คลังเก็บป้ายกำกับ: APPLE_SIRI

iOS 17 เปลี่ยนการเรียก Siri ใหม่!

iOS 17 อัปเดตการเรียก Siri แบบใหม่ เพียงแค่พูดคำว่า […] More

from:https://www.iphonemod.net/ios-17-say-siri-new.html?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=ios-17-say-siri-new

Apple ขอโทษผู้ใช้เรื่องมีผู้ฟังการบันทึกเสียงของ Siri, มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นปลายปีนี้

หลังจากมีประเด็นเรื่องมีผู้คอยฟังการบันทึกเสียงของ Siri, Apple ก็ได้ออกแถลงการณ์ขอโทษผู้ใช้ พร้อมยับยั้งโปรแกรมดังกล่าวและจะปล่อยตัวแก้ไขของระบบนี้ให้ดีขึ้นช่วงปลายปีนี้ Apple ชี้แจงเรื่องการฟังการบันทึกเสียงของ Siri ในแถลงการณ์ของ Apple มีใจความสำคัญว่ามีผู้คอยฟังการบันทึกเสียงของ Siri จริง ซึ่งการฟังข้อมูลนี้เป็นการให้คะแนน Siri โดยเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการประเมินคุณภาพของ Siri และหลังจาก Apple ทราบข้อกังวลนี้จากผู้ใช้ จึงได้ระงับการใช้มนุษย์ที่เข้าไปให้คะแนน Siri ทันที Apple เผยว่าการเก็บข้อมูล Siri นั้นถูกเก็บไว้ที่เซิร์ฟเวอร์อย่างปลอดภัย ไม่มีการนำข้อมูลไปใช้ในด้านการตลาด จะใช้แต่เพียงพัฒนาปรับปรุง Siri ให้ดีขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น Apple กล่าวขอโทษลูกค้าที่ไม่ได้ทำตามเป้าหมายสูงสุดที่วางไว้ (เรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้) และเมื่อรับทราบปัญหาดังกล่าวก็ได้ยับยั้งโปรแกรมการให้คะแนน Siri ด้วยมนุษย์ทันทีและ Apple จะปรับปรุงให้ดีขึ้น เช่น จะไม่เก็บเสียงบันทึกที่ผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์กับ Siri เป็นค่าเริ่มต้นอีกต่อไป, จะยังใช้การถอดเสียงด้วยคอมพิวเตอร์เป็นหลัก ผู้ใช้เลือกได้ว่าจะให้ Siri เรียนรู้จากคำสั่งเสียงหรือไม่ เมื่อผู้ใช้ขอความช่วยเหลือ, พนักงาน Apple เท่านั้นจะได้ฟังตัวอย่างเสียงการสั่งการ Siri ของผู้ใช้ และทีมงาน Apple สามารถลบเสียงใด […]

from:https://www.iphonemod.net/apple-apologizes-for-falling-short-on-siri-privacy.html

ไฮแจ็คสมาร์ทโฟนด้วยเสียงคำสั่งลับที่มนุษย์ฟังไม่รู้เรื่อง

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Georgetown University และ University of California, Berkeley ออกมาเปิดเผยถึงงานวิจัยใหม่ล่าสุด ที่ช่วยให้พวกเขาสามารถควบคุมการทำงานของสมาร์ทโฟนได้โดยอาศัยเสียงคำสั่งลับที่มนุษย์ทั่วไปฟังไม่รู้เรื่อง หรือรู้เรื่องได้ยาก ซึ่งอาจนำไปสู่การติดมัลแวร์ผ่านทางเว็บไซต์อันตรายได้

งานวิจัยนี้มีชื่อว่า “Hidden Voice Command” ซึ่งกล่าวถึงการใช้เสียงอู้อี้ที่มนุษย์ไม่สนใจหรือฟังไม่รู้เรื่อง ซึ่งอาจแฝงอยู่บนวิดีโอ Youtube ทั่วไป แต่กลับถูกใช้เป็นคำสั่งเพื่อควบคุมการทำงานของสมาร์ทโฟนที่วางอยู่ใกล้ตัวได้ ที่เลวร้ายคือ เสียงอู้อี้ดังกล่าวอาจระบุให้สมาร์ทโฟนเข้าถึงเว็บไซต์อันตรายและติดมัลแวร์กลับมาได้

ทีมนักวิจัยค้นพบว่า พวกเขาสามารถปรับแต่งเสียงคำสั่งที่ใช้กับ Google Now หรือ Apple Siri ให้กลายเป็นเสียงที่มนุษย์เข้าใจได้ยาก แต่ซอฟแวร์ฟังรู้เรื่อง ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นเสียงที่ฟังดูอู้อี้ เหมือนเสียงหอนของสัตว์ประหลาด ยกตัวอย่างเช่น คำสั่งที่ 2 ที่ทดลองในวิดีโอ Youtube ด้านล่างพูดว่า “Ok Google, Open XKCD.com” ส่งผลให้สมาร์ทโฟนที่วางอยู่ใกล้ๆ เข้าถึงเว็บไซต์ดังกล่าวทันที ในขณะที่เจ้าของโทรศัพท์อาจฟังไม่รู้เรื่อง เลยไม่ได้สนใจอะไร

จากการทดสอบดังกล่าว เป็นไปได้ว่า แฮ็คเกอร์อาจฝังเสียงรูปแบบนี้ลงบนวิดีโอ Youtube ลูกแมวน่ารักที่มีคนกดดูหลักล้าน ซึ่งอาจมีสัก 10,000 คนที่วางสมาร์ทโฟนไว้ใกล้ตัว ถ้าสัก 5,000 เครื่องเหล่านั้นถูกสั่งให้เข้าเว็บไซต์และดาวน์โหลดมัลแวร์มาติดตั้งได้สำเร็จ นั่นหมายความว่าแฮ็คเกอร์จะสามารถเข้าควบคุมสมาร์ทโฟนทั้ง 5,000 เครื่องได้ทันทีโดยที่เจ้าของเครื่องอาจไม่ทันรู้ตัว

สำหรับผู้ที่ต้องการทดสอบว่า เสียงคำสั่งอู้อี้เหล่านี้ใช้ได้ผลดีแค่ไหน สามารถโหลดตัวอย่างเสียงสำหรับ Android ได้ที่ https://sites.google.com/site/hiddenvoicecommands16/home ซึ่งจากการทดสอบพบว่า หลายคำสั่งมนุษย์ฟังไม่รู้เรื่อง และบางคำสั่งซอฟต์แวร์ก็ฟังไม่รู้เรื่องเช่นเดียวกัน เช่น “What is my current location?” แต่ Google Now กลับได้ยินเป็น “Procrastination” เป็นต้น

งานวิจัย Hidden Voice Command จะถูกนำเสนอและตีพิมพ์ในงาน USENIX Security Symposium ณ เมืองออสติน เท็กซัส ในเดือนหน้านี้

อ่านงานวิจัยฉบับเต็มได้ที่: https://www.georgetown.edu/sites/www/files/Hidden%20Voice%20Commands%20full%20paper.pdf

ที่มา: http://www.networkworld.com/article/3092489/heres-how-secret-voice-commands-could-hijack-your-smarthphone.html

from:https://www.techtalkthai.com/hidden-voice-command-to-hijack-smarphone/

Gartner เผย 10 แนวโน้มเทคโนโลยีสำหรับปี 2016

เป็นแนวโน้มที่ Gartner ได้ออกมาประกาศทุกปี และทางทีมงาน TechTalkThai ก็เห็นว่ามีความน่าสนใจสำหรับผู้อ่าน จึงขอหยิบยกมาสรุปให้ได้อ่านกันที่นี้ โดยในปีนี้ Gartner จะให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีที่ทำให้ธุรกิจค่อยๆ ตอบโจทย์ของ Digital Business ได้สำเร็จภายในปี 2020 ได้เป็นหลัก และถือเป็นอีกการทำนายแนวโน้มที่มีเทคโนโลยีค่อนข้างหลากหลาย ดังต่อไปนี้ครับ

Credit: ShutterStock.com
Credit: ShutterStock.com

 

1. The Device Mesh

เป็นแนวโน้มที่ต่อยอดไปอีกจาก Internet of Things โดยประเด็นแรกคือการที่ผู้ใช้งานแต่ละคนจะมีการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Mobile Device, Wearable, เครื่องใช้ไฟฟ้าตามบ้าน, อุปกรณ์บนรถยนต์ และอุปกรณ์ทางด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็คือ Sensors ในระบบ Internet of Things นั่นเอง

นอกจากนี้ระบบ Back-end สำหรับ Internet of Things ที่ปัจจุบันยังมีการแยกขาดจากกันสำหรับแต่ละผู้ผลิตนั้น ทาง Gartner ก็ได้ทำนายไว้ว่า Device Mesh จะทำให้ระบบ Internet of Things ต่างๆ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้อีกด้วย

 

2. Ambient User Experience

Device Mesh จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้าง Ambient User Experience โดยการนำเสนอ User Experience นั้นจะไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ตอนที่ผู้ใช้งานกำลัง Interact กับผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตเป็นรายๆ อีกต่อไป แต่ผู้ผลิตจะต้องมุ่งเน้นการนำเสนอประสบการณ์ใหม่ๆ ในการที่ผู้ใช้งานจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยประกอบขึ้นจากการใช้งานอุปกรณ์ Internet of Things ที่หลากหลายให้กลายเป็นประสบการณ์เพียงหนึ่งเดียว โดยประเด็นนี้จะเป็นตัวสร้างความแตกต่างหลักๆ สำหรับผู้พัฒนาซอฟต์แวร์แต่ละราย และการพัฒนาซอฟต์แวร์ในระดับองค์กร ซึ่งการออกแบบ Mobile Application ก็จะยังคงเป็นหัวใจสำคัญสำหรับองค์กร และอาจมีบางส่วนที่ Augmented Reality หรือ Virtual Reality มีความสำคัญเป็นอย่างมาก

 

3. วัตถุดิบสำหรับ 3D Printing

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี 3D Printing นั้นได้ก้าวไปถึงการพัฒนาวัตถุดิบสำหรับใช้พิมพ์ที่หลากหลายขึ้นเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบสำหรับใช้พิมพ์ที่ทำจาก Advanced Nickel Alloy, Carbon Fiber, แก้ว, Conductive Ink, อุปกรณ์ไฟฟ้า, ยา หรือแม้แต่วัตถุทางชีวภาพ ซึ่งการพัฒนาเหล่านี้ก็จะทำให้สามารถสร้างความต้องการใหม่ๆ เพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง และเติมเต็มความต้องการในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ทั้งอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ, เภสัชศาสตร์, รถยนตร์และยานพาหนะ, พลังงาน และการทหาร และทำให้การเติบโตของอุปกรณ์ 3D Printer สำหรับองค์กรนั้นเติบโตขึ้นถึง 64.1% ต่อปีไปจนถึงปี 2019 และจะยังคงเป็นธุรกิจที่เติบโตต่อเนื่องไปอีกถึง 20 ปีนับจากวันนี้

 

4. Information of Everything

เป็นก้าวที่พัฒนาต่อจาก Internet of Things และ Big Data Analytics ที่ในอนาคตเมื่ออุปกรณ์ทุกอย่างหรือการใช้ชีวิตของมนุษย์นั้นได้ทำการสร้างข้อมูลขึ้นมาอยู่ตลอดเวลาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ข้อมูลที่ถูกเก็บบันทึกอยู่แยกกันเหล่านี้ก็จะถูกนำมาผสานรวมกันเพื่อค้นหาความหมายหรือความรู้ต่างๆ จากข้อมูลเหล่านี้

 

5. Advanced Machine Learning

การทำ Machine Learning จะเติบโตก้าวหน้าต่อไปด้วยการทำ Deep Neural Nets (DNNs) ที่พัฒนาไปถึงขั้นกลายเป็นระบบที่สามารถรับรู้สิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ได้ด้วยตัวเอง และมาทดแทนการจำแนกและวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันโดยอัตโนมัติ และทำให้ Hardware หรือ Software ต่างๆ ในอนาคตสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ใน Environment ที่ติดตั้งใช้งานอยู่ได้อย่างครอบคลุม และจะกลายเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่องค์กรใช้เสริมขีดความสามารถในการแข่งขันได้

 

6. ผู้ช่วยและสิ่งของที่สามารถเรียนรู้และโต้ตอบได้

ต่อเนื่องจากการพัฒนาของระบบ Machine Learning ก็จะทำให้เกิดหุ่นยนต์ที่มีความชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์, ยานยนตร์อัตโนมัติ, ผู้ช่วยส่วนตัว (Virtual Personal Assistant/VPA) และผู้ให้คำแนะนำที่สามารถทำงานได้เองและโต้ตอบกันได้ ซึ่งระบบผู้ช่วยส่วนตัวอย่าง Google Now, Microsoft Cortana หรือ Apple Siri นั้นก็จะมีความชาญฉลาดมากขึ้น และเป็นจุดเริ่มต้นของระบบเหล่านี้ และการโต้ตอบกันได้ในลักษณะนี้ก็จะกลายเป็น User Interface หลักของการทำ Ambient User Interface และทำให้การพูดมาแทนการกดปุ่มต่างๆ ทางหน้าจอได้ และเทคโนโลยีเหล่านี้จะเป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาต่อเนื่องยาวนานไปอึกถึง 20 ปี

 

7. Adaptive Security Architecture

การเติบโตของโลกที่ระบบ IT มีความซับซ้อนสูงขึ้นเรื่อยๆ และมีการสร้างรายได้จากการ Hack ได้อย่างเป็นรูปเป็นร่างนั้น ทำให้ภัยคุกคามที่มีต่อองค์กรนั้นเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ระบบรักษาความปลอดภัยโดยการกำหนดกฎในแบบเดิมๆ นั้นใช้ไม่ได้อีกแล้ว และการที่องค์กรมีการสร้างบริการบน Cloud หรือ API เพื่อเชื่อมต่อกับพาร์ทเนอร์หรือลูกค้านั้นก็จะมีความเสี่ยงที่จะถูกโจมตีมากขึ้น ซึ่งผู้นำทางด้านระบบ IT ขององค์กรก็ต้องคอยตรวจสอบและตอบโต้ภัยต่างๆ ในขณะที่ก็ยังคงละทิ้งการป้องกันภัยแบบเดิมๆ ไปไม่ได้ ระบบ Application ที่ป้องกันตัวเองได้ และระบบวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานจะกลายเป็นเทคโนโลยีที่มาเติมเต็มสถาปัตยกรรมแบบ Adaptive Security Architecture

 

8. Advanced System Architecture

เพื่อตอบรับการมาของ Device Mesh และ Advanced Machine Learning รวมถึงอุปกรณ์ที่สามารถเรียนรู้และโต้ตอบได้ Advanced System Architecture จะเป็นสถาปัตยกรรมที่มาตอบโจทย์ความต้องการพลังในการประมวลผลที่มีประสิทธิภาพและความคุ้มค่าต่อพลังงานสูง โดย FPGA จะกลายเป็นเทคโนโลยีหลักสำหรับการสร้างสถาปัตยกรรมการประมวลผลในรูปแบบเดียวกับสมองมนุษย์นี้ และมีความเร็วมากกว่า 1 Teraflops ได้โดยใช้พลังงานได้อย่างคุ้มค่า ทำให้ในอนาคตอุปกรณ์ต่างๆ ในระบบ Internet of Things เองก็จะมีความสามารถในการทำ Machine Learning ได้ด้วย ในขณะที่ GPU ก็ยังคงเป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทอยู่

 

9. Mesh App และ Service Architecture

ด้วยการมาของ Internet of Things และ Mobile ที่ต้องการใช้ Back-end ที่มีประสิทธิภาพสูงและยืดหยุ่น สถาปัตยกรรมแบบ 3-tier จะค่อยๆ กลายเป็นสถาปัตยกรรมแบบ App & Service Architecture แทน ด้วยบริการ Software-defined Application นี้ก็จะทำให้องค์กรต่างๆ สามารถใช้งานระบบที่มีประสิทธิภาพ, ความยืดหยุ่น และความรวดเร็วได้ถึงแบบ Web-scale ในขณะที่สถาปัตยกรรมแบบ Microservice ก็จะยังคงตอบโจทย์การพัฒนา Application ที่เพิ่มขยายได้ทั้งแบบ On-premise และ Cloud อีกทั้ง Container ก็จะกลายมาเป็นเทคโนโลยีหลักที่เป็นพื้นฐานของสถาปัตยกรรม Microservice นั่นเอง

 

10. Internet of Things Platforms

เทคโนโลยีและมาตรฐานต่างๆ สำหรับระบบ Internet of Things จะถูกพัฒนาขึ้นมาให้เป็นรูปเป็นร่างยิ่งขึ้น ทั้งการบริหารจัดการ, การรักษาความปลอดภัย และความสามารถต่างๆ ที่จำเป็นในการพัฒนาระบบ Internet of Things มาใช้งาน และจะเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการทำ Device Mesh และ Ambient User Experience นั่นเอง

 

ที่มา: http://www.gartner.com/newsroom/id/3143521 

from:https://www.techtalkthai.com/gartner-predicted-10-technology-it-trends-2016/