คลังเก็บป้ายกำกับ: BURGER_KING

โปรเอาตัวรอด “Burger King” จัดแคมเปญ 1 แถม 1 เพิ่มโอกาสเข้าถึงลูกค้าคนไทย

ตั้งแต่สถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา แม้ธุรกิจอาหารจะเป็นธุรกิจที่น่าจะอยู่รอดได้มากที่สุดเพราะไม่ว่าอย่างไร มนุษย์เราก็ต้องกินต้องใช้ ผู้บริหารคนใหม่ของเบอเกอร์คิงเอง ก็ยอมรับว่าสถานการณ์กลับมาดีขึ้นแล้ว แต่ช่วงไตรมาสสองคือวิกฤตมากจริงๆ ทั้งจากฐานลูกค้าต่างชาติที่หายไป จำนวนสาขาที่ต้องปิดตัวลง รวมทั้งการปรับเปลี่ยนหลายอย่างเพื่อให้เข้ากับสภาวะในตอนนี้

คุณธนวรรธ ดำเนินทอง ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เบอร์เกอร์ (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า ตลอดปี 2563 ที่ผ่านมา มีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมายทำให้คนไทยมีเรื่องให้คิดมาก เบอร์เกอร์ คิง จึงได้เลื่อนเวลาเทศกาลแห่งความสุขให้มาถึงก่อนกำหนด รวมทั้งเบอเกอร์คิงเองไม่ได้มีสินค้ากลุ่ม Plant-based ด้วย จึงปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้เข้าสู่เทศกาลแห่งความสดใสเลย

ภาพลักษณ์ของเบอเกอร์คิงในสายตาคนไทยแท้นั้น ยังมีความยากอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็น ภาษาที่ใช้ภายในร้าน ชื่อของเมนูอาหาร รวมทั้งเรื่องของราคาที่ค่อนข้างสูง เพราะการเปิดร้านนั้น เน้นที่กลุ่มนักท่องเที่ยวเป็นหลัก เราจึงเห็นเบอเกอร์คิงในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชาวต่างชาติจำนวนมาก ในสนามบิน หรือแหล่งท่องเที่ยว

แต่หลังจากสถานการณ์โควิด-19 เราจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับความเป็นไทยมากขึ้น เช่น เปลี่ยนเมนูให้เข้าปากคนไทยมากขึ้น โปรโมชั่นที่เอื้อต่อการเข้าถึงง่ายขึ้น รวมทั้งเรื่องของภาษาก็จะปรับให้เข้าใจง่ายขึ้น

สิ่งต่างๆ เหล่านี้เหมือนเป็นรายละเอียดเล็กน้อย แต่การทำตลาดผ่านการสื่อสารภาพลักษณ์ต่างๆ เหมือนย้อนกลับไปเริ่มใหม่

“เรามีการคุยกับทางบริษัทแม่ท่ีต่างประเทศเกี่ยวกับเรื่องปลีกย่อยพวกนี้ ซึ่งมีบางเงื่อนไขที่ต้องรักษาความเป็นตัวตนไว้ แต่ภาพรวมกลยุทธ์ที่เราวางไว้ทางบริษัทแม่ก็เข้าใจและตกลงที่จะให้เราปรับเปลี่ยนเช่นเดียวกับในประเทศอื่นๆ”

สัดส่วนลูกค้าไทยจากที่มีเพียง 60% ตอนนี้คือ 90% คือลูกค้าไทย ส่วนลูกค้าต่างชาติคือกลุ่มที่ทำงานอยู่ที่นี่ แม้ลูกค้าต่างชาติจะรับได้กับค่าอาหารที่ปรับตัวลง แต่ก็ต้องคิดถึงกลุ่มลูกค้าไทยเป็นหลัก เพราะเราไม่รู้ว่าสถานการณ์โควิดในปีหน้าจะเป็นอย่างไร ตอนนี้คือรับมือกับสิ่งเหล่านี้ให้ดีที่สุด

อย่างไรก็ตาม สาขาของเบอเกอร์คิงที่มีอยู่ 96 สาขา และในบางสาขาที่ปิดตัวลงเพราะไม่มีลูกค้าเราก็ปรับตัวไปขายในช่องทางออนไลน์มากขึ้น ทั้งผ่านแพลตฟอร์มและการจัดส่งเอง ส่วนเป้าสาขาที่เคยตั้งไว้ว่าจะเปิดให้ได้ 10 สาขาในปีนี้ก็อาจต้องยืดเวลาออกไปก่อน ตอนนี้ก็เปิดได้ประมาณ 3 สาขาเท่านั้น

ส่วนกลยุทธ์ในปีหน้านั้น คงเน้นไปที่การทำโปรโมชั่นทั้งหน้าร้านและเดลิเวอรี่ให้หลากหลายมากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าอยากสั่งซื้อแทนการมานั่งทานที่ร้าน และเราก็เชื่อว่าหลังจากที่สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้น รวมทั้งการขยายพื้นที่ให้บริการเดลิเวอรี่กระจายไปต่างจังหวัดมากขึ้น เราก็จะมีโอกาสขายมากขึ้นเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้เบอร์เกอร์ คิง ได้ตั้งเป้ายอดขายไว้ว่าจะเติบโตขึ้น 25% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา

ทั้งนี้ แคมเปญ “คริสต์มาสไม่คิดมาก” ตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้ จะมาพร้อมโปรโมชั่นซื้อเมนูเบอร์เกอร์ยอดนิยม 1 ชิ้น แถมอีกฟรี 1 ชิ้น เพื่อคืนรอยยิ้มให้ทุกคนอีกครั้ง โดยเลือกจากเมนูยอดนิยมได้เอง ไม่ว่าจะเป็น

  • วอปเปอร์ จูเนียร์ ชีส (Whopper Jr. Cheese) เบอร์เกอร์ซิกเนเจอร์หมู / เนื้อ ประกบด้วย ชีสแผ่นหนา แตงกวาดอง หอมใหญ่ มะเขือเทศ ผักกาดขาวสดกรอบ พร้อมเพิ่มรสชาติด้วยซอสมายองเนส
  • นินจาเบอร์เกอร์ (Ninja Burger Pork) เบอร์เกอร์หมูสไตล์ญี่ปุ่นตัวจริง อร่อยฉ่ำทุกคำด้วยซอสเทอริยากิสูตรพิเศษ พร้อมซอสมายองเนส ตัดเลี่ยนด้วยหอมทอดเพิ่มรสสัมผัสกรุบกรอบเคี้ยวเพลิน
  • ฟิช แอนด์ คริสป์ (Fish N’ Crisp) เบอร์เกอร์ปลาชิ้นโต ๆ เสิร์ฟร้อนพร้อมซอสทาร์ทาร์เข้มข้นและชีสแผ่น
  • เบอร์เกอร์สะโพกไก่ทอด (Tender Crisp) เบอร์เกอร์สะโพกไก่ทอดกรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟพร้อม มะเขือเทศฉ่ำน้ำ ผักกาดแก้วสดกรอบ และ ซอสมายองเนสหวานนุ่ม

นอกจากนี้ ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ระหว่างเดือน ตุลาคม ถึง ธันวาคม เบอร์เกอร์ คิง ได้ตั้งเป้ายอดขายไว้ว่าจะเติบโตขึ้น 25% จากไตรมาสที่ผ่านมา และคาดการณ์ว่าโปรโมชั่น “คริสมาสต์ไม่คิดมาก” จะมาเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญในการเพิ่มยอดขายของเบอร์เกอร์ คิงในช่วงสิ้นปี นอกจากนี้ในอนาคตอันใกล้ เบอร์เกอร์ คิง จะเตรียมเปิดโปรโมชั่นเพื่อส่งเสริมการขายและตอบแทนผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยโปรโมชั่นต่าง ๆ ที่กำลังจะมาถึงจะเน้นไปที่การเจาะตลาดผู้บริโภคคนไทยเป็นหลัก

from:https://www.thumbsup.in.th/burger-king-promotion?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=burger-king-promotion

Burger King ปรับกลยุทธ์รับมือวิกฤตโควิด ขอเป็นร้านเบอร์เกอร์ ที่ “เป็นมิตร” กับคนไทย

Burger King ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดในเครือ Minor ที่มีเบอร์เกอร์ Whopper เป็นหนึ่งในเมนูต้นตำหรับสำหรับร้าน Burger King ทั่วโลก กำลังปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้กลายเป็นร้านที่เป็นมิตรกับคนไทยมากขึ้น พร้อมเริ่มฉลองเทศกาลคริสมาสต์ ตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้

ธนวรรธ ดำเนินทอง ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เบอร์เกอร์ (ประเทศไทย)

ธนวรรธ ดำเนินทอง ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เบอร์เกอร์ (ประเทศไทย) เล่าการทำธุรกิจของ Burger King ว่า ปีนี้เป็นปีที่ยากลำบาก สถานการณ์โควิด-19 ทำให้ Burger King ต้องมีการตัดสินใจปิดสาขาชั่วคราวไป 12 แห่ง แบ่งเป็น สาขาในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต กระบี่ เกาะพีพี เกาะสมุย และกรุงเทพฯ จากจำนวนสาขาทั้งหมด 96 แห่งทั่วประเทศ

ผลกระทบที่ Burger King ได้รับนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการเปิดสาขาในพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว แม้ฐานลูกค้าของ Burger King จะเป็นคนไทยในสัดส่วนมากกว่า 60% ก็ตาม โดยก่อนหน้านี้สาขาที่สามารถสร้างรายได้ให้กับ Burger King ในประเทศไทยมากที่สุดคือ สาขาภายในสนามบินภูเก็ต

จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้สัดส่วนการขายอาหารของ Burger King เปลี่ยนไป จากเดิมที่การนั่งทานอาหารภายในร้าน รวมกับการสั่งกลับบ้าน คิดเป็นสัดส่วน 70% ในปีที่แล้ว ลดลงเหลือ 60% ในปีนี้ ส่วนเดลิเวอรีเพิ่มขึ้นจาก 10% ในปีที่แล้ว เป็น 25% ในปีนี้ ส่วนไดฟ์ทรู มีสัดส่วนประมาณ 15%

ส่วนด้านพฤติกรรมของลูกค้าก็เปลี่ยนไปเช่นกัน จากที่แต่เดิมสาขาขายดีของ Burger King คือสาขาภายในสนามบินภูเก็ต แต่กลายเป็นว่าปัจจุบัน สาขาที่ขายดีกลับเป็นสาขา ภายในปั๊มน้ำมันแถวประชานุกูล เพราะคนอยากซื้อของจากร้านที่อยู่ใกล้บ้าน ไม่ได้อยากเข้าเมืองอีกต่อไป

Burger King จึงวางแผนที่จะขยายสาขาไปอยู่ในปั๊มน้ำมันมากขึ้น โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา Burger King เคยวางแผนเปิดสาขาเพิ่ม 10 สาขา แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้การเปิดสาขาใหม่ล่าช้าออกไป โดยในปีนี้อาจเปิดสาขาใหม่ได้เพียง 5 สาขาเท่านั้น (เปิดไปแล้ว 2 สาขา รอเปิดปลายปีนี้อีก 3 สาขา)

Burger King ปรับตัว ขอเป็นร้านเบอร์เกอร์ ที่เป็นมิตรกับคนไทย

จากผลกระทบที่เกิดขึ้น Burger King จึงต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ ปรับตัวให้อยู่รอดภายใต้สถานการณ์ ที่ทำให้ลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหายไป ด้วยการหันมาจับกลุ่มฐานลูกค้าที่เป็น “คนไทย” มากขึ้น แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า ที่ผ่านมา Burger King ดูเป็นแบรนด์ที่คนไทยเข้าถึงยากกว่าที่ควรเป็น

เมนูอาหารที่ไม่ได้มีแค่เบอร์เกอร์อีกต่อไป

ธนวรรธ เล่าว่า กลยุทธ์การจับกลุ่มฐานลูกค้าคนไทย ต้องมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง “เพราะถ้าทำแบบเดิมๆ จะหวังผลลัพธ์ใหม่ๆ ก็คงไม่ได้” ตั้งแต่การพัฒนาเมนูอาหารใหม่ๆ ที่ถูกใจคนไทย อย่างเช่นในปีที่แล้วที่ Burger King ออกเมนูข้าวไก่ทอด ก็ได้รับผลตอบรับที่ดี ในอนาคตจึงต้องมีเมนูใหม่ๆ ที่ไม่ใช่เบอร์เกอร์ เป็นเมนู Localize มาให้ลูกค้าที่เป็นคนไทยมากขึ้น

การสื่อสารต้องเข้าใจง่าย

ปัญหาอย่างหนึ่งของ Burger King คือ คนไทยเข้าใจยาก ทั้งชื่อเมนูภาษาอังกฤษยาวๆ ไม่มีป้ายเมนูภาษาไทย บางครั้งลูกค้าที่เข้ามาในร้านอ่านเมนู Whopper ซึ่งเป็นเหมือนเมนูต้นตำหรับของ Burger King ทั่วโลกผิด Burger King จึงต้องเริ่มเปลี่ยนป้ายเมนูภายในร้านให้มีภาษาไทยมากขึ้น รวมถึงเปลี่ยนชื่อเมนูบางอย่างที่เคยเรียกเป็นภาษาอังกฤษ เป็นภาษาไทย เช่น Tender Crisp เปลี่ยนเป็น สะโพกไก่ทอด โดยการเปลี่ยนแปลงนี้จะค่อยๆ เปลี่ยนเรื่อยๆ

การทำโปรโมชัน ราคา บรรยากาศในร้านก็สำคัญ

ที่ผ่านมา Burger King มีการปรับลดราคาลงเฉลี่ยประมาณ 10% แต่อย่างไรก็ตามการปรับลดราคาไม่สำคัญเท่ากลยุทธ์การจัดโปรโมชันให้มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะโปรโมชัน 1 แถม 1 ที่ได้รับผลตอบรับดี โดยได้รับบทเรียนมาจาก The Pizza Company ที่ลูกค้าต้องการความคุ้มค่า

โดยโปรโมชัน 1 แถม 1 ของ Burger King สามารถเลือกได้ทั้งเมนูยอดนิยม เช่น วอปเปอร์ จูเนียร์ ชีส (Whopper Jr. Cheese), นินจาเบอร์เกอร์ (Ninja Burger Pork), ฟิช แอนด์ คริสป์ (Fish N’ Crisp) และ เบอร์เกอร์สะโพกไก่ทอด (Tender Crisp)

ส่วนประเด็นการเลือกตกแต่งร้าน เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลวันคริสมาสต์ในช่วงปลายปีที่จะถึงตั้งแต่ช่วงต้นเดือนตุลาคม จนกลายเป็นกระแสที่ได้รับการพูดถึงในโลกออนไลน์ ธนวรรธ ให้เหตุผลว่า ต้องการเลื่อนเทศกาลแห่งความสุขให้มาถึงเร็วขึ้นก่อนกำหนด เพื่อคืนรอยยิ้มให้ทุกคนอีกครั้งหนึ่ง

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/burger-king-thai-customer/

โควิด-19 ยังอยู่อีกนาน: กลยุทธ์ร้านอาหารแบรนด์ใหญ่ อยู่ยังไงให้รอดในวันที่มีโรคระบาด

กระแสการปรับเปลี่ยนร้านอาหารเพื่อรับมือโรคระบาดโควิด-19 ตอนนี้กำลังมาแรงในโลกตะวันตก เพราะการเอาแต่ป้องกันจนผู้คนหวาดกลัวทำให้ไม่สามารถออกจากบ้านไปใช้ชีวิตตามปกติแบบที่เคยมีมาก่อนโควิดระบาดได้ วิธีที่ดีที่สุดคือหาทางรับมือกับปัญหาที่ไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ ทั้ง Taco Bell, Shake Shack, Starbucks และ Burger King จึงเร่งออกแบบร้านใหม่ รับมือโรคระบาด

taco bell
photo : Shutterstock

สิ่งที่เชนร้านอาหารต่างๆ เลือกทำคือ พลิกกลยุทธ์สำหรับธุรกิจที่ต้องอยู่ท่ามกลางโควิด-19 ให้ได้ 

ความกังวลที่มีต่อไวรัส ทำให้มีข้อจำกัดมากมาย จนในที่สุดก็เปลี่ยนพฤติกรรมของลูกค้าในการกินอยู่ไปอย่างสิ้นเชิง ลูกค้าหันมาดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพื่อสั่งอาหารและให้เดลิเวอรี่ได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกัน ข้อมูลจาก NPD Group ระบุว่าช่องทาง drive-thru ที่ทำให้ลูกค้าสามารถขับรถเข้าไปสั่งอาหารได้มีอัตราที่เพิ่มขึ้น 26% ในเดือนเมษายน-มิถุนายนที่ผ่านมา 

ร้านอาหารหลายแห่ง หลายแบรนด์เร่งให้ความสำคัญกับการปรับปรุงหน้าร้านมากขึ้น โดยมุ่งเป้าไปที่การให้ความสะดวกสบายแก่ลูกค้ามากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องมีความปลอดภัย ปลอดจากโรคระบาดด้วย Starbucks ก็เป็นอีกตัวอย่างในการปรับกลยุทธ์ ทั้งการออกแบบแอปพลิเคชันที่ทำให้คนสั่งซื้อเครื่องดื่มและอาหารและรับกลับไป (pick up) หลังจ่ายเงินได้

ขณะที่ Mike Grams COO แห่ง Taco Bell Global ระบุว่า ยังมีแฟรนไชส์ Taco Bell อีกมากที่ต้องการขยายพื้นที่สำหรับ drive-thru สำหรับไตรมาส 2 นี้มีรถใช้บริการ drive-thru เพิ่มขึ้นถึง 4.8 ล้านคันเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า แม้ว่าจะมียอดขายลดลง 8% ก็ตาม

การออกแบบ “Go Mobile” สำหรับร้านอาหารต่างๆ ถือเป็น feature หลักที่จะทำให้มีการสั่งออนไลน์และทำให้สื่อสารกับลูกค้าได้ง่ายที่สุดสำหรับการให้บริการ pick up อาหารได้มากขึ้น Shake Shack ก็เป็นอีกแบรนด์ที่ปรับกลยุทธ์เช่นกัน ทั้งในรูปแบบของ drive-up และ walk-up windows เหล่านี้ล้วนทำขึ้นมาเพื่อส่งเสริมรูปแบบการสั่งอาหารแบบ pick up ทั้งสิ้น 

ที่มา – CNBC

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/new-design-of-restaurant-chains-among-covid-19/

Burger King หลังโควิด: เน้นเดลิเวอรี่, เน้น drive-thru, บริการ pick-up และ Go Mobile

โควิด-19 น่าจะระบาดยาวนาน จนธุรกิจต่างๆ ต้องปรับกลยุทธ์รับมือกับวิกฤตที่ถาโถม ล่าสุด Burger King ก็ปรับธุรกิจรับมือโรคระบาดที่จะยังอยู่กับเราไปยาวๆ หรือจนกว่าจะมีวัคซีน 

สิ่งที่ Burger King เตรียมทำและเพิ่งเผยให้เห็นคือการออกแบบร้านใหม่ โดยเตรียมสร้างเป็นต้นแบบในปีหน้าในไมอามี ลาตินอเมริกา และแคริบเบียน ทั้งนี้ Josh Kobza COO (Chief Operating Officer: กรรมการผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ) ระบุว่า เริ่มมองไปถึงปี 2021 แล้ว และเตรียมแผนพัฒนา Burger King ทั่วโลก

แผนเด่นๆ ที่ Burger King เริ่มทำ คือการทำเลนสำหรับ drive-thru 2 เลน สามารถรับอาหาร (pick up) ข้างทางได้ และยังจัดทำเมนูแบบดิจิทัลด้วย โดยรูปแบบใหม่ที่จะให้บริการลูกค้านี้ ลูกค้าสามารถขับรถเข้าไปยังจุดที่ออกแบบไว้ให้ สามารถสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน และยังให้บริการเดลิเวอรี่อาหารให้ถึงรถได้ด้วย พวกเขาจะเห็นเลน drive-thru ถึง 3 เลน เลนหนึ่งจะไว้สำหรับคนขับเพื่อส่งอาหาร อีกสองเลนก็ไว้สำหรับบริการลูกค้า   

เมื่อลูกค้ามาถึง สามารถสั่งผ่านหน้าต่างได้ ร้านอาหารก็อาจจะทำให้ขนาดเล็กลงกว่าเดิมด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีรูปแบบให้บริการที่ไม่ต้องมีห้องอาหาร ให้ขับรถเข้ามาสั่งอาหารและก็ไป ทั้งนี้ Burger King เพิ่งจะออกแบบร้านอาหารและทดลองให้บริการไม่กี่ปีนี้เอง แต่โรคระบาดโควิดถือเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้เทรนด์การเปลี่ยนแปลงนี้กลายเป็นเรื่องที่แบรนด์ต้องเร่งทำจริงจัง 

การขับรถเข้ามาสั่งอาหารและไป รวมทั้งการเดลิเวอรี่เพิ่งจะมีความสำคัญกับ Burger King มากขึ้นก็ช่วงที่มีโควิดระบาดอย่างหนัก หลังจากที่การอนุญาตให้เข้าไปทานในร้านอาหารถูกแบนและถูกจำกัดมากขึ้นเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ 

ไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา ยอดขายผ่าน drive-thru นี้เพิ่มขึ้นมากถึง 85% จากยอดขายทั้งหมดในสหรัฐ เปรียบเทียบกับยอดขายจากร้านอาหารปีก่อนหน้ามีเพียง 67% เท่านั้น Burger King ในสหรัฐฯ ทั้งหมดมีราวๆ 7,300 สาขา มีกว่า 6,500 สาขาที่มี drive-thru แล้ว

นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา Burger King เพิ่งจะเพิ่มการให้บริการบบ Delivery เข้าไปในร้านอาหารกว่า 2,000 แห่ง ตอนนี้กว่า 6,100 สาขาจำเป็นต้องมีบริการ Delivery แล้ว 

Burger King ทำธุรกิจอยู่ทั่วโลกราว 18,800 แห่ง แนวคิดที่จะพัฒนาเทรนด์ร้านอาหารจากนี้ไป คือเน้นโหมด Delivery ให้บริการแบบ pick-up สั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชันได้ และ Go Mobile มากขึ้น 

ที่มา – CNN 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/burger-king-in-the-future/

Burger King ในอังกฤษเริ่มแย่ เตรียมปิดตัว 10% พนักงานเสี่ยงตกงานราว 1,600 คน

ระดับ Burger King ก็เริ่มเอาไม่อยู่

ล่าสุด ซีอีโอ Burger King ในอังกฤษออกมาบอกว่าโรคระบาดโควิด-19 สร้างผลกระทบอย่างหนัก อาจต้องปิดตัวอย่างน้อย 10% และการปิดตัวนี้จะส่งผลให้พนักงานอาจต้องตกงานราว 1,600 คน

ภาพจาก Shutterstock

Alasdair Murdoch CEO แห่ง Burger King ออกมาบอกเองเลยว่า ต้องปิดร้านราว 10% อาจจะทำให้คนตกงานกว่าพันคน แม้ว่าจะมีโครงการรัฐบาลเริ่มออกมาให้ความช่วยเหลือแล้ว Murdoch บอกว่า โครงการช่วยเหลือดังกล่าวไม่น่าจะช่วยแก้ปัญหายอดขายตกและต้นทุนที่แบกรับอยู่ได้ครอบคลุมนัก

ปัจจุบัน Burger King ในอังกฤษกลับมาเปิดได้ราว 370 แห่ง จากทั้งหมด 530 แห่ง มีพนักงานทั่วอังกฤษกว่า 16,500 คน จากนั้นซีอีโอก็ย้ำว่า ถ้าเราสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้มันปิดตัวลงได้ เราก็จะทำ ซึ่งไม่ใช่แค่ Burger King เท่านั้นที่ประสบปัญหานี้ ทุกคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ล้วนได้รับความเสียหายกันทั้งนั้น

ก่อนหน้านี้ Murdoch ได้พยายามเรียกร้องให้มีการงดเว้นค่าเช่าพื้นที่เป็นระยะเวลา 9 เดือนเพื่อช่วยลดต้นทุนที่องค์กรต่างๆ ภายในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับงานบริการต้องแบกรับขณะที่ยังไม่มีรายได้เข้ามา การที่รัฐจะเข้ามาช่วยแทรกแซงปัญหาดังกล่าว เป็นเรื่องสำคัญและจำเป็น

ที่มา – BBC

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/burger-king-will-shut-up-10-percent-of-restaurants/

กระแสเนื้อไร้เนื้อแรง! Burger King จับมือ Impossible Foods ออกเมนูใหม่อาหารเช้ามังสวิรัติ

Burger King ประกาศวางขายเมนู Impossible Croissan’wich (ครัวซองต์แซนด์วิชไส้กรอกมังสวิรัติ) เมนูอาหารเช้าทั่วสหรัฐอเมริกา 

กระแสเนื้อไร้เนื้อดีต่อเนื่อง

หลังจากที่ Burger King เริ่มทดลองเมนู “ครัวซองต์แซนด์วิชไส้กรอกมังสวิรัติ” เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา และถือเป็นเจ้าแรกที่ได้ใช้ไส้กรอกมังสวิรัติของ Impossible Foods ในเมนูอาหารเช้า ล่าสุดก็พร้อมส่งเมนูนี้ขายทั่วสหรัฐอเมริกาแล้ว

Burger King มั่นใจว่าเมนูใหม่จะช่วยเพิ่มยอดขายเมนูอาหารเช้าให้กับทางแบรนด์ได้ เพราะเมื่อปีที่ผ่านมากระแสคนทานอาหารมังสวิรัติมาแรงมาก ทำให้ Burger King วางขายเมนู Impossible Whopper หรือเบอร์เกอร์ไร้เนื้อสัตว์ไปทั่วสหรัฐอเมริกา และเมื่อต้นปีนี้ Burger King ก็ได้ทำโปรโมชั่นซื้อแฮมเบอร์เกอร์มังสวิรัติ 2 ชิ้น ในราคาเพียง 6 ดอลลาร์ (ประมาณ 186 บาท) เพื่อเอาใจผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าคุณภาพในราคาที่ต่ำลง รวมถึงทำแคมเปญโปรโมทเมนูใหม่ โดยลูกค้าที่ซื้อเมนูใดก็ได้ผ่านทางแอปพลิเคชั่น Burger King จะได้รับเมนูใหม่นี้ไปทานฟรีๆ (Burger King เตรียมแจกเมนูใหม่กว่า 100,000 รายการ)

สาเหตุที่ทำให้ Burger King วางขายเมนูนี้เนื่องจากในช่วงโควิดที่ผ่านมา ยอดขายอาหารเช้าลดลงเป็นอย่างมาก เพราะคนส่วนใหญ่เปลี่ยนมาทำงานและทานอาหารเช้าจากที่บ้านแทน ซึ่งผลกระทบดังกล่าวยังส่งผลไปถึงแบรนด์อื่นๆ ด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่าง ร้านอาหารเม็กซิกันอย่าง Taco Bell ที่ได้ลดชั่วโมงการขายสินค้าต่อวันลง รวมถึงในฝั่งของ Dunkin’ ก็ได้ใช้ไส้กรอกที่ทำจากพืชของ Beyond Meat ในเมนูแซนด์วิชที่เป็นอาหารเช้าเช่นกัน  

อย่างไรก็ตาม ความน่าสนใจอีกอย่างคือ เมื่อมีข่าวว่า Burger King จะวางขายเมนูใหม่ที่ใช้เนื้อไร้เนื้อของ Impossible Foods ส่งผลให้ Beyond Meat ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงของ Impossible Foods มีราคาหุ้นก่อนเปิดตลาดลดลงไป 2%

ที่มา: CNBC

 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/burger-king-impossible-foods-beyond-meat/

Burger King ฝรั่งเศสออกแคมเปญ “Whooper แบบกักตัว” ออกไปไหนไม่ได้ ก็ซื้อมาทำกินเอง

การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้วิถีชีวิตของคนทั่วโลกเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะพฤติกรรมการกิน ในประเทศไทยร้านอาหารต่างๆ ต้องปิดไม่ให้ลูกค้านั่งในร้าน ต้องซื้อกลับไปกินที่บ้านเท่านั้น หรือแม้แต่ต้องหาซื้อวัตถุดิบเพื่อทำอาหารกินเองในบ้าน

ทำให้ร้านอาหารฟาสต์ฟูดชื่อดังอย่าง Burger King ในประเทศฝรั่งเศส ใช้ช่วงเวลาที่ร้านอาหารต่างๆ ปิด และผู้คนไม่สามารถทานอาหารนอกบ้านได้ ด้วยการออกแคมเปญโฆษณาตัวใหม่ที่ชื่อว่า Le Whopper de la Quarantine หรือ Quarantine Whopper ในภาษาอังกฤษ

โดยแคมเปญโฆษณานี้ต้องการให้ลูกค้าที่คิดถึงเบอร์เกอร์ Whopper ของเบอร์เกอร์คิง สามารถซื้อวัตถุดิบที่หาได้จากซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ได้แก่ ขนมปังเบอร์เกอร์ เนื้อบด ซอสมะเขือเทศ มะเขือเทศสด ชีส มายองเนส แตงกวาดอง และผักสลัด ซึ่งสามารถนำไปทำเบอร์เกอร์ Whopper ทานเองที่บ้านได้ในช่วงที่ต้องกักตัว หรือทำงานจากที่บ้าน

จนทำให้ลูกค้าชาวฝรั่งเศส และลูกค้าจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลกหลายคนโพสต์ภาพเบอร์เกอร์ Whopper ที่ทำเองจากที่บ้าน ตามโฆษณาของ Burger King

Fernando Machado ผู้บริหารฝ่ายการตลาดของ Burger King ทั่วโลก กล่าวว่าสิ่งสำคัญที่สุดในช่วงเวลาวิกฤตนี้ แบรนด์ต่างๆ ควรทำการตลาดโดยใช้วิธีที่มีประโยชน์ต่อสังคม และ Burger King ในประเทศฝรั่งเศสถือว่าทำได้สำเร็จ เป็นมากกว่าการโฆษณา มีทั้งความสนุก ความบันเทิง และความกล้า ที่จะทำโฆษณาในสถานการณ์แบบนี้

ที่มา – adweek

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/burger-king-france-show-whopper-ingredient/

ทีเด็ด Burger King ไต้หวันออกแคมเปญนำใบเสร็จแมคโดนัลด์ เคเอฟซี มาแลกเบอร์เกอร์ฟรี 1 หมื่นชิ้น

กลับมาทวงยอดขาย Burger King ไต้หวัน เปิดตัวแคมเปญโปรโมชั่นกระชากใจลูกค้า เพียงแค่นำใบเสร็จคู่แข่งมาแลกเบอร์เกอร์กินฟรี 

Burger King นับว่าเป็นแบรนด์ธุรกิจบริการอาหารจานด่วน ที่ปักธงอยู่ในไต้หวันมานานร่วม 29 ปี แต่ยอดขายกับสู้แบรนด์คู่แข่งอย่าง McDonald’s และ KFC 

กระทั่ง Burger King ไต้หวัน ต้องมีการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ เริ่มตั้งแต่การปิดสาขาให้บริการร่วม 20 สาขา ในระหว่างปี 2555 ถึง 2558 พร้อมกับการปรับเปลี่ยนผู้บริหารในปี 2560

ต่อมาปลายปี 2560 Nexus Equity Fund กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของเบอร์เกอร์คิงไต้หวันและเข้าซื้อสาขาที่เหลืออีก 22 แห่งทั่วประเทศ

สำหรับแคมเปญโปรโมชั่นในช่วงปลายปี Burger King ไต้หวัน แจกเบอร์เกอร์ให้ลูกค้าฟรี 1 หมื่นชิ้น สำหรับลูกค้านำใบเสร็จที่ซื้อสินค้าจากคู่แข่งทั้งแมคโดนัลด์และเคเอฟซีมาแลกในเดือนธันวาคม

การนำใบเสร็จสินค้าของคู่แข่งมาแลกเบอร์เกอร์นั้น เป็นกลยุทธ์กระตุ้นยอดขายจากกลุ่มเป้าหมายเดิม และขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ที่ไม่เคยอยู่ใน category นี้มาก่อนให้เข้ามาทดลองกิน

นอกจากนี้ยังเดินหน้าขยายแพลตฟอร์มการส่งอาหารในรูปแบบ Food Delivery ผ่านทาง Foodpanda, Uber Eats และ Deliveroo และอื่นๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้าผ่านทางมือถือมากขึ้น

ขณะเดียวกันยังได้เปลี่ยนสูตรและเมนูโดยเพิ่มผักสดและส่วนผสมจากธรรมชาติให้กับผลิตภัณฑ์เบอร์เกอร์ที่มีสารเติมแต่งน้อยลง อาทิ เมนูผักย่างและเบอร์เกอร์ไก่ เมนูผักย่างและเบอร์เกอร์หมูเนื้ออิตาเลียน มีราคา NT $ 109 (US $ 3.57)

ปัจจุบัน Burger King เป็นร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 4 ในไต้หวัน โดยมีแบรนด์ที่ติดท็อปทรีหรือ 1ใน 3 ของตลาด ได้แก่ McDonald’s, KFC และ MOS Burger กำลังเป็นแบรนด์คู่แข่งที่น่ากลัวและขยายตัวมากขึ้นในไต้หวัน

สรุป

ธุรกิจบริการอาหารจานด่วน เป็นตลาดที่แข่งขันกันอย่างรุนแรง โดยมีแบรนด์ระดับโลกไม่ว่าจะเป็น แมคโดนัลด์ เคเอฟซี ซึ่งทั้งสองแบรนด์ก็แทบจะครองตลาดอยู่แล้ว เพราะถือว่าเป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจของลูกค้าในระดับต้นๆ ดังนั้นแบรนด์ที่เข้ามาทำตลาดต้องสร้างแบรนด์อย่างต่อเนื่อง จุดอ่อนของ Burger King คือ เป็นแบรนด์ที่วางราคาค่อนข้างสูงกว่าคู่แข่ง ดังนั้นแคมเปญนำใบเสร็จคู่แข่งมาแลกเบอร์เกอร์ฟรี เป็นกลยุทธ์การตลาดที่ดี เพื่อสร้างโอกาสการทดลองชิมเบอร์เกอร์ที่แตกต่างจากคู่แข่ง แล้วหากคิดจะกินเบอร์เกอร์ต้องมาที่ Burger King

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/burger-king/

อิ่มและคุ้มสุดๆ Serenade Day 15 กันยานี้ ซื้อ 1 แถม 1 Burger King และ Auntie Anne’s

 

คุ้มต่อเนื่อง กับเทศกาล Serenade Day ทุกวันที่ 15 ของทุกเดือน ในโอกาสฉลองครบรอบ 15 ปี Serenade สุดยิ่งใหญ่ และในเดือนกันยายนนี้ ความพิเศษยังทวีคูณขึ้นอีก กับเมนูยอดนิยมจาก ร้านดัง Burger King และ Auntie Annes กับดีลสุดปัง ซื้อ แถมฟรีอีก 1 จัดให้เฉพาะลูกค้าเซเรเนด 1 หมายเลข ต่อ 1 สิทธิ์ (จำนวนจำกัด) ทุกสาขาที่ร่วมรายการ เฉพาะวันที่ 15 กันยายน 2562 นี้ เท่านั้น!

 

AIS Serenade

เริ่มที่ ร้าน Burger King เพียงเลือกซื้อเมนู Whopper Jr Cheese หมู / เนื้อ มูลค่า 129 บาท
ซื้อ 
แถมอีก โดยลูกค้าสามารถรับสิทธิ์ได้ที่ร้าน Burger King กว่า 80  สาขาทั่วประเทศ

ต่อด้วย ร้าน Auntie Annes เลือกซื้อเมนูชุด Cheesy Chicken Bites Lemonade มูลค่า 107 บาท หรือ Cheesy Chicken Bites Lemonade Mixer มูลค่า 117 บาท แถมฟรีอีก 1 ชุด ในราคาที่เท่ากันหรือต่ำกว่า สามารถรับสิทธิ์ได้ที่ร้าน Auntie Annes กว่า 170 สาขาทั่วประเทศ

โดยลูกค้าเซเรเนด ติดตามข้อมูลและเงื่อนไขการรับสิทธิ์เพิ่มเติมได้ทาง my AIS App และ www.ais.co.th/serenade

***************************************************

หมายเหตุ 1Serenade Day ซื้อ 1 แถม 1 ร้าน Burger King สาขาที่ไม่ร่วมรายการ ได้แก่ สาขา ท่าอากาศยาน จังซีลอน 1, จังซีลอน 2, บางลาป่าตองป่าตอง-บางลาโอทอป ป่าตองสมุย และ เกาะพีพี หมายเหตุ 2Serenade Day ซื้อ 1 แถม 1 ร้าน Auntie Anneสาขาที่ไม่ร่วมรายการ ได้แก่ สาขา สนามบินสุวรรณภูมิ,สนามบินอู่ตะเภาไบเทคเมืองทองโลตัสสมุยเซ็นทรัลเฟสติวัลสมุย และบูธกิจกรรมต่างๆ

 

from:http://mobileocta.com/full-and-great-value-serenade-day-15-september-buy-1-get-1-free-burger-king-and-auntie-annes/

รู้จัก Plant-based Food ธุรกิจเนื้อไร้เนื้อที่มาแรงที่สุดในปี 2019

Plant-based Food ไม่ใช่แค่อาหารเฉพาะกลุ่ม แต่จะเป็นดาวรุ่งในอนาคต หลายแบรนด์ใหญ่ลงมาเล่นตลาดนี้ เพราะมีโอกาสทางตลาดมากมาย 

Photo : Shutterstock

Plant-based Food คืออะไร ทำไมถึงมาแรง?

ตอนนี้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการบริโภคอาหารมากมาย ก่อนหน้ามีเทรนด์ของคนที่ไม่ทานเนื้อสัตว์ ทานมังสวิรัติ หรือเป็นกลุ่ม Vegan ที่ต่อต้านการละเมิดชีวิตสัตว์ทุกประเภท

ตอนนี้มีคำว่า Plant-based Food เข้ามาใหม่ในระบบ เป็นเทรนด์ที่มาแรงมากในปีนี้ เชื่อว่าจะไม่ใช่แค่ Niche Market เป็น Mega Trend แห่งปี จะเป็นอนาคตของธุรกิจอาหารเลยก็ว่าได้ 

โดยที่ “หนูดี-วนิษา เรซ” ได้พูดถึงความร้อนแรงของ Plant-based Food ภายในงาน LINE Food Tech 2019 งานที่รวบรวมเทคโนโลยีเกี่ยวกับอาหารในอนาคต 

อธิบายง่ายๆ ได้ใจความ Plant-based Food คือ อาหารที่ทำมาจากพืชเป็นหลักประมาณ 95% ส่วนใหญ่ทำมาจากถั่ว และบีทรูท แต่ไม่ใช่อาหารเจ ไม่เกี่ยวกับศาสนา ไม่ใช่มังสวิรัต ที่ไม่กินนม ไม่กินไข่ ไม่ใช่ Vegan เพราะไม่มีประเด็น Animal Activist หรือการไม่ละเมิดชีวิตสัตว์ ที่ไม่เลี้ยงสัตว์ ไม่ใช้ขนสัตว์ ไม่ไปสวนสัตว์ และไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง เป็นเรื่องสุขภาพ และสิ่งแวดล้อมล้วนๆ 

Plant-based Food ที่นิยมมากที่สุดในตอนนี้ ก็คือการทำเป็น “เนื้อเบอร์เกอร์” หรือจะเรียกกันว่าเบอร์เกอร์ไร้เนื้อสัตว์ แต่ให้รสชาติ และผิวสัมผัสที่เหมือนเนื้อจริงๆ

จะเห็นว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทั่วโลกได้พูดถึงปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม หลายคนเริ่มตระหนักในเรื่องวัสดุที่ทำลายสิ่งแวดล้อม เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับสิ่งที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น

 

เรื่องของอาหารก็เช่นเดียวกัน ทุกคนเริ่มมองหาอาหารที่มาจากธรรมชาติ เพื่อสุขภาพของตัวเอง และเพื่อสิ่งแวดล้อม การเพิ่มพืชในมื้ออาหารให้มากขึ้น จึงกลายเป็นเทรนด์ที่มาแรงที่สุดของโลก กล่าวได้ว่าอนาคตของอาหารจะกลายเป็นพืชเสียส่วนใหญ่

ถ้าให้เปรียบเทียบระหว่างแผ่นเบอร์เกอร์ที่เนื้อสัตว์จริงๆ กับเบอร์เกอร์ที่เป็นเนื้อไร้เนื้อในปริมาณ 113 กรัมเท่ากัน จะพบว่าเนื้อจากพื้ชไม่มีคอเรสเตอรัล มีไขมันอิ่มตัวน้อยกว่า กระบวนการผลิตใช้น้ำน้อย ลดก๊าซเรือนกระจก และช่วยบำรุงคุณภาพดิน

ซึ่งกระบวนการในการทำเนื้อจริงจะเพิ่มก๊าซมีเทน ปศุสัตว์เป็นธุรกิจที่เพิ่มก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ของโลก รวมไปถึงเรื่องการผลิตที่เนื้อจริงต้องฆ่าสัตว์จริงๆ แต่เนื้อไร้เนื้อใช้พืช ซึ่งพืชไม่มีระบบประสาท ไม่มีความรุนแรงในการฆ่าอย่างแน่นอน

แบรนด์ยักษ์ใหญ่ในตลาดต้องลงมาเล่น

ถ้าพูดแค่ว่า Plant-based Food เป็นเทรนด์ใหญ่มาแรงในปีนี้คงจะยังไม่เห็นภาพเท่าไหร่ ต้องขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น ซึ่ง Plant-based Food กลายเป็นธุรกิจที่มาแรงแห่งปีจริงๆ มีผู้เล่นหลายแบรนด์ลงมาจับตลาด ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ไปจนถึงผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ของโลก

Photo : Shutterstock

แต่ถ้าพูดถึง Plant-based Food ต้องพูดถึง Beyond Meat เป็นอันดับแรก บริษัทที่ทำ Plant-based Meat หรือเนื้อไร้เนื้ออันดับแรกๆ ก่อตั้งปี 2009 และมีสินค้าวางจำหน่ายเมื่อปี 2016 ปีนี้ได้กลายเป็นธุรกิจดาวรุ่งพุ่งแรงมากที่สุด ถึงขนาดที่ว่า ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ” นักแสดงชื่อดังได้เข้ามาลงทุน 

ความร้อนแรงของ Beyond Meat นั้น บริษัทได้เข้า IPO เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หุ้นพุ่งขึ้นถึง 163% มากที่สุดในหุ้นทั่วโลกของปีนี้ IPO ที่ 800 บาท เปิดตลาดที่ 1,470 บาท พุ่งขึ้นไปถึง 2,300 และปิดที่ราคา 2,100 บาท หุ้นนี้มีความผันผวนมากจน NASDAQ ต้องประกาศหยุดการขายช่วงหนึ่ง 

ทำให้ Beyond Meat เป็นหุ้นที่ฮ็อตมาก ในสิ้นวันนั้นมูลค่าของบริษัทอยู่ที่ 120,000 ล้านบาท สามารถบอกได้ว่าผู้คนต่างให้ความสนใจกับธุรกิจมากแค่ไหน

Beyond Meat มีคู่แข่งคนสำคัญคือ Impossible Food ที่ทำ Impossible Burger ให้กับ Burger King ผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดเบอร์เกอร์นั่นเอง ในเมนู Impossible Whopper 

เบอร์เกอร์ที่ว่านั้นได้ทำเหมือนเนื้อจริงในทุกมิติ ไม่ว่าจะตอนลงกระทะแล้วมีเสียงชู่ววว เหมือนเสียงเนื้อ หรือหั่นออกมาแล้วมีเลือดไหล รสชาติเหมือนเนื้อทุกอย่าง 

ตอนนี้ Burger King ได้จำหน่าย Impossible Whopper ในสหรัฐอเมริกา แต่ได้รับผลตอบรับที่ดีมีแผนเตรียมวางจำหน่ายทั่วอเมริกา และทั่วโลกในลำดับต่อไป 

Photo : Shutterstock

นอกจากนี้ McDonald’s ก็ได้ออกเมนูเบอร์เกอร์ Big Vegan TS เป็นเมนูเบอร์เกอร์มังสวิรัติ เริ่มที่ประเทศเยอรมนีแห่งแรก ซึ่ง McDonald’s ได้ออกออกเมนูเอใจชาว Vegan มานานแล้ว อีกทั้งยังมีผู้เล่นรายอื่นสนใจในตลาดนี้ด้วย เช่น White Castle, Qdoba, Bareburger และแบรนด์อื่นๆ ที่กำลังขยายเมนูที่ทำมาจากพืชเช่นกัน

แต่นอกจากแบรนด์ร้านอาหารที่ตื่นตัวกับ Plant-based Food แล้ว ผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ระดับโลกอย่าง Nestle เตรียมวางจำหน่าย Plant-based Burger ในสหรัฐอเมริกา และในยุโรป ส่วนคู่แข่งอย่าง Unilever ก็เตรียมจำหน่าย The Vegetarian Butcher หรือเรียกว่านักฆ่าผักด้วยเช่นกัน

คิดตามง่ายๆ ก็คือ ทำไมคนขายเนื้อรายใหญ่อย่าง Burger King ยังต้องทำ Plant-based Food เพราะเขามองว่าเนื้อไร้เนื้อคืออนาคตนั่นเอง 

Plant-based Food เหมาะสำหรับทุกคน ตอบโจทย์ธุรกิจ

Plant-based Food มีโอกาสมากมายทั้งทางธุรกิจ และเรื่องของสุขภาพ คนที่ทานยังคงได้รับความอร่อยที่เหมือนเนื้อ แต่ได้รับสารอาหารจากพืช ซึ่ง Plant-based Food สามารทานได้ตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงแก่ 

นอกจากจะทำให้สุขภาพดีขึ้นแล้ว ในแง่ธุรกิจยังสามารถขายผู้ป่วยได้ หรือคนที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพได้ด้วย เพิ่มสมรรถนะร่างกาย มีโปรตีนที่สร้างกล้ามได้ดีกว่า คนที่ออกกำลังกายจะได้กล้ามใหญ่ที่ไขมันน้อยกว่าเนื้อสัตว์

Photo : Shutterstock

อีกทั้งยังมีวิจัยรับรองที่หลากหลายว่าสามารถฟื้นฟูสุขภาพ ทุกคนกินได้อย่างปลอดภัย ทานเป็นไลฟ์สไตล์ก็ได้ หรือทานเพื่อป้องกัน และรักษาโรคได้ เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือดหัวใจ ลดการเป็นอัลไซเมอร์ เบาหวานประเภท 2 และโรคอ้วนได้ เพราะไม่มีคอเรสเตอรัล

ที่สำคัญได้ช่วยสิ่งแวดล้อมโลก และสัตว์ เพราะธุรกิจปศุสัตว์สร้างก๊าซเรือนกระจกมากกว่ายานพาหนะเสียอีก

แต่ก็ยังไม่อาจสรุปได้ว่าเทรนด์ของ Plant-based Food จะมาเมืองไทยหรือไม่ หรือจะได้รับการตอบรับอย่างในต่างประเทศหรือเปล่า แต่ก็ชี้ให้เห็นว่าเทรนด์นี้ต้องมาแน่นอน เพราะคนไทยก็เริ่มให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดูแลสุขภาพมากขึ้น 

ต้องดูว่าร้านอาหาร หรือแบรนด์ไหนจะนำเข้ามาก่อนเป็นรายแรก และจะเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนไทยได้หรือไม่

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/plant-based-food-mega-trend/