HelioSeal®) ของเราซึ่งเป็นการนำก๊าซฮีเลียมใส่เข้าไปในฮาร์ดิสก์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เราได้ส่งมอบฮาร์ดดิสก์แบบฮีเลียมกว่า 20 ล้านตัว ซึ่งความเป็นผู้นำและนวัตกรรมของฮาร์ดดิสก์ประเภทนั้นยังคงดำเนินมาจนถึงปัจจุบันและเรามุ่งที่จะใช้ประโยชน์จากมันให้ได้มากที่สุดในอนาคต”

เทคโนโลยีการบันทึกแบบไมโครเวฟ (Microwave-Assisted Magnetic Recording: MAMR) เป็นหนึ่งในสองเทคโนโลยีการนำเอาพลังงานเข้าช่วย (energy-assisted) ซึ่งเวสเทิร์น ดิจิตอลได้พัฒนามาหลายปีแล้ว ล่าสุด บริษัทฯ ได้คิดค้นความก้าวหน้าในด้านวัสดุและกระบวนการที่ให้ประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้และคาดการณ์ได้ รวมทั้งการผลิตเพื่อเร่งความหนาแน่นของพื้นที่และการปรับปรุงต้นทุนเพื่อประมาณค่าเฉลี่ยร้อยละ 15 ต่อปี การพัฒนาเทคโนโลยีการนำเอาพลังงานอื่นๆ โดยเฉพาะ เทคโนโลยีการบันทึกแบบความร้อนเข้าช่วย (Heat-Assisted Magnetic Recording: HAMR) นำเสนอวัสดุศาสตร์ใหม่และความท้าทายที่น่าเชื่อถือซึ่งไม่ได้เป็นปัจจัยในการบันทึกแบบไมโครเวฟ (MAMR) โดย MAMR แสดงถึงความน่าเชื่อถือและชุดต้นทุนที่ตรงกับความต้องการของผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์

หัวใจหลักของบริษัทในการพัฒนานวัตกรรมคือ ‘Spin Torque Oscillator’ ที่ใช้ในการสร้างคลื่นไมโครเวฟที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการบันทึกข้อมูลที่มีความหนาแน่นสูงโดยไม่สูญเสียความน่าเชื่อถือ เทคโนโลยี MAMR ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ของเวสเทิร์น ดิจิตอล คาดว่าจะมีขนาดมากกว่า 4 เทราไบต์ต่อตารางนิ้ว ด้วยความสามารถในการบันทึกข้อมูลที่มีความหนาแน่น MAMR จะสามารถรองรับฮาร์ดไดร์ฟที่มีกำลังการผลิต 40TB และมากกว่า ภายในปี พ.ศ. 2568 และยังคงพัฒนาต่อไป

จอห์น ไรด์นิง รองประธานฝ่ายวิจัยของ ฮาร์ด ดิส ไดรฟ์ส ไอดีซี กล่าวว่า “การเปิดตัวเทคโนโลยี MAMR ของเวสเทิร์น ดิจิตอล ถือเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ของเทคโนโลยี MAMR จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นในการบันทึกข้อมูลและลดค่าใช้จ่ายต่อเทอร์ไบต์ฮาร์ดดิสก์สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ขององค์กร ระบบวิดีโอตรวจการณ์ และผลิตภัณฑ์ NAS”

เทคโนโลยี MAMR ของเวสเทิร์น ดิจิตอล เป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่ช่วยเพิ่มความหนาแน่นในการเก็บข้อมูล ซึ่งคิดค้นขึ้นจากนวัตกรรมต่างๆ ของบริษัทฯ นอกเหนือจากเทคโนโลยีเฮลิโอซีลที่นำก๊าซฮีเลียมใส่เข้าไปในฮาร์ดิสก์แล้ว MAMR ยังสร้างขึ้นจากการใช้งานไมโครแอ็คเซสเมนต์และเทคโนโลยีการผลิตหัวบันทึกต่างๆ ของบริษัทฯ เทคโนโลยีการประมวลผลขั้นสูงที่ก้าวหน้าของเวสเทิร์น ดิจิตอล สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ที่สนับสนุนแอพพลิเคชั่น ช่วยให้ฮาร์ดดิสก์สามารถกำหนดตำแหน่งหัวอ่านแม่เหล็กสำหรับการเขียนและการอ่านข้อมูลที่ความหนาแน่นสูงได้อย่างแม่นยำและเชื่อถือได้ การผลิตหัวอ่านของบริษัทฯ เป็นผู้จัดจำหน่ายภายในเพียงรายเดียวที่ใช้กระบวนการแปรรูป Damascene ในการผลิตหัวอ่านที่มีความแม่นยำและมีโครงสร้างที่ซับซ้อน ทำให้การบันทึกข้อมูลมีความน่าเชื่อถือและคุ้มค่า โดยเฉพาะข้อมูลที่มีความหนาแน่นสูง กระบวนการ Damascene ยังมีความสามารถในการฝังตัว spin torque oscillator ที่ช่วยให้การผลิตหัวอ่าน MAMR การรวมกันของเทคโนโลยีเหล่านี้มอบค่าใช้จ่ายในการเข้าซื้อกิจการเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อต้นทุนการเป็นเจ้าของ (Total Cost of Ownership: TCO) ที่เหนือกว่าสำหรับทุกขนาดของระบบคลาวด์และศูนย์ข้อมูลระดับองค์กร

การเปิดตัวเทคโนโลยี MAMR ของเวสเทิร์น ดิจิตอล ถือเป็นความสำเร็จครั้งล่าสุดในทศวรรษของผู้นำด้านฮาร์ดดิสก์ รวมถึงสิทธิบัตรในด้านเทคโนโลยีฮาร์ดดิสก์ที่ได้รับการจดมากกว่า 7,000 ฉบับ ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีฮีเลียมฮาร์ดดิสก์อื่นๆ ที่กำลังดำเนินการอยู่ ตัวอย่างเช่น ที่ผ่านมาเร็วๆ นี้ เวสเทิร์น ดิจิตอลเปิดตัวเทคโนโลยีการบันทึกข้อมูลแบบซิงเกิลแมกเนติก (SMR) ครั้งแรกของโลก ซึ่งเป็นฮาร์ดไดรฟ์ระดับองค์กร ขนาด 14 เทราไบต์ เป็นต้น และประวัติอันยาวนานของการออกแบบดิสก์มัลติดิสก์ครั้งแรกของโลก

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเวสเทิร์น ดิจิตอล เทคโนโลยี MAMR ไปที่ http://innovation.wdc.com

สำหรับข้อมูลและภาพเพิ่มเติม ไปที่ http://bit.ly/2kHsNgf

###

เกี่ยวกับเวสเทิร์น ดิจิตอล®

เวสเทิร์น ดิจิตอลสร้างผลิตภัณฑ์และการบริการเพื่อรองรับข้อมูลที่มีการเติบโต บริษัทได้ผลักดันนวัตกรรมที่จำเป็นเพื่อช่วยทำให้ลูกค้าสามารถจับข้อมูล รักษาข้อมูล เข้าถึงและแปลงความหลากหลายของข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้น ข้อมูลนั้นมีอยู่ทุกที่ตั้งแต่ศูนย์ข้อมูลขั้นสูงไปจนเซ็นเซอร์ในโทรศัพท์จนถึงอุปกรณ์ต่างๆ ส่วนตัว โซลูชั่นที่เป็นผู้นำของอุตสาหกรรมของเรานำเสนอความเป็นไปได้ของข้อมูล

โซลูชั่นที่มีข้อมูลเป็นศูนย์กลางของเวสเทิร์น ดิจิตอล® วางตลาดภายใต้แบรนด์ G- Technology™, HGST, SanDisk®, Upthere™ และ WD®

เวสเทิร์น ดิจิตอล (Western Digital), โลโก้ของ Western Digital, G-Technology, HGST, SanDisk, Tegile, Upthere และ WD เป็นเครื่องหมายจดทะเบียน หรือเป็นเครื่องหมายการค้าของเวสเทิร์น ดิจิตอล คอร์ปอเรชั่น หรือบริษัทในเครือในประเทศสหรัฐอเมริกาและ/หรือประเทศอื่นๆ 

from:https://www.techtalkthai.com/western-digital-innovating-to-fuel-big-data/

[PR] เวสเทิร์น ดิจิตอล เปิดตัวฮาร์ดไดร์ฟระดับองค์กรความจุ 14 เทราไบต์ ครั้งแรกของโลก มอบความสามารถในการเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ในระบบคลาวด์และไฮเปอร์สเกล

เทคโนโลยี SMR รุ่นที่สอง มาคู่กับเทคโนโลยี HelioSeal® มอบความสามารถที่โดดเด่นในการเวิร์กโหลดจัดการเขียนข้อมูลในแบบเรียงลำดับ

กรุงเทพฯ 9 ตุลาคม 2560 – เวสเทิร์น ดิจิตอล คอร์ปอเรชั่น (NASDAQ: WDC) ผู้นำด้านเทคโนโลยีและโซลูชั่นการเก็บข้อมูลระดับโลก ประกาศให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ระบบคลาวด์และไฮเปอร์สเกล เพิ่มขีดความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลด้วยฮาร์ดไดร์ฟระดับองค์กรความจุ 14 เทราไบต์ ครั้งแรกของโลก โดดเด่นด้วยการใช้เทคโนโลยีการบันทึกข้อมูลแบบชิงเกิ้ลแมกเนติกหรือเทคโนโลยีเอสเอ็มอาร์ (shringled magnetic recording: SMR) แบรนด์ HGST ภายใต้ชื่อ “อัลตราสตาร์ เอชเอส 14 (Ultrastar® Hs14)” ของเวสเทิร์น ดิจิตอล นั้นมอบความจุที่มากขึ้นกว่าร้อยละ 40 และประสิทธิภาพในการเขียนข้อมูลที่ต่อเนื่องมากกว่าสองเท่าของรุ่นก่อน ช่วยทำให้ประหยัดมากขึ้นและมีประสิทธิภาพในการจับข้อมูลที่มีปริมาณการเติบโตสูงและหลากหลาย

อนาคตถูกสร้างขึ้นจากข้อมูลเชิงลึกและพลังแห่งการคาดการณ์ข้อมูลขนาดใหญ่ ในขณะที่ปริมาณข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ การเก็บข้อมูลทั้งหมดในราคาที่ไม่แพงและสามารถเข้าถึงได้ ถือเป็นความท้าทายสำหรับองค์กรและผู้ให้บริการคลาวด์และศูนย์ข้อมูล ปัจจัยด้านความจุต่อแร็ค การใช้พลังงาน การระบายความร้อน การบำรุงรักษา และค่าใช้จ่ายในการเข้าซื้อกิจการเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อต้นทุนการเป็นเจ้าของ (Total Cost of Ownership: TCO) เพื่อต่อสู้กับความท้าทายด้านข้อมูลขนาดใหญ่ Ultrastar Hs14 ให้ประสิทธิภาพในการทำงานที่เหนือชั้นและประสิทธิภาพการใช้พลังงานออนไลน์ (วัตต์ต่อเทราไบต์) สำหรับต้นทุนการเป็นเจ้าของที่ต่ำมาก โดยการใช้เทคโนโลยี 2 แกนหลัก ได้แก่ เทคโนโลยีเฮลิโอซีล (HelioSeal) รุ่นที่ 4 และ เทคโนโลยีเอสเอ็มอาร์รุ่นที่ 2 พร้อมด้วยความน่าเชื่อถือในระดับองค์กร เทคโนโลยีที่ได้รับการพิสูจน์การใช้งานมอบรากฐานสำหรับการส่งมอบประสิทธิภาพการทำงานที่มีคุณภาพและเชื่อถือได้ ตามสภาพแวดล้อมแบบคลาวด์และเฮลิโอซีล เหมาะสำหรับระบบจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีปริมาณการเวิร์กโหลดจัดการเขียนข้อมูลในแบบเรียงลำดับ ด้วยการใช้เทคโนโลยี SMR ฮาร์ดไดรฟ์อัลตราสตาร์ เอชเอส 14 จะเพิ่มความจุเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 16 เปอร์เซ็นต์ โดยที่ยังรักษาประสิทธิภาพการทำงานที่คาดการณ์ได้และน่าเชื่อถือสูง

“กว่าร้อยละ 70 ของข้อมูลมหึมาขนาดเอ็กซาไบต์ (Exabyte ) เวสเทิร์น ดิจิตอล เข้าสู่เซกเมนต์ของพื้นที่ความจุข้อมูลในระดับองค์กรบนฮาร์ดไดรฟ์ความจุสูงที่ใช้เทคโนโลยีฮีเลียม และยังคงมุ่งมั่นให้การสนับสนุนลูกค้าของเราด้วยความน่าเชื่อถือและการบริการที่เป็นเลิศ (QoS) ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมของเรานั้นจะช่วยให้ลูกค้าในหลากหลายกลุ่มได้รับการตอบสนองในเรื่องความต้องการด้านการพัฒนาและดาต้าเซ็นเตอร์แบบไดนามิกได้” มาร์ค เกรซ ประธานอาวุโสด้านอุปกรณ์ของ เวสเทิร์น ดิจิตอล กล่าวและเพิ่มเติมว่า “มูลค่าความเป็นเจ้าของทั้งหมดและความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์มเฮลิโอซีลของเราเป็นรากฐานของการเป็นผู้นำของระบบการจัดเก็บข้อมูลที่มีความจุสูงในระดับองค์กร”

คุณสมบัติและข้อมูลจำเพาะของ ฮาร์ดไดร์ฟระดับองค์กร อัลตราสตาร์ เอชเอส 14TB

เทคโนโลยีเฮลิโอซีล (HelioSeal Technology): เป็นเทคโนโลยีฮาร์ดไดร์ฟแบบฮีเลียมรุ่นที่สี่ของเวสเทิร์น ดิจิตอล ที่นำฮาร์ดไดรฟ์ความจุสูงสุดออกไปสู่ตลาดได้เร็วกว่าเทคโนโลยีของบริษัทคู่แข่ง

เทคโนโลยีการบันทึกข้อมูลแบบซิงเกิลแมกเนติก (SMR) ที่จัดการเครื่องแม่ข่าย (Host): การใช้การจัดเก็บข้อมูลระดับองค์กรรุ่นที่สองของการบันทึกข้อมูลแบบ SMR ที่จัดการเครื่องแม่ข่ายที่มอบความจุขนาด 14TB ด้วยประสิทธิภาพการทำงานที่แรงเต็มพลังและสม่ำเสมอ ฮาร์ดไดร์ฟแบบ SMR ที่จัดการเครื่องแม่ข่ายได้รับการออกแบบมาเพื่อสภาพแวดล้อมที่มีการเขียนข้อมูลอย่างต่อเนื่อง และจะไม่สามารถใช้แทนไดรฟ์ระดับองค์กรที่มีความจุแบบดั้งเดิมได้

เชื่อถือได้: อายุการใช้งานเฉลี่ย (Mean Time Between Failure หรือ MTBF) อยู่ที่ 2.5 ล้านชั่วโมง ซึ่งอยู่ในอันดับสูงที่สุดของกลุ่มอุตสาหกรรม

การจัดจำหน่าย

ฮาร์ดไดร์ฟระดับองค์กร อัลตราสตาร์ เอชเอส 14 กำลังอยู่ในช่วงสุ่มตัวอย่างเพื่อเลือกการรับจ้างผลิต ซึ่งมาพร้อมการรับประกันเป็นเวลา 5 ปี สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับไดร์ฟระดับองค์กร อัลตราสตาร์ เอชเอส 14 เทราไบต์ สามารถดูได้ที่ http://www.hgst.com/products/hard-drives/ultrastar-hs14

สามารถติดตามข้อมูลได้ที่
เว็บไซต์: http://www.hgst.com
เฟสบุ๊ค®: https://www.facebook.com/HGSTStorage/
ทวิตเตอร์®: @WesternDigiDC

ลิงกต์อิน®: HGST, a Western Digital Brand
ยูทูป®: Western Digital Corporation

แถลงการณ์การคาดการณ์ ในอนาคต

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้มีแถลงการณ์การคาดการณ์ในอนาคตบางประการ ซึ่งรวมถึงแถลงการณ์เกี่ยวกับการพัฒนา ประสิทธิภาพการทำงานของฮาร์ดไดร์ฟ อัลตราสตาร์ เอชเอส14 (Ultrastar Hs14) ฟีเจอร์การทำงานและประโยชน์ให้กับลูกค้า มีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวกับการแถลงการณ์ ในอนาคตนี้ที่อาจเกิดความคลาดเคลื่อน ซึ่งรวมไปถึงและยังมีสิ่งอื่นๆ ด้วย เช่น การจัดจำหน่าย Ultrastar Hs14 อาจจะเป็นไปตามที่คาด ความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจโลก สภาพธุรกิจและการเติบโตในระบบนิเวศของระบบจัดเก็บข้อมูล ผลกระทบจากราคาและสินค้าคู่แข่ง การยอมรับในตลาดและราคาวัตถุดิบของสินค้าโภคภัณฑ์และชิ้นส่วนเฉพาะของสินค้า  การกระทำจากคู่แข่งทางการค้า การแข่งขันทางด้านเทคโนโลยีที่ไม่คาดคิด การพัฒนาของเราและการแนะนำผลิตภัณฑ์ซึ่งใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ และการขยายตัวเพื่อเข้าสู่ตลาดด้านการจัดเก็บใหม่ๆ  การควบกิจการและการร่วมทุน ความยุ่งยากหรือความล่าช้าด้านการผลิต ปัจจัยด้านความเสี่ยงอื่นๆ และความไม่แน่นอน ตามรายงานจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (เรียกว่า “SEC”) รวมถึงรายงานตามช่วงเวลาล่าสุดซึ่งต้องการให้คุณได้ศึกษา เวสเทิร์น ดิจิตอล ไม่มีความตั้งใจใดๆ ในการปรับปรุงข้อมูลที่ปรากฏในข่าวประชาสัมพันธ์นี้

###

เกี่ยวกับ เวสเทิร์น ดิจิตอล

เวสเทิร์น ดิจิตอล ผู้ให้บริการเทคโนโลยีและโซลูชั่นด้านการจัดเก็บข้อมูลชั้นนำของอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นบริการที่ให้อำนาจแก่ผู้ใช้ในการสร้าง ใช้ประโยชน์ สัมผัสประสบการณ์ และเก็บรักษาข้อมูลเอาไว้ บริษัทสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยนำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์ครบรูปแบบซึ่งเต็มไปด้วยความน่าสนใจ โซลูชั่นการจัดเก็บข้อมูลคุณภาพสูงด้วยนวัตกรรมที่มุ่งเน้นสนองตอบลูกค้าทั้งในด้าน ประสิทธิภาพสูง ความยืดหยุ่น และความเร็ว ผลิตภัณฑ์ทุกตัวของบริษัทวางจำหน่ายภายใต้แบรนด์ HGST, SanDisk และ WD ตลอดจนการรับจ้างผลิต (OEM) ให้แก่ตัวแทนจำหน่ายหลัก ร้านค้าปลีก รวมถึงผู้บริการด้านโครงสร้างพื้นฐานแบบคลาวด์ และผู้บริโภคทั่วไป  ข้อมูลทางการเงินและนักลงทุนสามารถดูได้ที่หน้า นักลงทุนสัมพันธ์ (Investor Relations) บนหน้าเว็บไซต์ของบริษัทที่ investor.wdc.com/

© 2017 Western Digital Corporation หรือเครื่องหมายของบริษัทในเครือ ทั้งหมดเป็นเครื่องหมายการค้าของเจ้าของนั้น ซึ่งสงวนลิขสิทธิ์ทั้งหม เวสเทิร์น ดิจิตอล (Western Digital) แซนดิสก์ (SanDisk) เฮลิโอซีล (HelioSeal) และ อัลตราสตาร์ (Ultrastar) เป็นเครื่องหมายจดทะเบียนหรือเป็นเครื่องหมายการค้าของเวสเทิร์น ดิจิตอล คอร์ปอเรชั่น หรือบริษัทในเครือในประเทศสหรัฐอเมริกาและ/หรือประเทศอื่นๆ เครื่องหมายอื่นทั้งหมดเป็นสมบัติของเจ้าของนั้น ในการใช้เป็นที่จัดเก็บข้อมูล หนึ่งเทราไบต์ (1TB)  = หนึ่งล้านล้านไบต์ (1,000,000,000,000 ไบต์) การเข้าถึงความจุทั้งหมดอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของการใช้งาน ข้อมูลจำเพาะของสินค้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่มีการประกาศให้ทราบ ผลิตภัณฑ์ทุกชนิดนั้นอาจไม่มีในทุกภูมิภาคของโลก

from:https://www.techtalkthai.com/western-digital-14-tb-hdd-for-enterprise/

[PR] ประเทศไทยตั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารโทรคมนาคมใหม่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการ

กรุงเทพฯ, 4 ตุลาคม 2560: นอกจากประเทศไทยจะติดอันดับโลกในฐานะผู้ใช้นวัตกรรมเพิ่มขึ้นแล้ว ไทยยังคงมุ่งหน้ายกระดับการขยายการเข้าถึงบรอดแบนด์

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม นายพันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ประกาศแผนที่จะจัดตั้งสองบริษัทเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์เพิ่มเติมแก่หน่วยงานของรัฐและประชาชนทั่วไป

ภายใต้ข้อเสนอที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี บริษัทโครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ จำกัด (NBN) และบริษัทโครงข่ายระหว่างประเทศและศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต จำกัด (NGDC) จะให้บริการและจัดการการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านสายเคเบิลและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง

ตามข้อเสนอของคณะรัฐมนตรีที่ได้รับการอนุมัติเมื่อกลางเดือนมิถุนายน บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (CAT Telecom) จะนำ NGDC ซึ่งจะลงทุนในเครือข่ายบรอดแบนด์ระหว่างประเทศ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูล บทบาทของ NBN ซึ่งนำโดยบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หน่วยงานด้านโทรคมนาคมแห่งชาติของรัฐ คือการพัฒนาและดำเนินธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในประเทศและเครือข่ายใยแก้วนำแสงทั่วประเทศ

รัฐมนตรีกล่าวว่าทั้งสองบริษัทได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของภาครัฐและเอกชนที่เพิ่มขึ้นและมีกำหนดจะเริ่มดำเนินการภายในเดือนพฤศจิกายน

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการคลายความกังวลของผู้ให้บริการภาคเอกชน นายพันธ์ศักดิ์กล่าวว่าบริษัทใหม่ๆ จะต้องปฏิบัติตามกฎและระเบียบข้อบังคับตามที่กระทรวงกำหนดไว้สำหรับผู้ประกอบการรายอื่นๆ เพื่อจะได้ส่งเสริมสภาพแวดล้อมการแข่งขันของภาคเอกชน

ในแง่ของภูมิทัศน์ทางธุรกิจ พบว่ายังคงมีช่องว่างในการเติบโต ทั้งนี้ ตัวเลขประมาณการอย่างเป็นทางการแสดงให้เห็นว่า 1 ใน 3 ของจำนวน 22 ล้านครัวเรือน  เท่านั้นในประเทศไทยที่ใช้บริการบรอดแบนด์ ดังนั้น จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ให้บริการ รวมไปถึงการเปิดให้บริการด้านโครงสร้างพื้นฐานแก่ตลาดที่มุ่งขยายความต้องการผลิตภัณฑ์ด้านนวัตกรรม และการใช้ข้อมูลที่สูงขึ้น

สถานะ “เอเชียน ไทเกอร์”

การกำหนดขอบเขตให้ชัดเจนของการส่งมอบบริการจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องข้อจำกัดที่ระบุไว้ในดัชนีนวัตกรรมโลกประจำปี พ.ศ. 2560 (GII) ซึ่งพบว่าประเทศไทยยังตามหลังประเทศอื่นๆ ในด้านโครงสร้างพื้นฐานและการเข้าถึงด้านไอซีที และอยู่ในอันดับที่ 71 ในหมวดนี้

รายงานประจำปี ซึ่งจัดทำขึ้นโดยมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์, สถาบันอินซีด (INSEAD) และองค์การทรัพย์สินทางปัญญาแห่งโลก (WIPO) ได้จัดประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 51 จาก 127 ประเทศ ซึ่งอยู่สูงขึ้นหนึ่งอันดับจากปีที่แล้วและสูงขึ้นสี่อันดับจากปี พ.ศ. 2558

รายงานดังกล่าวยังระบุว่าในขณะที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่จัดอยู่อันดับสูงสุดในกลุ่มประเทศขนาดเล็กหรือกลุ่มประเทศเกิดใหม่ในเอเชีย คู่แข่งอย่างเช่นประเทศไทยกำลังตามตีตื้นอย่างรวดเร็ว

ประเทศไทยยังได้รับการขนานนามให้เป็นหนึ่งใน “เอเชียน ไทเกอร์” หรือเสือแห่งเอเชีย พร้อมๆ กับอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ประเทศไทยยังได้รับการยอมรับในเรื่องการสร้างความสัมพันธ์กับเครือข่ายห่วงโซ่คุณค่าระดับภูมิภาคและระดับโลก รวมถึงมีจำนวนภาคส่วนต่างๆ มากมายที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย

รายงานยังกล่าวถึงพัฒนาการอันเป็นผลมาจาก “ประเทศไทย 4.0” ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมและความรู้ ซึ่งมุ่งเน้นการผลิตแบบก้าวหน้า แผนยุทธศาสตร์นี้ ซึ่งเปิดตัวในปี พ. ศ. 2559 ได้มุ่งเน้นไปที่ 10 ภาคอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงในการเพิ่มมูลค่าผ่านเทคโนโลยี

ประเทศไทยทำงานเพื่อพัฒนาการวิจัย

ประเทศไทยได้มุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการวิจัยและพัฒนา (R & D) โดยถือเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยความรู้ ในรายงาน GII ประเทศไทยได้จัดอยู่อันดับที่ 40 จาก 127 ประเทศในหมวดนี้ โดยมีการใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาอยู่ที่ร้อยละ 6 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) ประกอบกับผลลัพธ์ด้านความรู้และผลผลิตด้านเทคโนโลยีและการใช้จ่ายด้านซอฟต์แวร์และการส่งออกเทคโนโลยีล้ำสมัยในระดับปานกลาง

รายงานฉบับนี้ยังระบุว่าความร่วมมือด้านการวิจัยระหว่างมหาวิทยาลัยและอุตสาหกรรมนั้นมีความแข็งแกร่งและโดยรวมอยู่อันดับที่ 40

การเพิ่มการใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา การสร้างความเชื่อมโยงใหม่ๆ ระหว่างมหาวิทยาลัยและภาคเอกชนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ในประเทศไทย 4.0 นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานสถาบันวิทยสิริเมธี กล่าว

“ด้วยความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการปรับปรุงระบบการวิจัยในประเทศไทย ทำให้ประเทศเรามีเงินกองทุนสำหรับงานวิจัยในระดับชาติอย่างน้อยร้อยละ 1 ของจีดีพี” เขากล่าวกับอ๊อกซ์ฟอร์ด บิสซิเนส กรุ๊ป หรือ โอบีจี   “จนถึงขณะนี้เราใช้จ่ายเพียงแค่ร้อยละ 0.4 ของจีดีพี เทียบกับมาเลเซีย ซึ่งใช้จ่ายอยู่ที่ร้อยละ 1.26 หรือเกาหลีใต้ที่ร้อยละ 4.29 “

ข้อมูลเศรษฐกิจไทยฉบับนี้ผลิตโดย อ็อกซ์ฟอร์ด บิสซิเนส กรุ๊ป

###

from:https://www.techtalkthai.com/thailand-to-set-up-further-telecommunication-infrastructure/

[PR] เอ็มจี เปิดตัวระบบอัจฉริยะ i-SMART ก้าวสู่นวัตกรรมแห่งอนาคต

  • ระบบการเชื่อมต่อรุ่นใหม่ที่จะพลิกโฉมอุตสาหกรรมยานยนต์
  • ครั้งแรกในโลกกับการรองรับระบบสั่งการภาษาไทย พร้อมเรียนรู้พฤติกรรมผู้ขับ
  • เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพที่ชาญฉลาด ใช้งานง่าย และปลอดภัย
  • ตอกย้ำความมุ่งมั่นของการพัฒนายานยนต์อัจฉริยะในอนาคตระยะยาว

กรุงเทพฯ, 26 กันยายน 2560 – บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์ เอ็มจีในประเทศไทย จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวระบบอัจฉริยะใหม่ล่าสุด “i-SMART” ระบบที่จะพลิกโฉมภายในรถยนต์ด้วยความสามารถในการเรียนรู้พฤติกรรมผู้ขับ และรองรับระบบสั่งการภาษาไทยครั้งแรกในโลก มุ่งหน้าสู่ความเป็นผู้นำการพัฒนานวัตกรรมยานยนต์อัจฉริยะหรือสมาร์ทคาร์ เพื่อยกระดับความสะดวกสบายและความปลอดภัย พร้อมตอบสนองไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ในยุคไอที

ระบบการเชื่อมต่อ “i-SMART” เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจของเอสเอไอซี คอร์ปอเรชั่น  นั่นคือการพัฒนารถยนต์แห่งอนาคตให้มีความเป็นอัจฉริยะ (Intelligent) รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตและระบบการเชื่อมต่อภายในรถยนต์ (Internet of thing) ซึ่งเป็น 2 วิสัยทัศน์หลักนอกเหนือจากการพัฒนารถยนต์พลังงานทางเลือกใหม่ (New Energy) และ ระบบการแบ่งปันรถยนต์ในการใช้งาน (Car Sharing)

นาย ซื่อ กั๋ว ย่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด กล่าวว่า “เทคโนโลยียานยนต์มีพัฒนาการอย่างไม่หยุดยั้ง เอ็มจี ไม่เพียงมีความมุ่งมั่นเป็นผู้นำเทคโนโลยีใหม่ แต่เรายังต้องการพัฒนาการใช้งานเทคโนโลยีในแบบที่ไม่เคยมีบริษัทรถยนต์รายใดทำมาก่อน โดยเรามีความเชื่อว่าเทคโนโลยียานยนต์จะต้องสอดคล้องกลมกลืนกับทุกจังหวะไลฟ์สไตล์ของลูกค้า จึงนำเสนอระบบการควบคุมภายในรถยนต์ที่มีความก้าวล้ำหน้าและใช้งานง่าย เพื่อให้ชีวิตของลูกค้ามีความสะดวกสบายและปลอดภัยยิ่งกว่าเดิมไม่ว่าพวกเขาจะนั่งอยู่ในรถยนต์หรือไม่ก็ตาม”

เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพที่ชาญฉลาด ใช้งานง่าย และปลอดภัย

นับเป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ระบบการเชื่อมต่อในรถยนต์รองรับการสั่งงานภาษาไทย โดยผู้ใช้สามารถควบคุมระบบ การสั่งการด้วยเสียง (Voice Command) เพียงแค่พูด “ฮัลโหล เอ็มจี” (Hello MG) เพื่อเริ่มต้นใช้งานซึ่งสามารถสั่งการฟังค์ชั่นต่างๆในตัวรถ รวมถึงระบบเอ็นเตอร์เทนเมนต์ และระบบช่วยนำทางทำให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องละมือจากพวงมาลัยเพื่อความปลอดภัย นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมสั่งการผ่านหน้าจอภายในรถ และการสั่งการผ่านโมบายแอปพลิเคชั่นในอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่อย่างสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต

เอ็มจี ตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตในทุกสรรพสิ่ง (Internet of Things) ซึ่งการเชื่อมต่อออนไลน์ครอบคลุมทุกการใช้ชีวิตของผู้บริโภค การใช้งานระบบนี้จึงรองรับตั้งแต่ก่อนเดินทาง ขณะเดินทาง และหลังเดินทาง เมื่อติดตั้งโมบายแอปพลิเคชั่นไว้ในอุปกรณ์เคลื่อนที่ก็เหมือนการแต่งตั้งผู้ช่วยส่วนตัวที่ช่วยแจ้งข้อมูลและแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลานัดหมายต่างๆ ตลอดจนการค้นหาเส้นทางที่เหมาะสมที่สุด รายงานสภาพจราจร และสภาพอากาศเพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่ต้องการได้เร็วที่สุดอย่างปลอดภัย

ก่อนที่จะเข้าไปนั่งในรถยนต์ ผู้ขับขี่ สามารถสตาร์ทรถและเปิดการทำงานของระบบปรับอากาศในอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่อย่างสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าไปนั่งในรถ นอกเหนือจากนั้นแอปพลิเคชั่นจะแสดงจุดหมายของการเดินทางที่กำหนดไว้ล่วงหน้าบนหน้าจอของตัวรถ ทำให้ผู้ขับขี่พร้อมออกเดินทางได้ทันทีโดยไม่ต้องกำหนดจุดหมายอีกครั้ง

ในระหว่างการใช้รถไปสู่จุดหมายต่างๆ ระบบใหม่ล่าสุดของ เอ็มจี ยังรวบรวมข้อมูลที่มีความสำคัญและแจ้งต่อผู้ขับได้แบบเรียลไทม์ อาทิ ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง สภาพการทำงานของแบตเตอรี่ เครื่องยนต์ และระบบเบรก รวมถึงอุณหภูมิภายนอกรถยนต์ผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ นอกจากนี้ยังช่วยแจ้งเตือนการเคลื่อนที่ของรถอย่างผิดปกติซึ่งอาจเกิดจากการโจรกรรม ซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้อีกระดับ

อีกหนึ่งความโดดเด่นของระบบใหม่ i-SMART คือการเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ขับขี่และพัฒนาความสามารถให้ดีขึ้นด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เมื่อผู้ขับขี่เดินทางไปถึงจุดหมายใดจุดหมายหนึ่งเป็นประจำทุกวัน ระบบนี้จะเรียนรู้เส้นทางที่ช่วยให้ผู้ขับขี่ไปถึงจุดหมายดังกล่าวได้ง่ายดายและรวดเร็วยิ่งขึ้น

ตอกย้ำความมุ่งมั่นของการพัฒนายานยนต์อัจฉริยะในอนาคตระยะยาว

ระบบเชื่อมต่อรุ่นใหม่นี้ ยังสามารถอัพเกรดเฟิร์มแวร์ให้มีความทันสมัยได้ตลอดอายุการใช้งานของรถยนต์ ฟังก์ชั่นต่างๆ จึงไม่เพียงแค่พร้อมใช้งานตลอดเวลา แต่ยังมีคุณสมบัติใหม่ๆที่เกี่ยวกับความบันเทิงภายในรถยนต์ การใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆและระบบนำทางที่จะพาท่านไปสู่ที่หมายอย่างถูกต้อง ซึ่งฟังก์ชั่นต่างๆเหล่านี้จะสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าอย่างเหนือความคาดหมายในอนาคต

“ท่ามกลางยุคอินเตอร์เน็ตในทุกสรรพสิ่งหรือ Internet of Things ผู้ใช้งานรถยนต์จะมีความคุ้นเคยกับระบบการเชื่อมต่อตลอดเวลาเช่นนี้มากขึ้นในอนาคต เราต้องการเป็นผู้สร้างมาตรฐานการใช้งานเทคโนโลยีการเชื่อมต่ออัจฉริยะภายในรถยนต์ ซึ่งจะทำให้รถยนต์ไม่ได้เป็นแค่ยานพาหนะดั้งเดิมที่มีหน้าที่นำพาไปสู่จุดหมาย แต่คือผู้ช่วยส่วนตัวที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัย พร้อมกับทำให้ชีวิตง่ายขึ้นด้วยการตอบสนองความต้องการที่ปรับเปลี่ยนได้ตามการใช้งานของแต่ละบุคคล ระบบการเชื่อมต่อรุ่นใหม่นี้จะทยอยติดตั้งในรถยนต์ เอ็มจี รุ่นใหม่ที่จะจัดจำหน่ายในประเทศไทยในอีกไม่ช้า” คุณพงษ์ศักดิ์กล่าวปิดท้าย

ทั้งนี้ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.mgcars.com หรือติดต่อสอบถามเกี่ยวกับรถยนต์ เอ็มจี ได้ที่ MG Call Centre โทร 1267 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

###

เกี่ยวกับเอ็มจี

เอ็มจี ก่อตั้งขึ้นในปี 1924 โดยชื่อ MG นั้นย่อมาจาก Morris Garages เอ็มจีนับว่าเป็นแบรนด์สัญชาติอังกฤษที่มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นตลอดระยะเวลา 90 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันแบรนด์ เอ็มจี อยู่ภายใต้การดูแลของ เอสเอไอซี  โดย เอ็มจี มีศูนย์กลางทางด้านการออกแบบ ฟังก์ชั่นการใช้งาน และการออกแบบด้านเทคนิคที่เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ เอ็มจี เป็นแบรนด์รถยนต์อังกฤษที่ใช้เทคโนโลยีด้านวิศวกรรมตามแบบฉบับยุโรป โดยได้รับการสนับสนุนจาก เอสเอไอซี ทั้งในเรื่องการจัดหาวัสดุจากทั่วโลก รวมถึงการจัดการด้านซัพพลายเชนเกี่ยวกับส่วนประกอบของรถยนต์ ตลอดจนการจัดการด้านการควบคุมคุณภาพ รวมถึงบริการด้านอื่นๆ เอ็มจี เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากรถยนต์ 2 ที่นั่งรุ่น MGB Roadster ที่เปิดตัวออกมาครั้งแรกในปี 1962 ในวันนี้ เอ็มจีผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเพื่อการจัดจำหน่ายไปทั่วโลก

เกี่ยวกับเอ็มจี ประเทศไทย

บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ก่อตั้งขึ้นในปี 2013 เพื่อกำกับดูแลงานด้านการขาย การตลาด และบริการหลังการขายของแบรนด์รถยนต์ เอ็มจี ในประเทศไทย และกำกับดูแลเครือข่ายผู้จัดจำหน่ายของ เอ็มจี ทั้งที่เป็นบริษัทร่วมทุน และที่เป็นบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) และเอสเอไอซี ทั้งนี้ บริษัท เซี่ยงไฮ้ ออโตโมทีฟ อินดัสทรี คอร์ปอเรชั่น (เอสเอไอซี) ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน และเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) กลุ่มบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรมและมีขนาดใหญ่ที่สุดกลุ่มหนึ่งของประเทศไทย ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด ขึ้นเพื่อผลิตรถยนต์ เอ็มจี และจำหน่ายภายในประเทศไทย รวมทั้งการส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน โดยโรงงานผลิตรถยนต์ของบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราช จังหวัดชลบุรี

from:https://www.techtalkthai.com/img-i-smart/

[PR] เชียงใหม่สมาร์ทซิตี้ สำเร็จเป็นรูปธรรมแล้วด้วยเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง พร้อมเปิดให้ชมเป็นครั้งแรกในงานดิจิทัลไทยแลนด์บิ๊กแบง

ออโต้เดสก์และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลจัดแสดงแผนที่ 3 มิติของเชียงใหม่แก่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ท่องโลกเสมือนจริงรอบๆ เมืองเชียงใหม่เมื่อวานนี้ ในงานดิจิทัลไทยแลนด์บิ๊กแบง 2560 ที่จัดขึ้นในกรุงเทพมหานคร

โมเดลเมืองเชียงใหม่ 3 มิติ ซึ่งพร้อมจัดแสดงให้แก่สาธารณชนได้ชมเป็นครั้งแรก ได้รับการสร้างสรรค์โดยออโต้เดสก์ ผู้นำทางด้านการออกแบบซอฟท์แวร์ของโลก ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า)

ดีป้าประกาศเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมาถึงความพร้อมที่จะเดินหน้าดำเนินการโครงการสมาร์ทซิตี้ ซึ่งมีมูลค่า 36.5 ล้านบาท เพื่อพัฒนาเชียงใหม่ให้เป็นเมืองแห่งการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม พร้อมกันนี้การเปิดตัวโมเดล 3 มิติของเชียงใหม่สมาร์ทซิตี้นับเป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายของประเทศไทย 

เชียงใหม่สมาร์ทซิตี้เป็นโมเดลที่สองที่ออโต้เดสก์ได้พัฒนาขึ้นด้วยการสนับสนุนจากดีป้า โดยโมเดลแรกที่แล้วเสร็จคือภูเก็ตสมาร์ทซิตี้ ซึ่งได้เปิดตัวไปแล้วเมื่อต้นปีนี้

โมเดลเชียงใหม่สมาร์ทซิตี้สร้างสรรค์ขึ้นจากการนำเอาข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียม ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) และอากาศยานไร้คนขับ (UAV) มาผสมผสานเข้ากับออโต้เดสก์ อินฟราเวิร์คส์ 360 ทั้งนี้ โมเดลเชียงใหม่สมาร์ทซิตี้นับว่าเป็นแพลตฟอร์มในการจินตนาการภาพที่เป็นประโยชน์สำหรับการวางผังเมืองและการจำลองสถานการณ์สมมติ เพื่อทดสอบทางเลือกต่างๆ และเพิ่มประสิทธิภาพของความเป็นไปได้ในการก่อสร้าง

ข้อมูลในหลายๆ ระดับ อาทิ อาคาร ข้อมูลด้านสังคม สิ่งแวดล้อม รัฐบาล และข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจจากแหล่งข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นเซ็นเซอร์ ข้อมูลการจราจรแบบเรียลไทม์ และเวทีประชาคม ก็สามารถบรรจุไปในโมเดลสมาร์ทซิตี้ได้ โดยข้อมูลเหล่านี้สามารถเข้าถึงได้โดยผู้จัดการ รัฐบาล และประชากร ผ่านแท็บเล็ต แอพ และแดชบอร์ด เพื่อเอื้อต่อการตัดสินใจที่ดีขึ้น การเปรียบเทียบวัดที่ง่ายขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้น การเชื่อมต่อที่ดีเลิศ และการมีส่วนร่วมของชุมชนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

###

เกี่ยวกับออโต้เดสก์

ออโต้เดสก์ (Autodesk) ช่วยให้ผู้คนให้สามารถจินตนาการ ออกแบบ หรือแม้กระทั่งสร้างสรรค์โลกนี้ให้ดีขึ้น ผู้ใช้ซอฟต์แวร์ของออโต้เดสก์ทุกคน  ไม่ว่าจะเป็นนักออกแบบอาชีพวิศวกร สถาปนิก ศิลปินที่ทำงานด้านดิจิทัล นักเรียน หรือผู้ทำงานอดิเรกก็สามารถใช้ซอฟท์แวร์ของออโต้เดสก์ได้เพื่อปลดปล่อยแนวคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง รวมทั้งแก้ไขปัญหาที่สำคัญต่าง ๆ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมได้ที่ autodesk.com หรือติดตาม @autodesk

from:https://www.techtalkthai.com/chiangmai-smart-city/

[PR] สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติร่วมกับออโต้เดสก์ทำการดิจิไทซ์โบราณวัตถุ ในพิพิธภัณฑ์ 1,500 แห่ง

ความตั้งใจซึ่งจะมาพร้อมกับการปรับเปลี่ยนแนวคิด วิธีการศึกษา
และอนุรักษ์โบราณวัตถุที่ล้ำค่า 
ของประเทศไทยสู่สาธารณชนทั่วโลก

กรุงเทพฯ 31 สิงหาคม 2560 สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.) และออโต้เดสก์ ประกาศความร่วมมือในการแปลงโบราณวัตถุอันล้ำค่าในพิพิธภัณฑ์จำนวน 1,500 แห่งทั่วประเทศ ให้ไปอยู่ในรูปแบบดิจิทัล ด้วยโซลูชั่นชื่อรีเมคของออโต้เดสก์ (Audodesk ReMake)

ภายใต้โครงการนี้  สพร.  และเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ จะทำการแปลงรูปภาพและภาพสแกนโบราณวัตถุ 2 มิติ ให้เป็นโมเดลดิจิทัล 3 มิติ ที่มีความคมชัดสูง โดยวัตถุจัดแสดงในรูปแบบดิจิทัล จะนำไปเผยแพร่องค์ความรู้บนเว็บไซต์มิวเซียมไทยแลนด์ เพื่อสร้างประสบการณ์เสมือนจริง และจุดเชื่อมโยงด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ไทยแก่คนทั่วโลก

นายราเมศ พรหมเย็น ผู้อำนวยการสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ กล่าวในงานแถลงข่าวออโต้เดสก์ ยูนิเวอร์ซิตี้ อาเซียน (Autodesk University ASEAN) ว่า “โครงการที่เราดำเนินการร่วมกับออโต้เดสก์นี้ มีความสำคัญหลายประการ เราทำงานแข่งกับเวลา เพื่ออนุรักษ์โบราณวัตถุ ทั้งนี้ เราคงไม่สามารถจัดแสดงโบราณวัตถุจำนวนมากมายที่มีอยู่ทั้งหมดในประเทศไทยให้ปรากฏต่อสายตาสาธารณชน  ดังนั้น  ในยุคที่ประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่ดิจิทัล สพร. จึงนำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยนี้มาใช้ในการอนุรักษ์มรดกไทย  เพื่อดึงดูดให้คนรุ่นใหม่ที่ฉลาดรู้และเข้าใจเรื่องดิจิทัลได้เข้าถึงและซึมซับประวัติศาสตร์ชาติเราในรูปแบบอินเตอร์แอคทีฟ”

สพร. ได้ริเริ่มดำเนินโครงการในปี 2559 เพื่อแปลงโบราณวัตถุบางส่วนให้ไปเป็นดิจิทัลโดยใช้เครื่องสแกนเลเซอร์ และพบว่ากระบวนการดังกล่าวมีราคาสูงและต้องอาศัยความเชี่ยวชาญทางเทคนิค จึงทำให้การขยายโครงการยังไม่ครอบคลุมพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ทั่วประเทศ

ในปี 2559 สพร. จึงได้เลือกออโต้เดสก์รีเมค(ReMake) มาใช้งาน เนื่องจากเป็นวิธีการที่ง่ายและแบบครบวงจร สามารถเปลี่ยนวัตถุจัดแสดงหรือภาพสแกน 2 มิติ ของวัตถุจริงให้เป็นโมเดล 3 มิติ ที่มีความคมชัดสูง โดยกระบวนการดังกล่าวนี้เรียกว่าเรียลลิตี้ แคปเจอร์ (Reality Capture) ทั้งนี้ รีเมค (ReMake) เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถจัดการกระบวนการดังกล่าวได้ แม้ว่าจะขาดความรู้และความเชี่ยวชาญด้านโมเดลลิ่งแบบ 3 มิติ (3D modeling)

ขณะนี้ สพร. และออโต้เดสก์ ได้เริ่มดำเนินการจัดโครงการอบรมให้แก่พิพิธภัณฑ์ จำนวน 5 ภูมิภาคต่างๆ ดังต่อไปนี้

  • ภาคกลาง: มิวเซียมสยาม
  • ภาคเหนือ: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ 
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: พิพิธภัณฑ์เมืองสกลนคร
  • ภาคใต้: สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา     
  • ภาคตะวันออก : พิพิธภัณฑสถานเมืองตราด

“เรารู้สึกเป็นเกียรติที่มีบทบาทในการอนุรักษ์โบราณวัตถุอันล้ำค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย โดยเมื่อวัตถุเหล่านี้ได้รับการดิจิไทซ์หรือทำให้อยู่ในรูปดิจิทัลแล้วก็จะส่งผลกระทบในวงกว้าง เราสามารถนำเทคโนโลยีการสร้างโลกเสมือนจริงมาใช้เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เรียนรู้และรับประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ เรายังสามารถนำเสนอโบราณวัตถุ พร้อมเรื่องราวสำคัญทางประวัติศาสตร์ของวัตถุแต่ละชิ้นแก่สาธารณชนจำนวนมากขึ้น ผ่านการใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ชิ้นงาน 3 มิติ (3D printing)” นางสาวอาภาพร สุภรณ์ทิพย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ออโต้เดสก์ กล่าว 

“โครงการที่เรากำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้เป็นเพียงเฟสแรกเท่านั้น เมื่อเราแนะนำ ReMake และ Reality Capture ของออโต้เดสก์ให้พิพิธภัณฑ์ในเครือของเราได้รู้จักก็จะสามารถเพิ่มจำนวนโบราณวัตถุดิจิทัลให้มากขึ้นในทุกปี”

นายราเมศ กล่าว 

(ซ้ายไปขวา) ธัตจานา จามบาโซวา ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ออโต้เดสก์: นางสาวศิริพร เฟื่องฟูลอย นักจัดการความรู้อาวุโส สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ และนางสาวอาภาพร สุภรณ์ทิพย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ออโต้เดสก์ ถ่ายรูปร่วมกันในงานแถลงข่าวความร่วมมือระหว่าง สพร. และออโต้เดสก์ ในงานออโต้เดสก์ ยูนิเวอร์ซิตี้ อาเซียน 2017 ณ เซ็นทาราแกรนด์ แอนด์บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์

###

เกี่ยวกับออโต้เดสก์

ออโต้เดสก์ (Autodesk) ช่วยให้ผู้คนให้สามารถจินตนาการ ออกแบบ หรือแม้กระทั่งสร้างสรรค์โลกนี้ให้ดีขึ้น ผู้ใช้ซอฟต์แวร์ของออโต้เดสก์ทุกคน  ไม่ว่าจะเป็นนักออกแบบอาชีพวิศวกร สถาปนิก ศิลปินที่ทำงานด้านดิจิทัล นักเรียน หรือผู้ทำงานอดิเรกก็สามารถใช้ซอฟท์แวร์ของออโต้เดสก์ได้เพื่อปลดปล่อยแนวคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง รวมทั้งแก้ไขปัญหาที่สำคัญต่าง ๆ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมได้ที่ autodesk.com หรือติดตาม @autodesk

เกี่ยวกับสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ

สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.) เป็นหน่วยงานเฉพาะด้านภายใต้ “สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ องค์การมหาชน” จัดตั้งขึ้นตามประกาศ คณะกรรมการบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2547 เพื่อกำกับดูแลการจัดตั้ง “มิวเซียมสยาม” พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แนวใหม่  ให้เป็นแหล่งเรียนรู้อย่างรื่นรมย์ ที่เน้นการพัฒนาความคิด เพิ่มความรู้ และสร้างสรรค์ภูมิปัญญา พร้อมสนับสนุน และร่วมมือเป็นเครือข่ายกับพิพิธภัณฑ์อื่นทั่วประเทศ เพื่อร่วมสร้างมาตรฐาน กระบวนการเรียนรู้ และการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์ให้มีคุณภาพ และประสิทธิภาพมากขึ้น และ เสริมสร้างความรู้ด้านพิพิธภัณฑ์วิทยาที่เหมาะสมแก่สังคมไทย โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียน นักศึกษา นักวิจัย และประชาชนทั่วไป

from:https://www.techtalkthai.com/autodesk-remake-thai-historical-objects-in-museum/