คลังเก็บป้ายกำกับ: IPAD_AIR_2019

iPhone | iPad หลายรุ่นรองรับชาร์จไว แค่เปลี่ยนหัว-สายชาร์จ และ iPhone 11 รองรับสูงกว่า 18W

ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อุปกรณ์ Apple หลายตัวที่เปิดตัวมาต่างได้รับการเรียกร้องให้ใส่ฟีเจอร์ Fast Charge มาโดยตลอด แต่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้ว่าอุปกรณ์หลายชิ้นความจริงแล้วต่างรองรับทั้งสิ้น เพียงแค่ Apple ไม่ได้แถมอุปกรณ์มาให้ในกล่อง จนมาถึง iPhone 11 Pro ที่วางจำหน่ายพร้อมสายและอะแดปเตอร์ Fast Charge และลองนำเอาไปใช้กับอุปกรณ์ชิ้นอื่นดูจึงพบว่ามันชาร์จเร็วน่าดู แถมรองรับกำลังไฟได้มากกว่าที่คิดอีกด้วย

iPhone และ iPad หลายรุ่นรองรับ Fast Charge?

หลายคนอาจเข้าใจว่า iPhone 11 ทั้งสามรุ่นรองรับ Fast Charge ได้สูงสุด 18W เท่ากับหัวชาร์จที่แถมมาให้ในกล่องของ iPhone 11 Pro และ 11 Pro Max (iPhone 11 ธรรมดาจะไม่มีแถมอะแดปเตอร์ชาร์จเร็วมาให้) แต่เราก็แอบสงสัยว่า Apple ทำให้ iPhone 11 รองรับการชาร์จไฟแบบ PD ทั้งที จะทำมาให้รองรับ 18W มันก็จะดูน้อยไปหน่อยหรือเปล่า และได้ยินมานานแล้วว่าตั้งแต่ iPhone X เป็นต้นมา ตัวเครื่องรองรับ Fast Charge จึงขอลองนำอุปกรณ์หลายตัวมาทดสอบด้วยที่ชาร์จไว ทั้งจากหัวชาร์จ 18W ของ iPhone 11 Pro เอง และนำเอาหัวชาร์จอื่นที่จ่ายไฟได้แรงกว่า ทั้งของ Apple เอง และค่ายอื่นที่รองรับมาตรฐาน PD เหมือนกัน มาร่วมวงทดสอบ หาคำตอบให้ได้ทราบกัน โดยอุปกรณ์ที่เราขนมาทดสอบนี้ ได้แก่

  1. iPad 7th (ในกล่องแถมหัวชาร์จ 10W)
  2. iPad Air 3 (ในกล่องแถมหัวชาร์จ 10W)
  3. iPad mini 5 (ในกล่องแถมหัวชาร์จ 10W)
  4. iPhone 11 Pro Max (ในกล่องแถมหัวชาร์จ 18W)
  5. iPhone X (ในกล่องแถมหัวชาร์จ 5W)
  6. Galaxy Note10+ (ในกล่องแถมหัวชาร์จ 25W) สเปครองรับได้สูงสุด 45W

หัวชาร์จที่ใช้ทดสอบ

เรียงจากซ้ายไปขวา เป็นอะแดปเตอร์ของ

  • iPhone 11 Pro Max จ่ายไฟสูงสุด 18w ตัวเสียบเป็น Type C
  • Galaxy Note10+ จ่ายไฟสูงสุด 25w ตัวเสียบเป็น Type C
  • Samsung Wireless Charger Duo Pad จ่ายไฟสูงสุด 25w ตัวเสียบเป็น Type A
  • MacBook Pro 2017 จ่ายไฟสูงสุด 61w ตัวเสียบเป็น Type C

สายที่ใช้ทดสอบ

เรียงจากซ้ายไปขวา เป็นสายชาร์จของ

  • iPhone 11 Pro Max ของแท้
  • iPad Air 3 ของแท้
  • Galaxy Note10+ ของแท้
  • Baseus Golden Belt USB 3.0

มิเตอร์ที่ใช้วัดการจ่ายไฟ

วิธีการทดสอบชาร์จไว iPhone | iPad ว่ารองรับไฟกี่วัตต์

ในตารางด้านล่างจะเป็นผลการทดสอบจับคู่ระหว่างเครื่อง สายชาร์จ และหัวชาร์จ ของแต่ละอันเข้าด้วยกัน โดยเสียบผ่านตัววัดกระแสไฟ ซึ่งค่าจะมีความแปรผันตลอดเวลา ไม่ได้มีค่า V และ A นิ่งเสถียร โดยเราจะดึงเอา ณ เวลาที่มีการจ่ายไฟสูงสุดมาคำนวณเป็นค่า Watt ให้ดูกันว่าตัวเครื่องต่างๆ รองรับกำลังไฟที่สูงสุดได้ประมาณเท่าไหร่

อุปกรณ์วัดกำลังไฟเสียบคั่นระหว่าง adapter และสายชาร์จ เพื่อตรวจสอบกระแสที่ไหลผ่าน ค่าที่ได้อาจมีความคลาดเคลื่อนได้เล็กน้อย แต่พอจะเห็นผลลัพธ์ที่ได้ในระดับหนึ่ง

วิธีการคำนวณหาค่าวัตต์ในตารางเป็น ค่าโวลต์(V) x แอมป์(A) = วัตต์(W) ซึ่งค่าที่ได้อาจมีการคลาดเคลื่อน บวกลบจากความเป็นจริง รวมถึงตัวเลขจากอุปกรณ์วัดไฟจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และกระแสไฟที่ผ่านเข้าเครื่องจะน้อยลงอย่างมีนัยหากแบตมีการชาร์จไฟถึงจำนวนหนึ่ง โดยเราจะนำเอาผลลัพธ์ที่ได้จากกำลังไฟสูงสุดเท่าที่อุปกรณ์แสดง มาคำนวณค่าวัตต์ให้เห็นในตารางด้านล่าง

และเพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้น ยกตัวอย่างช่องแรกบนซ้ายสุดคือ iPad Air 3 ใช้หัวชาร์จของ iPhone 11 Pro Max และสายชาร์จของ iPhone รองรับชาร์จไวสูงสุด 17.46W

ตารางทดสอบชาร์จไว iPhone | iPad และ Note10+

iPad Air 3 iPad mini 5 iPhone 11 Pro Max Galaxy Note10+
ที่ชาร์จ iPhone 11 Pro Max 18w

(Type C)

17.46w

  • สาย iPhone แท้
17.4w

  • สาย iPhone แท้
17.64w

  • สาย iPhone แท้
14.62w

  • สาย Note10+ แท้
ที่ชาร์จ Galaxy Note10+ 25w

(Type C)

25.3w

  • สาย iPhone แท้
21.64w

  • สาย iPhone แท้
22.83w

  • สาย iPhone แท้
23.83w

  • สาย Note10+ แท้
ที่ชาร์จ Wireless Charger 25w

(Type A)

4.5w

  • สาย iPad แท้
4.75w

  • สาย iPad แท้
4.91w

  • สาย iPad แท้
12.21w

  • สาย Baseus
ที่ชาร์จ MacBook Pro 2017 61w

(Type C)

26.67w

  • สาย iPhone แท้
18.73w

  • สาย iPhone แท้
23.04w

  • สาย iPhone แท้
11.19w

  • สาย Note10+ แท้

จากผลลัพธ์ที่ได้ จะสังเกตได้ว่าตัวเลขกำลังไฟมักจะน้อยกว่าตัวเลขที่น่าจะเป็นเสมอ เช่น Galaxy Note 10+ ที่ชาร์จกับหัวชาร์จตัวเองจะได้กำลังไฟสูงสุดเกือบ 24W เท่านั้น หรือ iPhone 11 Pro Max ที่ใช้หัวชาร์จตัวเองเช่นกัน ก็จะได้ไฟเกือบ 18W ซึ่งเราน่าจะพอสันนิษฐานได้ว่า ตัวเลขกำลังไฟที่อุปกรณ์วัดได้นั้นอาจจะค่าความคลาดเคลื่อนน้อยกว่าความเป็นจริงราว 0.5-2W ก็เป็นได้

รูปผลทดสอบทั้งหมด




















ผลการทดสอบชาร์จไว iPhone X และ iPad Gen 7th


สำหรับผลการทดสอบ iPhone X และ iPad Gen 7th ทีมงานได้ทำการแยกออกมา เพื่อไม่ให้ข้อมูลในตารางมีมากเกินไปจนดูยาก ซึ่งเท่าผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้ iPhone X และ iPad Gen 7th กับหัวชาร์จ Samsung 25W ใช้สายชาร์จของ iPhone 11 ผลลัพธ์ที่ได้คือ

  • iPhone X รองรับชาร์จไวสูงสุด 13.24W หรือตีกลมๆ ก็ประมาณ 15W
  • iPad Gen 7th รองรับชาร์จไวสูงสุด 11.89 หรือตีกลมๆ ก็ประมาณ 13W

*ข้อสังเกตคือตัว iPhone X สามารถรองรับ Volt ได้ถึง 9.01V และ Ampere 1.47A ส่วน iPad Gen 7th ได้ค่า Volt แค่ 5.04V แต่ได้ค่า Ampere สูงถึง 2.24A

ทำอย่างไรให้ iPhone และ iPad รองรับ Fast Charge

จากข้อมูลตารางด้านบนถือว่าน่าสนใจเลยทีเดียว โดยอุปกรณ์ของ Apple ที่นำมาทดสอบหลายตัวสามารถรองรับชาร์จไวได้เกิน 18W ทั้ง iPad Air 3, iPad mini 5 และ iPhone 11 Pro Max แต่การจะชาร์จให้ได้กระแสไฟแรงนั้น บางตัวไม่สามารถใช้อุปกรณ์ที่แถมมาในกล่อง ซึ่งถ้าสรุปแล้วอุปกรณ์ที่จำเป็นหลักๆคือ

  • อะแดปเตอร์หัวชาร์จต้องเป็นแบบ USB PD (หัว Type C)
  • สายชาร์จต้องได้มาตรฐานแบบเดียวกับของแท้ เป็นหัว USB Type C to Lightning เท่านั้น

ข้อควรระวัง ทีมงานเคยเจอมาว่าสายชาร์จแม้จะเป็น USB Type C to Lightning แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าจะชาร์จเข้าหรือชาร์จไว หากสายนั้นไม่มาตรฐาน หากใครต้องการจะซื้อสาย USB Type C to Lightning ควรตรวจสอบอ่านรีวิวให้ชัดว่ารองรับแน่รึเปล่า เช่นเดียวกับหัวชาร์จ หรือ Charging Hub ที่บางตัวแม้จะมีช่องชาร์จแบบ Type C แต่ก็ไม่สามารถชาร์จเร็วเข้า iPhone หรือ iPad ได้เช่นกัน

ทดสอบ iPhone 11 ชาร์จด้วยหัวชาร์จ 25W เร็วขึ้นกว่าเดิมแค่ไหน?

หลังจากที่ผลสรุปออกมาว่า iPhone 11 Pro Max รองรับการชาร์จไวสูงสุด 25W ทีมงานเลยสงสัยและทำการทดสอบต่อว่า หากเราจะชาร์จแบตจาก 0 ถึง 100% โดยใช้อะแดปเตอร์เดิม (18W) เทียบอะแดปเตอร์ของ Note10+ (25W) อันไหนจะชาร์จเร็วกว่ากัน ซึ่งผลที่ได้จะแบ่งเป็นช่วงเวลา ให้เห็นว่าแต่ละอุปกรณ์ชาร์จแบตได้กี่เปอร์เซ็นต์เมื่อเวลาผ่านไปแต่ละนาที

  • รูปด้านซ้าย แต่ละอุปกรณ์จะใช้แดปเตอร์แท้เดิมจากกล่อง (18W)
  • รูปด้านขวา iPhone 11 Pro Max จะใช้อะแดปเตอร์ของ Note10+ (25W)

10 นาทีแรก


30 นาที


60 นาที


1 ชั่วโมง 30 นาที


ชาร์จเต็ม 100%


ทุกเครื่องหลังชาร์จได้แบตได้มากพอจะมีการลดกำลังไฟลง ไม่ชาร์จแบตเต็มกำลังเพื่อทำการถนอมแบต

สรุป iPhone 11 ควรซื้อหัวชาร์จที่แรงกว่ามาใช้หรือไม่?

จากผลทดสอบแม้ว่า iPhone 11 Pro Max และอุปกรณ์ Apple ที่นำมาทดสอบ จะรองรับการชาร์จไวสูงสุด 25W แต่ก็ใช่ว่าจะชาร์จเร็วกว่าอะแดปเตอร์ 18W มากมาย เพราะจากผลทดสอบข้างต้นใช้หัวชาร์จ 25W ชาร์จแบตจาก 0 ถึง 50% ใช้เวลาต่างกันไม่กี่นาที และเมื่อชาร์จไปราว 1 ชม. ก็ได้แบตมาใช้ราว 80% แล้ว และหากชาร์จถึง 100% ใช้เวลาอยู่ที่ประมาณ 1 ชั่วโมง 50 นาที เร็วกว่าที่ชาร์จธรรมดา(18W) แค่ 8 นาทีเท่านั้น โดยระหว่างการชาร์จจะเห็นความต่างว่าหัว 25W จะเร็วกว่ากันแค่ราว 1-2% ซึ่งน่าจะไม่สมเหตุสมผลนักที่จะต้องซื้อที่ชาร์จใหม่เพื่อการชาร์จเร็วกว่าเดิมแค่ไม่กี่นาที แต่สำหรับใครที่ใช้งาน MacBook Pro และมีหัวชาร์จแบบนี้อยู่แล้ว ชาร์จครั้งต่อไปแทนที่จะหยิบหัวชาร์จของ iPhone 11 เองมาใช้ ก็ลองหยิบเป็นของ MacBook Pro มาแทนก็น่าจะดีกว่าครับ

สรุปการใช้ Fast Charge หรือ ชาร์จไว นั้นหากจะคำนึงให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ต้องดูด้วยกัน 3 อย่างคือ ตัวเครื่องรองรับได้เท่าไร, หัวชาร์จปล่อยไฟแรงแค่ไหนและรองรับกับเครื่องนี้หรือไม่ เป็น USB PD เวอร์ชันอะไร รองรับ PPS ไหม และสุดท้ายคือสายชาร์จที่ใช้รองรับด้วยหรือเปล่า ซึ่งแนะนำหากเอาแบบสบายใจ ได้ชาร์จไวแบบเต็มสเปคที่แท้จริงใช้ของแท้ทั้งหมดเลยก็น่าจะดีกว่า โดยเฉพาะสายชาร์จหากใช้พวกเส้นละ 20-60 บาท ร่วมกับพวกหัวชาร์จไวแบบวัตต์สูงๆ บอกเลยว่ามีความเสี่ยง ถ้าร้ายแรงหน่อยก็อาจจะเจอปัญหาสายไหม้ได้ จะซื้อของถูกๆประหยัดๆ ยังไงก็คำนึงเรื่องความปลอดภัยกันให้ดีด้วยนะครับ

 

*ของแถม*

ทำไม Galaxy Note10+ ใช้ที่ชาร์จ 61W ของ MacBook Pro 2017 ถึงได้น้อย

ตามผลการทดสอบข้างต้น เมื่อเรานำเอา Galaxy Note 10+ ชาร์จแบตด้วยหัวชาร์จ MacBook Pro ที่สามารถจ่ายไฟได้แรงถึง 61W แต่ผลที่ได้ออกมากลับได้เพียงจิ๋วๆ ไม่ถึง 15W เลยซะด้วยซ้ำ หลายคนก็น่าจะงงว่าเกิดจากอะไร และระบบการชาร์จที่เราทดสอบนี้มีปัญหาตรงไหน ซึ่งก็ต้องไปดูที่อุปกรณ์ในการชาร์จทั้งหมดก่อนว่าเป็นไปตามเงื่อนไขหรือไม่ โดยตัวหลักๆ 2 ส่วนคือ

  1. หัวชาร์จจ่ายไฟได้ 45W รองรับมาตรฐาน USB PD 3.0, รองรับ PPS (Programmable Power Supply)
  2. สายชาร์จต้องรองรับไฟ 5A ขึ้นไป

ซึ่งจากการทดสอบข้างต้นนี้ อุปกรณ์ที่น่าจะก่อให้เกิดปัญหาที่สุดคงไม่พ้นสายชาร์จที่ใช้เพียงเส้นที่แถมมากับกล่องของ Galaxy Note 10+ เอง ซึ่งรองรับการจ่ายไฟเพียง 25W เท่านั้น หรืออีกกรณีนึงคือที่ชาร์จของ MacBook Pro 2017 นั้นไม่ได้ใช้มาตรฐาน USB PD 3.0 และรองรับ PPS ก็เป็นได้ ซึ่งทางเราจะทำการทดสอบให้อีกครั้งเพื่อหาข้อเท็จจริงเรื่องนี้และมาอัพเดทในนี้ให้ได้ทราบกันครับ

ส่วนใครที่เล็งอยากได้หัวชาร์จ Samsung Super Fast Chrge 45W แบบที่ใช้งานได้แน่ๆ ตรงนี้ทาง Samsung เค้ามีขายของแท้ทั้งหัวชาร์จและสาย 5A อยู่ที่ 1,290 บาทนะครับ แต่ว่าคุ้มค่าที่จะซื้อหรือไม่นั้น ลองอ่านจากรีวิวด้านล่างนี้ต่อได้เลยครับ


from:https://droidsans.com/iphone-ipad-11-fast-charge-test-more-18w/

iPad 7th Gen vs iPad Air 2019 เปรียบเทียบความแตกต่าง ควรซื้ออะไรมากกว่ากัน

วางจำหน่ายกันไปเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมากับ iPad 2019 ตัวอัพเดทของ iPad ที่ราคาประหยัดที่สุด ราคาเพียงหมื่นต้นๆ ก็สามารถจับต้องได้แล้ว ซึ่งหลายอย่างของรุ่นนี้ดูเผินๆ แล้วเหมือนว่าจะคล้ายกับ iPad Air ที่ออกมาช่วงต้นปีอยู่ก็ไม่น้อย และหลายคนก็น่าจะมีความสงสัยอยู่ว่าทั้งสองตัวนี้มันต่างกันยังไง ตัวประหยัดมันซื้อได้มั้ย หรือควรกัดฟันขึ้นไปเอา iPad Air เลยจะดีกว่า

ตารางเปรียบเทียบสเปค iPad 2019 (7th Gen) vs iPad Air 2019

สเปค iPad 2019  iPad Air 2019
หน้าจอ Retina 10.2” ความละเอียด 2160 x 1620 ที่ 264 ppi Retina 10.5” ความละเอียด 2224 x 1668 ที่ 264 ppi แสดงผลแบบ truetone, จอภาพแบบ Full Lamination, กันแสงสะท้อน, ขอบเขตสี P3
CPU ชิพ A10 Fusion ชิพ A12 Bionic

พร้อม Neural Engine

RAM 3GB
ความจุ 32GB / 128GB 64GB / 256GB
กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล f/2.4
กล้องหน้า 1.2 ล้านพิกเซล 7 ล้านพิกเซล
แบตเตอรี่ 8827 mAh ไม่รองรับชาร์จเร็ว 8134 mAh รองรับชาร์จเร็ว
Apple Pencil Apple Pencil (รุ่นที่ 1)
สายพอร์ตเชื่อมต่อ Type A to Lightning
ลำโพง สเตอริโอด้านล่าง, มีช่องเสียบหูฟัง 3.5mm
คีย์บอร์ด รองรับ Smart Keyboard
มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น ไม่มี
ความปลอดภัย แสกนลายนิ้วมือ 1st Gen แสกนลายนิ้วมือ 2nd Gen
การเชื่อมต่อ Wi‑Fi 6 มาตรฐาน 802.11ac พร้อม MIMO, Bluetooth 4.2 Wi‑Fi 6 มาตรฐาน 802.11ac พร้อม MIMO, Bluetooth 5.0
SIM nanoSIM + eSIM nanoSIM + eSIM
ขนาดและน้ำหนัก 250.6 x 174.1 x 7.5 มม.
483(493) กรัม
250.6 x 174.1 x 6.1 มม.

456(464) กรัม

ราคา รุ่น Wi‑Fi

  • 32GB฿10,900
  • 128GB ฿13,900

รุ่น Wi‑Fi + Cellular

  • 32GB ฿15,400
  • 128GB ฿18,400
รุ่น Wi‑Fi

  • 64GB ฿17,900
  • 256GB ฿22,900

รุ่น Wi‑Fi + Cellular

  • 64GB ฿22,400
  • 256GB ฿27,400

อธิบายความแตกต่างของ iPad 2019 และ iPad Air 2019

หน้าจอ

ไอแพด ที่เพิ่งออกมาใหม่มีการขยับขนาดหน้าจอขึ้นมาจาก 9.7” เป็น 10.2” ใกล้เคียงกับทาง iPad Air ที่มีขนาด 10.5” ถ้าแค่นำเอาจอมาวางเทียบกับก็แทบจะไม่รู้สึกถึงขนาดที่ต่างกันเท่าไหร่ แต่ถ้าได้ลองใช้เทียบกันดูสักพัก ก็จะรู้สึกได้ถึงสิ่งที่อยู่ใต้หน้าจอซึ่งต่างกันอย่างชัดเจน โดยส่วนหลักๆ 2 ส่วนที่ต่างกันคือ

  1. ความเที่ยงตรงของสีสัน : iPad Air มาพร้อมกับการแสดงผลแบบ truetone, จอภาพแบบ Full Lamination, กันแสงสะท้อน, ขอบเขตสี P3 ทั้งหมดนี้โดยสรุปคือหน้าจอสีสวยสมจริง แต่ตัว iPad 7th Gen ตัดพวกนี้ออกเกลี้ยง ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่ามันไม่แย่แบบพังพินาศ แต่สำหรับคนที่ต้องการความละเอียดของงานสูง ก็อาจจะไม่เหมาะซักเท่าไหร่เท่านั้นเอง
  2. การตอบสนอง : ถ้าใครซื้อไอแพดเพื่อใช้งานทั่วไป อาจจะไม่ได้รู้สึกเท่าไหร่นัก แต่เช่นเดิมว่าหากต้องการความละเอียดสูงๆ iPad Air จะตอบโจทย์เยอะกว่ามาก ยิ่งถ้าใช้ Apple Pencil เป็นหลักจะยิ่งรู้สึกได้ว่า iPad 7th Gen จะมีเส้นตามหัวปากกาที่ด้อยกว่า iPad Air อยู่เล็กน้อยครับ

วัสดุและการจับถือ

ไอแพด ทั้งสองตัวนี้ถ้าไม่ได้ลองจับตัวเครื่องดู อาจจะแยกกันไม่ค่อยออก ต้องสังเกตดูจากด้านข้างที่ความหนาของตัวเครื่องเป็นหลัก ซึ่งถ้าได้ลองจับตัวเครื่องเพียงชั่วครู่ก็จะบอกได้ทันทีว่าตัวไหนคือ iPad ตัวไหนคือ iPad Air ด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมา และความหนาที่ต่างกันแบบชัดเจนมาก โดยน้ำหนักทางตัวเลขอาจจะต่างกันเพียง 30 กรัม แต่เมื่อถือใช้งานจริง 30 กรัม ก็เป็นน้ำหนักที่ต่างกันเอาเรื่องใช้ได้อยู่เหมือนกันนะ ส่วนเรื่องความหนา เหตุที่มันจะอ้วนกว่าเยอะก็เกิดจากกระจกที่เป็นแบบ non-laminated เนี่ยแหละ ซึ่งกระจกแบบนี้มันก็มีข้อดีกว่านิดหน่อย ที่หากทำแตกแล้วมันจะเปลี่ยนได้ง่ายกว่า แต่ใครจะอยากซื้อมาทำแตกกันล่ะ หือ

ประสิทธิภาพ

ใช้งานอุปกรณ์ Apple เรื่องความลื่นไหลไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล แม้ว่า iPad 2019 จะใช้ชิป A10 Fusion เท่านั้น ถ้าลองจับลากถูก เปิดแอปทั่วไป จะไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่นัก แต่ถ้าต้องมีการโหลดเปิดแอปหนักๆ ไฟล์ใหญ่ๆ ที่ต้องการการประมวณผลที่สูง อันนี้ก็จะเห็นได้ชัดขึ้นมาก โดยตัว iPad Air ที่ใช้ A12 Bionic นี่แรงจัด ดีขึ้นกว่า A10 เยอะพอตัวอยู่เหมือนกัน

แบตเตอรี่และการชาร์จไฟ

อย่าให้ตัวเลขความจุแบตเตอรี่ที่มากกว่าหลอกเราได้ว่า ไอแพดรุ่นที่ 7 มีปริมาณที่เยอะกว่า iPad Air แล้วจะมีแบตที่อึดกว่า เพราะตามสเปคของมันแล้ว ทั้งคู่สามารถใช้งานได้ยาวนานพอกัน ด้วยฮาร์ดแวร์ด้านในของ iPad Air ที่มีประสิทธิภาพ และจัดการพลังงานได้ดีกว่า iPad 7th Gen นั่นเอง และส่วนที่ Apple ไม่ค่อยจะบอกก็คือตัว iPad Air รองรับการชาร์จเร็วกับเค้าด้วย โดยรับไฟได้สูงสุดถึง 18W แต่หัวชาร์จที่แถมมาให้ในกล่องจะจ่ายไฟได้เพียง 10W เท่านั้น ถ้าใครอยากให้ iPad ชาร์จได้ไวขึ้นก็ต้องไปซื้อหัวชาร์จใหม่มา รวมถึงสายที่จะต้องเป็นหัว Type-C to Lightning เท่านั้น ถ้าเสียบต่อด้วยสายเดิม Type-A to Lightning จะไม่สามารถใช้งานชาร์จเร็วได้นะครับ

กล้องหน้าหลัง

แม้ว่ากล้องจะไม่ได้เป็นส่วนหลักที่หลายคนใช้ในการตัดสินใจซื้อไอแพด แต่ส่วนนึงที่ควรต้องรู้คือ iPad รุ่นที่ 7 มันจะมีกล้องหน้าที่ค่อนข้างล้าหลังเอาซะมากๆ เพียง 1.2 ล้านพิกเซลเท่านั้น เรียกว่ามีแบบเผื่อต้องใช้ Facetime หรือโทรคุยแบบ Video Call แต่จะไม่ได้เน้นคุณภาพมากเท่าไหร่นัก ซึ่งถ้าเป็นตัว iPad Air จะขยับขึ้นไปที่ 7 ล้านซึ่งจะเท่ากับมาตรฐานตัวอื่นๆแล้วนั่นเอง ส่วนกล้องหลัง 8 ล้านพิกเซลที่เท่ากันนั้น ก็จะใช้งานได้ดีแบบพอใช้ ถ้าเกิดว่าถือไอโฟนแม้จะไม่ใช่รุ่นใหม่มาก ก็ยังน่าเลือกใช้ถ่ายมากกว่ากล้องจาก iPad อยู่ดีนะ

หน่วยความจำ

นอกเหนือจากสเปคข้างต้นที่กล่าวมาแล้ว iPad Air ยังได้เปรียบ iPad ธรรมดาในเรื่องเรื่องหน่วยความจำเริ่มต้น ที่ให้มาเพียงพอกับการใช้งานมากกว่า ถ้าต้องการเก็บนั่นนี่​ โหลดแอปอะไรมาลงเยอะหน่อย บอกเลยว่าหน่วยความจำ 32GB นี่ไม่เพียงพอกับการใช้งานอย่างแน่นอน แนะนำว่าให้เพิ่มเป็น 128GB และจะดีกว่ามาก

ราคาไอแพด

รุ่น Wi‑Fi 32GB ฿10,900

รุ่น Wi‑Fi 128GB ฿13,900

รุ่น Wi‑Fi + Cellular 32GB ฿15,400

รุ่น Wi‑Fi + Cellular 128GB ฿18,400

ราคา iPad Air

รุ่น Wi‑Fi 64GB ฿17,900

รุ่น Wi‑Fi 256GB ฿22,900

รุ่น Wi‑Fi + Cellular 64GB ฿22,400

รุ่น Wi‑Fi + Cellular 256GB ฿27,400

อื่นๆ

ยังมีสเปคอื่นๆจุกจิกที่ไอแพดรุ่นที่ 7 นี้ถูกปรับลดลง ทำให้ด้อยกว่า iPad Air อยู่พอสมควร ทั้ง Bluetooth ที่ให้มาเพียงเวอร์ชั่น 4.2, ตัวอ่านลายนิ้วมือที่ยังใช้เป็นเวอร์ชั่นแรกอยู่ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อประหยัดต้นทุนเพื่อกดราคาของ iPad 7th Gen ลงไปให้ได้ถูกที่สุดเท่าที่จะทำได้นั่นเอง

สรุป มันก็แน่นอนอยู่แล้วว่า iPad Air ที่แพงกว่าต้องดีกว่า

มันคงเป็นไปไม่ได้ที่ iPad Air ซึ่งราคาสูงกว่าจะมีสเปคส่วนไหนที่ด้อยกว่า iPad ธรรมดา แต่สิ่งที่เราควรรู้ก็คือมันมีจุดไหนที่ต่างบ้าง และข้อจำกัดที่เกิดขึ้นของความแตกต่างนี้ และถ้าเราจะซื้อไป มันจะยังตอบโจทย์ความต้องการอยู่รึเปล่านั่นเอง โดยทาง Apple ได้วางไอแพดธรรมดาเอาไว้เป็นแท็บเลตเพื่อการศึกษา ให้พ่อแม่สามารถซื้อให้ลูกใช้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หรือใช้งานระหว่างเรียนได้อย่างเพียงพอ เมื่อเอาไปใช้คู่กับ Apple Pencil ก็สามารถจดบันทึกสิ่งที่ครูสอนได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร แต่สำหรับคนที่ต้องการใช้งานจริงจังขึ้น แน่นอนว่า iPad Air จะเป็นคำตอบที่กว่าอย่างแน่นอน ตามที่ได้บอกได้ทั้งหมดข้างต้นแล้วนั่นเองครับ

สรุป iPad Air ดีกว่า iPad Gen7 อย่างไร

สรุปเอาเฉพาะส่วนหลักๆแบบเข้าใจง่ายๆก็ตามนี้ครับ

  • หน้าจอสวยกว่า ตอบสนองดีกว่า
  • หน่วยประมวลผล CPU เร็วกว่า เปิดปิดแอปใช้งานได้คล่องตัว
  • แบตชาร์จไวได้
  • มีหน่วยความจำขนาดใหญ่กว่า
  • น้ำหนักเบา และเครื่องบางกว่า

จำเป็นต้องซื้อตัว Cellular (4G) + WiFi หรือไม่

ถ้าจ่ายราคาที่เพิ่มขึ้นมาไหว ทั้งค่าเครื่องและรายเดือนสำหรับอีกซิม แน่นอนว่าการที่เครื่องไอแพดมันรองรับ 4G ด้วยเลยเป็นเรื่องที่สะดวกกว่ามาก แต่ถ้าคิดว่าไม่จำเป็นหรือมีข้อจำกัดเรื่องการเงิน รุ่น WiFi Only ก็สามารถใช้งานได้แบบไม่ติดขัดอะไรอยู่นะ โดยเฉพาะคนที่ใช้มือถือเป็น iPhone อยู่แล้วยิ่งใช้งานสะดวกมาก เพราะแค่ sign-in ด้วย iCloud เอาไว้ การเชื่อมต่อของทั้งคู่ก็จะทำได้ง่ายและเร็วมาก ไม่ต้องมาคอยเปิดปิด WiFi ที่ตัว iPhone แต่อย่างใด อยากใช้งานไอแพดเมื่อไหร่ ก็เข้าไปที่ WiFi และเลือกเชื่อมต่อกับ iPhone เราได้เลยอย่างไว เลิกใช้ก็แค่ตัด WiFi ทิ้ง ตัว iPhone จะทำการเปิดปิดการแชร์เน็ตให้อัตโนมัติ ไม่ต้องหยิบมือถือเข้าออกเพื่อเปิดปิด ซึ่งจะต่างออกไปมากถ้าคุณใช้ Android เพราะต้องดึงออกมาจากกระเป๋า ปลดล็อค เลือกเปิด Hotspot กว่าจะเชื่อมต่อได้ก็จะเสียเวลามากกว่าเยอะ จะปิดก็ต้องทำแบบเดียวกันอีกครั้ง คือลำบากกว่าเยอะเลยนั่นเองครับ หากใครสนใจต้องการจะซื้อ iPad ผ่านช่องทางช้อปออนไลน์ สามารถเข้าไปดูได้ที่ https://www.bnn.in.th/apple/ipad.html เลยครับ มีบริการส่งฟรีทั่วประเทศ พร้อมประกันศูนย์ จาก iCare ทุกสาขาทั่วประเทศ

from:https://droidsans.com/ipad-gen7-vs-ipad-air-2019-comparison/

รีวิวฟิล์ม​ Paper-like เปลี่ยนประสบการณ์เขียนบน iPad ด้วย Apple Pencil ให้คล้ายกระดาษ | น่าใช้ขนาดไหน มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?

iPad ทุกรุ่นที่วางขายในปัจจุบัน มีการรองรับ Apple Pencil กันทั้งสิ้นไปเรียบร้อย แต่สิ่งที่อาจจะทำให้เหล่าผู้ใช้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อใช้ดินสอนี้ก็คือสัมผัสของมันกับหน้าจอที่อาจจะลื่นหรือกระด้างไปสักหน่อย แต่ช่วงหลังๆมานี้มีการออกฟิล์มแบบใหม่ที่จะทำให้สัมผัสการเขียนลงใน iPad นี้คล้ายกระดาษ ประสบการณ์การเขียนโดยรวมดีขึ้นมาก แต่มันจะดีขึ้นขนาดไหน วันนี้เดี๋ยวจะเอามาลองให้ดูกันครับ


FYI ฟิล์มกระดาษ (Paper Like) มีหลายเจ้าให้เลือกซื้อ

อย่างที่บอกไปว่าฟิล์มกระดาษนี้ไม่ใช่ของใหม่ แต่เริ่มเห็นคนทำฟิล์มหลายเจ้าปล่อยสินค้าตัวนี้ออกมาสู่ตลาดกันให้เพียบ ที่เราจะเอามาทดสอบวันนี้ก็เป็นของเจ้าตลาดอย่างฟิล์มโฟกัสที่มีปล่อยออกมาวางจำหน่ายอยู่เช่นกัน

ฟิล์มกระดาษ Paper Like คืออะไร?

ถ้าใครที่ใช้งาน iPad และ Apple Pencil อยู่จะพอทราบดีว่า การเขียนด้วยอุปกรณ์ทั้งคู่นั้นแม้ว่าตัวดินสอจะมีความแม่นยำหรือการตอบสนองที่ดีแค่ไหน แต่สิ่งที่ทำให้ประสบการณ์การเขียนบน iPad ยังไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไหร่ก็เพราะตัวหัวดินสอจะค่อนข้างแข็งและลื่น เมื่อทำการวาดและจดลงบนหน้าจอของ iPad ตรงนี้เองจึงมีความคิดที่จะทำฟิล์มกันรอยที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ไปในตัวขึ้นมา ซึ่งตัวฟิล์มจะเพิ่มแรงเสียดทาน ด้วยการทำให้พื้นผิวสากเล็กน้อย ให้มีความคล้ายกระดาษ เมื่อทำการเขียนด้วย Apple Pencil ลงไปที่ตัวฟิล์มก็จะทำให้ประสบการณ์การเขียนเหมือนกับเอาดินสอเขียนลงบนกระดาษจริงๆ จึงเป็นที่มาของฟิล์มกระดาษ Paper Like นั่นเอง

Tips : สำหรับคนที่ใช้ Galaxy Note มาตลอดสงสัยว่าฟิล์มกระดาษนี้จำเป็นหรือเปล่า อันนี้ต้องบอกว่าด้วยความที่หัวปากกา S Pen มันจะมีความยืดหยุ่นอยู่ในตัวแล้วพอสมควร จึงทำให้สัมผัสของปากกาบนหน้าจอค่อนข้างดีอยู่แล้ว จึงอาจจะไม่จำเป็นขนาดนั้นครับ

ประโยชน์ของ Focus Paper Like Film ฟิล์มกระดาษสำหรับนักวาดเขียน

  • วัสดุพลาสติกลักษณะคล้ายฟิล์มด้าน ลดการสะท้อนแสง
  • พื้นผิวคล้ายกระดาษทำให้การจดเขียนหรือควบคุมลายเส้นทำได้แม่นยำขึ้น
  • ลดแสงสะท้อนและรอยนิ้วมือบนหน้าจอ
  • ปกป้องหน้าจอ กันรอยขีดข่วน
  • เวลาลากเส้นจะมีเสียงเหมือนดินสอเขียนลงกระดาษ ให้ความรู้สึกคล้ายกระดาษจริง

ขั้นตอนการติด ยากง่ายแค่ไหนถ้าสั่งซื้อออนไลน์มาเอง

ถ้าใครขี้เกียจจะเข้าห้างไปเดินตามหาฟิล์มกระดาษแบบนี้มาใช้ ทางนึงที่น่าจะหาซื้อได้ไม่ยากก็คงจะเป็นผ่านทางออนไลน์ มีร้านค้าที่นำเอาฟิล์มตัวนี้มาขายอย่างดาดดื่น แต่จะซื้อมาติดเองหลายคนก็อาจจะลังเลว่ามันติดยากขนาดไหน เดี๋ยวจะลองเอามาติดให้ดูกันครับ

แกะซองออกมา ข้างในจะมีฟิล์ม(แผ่นฟ้าๆ)และผ้าเช็ดหน้าจอให้ สองชิ้นถ้วน ปกติของ Focus จะมีผ้าเปียกและสติ๊กเกอร์แปะฝุ่นให้ด้วย แต่อันนี้ไม่มีให้ต้องไปหามาแปะเองนะ
โดยเราจะต้องเก็บ เช็ดฝุ่นบริเวณหน้าจอให้หมดเอาให้ชัวร์ว่าจอใสกิ๊งไร้ฝุ่นไร้คราบมัน โดยแนะนำว่าให้ติดฟิล์มบริเวณที่ไม่มีลมพัดผ่าน และไม่มีฝุ่นนะครับ ไม่งั้นติดยังไงก็ไม่สวย

หลังจากนั้นก็หยิบเจ้าตัวเอกของเรา แผ่นฟิล์มสีฟ้าๆมาทาบบนหน้าจอ กะเล็งบริเวณส่วนหัวให้รูของเลนส์และขอบซ้ายขวามันพอดี แล้วค่อยๆวางลง

ค่อยๆปล่อยลงมาจนสุดก็จะพอดีกับตัวแสกนลายนิ้วมือด้านล่าง ไม่ยากเลย!

จากนั้นก็ลอกฟิล์มสีฟ้าออกได้

เท่านี้ก็จะได้หน้าจอที่ลักษณะเหมือนกระดาษแล้ว ลองเอานิ้วถูจะพบว่าพื้นผิวหน้าจอสากใช้ได้ ลดการสสะท้อนมากกว่าเดิมพื้นผิวจะไปทางด้าน แมทๆ ไม่วาวเท่าเก่าเพราะจะช่วยลดการสะท้อนของหน้าจอให้น้อยลงทำให้ไม่กวนสายตาเวลามองจอ

 

ทดสอบการใช้งาน Paper Like Film ฟิล์มกระดาษจะดีจริงมั้ย

เมื่อได้ลองเอาปากกามาจรดลงหน้าจอที่ติดฟิล์มกระดาษนี้แล้ว รู้สึกได้ทันทีถึงความต่างจากปกติ ที่หน้าจะแข็งๆลื่นๆ เวลาเขียนแล้วมันจะรู้สึกเหมือนเอาปากกาหัวลูกลื่นเขียนบนกระจก ฟีลเลยจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่เมื่อใช้ Apple Pencil เขียนลงไปบน Paper Like Film แล้ว ตัวฟิล์มจะเพิ่มความสากให้หน้าจอ เขียนแล้วมันจะมีความหนืด ไม่แข็งไม่ลื่นเหมือนก่อน เรียกว่าใกล้เคียงกับการใช้ดินสอเขียนลงบนกระดาษมากๆเลยล่ะ

สรุปแล้ว ความสามารถด้านการเขียนดีขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว

อย่างไรก็ดีเราไม่ได้ซื้อ iPad มาเพื่อการเขียนเท่านั้น แต่ยังต้องใช้งานอย่างอื่นอยู่อีก ซึ่งการติด Paper Like Film มันก็เปลี่ยนหน้าจอไปพอสมควร โดยความใสจะไม่เท่าเดิมนัก ลดลงไปราว 10-15% เลย แต่ก็รู้สึกสบายตาดี และไม่ได้มีผลต่อความเพี้ยนของสีแต่อย่างใด และเห็นรอยนิ้วมือบนหน้าจอยากขึ้นกว่าเดิมพอสมควรครับ

อีกสิ่งนึงที่จะรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงก็คือปกติที่เราจะถูไถหน้าจอแบบลื่นๆ มันจะกลายเป็นความสากไปซะหมดเลย แถมจะมีเสียงครืดๆ เหมือนเราเอานิ้วถูลงไปในกระดาษที่ไม่ได้เรียบลื่นยังไงอย่างงั้นแหละ สำหรับบางคนอาจจะไม่รู้สึกอะไร และคิดว่าก็ไม่ลื่นดี แต่สำหรับคนที่ติดกับความใส และความลื่นแบบเดิมแล้ว ฟิล์มกระดาษก็อาจจะทำให้รู้สึกแปลกๆไปได้ รวมถึงบางทีอาจจะรู้สึกได้ว่ามันสกปรกง่ายขึ้นกว่าเดิมนิดนึงครับ

สรุปฟิล์มกระดาษเหมาะมากสำหรับคนชอบวาดเขียน

Paper Like Film ช่วยลดความลื่นและแรงกระทบระหว่างจอและดินสอ (Apple Pencil) ได้ดี ทำให้ควบคุมการวาดเขียนได้ดีขึ้น ให้ความรู้สึกเหมือนกับเขียนบนกระดาษจริงๆตามชื่อมันเลย แต่ก็จะมีสิ่งที่แลกมาคือความด้านของหน้าจอที่จะลดความใสของจอลงไปเล็กน้อย และผิวสัมผัสที่จะสากตลอดเวลา คือถ้าใครที่ซื้อมาเพื่อเขียน ฟิล์มกระดาษคือตอบโจทย์มาก แต่ถ้าไม่ได้เน้นด้านนี้ และชอบดูหนังเล่นแอปไถฟีดมากกว่า การเลือกฟิล์มปกติก็อาจจะตอบโจทย์กว่านะ

from:https://droidsans.com/focus-ipad-paper-like-film-review/

เปรียบเทียบสเปค iPad Air 10.5 นิ้ว (2019) กับ iPad Pro 10.5 นิ้ว (2017)

Ipad Air Vs Ipad Pro 10.5 Comparison 2019 CoverApple เปิดตัวและเปิดขาย iPad Air 10.5″ เป็นที่เรียบร้อยแล้วหลายคนมีคำถามว่า ความต่างระหว่าง iPad Air 10.5″ ปี 2019 กับ iPad Pro 10.5″ ปี 2017 ที่หน้าจอเท่ากันนั้นมีอะไรบ้าง แล้วควรจะเลือกซื้อตัวไหนดี เรามาดูข้อมูลกันครับ เปรียบเทียบสเปค iPad Air 10.5 นิ้ว (2019) กับ iPad Pro 10.5 นิ้ว (2017) สรุปจุดเด่นของ iPad Air 10.5″ (2019) ในจุดที่อัปเกรดดีขึ้นหลัก ๆ ดังนี้ ใช้ชิป A12 Bionic หน้าจอใหญ่ขึ้นเป็น 10.5″ นิ้ว ความถี่จอแสดงผล 60Hz ความจุดเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 256GB รองรับ Smart Keyboard แบบ iPad Pro แสดงสีจอขอบเขต […]

from:https://www.iphonemod.net/ipad-air-2019-vs-ipad-pro-10-5-inch-comparison.html

Apple เปิดขาย iPad Air (2019) ที่ Apple Store Online ประเทศไทย เริ่มต้น 17,900 บาท

Ipad Air 2019 Wifi Sale Release In Apple Store Online Thailand Coverเปิดขายแล้วำหรับ iPad Air (2019) ที่รองรับ Apple Pencel และ Smart Keyboard สามารถสั่งซื้อได้ที่ Apple Store Online ประเทศไทยและแอป Apple Store ราคาเริ่มต้น 17,900 บาท เปิดขาย iPad Air (2019) ที่ Apple Store Online ประเทศไทย Apple ได้เปิดขาย iPad Air (2019) ที่ Apple Store Online ไทย โดยเปิดขายเฉพาะรุ่น Wi-Fi ราคาเปิดขายแต่ละรุ่นมีดังนี้ ราคา iPad Air (2019) รุ่น Wi-Fi iPad Air (2019) รุ่น Wi-Fi ความจุ 64GB […]

from:https://www.iphonemod.net/ipad-air-2019-wifi-sale-release-in-apple-store-online-thailand.html

เปรียบเทียบ iPad Air 10.5 นิ้ว และ iPad mini Gen 5 รุ่นใหม่ ปี 2019 เหมาะกับใคร เลือกซื้อรุ่นไหนดี

How To Choose Ipad 2019 Ipad Mini Ipad Air Covหลังจากที่ Apple เปิดตัว iPad Air 10.5 นิ้ว และ iPad mini Gen 5 รุ่นใหม่ ปี 2019 สำหรับใครที่ชื่นชอบและวางแผนว่าจะซื้อ iPad ปี 2019 นี้ ทีมงานมีข้อเปรียบเทียบและคำแนะนำในการเลือกซื้อมาฝากกันค่ะ เปรียบเทียบ iPad Air 10.5 นิ้ว และ iPad mini Gen 5 รุ่นใหม่ ปี 2019 เหมาะกับใคร เลือกซื้อรุ่นไหนดี iPad Air 10.5 นิ้ว และ iPad mini Gen 5 รุ่นใหม่ ปี 2019 มาพร้อมกับชิปประมวลผล A12 Bionic ตัวเดียวกับที่ใช้ใน iPhone XS มี Neural Engine […]

from:https://www.iphonemod.net/how-to-choose-ipad-2019-ipad-mini-ipad-air.html

iPad ใหม่ 2019 มาพร้อม RAM 3GB, ชิป A12 Bionic มี Clock Speed พอๆ กับ iPhone

New Ipad 2019 Clock Speed A12 Bionic Ram 3gbApple ทำเซอร์ไพร์ใส่ชิป A12 Bionic ใน iPad Air, iPad mini 2019 และมีรายงานเผยว่าชิป A12 ช่วยให้ iPad รุ่นใหม่ที่มี RAM 3GB มี Clock Speed พอๆ กับ iPhone ชิป A12 Bionic ใน iPad ใหม่ 2019 คะแนน Geekbench ของ iPad โมเดล (11,2) ที่มาพร้อม RAM 3GB มี Clock Speed อยู่ที่ 2.49GHz (ทดสอบกับ iOS 12.2) ซึ่งเป็นตัวเลขพอๆ กับ Clock Speed ของ iPhone ในรายงานไม่ได้บอกว่า iPad (11,2) นั้นเป็น iPad Air หรือ iPad […]

from:https://www.iphonemod.net/new-ipad-2019-clock-speed-a12-bionic-ram-3gb.html

Apple เปิดขาย Smart Cover สีใหม่ สำหรับ iPad Air (2019) รุ่น 10.5 นิ้ว

Ipad Air 2019 10 5 Smart Cover LaunchApple เปิดตัว iPad Air ปี 2019 พร้อมกับเปิดขาย Smart Cover สำหรับ iPad Air รุ่น 10.5 นิ้ว และรองรับกับ iPad Pro รุ่น 10.5 นิ้ว สีใหม่ Apple เปิดขาย Smart Cover สีใหม่ สำหรับ iPad Air รุ่น 10.5 นิ้ว Apple เปิดขาย Smart Cover สีใหม่ใน Apple Store Online ประเทศไทย ต้อนรับ iPad Air (2019) รุ่น 10.5 นิ้ว เน้นความสดใสสวยงาม วัสดุทำมาจากโพลียูรีเทนทำหน้าที่ปกป้องรอยขีดข่วนบนหน้าจอ iPad สามารถปลุกหน้าจอ iPad ได้เมื่อเปิดออก […]

from:https://www.iphonemod.net/ipad-air-2019-10-5-smart-cover-launch.html

Apple เปิดตัว iPad Air 2019 และ iPad mini 2019 อัปเกรดสเปกแรงขึ้น และรองรับ Apple Pencil

 

Apple ประกาศเปิดตัว iPad สองรุ่นใหม่ผ่านเว็บไซต์ Apple.com ประกอบด้วย iPad Air (Gen 3) และ iPad mini (Gen 5) โดยอัปเกรดสเปกให้แรงขึ้น และรองรับ Apple Pencil ในราคาเริ่มต้นเพียงหมื่นนิดๆ เท่านั้น

สเปก iPad Air 2019 

ipad air 2019

มาพร้อมหน้าจอแสดงผลแบบ Retina Display ขนาด 10.5 นิ้ว ความละเอียด 2224 x 1668 พิกเซล ความหนาแน่น 264PPI ในอัตราส่วน 4:3 และเคลือบด้วยแก้วเหมือน iPad Air 2 และรุ่นPro แต่ต่างจาก iPad Gen 6 นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี True Tone และรองรับสีแบบกว้าง DCI-P3

ทำงานบนชิป Apple A12 Bionic ซึ่งเร็วกว่ารุ่นเดิม 3 เท่า และทำงานกราฟิคได้เร็วขึ้น 9 เท่า พร้อมชิป Apple Neural Engine เพื่อช่วยให้การทำงานของ AI สะดวกและเร็วขึ้น และมีตัวประมวลผลร่วม M12 ในตัว รวมทั้งรองรับ Apple Pencil

ติดตั้งกล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซลพร้อมรูรับแสง f/2.4 ส่วนกล้องหน้าความละเอียด  7 ล้านพิกเซล รวมทั้งรองรับ 4G LTE (เฉพาะรุ่น 4G+WiFi), Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, ฺBluetooth 5.0 และรองรับ  eSIM ใหม่พร้อมนาโนซิม

ทั้งนี้ iPad Air 2019 มีให้เลือก 3 สี สีเงิน สีเทาสเปซเกรย์ และสีทอง โดยมี 2 ความจุคือ 64GB และ 256GB และมีราคาดังนี้

iPad Air 2019 (Wifi) 64GB ราคา 17,900 บาท

iPad Air 2019 (Wifi) 256GB ราคา 22,900 บาท

iPad Air 2019 (Wifi + Cellular) 64GB ราคา 22,400 บาท

iPad Air 2019 (Wifi + Cellular) 256GB ราคา 27,400 บาท

สเปก iPad mini 2019 

มาพร้อมหน้าจอแสดงผลแบบ Retina Display ขนาด 7.9 นิ้ว ความละเอียด 2048 x 1536 พิกเซล ความหนาแน่น 326PPI ในอัตราส่วน 4:3 และเคลือบด้วยแก้ว รวมทั้งมีเทคโนโลยี True Tone และรองรับสีแบบกว้าง DCI-P3

ทำงานบนชิป Apple A12 Bionic ซึ่งเร็วกว่ารุ่นเดิม 3 เท่า และทำงานกราฟิคได้เร็วขึ้น 9 เท่า พร้อมชิป Apple Neural Engine เพื่อช่วยให้การทำงานของ AI สะดวกและเร็วขึ้น และมีตัวประมวลผลร่วม M12 ในตัว รวมทั้งรองรับ Apple Pencil

ติดตั้งกล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซลพร้อมรูรับแสง f/2.4 ส่วนกล้องหน้าความละเอียด  7 ล้านพิกเซล รวมทั้งรองรับ 4G LTE (เฉพาะรุ่น 4G+WiFi), Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, ฺBluetooth 5.0 และรองรับ  eSIM ใหม่พร้อมนาโนซิม

ทั้งนี้ iPad mini 2019 มีให้เลือก 3 สี สีเงิน สีเทาสเปซเกรย์ และสีทอง โดยมี 2 ความจุคือ 64GB และ 256GB และมีราคาดังนี้

iPad mini 2019 (Wifi) 64GB ราคา 13,900 บาท

iPad mini 2019 (Wifi) 256GB ราคา 18,900 บาท

iPad mini 2019 (Wifi + Cellular) 64GB ราคา 18,400 บาท

iPad mini 2019 (Wifi + Cellular) 256GB  ราคา 23,400 บาท

ที่มา : Gamarena

 

from:http://mobileocta.com/apple-announced-the-launch-of-ipad-air-2019-and-ipad-mini-2019/

เปิดตัว iPad Air 2019 และ iPad Mini 5th Gen รองรับ Apple Pencil ทั้ง 2 รุ่น เริ่มต้นที่ 13,900 บาท

เดี๋ยวนี้ Apple ก็อินดี้เป็นกับเค้าเหมือนกัน ไม่ต้องมีงานเปิดตัวละ เปิดขายมันดื้อๆ เลยกับ iPad Air 2019 (คือนับ Gen ไม่ถูก หยุดขายไปตั้งแต่ปี 2017 เลยขอเรียกเป็นปีแทนละกัน) โดยควงคู่มากับน้องเล็ก iPad Mini Gen 5 ซึ่งจุดขายของทั้ง 2 รุ่นคือได้ชิปตัวแรงอย่าง A12 Bionic รองรับ Apple Pencil แถมราคาตั้งต้นก็ไม่แพงซะด้วย เพราะเริ่มที่ 13,900 บาท

iPad Air 2019

การกลับมาในรอบ 2 ปี ของ iPad Air นั้นได้อัพสเปคด้วยหน้าจอ 10.5 นิ้ว Retina ความละเอียด 2224 x 1668, ชิป Apple A12 Bionic ทำงานร่วมกับ Neural Engine และชิป M12 กล้องหลังความละเอียด 8MP และกล้องหน้า Facetime HD ความละเอียด 7MP ส่วนพอร์ตยังไม่เปลี่ยน ใช้ Lightining เหมือนเดิม

โดยหลักๆ คือเอาความทรงพลังของ iPad Pro มาลดสเปคลงมาเพื่อทำราคาให้ดีขึ้น และเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น แถมยังรองรับ Apple Pencil และ Smart Keyboard ด้วย

ราคา iPad Air 2019

  • รุ่นความจุ 64GB Wi-Fi ราคา 17,900 บาท
  • รุ่นความจุ 64GB Wi-Fi+Cellular ราคา 22,400 บาท
  • รุ่นความจุ 256GB Wi-Fi ราคา 22,900 บาท
  • รุ่นความจุ 256GB Wi-Fi+Cellular ราคา 27,400 บาท

 

iPad Mini 5th Gen

ฝั่งของ iPad Mini นี่ก็ไม่แพ้กัน เพราะลองไล่เช็คย้อนกลับไปนี่.. โอยจะ 3-4 ปีแล้วด้วยซ้ำ จาก iPad Mini 4 ซึ่งรอบนี้ก็ได้พลังของชิป Apple A12 Bionic มี Neural Engine และชิป M12 อยู่ภายใน

หน้าจอมีขนาด 7.9 นิ้ว Retina ความละเอียด 2048 x 1536 พิกเซล, กล้องหลังความละเอียด 8MP และกล้องหน้า Facetime HD ความละเอียด 7MP น้ำหนักดีมาก เพราะเบาแค่ 300 กรัม ส่วนพอร์ตชาร์จก็ยังเป็น Lightning เช่นกัน

ระบบเสียงเป็นลำโพงคู่สเตอริโอ และรองรับการขีดเขียนของ Apple Pencil ด้วย เรียกว่าเป็นรุ่นที่ขนาดเหมาะมือสุดๆ น่าจะเป็นขายดีมากๆ รุ่นนึงเลยทีเดียว เพราะเปิดราคามาหมื่นต้นๆ เท่านั้นเอง

ราคา iPad Mini (5th Gen)

  • รุ่นความจุ 64GB Wi-Fi ราคา 13,900 บาท
  • รุ่นความจุ  64GB Wi-Fi+Cellular ราคา 18,400 บาท
  • รุ่นความจุ  256GB Wi-Fi ราคา 18,900 บาท
  • รุ่นความจุ  256GB Wi-Fi+Cellular ราคา 23,400 บาท

ถึงแม้ว่าตอนนี้ iPad ทั้ง 2 รุ่นจะมีข้อมูลและราคาบน Apple Store ประเทศไทยแล้วก็ตาม แต่ยังไม่ประกาศกำหนดการวางขายออกมาแต่อย่างใด ซึ่งคาดว่าอาจจะต้องรออีกสักหน่อย แต่ปกติแล้วฝั่ง iPad บ้านเราก็มักจะขายเร็วอยู่แล้วคร้บ

 

source : Apple

from:https://droidsans.com/ipad-air-2019-ipad-mini-5th-gen-apple-thia-store-price/