คลังเก็บป้ายกำกับ: WUHAN_VIRUS

ท่องเที่ยวไทย จะไปทางไหนดี: ผลกระทบจากไวรัสต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย

บทความโดย: ปาริชาติ โชคเกิด และธงชัย ชลศิริพงษ์ 

การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ชาวอู่ฮั่นหรือจีนเท่านั้น หากแต่ส่งผลกระทบต่อทั้งโลก เพราะจีนถือเป็นห่วงโซ่อุปทานเชื่อมโลก กระทบทั้งในแง่ข้อมูลข่าวสาร เศรษฐกิจ ความเชื่อมั่น และแม้สะเทือนถึง “อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย” ที่ถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ในการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ

ท่องเที่ยวไทย จะไปทางไหนดี: ผลกระทบจากไวรัสต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย
ท่องเที่ยวไทย จะไปทางไหนดี: ผลกระทบจากไวรัสต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย

อุตสาหกรรมท่องเที่ยว เส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจไทย

ถ้าพูดถึงเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งทศวรรษ 2010 ที่ผ่านมา นอกเหนือจากภาคการส่งออก หนึ่งในตัวขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยคือ “การท่องเที่ยว” 

หากคิดเป็นตัวเลข อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่สามารถทำเงินให้ประเทศได้ปีละแสนล้านเหรียญ นับเป็นสัดส่วนถึง 10-12% ของ GDP ประเทศไทย

ที่น่าสนใจคือ ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ระบุว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เข้ามาในประเทศไทยมักกระจุกตัวอยู่ไม่กี่จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต ชลบุรี และเชียงใหม่ โดยนักท่องเที่ยวรายใหญ่ของไทยก็คือ “นักท่องเที่ยวชาวจีน” ในแต่ละเดือนจะมีชาวจีนเข้ามาท่องเที่ยวในไทยเกือบหลักล้านคน และมีค่าใช้จ่ายต่อคนไม่ต่ำกว่าครึ่งแสนบาทต่อทริป

แน่นอนว่า เศรษฐกิจไทยได้รับประโยชน์จากภาคการท่องเที่ยวอย่างมหาศาลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ปัญหาคือ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกสูง ทั้งการเปลี่ยนแปลงของสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองโลก ปัจจัยเหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ก่อนไวรัสจะมา ก็ทำท่าแย่อยู่แล้ว

นับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2019 อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด โดยมีปัจจัยมาตั้งแต่ค่าเงินบาทที่แข็งตัวขึ้นในรอบปลายปี สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐอเมริกาซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อและกำลังการบริโภคของชาวจีน และไล่รวมไปถึงเศรษฐกิจโลกที่ทำท่าชะลอตัว

สัญญาณเตือนในระดับโลกเหล่านี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน 

แต่ใครจะรู้ว่า เข้าสู่ต้นปี 2020 เพียงไม่นาน อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยก็ได้พบกับปัญหาใหม่อย่างการระบาดของไวรัสโคโรนาจากประเทศที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ด้านการท่องเที่ยว ซึ่งก็คือ “ประเทศจีน” นั่นเอง

หน้ากากอนามัยขาดตลาด

ท่องเที่ยวไทย ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักบาดเจ็บซะแล้ว

ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวอย่างมาก ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยระบุว่านักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยที่เป็นกรุปทัวร์เฉลี่ย 800,000 คน หรือประมาณ 70% ของนักท่องเที่ยวจีนทั้งหมด

หลังเกิดเหตุระบาดของไวรัสโคโรนาฯ วิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคุมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (Atta) ระบุว่า ไทยน่าจะได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจีนที่หายไปราว 2 เดือนนี้ประมาณ 1.2-1.3 ล้านคนราย ส่งผลกระทบต่อรายได้การท่องเที่ยวประมาณ 48,000-52,000 ล้านบาท 

สัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนมากลุ่มประเทศอาเซียน ภาพจาก Maybank

ล่าสุด ททท. ปรับลดเป้าหมายรายได้ท่องเที่ยวทั้งในไทยและต่างประเทศเหลือ 2.91 ล้านล้านบาท ติดลบ 3.4% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในขณะที่รายได้จากตลาดชาวต่างชาติ ปรับลดเป้าหมายเป็น 1.78 ล้านล้านบาท ติดลบ 7.7% หากเทียบกับปีที่แล้ว 

เดิม ททท. ตั้งเป้าว่าจะสร้างรายได้มากถึง 2.03 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5% ดังนั้น จากสถานการณ์ดังกล่าวน่าจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะหายไปราว 4.78 ล้านคนหรือเกือบ 5 ล้านคน ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวได้คาดการณ์ว่าไทยจะสูญเสียรายได้ราว 3 แสนล้านบาท 

ขณะที่คนที่ทำมาค้าขายในย่านค้าส่งขนาดใหญ่อย่างประตูน้ำ ก็ให้ความเห็นว่า สถานการณ์ตอนนี้แย่มาก ทั้งลูกค้าคนจีน เวียดนาม สิงคโปร์กลัวกันไปหมด ไม่กล้าออกมา เฉพาะแค่คนขายเครื่องสำอางที่ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวมักจะมาซื้อ เจอไวรัสโคโรนาเข้าไป ทำให้สัปดาห์ที่ผ่านมายอดขายสินค้าตกราว 80% 

คนขายน้ำมะพร้าวก็บอกว่า ปกติลูกค้าของเขาเป็นคนต่างชาติทั้งสิงคโปร์ จีน และไต้หวัน ตอนนี้ลูกค้าหายหมด ขณะที่คนขายของที่ระลึกก็บอกว่าขายสินค้าอะไรไม่ได้เลยเช่นกัน 

ภาพจาก Shutterstock

ธุรกิจการบินก็อ่วมไม่แพ้กัน คาดสูญรายได้ 8,000 – 11,000 ล้านบาท

ขณะที่ด้านธุรกิจการบิน เราเห็นผลกระทบชัดเจน เนื่องจากผู้คนต่างตระหนกและหวาดกลัวจากการเดินทางท่องเที่ยว จึงทำให้จำนวนผู้เดินทางลดลง โดยเฉพาะสายการบินที่เดินทางไปยังจีนและออกมาจากจีน 

หลายสายการบินสั่งระงับการเดินทาง เช่น สายการบินบริติชแอร์เวย์ สายการบินสหรัฐอเมริกา สายการบินนิวซีแลนด์ สายการบินอาหรับเอมิเรตส์ ฯลฯ

ตลอดจนสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค ที่เป็นสายการบินหลักของฮ่องกงยังออกมาประกาศให้พนักงานทั้งในระดับชั้นต้นและระดับอาวุโส หยุดงานโดยที่บริษัทขอไม่จ่ายเงินให้เป็นเวลา 3 สัปดาห์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนดังกล่าว เนื่องจากสายการบินคาเธ่ย์ฯ ที่บินไปยังจีนถูกระงับลงกว่า 90% 

นอกจากนี้ ประเทศอินเดียยังเริ่มยกระดับความปลอดภัยจากเชื้อไวรัสด้วยการหันมาคัดกรองผู้โดยสารจากไทยและสิงคโปร์เพิ่มขึ้น 

ด้านธุรกิจการบินของไทย มีการแข่งขันตัดราคาอย่างหนัก ทำให้มูลค่าตลาดธุรกิจสายการบินหดตัวลง 3.5% อยู่ที่ 3.14 แสนล้านบาทมาตั้งแต่ปี 2019 แล้ว พอย่างเข้าสู่ปี 2020 ได้ไม่นาน ก็เจอกับการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนาฯ เข้าอีก ทำให้ความต้องการในการเดินทางด้วยเที่ยวบินระหว่างประเทศลดลงครั้งแรกในรอบหลายปี 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าเฉพาะไตรมาสแรกนี้ ผู้โดยสารของสายการบินในไทยทั้งปีจะลดลงจาก 80% เหลือ 72-73.4% มีผลทำให้มูลค่าธุรกิจหดตัวลง 4.3%-6.2% เหลือเพียง 2.94-3.00 แสนล้านบาท 

รวมถึงยังคาดการณ์ว่า จากกรณีการระบาดของไวรัสโคโรนา จะส่งผลให้ธุรกิจการบินสูญเสียรายได้กว่า 8,000 -11,000 ล้านบาท และยิ่งเจาะดูตัวเลขเข้าไปข้างใน จะพบว่า นักท่องเที่ยวจีนที่มาไทยจะลดต่ำลงถึง 1.1 ล้านคนในปีนี้ 

ภาพจาก บริษัทหลักทรัพย์ Maybank

จีนรับมือกับโรคระบาด: จากโรคซาร์ส 2003 ถึงไวรัสโคโรนา 2019 ดีขึ้น

บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (Maybank Kimeng) ประเมินสถานการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ระบาดเทียบกับโรคซาร์สแล้วพบว่า มีอัตราการตายต่ำ กล่าวคือ โรคซาร์สมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 10% หากเทียบกับจำนวนผู้ติดเชื้อจำนวน 8,422 ราย ขณะที่ไวรัสอู่ฮั่นหรือไวรัสโคโรนานี้มีผู้ติดเชื้อทะลุไปกว่า 30,000 ราย มีผู้เสียชีวิตราว 3% 

ภาพจาก บริษัทหลักทรัพย์ Maybank

Maybank วิเคราะห์ว่า สถานการณ์ตอนนี้คือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 นั้นแตกต่างกับช่วงโรคซาร์สระบาดในปี 2003 หลายปัจจัยด้วยกัน

ทั้งเรื่องระดับเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น จีนมีบทบาททางเศรษฐกิจมากขึ้น จีนเชื่อมต่อกับโลกมากขึ้นมีเส้นทางการบินเพิ่มขึ้นจาก 1,100 กิโลเมตรในปี 2003 เป็น 4,900 กิโลเมตรในปี 2018 

ภาพจาก บริษัทหลักทรัพย์ Maybank

นักท่องเที่ยวจีนก็ขยายตัวมากขึ้น จากเดิมอยู่ที่ 7.1% ในปี 2003 เป็น 22% ในปี 2018 สะท้อนคำกล่าวที่ว่าแค่จีนไอโลกก็สะเทือนอย่างแท้จริง ถือได้ว่าในปัจจุบันจีนตอบสนองกับโรคระบาดได้ดีกว่าสมัยที่มีโรคซาร์สระบาด อย่างน้อยกว่าที่รัฐจะประกาศให้สาธารณชนรับรู้นั้น โรคซาร์สใช้เวลามากถึง 4 เดือน

มาตรการตอบสนองต่อโรคระบาดที่มาจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 นี้ถือว่าเร็วขึ้นมาก จีนรายงานให้องค์การอนามัยถึงไวรัสฯ นี้ภายในเวลา 1 เดือนกว่า ถ้าเทียบกับซาร์สราว 88 วัน

การปิดเมืองรอบมณฑลหูเป่ย์ ราว 12 เมือง การยกเลิกการฉลองเทศกาลตรุษจีน การแบนไม่ให้ท่องเที่ยวต่างประเทศมีผลปลายเดือนมกราคม ระงับขนส่งสาธารณะทั้งทางรถไฟที่ไปยังฮ่องกงและลดเที่ยวบินครึ่งหนึ่ง 

ภาพจาก บริษัทหลักทรัพย์ Maybank

มุมมองของผู้เชี่ยวชาญ ผู้ประกอบการ คิดอย่างไรกับท่องเที่ยวไทยในปัจจุบัน

ข้อมูลจากนักวิเคราะห์ของ CIMB ไทย มองว่า จากกรณีไวรัสที่แพร่ระบาดจะทำให้ภาคการท่องเที่ยวไทยติดลบไปตลอดในช่วงครึ่งปีแรก 2020 พร้อมทั้งเปรียบเทียบว่า 

เศรษฐกิจไทยตอนนี้เหมือนคนติดไวรัสโคโรนา มีอาการไข้สูง หายใจติดขัด และไออาการไข้สูง รายได้จากการท่องเที่ยวจะลดลงกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งมีผลมาจากการหดตัวของนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก เพราะมีสัดส่วนสูงถึง 30% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย

สอดคล้องกับข้อมูลของบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร ที่เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมไทยจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอนในช่วงครึ่งปีแรก 2020 โดยคาดการณ์ว่าหากนับแค่ภาคการท่องเที่ยวเที่ยวอย่างเดียวน่าจะกระทบต่อ GDP ประมาณ 0.15% และนี่ยังไม่ได้นับผลกระทบทางอ้อมอื่นๆ ที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจ เช่น ธุรกิจการบริโภค ธุรกิจที่พักอาศัย ฯลฯ

ส่วนมุมมองของผู้ประกอบการธุรกิจรถขนส่ง ดูได้จากผู้ประกอบการทัวร์ในภูเก็ต ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของชาวจีน โดยหลังจากเกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส ทำให้กลุ่มรถทัวร์ไม่มีงาน มีรถจอดพักอยู่ไม่ต่ำกว่า 1,200 คัน

ส่วนด้านของ ดร.วสุเชษฐ์ โสภณเสถียร นายกสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย (สปข.) ระบุว่า หลังจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ส่งผลให้ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ มีการยกเลิกกรุ๊ปทัวร์กว่า 12,000 กรุ๊ป และทำให้(คนขับ)รถทัวร์ตกกงานกว่า 4,000 คัน รายได้กลายเป็นศูนย์ เมื่อไม่สามารถทำธุรกิจต่อไปได้ สิ่งที่ต้องการตอนนี้คือ อยากให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือ หาเงินทุนมาเสริมสภาพคล่องหรือให้มีการพักชำระหนี้

ส่วนด้านธุรกิจที่พัก ละเอียด บุ้งศรีทอง นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคเหนือให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจไว้ว่า หลังจากปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ตลาดนักท่องเที่ยวจีนในเชียงใหม่ซึ่งส่วนใหญ่มาเป็นกรุ๊ปทัวร์ยกเลิกการจองห้องพักกว่า 80-90% โดยเฉพาะโรงแรมระดับ 3-5 ดาว เหลือนักท่องเที่ยวจีนไม่ถึง 15% ในปัจจุบัน ที่หนักหนาสาหัสกว่านั้นคือ ไม่มีการจองห้องพักใหม่เข้ามาเพิ่ม ส่งผลให้ตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นชะลอตัวตามไปด้วย ทั้งกลุ่มเอเชีย-แปซิฟิก ยุโรปและอเมริกา พูดง่ายๆ คือปัจจุบันตัวเลขการจองห้องพักระยะสั้นเกือบเป็นศูนย์

ส่วนในด้านธุรกิจการบิน อมรรักษ์ ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ กล่าวว่า จากกรณีไวรัสโคโรน่าส่งผลให้ผู้โดยสารชาวจีนที่เดินทางเข้าสู่ท่าอากาศยานเชียงใหม่จากเดิมเฉลี่ย 5,000 คนต่อวัน ลดลงเหลือ 1,500 คนต่อวัน (นับทั้งขาเข้าและขาออก)

Chinese Traveler นักท่องเที่ยวจีน
ภาพจาก Shutterstock

สรุป: ท่องเที่ยวไทย จะไปทางไหนดี

ทั้งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวมองปัญหาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เทียบกับช่วงไข้หวัดซาร์ส ต่างเห็นตรงกันว่า จีนน่าจะควบคุมสถานการณ์ดังกล่าวได้ภายใน 3 เดือน หรือสิ้นสุดในเดือนเมษายน 2020

ททท. เสนอทางออกหลักๆ 3 ทาง ดังนี้   

  • สร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
  • กระตุ้นการตลาดท่องเที่ยวภายในประเทศ 
  • เร่งหาตลาดชาติอื่นมาชดเชยนักท่องเที่ยวจีนที่หายไป คาดหวังว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวจากในกลุ่มประเทศอาเซียน เช่น กลุ่ม CLMV กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน

นอกจากนั้น หนึ่งในคำตอบที่มีการเสนอขึ้นมาคือ นักท่องเที่ยวจีนหายไม่เป็นไร แผนสำรองของการท่องเที่ยวไทยคือ “ไทยเที่ยวไทย”

กลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้รัฐบาลไทยมีแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ หรือที่เรียกว่าไทยเที่ยวไทย ซึ่งเป็นแนวทางที่ได้วางไว้แต่ช่วงปลายปี 2019 โดยให้ทุกกระทรวงสนับสนุนการท่องเที่ยวผ่านการจัดประชุมสัมนาให้มากขึ้น พร้อมทั้งเชื่อว่าจะสามารถกระตุ้นรายได้รวมของการท่องเที่ยวภายในประเทศขึ้นมาทดแทนตลาดนักท่องเที่ยวจีนที่หายไปได้ เนื่องจาก “ไทยช่วยไทยคือไทยเท่”

แต่คำถามคือ ในสภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน รวมกับปัจจัยอีกหลายอย่างที่คนไทยกำลังเผชิญ คนไทยจะช่วยไทยไหวหรือไม่?

เพราะแม้กระทั่งกูรู ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจในตอนนี้ ถ้าถามเรื่องการท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจไทย ล้วนแต่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ต้องไปลุ้นเอาที่ครึ่งปีหลัง”

จากปัจจัยในระดับโลก ลากมาตั้งแต่ผลกระทบจากสงครามการค้า เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว มาจนถึงการแพร่ระบาดของไวรัส ประกอบกับปัจจัยภายในประเทศเองที่หนักหนาสาหัสไม่แพ้กัน ทั้งร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ปี 2563 ที่ล่าช้า ต้องรอการวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญ 

แน่นอนว่า จะกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวม เพราะเม็ดเงินก้อนใหญ่จากภาครัฐจะไม่ถูกอัดฉีดเข้าสู่ระบบตามที่ควรจะเป็น และไม่หมดแค่นั้นยังมีปัญหาอย่างภัยแล้งที่จะส่งผลต่อภาคการเกษตรและภาคแรงงานซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ

เห็นแบบนี้แล้ว ต้องบอกว่าข้อเสนอเรื่องการฟื้นภาคการท่องเที่ยวที่บอกว่าให้ไทยช่วยไทย “อาจไม่เพียงพอ” เพราะเศรษฐกิจไทยภายในประเทศเองก็ร่อแร่อยู่พอสมควร และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอ้างอิงจาก GDP ของไทยที่หลายสำนักคาดการณ์ในช่วงหลังมานี้ ต่างพากันปรับลดลงให้อยู่ที่ไม่เกิน 2.2% เท่านั้น (ทั้งๆ ที่เมื่อต้นปีประเมินกันไว้ว่าจะสูงถึง 2.8% เลยด้วยซ้ำ)

หน้ากากอนามัยขาดตลาด

ดังนั้น สำหรับคำถามที่ว่า “ท่องเที่ยวไทย จะไปไหนทางไหนดี” 

เอาเข้าจริง ยังคงเป็นคำถามที่ตอบยาก แต่สิ่งที่บอกได้แน่นอนตอนนี้คือ ขอให้คนไทยรักษาสุขภาพให้ดี ส่วนประเทศไทยก็ขอให้โชคดีเช่นกัน

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/what-next-for-thai-tourism-after-coronavirus/

โดนจนได้! อินเดียยกระดับเฝ้าระวังไวรัสโคโรนา คัดกรองผู้โดยสารจากสิงคโปร์และไทย

ในที่สุดก็มาถึงวันนี้ หลังจากที่เราได้ยินกันมานานว่ามีการคัดกรองคนที่บินมาจากอู่ฮั่นและจีนทั้งในและนอกประเทศ ตอนนี้มาถึงคราวเที่ยวบินที่มาจากไทยและสิงคโปร์แล้ว 

ภาพจาก Shutterstock

ขณะนี้มีการติดเชื้อราว 31,472 ราย เสียชีวิต 638 ราย รักษาจนหาย 1,550 ราย 

  • จีนติดเชื้ออันดับ 1 จำนวน 31,162 ราย 
  • อันดับ 2 ญี่ปุ่น 86 ราย 
  • อันดับ 3 สิงคโปร์ 30 ราย 
  • อันดับ 4 ไทย 25 ราย 
  • อันดับ 5 ฮ่องกง 24 ราย

สัปดาห์ที่ผ่านมา อินเดียคัดกรองผู้โดยสารที่มีเที่ยวบินมาจากจีนและฮ่องกงเท่านั้น แต่สัปดาห์นี้รัฐบาลตัดสินใจขยายการคัดกรองผู้โดยสารที่มาจากสิงคโปร์และไทยด้วย ในอินเดียมีนักเรียนที่เพิ่งกลับจากอู่ฮั่น 3 ราย มีผลตรวจไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เป็นบวก ขณะนี้ถูกแยกตัวไปไว้ที่รัฐเกรละ (Kerala) แล้ว (รัฐเกรละตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอินเดียริมฝั่งทะเลอาหรับมหาสมุทรอินเดีย)

ในหนึ่งสัปดาห์มีเที่ยวบินระหว่างอินเดียและสิงคโปร์กว่า 500 เที่ยวบิน สามารถบินตรงได้ถึง 15 เมือง ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหารสำนักงานการบินพลเรือน (ยื่นจดหมายถึงสำนักงานการบินพลเรือนและรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขระบุว่าผู้โดยสารที่มาจากจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และไทย จะต้องถูกคัดกรองจากองค์การอนามัยสนามบินเสียก่อน ก่อนที่พวกเขาจะเดินออกจากสะพานเทียบครื่องบิน หรือที่เรียกกันว่างวงช้าง (aerobridge) 

รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขระบุว่าเมื่อวันอังคารที่ 4 ที่ผ่านมา มีการคัดกรองผู้โดยสาร 89,500 คน จากเครื่องบิน 777 ลำในท่าอากาศยาน 21 แห่ง ทั้งนี้ วีซ่าใดๆ ก็ตาม รวมถึงวีซ่าออนไลน์ที่อินเดียเคยออกให้จะไม่สามารถใช้ได้สำหรับชาวต่างประเทศที่เดินทางมาจากจีน คนที่กำลังจะเดินทางไปจีนจะถูกกักกันโรคเมื่อเดินทางกลับมาอินเดีย

อินเดียพรมแดนติดต่อจีน มีประชากร 1.33 พันล้านรายเริ่มยกระดับการป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 แพร่ระบาดแล้ว อินเดียอพยอคนออกจากอู่ฮั่นกว่า 600 รายไว้ในพื้นที่กักกันโรค 2 แห่งในเมืองเดลีและบริเวณใกล้เคียง

ประกาศเตือนเรื่องวีซ่าของอินเดีย

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขทวีตข้อความว่ามีคนที่ถูกกักบริเวณในบ้านราว 5,123 คนเพื่อเฝ้าระวัง และกำลังรอฟังผลการตรวจเชื้ออีก 342 ราย

เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการครอบครัว ระบุว่า “เราจำเป็นต้องรณรงค์ให้คนที่เดินทางมาจากจีนหรือคนที่ติดต่อกับใครก็ตามในจีน โดยเฉพาะในอู่ฮั่น ถูกสังเกตอาการในบ้านก่อน กรุณาให้ความช่วยเหลือเรา เพื่อที่จะทำให้เราช่วยเหลือคุณได้ ไม่มีใครอยากให้คนที่เขารักต้องป่วย”

ที่มา – Straitstimes

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/coronavirus-outbreak-india-screening-passengers-from-singapore-and-thai/

หมอหลี่ เหวินเหลียง ผู้เปิดโปงเรื่อง “ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019” คนแรก เสียชีวิตแล้ว

หมอหลี่ หรือนายแพทย์หลี่ เหวินเหลียง (Dr Li Wenliang) จักษุแพทย์ เสียชีวิตในวัย 34 ปีจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา หมอหลี่คือหมอชาวจีนคนแรกที่พยายามส่งข่าวเตือนภัยให้สาธารณชนรับรู้ว่ามีโรคระบาดเกิดขึ้น โรคระบาดนี้มีลักษณะคล้ายโรคซาร์สตั้งแต่เมื่อเดือนธันวาคม 2019 ที่ผ่านมา

ข้อความที่เขาเผยแพร่คือ “มีคนติดเชื้อไวรัสที่มีอาการคล้ายโรคซาร์ส ที่คาดว่าติดเชื้อมาจากตลาดสดค้าเนื้อสัตว์ป่า” ในคืนนั้น #WuhanSars ติดเทรนด์ Weibo เฟสบุคจีน แต่ถูกทางรัฐลบและเซ็นเซอร์ข้อความไปเสียก่อน กว่าที่รัฐบาลจีนจะประกาศยืนยันว่ามีการติดต่อจากคนสู่คนก็มีคนติดเชื้อไวรัสพุ่งไป 536 คนแล้ว 

ขณะนี้ ยืนยันแล้วว่าหมอหลี่เสียชีวิตแล้วที่โรงพยาบาลกลางอู่ฮั่น (Wuhan Cenral Hospital) เมื่อเวลา 02.58น. วันศุกร์ หลังจากที่พยายามกู้ชีพแล้วแต่ไม่สำเร็จ ก่อนหน้านี้มีข่าวลืออย่างหนักเกี่ยวกับอาการที่วิกฤติของเขา

ช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา หมอหลี่ เหวินเหลียง (Li wenliang) ได้เผยแพร่ข้อมูลทางการแพทย์กับเพื่อนๆ หมออีก ในกรุปผ่านแอปฯ WeChat ว่า มีโรคระบาดที่เป็นเหมือนโรคซาร์สเกิดขึ้น โดยหมอหลี่และหมออีก 3 คนถูกหมายเรียกจากตำรวจท้องถิ่น บังคับให้เขาเซ็นสัญญาว่าจะไม่เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ จากนั้น CCTV ก็เผยแพร่ข่าวว่าสิ่งที่หมอทั้ง 8 คนนี้เผยแพร่คือข่าวลือ

จากนั้นใน Weibo ได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับข่าวลือนี้รวมทั้งปฏิกิริยาของตำรวจ หมอหลี่เล่าว่า เขากลับจากทำงานในวันที่ 3 มกราคม หลังจากที่โดนตำรวจตำหนิ แต่ก็เริ่มมีอาการไอในวันที่ 10 มกราคม

เขาบอกว่า เขาเริ่มมีไข้ตั้งแต่วันที่ 11 มกราคมและเริ่มรักษาตัวในโรงพยาบาลวันถัดมา ก่อนหน้านั้นหมอหลี่ได้ตรวจคนที่ติดเชื้อแต่ยังไม่รู้ผลแน่ชัดว่าเป็นไวรัสอะไร รู้แค่ว่าผู้ติดเชื้อมีอาการคล้ายโรคซาร์ส ขณะนั้นรัฐบาลจีนยังออกมายืนยันว่าไม่มีการติดเชื้อจากคนสู่คน และระบุว่าไม่มีบุคลากรทางการแพทย์คนใดที่ติดเชื้อ หมอหลี่โพสต์ข้อความดังกล่าวใน Weibo วันที่ 31 มกราคม เขาบอกว่าเขารู้สึกสับสน

ตำรวจให้เขาเขียนยอมรับสำนักผิดที่เขาทำผิดกฎหมาย (หลังจากที่เขาเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้น) หมอหลี่เล่าว่า ผลตรวจไวรัสของเขาเป็นลบ แต่เขารู้สึกหายใจลำบาก เขาเคลื่อนไหวได้ยาก พ่อแม่ของเขาก็ถูกพาเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลด้วย หมอหลี่โพสต์ข้อความใน Weibo 1 วันก่อนจะพบว่าเขาติดเชื้อไวรัสโคโรนา

ที่มา – South China Morning Post, Financial Times

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/coronavirus-kills-li-wenliang-whistleblower-chinese-doctor/

สายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิค ขอให้พนักงาน 27,000 คน ลางานโดยไม่รับค่าจ้าง 3 สัปดาห์

CEO แห่งคาเธ่ย์แปซิฟิค แอร์ไลน์ สายการบินเรือธงของฮ่องกง ประกาศ ขอให้พนักงานจำนวน 27,000 คนหยุดงานแบบไม่ต้องรับค่าจ้าง (unpaid leave) ราว 3 สัปดาห์ เนื่องจากวิกฤติเชื้อไวรัสโคโรนาระบาด ถือเป็นช่วงเริ่มต้นของปีที่ไม่ค่อยราบรื่นของจีน และสายการบินนี้ ปีที่แล้ว ประท้วงฮ่องกงก็ทำให้ป่วนมาพอสมควร

โดย CEO Augustus Tang กล่าวว่า สายการบินต้องเผชิญกับวิกฤตเชื้อไวรัสโคโรนาระบาด ผมหวังให้ทุกคนจะมีส่วนร่วมกับการร้องขอนี้ ทั้งพนักงานที่เป็นแนวหน้าของสายการบินไปจนถึงผู้นำระดับอาวุโส ขอให้พวกเราร่วมกันรับมือกับความท้าทายนี้

Augustang tang ระบุว่า สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อองค์กร เขาบอกว่าเขาเข้าใจความกังวลใจที่เกิดขึ้นทางบริษัทพยายามจะทำทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อปกป้องและทำให้ลูกค้าและพนักงานได้รับความปลอดภัย นับตั้งแต่ที่ไวรัสโคโรนาระบาด เราเห็นว่าคนเดินทางเข้ามาในฮ่องกง ในจีน และในประเทศต่างๆ ทั่วโลกมีจำนวนลดลง

เราไม่รู้ว่าสถานการณ์เช่นนี้จะยุติลงเมื่อไร ความผันผวนจากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้เราต้องประคับประคองด้านการเงินของเราเพื่อปกป้องธุรกิจของเรา เราขอให้ทางองค์กรที่จัดหาสินค้าและบริการลดราคาสินค้าให้เรา เรายังต้องปรับศักยภาพของเราในระยะสั้นให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เที่ยวบินกว่า 90% ของเราไปจีนถูกระงับลง

เราจำเป็นต้องตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ท้าทาย ผมขอให้ทุกๆ คนช่วยลางานโดยไม่ต้องรับค่าจ้าง การลางานโดยไม่รับค่าจ้างที่เคยเกิดขึ้นที่ผ่านมาคือช่วงปี 2009 เพื่อตอบสนองช่วงที่เกิดวิกฤติการเงินโลก เราได้รับการสนับสนุนจากพนักงานอย่างท่วมท้น ตอนนี้มันแตกต่างกันมาก สถานการณ์ตอนนี้ร้ายแรงกว่า ผมขอความร่วมมือจากคุณเพื่ออนาคตของพวกเรา

Augustus Tang ซีอีโอสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค

การลางานโดยไม่ต้องจ่ายเงินนี้ จะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ถึง วันที่ 30 มิถุนายน คุณสามารถลางานโดยไม่ต้องรับค่าจ้างเป็นเวลา 3 สัปดาห์ในช่วงเวลาดังกล่าว ผมหวังว่าพวกคุณทุกคนจะให้ความร่วมมือ นับตั้งแต่พนักงานแถวหน้าไปจนถึงพนักงานที่เป็นผู้นำระดับสูง ช่วยกันรับมือกับความท้าทายจากวิกฤติดังกล่าว

คุณจะได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้จัดการของคุณ ผมตระหนักว่ามันเป็นเรื่องลำบากที่จะรับฟังแต่เราจำเป็นต้องใช้มาตรการดังกล่าวเพื่อเดินหน้าต่อไปสำหรับเวลาที่ยากลำบากนี้ ขอขอบคุณทุกท่าน

ที่มา –  AFP, Economictimes, Annoucing a Special Leave Scheme

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/cathay-pacific-unpaid-leave/

ไวรัสโคโรนาระบาด: ยิ่งมีคนติดเชื้อเพิ่มขึ้น กระแสเหยียดจีน เกลียดกลัวคนจีนยิ่งรุนแรง

กระแสเกลียดกลัวหรือชังคนจีน หรือคนชาติอื่นกำลังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกเกลียดกลัวคนชาติอื่น หรือที่เรียกว่า Xenophobia มักมีที่มา หลายครั้งก็เกินกว่าเหตุ แต่เราจำเป็นต้องจัดการกับความกลัวในใจของเราเสียก่อน ไม่เช่นนั้น เราจะใช้ชีวิตอย่างกังวล ทุกข์ใจ และส่งผลกระทบต่อคนรอบข้าง 

ภาพจาก Shutterstock

xeno มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คำ คือคำว่า xenos แปลว่า แปลกแยก แตกต่าง ความแปลกหน้า หรือคนต่างประเทศ ขณะที่คำว่า phobos มีความหมายว่า ความกลัว ภาษาอังกฤษใช้คำว่า phobia รวมเป็น xenophobia 

ผู้คนจากทั่วโลกต่างหวาดกลัวและเริ่มแสดงอาการเกลียดชังต่อคนจีนอย่างชัดเจนมากขึ้น หลายคนกลัว กลัวและเกลียดเพราะความไม่รู้ เราไม่รู้ว่าถ้าเราติดเชื้อ เราจะมีอาการหนักขนาดไหน ร่างกายเราจะรับไหวไหม 

อาการป่วยของเราจะทำให้คนใกล้ชิดป่วยตามหรือไม่ เมื่อเราป่วยเราจะถูกแยกตัวเพื่อกักกันโรคไม่ให้เจอผู้คนนานแค่ไหน เราต้องอยู่ลำพังกับบุคลากรทางการแพทย์เราจะทนไหวไหม?

ต้องยอมรับความจริงก่อนว่าเรากลัว เรากลัวติดโรค เรากลัวป่วย การป่วยทำให้เราเสียโอกาสในชีวิตหลายอย่าง ทั้งหน้าที่การงานที่ต้องกลายเป็นภาระ เพราะสภาพร่างกายแบกรับไม่ไหว ทั้งค่าใช้จ่ายที่ต้องสูญเสีย เพื่อรักษาตัวเองให้หายป่วย 

รวมถึง กลัวตาย เพราะมีสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบหลายอย่าง อย่างน้อยเราหลายคนต่างไม่อยากตายด้วยความทรมาน ถ้าจะตายก็คงต้องการตายอย่างสงบ ถ้ามีคนให้ดูแลหรือเป็นห่วงอยู่ เราก็คงไม่อยากจากไปก่อนเวลาอันควร 

Chinese Mask Coronavirus
ภาพจาก Shutterstock

ความกลัวที่ว่านี้ ความไม่รู้และความคลุมเครือหลายเรื่อง ทำให้เรายิ่งกลัว

กว่าเรื่องคนป่วยในจีนจะเปิดเผยอย่างชัดเจน กว่าจีนจะสั่งปิดเมืองที่มีเชื้อไวรัสระบาด คนก็ติดเชื้อไป 600 กว่าคนแล้ว กว่าทางการจีนจะยืนยันว่ามีคนอู่ฮั่นออกมาจำนวนเท่าไรก่อนปิดเมือง เวลาก็ผ่านไปเกือบ 2 สัปดาห์ หลังมีการประกาศว่าเชื้อไวรัสสามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คนได้ และคนอู่ฮั่นที่ออกมา ก็มีจำนวนมากราว 5 ล้านคน ซึ่งเราไม่รู้เลยว่า 5 ล้านคนนั้น มีจำนวนผู้ติดเชื้อเท่าไร เดินทางไปที่ไหนบ้าง พำนักอาศัยที่ไหนนอกจีนบ้าง 

ยิ่งไม่รู้ ยิ่งกลัว ยิ่งกลัวมาก กลายเป็นความเกลียดชัง ความกลัวยิ่งขยายตัวเมื่อมีคนติดเชื้อไวรัสนอกประเทศจีน และยังเกิดขึ้นกับคนที่ไม่เคยไปจีนแต่เกี่ยวพันกับจีนเช่น คนขับรถที่พานักท่องเที่ยวเดินทางไม่ว่าจะที่ญี่ปุ่นหรือไทย ผู้นำหลายประเทศต่างสั่งปิดเมือง ไม่ต้อนรับคนจีนเพื่อปกป้องประชาชนให้รอดพ้นจากการรับเชื้อไวรัส

เช่น มาเลเซียสั่งระงับวีซ่านักท่องเที่ยวจีน ผู้นำฟิลิปปินส์ก็หยุดให้วีซ่าคนจีน ผู้นำสิงคโปร์ก็สั่งแบนนักท่องเที่ยวจากหูเป่ย์ จีน แม้กระทั่ง ฮ่องกงก็สั่งปิดชายแดนเชื่อมจีนเช่นกัน ขณะที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมออกมาเรียกความมั่นใจทั้งคนในและคนนอกประเทศว่าสามารถคุมสถานการณ์อยู่ถึง 100%  

ผู้นำหลายชาติต่างเดินหน้าอพยพขนคนสัญชาติตนกลับประเทศ ทั้งอังกฤษ ญี่ปุ่น สหรัฐฯฝรั่งเศส มาเลเซีย อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และอินเดีย ตั้งแต่ก่อนสิ้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ในส่วนของไทยนั้น ก็ประกาศว่าตนเองก็พร้อมเช่นกัน และได้พาคนไทยกลับประเทศวานนี้ 4 กุมภาพันธ์ 2563 จำนวน 138 คน ในจำนวนนี้มี 6 คนที่มีไข้ ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล ส่วนที่เหลือเข้าสู่กระบวนการกักกันโรค

Thailand Coronavirus โคโรนาไวรัส หน้ากาก
ภาพจาก Shutterstock

สถานการณ์ล่าสุด รายงานแบบเรียลไทม์จาก 2019-nCoV Global Cases by Johns Hopins CSSE ระบุว่า มีคนติดเชื้อไวรัสโคโรนามากถึง 24,402 ราย เสียชีวิต 492 ราย รักษาหาย 903 ราย

มาถึงวันนี้ นับตั้งแต่ที่ทางการจีนยืนยันว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ เวลาก็ผ่านมา 2 สัปดาห์ สิ้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาองค์การอนามัยโลก (WHO) ก็ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินระหว่างประเทศ ความกังวลแผ่ขยายแทบทุกพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่ผู้คนสืบหาซื้อหน้ากากอนามัยหรือเจลค่าเชื้อไม่ได้ นอกจากความกลัวแล้ว เรายังขาดแคลนโอกาสในการเข้าถึงเครื่องมือต่อสู้กับความกลัวเพื่อป้องกันตัวเอง

 

รัฐบาลแจงว่าเข้ามาควบคุมราคาแล้ว สามารถโทรแจ้งสายด่วนกรมการค้าภายในได้เลย ที่เบอร์ 1569

ประกาศควบคุมราคาหน้ากากอนามัย

ยิ่งกลัว ยิ่งต้องทำความเข้าใจ เพื่อเรียนรู้วิธีรับมือ

ยิ่งจำนวนคนติดเชื้อเพิ่มขึ้น คนยิ่งกลัว แต่ถ้าเราไม่เห็นตัวเลขที่แท้จริงที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกวัน จะยิ่งน่ากลัวกว่า เพราะเราจะเฝ้าระวังไม่ได้ การรู้เห็นข้อมูลที่ชัดเจนยิ่งที่ให้เราเรียนรู้ที่จะจัดการกับความกลัว จัดการกับความขาดแคลนโอกาสในการเข้าถึงเครื่องมือเพื่อป้องกันตัวเอง อย่างหน้ากากอนามัย เจลฆ่าเชื้อ สัญญาณชัดเจนเช่นนี้ ทำให้รัฐบาลต้องออกประกาศควบคุมราคา 

TIME รายงานว่า ในออนแทริโอ แคนาดา เด็กๆ ที่เคยจับกลุ่มเล่นด้วยกัน ต่างแสดงอาการรังเกียจหรือหวาดกลัว รวมทั้งเพิกเฉยต่อเด็กลูกครึ่งเชื้อสายจีน พวกเขาไม่อยากข้องแวะกับเด็กคนนี้เพราะกลัวติดเชื้อไวรัส 

ขณะที่ทางโซเชียลมีเดีย ฝรั่งเศส ต้องติด #JeNeSuisPasUnVirus ที่แปลว่า ฉันไม่ใช่ไวรัส เพราะแรงกดดันจากสายตาคนรอบข้างที่กำลังหวาดกลัว

แม้กระทั่งในมหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์ แคลิฟอร์เนีย ที่น่าจะเข้าใจเรื่องการเกลียดกลัวคนต่างชาติมากกว่าในองค์กรอื่น ก็ยังเผยแพร่ข้อความที่บอกว่า การเกลียดกลัวชาวต่างชาติหรือช่วงเวลาแห่ง xenophobia นี้คือปรากฏการณ์ปกติ ต้องเข้าใจ ทั้งๆ ที่ตามจริง ควรจะทำให้คนหายกลัวด้วยการทำความเข้าใจกับโรคหรือการแพร่เชื้อไวรัสเพื่อหาทางรับมือกับมันมากกว่ากลัวเพราะข้อมูลที่คลุมเครือไม่ชัดเจน และ Xenophobia ไม่ใช่ปรากฏการณ์ปกติ 

จนในที่สุดเมื่อมีผู้คนทักท้วงกับท่าทีดังกล่าว สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนแปลงประกาศนั้นและกล่าวคำขอโทษ

ในอินโดนีเซียก็มีการติดแฮชแท็ก # ในโซเชียลมีเดีย ให้แบนนักท่องเที่ยวจีนชั่วคราว ในสิงคโปร์ก็มีข้อความล้อเลียนพฤติกรรมการทานอาหารของคนจีน เช่น “คนจีนทาานอะไรก็ได้ที่มี 4 ขา ยกเว้นโต๊ะ คนจีนทานอะไรก็ได้ที่บินได้ แต่ไม่ใช่เครื่องบิน” ตลอดจนการสร้างมีมที่ระบุว่า ไวรัสโคโรนานี้อยู่ไม่นานหรอก เพราะมัน made in China 

ร้านค้าหลายแห่งในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นฮ่องกง เกาหลีใต้ เวียดนาม และญี่ปุ่น ต่างก็ติดป้ายห้ามคนจีนเข้าร้าน เราไม่ต้องการให้คนจีนแพร่เชื้อไวรัสโคโรนา 

การป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่น่าสนใจนอกจากรักษาร่างกายให้แข็งแรง กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือบ่อยๆ ใส่หน้ากากอนามัย ใช้เจลฆ่าเชื้อโรค ไม่เอามือสัมผัสที่หน้า ตา จมูก ปากหากไม่จำเป็น หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้ป่วยไอ จาม ไม่ไปไนพื้นที่โรคระบาด ไม่ไปอยู่ในที่ที่คนหนาแน่น เหล่านี้ ถ้าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเดินทาไปในที่ที่ผู้คนหนาแน่นได้ ก็คือ การย้ายที่ทำงานจากออฟฟิศเป็นบ้านตัวเอง

การทำงานที่บ้าน หรือ Work form Home

Work from home ทางเลือกที่น่าสนใจในห้วงยามที่ผู้คนต่างหวาดกลัว

ในเมื่อเราเลี่ยงที่จะไม่ไปทำงานโดยไม่ต้องเผชิญผู้คนหนาแน่นจากการโดยสารขนส่งสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นรถเมล์ หรือรถไฟฟ้า เรือ ที่รวมผู้คนทั้งไทยและเทศ ยืนหายใจรดกันแบบแพร่เชื้อกันได้ไม่ยาก โดยเฉพาะคนที่จามและไอแบบไม่ได้ใช้ทิชชูปิดปาก เราก็เลือกทำงานที่บ้านไม่ดีกว่าหรือ? 

ไม่ว่าฝุ่น PM 2.5 ที่กลับมาให้เราได้กังวลกันอีก รวมถึงเชื้อไวรัสโคโรนา ถ้าเราไม่ต้องเดินทาง ก็ตัดปัญหานี้ไปได้บ้างไม่มากก็น้อย เว้นแต่ตอนเดินทาง ก็ต้องควานหาหน้ากากอนามัยที่หากหาซื้อลำบาก หาตัวช่วยไม่ได้ก็ต้องลงมือเย็บผ้าเอง 

ทางเลือกที่เราต้องเผชิญหน้ารับมือสำหรับคนไม่มีทางเลือกในการ Work from home ก็คือการติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด 

ทำความเข้าใจว่าหากติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์​ใหม่นี้เป็นแล้วรักษาให้หายได้ มีอัตราการตายต่ำ คนที่เสียชีวิตส่วนใหญ่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอซึ่งมักจะเป็นกลุ่มเด็กและกลุ่มผู้สูงอายุ และถ้าคุณคือกลุ่มเสี่ยงก็ต้องระมัดระวังตัวเองให้ไกลจากโรคนี้ตามมาตรการป้องกันตัวเองข้างต้น รวมถึงทำความเข้าใจการแพร่เชื้อไวรัสอย่างละเอียด

อัตราการเสียชีวิตต่ำในที่นี่เราไม่ได้เทียบกับคนหลักแสนหลักล้านอย่างที่หลายคนเข้าใจผิดว่าเอาไปเทียบกับคนทั้งเมืองอู่ฮั่น เราเทียบกับกับอัตราการติดเชื้อ 24,402 ราย เสียชีวิต 492 ราย รักษาหายแล้ว 903 ราย มีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 2.01%

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/coronavirus-outbreak-xenophobia-raising/

Corona Beer เชื่อมั่นว่าลูกค้าไม่เชื่อมโยงกับไวรัสโคโรนา หลังผลการค้นหาใน Google เพิ่มขึ้น

ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย Corona Beer มั่นใจว่าลูกค้าสามารถแยกแยะได้ว่าธุรกิจของบริษัทไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสโคโรนาที่กำลังระบาดที่จีนและลามไปแล้วทั่วโลกอยู่ในขณะนี้

Corona Beer โคโรนาเบียร์
ภาพจาก Shutterstock

Constellation Brands ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่าย Corona Beer ในสหรัฐอเมริกาออกมากล่าวว่า บริษัทเชื่อมั่นว่าลูกค้าสามารถแยกแยะได้ว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทไม่มีความเกี่ยวข้องกับไวรัสโคโรนาที่กำลังระบาดในเมืองอู่ฮั่นตอนนี้ หลังจากที่มีผลการค้นหาใน Google ว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทเกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญในช่วงที่ผ่านมา

ผลการค้นหาของ Google ว่า “corona beer virus” เพิ่มขึ้นถึง 2,300% ทั่วโลก หลังจากวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา ทางด้านคำค้นหา “beer virus” เพิ่มขึ้น 744% ขณะที่คำค้นหา “beer coronavirus” เพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 3,233% นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการล้อเลียนเบียร์ดังยี่ห้อนี้ด้วย

Maggie Bowman ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายสื่อสารองค์กรของ Constellation Brands ได้กล่าวว่า “เราเชื่อว่าลูกค้าสามารถแยกแยะสิ่งที่เกิดขึ้นได้ระหว่างเชื้อไวรัสและธุรกิจของเรา” ซึ่งทั้ง 2 ชื่อนี้ไม่มีความสัมพันธ์กันแต่อย่างใดโดยคำว่า Corona ในภาษาละตินแปลว่า “มงกุฎ”

ล่าสุดนั้นมีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาไปแล้วกว่า 14,553 ราย เสียชีวิตไปแล้วกว่า 305 ราย โดย 1 ในผู้เสียชีวิตดังกล่าวมีผู้เสียชีวิตนอกประเทศจีนรายแรก ซึ่งมาจากฟิลิปปินส์ด้วย

ที่มา – Business Insider, CBS News

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/us-corona-beer-product-and-distributon-believe-consumer-not-understand-not-linkage-between-the-virus/

ไวรัสโคโรนา: อัตราการตายต่ำเมื่อเทียบกับคนที่ติดเชื้อทั้งหมด 2% น้อยกว่าโรคซาร์ส 9.6%

การติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่มีต้นตอมาจากอู่ฮั่น หูเป่ย์ จีนแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว จนทำให้ผู้คนหวาดกลัวและกังวลไปทั่วโลก แม้ความจริงแล้วจะมีอัตราการตายจากการติดเชื้อที่ค่อนข้างต่ำ 

เมื่อเทียบกับโรคซาร์สแล้ว ถือว่าแตกต่างกันมาก เพราะซาร์สคร่าชีวิตผู้คนไปราว 774 ราย ติดเชื้อรวม 8,096 ราย จาก 29 ประเทศ ช่วงปี 2002-2003 ซาร์สมีอัตราการตายสูงถึง 9.6% ขณะที่ไวรัสโคโรนามีการเสียชีวิตจากการติดเชื้ออยู่ที่อัตรา 2% 

  • ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสามารถรักษาจนหายจากอาการติดเชื้อได้ 
  • ผู้ที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ หรือมีความเจ็บป่วยอยู่ก่อนหน้าแล้ว ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ 
MANILA, PHILIPPINES – JANUARY 31: Filipinos hoping to buy face masks crowd outside a medical supply shop that was raided by police for allegedly hoarding and overpricing the masks, as public fear over China’s Wuhan Coronavirus grows, on January 31, 2020 in Manila, Philippines. The Philippine government has been heavily criticized after failing to immediately implement travel restrictions from China, the source of a deadly coronavirus that has now killed hundreds and infected thousands more. The World Health Organization (WHO) on Thursday declared the coronavirus a public health emergency of international concern. (Photo by Ezra Acayan/Getty Images)

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ส่วนใหญ่ผู้คนทั่วโลกตระหนก หวั่นวิตกกับไวรัสโคโรนา เพราะความไม่รู้และไม่มีการรับรองใดๆ เกี่ยวกับโรคนี้ สิ่งที่สาธารณชนควรจะทำคือ ระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยงที่จะทำให้ตัวเองป่วย และมาตรการที่ได้ผลสำหรับการป้องกันก็คือ พยายามล้างมือบ่อยๆ อย่าเอามือสัมผัสที่หน้า

Amira Roess ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขโลกและด้านระบาดวิทยา แห่งมหาวิทยาลัย George Mason กล่าวว่า ยิ่งมีการติดเชื้อ ยิ่งทำให้ความกลัวแพร่กระจายมากขึ้น และสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความหวั่นวิตกก็คือ ความกลัวในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้จัก 

มีงานวิจัยด้านจิตวิทยาเคยชี้ให้เห็นว่า ภัยคุกคามที่ทำให้ระดับความกังวลเพิ่มมากขึ้น คือความกังวลจากความไม่รู้ ผู้คนจะกังวลน้อยลงถ้าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาคุ้นเคยดี 

ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ มีตัวเลขที่พิสูจน์แล้วว่าอัตราการตายของคนอเมริกันนั้น ส่วนใหญ่ 1 ใน 7 มาจากการตายที่เกี่ยวกับโรคด้านหัวใจ แต่ถ้าเป็นการตายที่เกิดจากน้ำมือของชาวต่างชาติ หรือตายเพราะตกเป็นเหยื่อของผู้ก่อการร้ายนั้น ถือว่ามีอัตราการตายอยู่ที่ 1 ใน 45,808 ราย  

ปรากฎว่าแบบสำรวจความกลัวของชาวอเมริกันที่จัดทำโดยมหาวิทยาลัย Chapman เมื่อปี 2016 ระบุว่า ผู้คนกังวลและกลัวที่ชาติจะถูกโจมตีจากผู้ก่อการร้าย หรือกลัวที่จะเป็นเหยื่อจากผู้ก่อการร้ายมากติดอันดับ 1 ใน 5 ของความกลัวทั้งหมด ทั้งที่ความจริงแล้ว คนมีความเสี่ยงจากโรคที่เกี่ยวกับหัวใจมากกว่า 

Thailand Coronavirus โคโรนาไวรัส หน้ากาก
ภาพจาก Shutterstock

หากเทียบกับโรคอีโบลา (Ebola) ที่แพร่กระจายอยู่ในแอฟริกาตะวันตก ช่วงปี 2014-2016 แล้ว พบว่า อีโบลานั้นสามารถทำให้คนเสียชีวิตได้ มันเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น ยากที่จะป้องกัน และมันก็แพร่กระจายโดยไม่รู้ตัว และยังไม่ชัดเจนอีกด้วยว่าเจ้าหน้าที่จะสามารถคุมสถานการณ์ได้หรือไม่ 

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องเหยียดชาติเกิดขึ้นอีก ในฝรั่งเศส แคนาดา และสหรัฐฯ มีรายงานว่าเกิดเหตุเหยียดชาติเพิ่มขึ้น เพราะกลัวไวรัสโคโรนา 

The Guardian รายงานว่า มีผู้ปกครองเกือบ 9,000 รายในบริเวณใกล้เมืองโตรอนโต ลงนามร้องเรียนไม่ให้นักเรียนที่เคยเดินทางไปจีนในรอบ 17 วันที่ผ่านมาเข้าเรียน หลายคนที่ลงนามก็เขียนว่า ให้คนจีนหยุดกินสัตว์ป่า หยุดแพร่เชื้อโรคใส่คนอื่น หยุดแพร่เชื้อโรคและกักบริเวณตัวเอง หรือไม่ก็กลับบ้านไปซะ

The New York Times รายงานว่า ธุรกิจในฮ่องกง เกาหลีใต้ และเวียดนาม เขียนป้ายไม่ต้อนรับลูกค้าที่มาจากจีนด้วย 

Coronavirus
BEIJING, CHINA – JANUARY 25: Chinese women and a child all wear protective masks as they walk under decorations in a park after celebrations for the Chinese New Year and Spring Festival were cancelled by authorities on January 25, 2020 in Beijing, China. The number of cases of a deadly new coronavirus rose to over 1300 in mainland China Saturday as health officials locked down the city of Wuhan earlier in the week in an effort to contain the spread of the pneumonia-like disease which medicals experts have been confirmed can be passed from human to human. In an unprecedented move, Chinese authorities put travel restrictions on the city of Wuhan and neighbouring cities affecting a population of over 35 million. The number of those who have died from the virus in China climbed to at least 41 on Saturday and cases have been reported in other countries including the United States, Australia, France, Thailand, Japan, Taiwan and South Korea. (Photo by Kevin Frayer/Getty Images)

เหตุผลที่จะทำให้มีความหวังในช่วงที่ไวรัสโคโรนาระบาด Martinello รองศาสตราจาร์ยผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ มองว่า มีปัจจัยเพียงเล็กน้อยที่อาจจะลดความกลัวเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาได้บ้างคือ

ประการแรก จะต้องมีการนิยามหรือมีข้อบ่งชี้เกี่ยวกับไวรัสตัวใหม่นี้ให้มีความรวดเร็วมากขึ้น หนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ค้นพบไวรัส ทางการจีนควรเผยแพร่ข้อมูลนี้ 

ประการที่สอง เทคโนโลยีทางการแพทย์มีความก้าวหน้ามากขึ้นกว่าตอนค้นพบไวรัสโคโรนาสมัยทศวรรษ 1960 ทำให้การปฏิบัติการทางการแทพย์และไวรัสวิทยาสามารถวิจัยข้อมูลเชิงลึกเพื่อสืบค้นได้ว่าเป็นเชื้อไวรัสที่แพร่จากสัตว์สู่คนได้ เช่น นักวิทยาศาสตร์รู้ว่าไวรัสโคโรนาสามารถติแพร่เชื้อจากสัตว์สู่คนได้เพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหวัดได้ เมื่อโรคซาร์สระบาดก็ถือเป็นครั้งแรกที่สามารถสืบย้อนดูได้ว่า ไวรัสโคโรนานี้แพร่เชื้อไวรัสมาจากสัตว์

ทั้งนี้ ชาวอเมริกันส่วนใหญ่จะเสี่ยงต่อการเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลมากกว่า อย่างน้อย 15 ล้านรายติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ในรอบ 4 เดือนที่ผ่านมา เป็นเหตุให้เสียชีวิตมากถึง 20,000 ราย นับตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งช่วงที่ไข้หวัดใหญ่ระบาดหนักคือเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ และมีแนวโน้มจะแย่กว่าเดิม 

มาตรการป้องกันก็คือล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงเอามือสัมผัสผิวหน้า และไม่คลุกคลีกับผู้ป่วย ทั้งนี้ คนมักจะคุ้นเคยกับโรคไข้หวัดใหญ่ที่มาตามฤดูกาลมากกว่า ทำให้รับมือน้อยกว่าหรือไม่ค่อยระมัดระวัง ป้องกันตัวเองจากโรคไข้หวัดใหญ่ Martinello มองว่า การที่ความกังวลจากไวรัสโคโรนาที่แพร่กระจายอยู่ น่าจะทำให้โรคหวัดมีจำนวนลดลงเพราะผู้คนจะระมัดระวังตนเองมากขึ้น

Coronavirus Chinese Face Masks โคโรนาไวรัส
ภาพจาก Shutterstock

สถานการณ์ล่าสุดจากเว็บไซต์ Gisanddata โดย Johns Hopins CSSE ที่บันทึกจำนวนผู้ติดเชื้อรายประเทศหลังยืนยันแล้วแบบเรียลไทม์ ระบุว่า ไวรัสโคโรนามีผู้ติดเชื้อรวม 14,549 ราย เสียชีวิต 305 ราย รักษาจนหายจากอาการติดเชื้อรวม 340 ราย

  • จีน 14,375 ราย 
  • ญี่ปุ่น 20 ราย
  • ไทย 19 ราย 
  • สิงคโปร์ 18 ราย 
  • เกาหลีใต้ 15 ราย
  • ฮ่องกง 14 ราย 
  • ออสเตรเลีย 12 ราย
  • ไต้หวัน 10 ราย 
  • เยอรมนี 8 ราย
  • สหรัฐอเมริกา 8 ราย
  • มาเลเซีย 8 ราย 
  • มาเก๊า 7 ราย 
  • ฝรั่งเศส 6 ราย 
  • เวียดนาม 6 ราย
  • แคนาดา 4 ราย
  • สหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ 4 ราย 
  • อิตาลี 2 ราย 
  • รัสเซีย 2 ราย 
  • ฟิลิปปินส์ 2 ราย
  • อังกฤษ 2 ราย 
  • เนปาล 1 ราย
  • กัมพูชา 1 ราย
  • สเปน 1 ราย
  • ฟินแลนด์ 1 ราย
  • สวีเดน 1 ราย
  • อินเดีย 1 ราย
  • ศรีลังกา 1 ราย

ที่มา – Business Insider (1), (2), Gisanddata 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/coronavirus-low-fatality-rate/

สธ. แถลง พบการติดเชื้อไวรัสโคโรนารายแรก เป็นคนขับแท็กซี่

นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าววันนี้ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาเพิ่มอีก 5 ราย รวมทั้งหมดติดเชื้อ 19 ราย

หนึ่งในผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นชายไทย มีอาชีพขับรถแท็กซี่ที่ไม่มีประวัติเดินทางไปนครอู่ฮั่น ประเทศจีน จึงสรุปได้ว่าเป็นกรณีแรกที่มีการติดเชื้อในไทย ประเทศที่มีการรายงานการติดเชื้อในประเทศ (local transmission) ได้แก่ เยอรมนี สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเวียดนาม

Taxi
แท็กซี่ในกรุงเทพ ภาพจาก Shutterstock

ที่มา – BBC

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/first-coronavirus-infect-in-thai/

กลับลำ! การบินไทยยอมคืนเงินเส้นทางไปจีนแล้ว

กรณีไวรัสโคโรนากลายเป็นภาวะฉุกเฉินระดับนานาชาติแล้ว สายการบินหลายสายยกเว้นค่าธรรมเนียมและคืนเงินผู้โดยสารที่ต้องการยกเลิกเที่ยวบินไปจีน

ก่อนหน้านี้การบินไทยยกเว้นค่าธรรมเนียมและสามารถเลื่อนตั๋วได้เพียงอย่างเดียว หากต้องการขอคืนเงินต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด ล่าสุด การบินไทยคำนึงถึงผลกระทบที่ผู้โดยสารได้รับจึงได้อำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารด้วยการยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับการเปลี่ยนแปลงเที่ยวบินและยกเลิกการเดินทาง หรือคืนเงินค่าบัตรโดยสาร รายละเอียดดังนี้

ผู้บริหารการบินไทยขอโทษ ภาพจากข่าว: กรณีกัปตันต้องการนั่งที่นั่งระดับ First Class จนทำให้เครื่องออกช้าไปหลายชม.

บัตรโดยสารการบินไทยที่เดินทางด้วยการบินไทย เส้นทาง ไป-กลับ กรุงเทพฯ สู่ 6 จุดบินในจีน ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว คุนหมิง เซี่ยเหมิน เฉิงตู

บัตรโดยสารการบินไทยที่เดินทางด้วยเที่ยวบินร่วมของไทยสมายล์ในเส้นทาง ไป-กลับ กรุงเทพฯ สู่ 3 จุดบินได้แก่ ฉงชิ่ง ฉางซา และเจิ้งโจว

บัตรโดยสารการบินไทยที่เดินทางด้วยเที่ยวบินร่วมของเซินเจิ้นแอร์ไลน์ ในเส้นทาง ไป-กลับ กรุงเทพฯ-เซินเจิ้น / ภูเก็ต-เซินเจิ้น

บัตรโดยสารการบินไทยเส้นทางภายในประเทศที่เดินทางกับการบินไทย และเที่ยวบินร่วมของไทยสมายล์ ที่มีการเดินทางต่อเนื่องกับเที่ยวบินสู่ประเทศจีน

สำหรับผู้โดยสารที่ออกบัตรโดยสารการบินไทย ก่อนวันที่ 28 มกราคม 2563 และมีการเดินทางระหว่างวันที่ 24 มกราคม-29 กุมภาพันธ์ 2563 สามารถเปลี่ยนแปลงการเดินทาง หรือขอคืนเงินค่าบัตรโดยสารได้ภายในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563

โดยผู้โดยสารต้องยกเลิกเที่ยวบินเดิมก่อนวันเดินทางตามที่ระบุบนบัตรโดยสาร ทั้งนี้ เป็นไปภายใต้เงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด ผู้โดยสารสามารถติดต่อทำการเปลี่ยนแปลงบัตรโดยสารได้ที่สำนักงานขายการบินไทย

หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ thaiairways.com หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ THAI Contact Center โทร. 0-2356-1111 ตลอด 24 ชั่วโมง

การบินไทยยกเว้นค่าธรรมเนียมและคืนบัตรโดยสารไปจีนในเส้นทางที่กำหนด

ที่มา – ฝ่ายภาพลักษณ์และสื่อสารองค์กรการบินไทย, Thai Airways

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/thai-airways-offers-refund-due-to-coronavirus-outbreak/

หน้ากากอนามัยระดับไฮเอนด์กรอง 8 ชั้น ซัก 100 ครั้งก็ยังใช้ได้ผล กำลังบูม!

ผู้ผลิตหน้ากากอนามัยระดับไฮเอนด์ ระบุ ตอนนี้หน้ากากอนามัยรุ่นนี้กำลังเป็นที่ต้องการของตลาด ทางบริษัทกำลังเร่งผลิตท่ามกลางเชื้อไวรัสโคโรนาที่กำลังระบาดอยู่นี่แหละ ผู้ผลิตหน้ากากคือบริษัท Clever ตั้งอยู่ในจังหวัดไอจิ (Aichi) กำลังรับออเดอร์ผลิตหน้ากากนี้ชนิดที่เรียกได้ว่างานล้นมือ นับตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา 

ผู้ผลิตหน้ากากชนิดนี้เล่าสรรพคุณว่า มันเป็นหน้ากากที่มีตัวกรองถึง 8 ชั้น เคยผลิตเพื่อคัดกรองไวรัสเมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา (ช่วงเดียวกับที่มีโรคซาร์สระบาด) มันสามารถกรองไวรัส รวมถึงไวรัสโคโรนาชนิดใหม่นี้ด้วย มันกรองมลพิษฝุ่นควัน PM 2.5 ได้อีก และยังขจัดกลิ่นได้ด้วย

เจ้าหน้ากากชนิดนี้มีราคาขายมากกว่า 120 เหรียญสหรัฐ หรือ 3,600 กว่าบาท แม้ซักแล้วเป็น 100 ครั้งก็ยังใช้งานได้ดีอยู่ ทางบริษัทระบุว่า ตอนนี้มียอดสั่งซื้อสูงขึ้นถึง 5 เท่า แต่บริษัทสามารถผลิตได้เพียง 50 ชิ้นต่อวันเท่านั้น เพราะมันเป็นหนัากากอนามัยที่ทำด้วยมือ ไม่ได้ทำด้วยเครื่องจักร 

ลูกค้าต้องรอประมาณ 1 ถึง 2 สัปดาห์ขึ้นไป ถึงจะได้รับสินค้า ลูกค้าในที่นี้ก็รวมถึงลูกค้าในเมืองอู่ฮั่นด้วย 

Eri Ishibashi ประธานบริษัทระบุ เธอประหลาดใจมากที่คนพากันสั่งซื้อ เธอหวังว่าเธอจะสามารถส่งหน้ากากให้กับลูกค้าที่กำลังกังวลได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

ที่มา – NHK, Aichi Brand

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/high-end-face-mask-filter-out-viruses-and-pm-25/