คลังเก็บป้ายกำกับ: ANDROID_DEVICE_REVIEW

REVIEW | รีวิว POCO F3 5G สเปคแรงพอกับตำแหน่ง “นักฆ่าเรือธง” แล้วหรือยัง

ตลาดมือถือระดับ Mid-range ช่วงนี้การแข่งขันสูงพอตัวเลยทีเดียว แต่ละแบรนด์ก็ต่างพยายามยัดเอาสเปคและฟีเจอร์เจ๋ง ๆ เข้าไปในมือถือตัวเองให้ได้มากที่สุด ในราคาที่ถูกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่ง POCO F3 ตัวใหม่สุดของค่ายก็มาพร้อมสเปคจัดเต็มคุ้มค่าคุ้มราคา จะสามารถเข้ามาทวงคืนฉายา”นักฆ่าเรือธง” กลับไปได้หรือไม่ ? วันนี้ Droidsans จะมารีวิวให้ดูกันครับ

ดีไซน์ และการจับถือ

เวลาเราพูดถึงมือถือสเปคแรงๆ ในกลุ่ม mid range ทั้งหลาย จะมีวัสดุและดีไซน์ที่ไม่ค่อยพรีเมี่ยมเท่าไหร่เพราะเอาต้นทุนไปลงกับสเปค และฟีเจอร์การใช้งานซะมากกว่า แต่กับ POCO F3 ถือว่าทำออกมาดีกว่าที่คิด

POCO F3 นั้นดีไซน์โดยรวมดูสวยงามมีความพรีเมียมประมาณนึง กับฝาหลักแบบกระจก Gorrilla Glass 5 ที่สะท้อนแสงแวววาวเป็นกระจกเงาดูผิวเผินเหมือนมือถือเรือธงเลย แต่มันก็ติดลายนิ้วมือง่ายมาก ๆ เพราะงั้นควรหาเคสมาใส่น่าจะดีที่สุดครับ


ตัวบอดี้เครื่องโดยรวมมีความบางกำลังดีอยู่ที่ 7.8 มม. ให้ความรู้สึกในการจับถือที่ดี ไม่บางจนเกินไป มีน้ำหนักพอสมควร ไม่เบาหวิว มีการกระจายน้ำหนักอยู่ตรงกลางเครื่องพอดี ใส่กระเป๋ากางเกงได้ไม่เกะกะเลยครับ อาจจะมีข้อสังเกตที่ว่าตัวเครื่องมีความลื่นอยู่พอสมควรจากฝาหลังแวววาว เพราะงั้นควรจับถือกันอย่างระมัดระวังนะครับ

ด้านข้างตัวเครื่องใช้งานเป็นวัสดุอัลลูมิเนียมแข็งแรงทนทานให้ความรู้สึกที่พรีเมียมจับถือสบายมีปุ่มล็อค ที่ทำหน้าที่เป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ และปุ่มเพิ่ม/ลด เสียงอยู่ด้านขวาตัวเครื่อง ตัวเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือต้องบอกเลยว่าเร็วมาก ๆ ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นก็สามารถปลดล็อคได้แล้ว แถมตำแหน่งก็วางอยู่ในตำแหน่งที่จับง่ายเป็นธรรมชาติอีกด้วย บางทีมันเร็วมาก ๆ จนเผลอไปปลดล็อคเวลาถืออยู่เฉย ๆ ก็มีครับ 🤣

ถัดมาด้านล่างก็จะมีช่องชาร์จ USB-C รองรับฟีเจอร์ชาร์จไว 33W พร้อมถาดใส่ซิมด้านข้าง และลำโพง ซึ่งเป็นระบบลำโพงคู่ รองรับฟีเจอร์ Dolby-Atmos ทำงานรวมกับลำโพงอีกตัวด้านบน แถมมี IR Blaster สำหรับใช้งานเป็นรีโมตด้วย

หน้าจอ POCO F3

ถัดมาในส่วนของหน้าจอ POCO F3 ก็มากับหน้าจอ E4 AMOLED แบบเรียบ ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รีเฟรชเรท 120Hz พ่วงมาด้วยกล้องหน้าแบบเจาะรูตรงกลาง แถมยังมี Touch Sampling Rate ที่ 360Hz (ตามหน้าสเปค) แต่ทางทีมงาน Droidsans ได้ทำการทดสอบหน้าจอปรากฎว่าหน้าจอกลับมีค่า Touch Sampling อยู่ที่ 480Hz ซะอย่างนั้น ซึ่งถ้าบอกตามตรงมันก็เร็วแบบ 480Hz จริง ๆ นะ แตะปุ๊บ ติดปั๊บ รวดเร็วทันใจ แถมช่วยให้การใช้งานโดยรวมรู้สึกลื่นขึ้นมาก ๆ อีกด้วยครับ

หน้าจอมีมาตรฐานสี DCI-P3 Color Gamut ให้สีที่ตรงสวย รองรับคอนเทนต์ HDR10+ พร้อมอัตราส่วนคอนทราสต์ถึง 5000000:1 เลยทีเดียว ดูหนัง ดูซีรีส์ภาพสวยได้อรรถรสแบบเต็มเปี่ยมแน่นอน

ขอบหน้าจอรอบ ๆ มีความสมดุลกันดี ไม่ได้กินพื้นที่หน้าจอเข้ามามากจนเกินไป แต่มีจุดสังเกตเล็กน้อยอยู่ที่มุมที่อาจจะมีความโค้งมนมากกว่ามือถือทั่วไปบ้าง ทำให้ UI บางแอปถูกกินพื้นที่ แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไร

หน้าจอมีความสว่างอยู่ที่ 1300nit สามารถใช้งานทั่วไปได้ไม่มีปัญหา แต่ถ้าแดดจ้า ๆ ก็ไม่ค่อยสู้แสงเท่าไหร่นะ แต่ในเรื่องความคมชัด สี ความลื่นไหลถือว่าทำได้ดีมาก ๆ สำหรับมือถือในราคาระดับนี้

หน้าจอ 120Hz ช่วยให้การไถหน้าจอมีความรู้สึกที่ลื่นไหลสบายตามาก ๆ ผนวกกับ Touch Sampling Rate สูง ช่วยให้เวลาแตะหน้าจอมีความรู้สึกที่ติดนิ้ว รวดเร็วมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานทั่วไป, ดูหนังหรือเล่นเกม ก็ทำได้ลื่นไหลไม่มีสะดุด โดยเฉพาะเกมเข้าจังหวะที่มีการแตะจอเยอะ ๆ จะรู้สึกเล่นง่ายขึ้นมาก ๆ เลย

สเปค และหน่วยประมวลผล 

เรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นของ POCO F3 เลยก็ว่าได้ กับหน่วยประมวลผลระดับเรือธงที่ใส่มาให้แบบจัดเต็มเลย ไม่ว่าจะเป็นชิปเซ็ต Snapdragon 870 ที่เป็นชิป Snapdragon 865+ เวอร์ชันตีบวกขึ้นมาอีก ทำให้ประสิทธิภาพการใช้งานโดยรวมถือว่าเร็ว และลื่นไหลมาก ๆ สามารถใช้ธรรมดาทั่วไปได้สบาย ๆ

ในส่วนของแรมก็เป็น LPDDR5 มีให้เลือกระหว่าง 6GB และ 8GB เล่นเกม หรือใช้งาน Multi-task สลับแอปไปมาได้สบาย ๆ ไม่กระตุก พ่วงมาด้วยหน่วยความจำ UFS3.1 ขนาด 128GB/ 256GB สามารถเก็บเกม หรือรูปภาพได้เป็นจำนวนมาก แถมยังประมวลผลได้รวดเร็วอีกด้วย



สเปค POCO F3 

  • หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รีเฟรชเรท 120Hz
  • CPU : Snapdragon 870
  • GPU : Adreno 650
  • RAM : 6GB / 8GB
  • ความจุ (UFS 3.1) : 128GB / 256GB
  • กล้องหลัง 3 ตัว
    – กล้องหลัก 48MP
    – กล้อง Ultrawide 8MP
    – กล้อง Telemacro 5MP
  • กล้องหน้า : 20MP
  • การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot, IR Blaster
  • เซ็นเซอร์ : Fingerprint (ด้านข้าง), accelerometer, gyro, proximity, compass, color spectrum
  • ระบบเสียง : ลำโพงสเตอรีโอคู่, Dolby Atmos, ไม่มีรูหูฟัง 3.5 มม.
  • แบตเตอรี่ 4520 mAh รองรับชาร์จไว 33W
  • ระบบ Android 11 ครอบด้วย MIUI 12

 

ทดสอบการเล่นเกมบน POCO F3

จากการทดสอบพลังประมวลผล ทางทีมงานก็ใช้เป็นเกมที่กินสเปคที่สุดใน Android ตอนนี้อย่าง Genshin Impact มาลองซึ่งก็สามารถเล่นได้ 60FPS แบบปรับสุดได้ แต่ก็มีอาการกระตุกบ้างเป็นบางครั้งเมื่อมีการเลื่อนเปลี่ยนฉากที่ทำให้เกิด Blur Effect แถมถ้ามีการตีมอนส์เตอร์แบบชุลมุนหน่อย ๆ ก็มีอาการกระตุกเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าทำได้ดีเลยสำหรับมือถือราคานี้




สำหรับเกมที่ใช้สเปคเบาลงมาหน่อยอย่าง League of Legends: Wild Rift ก็ถือว่าหมู ๆ เลย สามารถวิ่ง 60FPS แบบปรับสุดได้ฉลุยเลย ไม่ว่าจะบวกชุลมุนหรือช่วงฟาร์มก็ลื่นเล่นได้ไม่มีสะดุดเลยครับ เห็นแบบนี้แล้วก็มั่นใจได้เลยว่าไม่ว่าจะเล่นเกมไหนก็รันได้ไม่มีปัญหา สำหรับสายเล่นเกมจะต้องถูกใจแน่นอน อีกทั้งในอนาคตถ้าเปิดฟีเจอร์ 90 หรือ 120 FPS มาก็บอกเลยว่ารันได้สบาย ๆ แน่นอนครับ


อีกจุดที่น่าสนใจคือด้วย Touch Sampling Rate 360Hz (หรือ 480Hz?) ช่วยให้การเล่นเกมพวกจับจังหวะได้อรรถรสมาก ๆ จากที่ลอง Cytus ซึ่งเป็น Rhythm เกมที่ต้องรัวนิ้วมาก ๆ ก็สามารถเล่นได้ง่ายขึ้นหลายขุมเลย ไม่ใช่แค่ Cytus นะครับ สำหรับผู้ใช้งานที่รักการเล่นเกม Rhythm จะต้องหลงรักมือถือเครื่องนี้แน่นอน (ถ้าติดฟิล์มขุ่นด้วยจะยิ่งแจ่มเข้าไปอีกครับ)

ประสบการณ์ใช้งาน และอินเทอร์เฟซ

POCO F3 ใช้งาน MIUI 12 เวอร์ชันของ POCO เอง (ซึ่งจากที่ใช้งานก็ไม่ได้ต่างจาก MIUI ธรรมดาเท่าไหร่) หน้าตา และการใช้งานก็มีความลื่นไหลใกล้เคียงกับ Stock Android อยู่พอสมควร แถมยังมีฟีเจอร์ในการปรับแต่งที่ครบครัน อีกทั้งตัว MIUI 12 ก็ได้รับการ Optimize มาดีพอสมควร การใช้งานทั่วไปจะอยู่ที่ 120FPS ตลอด ลื่นไหลสบายตามาก ๆ จะมีข้อสังเกตุเล็กน้อยที่หน้า Google Discover ที่จะมีอาการเฟรมตกทุกครั้งที่สไลด์เปิดออกมา ซึ่งก็อาจจะถูกแก้ไขในอัปเดตต่อไปก็ได้ครับ

อีกจุดสังเกตที่เจอตั้งแต่ MIUI 12 บนมือถือ Mi 11 ก็จะเป็นเรื่องของ Dark Mode ที่มีปัญหาในแอปบางตัวอย่าง Shoppee, Facebook และ Netflix สาเหตุมาจากที่ตัว MIUI 12 ทำการบังคับเปิด Darkmode โดยการเปลี่ยน Element ทุกอย่างที่เป็นสีขาวให้เป็นสีดำ ทำให้บางครั้งไอคอน หรือภาพกลืนไปกับพื้นหลัง หรือในเคสของ Netflix ที่ซับไตเติลมีเงาขาว ๆ ขึ้นมาแทนทำให้อ่านยาก



ตัวอย่างปัญหาที่เกิดขึ้นใน Netflix (ไม่สามารถแคปภาพได้ เลยเห็นแค่ซัพไตเติ้ลเท่านั้น)

แต่ปัญหานี้ผู้ใช้งานก็สามารถแก้ได้ง่าย ๆ เพียงไปปิด Dark Mode เฉพาะแอปที่มีปัญหาในหน้า Settings แต่ถ้าพูดกันตามตรง ปัญหานี้ก็ไม่ควรเกิดขึ้นแต่แรก แต่ไม่แน่ทาง POCO ก็อาจปล่อยอัปเดตเฟิร์มแวร์เพื่อแก้ไขในอนาคตก็เป็นได้ครับ

กล้อง

ถัดมาในเรื่องของกล้องถ่ายรูป POCO F3 ก็ทำออกมาได้น่าพอใจเลย ให้กล้องมาถึง 3 ตัวได้แก่ กล้องหลัก 48MPกล้อง, Ultrawide 8MP และ กล้อง Telemacro 5MP ซึ่งถ้าใครที่เคยใช้งานมือถือ POCO มาก่อนก็น่าเข้าใจกันดีว่ามือถือเครื่องนี้ไม่ได้เน้นไปที่การใช้งานกล้องซักเท่าไหร่ แต่ POCO F3 ก็ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว ในสถานการณ์ที่แสงดี ๆ สว่าง ๆ ตัวกล้องหลักสามารถถ่ายรูปออกมาได้ชัดเจน รายละเอียดดี สีอาจจะออกไปทาง Satuation กับ Contrast หนัก ๆ หน่อยซึ่งถ้าใครชอบแนวนั้นก็เหมาะเลยครับ




























กล้องหน้า 20MP ก็ถือว่าใช้งานได้ดีไม่มีปัญหาเลย ตัวมือถือก็มีฟีเจอร์ถ่าย Selfie ที่ครบครัน แถมฟิลเตอร์หลากหลายถูกใจสายเซลฟี่แน่นอน แต่มีข้อสังเกตอยู่ทีว่าภาพจะออกมาซอฟท์ ๆ หน่อย หน้าอาจจะเนียนผิดธรรมชาติไปบ้าง แน่ถ้าใครชอบเซลฟี่หน้าเนียน ๆ ก็น่าจะชอบกันแน่นอน






เรื่องโหมดกลางคืนก็จะมีจุดสังเกตใหญ่ ๆ อยู่ที่เวลาในการประมวลผลภาพที่ใช้เวลานานเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่ถ่ายที่แสงน้อยหรือตอนกลางคืน มือถือจะใช้เวลาราว ๆ 1 – 2 วินาทีหลังจากกดชัตเตอร์เพื่อประมวลผลภาพซึ่งอาจจะฟังดูเหมือนไม่ได้นานขนาดนั้น แต่ก็ถือว่ามีโมเม้นต์ที่ขัดใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
















ระบบสั่น Heptic

ถือว่าต้องแยกหัวข้อออกมาพูดกันเลยกับเรื่องระบบสั่น Heptic ที่ปกติแล้วมือถือราคาหมื่นกลาง ๆ อาจจะทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่ POCO F3 ถือว่าเหนือความคาดหมายมาก ๆ เป็นระบบสั่นที่แรงเร็ว และรู้สึกพรีเมียมมาก ๆ ฟีลเดียวกับมือถือเรือธงตัวท็อป ๆ เลยครับ ไม่ว่าจะเป็นตอนพิมพ์แชท หรือเวลาได้รับการแจ้งเตือนก็จะรู้สึกดีมาก ๆ ครับ

แบตเตอรี่

สำหรับใครที่ห่วงว่าสเปคแรงแล้วจะกินแบตเตอรี่ก็ไม่มีปัญหาเลย เพราะ POCO F3 มาพร้อมกับแบตขนาดใหญ่ 4520mAh สามารถใช้งานทั้งวันแบบจัดเต็ม เหลือกลับบ้านประมาณ 30% สบาย ๆ เลย แต่ถ้าเล่นเกมก็อาจจะหมดไวหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกตินะ ซึ่งทาง POCO ก็มีการเคลมว่าแบตเตอรี่ขนาดนี้สามารถ Stand by ได้ 268 ชั่วโมง, เล่นเกมได้ 10 ชั่วโมง, ดูหนักได้ 14 ชั่วโมง และฟังเพลงได้ 149 ชั่วโมงเลยทีเดียว 

POCO F3 ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ชาร์จไว 33W พร้อมอแดปเตอร์ชาร์จในกล่อง สามารถชาร์จแบตเต็ม 100% ได้ในเวลาเพียง 52% เท่านั้น ต่อให้แบตหมดชาร์จแปปเดียวก็เต็มแล้วสะดวกมาก ๆ

สรุป

POCO F3 ถือว่าเป็นมือถือสเปคแรงที่เข้ามาทลายตลาดให้กระเจิงกันอีกครั้งหนึ่ง ด้วยสเปคเครื่องระดับเรือธงจากชิป Snapdragon 870 พร้อมทั้งดีไซน์ตัวเครื่องโดยรวมที่ถือว่าเกินราคามาก ๆ ทำให้ POCO F3 ถือว่าเป็นมือถือในเรนจ์ราคาหมื่นต้น ๆ ที่น่าสนใจมาก ถ้าไม่ติดเรื่อง MIUI12 ที่มีปัญหาเรื่องการใช้งานเล็กน้อย ผนวกกับกล้องที่ยังสู้รุ่นอื่น ๆ ไม่ได้ ไม่งั้นมันคงนับเป็นหนึ่งในมือถือ “นักฆ่าเรือธงที่สมบูรณ์แบบ” ไปแล้ว

POCO F3 มีมาวางขายด้วยกัน 3 สี ได้แก่ สีขาว Arctic White, ◉ สีดำ Night Black และ สีฟ้า Deep Ocean Blue

  • 6GB/128GB ราคา 10,999 บาท
  • 8GB/256GB ราคา 12,999 บาท

ข้อดี

  • สเปคสุดแรงในทุกด้าน เหมาะกับการเล่นเกม และใช้งานทั่วไปสบาย ๆ
  • หน้าจอเกินราคากับ AMOLED 120Hz พร้อม Touch Sampling Rate 360Hz (หรือ 480Hz กันแน่ 🤣)
  • ดีไซน์สวยงามดูพรีเมียม เครื่องบางพกพาสะดวก
  • ราคาคุ้มค่ากับสเปคที่ได้
  • โมเตอร์สั่น Heptic ดีมาก ๆ สำหรับมือถือราคานี้

ข้อสังเกต

  • ฝาหลังเป็นรอยนิ้วมือง่ายมาก ๆ
  • MIUI12 มีบัคในการใช้งานค่อนข้างเยอะ เช่นในเรื่องของ Dark Mode
  • ระบบกล้องหลังที่ยังธรรมดาอยู่

from:https://droidsans.com/poco-f3-flagship-killer-review/

REVIEW | รีวิว OnePlus 8T 5G สุดยอดประสบการณ์มือถือเรือธงตามแบบฉบับของ OnePlus

OnePlus 8T มือถือเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุดจากทาง OnePlus ที่เปิดตัวมาพร้อมฟีเจอร์ระดับ High-end มากมายไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ Fluid AMOLED ความละเอียด FullHD+ พร้อมรีเฟรชเรทถึง 120Hz ชิปเซ็ตรุ่นท็อป Snapdragon 865 RAM 8GB และรองรับการใช้งาน 5G คลื่น 2600 ตั้งแต่ออกจากเครื่องอีกด้วย

สเปค OnePlus 8T 5G

  • หน้าจอ : Fluid AMOLED ขนาด 6.55 นิ้ว, ความละเอียด Full HD+, สัดส่วน 20:9, อัตรารีเฟรช 120Hz, อัตราตอบสนอง 240Hz, 100% DCI-P3, HDR10+
  • ชิปเซ็ต : Qualcomm Snapdragon 865
  • หน่วยความจำ : RAM 8GB (LPDDR4x) / 12GB (LPDDR5)
  • สตอเรจ : 128GB/256GB (UFS 3.1)
  • ระบบปฏิบัติการ : OxygenOS 11 บน Android 11
  • เสียง : ลำโพงคู่สเตอรีโอ, รองรับ Dolby Atmos
  • การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 6, Bluetooth 5.1, NFC, USB Type-C
  • เซ็นเซอร์ : สแกนลายนิ้วมือ (ใต้หน้าจอ), accelerometer, gyro, proximity, compass, color spectrum
  • แบตเตอรี่ : 4500mAh, รองรับชาร์จไว Warp Charge 65W (10V/6.5A)
  • สี : ◉ เขียว Aquamarine Green, ◉ เงิน Lunar Silver

ดีไซน์

ส่วนแรกที่ต้องพูดถึงกันก่อนเลยก็จะเป็นในเรื่องของดีไซน์ตัวเครื่องทึ่ OnePlus ทำออกมาได้พรีเมียมสมราคา ด้วยหน้าจอแบนราบไปตามตัวเครื่อง พร้อมขอบข้าง ๆ เครื่องเป็น Anodized Aluminum ให้ความรู้สึกพรีเมียมจับง่ายแถมไม่ติดลายนิ้วมือ ด้านซ้ายก็มาพร้อมกับปุ่มเพิ่มเสียงลดเสียง ส่วนด้านขวาก็จะเป็นปุ่ม Power ปกติทั่วไป และ Alert Slider ที่เป็นฟีเจอร์เด่นของมือถือ OnePlus ก็มีติดมาให้เราได้ใช้รุ่นนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

Alert Slider ที่เป็นฟีเจอร์เด่นของมือถือ OnePlus 8T ก็มีติดมาด้วย 

ถัดมาในส่วนของฝาหลังก็มาพร้อมกับดีไซน์แบบกระจกใส ๆ พร้อมโลโก้ OnePlus อยู่ตรงกลาง และโมดูลกล้องที่อยู่ด้านบนซ้ายประกอบได้ด้วยกล้องทั้งหมด 4 ตัวด้วยกันซึ่งตัวโมดูลก็นูนออกมาเพียงเล็กน้อย  กระจกทั้งหน้า และหลังถูกครอบทับด้วยกระจกนิรภัย Corning Gorilla Glass 6 ช่วยให้คงทนต่อแรงขีดข่วน และแรงกระแทกได้ดีขึ้น

โดยรวมเวลาถือหรือจับ OnePlus 8T ให้ความรู้สึกพรีเมี่ยมจับถือง่าย พอดีมือ มีความหนาเพียงแค่ 8.4 มิลลิเมตร (ไม่รวมโมดูลกล้อง) ทำให้เป็นมือถือที่สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกสบายไม่มีปัญหาเลย แต่จะมีจุดสังเกตเล็กน้อยตรงที่ขอบ ๆ โมดูลกล้องมีความคม และแวววาวในระดับหนึ่ง ทำให้อาจเป็นรอยได้ค่อนข้างง่ายเมื่อสัมผัสกับของแข็ง เพราะงั้นถ้าใส่เคสอาจจะปลอดภัยกว่าครับ

หน้าจอ

หน้าจอขนาด 6.55 นิ้วที่มาพร้อมกับกล้องหน้าแบบเจาะรูด้านบนซ้าย

อีกจุดเด่นที่น่าสนใจของ OnePlus 8T 5G ก็จะเป็นในเรื่องของหน้าจอที่เป็น Fluid AMOLED ขนาด 6.55″ ความละเอียด FullHD+ พ่วงมาด้วยรีเฟรชเรท 120Hz และ Touch sampling rate อยู่ที่ 240Hz ทำให้การใช้งานรู้สึกลื่นไหลมาก ๆ การสัมผัสรู้สึกติดมือ และตอบสนองดีไม่ว่าจะลาก Facebook หรือเล่นเกมก็ลื่นไหลไม่มีสะดุด มาพร้อมสัดส่วนจอต่อตัวเครื่องที่ 91.9% มาพร้อมกล้องหน้าแบบเจาะรูที่มุมบนซ้ายของตัวเครื่อง ไม่มีรอยบากหรือขอบด้านล่างเครื่องมาให้รำคาญใจเลย

ถัดมาในเรื่องของความสว่างจอก็ไม่มีปัญหาเลยเพราะ OnePlus 8T สามารถดันความสว่างหน้าจอไปได้สูงสุดถึง 1,100 Nits สามารถใช้งานได้สบาย ๆ ทั้งในร่ม และกลางแจ้ง สู้แดดประเทศไทยได้สบาย ๆ อีกทั้งยังรองรับการแสดงผลแบบ DCI-P3 แบบ 100% ช่วยให้จอมีค่าขอบเขตสีที่กว้างแสดงผลสีย่านต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ แถมยังรองรับการรับชมคอนเทนต์แบบ HDR10+ อีกด้วย ซึ่งจากจากที่ได้ถามทีมงาน Droidsans ที่ใช้งาน OnePlus 8 Pro เป็นมือถือหลักก็บอกว่าชอบจอของเครื่อง 8T มากกว่า แต่มันก็เป็นเรื่องของรสนิยมส่วนตัวอยู่ดีครับ

นอกจากหน้าจอที่ดีแล้ว ภายใต้จอของ OnePlus 8T ก็ยังมาพร้อมกับเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบ Optical ที่สแกนได้รวดเร็วแม่นยำ ซึ่งจากที่ทดสอบมีดีเลย์ราว ๆ 0.2 วินาทีเท่านั้น

ลำโพงคู่ Stereo

ฟีเจอร์ Dolby Atmos ที่สามารถเลือกปรับเพื่อดูหนัง ฟังเพลง หรือแบบ Dynamic ที่จะปรับให้อัตโนมัติ

เอาใจสายมัลติมีเดียด้วยหน้าจอความละเอียดสูงไปแล้ว OnePlus 8T ก็ยังมาพร้อมกับระบบลำโพงคู่ Stereo ให้เสียงที่ Surround ดัง ชัดใส ไม่ว่าจะดูหนังหรือฟังเพลงก็ได้อรรถรสที่เต็มที่ไม่มีปัญหาเลย แถม OnePlus 8T เครื่องนี้ยังรองรับฟีเจอร์เสียง Dolby Atmos เพื่อให้ได้เสียง Surround แบบคุณถาพทั้งในหูฟัง และลำโพงนั่นเอง ซึ่งผู้ใช้งานสามารถไปเปิดใช้งานได้ในหน้า Settings

รองรับ 5G ตั้งแต่เปิดกล่อง

OnePlus 8T ทดสอบความเร็วสัญญาณ 5G 

อีกฟีเจอร์เด่นของ OnePlus 8T ก็จะเป็นเรื่องของการรองรับสัญญาณ 5G ตั้งแต่ออกจากกล่องซึ่งเป็นมือถือ OnePlus เครื่องแรก ๆ เลยที่ได้รับฟีเจอร์นี้ก่อนใครเพื่อ ซึ่งคลื่นที่รองรับของ OnePlus 8T ก็จะเป็นคลื่น 2600 ที่หลาย ๆ ค่ายมือถือเริ่มเปิดให้บริการกันแล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นความเร็วก็มีส่วนประกอบในเรื่องของตำแหน่งเสาสัญญาณมาเกี่ยวข้องด้วยอยู่ดีครับ

Oxygen OS 11 พร้อมระบบปฎิบัติการ Android 11

หน้า About phone ของ OnePlus 8T พร้อม Android 11 และ OxygenOS รุ่นล่าสุด

อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผู้ใช้งานหลาย ๆ คนเลือกซื้อมือถือ OnePlus ก็น่าจะเป็นเรื่องของระบบปฎิบัติการ OxygenOS 11 ที่ทำงานบนระบบ Android 11 เวอร์ชั่นล่าสุด ใช้แล้วบอกได้ว่าเป็นประสบการณ์ Stock Android ที่ดีมาก ๆ ตามฉบับของ OnePlus มาพร้อมหน้าตา UI ที่เรียบ ๆ คลีน ๆ แต่มีประสิทธิภาพการใช้งานที่สุดมาก ๆ ไม่ว่าจะงานประจำวันทั่วไป หรือจะใช้งาน Muti-tasking ก็ไม่มีปัญหาสะดุด หรือหน่วงแต่อย่างใด แถมตัว Oxygen OS 11 ยังถูกปรับแต่งอย่างดีทำให้ใช้พลังงานน้อย แบตอึดเหลือตอนจบวันตลอดเลยครับ

ฟีเจอร์การควบคุมผ่าน Gesture มากมาย

หน้า Settings ของ Quick Gestures ที่เราสามารถเลือกให้ใช้คำสั่งลัดอะไรก็ได้

OxygenOS 11 ก็มาพร้อมกับฟีเจอร์ในการใช้งานคำสั่ง Gesture ต่าง ๆ เพื่อเปิดแอปหรือใข้งานฟังก์ชั่นต่าง ๆ บนเครื่องโดยที่ไม่จำเป็นต้องปลดล็อคหน้าจอ ซึ่งในหน้าการตั้งค่าก็จะมีคำสั่ง Gesture เป็นตัวอักษรต่าง ๆ ที่สามารถลากได้โดยที่ไม่ต้องยกนิ้วอย่าง O,V,S,M,W ซึ่งผู้ใช้งานก็สามารถตั้งค่าคำสั่งได้ตามสะดวกในหน้า Settings ได้เลย ไม่พลาดจังหวะสำคัญ ๆ เวลาต้องใช้ฟีเจอร์บางอย่างแน่นอน

ฟีเจอร์ Quick Launch เปิดแอปที่เหรียกคำสั่งเพียงจิ้มสแกนนิ้วมือ

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจไม่แพ้กันของ OxygenOS 11 ก็น่าจะเป็นฟีเจอร์ Quick Launch ที่ผู้ใช้งานสามารถตั้งเมนู Shortcut ที่สามารถเรียกใช้งานได้โดยตรงเพียงสแกนลายนิ้วมือปลดล็อคเครื่องแล้วแช่นิ้วค้างไว้ประมาณ 1 วินาที  ตัวเมนูก็จะปรากฎขึ้นมาให้ผู้ใช้งานลากซ้ายขวาเพื่อใช้งานคำสั่งต่าง ๆ ที่ตั้งค่าไว้ได้เลย

Game Space และ Fnatic Mode เพื่อการเล่นเกมที่สมบูรณ์แบบ

OnePlus 8T ก็มาพร้อมกับแอปพลิเคชั่นที่ช่วยให้การเล่นเกมง่ายขึ้นอย่าง Game Space ที่จะทำการรวมเกมทั้งหมดในเครื่องมาไว้ในแอปพลิเคชั่นเดียว ทำให้ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องลากหาเกมที่ต้องการเล่น แถมยังมีหน้าตั้งค่าให้เราสามารถปรับแต่งค่ากราฟิกต่าง ๆ เพื่อให้เราสามารถเล่นเกมได้อย่างลื่นไหลมากขึ้นอีกด้วย หรือถ้าใครที่เป็นเกมเมอร์สาย Hardcore ก็สามารถเปิดโหมด Fnatic ที่จะทำการปิด Notification และเพิ่มสัญญาณอินเตอร์เน็ตให้ดีขึ้นด้วยการตัดสัญญาณจากซิมที่ 2 (ถ้ามี) ทำให้ความเร็วอินเทอร์เน็ตดีขึ้นอีกด้วย สำหรับใครที่เล่นเกมสาย Competitive บนมือถือก็น่าจะชอบฟีเจอร์นี้กันแน่นอน

ชิป Snapdragon 865 ลื่นไหลทั้งเล่นเกม และการใช้งาน

ผลทดสอบความแรง CPU จากแอป Geekbench 5

OnePlus 8T มาพร้อมชิปตัวท็อปอย่าง Snapdragon 865 เหมือนกับรุ่นพี่อย่าง OnePlus 8 Pro ทำให้ประสิทธิภาพในการใช้งานให้ความรู้สึกที่ลื่นไหลในทุกรูปแบบการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นใช้งานทั่วไปอย่างการเล่น Social, เข้าเบราว์เซอร์, แต่งรูปเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึงการเล่นเกมกราฟิกโหด ๆ ก็สามารถทำได้ไม่มีปัญหาเลย ยิ่งพวกมาด้วย RAM ขนาด 12GB (เริ่มต้นที่ 8GB) ทำให้สามารถใช้งาน Multitasking ได้อย่างราบรื่นเลย จะเปิดกี่แอปก็ไม่หวั่นจริง ๆ

ถัดมาในส่วนของการเล่นเกมก็ไม่มีปัญหาเลย ไม่ว่าจะเป็นเกมกินสเปคหนัก ๆ อย่าง Genshin Impact หรือ LOL: Wild Rift ก็ไม่มีอาการกระตุก หรือหน่วงแต่อย่างไรเลย สามารถเล่นได้ที่ 60 เฟรมนิ่ง ๆ แถมยังได้ Touch Sampling rate 240Hz มาช่วย ทำให้การควบคุมเกมมีการตอบสนองที่รวดเร็วอีกด้วย

อีกอย่างทีี่เป็นจุดที่น่าสนใจของ OnePlus 8T ก็จะเป็นในเรื่องของระบบระบายความร้อนที่ทำมาได้ดีขึ้น ทำให้เวลาใช้งานหนัก ๆ ตัวเครื่องก็จะมีความรู้สึกที่ร้อนขึ้นอยู่บ้างในบริเวณส่วนบนของตัวเครื่อง แต่รวม ๆ แล้วก็แค่รู้สึกอุ่นขึ้น ไม่ได้เป็นปัญหาในการใช้งานเท่าไหร่นัก

กล้อง

ในส่วนของกล้องทาง OnePlus ก็ไม่ได้น้อยหน้า และเลือกใช้เป็น Quad Camera Setup ประกอบไปด้วย

  • กล้องหลัง :
    • กล้องหลัก 48MP, ƒ/1.7, เซ็นเซอร์ Sony IMX586, PDAF+CAF, OIS + EIS
    • กล้องอัลตร้าไวด์ 16MP, ƒ/2.2, มุมกว้าง 123 องศา
    • กล้องมาโคร 5MP, ƒ/2.4
    • กล้องจับความลึก 2MP, ƒ/2.4
  • กล้องหน้า : 16MP, ƒ/2.4, เซ็นเซอร์ Sony IMX471

นอกเหนือจากที่บอกมาข้างต้น OnePlus 8T ยังมาพร้อมกับ Anti-flickering sensor ที่จะทำหน้าที่ตรวจจับอัตราการกระพริบของแสงไฟ แล้วปรับกล้องให้เหมาะสมเพื่อเวลาถ่ายรูป หรืออัดวิดิโอแล้วจะไม่กระพริบนั่นเอง เหมาะมาก ๆ สำหรับคนที่ชอบถ่ายวิดิโอในร่มที่มีหลอดไฟฟลูโอเรสเซ้นเยอะ ๆ

นอกจาก Hardware คุณภาพแจ่ม ๆ แล้ว OnePlus ยังโดดเด่นในเรื่องของการปรับแต่งผ่านทาง Software ที่ช่วยให้รูปที่ถ่ายออกมาดูดีมีรายละเอียดครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งในเรื่องของระยะโฟกัสทาง OnePlus ก็ใส่มาให้อย่างครบครันสามารถถ่ายได้หลาย ๆ สถานการณ์ ซึ่งลักษณะภาพที่ได้ก็จะเป็นแนว ๆ ที่ให้รายละเอียดสูง Dynamic Range ดี ยิ่งถ้าอยู่ในสภาพแสงดี ๆ แล้วก็จะสามารถถ่ายภาพสวย ๆ ได้ไม่ยากเลย









ในส่วนของ Night Mode ภาพอาจจะมีการใช้ Software เพื่อลด Noise ลงมาบ้างทำให้ภาพถ่ายกลางคืนอาจจะดูนวล ๆ เป็นวุ้นอยู่บ้าง แต่ก็พอใช้งานถูไถได้ไม่มีปัญหาเท่าไหร่นัก












กล้องเซลฟี่

ในส่วนของกล้องเซลพี่ทาง OnePlus 8T ก็มาพร้อมกับความละเอียด 16MP ที่พ่วงมาด้วยฟีเจอร์เจ๋ง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพนิ่ง วิดิโอ Portrait Mode อีกทั้งยังสามารถถ่าย Hyperlaspe จากกล้องหน้าโดยตรงได้อีกด้วย สายโซเชี่ยลที่ชอบเซลฟี่เป็นชีวิตจิตใจจะต้องถูกใจแน่นอนครับ

แต่กล้องเซลฟี่ก็มีข้อสังเกตอยู่นิดหน่อยตรงที่เวลาไม่เปิด Beauty Mode ตัวกล้องก็จะดูเหมือนใส่เอฟเฟคผิวเนียน ๆ กับเพิ่มสีชมพูเบา ๆ ทำให้ปากดูอิ่ม โดยรวมยังรู้สึกเหมือนเปิด Beauty Mode อยู่ แต่ในเวลาเดียวกันตัว Beauty Mode กลับทำได้ดี โทนสีผิวดูเป็นธรรมชาติ ดูไม่ปลอมเหมือนมือถือบางรุ่นสาว ๆ น่าจะชอบกันแน่นอนครับ
















แบตเตอรี่

ถัดมาทางด้านของแบตเตอรี่ OnePlus 8T ก็ให้มาอย่างจุใจ ขนาดใหญ่ถึง 4500 mAh เลยทีเดียว สามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่ตั้งแต่หัววันยันท้ายวันเลยทีเดียว อีกทั้ง OnePlus 8T ยังมาพร้อมกับระบบชาร์จไว Warp Charge ความเร็ว 65W สามารถชาร์จจาก 0% – 100% ผ่านพอร์ต USB-C ใช้เวลาเพียงแค่ 40 นาทีเท่านั้น และนี่ยังเป็นมือถือ OnePlus เครื่องแรกที่ได้รับระบบชาร์จไว 65W อีกด้วย ทั้งแบตอึดแถมชาร์จไว ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ๆ ครับซึ่งจากที่ได้ลองใช้งานส่วนตัวแล้ว มีการงานใช้งานทั่วไป เปิดเกมเล่นบ้าง และมีการเปิดใช้งาน Location และ Bluetooth ไว้ตลอด ผลปรากฎว่า OnePlus 8T มีแบตเหลือตอนจบวันราว ๆ 30 เปอร์เซ็นต์ตลอด ซึ่งถือว่าเจ๋งมาก ๆ

สรุป

OnePlus 8T ถือว่าเป็นมือถือรุ่นเรือธงอีตัวที่น่าสนใจมาก ๆ ด้วยสเปคที่จัดเต็มในทุก ๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ 120Hz, ชิปเซ็ตตัวท็อปอย่าง Snapdragon 865 ถือว่าคราวนี้ทาง OnePlus ไม่ได้กั๊กอะไรตรงไหน แล้วใส่มาให้เราเต็มที่จริง ๆ ซึ่งสำหรับใครที่ต้องการมือถือเรือธงสเปคแรง ๆ สามารถใช้งานได้ทุก ๆ ด้าน และอยากลองประสบการณ์ที่ใกล้เคียง Stock Android ที่สุดจาก Oxygen OS ก็สามารถลองหา OnePlus 8T มาลองใช้งานกันได้นะครับ 😁

โดย OnePlus 8T 5G จะขายทั้งหมดสองรุ่นสองราคาตามนี้

  • รุ่น RAM 8GB + ROM 128GB สีเทา 🔘 Lunar Silver ราคา 24,990 บาท
  • รุ่น RAM 12GB + ROM 256GB สีเขียว 🔵 Aquamarine Green ราคา 29,990 บาท

ข้อดี

  • หน้าจอสวยงาม 120Hz ความละเอียดสูง
  • Touch Sampling สูงถึง 240Hz UI ติดมือเวลาลากไปมา
  • ชิปเซ็ต Snapdragon 865 เร็วแรงทั้งการใช้งาน และเล่นเกม
  • แบตเตอรี่ 4500mAh ใข้งานได้เต็มวัน
  • รองรับฟีเจอร์ชาร์จไว 65W ตัวแรกของมือถือ OnePlus
  • รองรับ 5G ตั้งแต่ออกจากกล่อง
  • มาพร้อม OxygenOS สุดลื่นอัปเดตไว แถมได้ Android 11 มาใช้เลยอีกด้วย
  • มีกล้องมาให้ครบถ้วนทุกการใช้งาน
  • ดีไซน์สวยงาม วัสดุระดับพรีเมียม
  • มี Alert Slider

ข้อสังเกต

  • หน้าจอมี Viewing Angle ที่จางลงเล็กน้อยเมื่อมองจอจากด้านข้าง
  • ราคาห่างจาก OnePlus 8 Pro ไม่มาก
  • ฝาหลังเป็นกระจก เป็นรอยคราบมัน และรอยนิ้วมือได้ง่าย (แต่ก็เช็ดออกง่าย)

สรุปรวม ๆ แล้ว OnePlus 8T เป็นมือถือตัวท็อปของ OnePlus ที่มาพร้อมฟีเจอร์เจ๋ง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น ชิปเซ็ตตัวท็อปอย่าง Snapdragon 865 พร้อมหน้าจอรีเฟรชเรทสูงถึง 120Hz ทำให้ใช้งานได้ดีทั้งการใช้งานทั่วไป ถึงการเล่นเกมก็ลื่นไหลไม่มีสะดุดเลย ซึ่งใครที่กำลังหามือถือเรือธงสเปคสุดแรงที่มาพร้อมประสบการณ์ที่ใกล้เคียง Pure Android ที่สุด ก็สามารถลองเอา OnePlus 8T ไว้เป็นตัวเลือกได้ครับ

from:https://droidsans.com/oneplus-8t-review-best-oneplus-phone-yet/

เปรียบเทียบสมาร์ทโฟน 5 รุ่น ในช่วงราคา 4,000 – 6,000 บาท ส่งท้ายปี 2015

เผลอแป้บเดียวก็เข้าช่วงปลายปีอีกแล้ว ใกล้ช่วงปีใหม่ใครกำลังมองหาสมาร์ทโฟนราคาเบ๊าเบามาเป็นของขวัญก็เร่เข้ามาชมกันก่อนเลยจ้า เพราะระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมานี้ ทุกเดือนก็จะมีสมาร์ทโฟนทั้งรุ่นเล็ก รุ่นใหญ่จากหลายต่อหลายค่าย ออกมาเปิดตัวอวดโฉมกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งวันนี้เราก็ได้คัดเลือกสมาร์ทโฟนรุ่นเล็กที่มีการเผยโฉมช่วงครึ่งปีหลังในราคา 4,000 – 6,000 บาทมาเปรียบเทียบกันซักหน่อย โดย 5 รุ่นที่เราคัดเลือกมานี้ก็ได้แก่ i-mobile IQ II, Wiko Pulp FAB 4G, Meizu M2 Note, OPPO Mirror 5 Lite และ Lenovo VIBE P1m ยังไงก็มาดูสเปคและเปรียบเทียบกันดีกว่าว่าจุดแข็งและจุดอ่อนของแต่ละรุ่นจะดีและด้อยกว่ากันแค่ไหน

ตารางเปรียบเทียบสเปคสมาร์ทโฟนช่วงราคา 4,000 – 6,000 บาท

 

  i-mobile IQ II Wiko Pulp FAB 4G Meizu M2 Note OPPO Mirror 5 Lite Lenovo VIBE P1m
           
ราคา 4,444 บาท 4,990 บาท 5,990 บาท 5,990 บาท  4,990 บาท
OS Android 5.1 (Lollipop) Android 5.1 (Lollipop) Android 5.1 (Lollipop) + Flyme 4.5 Android 5.1 (Lollipop) + ColorOS 2.1 Android OS 5.1 (Lollipop)
CPU Qualcomm Snapdragon 410 (MSM8916) Quad-core 1.2 GHz Qualcomm Snapdrago 410 (MSM8916) Quad-Core, 1.2 GHz, Cortex-A53 MediaTek MT6753 1.3GHz octa-core MediaTek MT6582 Quad-core 1.3GHz Mediatek MT6735P Quad-core 1.0 GHz
GPU Adreno 306 Adreno 306 Mali T720MP3 Mali-400MP2 Mali-T720
หน่วยความจำ RAM 1GB +
ROM 16GB + microSD สูงสุด 32GB
RAM 2GB
+ ROM 16GB + รองรับ microSD สูงสุด 64GB
RAM 2GB
+ ROM 16GB + รองรับ microSD สูงสุด 128GB
RAM 1GB + ROM
16GB + รองรับ microSD สูงสูด 32 GB
RAM 2GB + ROM 16GB + รองรับ MicroSD สูงสุด 32 GB
หน้าจอ IPS ขนาด 5 นิ้ว แบบ ONCELL ความละเอียด HD 1280 x 720 พิกเซล IPS ขนาด 5.5 นิ้ว, ความละเอียด HD 1280 x 720 พิกเซล IPS ขนาด 5.5 นิ้ว, ความละเอียด Full HD 1920 x 1080 พิกเซล IPS ขนาด 5 นิ้ว, ความละเอียด qHD 960 x 540 พิกเซล IPS ขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด HD 1280 x 720 พิกเซล
SIM 2 ซิม (microSIM) 2 ซิม ( microSIM) 2 ซิม (nanoSIM) 2 ซิม (microSIM และ nanoSIM) 2 ซิม (microSIM)
เครือข่ายที่รองรับ 2G GSM 850 / 900 / 1800 / 1900 (ทุกเครือข่าย) 2G GSM 850 / 900 / 1800 / 1900 (ทุกเครือข่าย) 2G GSM 850 / 900 / 1800 / 1900 (ทุกเครือข่าย) 2G GSM 850 / 900 / 1800 / 1900 (ทุกเครือข่าย) 2G GSM 850 / 900 / 1800 / 1900 (ทุกเครือข่าย)
  3G HSDPA 850 / 900 / 1900 / 2100 (ทุกเครือข่าย) 3G HSDPA 850 / 900 / 1900 / 2100 (ทุกเครือข่าย) 3G HSDPA 850 / 900 / 1900 / 2100 (ทุกเครือข่าย) 3G HSDPA 850 / 900 / 1900 / 2100 (ทุกเครือข่าย) 3G HSDPA 850 / 900 / 1900 / 2100 (ทุกเครือข่าย)
  4G LTE 1800 / 2100 (ทุกเครือข่าย) 4G LTE 1800 / 2100 (ทุกเครือข่าย) 4G LTE 1800 / 2100 (ทุกเครือข่าย) 4G LTE 1800 / 2100 (ทุกเครือข่าย) 4G LTE 1800 / 2100 (ทุกเครือข่าย)
การเชื่อมต่อ Bluetooth 4.0, A2DP, microUSB 2.0 Bluetooth 4.0, microUSB 2.0 Bluetooth 4.0, microUSB 2.0 Bluetooth 4.0, A2DP, microUSB 2.0 Bluetooth 4.1, A2DP, LE, microUSB 2.0, USB On-The-Go
กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล + BSI + Autofocus + LED Flash 13 ล้านพิกเซล + Autofocus + LED flash 13 ล้านพิกเซล + f/2.2, Autofocus, LED Flash 8 ล้านพิกเซล + LED Flash + Autofocus 8 ล้านพิกเซล + Auto Focus + LED Flash
    บันทึกวิดีโอ Full HD   บันทึกวิดีโอ Full HD  
กล้องหน้า 2 ล้านพิกเซล 5 ล้านพิกเซล + เลนส์มุมกว้าง 5 ล้านพิกเซล + f/2.0 + เลนส์มุมกว้าง 69° 5 ล้านพิกเซล 5 ล้านพิกเซล
เสียง ลำโพงและช่องหูฟัง 3.5 มม. + ฟังวิทยุได้ ลำโพงและช่องหูฟัง 3.5 มม. + ฟังวิทยุได้ ลำโพงและช่องหูฟัง 3.5 มม. ลำโพงและช่องหูฟัง 3.5 มม. ลำโพงและช่องหูฟัง 3.5 มม.
Sensors Accelerometer, Light, Proximity Accelerometer, Proximity, Light, Magnetic Hall Effect, Gravity,
IR proximity, Gyroscope, Ambient light,
Touch, Digital compass
Distance, Light, G-sensor, E-compass Accelerator, Proximity
GPS GPS, A-GPS GPS, A-GPS GPS, A-GPS, Glanass, Digital compass A-GPS A-GPS
แบตเตอรี Li-Po 2,500 mAh (ถอดแบตได้) Li-Po 2,820 mAh (ถอดแบตไม่ได้) Li-Po 2,420 mAh (ถอดแบตไม่ได้) Li-Po 2,420 mAh (ถอดแบตไม่ได้) Li-Po 4,000 mAh (ถอดแบตไม่ได้)
ขนาดและน้ำหนัก 140.5 x 69.75 x 9.3 มม.,
น้ำหนัก 134 กรัม
155.4 x 79.3 x 8.5 มม., หนัก 168 กรัม 150.9 x 75.2 x 8.7 มม., หนัก 149 กรัม 142.7 x 71.7 x 7.55 มม., หนัก 141 กรัม 141 x 71.8 x 9.3 มม., หนัก 148 กรัม
สี น้ำตาลดำ, ขาวมุก สีดำ-เทา, สีขาว-ทอง สีขาว, ดำ สีขาว-ทอง, สีดำ-เงิน สีดำ, ขาวมุก

* สีเขียว – จุดแข็ง

* สีแดง – จุดอ่อน

สรุป

i-mobile IQ II: เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักเจ้าเครื่องนี้อย่างแน่นอน เพราะเจ้า i-mobile IQ II นี้มีความโดดเด่นในฐานะที่เป็น Android One ที่ได้รับการอัพเดตโดยตรงจาก Google รุ่นแรกและรุ่นเดียวในประเทศไทย ซึ่งใช้ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 410 และความละเอียดจอแบบ HD ก็ถือว่าโอเคเลยสำหรับราคา 4,444 บาท ส่วนจุดด้อยก็คงจะเป็นแรมที่ให้มาเพียง 1GB และกล้องหน้า 2 ล้านพิกเซลเท่านั้น แต่ก็กำความได้เปรียบในเรื่องการรับอัพเดทจาก Google ไปเต็มๆ รีวิว i-mobile IQ II

Wiko Pulp FAB 4G: สำหรับ Wiko รุ่นนี้ก็ใช้ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 410 และความละเอียด HD เช่นเดียวกัน ในหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ส่วนกล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซลก็สามารถบันทึกภาพวิดีโอแบบ Full HD ได้ด้วย และกล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล มาพร้อมกับเลนส์มุมกว้างในการเซลฟี่ ถือว่าเป็นมือถือรุ่นเล็กสเปคกลาง ที่อัดกล้องหน้าหลังความละเอียดสูงมาให้หากเทียบในช่วงราคาเดียวกัน ตัว ROM ของ Wiko นั้นเน้นที่ขนาดเล็กใกล้เคียงกับ stock android ใช้พื้นที่ในเครื่องไม่มากและลื่นไหลใช้สะดวก นโยบายเสียจริงไม่ซ่อม แต่เปลี่ยนเครื่องใหม่ของ Wiko ยังเป็นจุดเด่นในเรื่องบริการหลังการขายที่โดดเด่นอยู่ 

Meizu M2 Note: เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่มีจุดเด่นมากที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะเจ้าเครื่องนี้สามารถรองรับ microSD สูงสุด 128GB ในขณะที่รุ่นอื่นรองรับได้มากสุด 32/64GB เท่านั้น อีกทั้งหน้าจอ 5.5 นิ้วก็เป็นความละเอียดแบบ Full HD กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซลให้ค่ารูรับแสง f/2.2 ส่วนกล้องหน้า 5 ล้านพิกเซลก็ให้ค่ารูรับแสง f/2.0 พร้อมเซลฟี่เลนส์มุมกว้าง 69° ด้วย โดยให้แบตเตอรี่มา 2,420 mAh ซึ่งก็น้อยกว่า Wiko Pulp FAB 4G ซึ่งเป็นรุ่นที่มีขนาดจอเท่ากันนิดหน่อย แต่ในเรื่องของงานดีไซน์นั้นสสวยกว่าและน้ำหนักเบากว่า การใช้งานทั่วไปลื่นไหล รูปถ่ายสวย ถือเป็นอีกรุ่นนึงที่แนะนำในช่วงราคานี้ จะติดก็แค่เรื่องของการหาซื้อและศูนย์บริการที่ยังๆ งงๆ เพราะสั่งซื้อผ่าน Lazada มันเคลมได้ใน 7 วันก็จริง แต่ประกัน 1 ปีนี่ต้องไปติดต่อส่งซ่อมที่ไหนกรณีมีปัญหา รีวิว Meizu m2 note

OPPO Mirror 5 Lite: จุดเด่นของรุ่นนี้คือน้ำหนักเครื่องที่เบาเพียง 141 กรัม แต่ถ้าไปไล่มองดูสเปคเทียบกับรุ่นอื่นๆ แล้วด้อยกว่าในหลายๆ ด้าน เพราะนอกจากแรม 1GB แล้ว ความละเอียดหน้าจอยังเป็นเพียงแบบ qHD เท่านั้น ในขณะที่รุ่นอื่นๆ จะอยู่ที่ HD ทำให้ดูแล้วไม่ค่อยคุ้มค่ากับราคาซักเท่าไหร่ แต่ฟีเจอร์ในเครื่องก็เข้ามาช่วยเติมเต็มให้น่าใช้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโหมด Gesture หรือฟังก์ชั่นการถ่ายรูปที่หลากหลาย และกล้องเซลฟี่ที่ไว้ใจได้ของ OPPO ยังตอบสนองความต้องการคนที่ชื่นชอบการถ่ายภาพได้ค่อนข้างดี รีวิว OPPO Mirror 5 Lite

Lenovo VIBE P1m: ถือว่าเป็นอีกรุ่นที่น่าสนใจเลยค่ะ หากซื้อร่วมกับโปรโมชั่นที่ทาง Lenovo จับมือกับค่าย True แล้ว จะเหลือราคาเพียง 2,490 บาท ซึ่งเรียกได้ว่าคุ้มทั้งราคาและสเปคที่ให้มาทั้งหน้าจอขนาดแค่ 5 นิ้ว ความละเอียด HD มาพร้อมกับแบตเตอรี่ 4,000 mAh งานสายอึดแบตข้ามวันต้องมา อีกทั้งตั่วเครื่องยังทำจาก Polycarbonate เคลือบ Splashproof กันละอองและหยดน้ำอีกด้วย

หวังว่าสมาร์ทโฟนทั้งรุ่นกลางและรุ่นเล็กที่เราได้นำมาเปรียบเทียบในครั้งนี้ จะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจของเพื่อนสมาชิกที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนราคาน่ารักๆและสเปคดีๆซักเครื่องไว้เป็นเครื่องหลักหรือเครื่องสำรอง แต่ก็อย่างที่บอกดูสเปคแล้วก็อย่าลืมดูฟีเจอร์ภายในเครื่องด้วยล่ะ ว่าจะตอบโจทย์การใช้งานของเราได้มากน้อยแค่ไหน สนใจรุ่นไหนก็เข้าไปดูรีวิวเพิ่มเติมของแต่ละรุ่นเพื่อเพิ่มความมั่นใจอีกต่อหนึ่งก็ได้ค่ะ Smile

from:http://droidsans.com/compare-smartphone-price-range-4000-6000-baht-in-year-2015