คลังเก็บป้ายกำกับ: ปรับแต่ง

วิธีตั้งค่า Nvidia Control Panel เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกม

Nvidia Control Panel เป็นส่วนหนึ่งของ Driver กราฟิกการ์ด NVIDIA ที่หลายๆ คนไม่รู้ว่าสามารถที่จะทำการปรับแต่งประสิทธิภาพในการแสดงผลได้ มาดูกันดีกว่าว่าเราควรปรับแต่งอะไรกันบ้างเพื่อรีดประสิทธิภาพกราฟิกการ์ดออกมาให้ได้มากที่สุด

Nvidia Control Panel
Nvidia Control Panel

ถ้าคุณเป็นเจ้าของกราฟิกการ์ดของทาง NVIDIA แล้วล่ะก็ คุณสามารถปรับแต่งประสิทธิภาพในการทำงานของกราฟิกการ์ดของคุณได้ผ่านทาง Nvidia Control Panel ซึ่งเป็นหน้าต่างรวบรวมการกำหนดค่าทั้งหมดที่ทาง NVIDIA ได้รวมเอาไว้ในแผงหน้าจอควบคุมอันเดียว ด้วยการเสียเวลาแค่เพียงเล็กน้อยนั้นคุณสามารถที่จะทำให้คุณภาพของภาพที่แสดงผลดีขึ้น รวมทั้งยังมีสีสันที่สวยงามมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมทั้งระหว่างการเล่นเกมและการใช้งานหน้าจอ Desktop ในบทความนี้นั้นเราจะอธิบายวิธีเพิ่มประสิทธิภาพ GPU ของทาง NVIDIA ผ่านทาง Nvidia Control Panel ซึ่งสามารถที่จะใช้งานได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์พีซีแบบตั้งโต๊ะและแบบโน๊ตบุ๊ค มีการตั้งค่าใดที่ควรจะต้องทำการปรับแต่งบ้างนั้นไปลองติดตามกันได้เลย



ติดตั้งไดรเวอร์ล่าสุดของ NVIDIA

1cf9295a139b0ae408aabad0b07c3f21

ก่อนที่เราจะเริ่มแก้ไขการตั้งค่า Nvidia Control Panel เราต้องแน่ใจว่าไดรเวอร์ GPU ของคุณเป็นเวอร์ชันล่าสุด การอัปเดตใหม่จาก NVIDIA มาพร้อมกับการแก้ไขและปรับปรุงประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็จะมีการเพิ่มการตั้งค่าใหม่หรือสองอย่างในแผงควบคุม Nvidia ในบางครั้ง

Advertisementavw

การอัปเดตไดร์เวอร์ใหม่นั้นสามารถทำได้โดยเข้าไปโหลดตัวติดตั้งไดร์เวอร์จากทาง NVIDIA โดยตรงที่ GeForce Driver โดยให้ทำการเลือกรุ่นและระบบปฎิบัติการให้ตรงกับที่คุณใช้งานอยู่ จากนั้นให้ทำการติดตั้งตามขั้นตอน

Accessing Nvidia Control Panel

เมื่อทำการติดตั้งไดร์เวอร์เรียบร้อยแล้วให้ทำการเข้า Nvidia Control Panel โดยทำการคลิ๊กขวาที่หน้าจอ Desktop แล้วทำการเลือกตัวเลือก Nvidia Control Panel จากนั้นเราจะทำการตั้งค่ากัน


ปรับความละเอียดและอัตราการรีเฟรชให้เหมาะสม

Change Resolution 1536x963 1

ก่อนอื่นเลยนั้นสิ่งแรกที่ควรทำก็คือการตั้งค่าความละเอียดหน้าจอและอัตราการรีเฟรชให้ตรงกับจอที่คุณทำการใช้งานอยู่ จริงๆ แล้วการตั้งค่าในส่วนนี้นั้นจะไม่ค่อยมีความจำเป็นเท่าไรมากนักเพราะโดยทั่วไปแล้วระบบปฎิบัติการ Windows จะทำการตั้งค่าดังกล่าวนี้ให้อยู่ในจุดที่สูงที่สุดตามที่หน้าจอสามารถรองรับได้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นในหน้าจอ Nvidia Control Panel นั้นจะมีตัวเลือกในการปรับแต่งความละเอียดและอัตราการรีเฟรชที่มากกว่า วิธีการเข้าไปตั้งค่านี้ให้เลือกไปที่ตัวเลือก display settings ซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายของหน้าจอ Nvidia Control Panel 

โดยปกติแล้วนั้นคุณควรตั้งค่าความละเอียดหน้าจอให้ตรงกับที่หน้าจอของคุณสามารถรองรับได้ซึ่งจะมีการระบุเอาไว้ในตัวเลือกความละเอียดหน้าจอว่าเป็น native resolution อย่างไรก็ดีหากคุณใช้กราฟิกการ์ดที่ใช้ชิป GeForce RTX 3000 ซีรีย์ขึ้นไป คุณสามารถที่จะทำการเลือกตัวเลือกความละเอียดหน้าจอแบบอัปสเกลซึ่งจะมีการระบุเอาอยู่ตรงส่วนของ Dynamic Super Resolution (DL) แต่ทั้งนี้ไม่แนะนำให้ปรับใช้กับหน้าจอโหมด Desktop แบบปกติมากนักเพราะว่าจะทำให้การแสดงผลในส่วนของตัวอักษรบนหน้าต่าง Windows ต่างๆ มีการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนผิดส่วน

ส่วนต่อมาที่ควรปรับแต่งก็คือ NVIDIA color settings ที่คุณควรเลือกทุกตัวเลือกไม่ว่าจะเป็น Desktop color depth, Output color depth, Output color color format และ Output dynamic range ให้เป็นตัวเลือกที่สูงมากที่สุดเพื่อให้การแสดงผลที่ดีที่สุด 

หมายเหตุ – การปรับแต่งนี้นั้นไม่ส่งผลต่อความเร็วในการใช้งานใดๆ ทว่าเป็นการปรับให้การแสดงผลทั้งในส่วนของความละเอียดหน้าจอและอัตรารีเฟรชตรงกับที่หน้าจอที่คุณใช้งานมากที่สุด


ปรับการตั้งค่าสี

nvidiacontrol color

มาต่อกันที่ตัวเลือก Adjust desktop color settings ซึ่งส่วนนี้ให้คุณลองเล่นกับการตั้งค่าสีบนจอแสดงผลของคุณให้เป็นไปตามความชอบส่วนตัวของคุณมากที่สุด คุณสามารถปรับความสว่าง, คอนทราสต์และแกมม่าได้ในแถวแรก อย่าลังเลที่จะเลื่อนแล้วกดทำการทดสอบเพื่อดูผลลัพธ์ว่าเป็นไปตามความชอบของคุณหรือไม่ หากคุณไม่ชอบก็สามารถที่จะทำการเปลี่ยนแปลงย้อนกลับได้ดังเดิมอย่างง่ายดาย

ตัวเลือกการตั้งค่าที่น่าสนใจก็คือ Digital Vibrance ซึ่งการตั้งค่านี้จะเพิ่มความอิ่มตัวของสีและทำให้เฉดสีสว่างขึ้น สำหรับค่าที่แนะนำนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 70% ถึง 80% จะออกมาได้ดูดีมากที่สุด(แต่ก็ขึ้นอยู่กับเกมที่คุณทำการเล่นด้วย)


ตั้งค่าการแสดงผลด้าน 3D

Image Settings with Preview

เมื่อคุณเปิด Nvidia Control Panel การตั้งค่า 3D จะเป็นการตั้งค่าแรกสุดที่คุณเห็นและสามารถทำการปรับค่าได้ ซึ่งในการปรับตั้งค่านั้นจะส่งผลโดยตรงกับการเล่นเกมหากเลือกที่ตัวเลือก Use the advanced 3D image settings แล้วนั้นคุณจะต้องเข้าไปตั้งค่าในส่วนของตัวเลือกต่างๆ ทางด้านการแสดงผล 3 มิติในหน้าจอ Manage 3D Settings แต่ถ้าคุณไม่อยากตั้งค่าอะไรให้วุ่นวายแล้วล่ะก็สามารถเลือกที่ตัวเลือก Use my preference emphasizing แล้วเลือกแถบเลือกไปทางด้าน Performance หรือ Quality ซึ่งทางฝั่ง Performance นั้นจะเน้นไปทางด้านการขับความแรงให้กับเฟรมเรทให้ได้มากที่สุด ส่วนการปรับไปทางด้าน Quality นั้นจะเป็นการขับที่เน้นไปทางด้านคุณภาพของภาพที่ได้รับซึ่งเฟรมเรทอาจจะลดลง


ปรับแต่งคุณภาพการแสดงผลทางด้าน 3 มิติ

Manage 3D settings

จากที่ได้บอกไว้ในตอนต้นว่าหากคุณเลือกตัวเลือก Use the advanced 3D image settings แล้วนั้น คุณสามารถที่จะเข้ามาทำการเลือกปรับค่าทางด้าน 3 มิติในแต่ละตัวเลือกได้เองในแท็บตัวเลือก Manage 3D Settings ซึ่งคุณควรทำการปรับแต่งตัวเลือกต่างๆ ดังต่อไปนี้

  • Image Sharpening: Off — สำหรับตัวเลือกนี้นั้นจะเป็นการตั้งค่าความคมชัดของการแสดงผลภาพ 3 มิติ โดยทั่วไปแล้วตัวเกมจะมีความคมชัดอยู่แล้วตามความละเอียดของหน้าจอที่ใช้งาน ดังนั้นแล้วจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำการเปิดใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าวนี้แต่อย่างใด
  • Anisotropic Filtering: Off — เช่นเดียวกันกับตัวเลือกแรก การกรองแบบแอนไอโซทรอปิกคือตัวเลือกที่กำหนดในการตั้งค่าในเกมได้ ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่จะเปิดใช้งานนี้ใน Nvidia Control Panel
  • FXAA – Antialiasing: Off — การลบรอยหยักโดยประมาณอย่างรวดเร็วหรือ FXAA เป็นโหมดการลบรอยหยักที่ยอดเยี่ยมซึ่งช่วยให้คุณปรับปรุงพื้นผิวในเกมด้วยต้นทุนที่ต่ำลง แต่ตัวเลือกดังกล่าวนี้นั้นสามารถที่จะทำการเลือกได้ในแต่ละเกมเช่นเดียวกัน ดังนั้นแล้วจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตั้งค่าในส่วนดังกล่าวนี้แต่อย่างใด
  • Gamma Correction – Antialiasing: Off — การปิดการแก้ไขแกมมา ช่วยให้คุณปรับปรุงคุณภาพของภาพ 3 มิติที่ได้ออกมาดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในโปรแกรม OpenGL ทว่าเรื่องดังกล่าวนี้นั้นก็ไม่มีความจำเป็นอะไรเท่าไรนัก
  • Mode – Antialiasing: Off — เช่นเดียวกับ FXAA โหมดนี้เป็นการตั้งค่ลดรอยหยักซึ่งเกมส่วนใหญ่ที่ใช้งานเอฟเฟคนี้ได้นั้นจะมีให้เลือกอยู่แล้ว ดังนั้นในจุดนี้คุณสามารถที่จะทำการปิดไปได้
  • Background Max Frame Rate: 20 — หากคุณเป็นคนที่ชอบกด Alt+Tab เพื่อออกจากเกมบ่อยๆ มาที่โปรแกรมอื่นแล้วล่ะก็ คุณสามารถที่จะทำการประหยัดพลังงาน GPU บางส่วนที่ใช้ในการประมวลผลเกมได้โดยให้เปลี่ยน Background Max Frames เป็น 20 จะช่วยให้คุณจำกัดทรัพยากรให้กับเกมได้เป็นอย่างดีเหลือพอที่จะเอาไปใช้ในการประมวลผลในส่วนอื่นๆ
  • CUDA – GPUS: ALL — สำหรับตัวเลือกนี้เป็นตัวเลือกเปิดการใช้งาน CUDA Cores ซึ่งควรจะทำการเลือกตัวเลือก All อยู่ตลอดเวลาเพื่อที่จะให้ CUDA Cores ทั้งหมดประมวลผล
  • Low Latency Mode: Ultra — โหมดความหน่วงต่ำเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่น่าทึ่งที่สุดที่ Nvidia มอบให้กับเจ้าของ GPU ช่วยลดเวลาแฝงในการปรับเปลี่ยนเฟรมในแต่ละเฟรมเวลาเล่นเกมได้ ฟีเจอร์ดังกล่าวนี้นั้นไม่ส่งผลเสียต่อเฟรมเรทของเกมแต่จะช่วยให้เฟรมเรทของเกมแสดงผลออกมาได้ดีขึ้น
  • Max Frame Rate: Desired Value or Off — หากคุณรู้อยู่แล้วว่าหน้าจอของคุณมี Refresh Rate สูงสุดอยู่ที่เท่าไรและไม่ต้องการให้การแสดงผลเฟรมเรทของหน้าจอเปลี่ยนไปมาบ่อยๆ จนส่งผลให้การเล่นเกมถูกสังเกตได้ว่าเฟรมเรทเปลี่ยนแปลง ดังนั้นแล้วคุณสามารถที่จะเลือกปรับให้ Max Frame Rate อยู่ที่ระดับสูงที่สุดเท่าที่คุณต้องการ แต่ถ้าหากคุณใช้หน้าจอที่รองรับฟีเจอร์ G-Sync แล้วล่ะก็ ให้คุณทำการเลือกตัวเลือกนี้เป็น OFF เอาไว้เพื่อที่จะเปลี่ยนไปใช้ฟีเจอร์ G-Sync แทน
  • Open GL Rendering GPU: Select GPU here — สำหรับตัวเลือกนี้นั้นผู้ที่ใช้กราฟิกการ์ดเพียงแค่ตัวเดียวไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับอะไร แต่หากคุณใช้โน๊ตบุ๊คที่มาพร้อมกับ GPU จำนวน 2 GPU แล้วล่ะก็ ให้คุณทำการปรับเลือกตัวเลือกนี้เป็นชิปกราฟิกที่ดีที่สุดของคุณ
  • Power Management Mode: Prefer Max Performance — หากคุณเป็นเจ้าของโน๊ตบุ๊ค ให้ปล่อยตัวเลือกนี้ไว้ตามปกติเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ GPU สูงสุดตลอดเวลาอันเป็นผลที่จะทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่ลดลง แต่ถ้าคุณใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีหรือไม่ได้กังวลเรื่องแบตเตอรี่เท่าไรนักให้คุณทำการเลือกตัวเลือกนี้เป็น Prefer Max Performance ซึ่งจะทำให้ชิปกราฟิกทำงานสูงสุดอยู่ตลอดเวลา(เป็นการบังคับให้ GPU ทำงานสูงสุดตลอดเวลาและทำให้เฟรมเรทที่ได้สูงมากที่สุด
  • Shader Cache: Driver Default — ให้ทำการปล่อยตัวเลือกนี้ไว้ตามที่ได้มีการตั้งค่ามาเพราะการคอมไพล์และจัดเก็บข้อมูล Shader ของเกมบนพีซีนั้นต้องใช้ Shader Cache
  • Monitor Technology: Depends on Monitor — หากคุณมีจอภาพที่มีเทคโนโลยีอัตรารีเฟรชแบบผันแปรได้อย่าง AMD Free Sync หรือ G-Sync ให้เลือก G-sync ที่ตัวเลือกนี้ อย่างไรก็ตามหากคุณใช้โน๊ตบุ๊คแล้วไม่เห็นตัวเลือกนี้แล้วล่ะก็เป็นไปได้ว่า Intel Optimus กำลังบล็อกตัวเลือกนี้อยู่ ซึ่งไม่มีอะไรมากที่คุณสามารถทำได้เพื่อใช้ G-Sync ยกเว้นกรณีที่โน๊ตบุ๊คของคุณมีสวิตช์ MUX หรือ Advanced Optimus ซึ่งจะช่วยให้คุณเปิดใช้งาน G-sync ได้
  • Multi-Frame Sampled AA (MFAA): Off — MFAA เป็นเทคโนโลยีลบรอยหยักที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ NVIDIA ซึ่งไม่มีประโยชน์มากนักในเกมส่วนใหญ่(เพราะไม่ค่อยจะมีเกมทำออกมารองรับเท่าไรมากนัก) ดังนั้นแล้วสำหรับตัวเลือกนี้ให้คุณเลือกปิดเอาไว้(ถ้าเกมไหนรองรับ MFAA แล้วล่ะก็คุณสามารถที่จะทำการเลือกตัวเลือกนี้ได้ในเกมอยู่แล้ว)
  • Anisotropic Sample Optimization – Texture Filtering: On — Anisotropic Sample Optimation ช่วยปรับปรุงคุณภาพของภาพในเกมได้อย่างมากแถมไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานมากนัก ดังนั้นเพื่อให้ได้ภาพของเกมออกมาดีที่สุดคุณควรเปิดใช้งานเพื่อความคมชัดของภาพและเพิ่มประสิทธิภาพของเกมไปในตัวอีกทางหนึ่งอีกด้วย
  • Negative LOD Bias – Texture Filtering: Allow — สำหรับตัวเลือกดังกล่าวนี้ในบางกราฟิกการ์ดนั้นอาจจะไม่มีให้เลือก แต่ถ้าหากของคุณมีแล้วล่ะก็ให้ทำการตั้งค่า Negative LOD Bias – Texture Filtering เพื่อทำให้ความคมชัดของพื้นผิวในเกมมากขึ้นกว่าเดิม
  • Quality – Texture Filtering: High Performance — ตัวเลือกการตั้งค่าการกรองพื้นผิวนี้ควรเลือกไว้ที่ระดับ High Performance เพราะจะช่วยทำให้คุณภาพของภาพในเกมที่ได้ดีมากขึ้นทว่าก็มีสิ่งที่คุณต้องแลกมานั่นก็คือความคมชัดของเกมที่คุณจะได้รับนั้นจะลดลงเล็กน้อย แต่ถ้าหากคุณมีเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีหรือโน๊ตบุ๊คที่มีสเปคแรงๆ แล้วล่ะก็คุณสามารถที่จะเลือกตัวเลือกนี้เป็น Quality ได้เลย
  • Trilinear Optimization – Texture Filtering: On — ตัวเลือกนี้เป็นการเปิดการกรองพื้นผิวเพื่อทำการเพิ่มประสิทธิภาพด้วยเทคนิค Trilinear ซึ่งจะทำให้พื้นผิวในเกมของคุณคมชัดมากขึ้น นอกจากการแสดงผลพื้นผิวในเกมจะดีขึ้นแล้วนั้นตัวเลือกนี้ยังช่วยส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการเล่นเกมของคุณอีกด้วยต่างหาก
  • Threaded Optimization: Auto — การตั้งค่าสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพเธรดคืออัตโนมัติ ให้ทำการคงไว้อย่างนั้นเพื่อใช้ CPU หลายคอร์ช่วยในการประมวลผลของเกม
  • Triple Buffering: Off — หากคุณไม่ได้ทำการเปิดใช้ตัวเลือก V-Sync (ที่เป็นการบังคับเฟรมเรทให้เท่ากับเฟรมเรทสูงสุดของหน้าจออยู่เสมอแล้วล่ะก็) คุณก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปิดใช้งาน Triple Buffering ดังนั้นสำหรับตัวเลือกนี้ให้ทำการปิดเอาไว้ได้เลย
  • Vertical Sync: Off — ตัวเลือก V-Sync นี้นั้นจะเป็นการบังคับให้การแสดงผลเฟรมเรทของเกมทำได้สูงสุดเท่ากันกับเฟรมเรทสูงสุดที่หน้าจอของคุณรองรับ การเปิดตัวเลือกนี้นั้นจะช่วยทำให้การ์ดจอของคุณทำงานน้อยลง แต่ถ้าคุณมีหน้าจอที่รองรับเทคโนโลยีอย่าง AMD Free Sync และ G-Sync แล้วล่ะก็ คุณควรที่จะทำการปิดตัวเลือกนี้เอาไว้เนื่องจากว่าจะได้อัตราเฟรมเรทที่ดีและเหมาะสมมากกว่า
  • DSR – Factors และ DSR – Smothness — สำหรับตัวเลือกนี้จะมีให้เลือกปรับได้เฉพาะผู้ใช้งานกราฟิกการ์ดที่เป็นชิป GeForce RTX 2000 Series ขึ้นไปเท่านั้น โดยคุณสามารถที่จะปรับในส่วนของ DSR – Factors ให้เป็นตามที่คุณต้องการเพื่อให้ชิปกราฟิกทำการเพิ่มความละเอียดหน้าจอด้วยเทคโนโลยี DLSS ในส่วนของตัวเลือก DSR – Smothness นั้นให้คุณทำการเลือกไปที่ 100% ได้เลยเพราะจะเป็นการช่วยให้ภาพที่ได้จากการอัปสเกลด้วยเทคโนโลยี DLSS นั้นมีความละเอียดสวยงามมากขึ้น

กำหนดค่า PhysX

nvidiacontrol physx

ท้ายสุดแล้วกับตัวเลือกที่หากเป็นสมัยอดีตนั้นถือว่าเป็นอะไรที่ว๊าวเป็นอย่างมาก ทว่าในปัจจุบันนี้นั้นอาจจะไม่ค่อยมีความจำเป็นมากสักเท่าไรนักกับการกำหนดค่า PhysX หรือการประมวลผลทางด้านฟิสิกส์ในเกมซึ่งในปัจจุบันนี้ไม่ค่อยจะมีเกมอะไรที่ออกมารองรับเทคโนโลยีนี้เท่าไรแล้ว แต่ถ้าหากคุณยังเล่นเกมเก่าๆ ที่รองรับเทคโนโลยี PhysX อยู่ล่ะก็ แนะนำให้ทำการปรับค่าในส่วนของหน้าจอที่จะแสดงผลเอาไว้ ซึ่งการปรับนี้นั้นไม่มีผลอะไรกับการเล่นเกมหากเกมนั้นไม่ได้รองรับเทคโนโลยีนี้


สรุป

การใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในการปรับแต่งการแสดงผลผ่านทาง Nvidia Control Panel จะช่วยทำให้คุณได้รับประสิทธิภาพในการเล่นเกมดีมากยิ่งขึ้นกว่าที่เคยได้รับมาก่อน นอกไปจากนั้นคุณยังสามารถที่จะทำการปรับแต่งการแสดงผลของสีให้เหมาะสมกับความต้องการของตัวคุณเองได้อีกด้วยต่างหาก หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคำแนะนำในการปรับแต่งดังกล่าวนี้นั้นจะช่วยให้ทุกท่านได้พบกับประสบการณ์ในการเล่นเกมที่ดีมากขึ้นกว่าเดิม

ที่มา : coolblue, exputer, digitaltrends

from:https://notebookspec.com/web/696895-how-to-optimize-nvidia-control-panel-settings-for-gaming-and-overall-performance

ปรับแต่ง Windows Startup เพิ่มความเร็วให้กับ Windows 11

สาเหตุหนึ่งที่ทำ Windows 11 ทำงานได้ช้าลงก็คือ Windows Startup ที่จะเปิดโดยอัตโนมัติเมื่อเข้าสู่ Windows มาดูกันว่าตอนเปิดเครื่องขึ้นมาจะมีอะไรโหลดขึ้นมาบ้าง พร้อมวิธีปรับแต่งให้เครื่องเร็วขึ้น

Windows Startup
วิธีปรับแต่ง Windows Startup สำหรับ Windows 11

ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีผู้เปลี่ยนมาใช้งานแหล่งเก็บข้อมูลหลักสำหรับเก็บระบบปฎิบัติการ Windows เป็นแหล่งเก็บข้อมูลที่มีความเร็วมากขึ้นอย่าง SSD M2 NVME/PCIe ทว่าก็อาจจะยังมีผู้ใช้จำนวนมากที่ยังคงใช้งาน SSD SATA3 หรือ HDD SATA3 ที่มีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลช้าอยู่ 

อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นไม่ว่าจะใช้แหล่งเก็บข้อมูลหลักที่เก็บระบบปฎิบัติการ Windows เป็นแบบไหนแต่เชื่อเหลือเกินว่าหลายๆ ท่านจะต้องพบเจอกับปัญหาที่ระบบปฎิบัติการ Windows ช้าลงหลังจากที่เริ่มลงโปรแกรมต่างๆ ลงไปบนระบบปฎิบัติการ Windows มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะให้พร้อมกับการทำงาน(หรือใช้งานตามความต้องการอื่นๆ) ได้

Advertisementavw

สาเหตุหนึ่งที่ Windows 11(และเวอร์ชันอื่นๆ) ช้าลงหลังจากที่มีการลงโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นเพิ่มไปนั้นก็จะมาจาก Windows Startup หรือกระบวนการเริ่มต้น Windows ที่จะโหลดทุกอย่างให้พร้อมก่อนการทำงานจริง ในบทความนี้เราจะแนะนำให้ทุกท่านได้เข้าใจกันว่ากระบวนการ Windows Startup ของระบบปฎิบัติการ Windows นั้นเป็นอย่างไรและเราจะสามารถปรับแต่งอย่างไรได้บ้างเพื่อเพิ่มความเร็วให้กับระบบปฎิบัติการ Windows หากพร้อมแล้วก็ไปติดตามกันได้เลย


  • Windows Startup คืออะไร
  • Windows Startup ทำงานอย่างไร
  • วิธีปรับแต่ง Windows Startup เพื่อเพิ่มความเร็วให้ Windows

Windows Startup คืออะไร

StartUpPrograms4

คำว่า Startup หมายถึงระยะเวลาก่อนที่ผู้ใช้จะสามารถควบคุมเดสก์ท็อปบนหน้าจอได้แบบสมบูรณ์ ให้ลองสังเกตง่ายๆ ก็คือเวลาที่คุณทำการ Log in เข้าสู่บัญชีผู้ใช้ของระบบปฎิบัติการ Windows แล้วจะมีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ตัวระบบปฎิบัติการ Windows ทำการรันโปรแกรมต่างๆ ที่ได้มีการตั้งค่าเพื่อให้เริ่มใช้งานตั้งแต่ทำการเปิดตัวระบบปฎิบัติการ Windows ซึ่งในที่นี้นั้นจะมีทั้งบริการของตัวระบบปฎิบัติการ Windows เองที่ถูกเรียกให้รันตอนเริ่มต้นและบริการต่างๆ ของโปรแกรมทั้งหมดที่ผู้ใช้ได้ทำการติดตั้งลงไปในระบบปฎิบัติการ Windows ของผู้ใช้

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าตัวระบบปฎิบัติการ Windows นั้นจะใช้ระยะเวลาหนึ่งในการเรียกบริการต่างๆ ข้างต้นขึ้นมาโดยที่จะเร็วจะช้านั้นขึ้นอยู่กับความแรงของเครื่องทั้งในส่วนของหน่วยประมวลผล(CPU), หน่วยความจำ(RAM) และแหล่งเก็บข้อมูล(Storage) 

ท่านจะสังเกตเห็นความเร็วที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในการเริ่มระบบปฎิบัติการ Windows หากท่านใช้งานแหล่งเก็บข้อมูลที่มีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลสูงเช่นใช้งานแหล่งเก็บข้อมูลหลักแบบ SSD NVME เป็นต้น

อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นความเร็วในการเริ่มต้นการใช้งานระบบปฎิบัติการ Windows นั้นจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมากจากจำนวนโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นที่ผู้ใช้ลงไปในระบบปฎิบัติการ Windows เนื่องจากว่าบางโปรแกรมนั้นจะมีบริการแฝงที่อาจจะเรียกใช้งานตัวเองตั้งแต่ระบบปฎิบัติการเริ่มต้นทันทีซึ่งบางครั้งตัวผู้ใช้เองนั้นอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีบริการใดบ้างที่ถูกตั้งค่าให้โหลดโดยอัตโนมัติเมื่อระบบปฎิบัติการเริ่มต้นการทำงาน

safe mode article cover image 1

สาเหตุหลักที่ทำให้การเริ่มต้นระบบปฎิบัติการ Windows ช้า

  • แหล่งเก็บข้อมูลที่ใช้สำหรับลงระบบปฎิบัติการ Windows มีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลต่ำ
  • แหล่งเก็บข้อมูลที่ใช้สำหรับลงระบบปฎิบัติการ Windows มีพื้นที่ในการเก็บข้อมูลน้อย(ซึ่งอาจจะมาจากการใช้งานที่นานมากขึ้นทำให้มีไฟล์ขยะอยู่ในแหล่งเก็บข้อมูลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ)
  • มีการลงโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นที่ลงโดยผู้ใช้มีการเรียกบริการต่างๆ อัตโนมัติตอนที่ระบบปฎิบัติการ Windows เริ่มต้นทำงาน
  • หน่วยความจำ(RAM) น้อยเกินไปทำให้ในช่วงที่มีการเริ่มต้นระบบปฎิบัติการ Windows ที่มีบริการต่างๆ ถูกเรียกใช้อัตโนมัติถูกเรียกไปเก็บข้อมูลเบื้องต้นเอาไว้บนหน่วยความจำจนทำให้หน่อยความจำเต็ม
  • หากท่านใช้แหล่งเก็บข้อมูลที่เป็นแบบแผ่นจานแม่เหล็กหรือ HDD การที่ระบบปฎิบัติการ Windows เริ่มต้นได้ช้าอาจจะมาจากสาเหตุการกระจายตัว(fragmentation) ของไฟล์โปรแกรมที่ถูกแยกส่วนไปอยู่คนละเซกเตอร์ของแหล่งเก็บข้อมูลทำให้การที่จะเรียกใช้งานไฟล์โปรแกรมนั้นๆ จะต้องใช้เวลาในการอ่านและเขียนข้อมูลนานมากกว่าปกติ
  • ท่านอาจจะกำลังโดนไวรัสหรือมัลแวร์เล่นงานอยู่
  • ฮาร์ดแวร์ที่เกี่ยวข้องกับแหล่งเก็บข้อมูลอาจมีปัญหาทางด้านเทคนิคจนทำให้ไฟล์ของโปรแกรมต่างๆ เกิดความเสียหายทำให้ตอนที่เริ่มต้นในการทำงานนั้นไม่สามารถที่จะโหลดบริการของโปรแกรมที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว(หากเสียหายมากอาจทำให้ถึงขั้นที่ไม่สามารถเข้าใช้งานระบบปฎิบัติการ Windows ไม่ได้เลย)

Windows Startup ทำงานอย่างไร

img startup Items run screenshot 1

ขั้นตอนการล็อกอินเข้าสู่เครื่อง Windows นั้นค่อนข้างซับซ้อน เพื่อให้เข้าใจง่ายจะขออธิบายแค่เฉพาะรายละเอียดพื้นฐานตามกระบวนการเข้าสู่ระบบที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Interactive Session โดยจะถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนหลักดังต่อไปนี้

  1. (Pre-userinit) ส่วนนี้เป็นที่เรียกใช้ Group หรือ Local Policies รวมถึงสคริปต์ของระบบปฎิบัติการ Windows โดยที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ(ยังไม่เข้าสู่หน้าจอ Log in)
  2. (Userinit) ส่วนนี้เป็นส่วนที่เรียกใช้สคริปต์การเข้าสู่ระบบและสร้างการเชื่อมต่อเครือข่าย แล้วตามด้วยขั้นการเริ่ม Explorer.exe ที่เป็นไฟล์สำหรับการดูแลระบบหน้าจอหลักของระบบปฎิบัติการ Windows
  3. (Shell) ส่วน Shell เริ่มต้นเมื่อ Explorer.exe ถูกเรียกใช้และต้องสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ หลังจากนี้นั้นผู้ใช้จะสามารถควบคุมคียบอร์ดและเมาส์ได้(หรือสังเกตง่ายๆ ก็คือคุณจะเห็นรูปเมาส์ขึ้นมาบนหน้าจอ) ขั้นตอนนี้จะสิ้นสุดในตอนที่ผู้ใช้ได้เห็นเดสก์ท็อป(ซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้งหน้า Log in หรือเข้าสู่ระบบปฎิบัติการไปเลยขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้ตั้งค่าไว้อย่างไร)

ขั้นตอนทั้ง 3 นี้นั้นจะเกี่ยวเนื่องและถูกควบคุมเฉพาะไฟล์และบริการหลักของตัวระบบปฎิบัติการ Windows เท่านั้น ความเร็วในการโหลดใน 3 ช่วงนี้นั้นจะขึ้นอยู่กับฮาร์ดแวร์ของผู้ใช้โดยตรงว่าแรงมากแค่ไหน

เมื่อผ่านการโหลดขั้นตอน Shell แล้วและผู้ใช้ได้ทำการ Log in เข้าสู่ระบบปฎิบัติการผ่านบัญชีผู้ใช้ของตัวเอง หลังจากนี้จะคือขั้นตอนที่ Windows Startup ทำงานต่อตามหลักการในช่วงที่ได้อธิบายไว้ในหัวข้อแรก

ดังนั้นตามที่ได้บอกกระบวนการในการเริ่มต้นระบบปฎิบัติการ Windows ไปแล้วน้้นจะเห็นได้ว่าการปรับแต่งที่ได้ผลที่ดีที่สุดคือการเปลี่ยนแหล่งเก็บข้อมูลใหม่ให้มีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มหน่วยความจำก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถที่จะทำให้กระบวนการ Windows เริ่มต้นได้เร็วขึ้นได้

อย่างไรก็ดียังมีอีกหลายวิธีที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นที่จะต้องเสียเงินเพื่อทำการปรับแต่งกระบวนการเริ่มต้นของระบบปฎิบัติการ Windows ได้อยู่ และเพื่อความไม่ประมาทในบทความนี้จะขอไม่ยกนำเอากระบวนการใดๆ ที่อาจก่อให้เสี่ยงกับการสร้างข้อผิดพลาดกับระบบปฎิบัติการ Windows จนทำให้เกิดปัญหาใช้งาน Windows ขึ้นมาได้ หากท่านพร้อมแล้วก็ไปติดตามกันต่อได้เลย


วิธีปรับแต่ง Windows Startup เพื่อเพิ่มความเร็วให้ Windows

1. ทำความสะอาด Startup Folder

start menu programs startup

วิธีการแรกสุดที่เราอยากแนะนำให้ทุกท่านได้ลองทำดูก่อนนั้นก็คือทำการล้างไฟลในโฟลเดอร์ start-up ผ่านทาง File Explorer ซึ่งเป็นที่ๆ ที่คุณสามารถลบโปรแกรมที่คุณไม่ต้องการให้เริ่มเมื่อระบบปฎิบัติการ Windows เริ่มต้นได้ ในการเข้าถึงโฟลเดอร์นี้ให้เปิด File Explorer แล้วไปที่ตำแหน่งนี้

C:\Users\>User Name>\AppData\Roaming\Microsoft\Windows\Start Menu\Programs\Startup

เมื่อคุณทำการเปลี่ยนแปลงในโฟลเดอร์แล้ว ให้รีสตาร์ทคอมพิวเตอร์และตรวจสอบว่าคุณสังเกตเห็นความแตกต่างของเวลาบูตหรือไม่

หมายเหตุ – โปรแกรมใดๆ ก็ตามที่เคยโหลดตัวเองโดยอัตโนมัติตอนเริ่มต้นระบบปฎิบัติการ หากท่านลบทิ้งไปแล้วโปรแกรมนั้นๆ จะไม่โหลดเองขึ้นมาตอนเริ่มต้นระบบปฎิบัติการอีก ดังนั้นในการลบหากมีโปรแกรมใดที่ท่านยังอยากให้โหลดขึ้นมาตามปกติเวลาที่ทำการเริ่ม Windows อยู่ก็ให้เว้นการลบโปรแกรมนั้นไว้ได้

2. ทำการเพิ่มระยะเวลาในการโหลดโปรแกรมที่ไม่ใช่ของปฎิบัติการ Windows ให้ช้าลง

Windows อนุญาตให้คุณป้องกันไม่ให้โปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นบูทเมื่อเริ่มต้นระบบปฎิบัติการได้ ทว่าวิธีการดังกล่าวนั้น(หรือวิธีที่ทำในขั้นตอนที่ 1) ถือว่าเป็นวิธีที่รุนแรงอยู่เพราะโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นเหล่านั้นจะไม่ถูกโหลดขึ้นมาเลย

หากคุณยังคงต้องการให้โปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นโหลดอยู่ คุณสามารถที่จะทำการเลื่อนเวลาเริ่มต้นของโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นที่คุณต้องการนั้นได้ ซึ่งวิธีการที่ง่ายที่สุดนั้นสามารถที่จะทำได้ 2 วิธีดังต่อไปนี้

2.1 ทำการเลื่อนผ่าน Task Scheduler Utility

อันดับแรกให้คุณจะปิดใช้งานโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นจากรายการเริ่มต้นเมื่อระบบปฎิบัติการ Windows เริ่ม หลังจากนั้นถึงจะไปสู่ขั้นตอนการตั้งค่าหน่วงเวลาผ่านทาง Task Scheduler เพื่อชะลอเวลาการบูตโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นนั้นๆ  ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

  • กดปุ่ม Win + R พร้อมกันเพื่อเปิด Run
  • พิมพ์ msconfig ในช่องข้อความของ Run แล้วกด Enter
  • ตรงไปที่แท็บ Startup แล้วคลิกที่ Open the Task Manager
startup open task manager
  • ไปที่แท็บ Startup ในหน้าต่างต่อไปนี้ และคลิกที่โปรแกรมเป้าหมาย
  • คลิกที่ปุ่ม Disable ที่แสดงด้านล่าง
task manager startup disable

เมื่อเสร็จแล้ว ให้ค้นหา Task Scheduler โดยใช้ Windows Search(ไอคอนรูปแว่นขยายทางด้านซ้ายของ Task bar) แล้วเปิดใช้งาน

  • คลิกที่ตัวเลือก Create Task ในหน้าต่างด้านซ้ายและป้อนชื่อสำหรับงาน คุณสามารถป้อนชื่อแอปพลิเคชันที่คุณต้องการเลื่อนเวลาเริ่มต้นหรืออะไรก็ได้ที่จะเป็นการสื่อความหมายให้คุณรู้ว่างานนั้นคือการเลื่อนเวลาสำหรับการสั่งให้ระบบปฎิบัติการ Windows ทำการเปิดโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นนั้นๆ
task scheduler create task
  • ไปที่แท็บ Trigger แล้วคลิกที่ปุ่ม New
task scheduler create task triggers new
  • ขยายดร็อปดาวน์สำหรับ Begin the task และเลือก At log on
  • ทำเครื่องหมายในช่องที่เกี่ยวข้องกับ Delay task for
new trigger delay task time
  • ขยายเมนูแบบเลื่อนลงและเลือกเวลาที่คุณต้องการ
  • คลิก OK เพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลง
  • ไปที่แท็บ Action แล้วเลือก New
task scheduler create task actions new
  • ในดร็อปดาวน์สำหรับ Action เลือกตัวเลือก Start a program > Browse
start a program browse
  • ไปที่ไฟล์ .EXE ของโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันแล้วคลิก Open > OK
  • ไปที่แท็บ Conditions และยกเลิกการทำเครื่องหมายในช่องที่เกี่ยวข้องกับ Start the task only if the computer is on AC power
conditions start the task only if the computer is on ac power
  • คลิก OK และปิด Task Scheduler

หมายเหตุ – คุณสามารถที่จะตั้งหลายๆ โปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นได้แยกจากกันต่างหากโดยโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นแรกอาจจะเลื่อนให้เริ่มหลังจากที่ Windows เริ่มต้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว 15 วินาที โปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นถัดไปเริ่มต้นที่ 30 วินาทีเป็นต้น(การทำเช่นนี้จะทำให้ช่วงช่องว่างของเวลาที่โปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นจะโหลดในช่วงแรกนั้นนานขึ้นทำให้ตัวคุณสามารถที่จะทำอย่างอื่นได้อยู่โดยที่ไม่ไปก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรของเครื่องมากจนเกินไป)

2.2 ทำผ่านทางโปรแกรม Windows Startup Helper

การใช้งานผ่าน Task Scheduler นั้นอาจจะดูวุ่นวายไปหน่อย(แต่ก็ดีที่สุดเพราะโปรแกรมดังกล่าวเป็นของ Microsoft โดยตรง) อย่างไรก็ตามยังมีโปรแกรมเลื่อนเวลาเริ่มต้นสำหรับแอปพลิเคชันฟรีของผู้ผลิตรายอื่นๆ ที่คุณสามารถโหลดผ่านอินเทอร์เน็ตได้มากมาย ซึ่งที่เราจะแนะนำนั้นก็คือ Windows Startup Helper ที่คุณสามารถทำตามได้ดังขั้นตอนต่อไปนี้

  • โหลด Windows Startup Helper
  • เมื่อดาวน์โหลดไฟล์แล้ว ให้คลิกขวาที่ไฟล์แล้วเลือก Extract all
windows startup helper extract all
  • ดับเบิลคลิกที่ไฟล์และทำตามคำแนะนำบนหน้าจอเพื่อสิ้นสุดกระบวนการติดตั้งหลังจากนั้นให้เปิดตัวโปรแกรมขึ้นมา
  • ป้อนเวลาหน่วงที่คุณต้องการสำหรับในการที่จะหน่วยให้โปรแกรมนั้นๆ รอนานขึ้นถึงจะทำการโหลดที่ใต้ Delay time
windows startup helper delay time
  • คลิกที่ปุ่ม Add New Item ภายใต้ Step 2
windows startup helper add new item
  • ป้อนชื่อโปรแกรม, ที่อยู่ของไฟล์โปรแกรม(สามารถที่จะใช้จุดไข่ปลา 3 จุด ด้านข้างเพื่อค้นหาได้) และพารามิเตอร์
windows startup helper add edit dialog
  • คลิกที่ปุ่ม Start
windows startup helper start

แอปเป้าหมายจะเปิดขึ้นหลังจากเวลาที่คุณเลือกในแอป

3. เรียกใช้ Startup Cleaner Utility

คุณสามารถเรียกใช้โปรแกรม Startup Cleaner Utility ที่สามารถช่วยคุณดูและแก้ไขโปรแกรม, บริการ งานตามกำหนดเวลาและรายการเมนูตามบริบททั้งหมดที่ทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อคุณบูตเข้าสู่ Windows

ในที่นี้เราจะขอแนะนำ CCleaner ซึ่งเป็นโปรแกรมรอบด้านที่สามารถล้างขยะออกจากคอมพิวเตอร์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับวิธีการนั้นจะมีดังต่อไปนี้

  • โหลดและติดตั้ง CCleaner หลังจากนั้นให้เปิดโปรแกรมขึ้นมา
  • คลิกที่ไอคอน Tool ในหน้าต่างด้านซ้าย
ccleaner tools
  • เลือก Startup ในหน้าต่างต่อไปนี้
ccleaner tools startup
  • ในสี่ส่วนต่อไปนี้ คุณจะสามารถดูส่วนประกอบทั้งหมดที่ทำงานเมื่อคุณบูตเข้าสู่ Windows ค้นหารายการที่ไม่จำเป็น คลิกที่รายการเหล่านั้น แล้วเลือกปิดใช้งานหรือลบ
ccleaner tools startup disable delete
  • รีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์และตรวจสอบว่าคุณสังเกตเห็นความแตกต่างหรือไม่

4. ถอนการติดตั้งโปรแกรมที่ไม่จำเป็น

โปรแกรมที่ไม่จำเป็นที่ติดตั้งบนระบบอาจทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมและเวลาในการโหลดช้าลง นี่คือเหตุผลที่เราแนะนำให้สละเวลาสักครู่เพื่อระบุโปรแกรมที่คุณลงไปแล้วแต่ไม่ได้ใช้งานเลยหรืออาจจะใช้งานน้อยมาก แล้วให้ทำการถอนการติดตั้งโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นเหล่านี้โดยใช้ Setting > Apps > Installed Apps

5. อัปเดท Windows เสมอ

การทำให้ Windows ของคุณทันสมัยอยู่เสมอสามารถช่วยป้องกันปัญหาต่างๆ ได้ เช่นอาการแลคบ่อยครั้งหรือการหยุดทำงานกะทันหัน เราขอแนะนำให้ติดตั้งการอัปเดต Windows ทันทีที่ Microsoft ทำการเผยแพร่ออกมา(ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้วหากคุณไม่ได้ไปปรับอะไรกับ Windows Update แล้วล่ะก็ ตัวระบบปฎิบัติการ Windows จะทำการโหลดอัปเดทใหม่ๆ ให้คุณอัตโนมัติอยู่แล้วทันทีที่ทาง Microsoft ปล่อยออกมา) คุณสามารถดูการอัปเดตระบบที่รอดำเนินการทั้งหมดได้ในส่วน Windows Updates ของ Setting


ทั้งหมดที่คุณทำได้

อย่างที่ได้บอกไปในตอนต้นว่าขั้นตอนการทำที่เรานำเอามานำเสนอในบทความนี้นั้นจะเป็นขั้นตอนการทำที่ไม่ไปยุ่งกับไฟล์ระบบของระบบปฎิบัติการ Windows อันอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายกับระบบปฎิบัติการ Windows ของท่านขึ้นมาได้ ทว่าในความเป็นจริงแล้วนั้นยังคงมีอีกหลายวิธีการที่จะสามารถทำการปรับแต่ง Windows Startup ได้อีก 

ที่มา : nutanix, iolosystem, makeuseo

from:https://notebookspec.com/web/686471-how-to-optimize-windows-startup-process

20 เคล็ดลับปรับแต่ง Android ให้เร็ว ง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง ตอนที่ 1

รวมเคล็ดลับง่ายๆ สำหรับปรับแต่ง Android ให้เร็วที่คุณเองก็ทำได้แต่อาจจะไม่เคยรู้มาก่อน รับรองว่าชีวิตของคุณจะง่ายขึ้นเยอะ

ปรับแต่ง Android ให้เร็ว
รวม 20 เคล็ดลับปรับแต่ง Android ด้วยตัวคุณเอง

ปรับแต่ง Android ให้เร็วขึ้นนั้นหลายๆ ท่านอาจจะคิดว่าต้องใช้เวลาหรือทำยาก รวมทั้งอาจจะมีหลายๆ Facebook Page ที่แนะนำไปถึงขึ้นการ Root เครื่องเพื่อโมปรับแต่ง(ซึ่งนั่นทำให้เครื่องของท่านหมดประกันทันที) ทว่าในความเป็นจริงแล้วนั้นบนตัวระบบปฎิบัติการ Android เองนั้นก็มีวิธีการปรับแต่งต่างๆ ซ่อนอยู่มากมายที่จะช่วยให้การใช้งานต่างๆ ของท่านนั้นเร็วและดีมากขึ้นกว่าเดิมได้ ในวันนี้เราจึงขอยกเอา 20 เคล็ดลับปรับแต่ง Android ที่ทำได้ด้วยตัวคุณเองมาให้ทุกท่านได้ศึกษากัน

ก่อนอื่นที่จะเข้าสู่เคล็ดลับทั้ง 20 วิธีนั้นเราขออธิบายตัวระบบปฏิบัติการ Android ให้ทุกท่านได้รู้จักกันในเบื้องต้นก่อน โดยตัวระบบปฎิบัติการ Android นั้นเป็นระบบปฏิบัติการของผู้พัฒนายักษ์ใหญ๋อย่าง Google ที่ในปัจจุบันนั้นได้รับความนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายด้วยสาเหตุที่ว่าตัวระบบปฏิบัติการ Android นั้นเป็นระบบปฏิบัติการแบบเปิด(Open Source) ที่อนุญาตให้ผู้พัฒนาอื่นสามารถที่จะหยิบเอาไปทำการพัฒนาต่อได้ด้วยตัวเอง(ตัวอย่างเช่น Amazon Fire OS ของ Amazon หรือ Harmony OS ของ Huawei) ทำให้เกิดความหลากหลายมากขึ้น

A sneak peak in Android 12 Your ICT Magazine

อย่างไรก็ตามผู้พัฒนายังคงสามารถที่จะเลือกอยู่กับ Google ได้อยู่ซึ่งทาง Google ก็จะมีการออกข้อบังคับให้ผู้ที่เลือกที่จะใช้ระบบหลักโดยรวมเป็นของ Google นั้นจะต้องใช้ระบบพื้นฐานของ Android จาก Google ทั้งหมด(โดยผู้พัฒนาจะเลี่ยงไปปรับแต่ง UI มาครอบทับตัวระบบปฏิบัติการ Android ของทาง Google แทนเช่น One UI ของ Samsung เป็นต้น) ดังนั้นแล้วหากท่านใช้สมาร์ทโฟนที่ใช้พื้นฐานระบบปฏิบัติการ Android โดยเลือกบริการของ Google มาทั้งหมดนั้นก็สามารถที่จะใช้งานเคล็ดลับทั้ง 20 วิธีที่อยู่ในบทความนี้ได้ทันที

โดยปกติแล้วระบบปฏิบัติการ Android นั้นจะมีหลักการทำงานที่คล้ายๆ กับระบบปฏิบัติการ Windows ของทาง Microsoft อยู่พอสมควร สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ตัวเครื่องช้าลงเลยนั้นก็จะคล้ายๆ กันคือเมื่อใช้ไปนานมากๆ จะมีการสร้างไฟล์ขยะขึ้นมาในตัวเครื่องทำให้กินพื้นที่แหล่งเก็บข้อมูลไป

นอกไปจากนั้นแล้วอีกหนึ่งจุดเด่นของระบบปฏิบัติการ Android ที่ค่อนข้างจะเหมือน Windows ก็คือการเปิดใช้งานแอปพลิเคชันพื้นหลังที่เปิดเอาไว้จริงๆ(เสมือนกับว่าเปิดหน้าต่างโปรแกรมหลายๆ หน้าต่างในระบบปฏิบัติการ Windows) ซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้นั้นจะใช้ทำให้ผู้ใช้สามารถสลับการใช้งานแอปพลิเคชันไปมาได้อย่างรวดเร็วแต่นั่นก็แลกมากับการที่มันจะใช้พื้นที่เก็บข้อมูลสำหรับแอปพลิเคชันในหน่วยความจำค่อนข้างมาก เป็นผลทำให้สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android ในปัจจุบันนั้นในรุ่นท๊อปๆ ก็จะมาพร้อมกับหน่วยความจำที่มากกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์บางเครื่องแล้ว

Android Jetpack

ด้วยความที่ตัวระบบปฏิบัตการ Android เป็นไปดังที่ได้บอกเอาไว้ในตอนต้นนี้เองทำให้จริงๆ แล้วนั้นทาง Google เองได้มีการใส่ Trick ต่างๆ มากมายเอาไว้ในการใช้งานเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานต่างๆ มาด้วย ซึ่ง Trick ต่างๆ เหล่านี้นั้นนอกจากจะช่วยให้เราสามารถเข้าถึงการใช้งานต่างๆ ของตัวระบบได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมแล้วมันยังเป็นการย่นระยะเวลาในการเข้าถึงการใช้งานต่างๆ ที่เป็นฟีเจอร์หลักของตัวระบบปฏิบัติการ Android อีกด้วย สำหรับ 20 เคล็ดลับที่เราคัดสรรมาจะมีอะไรบ้างนั้นไปติดตามกันได้เลย



1. Uninstall แอปพลิชันที่คุณไม่ต้องการทิ้งไป

uninstall apps menu

เริ่มต้นกันที่เคล็ดไม่ลับอย่างแรกสุดเลยกับการ Uninstall แอปพลิเคชันที่ไม่ได้ใช้งานแต่แถมมากับตัวเครื่องทิ้งไป ด้วยสาเหตุที่อธิบายเอาไว้ในตอนต้นแล้วนั้นว่าตัวระบบปฏิบัติการ Android นั้นจะคล้ายๆ กันกับระบบปฏิบัติการ Windows ที่บางแอปพลิเคชันนั้นจะมีการเปิดใช้งานตัวเองอัตโนมัติ ซึ่งนั่นทำให้มันจะถูกเก็บเอาไว้ในหน่วยความจำของตัวเครื่องให้เปลืองไปเปล่าๆ ทั้งๆ ที่ท่านเองอาจจะไม่ได้ใช้งานแอปพลิเคชันดังกล่าวนั้นเลย

นอกไปจากนั้นแล้วการที่มีแอปพลิเคชันดังกล่าวอยู่ในตัวเครื่องแล้วด้วยนั้นก็ยังเป็นการกินพื้นที่ของแหล่งเก็บข้อมุลของท่านโดยใช่เหตุอีกต่างหาก ซึ่งหากมีมากๆ หลายๆ ตัวแล้วก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาเม็มเต็มหรือ Out of Storage ได้โดยไม่รู้ตัวดังนั้นแล้วหากท่านไม่ใช้งานแอปพลิเคชันอะไรก็สามารถที่จะ Uninstall ทิ้งได้เลยตัวอย่างเช่นแอปพลิเคชัน Podcast หรือ web browser ตัวอื่นๆ เป็นต้น(หากท่านใช้แค่ Chrome ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องลง browser ตัวอื่นเพิ่ม)

วิธีการ Uninstall แอปพลิเคชันนั้นให้เข้าไปที่ Settings > Apps แล้วเลือกไปที่แอปพลิเคชันที่ต้องการจะ Uninstall แล้วทำการ Uninstall ได้ทันที

5d531366cd978423430c7e5b

อีกวิธีหนึ่งที่ง่ายกว่านั้นก็คือให้ท่านจิ้มที่ไอคอนแอปพลิเคชันที่ต้องการจะ Uninstall ค้างเอาไว้สักครู่จนมี pop up เด้วขึ้นมาจากนั้นก็เลือกที่ Uninstall ได้เลยก็ได้เช่นเดียวกัน

5d52ffd1cd9784188f3713a8

อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นสำหรับแอปลพิเคชันบางแอปพลิเคชันที่ผู้พัฒนาได้ทำการลงเอาไว้ในส่วนของ System นั้นผู้ใช้อย่างเราๆ ท่านๆ จะไม่สามารถทำการ Uninstall ออกไปได้เอง ทว่ามันก็ยังมีวิธีการที่สามารถช่วยไม่ให้ตัวแอปพลิเคชันดังกล่าวนั้นเปิดตัวเองขึ้นมาให้เปลืองหน่วยความจำของตัวเครื่องได้เช่นเดียวกันนั่นก็คือการ Disable ตัวแอปไป โดยวิธีการนั้นก็จะเหมือนกับการ Uninstall ทว่าเปลี่ยนแค่ขั้นตอนสุดท้ายจาก Uninstall เป็น Disable แถนเท่านั้น


2. ใช้งานฟีเจอร์ Digital Wellbeing

android digital wellbeing 100766989 large

เปลี่ยนแนวมาดูฟีเจอร์ดีๆ ที่หลายๆ ท่านอาจจะมองข้ามกันไปบ้างกับฟีเจอร์ที่มีชื่อว่า Digital Wellbeing ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาช่วยให้เราๆ ท่านๆ ใช้ไลฟ์สไตล์ดิจิทัลกับไลฟ์สไตล์ปกติได้แบบลงตัวสุดๆ โดยท่านสามารถที่จะเข้าไปดูฟีเจอร์ดังกล่าวทั้งหมดได้ผ่านทาง Settings > Digital Wellbeing โดยฟีเจอร์หลักๆ ที่มีนั้นจะมีดังต่อไปนี้

  • Dashboard : เป็นหัวข้อที่จะแสดงการใช้งานตัวเครื่องสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตโดยรวมทั้งหมดว่าใน 1 วันนั้นเราใช้งานเครื่องไปนานเท่าไรและการใช้งานนั้นแบ่งออกเป็นแอปพลิเคชันอะไรบ้าง(ที่หน้าจอนี้สามารถช่วยให้ท่านตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะ Uninstall หรือ Disable แอปพลิเคชันไหนบ้าง)
  • Bedtime mode : เป็นโหมดสำหรับช่วยในการใช้งานสมาร์ทโฟนช่วงก่อนเข้านอนโดยเมื่อเข้าไปแล้วนั้นจะมี 2 ฟีเจอร์ย่อยคือ Do Not Disturb for bedtime mode หรือปรับให้ตัวเครื่องไม่ทำการแจ้งเตือนใดๆ ในช่วงเวลาที่คุณหลับ(ทำให้หลับได้สนิท) และ Grayscale หรือปรับแสดงผลหน้าจอให้แสดงสีแบบขาวดำเท่านั้นทำให้หากคุณยังคงใช้งานในการอ่านข่าวสาร ฯลฯ ต่างๆ บนตัวเครื่องก็จะทำให้สายตาไม่ถูกแสงสีฟ้ารบกวนทำให้นอนหลับได้ง่ายมากกว่าเดิม
  • Focus mode : เป็นโหมดสำหรับผู้ที่ต้องการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดโดยที่ไม่ต้องมีสมาร์ทโฟนมาคอยแจ้งเตือนรบกวนเวลาทำงาน โดยในโหมดนี้นั้นเมื่อเข้าไปแล้วตัวเครื่องจะให้คุณตั้งค่าว่าจะแจ้งเตือนเฉพาะแอปพลิเคชันใดๆ ก็ได้ในช่วงเวลาการทำงานตามที่คุณกำหนด

อย่างที่บอกไปว่าฟีเจอร์ดังกล่าวนี้นั้นจะเน้นการช่วยทางด้านสุขภาพในการใช้งานสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตให้ลงตัวกับการใช้ชีวิตจริงของผู้ใช้มากกว่า ซึ่งเชื่อว่าหลายๆ ท่านอาจจะมองข้ามฟีเจอร์ดังกล่าวนี้ไป อย่างไรแล้วนั้นก็ควรลองดูกันเพื่อว่าท่านจะได้ใช้เวลากับคนสำคัญในชีวิตจริงได้มากขึ้นกว่าเดิม


3. ใช้งาน Your Phone คู่กับ Windows 10

01r4g9x6I2XxDVHV2ZB5Kcz 2

เคยรู้สึกไหมว่าเวลาทำงานแล้วเราต้องคอยหันหน้าไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีงานอยู่กับหน้าจอสมาร์ทโฟนแบบสลับไปมาบ่อยๆ นั้นจะทำให้เราใช้พลังงานมากขึ้นกว่าเดิม หากคุณเป็นผู้ใช้ Windows 10 อยู่แล้วล่ะก็ปัญหาดังกล่าวจะหมดไปด้วยแอปพลิเคชันที่มีชื่อว่า Your Phone ที่สามารถติดตั้งได้ผ่านทาง Play Store สำหรับ Android ส่วนบน Windows 10 นั้นจะมีติดตั้งมาให้อยู่แล้ว ทว่าหากไม่มีก็สามารถที่จะติดตั้งได้จาก Store เลย

สำหรับวิธีการใช้งานนั้นบอกเลยว่าง่ายเอามากๆ โดยในตอนต้นนั้นคุณจะต้องทำการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 10 เข้าด้วยกันผ่านทางแอปพลิเคชัน Your Phone ก่อน(ตามขึ้นตอนของแอปพลิเคชัน Your Phone บน Windows 10) เมื่อเชื่อมต่อเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้นตอนที่คุณทำงานจริงๆ ก็วางสมาร์ทโฟนไปได้เลยเพราะแจ้งเตือนต่างๆ จะถูกถึงขึ้นมาแจ้งผ่านทางแอปพลิเคชัน Your Phone บนหน้าจอ Windows 10 ทั้งหมดแถมที่สำคัญแล้วนั้นก็คือคุณสามารถที่จะทำการตอบข้อความต่างๆ ผ่านทางหน้าจอคอมได้ทันที


4. แก้ไข Quick Settings

Quick Settings Pie

เคล็ดลับอันดับต่อมานั้นก็คือการทำ Shortcut ให้กับคำสั่งบางคำสั่งหรือการเรียกใช้งานแอปพลิเคชันบางแอปพลิเคชันได้ผ่านทาง Quick Settings ซึ่งจะปรากฏออกมาเมื่อคุณทำการลากแถบ Notifications ลงมา แล้วเลือกที่ได้เครื่องหมายคล้ายดินสอที่อยู่ทางด้านมุมขวาของหน้าต่าง(ดังรูป : แต่สมาร์ทโฟนบางยี่ห้ออาจจะอยู่ทางด้านซ้าย) เมื่อกดเลือกเรียบร้อยแล้วนั้นหน้าจอก็จะแสดงไอคอน Shortcut ทั้งหมดที่มีให้คุณสามารถเลื่อนขึ้นมาไว้ข้างบนได้ทำให้ในการใช้งานนั้นจะสามารถเข้าผ่านทางนี้ได้ทันทีไม่มีความจำเป็นต้องไปนั่งเปิดหาแอปพลิเคชันต่างๆ ให้เสียเวลาหลายรอบอีกต่อไป)

หมายเหตุ – สำหรับ Shortcut ที่จะมีให้เลือกบน Quick Settings นั้นจะขึ้นอยู่กับทางผู้พัฒนาแอปพลิเคชันว่าได้มีการใส่เข้ามาไว้หรือไม่ทำให้บางแอปพลิเคชันนั้นก็ยังคงไม่มี ทว่าในส่วนของฟีเจอร์หลักๆ ของตัวระบบปฎิบัติการ Android เองนั้นจะมีให้เลือกเกือบหมดตัวอย่างเช่น Focus Mode หรือ Dark Mode เป็นต้น)


5. Install แอปพลิเคชันจาก Play Store ข้ามเครื่องได้

ฟีเจอร์เด็ดอย่างหนึ่งที่ระบบปฏิบัติการ Android ดีกว่า iOS นั้นก็คือมันรองรับการติดตั้งแอปพลิเคชันต่างๆ ผ่าน Play Store แบบข้ามเครื่องได้ตราบใดที่คุณใช้ชื่อบัญชีตอนเปิดเครื่องครั้งแรกเป็น Gmail Account อันเดียวกัน และเมื่อคุณใช้เครื่องใดเครื่องหนึ่งซื้อแอปพลิเคชันไปเรียบร้อยแล้วนั้นอีกเครื่องหนึ่งก็จะสามารถใช้งานแอปพลิเคชันนั้นได้ด้วยเช่นเดียวกันไม่ต้องซื้อใหม่ นอกเหนือไปจากนั้นแล้วคุณยังสามารถที่จะเข้าไป Install แอปพลิเคชันของคุณในเครื่องอื่นๆ ได้เลยจากการเข้าไปที่ Play Store > My apps & Games > Library เรียกได้ว่าบัญชีผู้ใช้เดียวจบครบทุกเครื่องจริงๆ 


6. Install แอปพลิเคชันจาก Store อื่นๆ

5bb3c1c1 5540 4b70 a5f6 55881ca29b9a ss

อีกหนึ่งจุดเด่นของการ Install แอปพลิเคชันบนระบบฏิบัติการ Android นั่นก็คือคุณสามารถที่จะติดตั้งแอปพลิเคชันเพิ่มเติมจาก Store อื่นๆ นอกเหนือไปจาก Play Store ของทาง Google ได้เอง(หรือที่เราเรียกกันว่า sideload) ซึ่งตรงนี้นั้นถือว่าเป็นข้อดีอย่างมากเพราะบางแอปพลิเคชันนั้นทาง Google ไม่รองรับให้ลงผ่าน Play Store ทางผู้พัฒนาแอปพลิเคชันก็จะใช้วิธีในการไปให้โหลดตัวแอปพลิเคชันของตัวเองผ่านทาง Store อื่นๆ แทน ตัวอย่างเช่น AnTuTu Benchmark ชื่อดังหรือจะเป็นเกม Fortnite ของทาง Epic เป็นต้น

หมายเหตุ – อย่างไรก็ตามแล้วนั้นมีข้อควรระวังก็คือคุณควรเลือกผู้ให้บริการ Store ที่ไว้ใจได้อย่างเช่น APKPure หรือ Up to Down เป็นต้น


7. ติดตั้ง Launcher ได้หลากหลาย

01r4g9x6I2XxDVHV2ZB5Kcz 15

ถ้าคุณเป็นคนที่ขี้เบื่อและเบื่อหน้าจอการใช้งานหลักเดิมๆ ที่มาพร้อมกับตัวเครื่อง Android ได้ให้ทางออกกับคุณเอาไว้แล้วนั่นก็คือการติดตั้งใช้งาน Launcher อื่นๆ ที่มีให้เลือกมากมายบน Play Store ไม่ว่าจะเป็น Action Launcher, Apex, the cleverly named Lawn Chair, Lightning, the Microsoft Launcher, Nova, Niagara หรือ Smart Launcher เป็นต้น

Launcher ต่างๆ เหล่านี้นั้นมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป แต่โดยส่วนใหญ่แล้วนั้นข้อดีของมันก็คือการที่คุณจะสามารถปรับแต่งหน้าจอของตัวเครื่องได้หลากหลายมากกว่าเดิมไม่ว่าจะเป็นการปรับขยาย Widgets หรือกระทั่งการเปลี่ยนรูปแบบของ icons เป็นรูปอื่นๆ ที่แตกต่างไปจากเดิมทำให้คุณไม่มีเบื่อ นอกไปจากนั้นแล้วบาง Launcher ยังมาพร้อมกับการปรับแต่งเอฟเฟคให้คุณได้เลือกใช้ด้วยอีกต่างหากงานนี้ไม่มีเบื่อแน่นอน

หมายเหตุ – บาง Launcher นั้นก็เรียกร้องการใช้หน่วยความจำมาก ในขณะที่บาง Launcher ก็เรียกใช้น้อย ดังนั้นก่อนจะเลือกใช้ Launcher ใดควรอ่าน Review ที่มีผู้ใช้อื่นๆ Review เอาไว้ก่อน โดยส่วนตัวแล้วขอแนะนำ Nova Launcher ที่ทั้งเบาไม่กินสเปคเครื่องแถมยังปรับแต่งได้เยอะเอามากๆ


8. ปรับแต่ง Message Notifications

01r4g9x6I2XxDVHV2ZB5Kcz 3

ระบบปฏิบัติการ Android นั้นมีการพัฒนาในส่วนของเรื่องการแจ้งเตือนข้อความมาอย่างต่อเนื่องซึ่งต้องบอกเลยว่าบน Android 11 นั้นมีตัวเลือกการปรับแต่งการแจ้งเตือนข้อความที่เยอะเอามากๆ โดยสิ่งหนึ่งที่ทุกท่านจะเห็นได้ชัดเจนหากเครื่องของท่านใช้ Android 11 ก็คือการแจ้งเตือนข้อความสนทนานั้นจะถูกนำเอาขึ้นมาอยู่เป็นหัวข้อแรกของ Notifications Bars ทำให้เข้าถึงได้อย่างง่ายดาย(แยกกับแจ้งเตือนอื่นๆ เป็นกลุ่มไปเลย)

นอกไปจากนั้นแล้วบน Android 11 ยังมาพร้อมกับระบบการตอบข้อความแบบใหม่ที่เรียกว่า Bubble โดยเวลาที่มีข้อความเข้ามาแล้วนั้นมันจะทำการแจ้งเตือนมาในรูปแบบของ Chat head(คล้ายๆ กับของ Messengers) ทำให้เราสามารถที่จะเข้าถึงแชทของแต่ละคนแต่ละแอปพลิเคชั้นได้ง่ายกว่าเดิม แต่ทั้งนี้แล้วนั้นฟีเจอร์ Bubble นั้นยังคงจำกัดการใช้งานอยู่กับบางแอปพลิเคชันเท่านั้นเพราะต้องรอให้ทางผู้พัฒนาแอปพลิเคชันพัฒนาให้แอปของตัวเองรองรับฟีเจอร์นี้ก่อนถึงจะใช้งานได้(ตรงนี้นั้น Line ยังไม่รองรับซึ่งเป็นที่น่าเสียดายมาก)


9. ปรับแต่งหน้า Home และเพิ่ม Widgets

01r4g9x6I2XxDVHV2ZB5Kcz 4

ระบบปฏิบัติการ Android นั้นมาพร้อมกับฟีเจอร์การปรับแต่งหน้าจอที่หลากหลายอย่างการย้าย Icon การรวมกลุ่ม Icons รวมไปถึงการเพิ่ม Widgets(ที่ชาว iOS พึ่งจะมีให้ใช้งานกันก็ตอน iOS 14 ที่ผ่านมา) สิ่งที่น่าสนใจนั้นก็คือการเพิ่ม Widgets ต่างๆ เข้าไปบนหน้าจอไม่ว่าจะเป็นปฏิธิน, แผนที่ ฯลฯ จะทำให้การทำงานของท่านนั้นเร็วมากขึ้นกว่าเดิมแถมบาง Widgets นั้นก็สามารถสั่งการต่างๆ แบบสำเร็จรูปผ่านทาง Widgets ได้เลยไม่มีความจำเป็นต้องเปิดแอปพลิเคชันหลักขึ้นมาอีกต่อไป

หมายเหตุ – การเพิ่ม Widgets จะทำให้ตัวเครื่องใช้หน่วยความจำมากขึ้นดังนั้นแล้วก็ไม่ควรเพิ่มจนมากเกินไปเพราะบางแอปพลิเคชันนั้นตัว Widgets เขาก็ทำเป็นเสมือนแอปพลิเคชันหลักย่อๆ มาให้เราได้ใช้งานผ่านหน้าจอซึ่งแน่นอนว่ามันจะทำงานอยู่ตลอดเวลานั่นเอง


10. เพิ่มแหล่งเก็บข้อมูลผ่าน MicroSD Card

01r4g9x6I2XxDVHV2ZB5Kcz 5

ปัญหา Out of Storage นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่จัดการได้ยากหากคุณเป็นคนหนึ่งที่เก็บข้อมูลเอาไว้ในเครื่องมาก ดังนั้นแล้วสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต Android จึงมาพร้อมกับข้อดีบางอย่างนั่นก็คือการให้ Slot สำหรับเพิ่มแหล่งเก็บข้อมูลผ่านทาง MicroSD Card ได้ ซึ่งในปัจจุบันนั้นคงต้องยอมรับว่า MicroSD Card ความจุ 256 GB มีราคาถูกลงกว่าเดิมเป็นอย่างมาก ดังนั้นแล้วหากสมาร์ทโฟนของคุณสามารถที่จะเพิ่มแหล่งเก็บข้อมุลผ่านทาง MicroSD Card ได้ก็ให้ทำการซื้อ MicroSD Card มาเพิ่มดีกว่า(และมันยังช่วยทำให้ข้อมูลของคุณอย่างเช่นรูปภาพและวีดีโอต่างๆ นั้นเก็บไว้ใน Card ทำให้ไม่ว่าคุณจะเปลี่ยนเครื่องใหม่หรือเผลอทำเครื่องเดิมพังก็ยังมีข้อมูลสำรองเอาไว้ไม่ต้องเสียเงินง้อระบบ Cloud โดยใช่เหตุ


android versions hero 2

สำหรับ 10 เคล็ดลับแรกนี้นั้นอยากให้เพื่อนๆ ได้ลองไปทดสอบในการใช้งานกันก่อน และในอีกไม่ช้านี้อีก 10 เคล็ดลับที่เหลือนั้นจะติดตามมาให้ได้ใช้งานด้วยอย่างแน่นอน ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วบางเคล็ดลับนั้นอาจจะมีเฉพาะใน Android บางเวอร์ชัน(อย่างเช่น Android 10 ขึ้นไป) เท่านั้น ซึ่งทำให้บางท่านอาจจะไม่สามารถใช้งานเคล็ดลับที่มีดังกล่าวนี้ได้

อีกจุดหนึ่งที่ต้องบอกเอาไว้ก่อนเลยนั้นก็คือในเครื่องสมาร์ทโฟนบางยี่ห้อก็อาจจะให้ฟีเจอร์บางอย่างมาไม่ครบ รวมทั้งในบางยี่ห้อเองนั้นทางผู้ผลิตก็มีการปรับแต่งตัว Firmware ออกมาเป็นของตัวเองมากจนเกินไปทำให้การใช้งานบางอย่างนั้นไม่สามารถทำได้เต็ม 100%(ตัวอย่างเช่น MIUI ที่ถูกใช้งานบนเครื่องของ Xiaomi ที่ค่อนข้างมีการจำกัดการเข้าถึงการใช้งานแอปพลิเคชันค่อนข้างจะมาก)

สำหรับอีก 10 เคล็ดลับที่เหลือจะมีอะไรนั้นติดตามกันต่อได้เร็วๆ นี้อย่างแน่นอน


อ่านบทความเพิ่มเติม/เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Youtube download
แอพ VPN
ย้ายรูป iPhone
อัดหน้าจอคอม อัดวิดีโอหน้าจอ
ลบไฟล์ขยะ
Windows 10 แท้

from:https://notebookspec.com/web/597036-20-android-tips-and-tricks-for-phones