คลังเก็บป้ายกำกับ: DOLCE__GABBANA

Dolce & Gabbana เปิดไลน์อัพสินค้าสำหรับสาวอวบ มีไซส์ถึง XXL

Dolce & Gabbana ถือว่าเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับ Luxury แบรนด์แรกที่เริ่มโครงการนี้ ได้เพิ่มขนาดไซส์ของเสื้อผ้าของสาวๆ ไปจนถึง XXL รองรับสาวร่างอวบ

Photo : Shutterstock

เทรนด์เรื่องความหลากหลายของบุคคลเริ่มส่งผลให้เห็นมากขึ้นในวงกว้าง แม้แต่แบรนด์แฟชั่นระดับหรูอย่าง Dolce & Gabbana ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เช่นกัน

ด้วยการขยายไลน์อัพของสินค้ากลุ่มเสื้อผ้าสตรีให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ไปจนถึงไซส์ XXL ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับสาวๆ มากขึ้น ทำให้ไม่ได้จำกัดแค่ว่าสินค้าจะมีเฉพาะสำหรับผู้หญิงที่มีรูปร่างดีเท่านั้น

Domenico Dolce และ Stefano Gabbana ผู้ก่อตั้งแบรนด์ D&G ได้บอกว่า ต้องการให้แบรนด์เป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ ในทุกรูปแบบ ซึ่งการที่ออกเสื้อผ้าไซส์ใหญ่เพิ่มขึ้น ยิ่งช่วยขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้ย อีกทั้งยังได้เรื่องภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ส่งเสริมความหลากหลายของแต่ละบุคคล

เขาเสริมว่า “ความงามไม่ใช่เรื่องของไซส์ หรือขนาด แต่เป็นเรื่องของจิตใจ ทัศนคติ ที่จะทำให้ผู้หญิงกลายเป็นคนสวยได้”

เทรนด์เรื่องของแฟชั่นสำหรับสาวร่างอวบเริ่มเห็นมากขึ้น ก่อนหน้านี้ Nike ก็เพิ่งเปิดตัวหุ่นจำลอเสื้อผ้าสำหรับสาวร่างอวบไปแล้วเช่นกัน เรียกว่าเป็นสัญญาณอันดีในวงการแฟชั่น

Source

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/dolce-gabbana-unveils-plus-size-range/

แก้ Crisis Management ให้เหมือนกับง้อแฟน เทคนิครับมือกับวิกฤติของ บี-สโรจ เลาหศิริ

“การแก้วิกฤติเหมือนกับการที่เราทะเลาะกับแฟน  ในวันที่โกรธยกเหตุผล 108 มาอ้างก็คงไม่ฟัง  และสิ่งที่แฟนทุกคนต้องการคือ ‘แสดงให้ฉันเห็นว่าเธอแคร์ เธอฟังฉัน รอให้ฉันอารมณ์เย็นแล้วค่อยคุยกันด้วยเหตุผล’ 

นี่คือสิ่งที่ บี สโรจ เลาหศิริ Chief Marketing Officer ของ Rabbit Digital Group ที่ดูแลเเรื่องกลยุทธ์และการตลาด และเจ้าของเพจ สโรจขบคิดการตลาด บอกกับเราถึงวิธีรับมือกับ Crisis หรือ วิกฤติอย่างไรไม่ให้กลายเป็น ‘หายนะ’ อีกรอบสำหรับแบรนด์  และเล่าว่าในการทำ Crisis Management นั้นแบรนด์ควรต้องให้ความสำคัญกับสิ่งไหนบ้าง

ทำไมการแก้ Crisis ถึงสำคัญ

สโรจ: แน่นอนอันดับแรกผลกระทบต่อชื่อเสียงของแบรนด์สินค้า  ต่อมาคือกระทบต่อยอดขายตามมาเมื่อเห็นความไม่เชื่อในแบรนด์จนคนก็ไม่กล้าซื้อสินค้า

อีกอย่างคือเป็นวิกฤติในแง่ของความรู้สึก คนก็อาจจะแบนแล้วบอยคอตน์ ต่อต้าน เวลาที่แบรนด์ทำโฆษณาก็จะคอยมาคอมเมนต์ด่าอยู่ตลอดเวลา

จริงๆ วิกฤติเป็นเรื่องที่อยู่คู่กับแบรนด์และสินค้า  เพียงแต่ว่าเมื่อก่อนเกิดวิกฤติบ่นกับใครไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้คนไม่ทำแบบนั้นแล้ว  สิ่งที่มันเร็วและได้ Attention มากที่สุดคือการลงโซเชียลแล้วเดี๋ยวแบรนด์จะวิ่งมาแก้ปัญหาเอง

แบรนด์ควรซ้อมก่อนเกิด Crisis จริง

สโรจ: ผมย้อนไปนิดนึงนับเป็น 0 1 2 3 4 ซึ่ง 0 คือซ้อมเจอวิกฤติ  วางแผนก่อน Crisis Planning วางแผนรับมือวิกฤติ มาเซ็ตกันก่อนว่าอันไหนคือวิกฤติ เป็นสีเขียว เหลือง แดง ทุกคนที่เกี่ยวควรคุยกัน เพราะมันร้ายแรงไม่เท่ากัน เซ็ทร่วมกัน มี Protocal เป็นลำดับ 1 2 3 4 และที่สำคัญต้องซ้อมโดน  อย่างถ้าวันนี้มีคนบอกว่าตายเพราะสินค้า ตอบได้ไหมตอบภายใน 10 นาทีให้ได้ว่าต้องโทรหาใคร

ขั้นตอนสำคัญในการรับมือกับ Crisis

สโรจ: Step 1 Track Crisis บางคนใช้ Tools มาช่วย เช่น Social Listening Tools ต่างๆ  แต่ว่าจากที่ผมเคยแก้ Crisis มา ไม่มี Tools ไหนจัดการกับ Crisis ได้ดีกว่ามนุษย์อดนอน ใช้คนนั่ง Track นั่งเล่น Pantip เจอกระทู้นี้ปุ๊ปเห็นแล้วมัน Track ได้เร็วกว่า

Step 2 Holding Statement เป็นการที่แบรนด์ต้องรีบพูดก่อนที่เรื่องราวจะใหญ่โต  เพราะปกติดราม่าจุดประเด็นเรื่องหนึ่งชาวเน็ตจะขุด  อย่างดราม่าดาดราที่ต่อมเผือกทำงานไปขุดข่าวเก่าเคยเกิดอะไรมาบ้าง  ฉันก็เจอเหมือนกัน

Step 3 Handle the Crisis คือ ‘การสืบหาความจริง’ เพราะเรามี Protocol อยู่แล้วก็ไปสืบหามาว่าข้อกล่าวหานี้เป็น Fact ไหม ปัญหาอยู่ที่อะไรรีบหาคำตอบว่าให้ได้เร็วที่สุด ผิดก็ว่าไปตามผิด ถ้าเราไม่ผิดก็ชี้แจง 1 2 3 4 5 ต้องบอกว่าชาวเน็ตไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นเขาเป็นคนมีเหตุผล  ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณยืนยันในสิ่งที่ถูกต้องมันก็จะมีคนเห็นสิ่งนั้นอยู่

Step 4 Mornitor & Recover คือ ตามเก็บงานคือมอนิเตอร์ไว้ไม่ใช่โพสต์เสร็จแล้วก็จบ  ถ้าเสิร์ช SEO แบรนด์ของเราสิ่งนี้ยังขึ้นอยู่ไหม  ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขหรือยัง ลองมอนิเตอร์ดูว่า Social Voice ไปหมดหรือยัง Search Engine มันหายไปหรือยัง  หรือเรื่องนี้มันกลายเป็น Top Rank ที่คุณต้องเริ่มสร้างข่าวดีๆ ลงไป  เพราะอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นแล้วมันจะอยู่ในดิจิทัลตลอดไป  ที่เราเรียกว่า ‘Digital Footprint’

ซึ่งต้องหาวิธีใส่ข่าวดีเข้าไป  จากนั้นดูว่ามีกระทู้ใหม่ๆ เกิดขึ้นบ้างไหมในประเด็นนี้  และมีแถลงการณ์ไปแนบครบหรือเปล่า

Crisis ควรต้องจบใน 48 ชั่วโมง

สโรจ: ส่วนใหญ่แล้ว Crisis จะอายุประมาณ 48-72 ชั่วโมง ก็จะเงียบหายไป  เป็นเรื่องปกติตามเพลงพี่ป็อป..แล้วมันจะผ่านไปด้วยดี  แต่ผ่านไปด้วยดีเราก็กลับไปทำงานอย่างสบายใจได้  แต่ถ้าปมไม่ถูกแก้รอละลอกใหม่ได้เลย

บางทีแบรนด์ก็ ‘พลาด’

สโรจ: อย่างล่าสุดที่เห็นกันมีแอดมินเพจในตำนานซึ่งผมต้องบอกก่อนว่าก็ชื่นชอบและติดตามผลงานของแอดมินนี้เพราะว่าเร็วมาก  ยังเคยแซวเลยว่าถ้าจะไปหา Tools Social Listening จากไหน  ให้ไปถามว่าแอดมินเพจนี้ใช้ Tools อะไรแล้วไปเอามาใช้เพราะมันเร็วมาก

ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ‘เร็วไป’ บางทีจับมาเล่นเรียลไทม์บางครั้งเราต้องเลือก  เพราะมันมีเส้นบางๆ ระหว่างพอดีๆ คาบเส้น กับเลยเถิด  และบังเอิญว่าสิ่งไปที่ไปจับมันเป็นเรื่องที่ Sensitive ซึ่ง Sensitive มีอยู่ 2 เด้ง  เด้งแรกในแง่ประเด็นเรื่อง ‘Cyberbully’

ซึ่งน้องคนนี้ก็รณรงค์เรื่องนี้พอดีนั่นคือเด้งแรก  เด้งที่สองคือเราไปแตะ BNK ที่มีกลุ่มแฟนแบบเหนียวแน่นจนเรียก ‘Brand Guardian’ ที่พร้อมที่จะมาปกป้องในสิ่งที่เขารักและโจมตีกลับ

สิ่งที่พลาดไปนิดนึงคือพอเล่นเสร็จอาจจะคิดหรือไม่คิดก็ได้ถึงผลที่ตามมา  มันกลับกลายเป็นว่าเรียกแขกให้เข้ามาตอกย้ำประเด็นเรื่อง Cyberbully เข้ามาด่าอีก  รวมถึงเจ้าตัวเองก็ตั้งกระทู้แล้วต้องบอกว่า ‘เขียนดี’ เพราะน้องเขาเขียนเรื่องประเด็นของการเรียกไลค์  โดยมองข้ามการที่ต้องทำร้ายคนหนึ่งคนเพื่อให้ตัวเองมีชื่อเสียงขึ้นมาซึ่งเขียนดีมาก จึงทำให้แอดมินเพจนี้โดนโจมตีทันที

และแน่นอนว่าพอออกแถลงการณ์แก้ไขเสร็จแล้วก็ดำเนินชีวิตต่อไป  ที่แน่นอนอาจจะต้องมี Policy ที่แน่นหนาขึ้นที่จะต้องแตะประเด็นเหล่านี้

ถ้าแก้ดีก็พลิก ‘วิกฤติ’ ให้เป็น ‘โอกาส’ ได้

สโรจ: ผมชอบของต่างประเทศก่อนเป็นเคสของ KFC มันมีกรณีที่บริษัท KFC เปลี่ยนคนส่งไก่จากอีกเจ้าหนึ่งเป็นเจ้าหนึ่ง  ซึ่งเจ้าใหม่ที่มาทำการกระจายส่งไก่ไปทั่วไปประเทศเกิดความผิดพลาดทำให้ KFC ทั่วประเทศไม่มีไก่ขาย  จนแฟน KFC มากินทุกวันแบบนี้มันไม่ Professional และทำให้ความโกรธกระจายไปทั่ว Social

สิ่งที่ KFC ทำคือการซื้อหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งแล้วออกแถลงการณ์  ซึ่งสิ่งที่เขาทำก็คือว่าพิมพ์ โปสเตอรเป็นรูปถังไก่แล้วก็ไก่หมด  แล้วเปลี่ยนโลโก้ตัวเอง KFC เป็น FCK ย่อเป็นคำอุทานว่า F_CK

ภาพจาก – Reddit

เหมือนเล่นตัวเองแล้วบอกไปตามตรงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง  ทำไมถึงเกิดสิ่งนี้ขึ้น  แล้วเรามั่นใจว่าเรื่องนี้รับไม่ได้เราจะขอดำเนินการส่งไก่ให้ทุกคนให้เร็วที่สุดขอภัยจริงๆ  แค่นี้แล้วถ่ายรูปลง Twitter ลง Social คนแชร์เยอะมากแล้วก็แน่นอนว่า  จนคนบอกว่ารู้สึกให้อภัยเพราะเล่นเรื่องเลวร้ายแบบนี้ด้วยอารมณ์ขัน

ซึ่งในต่างประเทศ KFC เป็นแบรนด์ที่เล่นกับเทรนด์เยอะมาก เช่น เอาผู้พันแซนเดอร์ไปเล่นกับเทรนด์  มีความขี้เล่นเยอะ เวลาเกิด Crisis จึงเอาความขี้เล่นนี้เล่นกับตัวเองด้วย

ในวันนั้นหาก KFC ไม่ได้แก้สถานการณ์แบบนี้  อาจจะออกแถลงการณ์แบบอื่นแบบซีเรียสจริงจังก็แก้ได้  เพียงแต่ว่ามันก็เป็นท่ามาตรฐานของการแก้ Crisis แต่ KFC ใส่ Creativity ลงไป  แล้วคนก็รัก KFC มากขึ้น  เรียกได้ว่า ‘พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสโดยแท้จริง’

บางเรื่องมันพลาดกันไม่ได้

สโรจ: เช่นเดียวกันในแต่ละอุตสาหกรรมมันมีเรื่องที่ ‘พลาดไม่ได้’ เพราะ Crisis มันมีโอกาสผิดพลาดเล็กน้อยกับพลาดไม่ได้เลย  อย่างเรื่องของอาหารเราก็ไม่ควรพลาดเรื่องของความสะอาด  เพราะสุขอนามัยผิดพลาดไม่ได้  หรือแม้กระทั่งถ้าเราเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัย  สิ่งที่พลาดไม่ได้คือระบบรักษาความปลอดภัยที่ไม่ปลอดภัย

First Re-Action สำคัญที่สุด

สโรจ: แถลงการณ์แรกแสดงออกว่าสำนึกผิดไหม แถไหม ที่เราเห็นบ่อยๆ คือเรายึดมั่นในคุณธรรม ในเรื่องนี้ เราไม่ยอม..เฮ้ย..เราไม่สนว่าคุณยึดมั่นในเรื่องอะไร  ถ้าคุณยึดมั่นเรื่องนี้ต้องไม่เกิดขึ้นสิ

นั่นแปลว่าสิ่งที่เราต้องการฟังจาก First Reaction คือ ‘ความรู้สึกรับผิดชอบ’ กับเรื่องที่เกิดขึ้นและคำสัญญาว่าจะทำอะไรต่อ อย่าง Dolce & Gabbana กรณีตะเกียบและพิซซ่าอันโด่งดัง  สิ่งที่พลาดของเคสนี้คือ First Reaction เพราะการออก Holding Statement เท่ากับ First Reaction ที่ออกมากลายเป็นว่าทำให้มันกระพือไปอีก

กลายเป็นว่าเป็นการด่ากลับ หรือเหยียดกลับ  โดยบอกว่าอะไรแค่นี้นักหนา  จนทำให้เรื่องราวใหญ่โตจนสุดท้ายต้องเปิดการ์ด ‘รู้เท่าไม่ถึงการณ์’ แต่ความเสียหายก็เกิดไปแล้วก็คือถูกแบน ยกเลิกจัดงาน และแบรนด์ดังๆ ไม่ร่วมสังคายนาด้วยเลย

ภาพจาก – CNN

หรือ First Reaction ของ American Airline กรณีลากผู้โดยสารที่โดนลากลงจากเครื่องบิน  ซึ่ง First Reaction หรือสิ่งที่ผู้บริหารทวีตออกมาว่าทำถูกต้องตาม Protocal แล้ว  แต่ว่าเราขอโทษกับ ‘เรื่องวุ่นวาย’ ที่เกิดขึ้น  เรายังคงรักษาและยึดมั่นในการดำเนินการตาม Protocal ทำให้คนรู้สึกว่าสายการบินไม่ได้อยู่ข้างลูกค้า  จนส่งผลหุ้นก็ร่วงระนาว

ภาพจาก – Inc

ดังนั้นเวลาวิเคราะห์ Social ต้องบอกเลยว่าเขาโจมตีคุณเรื่องอะไรบ้าง  และจะออกแถลงการณ์มาก็ควรต้องแก้ให้ครบ

เดี๋ยวมันก็ผ่านไป

สโรจ: Crisis มีเข้ามาแล้วก็มีจากไป  วันนี้หลายคนก็คงลืมไปแล้วว่าปีที่แล้วเกิด Crisis อะไรกับแบรนด์บ้าง  และคนก็ยังอุดหนุนแบรนด์ๆ นั้นอยู่  โดยที่ความรู้สึกมันจางไปแล้ว  แต่ถ้าเราไม่ได้ไปแก้ที่ปมหลับหูหลับตาปล่อยให้เรื่องเงียบไปเรื่องนั้นก็จะโดนขุดมาอีกรอบหนึ่ง  สิ่งสำคัญคือการแก้ปม มอนิเตอร์ Recover เป็นเรื่องที่ดีเพื่อป้องกันอนาคตเพื่อไม่ให้เรื่องเดิมถูกขุดขึ้นหรือเกิดขึ้นมาอีก

สิ่งสำคัญที่สุดที่สโรจพยายามย้ำในการแก้ Crisis คือต้องจำอยู่เสมอว่าเวลาบริหารวิกฤตินั้น  ‘เรากำลังบริหารความรู้สึก ไม่ใช่บริหารความจริง’ หมายความว่าตอนนี้ชาวเน็ตกำลังโกรธเพราะเรื่องนี้มันไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้อง  และควรดูให้ดีว่าตอนนี้ชาวเน็ตพร้อมที่จะฟังหรือเปล่า  ไม่งั้นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่กว่าเดิมได้

 

 

 

 
Source: thumbsup

from:https://thumbsup.in.th/2019/03/crisis-management-bee-saroj/

ร้านออนไลน์จีนพร้อมใจถอนสินค้า Dolce & Gabbana หลังมีดราม่าร้อนระอุ

สินค้าแบรนด์เนม Dolce & Gabbana ถูกถอดออกจากร้านค้าออนไลน์ของจีนหลายแห่ง ผลจากความไม่พอใจของชาวจีนต่อแบรนด์ D&G ที่เปิดตัวโฆษณาชุดใหม่จนถูกมองว่าเป็นการเหยียดวัฒนธรรมจีน แรงกระเพื่อมนี้รุนแรงทั่วโลกเซเลบฯและสังคมโซเชียลจนทำให้ร้านค้าออนไลน์จีนทั้งเล็กและใหญ่ตัดสินใจคว่ำบาตรสินค้า D&G อย่างพร้อมเพรียง

ต้นเหตุของดราม่านี้คือแบรนด์หรู D&G เปิดตัวโฆษณาที่ดึงนางแบบหญิงจีนพยายามกินพิซซ่าและสปาเก็ตตี้ด้วยตะเกียบ แต่เชื้อไฟที่โหมให้กระแสความไม่พอใจ D&G ปะทุขึ้นคือภาพ screenshot การสนทนาของผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอย่าง Stefano Gabbana ซึ่งวิจารณ์คนจีนและประเทศจีนอย่างเสียหาย ไม่เว้นแม้แต่การกินสุนัขของคนจีน

ผลคือวันนี้โลกโซเชียลเต็มไปด้วยภาพ ข่าว และข้อความต่อต้าน D&G สินค้า D&G ถูกนำมาทำลายและโชว์ผ่านสื่อโซเชียลจีนอย่างร้อนแรง ล่าสุดคืองานแฟชั่นโชว์ของ D&G ในเซี่ยงไฮ้ถูกยกเลิกไปแล้วเรียบร้อย

ในมุมอีคอมเมิร์ซของจีน หลายเว็ยไซต์ลบภาพผลิตภัณฑ์ Dolce & Gabbana ทิ้งไปอย่างไม่ใยดี ทั้งแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเครือ NetEase อย่าง Kaola รวมถึง Secoo ผู้ค้าปลีกสินค้าหรูหราชื่อดังในจีนก็ยืนยันว่าได้ลบสินค้า Dolce & Gabbana ออกไปตั้งแต่คืนวันพุธที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมาตามเวลาประเทศจีน

การตรวจสอบโดย Reuters เมื่อเช้าวันพฤหัสบดี 22 พฤศจิกายน 61 พบว่าหน้าเว็บที่เชื่อมโยงกับสินค้าแบรนด์ Dolce & Gabbana ในเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเครือ Alibaba และ JD.com ก็ไม่สามารถใช้งานได้เช่นกัน และหากผู้ใช้ค้นหาแบรนด์ จะไม่พบรายการสินค้าใดเลย

เบื้องต้น Alibaba และ JD.com ยังไม่ออกมาให้ความเห็นใดกับเรื่องนี้ ทำให้ไม่แน่ชัดว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นผลจากคำสั่งรัฐบาล หรือการตัดสินใจตามกระแสสังคมจีนในขณะนี้ โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว D&G ได้ออกโฆษณาชุดหนึ่งซึ่งฉายภาพหญิงชาวจีนพยายามกินพิซซ่าและสปาเก็ตตี้ด้วยตะเกียบ ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลมีเดียว่า D&G กำลังล้อเลียนวัฒนธรรมจีน

ความโกรธแค้นของคนจีนยังทวีขึ้นเมื่อมีการเผยแพร่ข้อความทวิตเตอร์ของ Stefano Gabbana นักออกแบบหลักของ Dolce & Gabbana ที่ให้ข้อสังเกตเชิงลบเกี่ยวกับประเทศจีน กระแสแพร่กระจายอย่างรวดเร็วบนแพลตฟอร์ม Weibo ซึ่งเป็นบริการสไตล์ Twitter ของจีน มียอดชมข้อความมากกว่า 120 ล้านครั้ง

หลังจาก D&G ได้ยกเลิกการแสดงแฟชั่นโชว์ขนาด 500 ชุดในเซี่ยงไฮ้เมื่อวันพุธที่ผ่านมา บริษัทได้ออกแถลงการณ์ขอโทษ พร้อมระบุว่าข้อความจากบัญชี Gabbana และแบรนด์ D&G นั้นถูกแฮ็ก แต่ชาวจีนและชาวโลกไม่เชื่อ จนทำให้เกิดเป็นแท็ก #notme ล้อเลียนการแก้ตัวแบบฟังไม่ขึ้นครั้งนี้

คนดังในจีนต่างพร้อมใจคว่ำบาตร D&G แบบไม่เหลือใย เช่น ดาราสาวแห่งเรื่อง “Memoirs of a geisha” อย่าง Zhang Ziyi ที่โพสต์ต่อต้าน Dolce & Gabbana ชัดเจน ขณะที่นักร้อง Wang Junkai กล่าวว่าได้ยกเลิกข้อตกลงการเป็น brand ambassador แล้ว

ไม่เพียงร้านออนไลน์ ร้านค้าปลอดภาษีที่สนามบินในเมือง Haikou ทางตอนใต้ของจีน ก็นำผลิตภัณฑ์ Dolce & Gabbana ออกจากชั้นวางเช่นกัน

ทั้งหมดนี้ พรรคคอมมิวนิสต์เยาวชน Communist Party Youth League แสดงจุดยืนแทนคนจีนทั้งประเทศว่า จีนยินดีต้อนรับบริษัทต่างชาติ ในการลงทุนและพัฒนาประเทศจีน แต่บริษัทเหล่านี้ควรเคารพชาวจีนและประเทศจีนเช่นกัน

แน่นอนว่าข้อความนี้ไม่ได้ส่งถึงเฉพาะ Dolce & Gabbana แต่ส่งถึงทุกแบรนด์ที่จะต้องระวังจุดยืนตัวเองให้ดี.

ที่มา: : BI

 
Source: thumbsup

from:https://thumbsup.in.th/2018/11/dolce-gabbana/

ดราม่ารองเท้ารุ่น Slave Sandal ของ Dolce & Gabbana จบลงด้วยการเปลี่ยนชื่อแล้ว

dolce-gabanna-slave-sandal-02

ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา Dolce & Gabbana ได้ขึ้นรองเท้าแตะรุ่น Slave Sandal สำหรับหน้าร้อนนี้บนเว็บไซต์ โดยใช้ชื่อเต็มว่า Slave Sandal in Napa Leather with Pompoms ราคาคู่ละ 2,395 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราวๆ 86,220 บาท ตั้งชื่อล่อเป้าขนาดนี้ มีหรือดราม่าจะไม่บังเกิด

สำหรับแบรนด์ดังที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก การตั้งชื่อรุ่นรองเท้าด้วยคำว่า Slave Sandal แทนคำที่คนทั่วไปเรียกกันว่า Gladiator Sandals นั้น อาจจะสร้างการพูดถึงในวงกว้างได้ แต่ไม่ใช่ในทางที่ดีนัก

landscape-1457017475-slave-lead

ต้องเท้าความก่อนว่า รองเท้าแตะรุ่นนี้ได้แรงบันดาลใจจากภาพวาดที่แสดงให้เห็นถึงชีวิตของทาสในสมัยก่อน ตัววัสดุทำจากหนังแกะราคาสูง และประดับด้วยไหมที่ถักออกมาเป็นลูกกลมๆ

ราคาแพงเฉียดแสน แต่ใช้ชื่อรุ่นว่ารองเท้าแตะทาส ไม่รู้ว่าแบรนด์คิดดีแล้ว หรือไม่คิดอะไรเลยกันแน่ แต่ที่แน่ๆ คือมีชาวเน็ตออกมาให้ความเห็นกันอย่างมาก

ยกตัวอย่าง @DavikaStaar ทวิตหาแบรนด์ดังกล่าวว่า “@dolcegabbana เป็นบริษัทที่น่าสะอิดสะเอียน การออกรองเท้าใหม่ที่ใช้ชื่อรุ่น slave sandal เป็นเรื่องที่ผิด”

บางเสียงกล่าวว่า “รองเท้าสวย แต่ชื่อแย่” ในขณะที่บางคนก็โยนความผิดไปให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์ รวมไปถึงทีมสื่อสารการตลาดของบริษัท

Imran Amed ผู้ก่อตั้งและเป็นบรรณาธิการเว็บไซต์ The Business of Fashion เสริมว่า “นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดครั้งแรกที่เกิดขึ้น คุณคงคิดว่าพวกเขาจะคิดให้รอบคอบมากขึ้น เพราะนี่เป็นสิ่งที่สามารถก่อให้เกิดความแตกแยกได้”

dolce-gabanna-slave-sandal-02

หลังจากมีกระแสต่อต้านมากมาย แบรนด์ดังก็เปลี่ยนชื่อรุ่นจาก “Slave Sandal in Napa Leather with Pompoms” กลายเป็น “Decorative Flat Sandal in Napa Leather With PomPoms” ในที่สุด

ความจริงแล้วคอลเลกชันหน้าร้อนนี้ Dolce & Gabbana ตั้งใจให้เป็นแคมเปญที่เกี่ยวข้องกับความรัก (ITALIA IS LOVE) แต่ดูเหมือนว่าแบรนด์คงจะไม่ได้รับความรักอย่างที่หวัง และถึงแม้จะมีการเปลี่ยนชื่อรุ่นรองเท้าแล้ว ก็ไม่น่าจะสามารถเรียกคืนความเกลียดชังต่อแบรนด์ได้สักเท่าไหร่

ที่มา : The New York Times

from:http://thumbsup.in.th/2016/03/slave-sandal-dolce-gabbana-drama/